Tuesday, 30 April 2024
ประเทศไทย

ไทยติดอันดับ 3 อินเทอร์เน็ตเร็วสุดในโลก เป็นรองแค่ 'ชิลี - สิงคโปร์' เท่านั้น

เมื่อวันที่ (8 ก.ย. 65) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับการอำนวยความสะดวกเครือข่ายอินเทอร์เน็ตให้ประชาชนเข้าถึงได้ ทุกหมู่บ้าน ทั่วประเทศ โดยประเทศไทยให้บริการอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์เร็วที่สุด เป็นอันดับ 3 ของโลก และมีพื้นที่ให้บริการ 5G ครอบคลุมมากกว่าร้อยละ 90 ของประเทศ 

นายอนุชา กล่าวว่า จากการเก็บรวบรวมข้อมูลของ Ookla ผู้ให้บริการทดสอบความเร็วอินเทอร์เน็ตชื่อดัง รวบรวมข้อมูลตั้งแต่กุมภาพันธ์ปี 2021 จนถึงเดือนก.ค. ปี 2022 พบว่าประเทศ ชิลี สิงคโปร์ และไทย เป็น 3 อันดับแรก ที่มีความเร็วอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์สูงสุด (https://www.speedtest.net/global-index

โดยสิงคโปร์และชิลีที่มีความเร็วเกิน 200 เมกะบิตต่อวินาที (Mbps) ในขณะที่ไทยมีความเร็วอยู่ที่ 189.64 เมกะบิตต่อวินาที (Mbps) ซึ่งเร็วกว่าอีกหลายประเทศอย่างฮ่องกง มาเก๊า และสหรัฐฯ

'อัษฎางค์' ชี้!! 3 ปัจจัยที่ทำให้ฝรั่งดูเจริญกว่าไทย พร้อมเปิดอีกมุม 'ค่าครองชีพ-ค่าแรง-ย้ายประเทศ'

นายอัษฎางค์ ยมนาค นักวิชาการอิสระ โพสต์เฟซบุ๊ก 'เอ็ดดี้ อัษฎางค์ ยมนาค' โดยระบุว่า...

“ค่าครองชีพ ค่าแรง ย้ายประเทศ”

จะเล่าอะไรให้ฟัง จากคนที่มีประสบการณ์อยู่ในออสเตรเลียมากว่า 20 ปี

ผมมาออสเตรเลียครั้งแรกก็ติดใจสิ่งแวดล้อมของประเทศเขา

สิ่งแวดล้อมในที่นี้คือ บ้านเรือน ผู้คน รวมถึงสิ่งแวดล้อมทางการศึกษา

ผมก็กลับไปหอบครอบครัวมาอยู่ออสเตรเลีย อยากให้ลูกโตมาในสิ่งแวดล้อมแบบนี้ 

แต่ไม่ได้ย้ายประเทศ เพราะเมืองไทยมันห่วย รัฐบาลไทยมันห่วย สถาบันพระมหากษัตริย์เอาเปรียบประชาชน ไม่มีเรื่องพวกนี้ 

ผมรักเมืองไทย รักความเป็นไทย และจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์

สิ่งที่น่ารังเกียจที่สุดสำหรับผมเกี่ยวกับเมืองไทย คือ การเมือง 

การเมืองไทยที่มีนักการเมือง (บางส่วนหรือส่วนใหญ่) ที่มักอ้างว่าเป็นตัวแทนประชาชน อ้างว่าเข้ามาทำงานการเมืองเพื่อชาติและประชาชน ทั้งที่เขาทำทุกอย่างเพื่อตนเองและพวกพ้อง

แต่การย้ายประเทศของผม เกิดจากแรงบันดาลใจจากคนรุ่นก่อนๆ และการอยากผจญภัย ซึ่งมันมีอยู่ในตัวมนุษย์ทุกคน 

ย้ายมาอยู่เมืองฝรั่ง เพราะอยากรู้ว่า ฝรั่งเจริญกว่าไทยตรงไหน ได้อย่างไร ก็ลองมาใช้ชีวิตอยู่ในเมืองเขาเลย ให้มันรู้กันไป

>> แค่เพียงไม่กี่เดือน ผมก็ได้คำตอบว่า ฝรั่งเจริญก้าวหน้ากว่าไทยเพราะ...

