Tuesday, 30 April 2024
ประเทศไทย

'ต่างชาติ' อึ้ง!! สัญญาณ 5G ของไทยสุดครอบคลุม  ทั่วถึงทุกพื้นที่ 'บนภูเขา-กลางทะเล' ก็ยังมีสัญญาณ

(4 เม.ย.67) เป็นไวรัลที่ถูกพูดถึงไม่น้อย เมื่อผู้ใช้ X รายหนึ่งได้โพสต์รูปแผนที่สัญญาณ 5G ของเอเชีย หากพื้นที่ใดปรากฏจุดสีม่วงมากแสดงว่ามีสัญญาณ 5G ครอบคลุม

ผลลัพธ์คือนอกจาก สิงคโปร์ ฮ่องกง และไต้หวัน ไทยยังเป็นอีกหนึ่งพื้นที่ที่มีสัญญาณ 5G ครอบคลุม ขึ้นจุดสีม่วงโดดเด่นออกมาจากประเทศเพื่อนบ้านอย่าง ลาว กัมพูชา และเมียนมา ทำเอาทางเจ้าของโพสต์ถึงกับเอ่ยชมว่า ‘สัญญาณ 5G ของไทยนั้นบ้าไปแล้ว’

ซึ่งโพสต์ครั้งนี้ถูกแชร์ออกไปอย่างกว้างขวางทั้งชาวไทยและต่างชาติ สำหรับชาวไทยแล้ว บ้างก็รู้สึกว่าอินเทอร์เน็ตไทยยังช้าอยู่ บ้างก็ร่วมแชร์ประสบการณ์การใช้อินเทอร์เน็ตไทยที่สุดแสนจะครอบคลุม แม้แต่ในน้ำ กลางทะเล ก็ยังมีอินเทอร์เน็ตให้เล่น

นอกจากนี้ยังมีชาวเน็ตจากประเทศอาเซียนจำนวนมากที่แห่เข้ามาคอมเมนต์ โดยเฉพาะชาวอินโดนีเซีย เพราะต่างรู้สึกอิจฉาที่ไทยมีสัญญาณ 5G ครอบคลุม แตกต่างจากประเทศพวกเขาที่พบในบางพื้นที่เท่านั้น

“อินโดนีเซียทำไม่ได้หรอก”, “อินโดนีเซียก็ทำได้แค่ฝัน โดยเฉพาะตรงเกาะสุมาตรา ไม่น่าแปลกใจเลยที่ฉันไม่เคยเห็น 5G แบบนี้บนหน้าจอโทรศัพท์ของฉันเลย แม้จะมีอุปกรณ์ที่ทันสมัย สามารถรองรับ 5G ได้มากแค่ไหนก็ตาม”, “อินโดนีเซียล้าหลังไปตลอดกาล 555 ฉันอาศัยอยู่ในกาลิมันตัน 4G ของเรายังรู้สึกเหมือน 3G เลย”, “เห็นความต่างของอินเทอร์เน็ต ตอนที่ฉันเดินทางจากพะเยากลับมาเลเซีย ฉันเลยคิดว่าอยากไปอยู่พะเยาแทน”

'อ.พงษ์ภาณุ' ชี้!! Q2 'การคลัง-การเงิน-การท่องเที่ยว' เดินหน้าเต็มตัว ปลุกเศรษฐกิจไทยฟื้น คลายทุกข์คนไทย ต่างชาติสนใจแห่ลงทุน

ทีมข่าว THE STATES TIMES ได้พูดคุยกับ อ.พงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อดีตปลัดกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา อดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง และผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ระดับประเทศ ที่มาร่วมพูดคุยในรายการ Easy Econ ซึ่งออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES ในประเด็น 'การคลัง-การเงิน-การท่องเที่ยว แรงผลักเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวไตรมาส 2' เมื่อวันที่ 7 เม.ย.67 โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้...

การเติบโตที่น่าผิดหวังของเศรษฐกิจไทยในปี 2566 และต่อเนื่องมายังไตรมาสแรกของปี 2567 ทำให้หลายสำนักต้องปรับการคาดการณ์เศรษฐกิจไทยลงมาเหลือไม่ถึง 3% ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในการค้าการลงทุนในประเทศเป็นอย่างมาก

แต่ท่ามกลางความหดหู่และความมืดมัว เริ่มมีแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ปรากฏขึ้นในไตรมาสที่ 2 ของปี 2567 โดยวันที่ 10 เมษายน รัฐบาลจะแถลงความชัดเจนของมาตรการทางการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่เรียกว่า 'ดิจิทัลวอลเล็ต' ซึ่งถือเป็นมาตรการ Flagship ของรัฐบาลนี้ 

