Tuesday, 21 May 2024
ประเทศไทย

'2 โหรฯ' อ่านดวง 'การเมืองไทย' ปีมังกร ฟันธง!! นายกฯ คนใหม่เร็วๆ นี้ 'ไม่ใช่ผู้หญิง'

วันก่อนนั่งอ่านคำพยากรณ์ของโหรฯ โสรัจจะ นวลอยู่ เจ้าของฉายา ‘นอสตราดามุสเมืองไทย’ แกบอกว่าปี 2567 เป็นปีมังกรไฟ นอกจากจะเกิดภัยพิบัติมากมายมหาศาลแล้ว ยังจะเกิดความขัดแย้งของคนในชาติ และหน่วยงานของรัฐชนิดแตกหัก แกยกตัวอย่างชัด ๆ ว่าจะเกิดสงครามระหว่างกระทรวงการคลังกับธนาคารแห่งประเทศไทย หรือแบงก์ชาติ 

และที่สุดบ้านเมืองอาจเกิดรัฐประหาร ทหารต้องย่ามสามขุมมารัฐประหารอีกครั้ง แถว ๆ เดือนมิ.ย.

เฮ่อ…ฟังแล้วสยอง…ยิ่งสยองกว่าเดิมเมื่อเห็นปรากฏการณ์วันที่ 19 ม.ค. ท่านเลขานุกา รมว.คลัง ดร.เผ่าภูมิ โรจนสกุล รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ออกมาให้ความเห็นแบบดับเครื่องชนแบงก์ชาติ 6 ข้อ 

‘เล็ก เลียบด่วน’ ขออนุญาตฉายหนังตัวอย่าง 2 ข้อ

1.ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) ติดลบ 14 เดือนติด สัญญาณอันตรายภาคการผลิตของประเทศ และยอดขายรถเชิงพาณิชย์ ตัววัดสำคัญของการลงทุน ติดลบ 4 ไตรมาสติด ส่วนหนึ่งเป็นเพราะนโยบายการเงินที่ผ่านมา เพิ่มต้นทุนการเงินเอกชน เป็นลบต่อการลงทุนในวงกว้างหรือไม่

ข้อ 2.....3.....4.....5..... ขอไม่เอ่ยถึง

มาต่อกันที่ข้อที่ 6.นโยบายการคลัง (รัฐบาล) และนโยบายการเงิน (ธปท.) ควรสอดประสานกันหรือไม่ ปัจจุบันรัฐบาลเห็นความจำเป็นในการกดคันเร่งนโยบายการคลัง (ซึ่ง Digital Wallet เป็นหนึ่งในนั้น) แต่นโยบายการเงินยังคงอยู่ในช่วงการกดเบรกหรือไม่ และการขับรถคันเดียวกัน ขาหนึ่งกดคันเร่ง ขาหนึ่งกดเบรก พร้อมกัน รถจะพังหรือไม่ ประเทศจะมีปัญหาหรือไม่...

พูดกันชัด ๆ ตรงนี้ หลังจากที่ร่างเอกสารข้อเสนอแนะเรื่อง Digital Wallet 177 หน้า ของ ป.ป.ช. ที่มีท่านสุภา ปิยะจิตติ เป็นประธานคณะทำงานหลุดรอดออกมา เมื่อวันที่ 16 ม.ค. อ่านกันกี่ตลบก็ต้องบอกว่าโครงการแจก 1 หมื่นบาทผ่าน Digital Wallet มีความเสี่ยงทางกฎหมายสูงยิ่ง และเอาเข้าจริงภาวะเศรษฐกิจก็ไม่ถึงขั้นวิกฤต...

นี่แหละเป็นเหตุให้ ท่านจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง, หมอมิ้งค์ พรหมมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกฯ และดร.เผ่าภูมิ ดาหน้ากันออกมาชน ป.ป.ช. และเลยไปถึง ‘แบงก์ชาติ’

ถึงขั้นนี้ก็ต้องฟันธงว่าอย่างไรเสียพรรคเพื่อไทยไม่ถอยแน่ แม้จะไม่ทัน เดือนพ.ค. ส่วนจะปรับรูปแบบเป็นอย่างไรนั้นต้องตามไปดูกันอีกครั้ง...

ขอกลับไปที่คำพยากรณ์เรื่องรัฐประหารของโหรฯ โสรัจจะอีกครั้ง ก็ต้องขอบอกว่าอีกโหรฯ หนึ่งที่คาดว่าอาจมีรัฐประหารในปี 2567 ก็คือ อาจารย์ภิญโญ พงศ์เจริญ ที่ระบุว่าอาจจะเกิดแถว ๆ เดือน ก.ย.

ส่วนโหรฯ อีกคู่หนึ่ง ทำนายเหมือนกันว่าจะมีการเปลี่ยนนายกฯ ในปีนี้ และนายกฯ คนใหม่ที่ว่านี้ ‘ไม่ใช่ผู้หญิง’ ซึ่งแปลว่าไม่ใช่ ‘อุ๊งอิ๊ง’ แพทองธาร ชินวัตร นั่นเอง

โหรฯ สองท่านที่ว่าคือ ซินแสภาณุวัฒน์ พันธุ์วิชาติกุล และวารินทร์ บัววิรัตน์เลิศ โหรฯ คมช. โดยโหรฯ วารินทร์เรียกนายกฯ ผู้ชายคนที่กำลังจะมาว่า ‘ผู้ที่มีหน้าที่ที่แท้จริง’ ซึ่งหากใครที่รู้ปูมหลังของโหรฯ วารินทร์ และอ่านที่ท่านให้สัมภาษณ์เต็ม ๆ ทำให้ใบหน้าผู้ชายที่ละม้ายคล้าย ‘ลุงตู่’ ประยุทธ์, อนุทิน และพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ลอยมาเข้าตา…แบบเต็ม ๆ ตา

ส่วนจะเป็นใครโหรฯ วารินทร์ไม่บอก บอกเพียงว่าเป็นผู้ที่มั่นคงในชาติ ศาสน์ กษัตริย์

