Tuesday, 21 May 2024
ประเทศไทย

สรุปสาระสำคัญ ประกาศกระทรวงพลังงาน ‘การแจ้งข้อมูลการนำเข้าและส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิง’

น้ำมันเชื้อเพลิงเป็นปัจจัยที่จำเป็นในการดำรงชีวิตของประชาชน และเป็นต้นทุนหลักของภาคธุรกิจในการประกอบกิจการ หากน้ำมันเชื้อเพลิงที่จำหน่ายภายในประเทศมีการค้ากำไรเกินสมควร มีปริมาณการจัดจำหน่ายไม่เพียงพอ หรือไม่ได้คุณภาพแล้ว จะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงทั้งต่อประชาชน และเศรษฐกิจของประเทศ 

รัฐจึงจำเป็นต้องกำหนดนโยบายด้านการพลังงานให้เหมาะสมเพื่อเป็นหลักประกันให้น้ำมันเชื้อเพลิงภายในประเทศมีราคาจำหน่ายที่ยุติธรรม มีปริมาณเพียงพอ และได้คุณภาพ แต่การที่รัฐจะสามารถกำหนดและดำเนินนโยบายด้านการพลังงานได้อย่างเหมาะสมนั้น จำเป็นที่รัฐจะต้องได้มาซึ่งข้อมูลราคาและข้อมูลอื่นที่เกี่ยวกับการนำเข้าและส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิง 

กระทรวงพลังงานจึงจำเป็นต้องกำหนดเงื่อนไขเกี่ยวกับการดำเนินการค้าน้ำมันเชื้อเพลิงขึ้น เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลที่จำเป็นสำหรับการกำหนดนโยบายด้านการพลังงานของประเทศ อันจะเป็นประโยชน์ในการรักษาความมั่นคงของประเทศด้านเศรษฐกิจและความผาสุกของประชาชน

วันนี้ THE STATES TIMES ได้สรุปสาระสำคัญ ประกาศกระทรวงพลังงาน ‘การแจ้งข้อมูลการนำเข้าและส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิง’ เมื่อวันที่ 13 มี.ค. 67 หวังสะท้อนต้นทุนแท้จริง และ ราคาที่ยุติธรรม จะมีข้อกำหนดอะไรบ้าง มาดูกัน…

'ตำรวจเทา-นักโทษเทวดา-พรรคล้มการปกครอง'  อาชญากรแผ่นดินจองกินโต๊ะประเทศนี้ไม่รู้จบ

สังคมประเทศไทยยามนี้ ถ้าเปรียบคนที่ป่วยเป็นโรค ก็น่าจะมีหลายโรคกำลัง 'รุมทึ้งชีวิต' นับเวลาจากนี้ไปถ้าประเทศไทยไม่ตายคาแผ่นดินโลก ร่างขวานทองก็คงเสื่อมโทรมหมดสภาพเป็นแน่แท้

ประชาชนตาดำ ๆ แบบเรา ๆ ยามถูกโจรทำร้ายก็อยากหันไปพึ่งพาตำรวจ แต่ข่าว 'ตำรวจบดขยี้กัน' แฉความเลวของอีกฝ่ายออกสื่อแทบทุกช่องกินเวลาร่วมเดือน ภาพผู้พิทักษ์สันติราษฎร์อันเป็นความหวังทางกฎหมาย ก็ทำให้คนไทยไปกันไม่ค่อยจะเป็น และดูเหมือนว่าตำรวจที่ทะเลาะกันไม่แคร์ว่าคนไทยจะคิดกับพวกเขาอย่างไร รุ่นใหญ่ยังออกหมัดกันไม่เลิก ฝ่ายตำรวจรุ่นเล็ก ๆ ก็มีข่าวย่อย ๆ ในเรื่องน่าทุเรศออกสื่อไม่เว้นวัน

ต้องบันทึกไว้ว่าเป็นยุคที่ตำรวจไทยตกต่ำถึงขีดสุด 

วันที่นักโทษผู้วิเศษออกจากสวรรค์ชั้น 14 ก็มีทั้งนายตำรวจ นักการเมือง เดินตามตูดด้วยความนอบน้อมถ่อมตน เป็นภาพที่ตอกย้ำว่าคนใหญ่คนโตในประเทศไทยที่ควรจะวางตัวให้น่าเชื่อถือศรัทธา มีราคาในสายตาสังคมโลกต่ำขนาดไหน? 

เวลาใกล้ ๆ กัน ประเทศไทยก็มีพรรคการเมืองที่มีพฤติกรรมล้มล้างการปกครอง มี สส. ในพรรคไม่น้อยที่โดนคดี 112 และคดีอื่น ๆ อีกเพียบ แต่ก็ไม่วายยังมีคนมืดบอดสนับสนุนไม่เลิกรา สะท้อนให้เห็นว่าประชาชนคนไทยชอบ 'คนที่ถูกใจ' มากกว่าจะสนับสนุน 'คนที่ทำเรื่องถูกต้อง'