หลายฝ่ายรวมทั้งฝ่ายค้านมัวหลงประเด็นอยู่ที่เรื่องแหล่งที่มาของเงิน แต่ข้อเท็จจริงคือ ไม่ว่าจะเป็นงบประมาณแผ่นดินหรือกฎหมายให้อำนาจรัฐบาลกู้เงิน แหล่งเงินดิจิทัลวอลเล็ตก็จะต้องมาจากเงินกู้ทั้งนั้น เพราะขณะนี้เรามีงบประมาณขาดดุล เนื่องจากรายได้ไม่พอกับรายจ่าย การใช้จ่ายเพิ่มขึ้นจึงต้องมาจากการกู้เงินเท่านั้น หากไม่ออกกฎหมายให้อำนาจกู้เงิน ก็อาจออกเป็นงบประมาณกลางปี ซึ่งก็ดูจะเหมาะสมกับสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน ประเด็นอยู่ที่จังหวะเวลา หากออกมาได้เร็วก็จะช่วยการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยได้เป็นอย่างดี

ในเรื่องแหล่งเงิน ระยะต่อไปรัฐบาลต้องปฏิรูปภาษีอากรเพื่อเพิ่มรายได้ และลดการพึ่งพาการกู้เงิน แต่ไม่เห็นมีพรรคการเมืองไหนกล้าแตะประเด็นนี้เลย

พร้อมกันในวันที่ 10 เมษายน คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ก็จะประกาศลดดอกเบี้ยนโยบายลงประมาณ 0.25-0.50% ซึ่งเป็นการลดดอกเบี้ยเพื่อแก้ไขความผิดพลาดเชิงนโยบาย (Policy Blunder) ของธนาคารแห่งประเทศไทยในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา การลดดอกเบี้ยครั้งนี้จะช่วยเสริมมาตรการทางการคลังที่กล่าวข้างต้นในการพลิกฟื้นเศรษฐกิจไทยได้เป็นอย่างดี แต่จะให้ดีกว่านี้ธนาคารแห่งประเทศไทยควรจะต้องออกมาขอโทษประชาชนที่ทำให้คนไทยทั้งประเทศเดือดร้อนจากความผิดพลาดของตนเอง

แผนงาน Ignite Tourism Thailand ของรัฐบาล ซึ่งได้ประกาศออกมาก่อนหน้านี้ เริ่มปรากฏผลชัดเจนขึ้น เมื่อการท่องเที่ยวไทยเริ่มกลับมาคึกคักขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในไตรมาสแรก และคงจะคึกคักไปตลอดทั้งปี รัฐบาลไทยลงทุนด้านการท่องเที่ยวไปมากในรูปของรายได้จากค่าธรรมเนียมวีซ่าที่สูญเสียไป รายได้ภาษีสุราที่สูญเสียจากการลดอัตราจัดเก็บภาษีสุรา ดังนั้นต้องดูแลให้นโยบายการท่องเที่ยวเกิดผลสัมฤทธิ์และสร้างรายได้กลับคืนคลัง

เชื่อมั่นว่าด้วยการผสมผสานนโยบายการคลัง นโยบายการเงิน และนโยบายการท่องเที่ยวให้ไปในทิศทางเดียวกัน ปี 2567 นี้จะเป็นปีทองของการลงทุนไทยอย่างแน่นอน

‘โจ มณฑานี’ ชี้ สัญญาณแห่งคุณค่าแบบไทยๆ กำลังกลับมา หลัง ‘หลานม่า’ ทะลุ 100 ล้านบาทใน 5 วัน

(10 เม.ย.67) จากเฟซบุ๊ก 'Jo Montanee' โดยคุณโจ มณฑานี ตันติสุข ดีเจ พิธีกร นักวิจารณ์ นักเขียนและวิทยากรชื่อดัง ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับหนังเรื่อง 'หลานม่า' ที่กำลังนำพาคุณค่าดี ๆ กลับคืนสู่สังคมไทย ระบุว่า...

"อาม่า 5 วัน 100 ล้าน คือสัญญาณที่พี่โจบอกเสมอว่าคุณค่าแบบไทยจะค่อย ๆ กลับมา ขอแค่เราจงอดทน ศรัทธา และไม่ถอดใจ"

ทั้งนี้ หลังโพสต์ดังกล่าว ก็มีชาวเน็ตหลายท่านที่เห็นด้วยได้เข้ามาตอบคอมเมนต์มากมาย อาทิ...

"ศรัทธาและคุณค่าแบบไทย ไม่เคยจางหายไปจากใจเลยค่ะ ยังคงยึดถือและเคารพในตัวตนของเราเองเสมอมา 'ความเป็นไทย' ไม่เคยจางหายไปจากใจ จริง ๆ"

"ชื่นใจ…หอมกลิ่น กตัญญู"

"พอหนังออกโรงแล้ว กระทรวงศึกษาฯ ควรติดต่อขอฉายในสถานที่ศึกษาก็ดี"

"ความดีแบบไทย ๆ ต้องกลับมา เด็กรุ่นบางคน ก็บ้า ๆ บอ ๆ ตามเพื่อนไปเท่านั้น"

ฯลฯ

'เพจดัง' ชี้!! สถานการณ์เมียนมาวันนี้ ไทยต้องเป็นกลางขั้นสุด ดูแลด้านมนุษยธรรม พร้อมกันพื้นที่สู้รบไม่ขยายเข้ามาไทย

(10 เม.ย. 67) จากเพจ 'สานต่อเจตนารมณ์ อาจารย์สมเกียรติ โอสถสภา' ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า...