‘สาว’ ตัดพ้อ!! คิดถึงเมืองไทย หลังย้ายมาอยู่ต่างประเทศ ไม่มีความสุข เจอปัญหาสารพัด แถมไม่มีที่ฮีลใจเหมือนบ้านเรา

(22 ม.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง โพสต์ข้อความลงในกลุ่ม ‘โยกย้าย มาส่ายสะโพกโยกย้าย’ ที่มีสมาชิกมากกว่า 1.1 ล้าน บอกเล่าประสบการณ์ในการย้ายไปอยู่ต่างประเทศ โดยระบุว่า

เราออกมาอยู่ต่างประเทศแล้ว มากันทั้งครอบครัว แต่เราอยากกลับบ้านทุกวันเลย เรารู้สึกไม่มีความสุข ร้องไห้ทุกวันทั้งที่ปกติไม่ใช่คนร้องไห้ เรารู้สึกว่าประเทศที่อยู่ไม่มีอะไรน่าสนุกเลย ไม่มีที่ที่ฮีลใจเราได้เลยอะ เป็นทุกข์มากๆ เลยค่ะ

แฟนไปทำงานร้านอาหาร กลับมาเหนื่อย นอนพัก วันรุ่งขึ้นตื่นไปทำงาน วันๆ นึงแทบไม่ได้คุยกันเลย

ลูกไปโรงเรียนกลับมาบ้านเงียบเหงา ไม่รู้จะไปไหน ไม่มีที่สนุกๆ ให้ไปเลย ออกไปก็เสียเงินแล้ว ต้องอยู่แบบประหยัด

เราไม่สบาย ลูกก็ไม่สบาย แฟนไปทำงานก็ไม่สบาย กว่าจะหาย หมอก็ไม่ได้ไปหา ซื้อยากินเอง เศร้าใจอะ ถ้าไม่สบายบ่อยๆ จะทำยังไง

รถก็ไม่มี สอบใบขับขี่ก็ไม่ผ่าน

อยู่เมืองไทย บ้านเราก็มี รถก็มี ทำงานเหนื่อยก็พักใจ กินข้าวอร่อยๆ พาลูกไปเที่ยวเสาร์อาทิตย์ สั่งของช็อปปี้แป๊ปเดียวมาส่ง เราคิดถึงบ้าน

เราก็ใช้เวลาทบทวนอยู่ตลอด หรือยังปรับตัวไม่ได้ เพราะมาได้หลายเดือน หรือเรา home sick คิดถึงบ้าน

มีใครเคยเป็นแบบเราบ้าง แล้วจัดการกับความรู้สึกตัวเองยังไงบ้างคะ เราจะไม่ไหวแล้ว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่โพสต์ดังกล่าวเผยแพร่ไปไม่นาน มีคนเข้ามาแสดงความคิดเห็นให้กำลังใจเจ้าของโพสต์เป็นจำนวนมาก

‘ธนาธร’ ตอกย้ำ!! สังคมไทยในวันที่รัฐสวัสดิการไม่ทั่วถึง ต้องแก้ที่อำนาจ ให้พลังประชาชน ลดความเหลื่อมล้ำ

จากงานสัมมนา Learning From the Past, Addressing the Present, and Embracing the Future
ซึ่งจัดขึ้นโดย ‘สามัคคีสมาคม ในพระบรมราชูปถัมภ์’ เมื่อวันที่ 20 ม.ค.67 ณ Brunei Gallery, SOAS University of London ได้เปิดช่วงเวลาหนึ่งให้แก่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ได้พูดคุยถึงประเด็นความสำคัญของรัฐสวัสดิการ มีเนื้อหาโดยประมาณ ดังนี้…

เหตุผล 10 ปีที่ผ่านมา ไทยถดถอยลงเมื่อเทียบกับโลกและเพื่อนบ้าน และ ‘Welfare States and Why it Matters’ (ความสำคัญของรัฐสวัสดิการ) คือหัวข้อที่ผมจะมาพูดวันนี้ ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่า คุณผู้ฟังจะอยากฟังเรื่องนี้มากกว่า หรือ อยากฟังเรื่องการจัดตั้งรัฐบาลล้มเหลวมากกว่า

ก่อนอื่น ขอเริ่มจากจำนวนประชากรคนไทยที่ 66 ล้านคน ทราบหรือไม่ว่ามีกลุ่มคนที่รายได้น้อยที่สุดโดยเฉพาะอยู่ที่ 7,000 บาทต่อปี ตก 155 บาทต่อวัน ส่วนค่าเฉลี่ยต่อครัวเรือน ก็จะมีรายได้ประมาณ 20,000 บาท ซึ่งเงินเท่านี้ในยุคนี้ สถานการณ์ค่าครองชีพ ราคาพลังงาน และอื่น ๆ จะสามารถทำอะไรได้ 

แน่นอนว่า โดยส่วนตัวแล้ว ผมเกิดในครอบครัวที่มีฐานะ ทําให้ตอนเด็ก ๆ ไม่รู้จักหน้าตาของความเหลื่อมล้ำในประเทศไทยสักเท่าไร จนกระทั่งได้เข้ามารู้จักกับความเหลื่อมล้ำผ่านมุมของคนไทยในหลากหลายกลุ่ม หลากหลายครัวเรือนของประเทศ ซึ่งนับวันยิ่งจะเป็นปัญหาที่ทวีคูณ และพร้อมซ้ำต่อไปสู่คนรุ่นหลัง ๆ มากยิ่งขึ้น

ผมขอยกตัวอย่างเป็นรายกรณีแบบนี้ ตั้งแต่ เรื่องของการเดินทาง ถ้าในกรุงเทพฯ คุณไม่ต้องมีรถยนต์ ก็ยังสามารถเดินทางได้ด้วยรถไฟฟ้า หรือคมนาคมหลากหลายส่วนที่มีการพัฒนาขึ้น จะเดินทางไปทำงานหรือหาหมอก็ง่าย แต่กับคนต่างจังหวัดนั้นต่างกันมาก เพราะไม่มีสาธารณูปโภคด้านคมนาคม ถ้าเกิดต้องไปหาหมอในโรงพยาบาลดี ๆ ต้องเดินทางกันมากกว่า 10 กิโลเมตรขึ้นไป…นี่คือความเหลื่อมล้ำ