ขณะที่สื่อหลายสำนักรายงานถึงความน่าอัปยศอดสูเหล่านี้ ก็ใช่ว่าข่าว ‘อาชญากรแผ่นดิน’ จะเงียบหายไปจากสังคมไทย จีนเทา โจรต่างชาติ นักธุรกิจสีดำ และคนไทยเจ้าของเว็บพนันออนไลน์ ก็ยังเกิดขึ้นเป็นดอกเห็ด เด็กชั้นประถมปลาย จนถึงมัธยมต้น เวลาพักกลางวันและหลังเลิกเรียนไม่อ่านหนังสือกันแล้ว มีโทรศัพท์คนละเครื่องก็หลบผู้ปกครองไปเล่นพนัน เสพติดจนบางครอบครัวพ่อแม่ต้องเป็นหนี้เป็นสิน แถมบางโรงเรียนก็มีครูเป็นอย่างในทางเลวๆ 

บางทีผมก็คิด หรือจะถึงเวลาที่เราต้องมารวมตัวกันออกหน้าปัดกวาดสังคมให้สะอาดเสียเอง คงจะดีไม่น้อยถ้าสังคมไทยจะมีคนอย่าง 'Paul Kersey' เหมือนในหนัง 'Death Wish' บ้าง

คนเดียวก็ยังดี!!

ชื่นชม!! ‘หนุ่ม’ ประดิษฐ์ ‘ฉากจำลอง’ เล็กๆ ในเมืองไทย เก็บครบทุกรายละเอียด สวยงามเป็นเอกลักษณ์

(20 มี.ค.67) โลกโซเชียลได้แชร์ภาพงานฉากจำลองจากผู้ใช้เฟซบุ๊ก ‘Forrest Kong’ โดยโพสต์ข้อความระบุว่า “ขออนุญาต admin เผยแพร่ผลงานการทำฉากจำลอง งาน 50% ตอนนี้ ขอบคุณทุกคำติชมจากโพสต์ที่ผ่านมาด้วยครับ”

ซึ่งในภาพถ้าสังเกตดี ๆ งานฉากจำลองนี้สมจริงแม้กระทั่งความทรุดโทรมของตึกอาคาร เสาไฟฟ้า สายไฟรกรุงรัง ตู้โทรศัพท์สาธารณะ ป้ายขายบ้าน การมีคนมือบอนพ่นสีใส่กำแพง สะพานลอย ป้ายบอกทาง และถ้าไม่มีใครบอกว่าเป็นฉากจำลอง คนคงนึกว่าเป็นภาพจริงอย่างแน่นอน

ขณะที่ชาวเน็ตต่างคอมเมนต์ไปในทิศทางเดียวกันว่า เป็นงานเนียน งานละเอียดสุด ๆ ถ้าไม่มีการบอกว่าเป็นโมเดลจำลอง ก็คิดว่าเป็นรูปจริงอย่างแน่นอน ความยากของงานนี้คือ การใส่รายละเอียดลงไปได้ครบ 

‘ไทย’ คว้าอันดับ 2 ‘กลุ่มประเทศกำลังพัฒนา’ ที่น่าลงทุนที่สุดในเอเชีย แซงหน้า!! ‘เวียดนาม’ หลัง Milken Institute ของสหรัฐฯ จัดทำขึ้น

(20 มี.ค.67) นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า จากการประกาศผลดัชนีโอกาสด้านการลงทุนระดับโลก (Global Opportunity Index) หรือ GOI ซึ่งจัดทำโดย Milken Institute สหรัฐอเมริกา พบว่า ไทยครองอันดับ 2 ในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาในเอเชีย (Emerging and Developing : E&D) ที่น่าลงทุนที่สุด (https://milkeninstitute.org/report/global-opportunity-index-2024) 

ด้าน โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ดัชนี GOI จัดทำขึ้นเพื่อให้ข้อมูลแก่นักลงทุนทั่วโลกที่มองหาโอกาสในการลงทุนในต่างประเทศ และให้ข้อมูลแก่ประเทศต่างๆ ที่ต้องการปรับปรุงสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ โดยดัชนีนี้อิงตามตัวชี้วัด 100 รายการ แบ่งออกเป็น 5 หมวดหมู่ ได้แก่

1. การรับรู้ทางธุรกิจ
2. พื้นฐานทางเศรษฐกิจ
3. บริการทางการเงิน
4. โครงสร้างเชิงสถาบัน
5. มาตรฐานและนโยบายระหว่างประเทศ 

ทั้งนี้ ประเทศไทย อยู่ในอันดับ 2 ในกลุ่ม E&D ในภูมิภาคเอเชีย โดยอันดับ 1-5 กลุ่ม E&D ในภูมิภาคเอเชีย ได้แก่ มาเลเซีย ไทย จีน อินโดนีเซีย และเวียดนาม

ส่วนในอันดับโลก ไทยอยู่ในอันดับ 37 ทั้งนี้ กลุ่ม E&D ในภูมิภาคเอเชีย รายการการรับรู้ทางธุรกิจไทยอยู่อันดับ 21 ในพื้นฐานทางเศรษฐกิจ อยู่อันดับ 22 บริการทางการเงินอันดับ 29 โครงสร้างเชิงสถาบันอันดับ 51 และมาตรฐานและนโยบายระหว่างประเทศอันดับ 68 โดยประเทศที่น่าลงทุนที่สุดในโลกได้แก่ เดนมาร์ก

โดยตามรายงาน ประเทศในกลุ่ม E&D ในภูมิภาคเอเชีย มีผลประกอบการที่ดีกว่าภูมิภาคอื่น ดึงดูดเงินทุนมากกว่าครึ่งหนึ่ง (53.2%) ไหลเข้าสู่ประเทศ E&D ระหว่างปี 2018-2022 เพิ่มส่วนแบ่งใน E&D มากขึ้น 7.3% จาก 45.9% ระหว่างปี 2013-2017

“นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้ความสำคัญกับการเพิ่มศักยภาพ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ กำหนดนโยบายให้ทันสมัย สอดคล้องจูงใจนักลงทุน รวมทั้งพัฒนาและอำนวยความสะดวกด้านการลงทุน (Ease of doing Business) อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ไทยเป็นที่สนใจจากนักลงทุนต่างชาติ พร้อมกับได้ออกไปรับฟังว่าสิ่งสำคัญที่นักลงทุนรายใหญ่ระดับโลกต้องการคืออะไร เพื่อปรับกระบวนทัศน์ และยุทธศาสตร์ของไทยให้ตอบรับกับความต้องการของนักลงทุนรายใหญ่ พร้อมกันนี้ Message สำคัญที่นายกรัฐมนตรีส่งต่ออย่างต่อเนื่องคือ ประเทศไทยเปิดแล้ว พร้อมรองรับการลงทุน และเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่จะลงทุนในประเทศไทย” นายชัย กล่าว

'คนไทยในสหรัฐฯ' แชร์!! 6 สิ่งสำคัญที่ทำให้เมืองไทย มีดีกว่าอเมริกา 'อาหาร-สาธารณสุข-ขนส่งสาธารณะ-วัฒนธรรม-อากาศ-อินเทอร์เน็ต'

(21 มี.ค.67) จากช่องยูทูบ ‘Jason in USA’ ซึ่งเป็นคนไทยที่อาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกา มาเกือบจะ 10 ปี ได้โพสต์คลิปแชร์ประสบการณ์ส่วนตัว หลังตนรู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสาเหตุที่ทำให้ ‘ประเทศไทย’ ของเรา ทําไว้ดีกว่า ‘สหรัฐอเมริกา’ เป็นอย่างมาก โดยระบุว่า…

1. เรื่องอาหารการกิน ซึ่งสิ่งนี้ไม่ต้องพูดถึงว่าที่ไทยเราหาอาหารทานได้ค่อนข้างง่าย และมีราคาสบายกระเป๋า แถมอร่อยแล้วก็มีความหลากหลายมาก ๆ 
2. เรื่องระบบสาธารณสุข แน่นอนว่าที่สหรัฐอเมริกามีแพทย์และก็เทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ก้าวหน้าระดับโลก แต่ที่นี่เป็นประเทศที่พัฒนาแล้วแห่งเดียว ที่ไม่มีระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้า ผู้คนก็ต้องซื้อประกันสุขภาพเพื่อตัวเอง และการจะพบแพทย์ได้ครั้งนึงก็ต้องใช้เวลารอนานมาก
3. เรื่องระบบขนส่งสาธารณะ ซึ่งส่วนตัวมองว่าระบบขนส่งสาธารณะที่ไทย ไม่ว่าจะเป็นรถไฟฟ้าหรือรถบัส มีความปลอดภัยและสะอาดมากกว่าที่สหรัฐอเมริกา

4. เรื่องวัฒนธรรม ซึ่งเอาจริง ๆ ไม่มีที่ไหนสู้วัฒนธรรมของไทยเราได้อีกแล้ว เพราะมันเป็นเอกลักษณ์จนเป็นที่ยอมรับในระดับโลก
5. เรื่องสภาพอากาศ เพราะที่สหรัฐอเมริกาอากาศจะแปรปรวนกว่าที่ไทยบ่อยมาก 1 วันพันฤดูของจริง
6. เรื่องอินเทอร์เน็ต โดยเฉพาะเน็ตมือถือ ที่นี่คือค่อนข้างช้ามาก ของไทยเร็วกว่าและดีกว่าสุด

‘อ.พงษ์ภาณุ’ ซัด!! หน่วยงานไร้จิตสำนึก  ยึดความอิสระ พาเศรษฐกิจไทยถดถอย

(21 มี.ค.67) อ.พงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อดีตปลัดกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา อดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง และผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ระดับประเทศ เผยคำกล่าวของท่านนายกรัฐมนตรี เกี่ยวกับจิตสำนึกของหน่วยงาน ภายหลังการประชุมติดตามการแก้ไขปัญหาหนี้สินภาคประชาชน ร่วมกับ 3 เหล่าทัพ และสถาบันการเงิน ที่เชื่อว่าจะช่วยให้ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ตั้งสติและพิจารณาทบทวนการทำงานของตนเองได้อยู่บ้างไม่มากก็น้อย ไว้ว่า...

คำว่าจิตสำนึกอาจมีหลายความหมาย แต่หากเดาใจท่านนายกฯ น่าจะหมายถึงความรับผิดชอบต่อสังคม ซึ่งในภาษาอังกฤษเรียกว่า Accountability ความรับผิดชอบต่อสังคมนี้ ไม่ใช่ความรับผิดชอบในทางการงาน (Responsibility) เท่านั้น แต่รวมถึงความรับผิดชอบต่อความเดือดร้อนของประชาชน ซึ่งสำคัญกว่ามากด้วย

Accountability มีความสำคัญอย่างยิ่ง แต่มักจะหาได้ยากยิ่งในหน่วยงานภาครัฐที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง หน่วยงานเหล่านี้มักทำหน้าที่ในด้านนโยบายสาธารณะ ไม่มีเจ้าของที่ต้องรายงาน และมีความเป็นอิสระจากฝ่ายการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง

เป็นที่ยอมรับในสากลว่าธนาคารกลางควรมีอิสระในการดำเนินนโยบายการเงิน ทั้งนี้ต้องอยู่ภายใต้เป้าหมายเงินเฟ้อ (Inflation Targets) ที่ตกลงกับรัฐบาล ก่อนปี 2566 ทว่าแบงก์ชาติไม่ทำหน้าที่ธนาคารกลางที่ดี แต่กลับทำตัวเป็นตู้ ATM ให้รัฐบาลสมัยนั้นมาตลอด 10 ปี อัตราดอกเบี้ยนโยบายต่ำติดศูนย์มาเป็นระยะเวลายาวนาน แม้ในปี 2565 ธนาคารกลางทั่วโลกจะเริ่มขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเพื่อต่อสู้กับภาวะเงินเฟ้อ แต่ธนาคารแห่งประเทศไทยกลับรีรอไม่ยอมขึ้นดอกเบี้ยจนเงินเฟ้อในไทยพุ่งสูงขึ้นสู่ระดับสูงที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง และเป็นระดับที่สูงกว่ากรอบเงินเฟ้อที่ตกลงไว้กับรัฐบาลกว่า 2 เท่า

กว่าจะรู้ตัวว่าไม่ได้เป็นตู้ ATM ก็จนหลังการเลือกตั้ง ซึ่งสายไปเสียแล้ว ธนาคารแห่งประเทศไทยเร่งขึ้นดอกเบี้ยหลังมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจไทยอ่อนแอและเงินเฟ้อเริ่มต่ำกว่ากรอบและเข้าสู่ภาวะเงินฝืด จนขณะนี้เงินเฟ้อติดลบต่อเนื่องติดต่อกัน 5 เดือน และเศรษฐกิจไทยกำลังจะหดตัวเป็นไตรมาสที่ 2 ติดต่อกัน ซึ่งถือเป็นภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) อย่างเป็นทางการ

ความเป็นอิสระของธนาคารกลางจะมีได้ขึ้นอยู่กับความประพฤติของธนาคารกลางเอง ที่สำคัญที่สุดคือการมีบทบาทที่ชัดเจน (Clear Mandate) ที่จะต้องรักษาเสถียรภาพของราคาเป็นที่ตั้ง ไม่ใช่ทำเก่งทุกอย่าง (ยกเว้นเรื่องนโยบายการเงิน) เหมือนกับที่ธนาคารแห่งประเทศไทยทำอยู่ทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นการกำกับดูแลสถาบันการเงิน การแก้ไขปัญหาโลกร้อน การอุ้มตลาดหุ้นกู้ การแก้ไขปัญหาโควิด เป็นต้น ตราบใดที่ยังไม่มี Clear Mandate คงจะเป็นการยากที่จะหวังว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะมีจิตสำนึก

🔎10 ชาติในเอเชียที่เก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) มากกว่าไทย

‘ภาษีมูลค่าเพิ่ม’ หรือ value-added tax (VAT) เป็นภาษีที่เก็บบนมูลค่าเพิ่มของสินค้า/บริการในแต่ละขั้นของห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งในปัจจุบันประเทศไทย เก็บ VAT อยู่ที่ 7% ถือว่าน้อยกว่าประเทศในเอเชียหลาย ๆ ประเทศ เช่น อินเดีย เก็บอยู่ที่ 18% รองลงมาคือซาอุดีอาระเบียเก็บอยู่ที่ 15%

วันนี้ THE STATES TIMES ได้รวบรวมรายชื่อ 10 ประเทศในเอเชียที่เก็บ VAT มากกว่าไทย จะมีประเทศไหนบ้าง มาดูกัน!!

หลอกใช้ ‘เด็ก-เยาวชน’ ทำลายสังคม-ทำผิดกฎหมาย ความโหดร้าย และชั่วช้าของพวก ‘สามานย์’

ทุก ๆ ประเทศในโลก มักจะมีบรรดาพวกชั่วช้าสามานย์ นำเด็กและเยาวชนมากระทำความผิด ซึ่งทำกันมานานมากแล้ว ตั้งแต่การบังคับเด็กให้เป็นขอทาน หลอกล่อเด็กให้กระทำความผิดต่าง ๆ ปล้น ชิง วิ่งราว ล้วงกระเป๋า ขายของ กระทั่งขนและขายยาเสพติด ตลอดจนสิ่งผิดกฎหมายอื่น ๆ ฯลฯ โดยไม่สนใจถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับเด็ก ไม่ว่า พฤติกรรม ลักษณะนิสัย ที่เปลี่ยนไป เกิดผลกระทบด้านจิตใจอย่างมากมาย 

ผลลัพธ์สุดท้าย คือ เด็ก ๆ ต้องถูกจับกุมและดำเนินคดี ภายใต้ตัวเองและครอบครัวที่ต้องเผชิญต่อชะตากรรมจากการถูกล่อลวงให้กระทำความผิดนั้นตามลำพัง และโดดเดี่ยว จึงไม่ผิดนักที่จะประณามเหล่าผู้ที่หลอกลวงและอยู่เบื้องหลังนี้ว่า เป็นพวกที่เลว ชั่ว เป็นพวกสามานย์อย่างแท้จริง