วันนี้มีเรื่องสำคัญหลายเรื่อง:

1. จะฟ้อง ไม่ฟ้อง หรือเลื่อนคดี 112 ของโทนี่ มีนัยสำคัญไม่ว่าจะออกมารูปไหน

2. กนง. จะเริ่มลดดอกเบี้ยนโยบายหรือไม่ ด้วยเหตุผลอะไร

3. เรื่องเมียนมาที่ไทยเกี่ยวข้องอยู่หลายด้าน

เรื่องที่ 1 กับ 2 บ่าย ๆ ก็รู้เรื่อง

ส่วนเรื่องที่ 3 จะบอกสั้น ๆ ว่าประเทศไทยตอนนี้ถูกมหาอำนาจฝ่ายต่าง ๆ ใช้เป็นทางผ่านส่งอะไรก็ไม่รู้เข้าเมียนมา และถูกใช้เป็นฐานมอนิเตอร์ ประสานงาน 

เข้าใจว่าไม่น่าจะเลือกอะไรได้ มหาอำนาจจะเอา ต้องเป็นทางผ่านจำยอม 

รัฐบาลเมียนมาก็คงรู้ แต่เราก็ยังต้องรักษาสัมพันธ์กันไว้ และเขายังไว้ใจเราในระดับหนึ่งที่ค่อนข้างมาก มีผลประโยชน์ร่วมกันมาก

ดูเหมือนรัฐบาลเมียนมาต้องการยันพื้นที่ที่เป็นของชาวเมียนมาแท้เอาไว้ให้แน่น (พื้นที่สีเหลืองในรูป) พื้นที่ที่เป็นของชนกลุ่มต่าง ๆ ปล่อยไปก่อน 

อาจไปตีคืนทีหลัง หรือถ้าไม่ตีคืนก็อยู่กันไปแบบซีเรีย คือรัฐบาลกลางยังอยู่แต่ไม่สามารถปกครองพื้นที่ได้ทั้งประเทศ

ถ้าเป็นโมเดลซีเรียเมื่อไหร่ กลุ่มต่าง ๆ จะเร่งผลิตยาเสพติดออกขายทำทุน เนื่องจากระบบเศรษฐกิจหลายส่วนเลี้ยงตัวเองไม่ได้

แนวทางสำคัญของไทยตอนนี้คือ:

1. เป็นกลาง รักษาสัมพันธ์ทุกฝ่าย บางทีต้องยอมตามคำขอพิเศษของแต่ละฝ่ายบ้าง แล้วแต่กรณี

2. ให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมตามกรอบกฎหมายระหว่างประเทศ

3. ทหารดูแลให้พื้นที่สู้รบไม่ขยายเข้ามาในพื้นที่ประเทศไทยโดยบังเอิญ หรือโดยความตั้งใจของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง

4. อันนี้เรื่องใหญ่ ตกลงจะได้เล่นน้ำวันไหน ใครบอกได้แล้วยัง

'หน่วยความมั่นคง' ยัน!! มีเพียงการสู้รบรอบนอกเมียวดีห่างออกไป 1-40 กม. ยัน!! ไม่กระทบไทย และไม่มีสถานการณ์ใดน่ากังวลตามที่ปรากฏบนหน้าสื่อ

'หน่วยความมั่นคง' ยัน!! ไม่มีการสู้รบในเมืองเมียววดี มีเพียงรอบนอกที่ห่างออกไป 1-40 กม. ขอคนไทยอย่ากังวล เพราะไม่กระทบ เผย BGF ผันมาเป็น KNA ร่วมกับกะเหรี่ยง พร้อมประสาน รบ.ทหารเมียนมา เจรจาผลประโยชน์ลงตัว

(12 เม.ย. 67) แหล่งข่าวความมั่นคง กล่าวถึงกรณีมีกระแสข่าวการโจมตี และเข้ายึดพื้นที่เมืองเมียวดีได้แล้ว ว่า จากการข่าวที่รายงานมา ยังไม่มีการสู้รบในตัวเมืองเมียวดี มีแต่การสู้รบล่าสุดคือ ที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ 10 เม.ย.67 บริเวณที่ตั้งของ พัน 275 ซึ่งอยู่ห่างจาก ตัวเมืองเมียวดีประมาณ 1 กม. ห่างจากอำเภอแม่สอด 5 กม. โดย พัน 275 มีทหารอยู่ประมาณ 140 นาย ขณะที่กองกำลังพันธมิตรกะเหรี่ยงเข้าตี ซึ่งประกอบไปด้วย KNLA, KNA (BGF), PDF, KTLA และในช่วงเย็นของวันที่ 10 ทางกองกำลังพันธมิตรกะเหรี่ยง ก็สามารถเข้ายึดค่ายได้โดยทางกองกำลังพันธมิตรกะเหรี่ยงได้เปิดทางให้ ทหารของ พัน 275 วางอาวุธและเดินทางออกจากค่าย ด้วยความปลอดภัย 