ในส่วนของน้ำประปา ผมขอยกกรณีชาวบ้านในต่างจังหวัด แต่ที่พบเห็นมากับตัวคือชาวบ้านประมาณพันกว่าคนที่อยู่ในมหาสารคาม ไม่สามารถนำน้ำประปามาดื่ม หรือแม้แต่ใช้ซักผ้าได้ เพราะมันเป็นน้ำประปาแดง และมีจำนวนคนอีกเป็นล้าน ที่ยังไม่สามารถเข้าถึงน้ำประปาที่มีคุณภาพ และเข้าไม่ถึงตลอด 24 ชั่วโมง 365 วันต่อปี ซึ่งนี่คือภาพที่เกิดขึ้นจริงในต่างจังหวัด แน่นอนว่า สิ่งเหล่านี้ไม่เกิดขึ้นกับคนกรุงเทพฯ…นี่คือความเหลื่อมล้ำ

โรงพยาบาลในต่างจังหวัด หลายคนคงนึกไม่ถึงความเหลื่อมล้ำว่ามีหน้าตาอย่างไร ผมยกตัวอย่างแบบนี้ ในกรุงเทพฯ จะพบแพทย์ 1 คนต่อประชากร 500 คน อันดับสองภูเก็ตจะพบแพทย์ 1 คนต่อประชากร 900 คนอันดับ 3 สมุทรสาคร แพทย์ 1 คนต่อประชากร 900 คน ส่วนจังหวัดที่แย่ที่สุดในประเทศไทย คือ บึงกาฬ มีหมอหนึ่งคนต่อประชากร 6,000 คน ขณะที่ความแออัดของระบบสาธารณสุขไทย ทําให้ประชาชนต้องติดต่อคิวยาวทั้งทั้งที่การเดินทาง ก็ลําบากอยู่แล้ว เพราะในต่างจังหวัดโรงพยาบาลดี ๆ ไม่ได้อยู่ใกล้บ้าน…นี่คือความเหลื่อมล้ำ จากโอกาสชีวิตที่เลือกไม่ได้

นี่แค่ส่วนหนึ่งของความเหลื่อมล้ำในประเทศไทย ที่ลากกระทบไปถึงเรื่องอื่น ๆ 

คุณคิดว่าทําไมคนรุ่นใหม่ถึงไม่อยากมีลูก ทําไมอัตราคนเกิดใหม่น้อยลง พวกคุณ (แฟน) นอนด้วยกันน้อยลงงั้นหรือ ผมว่าไม่ใช่นะ แต่คำตอบ คือ ถ้าคุณมีค่าครองชีพ ที่เฉลี่ยแล้วตกประมาณเดือนละ 20,000 บาท คุณก็คงเริ่มคิดว่าจะเลี้ยงลูกให้มีคุณภาพได้จริงหรือ นี่ยังไม่นับว่าจะต้องหวาดผวาทุกเดือนถึงหารายได้ที่ต้องหามาประคองชีวิตประจำวันอีก

แน่นอนว่า ทุกคนอยากมีเงินเก็บที่พอเพียงแบบที่ไม่ต้องรวยมากก็ได้ ขอแค่ตอนแก่พออยู่ได้อย่างสบาย มีบ้านของตัวเองสักหลัง มีรถสักคัน ส่งลูกเรียนโรงเรียนดี ๆ ได้ ให้ลูกมีชีวิตดีกว่าเราได้ และถ้าเป็นไปได้ถ้าเป็นไปได้และไปเที่ยวต่างประเทศปีละสักครั้งนึง

เชื่อว่านี่คือความฝันที่คนส่วนใหญ่ต้องการ แต่เมื่อรายได้เฉลี่ยต่อครัวเรือนมันอยู่เท่านี้ แถมความเหลื่อมล้ำจากสวัสดิการทางสังคมมันยังเป็นแบบนี้ และนี่ยังไม่ได้บวกปัญหาผู้สูงวัยที่เตรียมพุ่ง ซึ่งคนวัยหลักที่กำลังเผชิญสังคมเช่นนี้อยู่ต้องเข้าไปแบกด้วยอีก มันจึงไม่แปลก ที่คนยุคนี้จะเลือกตัดสินใจไม่มีลูกและหมดซึ่งความคิดสร้างสรรค์

ผมอยากจะบอกว่ารัฐสวัสดิการไม่ได้หมายถึง End Game เหมือนแบบสแกนดิเนเวีย แต่มันคือ การตั้งเป้าหมาย และการเดินทางที่จะเดินไปถึงจุดนั้นได้ เพื่อประคองความพ่ายแพ้ของชีวิตคน ให้ยังลุกขึ้นมายืนได้อย่างมีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์…รัฐต้องสร้าง ‘โซเชียลเซฟตี้’ ให้กับประชาชน…การค่อย ๆ สร้างสวัสดิการสังคมที่เข้มแข็งมากขึ้น มันจะลดความเหลื่อมล้ำได้ 

ทุกวันนี้ ประเทศ สังคม ภาครัฐ บริษัทเอกชน คาดหวังที่จะเห็นประชาชนคนไทยปลดปล่อยศักยภาพ มีความสามารถ มีความคิดสร้างสรรค์ แต่คุณคิดว่า ความคิดสร้างสรรค์ จะเกิดขึ้นเมื่อไร เมื่อคุณท้องหิว? หรือ เมื่อคุณท้องอิ่ม?

คุณต้องมีความมั่นคงในชีวิตก่อน แต่คนส่วนใหญ่ของประเทศไม่มีตรงนี้ ไม่มีงานมั่นคงทำ ไม่มีสวัสดิการที่ช่วยให้เกิดความสะดวกต่อการใช้ชีวิตแบบไม่พะวงหน้าพะวงหลัง ยิ่งคนต่างจังหวัดด้วยแล้ว เขาทำได้แค่รับจ้างทำไร่ทำนา ไม่ก็รับจ้างก่อสร้าง เป็นแรงงานรายวัน ที่ไม่มีความมั่นคง

คำถาม คือ งบประมาณประเทศปีละ 3 ล้านล้านบาท 10% คือ 300,000 ล้าน 1% คือ 30,000 ล้าน แต่แนวทางที่มาสามารถนำมาพัฒนาด้านรัฐสวัสดิการจริง ๆ เอาแค่ 0.5% ก็เพียงพอแล้ว ถ้าตั้งใจทำ เพียงแต่ทั้งหมดก็เพราะ ‘อํานาจ’ บางอย่าง ที่ทำให้เกิดขึ้นไม่ได้

อำนาจในการจัดการทรัพยากร? อำนาจไหนที่สามารถจัดการเรื่องน้ำ? อำนาจ คืออะไร? 