ในประเทศไทยก็เช่นกัน เรา ๆ ท่าน ๆ ต่างรู้กันดีว่าหลายปีที่ผ่านมาสังคมไทยต้องพบกับความแตกแยกทางสังคมมากมาย ตั้งแต่เหตุการณ์สร้างความเชื่อทางการเมืองที่นำไปสู่การแบ่งแยกฝักฝ่ายด้วยสี ต่อมาก็ยังมีกลุ่มคนที่ปรารถนาร้ายต่อชาติบ้านเมืองอีกกลุ่มหนึ่ง ที่พยายามความแตกแยกด้วยการหยิบยกเรื่องเท็จและไร้ความจริงในประเด็นที่เกี่ยวข้องของ 3 สถาบันหลักของชาติมาปั่นหัวเยาวชน 

บรรดาผู้ซึ่งมีเจตนาไม่ดีเหล่านี้ มักจะนำวาทกรรมที่เอ่ยอ้างถึงความเป็นคนรุ่นใหม่ที่ไม่สนใจ แยแส ระลึกนึกถึงตัวตนที่เกิดมาจนเป็นผู้เป็นคนได้ ด้วยเพราะ ทุกสิ่งทุกอย่างที่สถาบันหลักทั้ง 3 ของประเทศอันได้แก่ ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ได้พัฒนา ได้สร้างขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความเจริญก้าวหน้าของชาติบ้านเมือง ความสะดวกสบายของสาธารณูปโภคในการอำนวยความสะดวกไม่ว่าจะเป็น ไฟฟ้า น้ำประปา ระบบสื่อสาร กระทั่งถนนหนทาง แม้แต่การบริการทางแพทย์ที่เพียบพร้อมและทันสมัย 

กว่า 50 ปีมาแล้วที่สังคมไทยเสพสื่อและความเชื่อผิด ๆ ของสังคมตะวันตกผ่านภาพยนตร์ Hollywood โดยไม่ได้ใช้วิจารณญาณในการแยกแยะ ผิด ถูก ชอบ ชั่ว ดี ว่าเป็นอย่างไร จนทำให้เด็กและเยาวชนค่อย ๆ ซึมซับรับเอาด้านมืดของโลกตะวันตกมากขึ้นเรื่อย ๆ กระทั่งความไม่ถูกต้องชอบธรรมเหล่านั้นกลายเป็นเรื่องปกติวิสัยธรรมดาที่ค่อย ๆ กล่อมให้สังคมส่วนหนึ่งเริ่มยอมรับได้ไปซะงั้น 

เมื่อเด็กและเยาวชนซึ่งเกิดมาพร้อมกับความเจริญที่ครบถ้วนสมบูรณ์ แต่กลับขาดความรู้ในข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ จึงทำให้เด็กและเยาวชนส่วนหนึ่งซึ่งไม่เคยสัมผัสและไม่รู้จักความทุกข์ยากลำบากของคนรุ่นพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย แต่เก่าก่อน พฤติการณ์และพฤติกรรม ตลอดจนระบบความคิด จึงมีแต่เรื่องราวและคาดหวังในการมีและใช้ชีวิตอย่างมีความสุขด้วยความสะดวกสบาย

พวกชั่วช้าสามานย์ที่มุ่งมาดปรารถนาร้ายต่อประเทศชาติ ซึ่งรับงานมาจากประเทศตะวันตก ทั้งยังได้รับความช่วยเหลือและสนับสนุนทั้งเงินทองและเทคโนโลยีต่าง ๆ จึงสร้างเรื่องราวอันเป็นเท็จเพื่อแสวงหาประโยชน์จากความขัดแย้งแตกแยกในชาติ โดยเฉพาะในทางการเมือง มีการกล่าวร้ายให้โทษสังคมไทยด้วยการนำโยงเอาสถาบันหลักของชาติทั้งสามให้มายุ่งเกี่ยวพัวพันอยู่ตลอดเวลา ทั้งยังนำไปเรื่องราวอันเป็นบริบทของชาติบ้านเมืองที่มีมาอย่างยาวนานไปเปรียบเทียบกับสังคมตะวันตก ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริงแล้วปัญหาสังคมที่เกิดขึ้นในโลกตะวันตกก็ไม่ได้มีน้อยไปกว่าที่เกิดขึ้นในสังคมบ้านเราเลย หลายอย่างบางเรื่องกลับจะรุนแรงมากกว่าในบ้านเมืองเราเสียด้วยซ้ำ 

แน่นอนว่า ระบบการแพร่กระจายของข้อมูลข่าวสารที่เปลี่ยนไปจากสมัยก่อนที่ผู้คนรับข้อมูลข่าวสารจากการอ่าน การฟัง และการรับชม ผ่านสื่อที่สามารถตรวจสอบจับต้องได้ เช่น หนังสือพิมพ์ นิตยสารต่าง ๆ วิทยุ และโทรทัศน์ มาเป็นการเสพสื่อสังคมออนไลน์ ทำให้คนยุคนี้เชื่อข้อมูลข่าวสารโดยไม่สนใจถึงความถูกต้องชอบธรรม ภายใต้กระบวนการจากผู้ที่ไม่หวังดีต่อชาติบ้านเมืองที่หยิบยกเอาเรื่องราวประเด็นต่าง ๆ มาสร้างกระแสความนิยมและครอบงำผู้คนส่วนใหญ่โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ในสังคมไทยที่ไม่เคยและไม่ได้ใช้วิจารณญาณในการพินิจ วิเคราะห์ พิจารณา ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นด้วยหลักตรรกะ เหตุผล และสติสัมปชัญญะ ฯลฯ ต่างก็พากันหลงเชื่อ เห็นผิดเป็นถูก เรื่องที่ชั่วร้ายกลายเป็นความดีงาม เป็นจำนวนมาก