ส่วนการสู้รบวานนี้ (11) ที่บริเวณรอบ ๆ พัน 275 ทาง กองทัพอากาศเมียนมาได้นำเครื่องบินมาทิ้งระเบิด ทำให้ประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณรอบ ๆ ที่ตั้งดังกล่าวพากันอพยพหนีการสู้รบจากบริเวณนั้นดังที่ปรากฏในข่าว 

โดยพิกัดดังกล่าวอยู่บริเวณ อ.กอการเร็ก ซึ่งห่างจากแม่สอดประมาณ 60 - 80 กม. ส่วนตามที่ปรากฏในข่าวสาร ว่ามีการเพิ่มเติมกำลังเข้ามาจาก พล ร.เบา 55 นั้น จริง ๆ แล้วการสู้รบในพื้นที่ดังกล่าว เป็นสู้รบที่เกิดขึ้นมานาน และต่อเนี่องมาหลายเดือน และผลจากการต่อสู้ดังกล่าว ไม่ได้ส่งผลกระทบใด ๆ กับชายแดนไทย เพราะการอพยพของประชาชนดังกล่าว จะอพยพไปยังเมือง ไปร่จง, นาบู และ ตามันยะ ที่ไทยเพิ่งส่งความช่วยเหลือเข้าไป เมื่อวันที่ 25 มี.ค.67 ที่ผ่านมา  

สำหรับประเด็นสำคัญ ที่หลายคนอาจจะไม่เข้าใจคือ เมืองเมียวดี เป็นเมืองที่ถือได้ว่าเป็นเส้นเลือดใหญ่ของประเทศเมียนมา ที่ผ่านมามี กองกำลัง BGF ซึ่งเป็นกองกำลังดูแลรักษาความสงบเมืองนี้ โดย BGF เป็นกองกำลังที่ได้รับผลประโยชน์จากประเทศเมียนมาในการดูและรักษาความสงบเรียบร้อยในเมืองเมียวดี 

ทว่า ปัจจุบัน BGF ได้ถอนตัวจากการอยู่ภายใต้รัฐบาลเมียนมา เมื่อวันที่ 11 มี.ค.ที่ผ่านมา และเปลี่ยนเป็น กองกำลัง KNA เพื่อมาร่วมกับกะเหรี่ยงกลุ่มอื่นๆ แต่ถึงจะถอนตัวออกมาจากเมียนมาแล้ว ทาง KNA (BGF) ก็ยังสามารถติดต่อสื่อสารพูดคุยกับทางรัฐบาลของเมียนมาได้ 

นอกจากนี้ ทาง KNA (BGF) ยังปรากฏข่าวสารว่าเป็นผู้ที่เจรจา ให้ทหารพม่ากลุ่มต่าง ๆ ในเมียวดี วางอาวุธโดยไม่ต้องสู้รบ เพื่อที่จะได้ไม่สร้างความเสียหาย ให้กับเมืองเมียวดีและประชาชน โดยมีข่าวสารจากแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือได้ กล่าวว่า เริ่มมีการพูดคุยถึงการขับเคลื่อนเมืองเศรษฐกิจเมืองเมียวดี ให้กลับมาปกติ ดำเนินชีวิตอย่างเดิมกันต่อไป โดยทางรัฐบาลเมียนมา อาจจะให้ทางพันธมิตรกะเหรี่ยง เป็นผู้ดูแลบริหารจัดการสะพานมิตรภาพทั้ง 2 แห่ง โดยแบ่งปันสัดส่วนผลประโยชน์ให้เป็นที่พึงพอใจกันทุกฝ่าย สถานการณ์ในเมืองเมียวดี จึงยังไม่มีความน่าวิตกกังวลใด ๆ

"ที่ผ่านมาประชาชนส่วนใหญ่ก็เริ่มกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิม ใครที่ออกจากบ้าน ไปด้วยความกังวลสถานการณ์สู้รบ ก็จะเริ่มเดินทางกลับเข้าไป โดยสรุปสถานการณ์ ในเมืองเมียวดี น่าจะกลับมาปกติในเร็ววัน ไม่มีสถานการณ์ใดที่น่ากังวลตามที่ปรากฏตามสื่อต่าง ๆ ในห้วงที่ผ่านมา" แหล่งข่าวความมั่นคง ระบุ

'ประเทศไทย' ไม่ตกต่ำ เพราะนักการเมืองชั่ว แต่อาจพังพินาศ เมื่อมีคนมัว 'หลงเลว' ไม่เลิก

คนไทยยุคสมัยนี้มีจำนวนไม่น้อย มักจะยึดเอา 'สิ่งที่ถูกใจ' วางอยู่เหนือ 'ความถูกต้อง' เป็นเหตุให้บ้านเรามีแต่ความขัดแย้ง ขาดความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เรื่องที่ดูง่ายที่สุด คือ เรื่องรสนิยมในทางการเมือง 

คนส่วนใหญ่ไม่ว่าจะชอบพรรคการเมืองใด ก็จะ 'หน้ามืดตามัว' ใครจะมาแตะต้องก็จะออกหน้ารับแทน เวลาพรรคการเมืองที่ตนเองเชียร์ทำผิดขนาดว่ามีหลักฐานมัดแน่น ก็ยังกล้ามาแก้ตัวให้แบบข้าง ๆ คู ๆ 