90 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยมีรัฐธรรมนูญ 20 ฉบับ โดยเฉลี่ยเปลี่ยนรัฐธรรมนูญ 4.5 ปีต่อหนึ่งฉบับ เรามีนายกรัฐมนตรีมาแล้ว 29 คน มีรัฐประหาร 13 ครั้ง 

หากเราจะอยู่ร่วมกันในสังคมไทยสันติ ต้องมีรัฐธรรมนูญที่มาจากประชาชน ต้องเป็นรัฐธรรมนูญที่สะท้อนให้เห็นถึงอำนาจการจัดการสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้อง แต่เมื่อวันนี้อำนาจไม่ใช่ของประชาชน ประชาชนจะเอาอะไรไปต่อรอง ‘ดอกผลแห่งการพัฒนา’ เพื่อมาเป็นส่วนแบ่งให้แก่ตนเองบ้าง

การรวมตัวเรียกร้อง สิทธิในการรวมตัวเรียกร้อง ซึ่งถูกลิดรอนอย่างที่เป็นอยู่ จึงไม่แปลกใจที่ดอกผลของการพัฒนาไม่ถึง คนจน เรารวมตัวกันเรียกร้องไม่ได้ ผมเชื่อว่าประเทศไทย มีศักยภาพเพียงพอในการจัดสรรสวัสดิการ ถ้าอำนาจนั้น ๆ ถูกใช้อย่างถูกต้อง

'กรมพัฒนาธุรกิจฯ' เผย!! ปี 66 ต่างชาติลงทุนไทยเฉียด 1.3 แสนล้าน พบ!! 'ญี่ปุ่น-สิงคโปร์' มาแรง ส่วนเม็ดเงินสะพัดอยู่ในธุรกิจรับจ้างผลิต

(23 ม.ค.67) นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์เปิดเผยว่า กรมพัฒนาธุรกิจการค้าจะนำข้อมูลของปีที่ผ่านมาจากคลังข้อมูลธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย DBD DataWarehouse+ มาทำการวิเคราะห์และประมวลผลภาพรวมการลงทุนในประเทศ สะท้อนถึงความเชื่อมั่นและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจประเทศในสายตานักลงทุนทั้งคนไทยและต่างชาติ รวมทั้ง นักลงทุนสามารถนำไปใช้เป็นข้อมูลเบื้องต้นสำหรับวิเคราะห์คู่แข่งทางการตลาดก่อนตัดสินใจลงทุน ทำให้เกิดความมั่นใจและพร้อมลงทุนในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง  

สำหรับภาพรวมการลงทุนในประเทศไทยตลอดปี 2566 ประมวลผลออกมาเป็น ‘ที่สุดแห่งปี 2566 ด้านการลงทุนในประเทศไทย’ พบว่า ในส่วนของการลงทุนของคนไทยในประเทศไทย : การจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่ในประเทศ พบว่า ปี 2566 เป็นปีที่มียอดการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่สูงสุดในรอบ 10 (ปี 2557-2566) โดยปี 2566 มีนักลงทุนจดทะเบียนฯ จำนวนรวมทั้งสิ้น 85,300 ราย เพิ่มขึ้นจากปี 2565 จำนวน 8,812 ราย หรือ 12% มูลค่าทุน 562,469.64 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2565 จำนวน 132,640.83 ล้านบาท หรือ 31% (ปี 2565 จัดตั้ง 76,488 ราย ทุน 429,828.81 ล้านบาท)

เมื่อทำการวิเคราะห์การจัดตั้งนิติบุคคลปี 2566 พบว่า จำนวนการจดทะเบียนจัดตั้งเพิ่มขึ้นกว่า 12% ได้รับปัจจัยสนับสนุนหลักจากธุรกิจในภาคต่างๆ ทั้งธุรกิจภาคบริการ ภาคค้าส่ง/ค้าปลีก และภาคการผลิต โดยในส่วนของภาคบริการ คิดเป็น 58% ของจำนวนการจัดตั้งทั้งหมด โดยมีธุรกิจหลักที่ขับเคลื่อนให้เกิดการขยายตัวของการจดทะเบียนเพิ่มขึ้น คือ ธุรกิจกิจกรรมเกี่ยวกับแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ 366 ราย เติบโต 1.46 เท่า ธุรกิจกิจกรรมของสำนักงานจัดหางานหรือตัวแทนจัดหางาน 43 ราย เติบโต 1.39 เท่า และ ธุรกิจกิจกรรมบริการที่เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยได้รับค่าตอบแทนหรือตามสัญญาจ้าง 707 ราย เติบโต 1.36 เท่า

ภาคค้าส่ง/ค้าปลีก คิดเป็น 32% ของจำนวนการจัดตั้งธุรกิจทั้งหมด มีธุรกิจหลักที่ขับเคลื่อนให้เกิดการขยายตัวของการจดทะเบียนเพิ่มขึ้น ได้แก่ ธุรกิจการขายปลีกเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ชนิดใช้ในครัวเรือนบนแผงลอยและตลาด 16 ราย เติบโต 2.20 เท่า ธุรกิจการขายส่งข้าวเปลือกและธัญพืช 203 ราย เติบโต 1.51 เท่า และธุรกิจการขายส่งอิฐหินปูนทรายและผลิตภัณฑ์คอนกรีต 66 ราย เติบโต 1.06 เท่า และเมื่อพิจารณาในส่วนของ