การขาดซึ่งวิจารณญาณในการพินิจ วิเคราะห์ พิจารณา ปัญหาต่าง ๆ ที่ควรเกิดขึ้นด้วยหลักตรรกะ เหตุผล และสติสัมปชัญญะ ฯลฯ ของคนรุ่นใหม่ จึงมีส่วนที่ทำให้สังคมเกิดความเสื่อมถอยอย่างร้ายแรงโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ โดยเฉพาะความเข้าใจในเรื่องของสิทธิ เสรีภาพ และการปกครองระบอบประชาธิปไตย ซึ่งความเป็นจริงของทุก ๆ อารยประเทศนั้น เรื่องของประชาธิปไตยจะต้องเริ่มต้นจากการทำหน้าที่พลเมืองที่ดีอย่างถูกต้อง ครบถ้วน และสมบูรณ์ ภายใต้ ‘กฎหมาย’ หรือ กติกาสังคมที่กำหนดกฎเกณฑ์ ระเบียบปฏิบัติที่ทำให้ทุก ๆ คนในสังคมอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข  

ทว่า เมื่อคนรุ่นใหม่ส่วนหนึ่งได้เสพเรื่องราวผิด ๆ จนติด และเสพเรื่องราวเหล่านั้นจนกลายเป็นความเชื่อ กระทั่งกลายเป็นความบ้าคลั่ง จึงกล้าที่ทำความผิดต่าง ๆ เยอะแยะมากมายเกินกว่าที่บรรดากลุ่มบุคคลผู้ไม่หวังดีต่อชาติบ้านเมืองที่ทำตัวเป็นศาสดาและยุยงจะกล้าทำเสียเองด้วยซ้ำไป คนรุ่นใหม่เหล่านี้กลายเป็นผู้ต้องหาในความผิดอันเกิดจากความเชื่อที่ผิดกฎหมาย ซ้ำร้ายยังไม่ยอมรับในความผิดตามกฎหมายที่พวกตนกระทำทั้ง ๆ ที่กฎหมายเหล่านั้นทำให้ประเทศชาติสงบร่มเย็นมายาวนานจนถึงทุกวันนี้ 

พฤติการณ์และพฤติกรรมของพวกชั่วช้าสามานย์ที่มุ่งมาดปรารถนาร้ายต่อประเทศชาติที่ได้หลอกให้เด็กและเยาวชนทำผิดกฎหมาย จนเด็กและเยาวชนเหล่านั้นถูกจับกุมและดำเนินคดีส่งผลต่อชีวิตในอนาคต ไม่ได้แตกต่างไปจากพวกชั่วช้าสามานย์ที่บังคับเอาเด็กมาปล้นจี้ผู้อื่นเลย เพราะการบังคับหรือล่อลวงเด็กให้กระทำผิดภายใต้คำเป่าหูที่เรียกว่า ‘ประชาธิปไตย’ นั้น ดูจะเป็นเรื่องที่เหี้ยมโหดและชั่วช้าสามานย์ยิ่ง 

...มีแต่คนที่อุบาทว์ชาติชั่วเลวทรามจริง ๆ เท่านั้นถึงทำได้!! 

เด็ก ๆ ยังไร้เดียงสา ขาดความเข้าใจ ไม่มีวุฒิภาวะพอ เมื่อถูกหลอกลวงด้วยคำพูด ถ้อยคำ โฆษณาชวนเชื่อ ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจึงหลงเชื่อ แต่เมื่อได้กระทำการจนกลายเป็นความผิดสำเร็จไปแล้ว จึงต้องรับโทษตามกฎหมายโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ซึ่งสังคมไทยต้องร่วมกันประณามหยามเหยียดคนเหล่านี้อย่างเต็มที่จนถึงที่สุด 

นี่คืออีกเรื่องใหญ่ที่น่าห่วงที่สุดของสังคมไทยในปัจจุบัน ครอบครัวอันเป็นสถาบันสำคัญพื้นฐานเบื้องต้น จึงต้องทุ่มเทใส่ใจ โดยไม่คิดที่จะฝากเรื่องการเรียนรู้ทั้งวิชาการและการใช้ชีวิตไว้กับโรงเรียนหรือบุคคลอื่น เพราะหากเด็กและเยาวชนหลงเชื่อทำตามคำยุยงปลุกปั่นพวกชั่วช้าสามานย์เหล่านี้แล้ว เด็กและเยาวชนซึ่งเป็นลูกหลานของเราจะต้องเสียอนาคตไปจนตลอดชีวิต โดยที่พวกชั่วช้าสามานย์เหล่านั้นไม่ได้มาร่วมรับผิดชอบลูกหลานของเราแต่อย่างใดเลย

เปิดข้อบ่งชี้สำคัญ!! เหตุใดหลังโควิด GDP ไทยเพิ่มไม่สูงเหมือนเพื่อนบ้าน ตอบ : ฝ่ายค้านในสมัยนั้นอาจจะเป็นตัวถ่วงความเจริญตัวสำคัญ

(26 มี.ค.67) ผู้ใช้เฟซบุ๊ก 'LVanicha Liz' ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า...