ส่วนพวกที่ 'หน้าไม่ด้านพอ' ก็มักจะหายศีรษะไปเงียบ ๆ หันไปสายลมแสงแดดก่อน รอเวลาที่พรรคของตัวเองทำเรื่องดี ๆ เกิดขึ้น ก็จะพากันออกมา 'รวมพลังบาป' เขียนชื่นชมจนเกลื่อนโซเชียล คนที่เลือกเป็น 'ทาสพรรคการเมือง' ก็มักจะมีพฤติกรรมเน่า ๆ เช่นนี้ให้เห็นเสมอ 

หาได้น้อยมาก ๆ ที่เราจะเห็น 'คนเต็มคน' ดำเนินชีวิตไปด้วยวิจารณญาณ ที่เวลาจะรักใคร สนับสนุนใคร ก็ด้วยเหตุผลที่มาจาก 'ความจริงแท้' มิใช่เมื่อพบเห็นว่าทำชั่วกับสังคม ทำผิดกฎหมายบ้านเมือง ทรยศประชาชนด้วยกันแล้ว ก็ยังปกป้องชนิดไม่ลืมหูลืมตา

ตัวอย่างง่าย ๆ ขนาด 'นักโทษหนีคดี' เจ้าของพรรคเผาเมืองตัวจริง พูดจาโกหก หลอกลวงคนไทยมานับไม่ถ้วน ก็ยังมี 'ประชาชนผู้เบาปัญญา' หลงเชื่อขี้ปาก ลืมสิ้นความเลวที่เคยทำไว้กับแผ่นดินไทย พากันโหมกาเลือกจน 'พรรคโกงจำนำข้าว' สามารถกลับมามีอำนาจต่อรองได้อีกครั้ง 

ตัวอย่างถัดมา พรรคการเมืองรุ่นใหม่ ที่เดินหน้า 'ล้มล้างสถาบัน' เป็นงานหลัก 'ซุกกระโปรงเด็กให้ทำชั่วแทน' เป็นงานรอง มี สส. หนีการเกณฑ์ทหาร ทั้งผิดกฎหมาย ผิดจริยธรรมรุนแรง ยังถือเป็นการ 'เอาเปรียบชายไทยร่วมชาติเดียวกัน' อย่างหน้าด้าน ๆ หลอกคนทั้งประเทศเพื่อเข้ามากินเงินเดือนจากภาษีอันเหนื่อยยากของประชาชน คนที่รักความชอบธรรม มีสำนึกของความเป็นคน ก็ไม่ลืมที่จะร่วมมือกันเอาผิด ยกเว้น 'คนใจบอด' ที่ยังคงส่งเสียงให้กำลังใจ 'สส.หนีทหาร' ไม่เว้นวัน 

ผมค่อนข้างเชื่อว่าประเทศไทยจะไม่มีวันตกต่ำยากแค้นเพราะ 'นักการเมืองชั่ว' แต่แผ่นดินทองจะพังพินาศเพราะเรามี 'ประชาชนที่โง่'

คนโง่ที่ยัง 'หลงเลวไม่เลิก' ต่างหาก ที่เป็นอันตรายตัวจริง 

'รัดเกล้า' ชี้!! 'ครม.' เห็นชอบฟรีวีซ่า 'รัสเซีย' 60 วัน  เชื่อ 'ดึงดูดนทท.-กระตุ้นเศรษฐกิจ' เริ่ม 1 พ.ค.-31 ก.ค.นี้

(23 เม.ย.67) นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า​ ในปี 2566 มีนักท่องเที่ยวชาวรัสเซียเดินทางมาประเทศไทยมากกว่า 1.61 ล้านคนซึ่งมากเป็นอันดับหนึ่งของนักท่องเที่ยวจากภูมิภาคยุโรปและมากเป็นอันดับห้าของนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมดที่เดินทางเข้าประเทศไทย โดยประเทศไทยมีรายได้จากนักท่องเที่ยวชาวรัสเซีย รวม 84,666 ล้านบาท ซึ่งหากย้อนไปเมื่อวันที่ 13 ธ.ค.2548​ ประเทศไทยและรัสเซียได้ลงนามความตกลงว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราหนังสือเดินทางธรรมดาร่วมกัน​ ส่งผลให้ผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดาไทยและรัสเซียสามารถเดินทางระหว่างกันและพำนักในประเทศได้ไม่เกิน 30 วัน โดยไม่ต้องขอรับการตรวจลงตรา

ต่อมา ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง กำหนดรายชื่อประเทศที่ผู้ถือหนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางซึ่งเข้ามาในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวเพื่อการท่องเที่ยว ได้รับการยกเว้นการตรวจลงตราและให้อยู่ในราชอาณาจักรได้ไม่เกิน 90 วัน เป็นกรณีพิเศษ โดยมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.2566 ถึงวันที่ 30 เม.ย.2567​ กล่าวคือหมดเขตสิ้นเดือนนี้นั่นเอง