***หนึ่ง ไม่มีคอร์รัปชัน (จริงๆ มีแต่น้อยกว่าไทยหลายเท่า)

คอร์รัปชัน คือ ปัญหาอันดับ 1 ที่กีดกั้นความเจริญก้าวหน้าของชาติ

***สอง การศึกษาที่มุ่งเน้นให้นักเรียนนักศึกษา หาคำตอบหรือทางแก้ไขปัญหา และคิดค้นสิ่งใหม่ๆ ไม่ใช่ท่องจำบทเรียน ที่เขียนกันไว้มานานแสนนาน มีแต่การจดจำ คัดลอก เลียนแบบ ซึ่งสร้างปัญหาต่อคนไทยอยู่ทุกวันนี้ เพราะลองถ้าเชื่อใครเข้าแล้ว จะเชื่อเขาแบบไม่ลืมหูลืมตา ไม่รู้ถูกรู้ผิด แยกแยะดีชั่วไม่ได้ 

***สาม การสร้างจิตสำนึกให้พลเมืองของเขาเข้าใจใน ”หน้าที่พลเมือง” ตั้งแต่เป็นเด็กน้อย

>> ผมว่า 3 สิ่งนี้คือหัวใจสำคัญ 

พลเมืองต้องรู้จักหน้าที่ของตน ต้องมีจิตสำนึก ต้องแยกแยะผิดชอบชั่วดีได้ ต้องซื่อสัตย์ต่อตนเอง ต่อผู้อื่น ต่อหน้าที่รับผิดชอบของตน

สิ่งเหล่านี้คือ สิ่งที่ผมตามหา และพาครอบครัวโดยเฉพาะลูกน้อยที่จะเป็นอนาคตของประเทศชาติและของสังคมโลก ให้มารับการฝึกฝน อบรม บ่มนิสัย ในสิ่งเหล่านั้น

ผมไม่ได้ย้ายประเทศเพราะ ค่าแรงงานเมืองไทยต่ำ ค่าครองชีพสูง ความเหลื่อมล้ำทางสังคม ต่างๆ นานา

ไม่ได้ย้ายประเทศเพราะ มาอยู่เมืองนอกแล้วจะทำให้กินจิ้มจุ่มได้ 4 หม้อ หรือกินส้มตำได้ 7 จาน ซึ่งผิดกับตอนอยู่เมืองไทยที่กินจิ้มจุ่มได้แค่ 1 หม้อกินส้มตำได้แค่ 1 จาน 

ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในชีวิตผมทันทีที่ย้ายประเทศคือ ผมไม่สามารถเดินมาปากซอยหรือซอยถัดๆ ไปแล้วมีร้านอาหารเป็นร้อยให้เลือกกิน ในราคาที่กินได้ จนถึงดึกดื่นเที่ยงคืน

แต่ผมอยู่เมืองนอก 5-6 โมงเย็น ห้างร้านปิดหมด แหล่งที่จะมีร้านอาหารขายถึงมืดนั้นมีอยู่เป็นจุดๆ ในเขตชุมชนที่ห่างไกลออกไปเท่านั้น

อยากกินบะหมี่หมูแดง ส้มตำ ข้าวมันไก่ ต้องขับรถไปหลายกิโลหรือหลายสิบกิโล ถึงจะมี หรือทั้งเมืองอาจมร้านขายส้มตำเพียงร้านเดียว

คนไทยที่มีรายได้เท่ากับหรือใกล้เคียงกับฝรั่ง คือคนไทยที่ทำงานหามรุ่งหามค่ำ วันละ 2-3 jobs นอนวันละ 4-5 ชั่วโมง จนไม่มีเวลาจะทำกิจกรรมอื่นๆ เลย 

ไอ้เรื่องที่จะออกไปกินจิ้มจุ่มได้ 4 หม้อ หรือกินส้มตำได้ 7 จาน นานๆ จะเกิดขึ้นเสียที ไม่ใช่เพราะไม่มีเงิน แต่เพราะไม่มีเวลา

ถ้ายังนึกภาพไม่ออก ก็ให้นึกถึงภาพแรงงานพม่าที่เข้ามาทำงานในเมืองไทย คนพวกนั้นหาเงินได้มากกว่าคนไทยอีกจำนวนมาก แล้วดูความเป็นอยู่ของเขาซิ ทำงานอย่างเดียว เก็บเงินส่งกลับบ้าน ส่วนชีวิตตัวเอง อยู่อย่างอัตคัดหรืออย่างประหยัดสุดๆ ค่าแรงในเมืองไทยของแรงงานพม่า ก็ทำให้เขามีเงินกินจิ้มจุ่มได้ 4 หม้อเหมือนกัน แต่นานๆ เขาถึงจะมีโอกาสได้กินเสียที

ถามจริงว่า แบบไหนน่าจะมีความสุขมากกว่ากัน ระหว่างหาเงินได้มาก แต่เวลาทั้งหมดในแต่ละวันของชีวิตหมดไปกับการทำงานหาเงิน กับหาเงินได้น้อยนิด แต่เป็นความน้อยที่มีเวลาและเงินมากพอที่ออกไปกินอะไรที่อยากกินได้ตลอดเวลาทุกวัน