ภาคการผลิต คิดเป็น 10% ของจำนวนการจัดตั้งธุรกิจทั้งหมด โดยมีธุรกิจหลักที่ขับเคลื่อนให้เกิดการขยายตัวของการจดทะเบียนเพิ่มขึ้น ได้แก่ ธุรกิจการผลิตเครื่องมือกล 18 ราย เติบโต 2.60 เท่า ธุรกิจการผลิตแผ่นวงจรอิเล็กทรอนิกส์ 17 ราย เติบโต 2.40 เท่า และ ธุรกิจการผลิตส่วนประกอบอิเล็กทรอนิกส์ 88 ราย เติบโต 1.59 เท่า

สำหรับการจัดตั้งธุรกิจทั่วประเทศมีจำนวนทั้งสิ้น 85,300 ราย เป็นการจัดตั้งธุรกิจในพื้นที่กรุงเทพมหานคร 25,120 ราย (29%) และ ภูมิภาค 60,180 ราย (71%) หากพิจารณาตามเขตภูมิภาค แบ่งออกเป็น 6 ภาค คือ ภาคกลาง มีสัดส่วนการจัดตั้งธุรกิจสูงสุด 17,581 ราย (20.61%) ภาคใต้ 11,675 ราย (13.69%) ภาคตะวันออก 10,948 ราย (12.83%) ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 8,942 ราย (10.48%) ภาคเหนือ 8,604 ราย (10.09%) และภาคตะวันตก 2,430 ราย (2.85%) โดยทุกภาคมีอัตราการเติบโตของจำนวนการจัดตั้งที่เพิ่มสูงขึ้นจากปี 2565 ที่ผ่านมา ยกเว้น ภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่มีอัตราการเติบโตลดลงในปี 2566

ขณะที่พื้นที่การจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจในเขตภูมิภาค ปี 2566 จังหวัดที่มีการจัดตั้งนิติบุคคลสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ จ.ชลบุรี 7,370 ราย จ.ภูเก็ต 4,983 ราย และจ.นนทบุรี 4,583 ราย โดยจังหวัดที่มีอัตราการเติบโตของจำนวนการจัดตั้งสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ จ.ภูเก็ต เติบโต 40.82% จ.สุราษฎร์ธานี เติบโต 32.16% และ จ.พังงา เติบโต 21.99% ซึ่ง 3 จังหวัดดังกล่าวอยู่ในพื้นที่เศรษฐกิจที่สำคัญ ทั้งด้านการท่องเที่ยว การลงทุน

>> การเลิกประกอบธุรกิจ ปี 2566

ปี 2566 มีจำนวนธุรกิจที่เลิกประกอบกิจการทั้งสิ้น 23,380 ราย เพิ่มขึ้นจากปี 2565 จำนวน 1,500 ราย (7%) มูลค่าทุนเลิกประกอบกิจการ 160,056.48 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2565 จำนวน 33,008.08 ล้านบาท (26%) (ปี 2565 เลิกประกอบธุรกิจ 21,880 ราย ทุน 127,048.39 ล้านบาท)

ประเภทธุรกิจที่มีการเลิกประกอบกิจการสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 1. ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป 2,166 ราย (9.26%) 2. ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 1,146 ราย (4.90%X และ 3. ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร เลิกประกอบธุรกิจ 699 ราย (2.99%)

นายอรมน ยังกล่าวถึงที่สุดแห่งปี 2566 ด้านการลงทุนของชาวต่างชาติในประเทศไทย ภายใต้พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542

ปี 2566 อนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทย ภายใต้พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 รวมทั้งสิ้น 667 ราย เงินลงทุนรวม 127,532 ล้านบาท จ้างงานคนไทยรวม 6,845 คน เป็นการลงทุนผ่านช่องทางการขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว 228 ราย และการขอหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว (ผ่านช่องทางการลงทุนตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน หรือได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และการใช้สิทธิตามสนธิสัญญาหรือความตกลงระหว่างประเทศ) 439 ราย

>> 10 ประเทศที่เป็นที่สุดของการลงทุนในประเทศไทย

‘ญี่ปุ่น’เป็นประเทศที่เข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทยเป็นอันดับ 1 ทั้งจำนวนนักลงทุนและจำนวนเงินลงทุน โดยมีนักลงทุนจำนวน 137 ราย (20.5 %) เงินลงทุนรวม 32,148 ล้านบาท (25.2%) และลำดับอื่นๆ ที่ไล่ลงมามีดังนี้

อันดับที่ 2 สิงคโปร์ มีนักลงทุน 102 ราย (15.3%) และทุน 25,405 ล้านบาท (19.9%)
อันดับที่ 3 สหรัฐอเมริกา มีนักลงทุน 101 ราย (15.1%) และทุน 4,291 ล้านบาท (3.4%)
อันดับที่ 4 จีน มีนักลงทุน 59 ราย (8.9%) และทุน 16,059 ล้านบาท (12.6%)
อันดับที่ 5 ฮ่องกง มีนักลงทุน 34 ราย (5.1%) และทุน 17,325 ล้านบาท (13.6%)
อันดับที่ 6 เยอรมนี มีนักลงทุน 26 ราย (3.9%) และทุน 6,087 ล้านบาท (4.8%)
อันดับที่ 7 สวิตเซอร์แลนด์ มีนักลงทุน 23 ราย (3.5%) และทุน 2,960 ล้านบาท (2.3%)
อันดับที่ 8 เนเธอร์แลนด์ มีนักลงทุน 20 ราย (3.0%) และทุน 911 ล้านบาท (0.7%)
อันดับที่ 9 สหราชอาณาจักร มีนักลงทุน 19 ราย (2.9%) และทุน 433 ล้านบาท (0.3%)
อันดับที่ 10 ไต้หวัน มีนักลงทุน 18 ราย (2.7%) และทุน 1,125 ล้านบาท (0.9%)