เพื่อความต่อเนื่องของมาตรการ วันนี้ (23 เม.ย.) ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติและเห็นชอบการยกเว้นการตรวจลงตรา (VISA) เพื่อการท่องเที่ยวให้แก่ผู้ถือหนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางสัญชาติรัสเซีย เป็นกรณีพิเศษและเป็นการชั่วคราว ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้

1.อนุมัติในหลักการในการกำหนดให้ ‘สหพันธรัฐรัสเซีย’ อยู่ในรายชื่อประเทศในประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องกำหนดรายชื่อประเทศที่ผู้ถือหนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางซึ่งเข้าในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวเพื่อการท่องเที่ยว ได้รับการยกเว้นการตรวจลงตราและให้อยู่ในราชอาณาจักรได้ไม่เกิน 60 วัน เป็นกรณีพิเศษ โดยมีเงื่อนไขให้มีผลบังคับใช้ชั่วคราว ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค.2567 ถึงวันที่ 31 ก.ค.2567เพื่อประโยชน์ต่อมิติเศรษฐกิจและการต่างประเทศกับสหพันธรัฐรัสเซีย โดยเฉพาะด้านความเชื่อมโยงระหว่างประชาชนที่เป็นรากฐานของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

2. ให้ความเห็นชอบร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง กำหนดรายชื่อประเทศที่ผู้ถือหนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางซึ่งเข้ามาในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวเพื่อการท่องเที่ยว ได้รับการยกเว้นการตรวจลงตราและให้อยู่ในราชอาณาจักรได้ไม่เกินหกสิบวัน เป็นกรณีพิเศษ และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงมหาดไทย (มท.) และสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองดำเนินการปรับปรุงแก้ไขประกาศหรือกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป

3. มอบหมายให้หน่วยงานความมั่นคงที่เกี่ยวข้องกำกับติดตามและประเมินผลกระทบจากการออกประกาศกระทรวงมหาดไทยฉบับนี้ ทั้งนี้ หากมีผลกระทบต่อความมั่นคงและผลประโยชน์แห่งชาติ หน่วยงานความมั่นคงที่เกี่ยวข้องอาจเสนอต่อคณะรัฐมนตรีพิจารณายกเลิกประกาศกระทรวงมหาดไทยดังกล่าวต่อไปได้

“การยกเว้นการตรวจลงตราเป็นการดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวรัสเซียให้เดินทางมาท่องเที่ยวและพำนักในราชอาณาจักรตั้งแต่ช่วงเดือนพฤษภาคมถึงเดือนกรกฎาคม 2567 ซึ่งจะช่วยเพิ่มรายได้ของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและกระตุ้นเศรษฐกิจไทยในภาพรวมอีกด้วย” รองโฆษกฯ​ กล่าว

เอกอัครราชทูต (Ambassador) ศักดิ์ศรีของประเทศ ผู้แทนของพระราชา

โลกใบนี้มีประเทศต่าง ๆ อยู่เกือบ 200 ประเทศ ซึ่งมีความแตกต่างกันในหลากหลายมิติไม่ว่าจะเป็นเชื้อชาติ ศาสนา ความเชื่อ การเมืองการปกครอง เศรษฐกิจ สังคม ฯลฯ 

การที่จะทำให้พลโลกอยู่รวมกันอย่างมีสันติสุข โดยให้เกิดความขัดแย้งน้อยที่สุด และเพื่อป้องกันไม่ให้ขยายตัวจนกลายเป็นความรุนแรง จนกลายเป็นสงครามระหว่างกันนั้น ทุก ๆ ประเทศจึงต้องมีไมตรีจิตและมิตรภาพอันดีต่อกัน

แน่นอนว่า การสร้างและรักษาไมตรีจิต-มิตรภาพอันดีระหว่างประเทศ 2 ประเทศนั้น จะดำเนินไปได้ด้วยดีถ้าทั้งสองประเทศมีผู้ที่ทำหน้าที่เป็นตัวแทน, ผู้รับเจรจาแทน หรือตัวเชื่อมระหว่างกัน ซึ่งก็เป็นหน้าที่ของนักการทูตของประเทศนั้น ๆ โดยมี ‘เอกอัครราชทูต’ (Ambassador) เป็นหัวหน้าคณะ ทำหน้าที่เป็นตัวแทนทางการทูตระดับสูงที่ได้รับการแต่งตั้งจากรัฐบาลของประเทศนั้น เพื่อเป็นตัวแทนผลประโยชน์ของประเทศตนในประเทศที่ตนประจำการอยู่ 