พฤติกรรมพร่ำบ่นคำว่าทศวรรษที่สูญหาย (the lost decade) กรอกหูประชาชนในทำนองที่น่าจะเป็นการดิสเครดิตการบริหารสองสมัยสองระบบของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อาจเกิดจากการไม่มีความรู้เทคนิคการประเมินผล (รวบยอดประเมิน vs แยกประเมิน) หรืออาจเกิดจากความจงใจใช้ผลกระทบเสียหายจากวิกฤติโควิด (รวมทั้งการเข้ามามีบทบาทของฝ่ายค้าน) มาบิดเบือนหลอกลวงประชาชนให้เข้าใจผิดในผลงานของ พล.อ.ประยุทธ์ เพื่อให้พรรคฝ่ายค้านชนะเลือกตั้ง ฯลฯ

สำหรับนายเศรษฐา ทวีสิน นอกจากจะวิจารณ์ ‘8-9 ปีที่ผ่านมา’ อย่างเผ็ดร้อนแล้ว ก็ยังได้แสดงอาการวิตกห่วงใยอย่างมาก ว่าอัตราการเพิ่ม GDP ของไทยไม่สูงเหมือนเพื่อนบ้าน แล้วเลยทำท่าคล้ายจะพาลพาโลว่าเศรษฐกิจวิกฤตจนต้องสร้างหนี้เพิ่มให้ประเทศถึงห้าแสนล้านบาท เอามาให้คนกินๆใช้ๆ โดยหวังว่าจะทำให้ตัวเลข GDP กระโดดขึ้นสู่เป้าหมาย 5% จนบุคลากรระดับสูงด้านเศรษฐกิจการเงินของชาติจำนวนมากต้องออกโรงคัดค้านกันจ้าละหวั่น 

ในความเป็นจริง เพียงดูตัวเลข GDP growth บนแกนเวลา ก็พบข้อบ่งชี้สำคัญสำหรับประเด็น #เหตุใดหลังวิกฤติโควิด GDP ไทยเพิ่มไม่สูงเหมือนเพื่อนบ้าน (อ้างอิงภาพ ‘ข้อบ่งชี้สำคัญ !! …’ และภาพขยาย)
https://www.macrotrends.net/global-metrics/countries/THA/thailand/gdp-per-capita 
หมายเหตุ : GDP ในโพสต์นี้ ใช้ตัวเลข per capita (ต่อจำนวนประชากร) เพื่อตัดผลกระทบจากอัตรา

การเพิ่มจำนวนประชากรที่แต่ละประเทศมีไม่เท่ากัน (อ้างอิงภาพอัตราการเติบโตของประชากร)        

ข้อบ่งชี้สำคัญที่แสดงในกราฟของ macrotrends.net แสดงว่า อัตราการเติบโตของ GDP ไทย 8-9 ปีหรือทศวรรษที่ผ่านมา แบ่งออกได้เป็นสองช่วง คือช่วงรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ (คสช.) และช่วงรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ (เลือกตั้ง) โดยมีการบริหารประเทศคนละระบบ มีปัจจัยที่เป็นผลกระทบต่างกัน และมีผลการดำเนินงานแตกต่างกันอย่างชัดเจน ตามหลักการจึงควรต้องแยกประเมิน

ช่วงรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ (คสช.) เป็นระบบที่บริหารโดยคณะรัฐประหาร ไม่มีฝ่ายค้าน การเติบโตของ GDP สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง (contrast กับผลงานรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์-พรรคเพื่อไทย ที่การเติบโตลดลงอย่างต่อเนื่องมาจนติดลบ)

ส่วนช่วงรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ (เลือกตั้ง) เป็นระบบที่บริหารโดยมีฝ่ายค้านเข้ามามีบทบาททั้งในและนอกสภาฯ (หลักๆ ประกอบด้วยพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกล) การเติบโตของ GDP ก็ตกต่ำลงอย่างชัดเจน (อ้างอิงส่วนขยายของภาพ ‘ข้อบ่งชี้สำคัญ !! …’) จะเห็นได้ว่าการเปลี่ยนแปลงการเติบโตของ GDP จากสูงขึ้นกลายเป็นต่ำลงนั้น เกิดพร้อมกับการเข้ามามีบทบาทของฝ่ายค้าน และคงความตกต่ำอยู่ตลอดช่วงการคงอยู่ของฝ่ายค้าน

เมื่อพิจารณาลักษณะการเปลี่ยนปลง GDP ของไทยเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน (ยกตัวอย่าง อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม) จากกราฟเปรียบเทียบ (อ้างอิงภาพ GDP per capita ของ ID, PH, TH, VN) สังเกตได้ว่า

1. วิกฤติโควิดทำให้ GDP ของทั้งสี่ประเทศตกลงในปี 2020 เหมือนกันหมด

2. ช่วงก่อนโควิด ซึ่งเป็นช่วงการบริหารของ พล.อ.ประยุทธ์ (คสช.) นอกจากไทยจะมี GDP per capita สูงที่สุดใน 4 ประเทศแล้ว ตัวเลขของไทยยังไต่สูงขึ้นโดยมีความชันมากกว่าทั้งสามประเทศอีกด้วย แสดงถึง #ศักยภาพในการบริหารที่สูงกว่าเพื่อนบ้านอย่างชัดเจน