>> 10 ประเภทธุรกิจที่นักลงทุนต่างชาติสนใจเข้ามาประกอบธุรกิจในประเทศไทย

อันดับที่ 1 บริการรับจ้างผลิต จำนวน 136 ราย (20.4%) และทุน 42,644 ล้านบาท (33.4%)
อันดับที่ 2 บริการด้านคอมพิวเตอร์ จำนวน 68 ราย (10.2%) และทุน 1,434 ล้านบาท (1.1%)
อันดับที่ 3 บริการให้คำปรึกษา จำนวน 62 ราย (9.3%) และทุน 7,803 ล้านบาท (6.1%)
อันดับที่ 4 ค้าส่งสินค้า จำนวน 58 ราย (8.7%) และทุน 7,873 ล้านบาท (6.2%)
อันดับที่ 5 บริการทางวิศวกรรม จำนวน 46 ราย (6.9%) และทุน 2,756 ล้านบาท (2.2%)
อันดับที่ 6 บริการให้เช่า จำนวน 45 ราย (6.8%) และทุน 16,096 ล้านบาท (12.6%)
อันดับที่ 7 ค้าปลีกสินค้า จำนวน 41 ราย (6.2%) และทุน 1,635 ล้านบาท (1.3%)
อันดับที่ 8 บริการทางการเงิน จำนวน 23 ราย (3.5%) และทุน 6,805 ล้านบาท (5.3%)
อันดับที่ 9 คู่สัญญาเอกชน จำนวน 22 ราย (3.3%) และทุน 689 ล้านบาท (0.5%)
อันดับที่ 10 นายหน้า จำนวน 20 ราย (3.0%) และทุน 1,697 ล้านบาท (1.3%)

อัปเดต!! ข้อมูลใหม่ 'อุ๊งอิ๊ง' ไม่รอ 'เศรษฐา' ไม่ไหว!! ขึ้นนายกฯ ทันที

อย่าทำเป็นเล่นไป...ในหมู่วงในการเมืองและสภากาแฟเขาวิพากษ์ถกเถียงกันไม่น้อยนะ กับคำทำนายของโหร คมช.นาม 'วารินทร์  บัววิรัตน์เลิศ' ที่ออกมาทำนายทายทักดวงบ้านดวงเมืองในวันกองทัพไทย 18 ม.ค.ที่ผ่านมาว่า...ภายในปีนี้จะมีการเปลี่ยนตัวนายกฯ

โหรวารินทร์บอกว่า 'ผู้มีหน้าที่ที่แท้จริง' จะเข้ามาทำหน้าที่นำพาบ้านเมืองสู่ยุคศิวิไลซ์...นักข่าวถามจี้ว่านายกฯ คนใหม่เป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย...เสียงดังฟังชัดตอบว่า 'ผู้ชาย'

แค่นั้นแหละ...เดากันให้ว้าวุ่นว่า...ผู้ชายคนนั้น คือ มท.หนู อนุทิน หรือ ลุงป้อม พปชร.หรือ ลุงตู่...เพราะทั้งสามท่านล้วนยังเป็นแคนดิเดตนายกฯ...

'เล็ก เลียบด่วน' ยังไม่อยากเดาตามโหรวารินทร์ แม้จะกล่าวกันว่าลึก ๆ แล้วโหรวารินทร์ท่านนี้จะพยากรณ์แบบมี Hint ข่าวหรือทราบเบาะแสจากผู้หลักผู้ใหญ่ก็ตาม...เอาเป็นว่าบทนิยามการเมืองไทย แคนดิเดตทั้งสามท่านมีโอกาสหมด แม้วันนี้ 'ลุงตู่' จะไปเป็นองคมนตรีแล้วก็ตาม...

แต่ข่าวและความเชื่อของ 'เล็ก เลียบด่วน' นาทีนี้เอียงกระเท่เร่มาทางข่าวนี้มากกว่า...นั่นคือข่าวที่ว่า  พรรคเพื่อไทยโดยเจ้าของพรรคที่แท้จริงเริ่มคิดใหม่ ตัดสินใจใหม่แล้วว่า ถ้าจำเป็นต้องเปลี่ยนตัวนายกฯ จากเศรษฐา ทวีสิน เป็นคนอื่น...

คนอื่น...คนนั้น...จะไม่ใช่ผู้ชาย แต่จะเป็นผู้หญิงที่ชื่อ 'อุ๊งอิ๊ง' แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรค/แคนดิเดตนายกฯ ของพรรคเพื่อไทย คนที่ 'คุณแม่' แตะเบรกไม่ให้ขึ้นนายกฯ เมื่อเดือน ส.ค.2566 นั่นเอง...

แต่นาทีนี้สถานการณ์เปลี่ยนแล้ว...ระดับสูงของพรรคเพื่อไทยปล่อยข่าวที่น่าเชื่อผ่านหูของ 'เล็ก เลียบด่วน' ว่า ชั่วโมงนี้คุณพ่อ-คุณแม่ของอุ๊งอิ๊งพร้อมแล้วที่จะปล่อยตัวลูกสาวทะยานขึ้นสู่ดวงดาว...โดยไม่จำเป็นต้องไปฝึกปรือเป็นรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรี แต่ถ้าจะเป็นก็ได้ถ้าเป็นมติพรรค...

อย่างไรก็ตาม...ย่างก้าวของ 'อุ๊งอิ๊ง' ไม่รีบเร่ง...นายใหญ่ชินวัตรยังต้องการให้ประคับประคองคนชื่อ 'เศรษฐา' ไปให้นานที่สุด ถ้าได้ครึ่งเทอมก็ยิ่งดี หลังจากนั้นจึงจะเป็นคิวของแพทองธาร...ขึ้นมาโชว์ฝีมือแล้วค่อยยุบสภา สู้ศึกเลือกตั้งกันใหม่...แล้วอุ๊งอิ๊งก็น่าจะได้เป็นนายกฯ รอบสอง

ทั้งนี้ทั้งนั้นการวิเคราะห์สถานการณ์ของแกนนำพรรคเพื่อไทย ผ่าน Hint จากนายใหญ่ก็คือ เกมการเมืองในสมัยหน้าฝั่งอนุรักษ์นิยมยังต้องใช้บริการพรรคเพื่อไทย เพื่อตรึงแนวรบพรรคก้าวไกลให้หยุดอยู่ที่ฝ่ายค้านเหมือนเดิม...นี่คือไพ่ใบสำคัญที่เป็นแต้มต่อของพรรคเพื่อไทย...รัฐบาลสมัยหน้าก็น่าจะเป็นสูตรเดิมแบบปัจจุบัน...