บทบาทหลักของ ’เอกอัครราชทูต’ คือการสร้างและรักษาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างทั้งสองประเทศ อำนวยความสะดวกด้านการค้าและการพาณิชย์ และส่งเสริมโครงการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมและการศึกษา ทั้งยังต้องทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานในการสร้างสัมพันธไมตรีอย่างเป็นทางการระหว่างประเทศตนและประเทศที่ประจำการ, รายงานข้อมูลข่าวสารของประเทศที่ไปประจำการให้รัฐบาลทราบเพื่อปรับเปลี่ยนนโยบายการทูตให้ถูกต้องเหมาะสมกับประเทศนั้น ๆ, ดำเนินนโยบายทางการทูต เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประเทศ, แนะนำโน้มน้าวให้ประเทศที่ไปประจำการดำเนินนโยบายที่เกิดประโยชน์ต่อประเทศ และแนะนำมาตรการรับมือกรณีมีเหตุจำเป็นให้แก่รัฐบาล ฯลฯ

สำหรับบ้านเรา ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรด้วยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ดังนั้นตำแหน่ง ‘เอกอัครราชทูต’ (หัวหน้าทูตของพระราชา) เป็นตำแหน่งที่ต้องให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ต้องเข้าเฝ้าเพื่อกราบถวายบังคมลาไปปฏิบัติหน้าที่ รับพระราชทานเจิม และรับพระราชทานพระราชสาส์นตราตั้ง เพื่อนำไปยื่นต่อประมุขของประเทศที่ตนเองไปประจำการ เรียกได้ว่านอกจากจะเป็นทั้งตัวแทนและภาพลักษณ์ของประเทศแล้ว ตำแหน่ง ‘เอกอัครราชทูต’ นั้นยังถือเป็นผู้แทนพระองค์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอีกด้วย 

เนื่องจากตำแหน่ง ‘เอกอัครราชทูต’ เป็นตำแหน่งสำคัญด้วยเพราะเป็นทั้งตัวแทนและภาพลักษณ์ของประเทศ จึงมีการพิจารณาคัดกรองบุคคลที่จะเข้ามาทำหน้าที่นี้เป็นอย่างดี โดยทั่วไปแล้วผู้ที่จะได้ดำรงตำแหน่ง ‘เอกอัครราชทูต’ นั้นจะได้ถูกการคัดเลือกจากเจ้าหน้าที่ของกระทรวงการต่างประเทศที่มีทักษะทางการทูต ความรู้ภาษาต่างประเทศ และความเชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ด้วยเพราะแม้ว่าเกือบ 200 ประเทศบนโลกนี้ แต่ไทยเรามีสถานทูตเพียง 67 แห่ง นั่นหมายถึงว่า นักการทูตที่จะก้าวสู่ตำแหน่ง ‘เอกอัครราชทูต’ นั้นจะต้องมีทั้งความสามารถและประสบการณ์ในการทำงานอย่างยอดเยี่ยม มีวัตรปฏิบัติอันเป็นที่ยอมรับ นับถือ และชื่นชมของบรรดาผู้คนในสังคมโดยรวม 

นอกจากนี้แล้วตำแหน่งนี้มิใช่ว่าจะเป็นการแต่งตั้งเฉพาะประเทศนั้น ๆ แต่กระทรวงต่างประเทศยังต้องส่งข้อมูลประวัติของผู้ที่จะดำรงตำแหน่งนี้ไปให้ประเทศที่จะไปประจำการพิจารณาตรวจสอบด้วย 

นักการทูตไม่ว่าระดับ ‘เอกอัครราชทูต’ หรือคณะเจ้าหน้าที่ทางการทูต ฯลฯ ของไทยนั้น ถือเป็นกลุ่มบุคคลที่ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติด้วยวัตรปฏิบัติในต่างแดนนั้น สุภาพ อ่อนโยน สมกับเป็นตัวแทนของคนไทยทั้งประเทศ โดยปัจจุบันนอกจากกระทรวงการต่างประเทศที่ส่งคณะทูตไปประจำยังมิตรประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกแล้ว แทบทุกกระทรวงได้ส่งเจ้าหน้าที่ไปปฏิบัติงานในประเทศที่มีความสำคัญต่อภารกิจของกระทรวงนั้น ๆ อีกด้วย

โดยสรุปแล้ว นักการทูตไทยนั้น ปฏิบัติตนตามแบบแผนพิธีการทางการทูต (Diplomatic protocol) ได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม เป็นอย่างดี จึงได้รับการยอมรับและชื่นชมยินดีจากทุก ๆ ประเทศที่มีนักการทูตไทยไปประจำการ แตกต่างจากหลาย ๆ ประเทศ โดยเฉพาะประเทศมหาอำนาจตะวันตกที่มักจะให้นักการทูตของตนเข้าไปวุ่นวายแทรกแซงประเทศต่าง ๆ เพียงเพื่อผลประโยชน์และความต้องการของประเทศตน โดยไม่คำนึงถึง มารยาท ความถูกต้องเหมาะสม ตามแบบแผนพิธีการทางการทูต ทำให้ประชาชนของประเทศที่ไปประจำการเกิดความเกลียดชังจนกระทบไปถึงภาพลักษณ์ของประเทศของตนโดยรวมอีกด้วย

‘ไทย’ ครองอันดับ 1 ประเทศน่าไปเยือนที่สุดในโลกปี 2024 ชนะขาดด้วยคะแนน 72.15 จากผลสำรวจของ CEOWORLD