3. หลังจาก GDP ตกต่ำลงในปี 2020 ประเทศเพื่อนบ้านสามารถฟื้นฟูยอด GDP กลับขึ้นสู่ระดับก่อนโควิดได้ทั้ง 3 ประเทศ แต่ประเทศไทยไม่สามารถกลับสู่ระดับก่อนโควิดที่ คสช. ทำไว้ได้ ข้อแตกต่างของการดำเนินงานจากช่วงก่อนหน้าโควิด หลักๆคือการเปลี่ยนระบบการบริหารประเทศไปเป็นแบบเลือกตั้ง ทำให้ฝ่ายค้านเข้ามามีบทบาททั้งในและนอกสภาฯ

การมีฝ่ายค้าน มีจุดประสงค์เพื่อตรวจสอบถ่วงดุลฝ่ายบริหาร เห็นชอบ/ไม่เห็นชอบงบประมาณ ฯลฯ แต่หากฝ่ายค้านใช้อำนาจหน้าที่ไม่เป็นไปตามจุดประสงค์ (เช่น แทนที่จะสนับสนุนระบอบการปกครอง กลับมาตั้งหน้าตั้งตาล้มระบอบการปกครอง แทนที่จะเปิดเผยความจริงต่อประชาชน กลับบิดเบือนหลอกหลวงประชาชน ฯลฯ) หรือศักยภาพไม่เพียงพอ (ดังที่ปรากฏภายหลังเลือกตั้งครั้งล่าสุด ว่ามีพรรคฝ่ายค้านที่กำหนดนโยบายหาเสียงแล้วต้องยอมรับหรือถูกตรวจพบในทันทีหรือไม่นานหลังจากได้รับเลือกตั้ง ว่าทำไม่ได้) ฝ่ายค้านก็จะกลายเป็นตัวถ่วงความเจริญขนาดใหญ่ ทำให้ประเทศเจริญก้าวหน้าไม่ได้เท่าที่ควรแม้ฝ่ายบริหารจะมีศักยภาพก็ตาม

สรุปว่า macrotrends.net ได้ช่วยแสดงข้อบ่งชี้สำคัญสำหรับประเด็น #เหตุใดหลังวิกฤติโควิด GDP ไทยเพิ่มไม่สูงเหมือนเพื่อนบ้าน ในสมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ (เลือกตั้ง) โดยชี้ให้เห็นได้ว่า ... ฝ่ายค้านในสมัยนั้นอาจจะเป็นตัวถ่วงความเจริญตัวสำคัญ

ณ เวลานี้ ฝ่ายค้านดังกล่าว 1 พรรค (เพื่อไทย) ได้เข้ามาจัดตั้งรัฐบาลตั้งแต่ปี 2023 เราจึงจะได้เห็นต่อไป ว่าอัตราการเพิ่ม GDP ของรัฐบาลใหม่นี้ แม้เพียงทำให้ได้เท่าที่ คสช. เคยทำไว้ จะทำได้หรือไม่ และเมื่อใด

อย่าให้สรุปได้ว่าทศวรรษที่สูญหายเริ่มต้นปี 2023 ก็แล้วกัน       

‘กรุงเทพ’ ยืนหนึ่ง!! เมืองดีที่สุดในเอเชีย 2024

‘ประเทศไทย’ ยังคงได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวทั่วโลก หลังนิตยสารท่องเที่ยวชื่อดัง DestinAsian ประกาศให้กรุงเทพฯ คว้าอันดับ 1 เมืองที่ดีที่สุด (Best Cities 2024) ในประเภทเมืองที่เป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยว (Destination) ในเอเชียแปซิฟิก ตามมาด้วยกรุงโตเกียว สิงคโปร์ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ฮ่องกง กรุงโซล นครซิดนีย์ นครเซี่ยงไฮ้ ไทเป และนครโฮจิมินห์ (https://destinasian.com/readers-choice-awards/2024-winners/best-cities)

การจัดอันดับครั้งนี้ เป็นผลมาจากการคัดเลือกของผู้อ่าน ของนิตยสาร DestinAsian ซึ่งได้ประกาศพร้อมจัดอันดับหมวดหมู่ต่าง ๆ ทั้งจุดหมายปลายทางประเภทเมือง เกาะ โรงแรมและรีสอร์ต สายการบิน สนามบิน และการเดินเรือ ที่ได้รับความนิยมจากผู้อ่านเป็นประจำทุกปี ซึ่งในประเภทเกาะที่ดีที่สุด เกาะของไทยก็ได้รับความนิยมในอันดับ 3 คือ ภูเก็ต ตามมาด้วย เกาะสมุย ในอันดับที่ 4 รองจากที่ 1 เกาะบาหลี และที่ 2 เกาะมัลดีฟส์

นอกจากนี้ ในประเภทสนามบิน สนามบินสุวรรณภูมิ ได้อันดับที่ 2 สนามบินที่ดีที่สุด รองจากสนามบินชางงีของสิงคโปร์ ที่ได้อันดับที่ 1 ส่วน อันดับ 3 คือ สนามบินนานาชาติฮ่องกง 

ทางด้านการจัดอันดับประเภทสายการบินที่ดีที่สุด ‘การบินไทย’ ได้อันดับที่ 3 รองจาก สิงคโปร์ แอร์ไลน์ และเอมิเรตส์ ในอันดับ 1 และ 2 ตามลำดับ 

ส่วนประเภทสายการบิน Low-cost ที่ดีที่สุด สายการบิน บางกอก แอร์เวย์ส ได้อันดับที่ 2 รองจาก แอร์เอเชีย


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top