ฟังมาเช่นนี้ก็มาบอกเล่าสู่กันฟัง...แม้ 'เล็ก เลียบด่วน' อาจจะรู้สึกอึดอัดกับทิศทางความเป็นไปประมาณว่า...สิ้นเศรษฐาก็ต้องเป็นอุ๊งอิ๊ง...เท่านั้น  ก็ตาม แต่ถ้าเป็นอีกสูตรคือให้เพื่อไทยไปจับมือกับก้าวไกลยึดประเทศนี้ คิดดูแล้วก็จะหนาวกว่าอยู่กับสูตรเพื่อไทยที่ยังมีพรรคอื่นๆ ค่อยถ่วงดุลได้บ้าง...เฮ่อออ..!!

ยกเว้นความเป็นนักโทษเทวดา...อันนั้น...เห็นจะต้องรอการพิสูจน์ระหว่างกฎหมายกับกฎแห่งกรรม...อีกที!!

‘นทท.ต่างชาติ’ เข้าไทย 15-21 ม.ค. ทะลุ 7 แสนคน อานิสงส์ ‘ฟรีวีซ่า’ ไม่แผ่ว ‘นทท.จีน’ ทะลัก 1.2 แสนคน

(23 ม.ค. 67) นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า จากกองเศรษฐกิจการท่องเที่ยวและกีฬา พบว่า สัปดาห์ที่ผ่านมานักท่องเที่ยวกลุ่มตลาดระยะใกล้มีการฟื้นตัว โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวจีน เป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามามากที่สุด โดยมีปัจจัยจากความต้องการท่องเที่ยวต่างประเทศ และจำนวนเที่ยวบินที่เพิ่มขึ้นของจีน การยกเว้นการตรวจลงตราหนังสือเดินทาง หรือวีซ่าฟรี ให้แก่นักท่องเที่ยวจีน 

ส่งผลให้สัปดาห์ที่ผ่านมา ในภาพรวมไทยมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งสิ้น 715,579 คน เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนหน้า 20,753 คน หรือ 2.99% คิดเป็นจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยเฉลี่ยวันละ 102,226 คน 

โดย 5 อันดับแรกของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ได้แก่ จีน 120,381 คน เพิ่มขึ้น 15.12% มาเลเซีย 73,085 คน บวก 14.37% เกาหลีใต้ 55,218 คน บวก 2.21% ส่วนรัสเซีย 48,114 คน ลดลง 10.12% และอินเดีย 40,300 คน ลดลง 5.11%

น.ส.สุดาวรรณกล่าวว่า สัปดาห์ถัดไป คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติปรับตัวเพิ่มขึ้น จากความต้องการท่องเที่ยวต่างประเทศของชาวจีน และจำนวนเที่ยวบินขาออกของจีนที่เพิ่มขึ้น วีซ่าฟรีให้แก่นักท่องเที่ยวจีน และคาซัคสถาน การขยายเวลาพำนักแก่นักท่องเที่ยวรัสเซีย และการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวตลาดระยะไกล ทั้งภูมิภาคยุโรป และอเมริกา

น.ส.สุดาวรรณกล่าวว่า จากข้อมูล ณ วันที่ 22 มกราคม 2567 พบว่ามีจำนวนนักท่องเที่ยวสะสมตั้งแต่วันที่ 1-21 มกราคม 2567 ที่ผ่านมาทั้งสิ้น 2,015,942 คน สร้างรายได้จากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติแล้ว ประมาณ 97,911 ล้านบาท โดยจำนวนนักท่องเที่ยวสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ จีน 306,805 คน มาเลเซีย 218,453 คน เกาหลีใต้ 153,135 คน รัสเซีย 150,286 คน และอินเดีย 105,740 คน

'นายกฯ' เผยเหตุเร่งดันโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อพาไทยโตก้าวกระโดด กร้าว!! ถ้าไม่เริ่มวันนี้ อีก 10-20 ปีข้างหน้า ไทยจะเสียโอกาส

(24 ม.ค.67) ในงานสัมมนา 'Thailand 2024 The Great Challenge เพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย ขยายโอกาส' นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นที่ประเทศ ต้องลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ที่ไทยไม่มีมากว่า 10 ปีแล้ว โดยนำเสนอโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อเร่งผลักดันการเปลี่ยนแปลงแบบก้าวกระโดด ดังนี้...

>> Landbridge - โอกาสของประเทศไทย ที่จะกลายเป็นศูนย์กลางของการเจริญเติบโต
>> Aviation Hub - สนามบินทั้งหมดต้องอัปเกรด เพื่อให้รองรับ Cargo ได้ทั้ง Ambient & Cold-chain กลายเป็นศูนย์กลางการขนส่งแบบ Dubai 
>> สร้างงานและอาชีพใหม่ ๆ การบำรุงรักษา การบริหาร Supply Chain ทั้งหมด
>> ระบบราง - ต้องเชื่อมต่อเหนือจรดใต้ ไปยังจีนด้วย เสริมความแข็งแกร่งให้ Landbridge 

นายกฯ กล่าวอีกว่า "หากเราไม่ลงทุนวันนี้ เราจะเกิด 'รู้งี้ Moment' ในอีก 10 ปี 20 ปีข้างหน้าเหมือนที่เรายังเสียดายโอกาสมาหลายโครงการในอดีต การรอคอยทุกอย่างให้นิ่งก่อนแล้วค่อยตัดสินใจ มีราคาที่จะต้องจ่ายครับ"

"ถ้าไม่เริ่มต้นวันนี้ ไทยก็จะเสียโอกาสไปครับ" นายกฯ ทิ้งท้าย

'นายกฯ' เผยข่าวดี บิ๊กธุรกิจบันเทิงต่างชาติตบเท้าเข้าไทย ปักหมุดเดือนสอง!! จอง 'สมุย-ภูเก็ต-กรุงเทพ' ถ่ายทำหนัง