(26 เม.ย. 67) ถือเป็นเรื่องราวน่ายินดีสำหรับคนไทย เมื่อเว็บไซต์นิตยสารชื่อดังอย่าง CEOWORLD Magazine จัดอันดับประเทศในโลกที่ควรเยี่ยมชมที่สุดในชีวิตปี 2024

นิตยสาร CEOWORLD รวบรวมรายชื่อประเทศในโลกที่ควรไปเยือนในช่วงชีวิต โดยการจัดอันดับอิงตามความคิดเห็นจากผู้อ่านมากกว่า 295,000 ราย ถือเป็นระดับการมีส่วนร่วมสูงสุดในประวัติศาสตร์ของนิตยสาร

ปรากฎว่าประเทศไทยติดอันดับ 1 จาก 67 ประเทศทั่วโลก ด้วยคะแนน 72.15 ตามมาด้วย ประเทศกรีซ คะแนน 67.22, ประเทศอินโดนีเซีย คะแนน 65.15, โปรตุเกส คะแนน 64.32, ศรีลังกา คะแนน 60.53

ทั้งนี้ เว็บนิตยสารดังกล่าวระบุไว้ว่า ประเทศไทยประกอบด้วยความหลากหลาย เช่น สถานบันเทิงยามค่ำคืน, อาหารอร่อย, ศิลปะและวัฒนธรรมที่มีชีวิตชีวา, แหล่งช็อปปิ้งที่ดีเยี่ยม, แม่น้ำลำคลองที่คดเคี้ยวอย่างสวยงาม, วัดวาอาราม, ตลาดกลางคืน

หากมองหาความสงบในช่วงวันหยุดควรไปเกาะบางกระเจ้า ที่ตั้งอยู่ อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ ซึ่งห่างจากความวุ่นวายของเมืองที่มีวัด ตลาดน้ำ สวนสาธารณะสุดพิเศษ รวมถึงบ้านที่มีเรื่องราว

‘กรมอุตุ’ โต้ข่าวปลอม เมืองไทยร้อน ถึงเดือนกันยาฯ แจง!! กลางเดือนพฤษภาฯ จะเริ่มมีฝนตก มาคลายร้อน 

(28 เม.ย. 67) ตามที่มีสื่อสังคมออนไลน์ ได้เผยแพร่และแจ้งเตือน วิกฤตโลกอากาศสุดขั้วไทยร้อนต่อถึงเดือนกันยายน นั้น กรมอุตุนิยมวิทยาขอชี้แจงว่า

ฤดูร้อนของประเทศไทย โดยปกติจะเริ่มตั้งแต่กลางเดือนกุมภาพันธ์ไปจนถึงกลางเดือนพฤษภาคม ของทุกปี รวมระยะเวลาราว 2 เดือนครึ่ง โดยในช่วงนี้เป็นช่วงที่โลกเคลื่อนที่เข้าใกล้ดวงอาทิตย์ และดวงอาทิตย์จะทำมุมตั้งฉากกับเขตโซนร้อนพอดี (เนื่องจากประเทศเราอยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตรมาก)

โดยเฉพาะเดือนเมษายน บริเวณประเทศไทย ดวงอาทิตย์จะอยู่เกือบตรงศีรษะในเวลาเที่ยงวัน ทำให้ได้รับรังสีจากดวงอาทิตย์เต็มที่ ในช่วงฤดูร้อน ทิศทางลมมีความแปรปรวน บางวันลมมีกำลังอ่อน ประกอบกับมักมีหย่อมความกดอากาศต่ำเนื่องจากความร้อนปกคลุมอยู่เป็นประจำ จึงทำให้อากาศค่อนข้างร้อนอบอ้าว โดยมีอากาศร้อนถึงร้อนจัด อุณหภูมิบางวันสูงกว่า 40 องศาเซลเซียส

แต่พอเข้าสู่ฤดูฝน ซึ่งเริ่มตั้งแต่กลางเดือนพฤษภาคมถึงประมาณกลางเดือนตุลาคม ลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นลมที่มีความชื้นพัดปกคลุมประเทศไทย ลมนี้ยังช่วยระบายอากาศร้อน และทำให้มีฝนตกเพิ่มขึ้นโดยทั่วไป ซึ่งจะทำให้อุณหภูมิของอากาศคลายความร้อนลงได้

ดังนั้นเดือนกันยายน ซึ่งเป็นช่วงปลายของฤดูฝน โดยปกติจะมีฝนตกชุกเกือบทุกภาคของประเทศไทย อุณหภูมิเฉลี่ยของอากาศจะไม่สูงนัก เนื่องจากมีฝนตก ความชื้นสูง มรสุมมีกำลังแรง สถานการณ์ความร้อนจะคลื่คลายลง จึงไม่เกิดวิกฤตโลกอากาศสุดขั้วไทยร้อนถึงกันยายน

หากมีสภาพอากาศที่คาดว่าจะมึความรุนแรงและมีผลกระทบ กรมอุตุนิยมวิทยา จะออกประกาศให้ทราบทันที และขอให้ติดตามข่าวพยากรณ์อากาศเป็นระยะๆ


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top