(24 ม.ค.67) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง เผยว่า วันนี้คณะผู้บริหาร HBO, warner bros และคณะผู้ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง White Lotus ได้เข้ามาพูดคุยถึงแผนในการถ่ายทำภาพยนตร์ในเมืองไทย ที่จะเริ่มในเดือนกุมภาพันธ์นี้ ทั้งที่เกาะสมุย ภูเก็ต และกรุงเทพ ซึ่งจะเป็นการกระตุ้นการท่องเที่ยวในเมืองไทย โดยทางรัฐบาลพร้อมสนับสนุนอย่างเต็มที่ครับ

‘นายกฯ-ปธน.เยอรมนี’ ตรวจแถวทหารกองเกียรติยศผสม ก่อนหารือข้อราชการเต็มคณะ ในฐานะแขกของรัฐบาล

(25 ม.ค. 67) ที่บริเวณสนามหญ้าหน้าตึกไทยคู่ฟ้าทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง พร้อมภริยา ให้การต้อนรับ ต้อนรับ ดร.ฟรังค์-วัลเทอร์ ชไตน์ไมเออร์ ประธานาธิบดีแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี และภริยา ในโอกาสเดินทางเยือนประเทศไทยอย่างเป็น
โดยทันทีที่เดินทันถึง นายกรัฐมนตรี ได้ให้การต้อนรับ พร้อมนำประธานาธิบดีแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ตรวจแถวกองทหารเกียรติยศผสม และเมื่อเสร็จสิ้นพิธีต้อนรับและตรวจแถวกองทหารเกียรติยศ นายกรัฐมนตรีเชิญประธานาธิบดีเยอรมนี และภริยา เข้าสู่ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล เพื่อถ่ายภาพร่วมกัน ณ บันไดโถงกลางตึกไทยคู่ฟ้า ก่อนที่นายกรัฐมนตรีจะเชิญประธานาธิบดีเยอรมนี และภริยา ไปยังห้องสีม่วง เพื่อแนะนำคณะรัฐมนตรี และลงนามในสมุดเยี่ยมของรัฐบาล

หลังจากนั้น นายกรัฐมนตรีและประธานาธิบดีเยอรมนี พร้อมบุคคลสำคัญฝ่ายไทย ได้แก่ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์, นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ, นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และนายพรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี รวมทั้งบุคคลสำคัญฝ่ายเยอรมนี ได้แก่ นาย Hubertus Heil รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานและกิจการสังคม และนาย Michael Kellner รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเศรษฐกิจและการปฏิบัติการด้านสภาพภูมิอากาศ ร่วมหารือข้อราชการ ณ ห้องสีงาช้าง ก่อนที่ทั้งสองฝ่ายจะหารือร่วมกับภาคเอกชน ณ ตึกภักดีบดินทร์ ถึงนโยบายด้านเศรษฐกิจ และแนวทางส่งเสริมการค้าและการลงทุนระหว่างกัน

เมื่อเสร็จสิ้นการหารือกับภาคเอกชน นายกรัฐมนตรีและประธานาธิบดีเยอรมนี ร่วมกันแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนไทยและต่างประเทศ ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ก่อนร่วมกันเยี่ยมชมนิทรรศการ ณ โถงกลาง ตึกสันติไมตรี และช่วงเที่ยง นายกรัฐมนตรีจะเป็นเจ้าภาพงานเลี้ยงอาหารกลางวัน เพื่อเป็นเกียรติแก่ประธานาธิบดีเยอรมนี และภริยา 

‘สาวไทย’ สุดภูมิใจ!! ถือพาสปอร์ตไทยโชว์ทุกครั้งที่เยือนต่างประเทศ ตั้งใจ!! ‘แต่งตัวสวย-พูดเพราะ’ โชว์ความงามแบบไทย ให้ต่างชาติจดจำ

(25 ม.ค. 67) เพจ ‘ประเทศไทยต้องชนะ’ ได้แชร์เรื่องราวน่าประทับใจที่สาวไทยเจ้าของเพจ ‘The Diceland : เรื่องเล่าของไดซ์’ ออกมาระบุว่าภูมิใจที่ได้ถือพาสปอร์ตไทย และจะถือโชว์ทุกครั้งที่ไปต่างประเทศ โดยระบุว่า…

พลัง Soft Power ไทย!! 🇹🇭 สาวสุดภูมิใจ เวลาเที่ยวต่างประเทศ มักถือพาสปอร์ตไทยโชว์ตลอด อยากให้คนรู้ว่า “นี่แหละคนไทย”

สาวไทยเจ้าของเพจดังรายหนึ่งได้โพสต์ข้อความเล่าเรื่องระหว่างที่เธอเดินทางไปต่างประเทศ ผ่านเพจ The Diceland : เรื่องเล่าของไดซ์ ระบุข้อความว่า “ช่วงนี้มีสิ่งที่ชอบทำอย่างหนึ่ง อยู่สนามบินยุโรป ชอบถือพาสปอร์ตไทยโชว์หลาตลอดไม่เก็บเข้ากระเป๋า ยิ่งคนมองยิ่งชอบมากกกกก ภูมิใจอยากให้เขารู้ว่าสวย ๆ แบบนี้อะเป็นผู้หญิงไทย #พลังSoftPowerไทย”

ทั้งนี้ ยังระบุอีกว่า “ไดซ์จะแต่งตัวดี ถูกกาลเทศะ และพูดเพราะเสมอ ส่งต่อเป็นนัย ๆ ว่าประเทศไทยมีแต่คนสวย ๆ อยากให้เขามาเที่ยวกันเยอะ ๆ”

นอกจากนี้เธอยังคอมเมนต์ใต้โพสต์ของเธอเองเอาไว้ด้วยอีกว่า “หากใครใช้ Reels จะบอกว่าตอนนี้เรื่องท่องเที่ยวและ Thai Accent การพูดภาษาอังกฤษสำเนียงแบบไทย และหางเสียงบ้านเราดังมากนะ เช่น ok naa , thank you ka แบบไปนั่งอ่าน เขาบอกน่ารัก เป็นเรื่องความทรงจำ มันทำให้ฝรั่งคิดถึงเมืองไทย”


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top