ผมมาอยู่ออสเตรเลียไม่กี่ปี ผมก็มีรายได้เป็นแสน ในขณะที่เพื่อนในเมืองไทยยังมีเงินเดือนหลักหมื่นต้นๆ

ผ่านไป 20 กว่าปี เพื่อนๆ ในเมืองไทยที่เคยกินเงินเดือนหมื่นต้นๆ ตอนนี้ บางคนเป็นเจ้าของกิจการ บางคนเป็นผู้อำนวยการ บางคนเป็นรองประธาน บางคนเป็น CEO ไปแล้ว เงินเดือนเป็นแสนเป็นล้านแล้ว

>> มาอยู่เมืองนอกแล้วจะมีอนาคตดีกว่าคนอยู่เมืองไทยจริงหรือ ?

คำตอบ คือ ไม่เสมอไป มีทั้งดีและไม่ดี ก็เหมือนอยู่เมืองไทย มันขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง

คนที่อยู่เมืองนอกจะมีสักกี่คนที่ได้เป็นผู้บริหารใหญ่ในบริษัทฝรั่ง ! ส่วนใหญ่ยังคงมีอาชีพเดิม ทำงานแบบเดิมๆ อย่างที่เคยทำ

>> ชีวิตในเมืองนอก ดีกว่า ในเมืองไทยจริงหรือ ?

ค่าแรงแพง มันหมายความว่า ทุกอย่างก็แพงตามกันไปหมด ไม่ใช่ว่าเราได้ค่าแรงแพงแล้วเราจะจ่ายเงินซื้อของได้ทุกอย่าง

ยกตัวอย่างง่ายๆ สักเรื่องสองเรื่อง

ห้างร้านปิดตั้งแต่เย็นเพราะอะไร เคยรู้กันบ้างมั้ย?

ห้างร้านทั้งใหญ่น้อย ปิด 5 หรือ 6 โมงเย็นเพราะถ้าไม่ปิด เจ้าของธุรกิจต้องจ่ายค่าแรงพนักงานเป็นเท่าตัว พอค่าแรงแพง เจ้าของธุรกิจก็จ่ายไม่ไหว คนจะไปซื้อของก็จ่ายไม่ไหวเหมือนกัน

สมัยแรกๆ ที่มาอยู่ที่นี่ ผมเคยขับรถ(มือสอง)แล้วโดนชน 2 ครั้ง ทั้ง 2 คัน บริษัทประกันไม่จ่ายค่าซ่อมให้ แต่จ่ายเป็นราคาประเมินตามราคาตลาด ให้ไปซื้อคันใหม่ เพราะค่าแรงที่จะซ่อมแพงเหมือนไปซื้อใหม่

ผมเคยทำงาน 2 Jobs ได้เงินเดือนเยอะมาก แต่พอสิ้นปี จ่ายภาษีแล้วตกใจ ปีต่อไป ผมเลิกทำงานแบบนั้นเลย เพราะเหมือนว่า เราทำงานเพื่อจ่ายให้รัฐบาล แล้วรัฐบาลเอาเงินของเราที่ทำงานหามรุ่งหามค่ำนั้น ไปเลี้ยงคนออสซี่ที่ไม่ทำงาน 

เหมือนที่เด็กสามนิ้วเรียกร้องรัฐสวัสดิการนั้นแหละ สวัสดิการ ที่เอาเงินจากคนที่รายได้มาก จากที่เขาทำงานหนัก ไปให้คนมีรายได้น้อย ซึ่งส่วนใหญ่ก็คือคนไม่ยอมไปทำงาน นี่แหละความเท่าเทียมกันกับรัฐสวัสดิการ

แล้วคนไทยในออสเตรเลียทำอย่างไรรู้มั้ย เขาก็หางานที่รับเป็นเงินสด เพื่อหลบภาษี หลบทั้งนายจ้างและลูกจ้าง ซึ่งมันคือการคอรัปชั่น แล้วมันจะหวนไปบั่นทอนประเทศชาติในที่สุด

แจ้งรัฐบาลว่ามีรายได้น้อย เพื่อรับสวัสดิการจากรัฐ แต่แอบทำงานมีรายได้มหาศาล รับทั้งขึ้นทั้งล่องตามวิถีคอรัปชั่นโกงๆ แบบไทย

คนไทยทำกันแบบนี้ไง เหมือนในเมืองไทย พ่อค้าแม่ขายหาเงินกันได้มากๆ ทั้งนั้น แต่แจ้งว่ารายได้ต่ำ เพื่อเลี่ยงภาษี แล้วก็เรียกร้องรัฐสวัสดิการ แต่ไม่มีใครคิด ว่าในเมื่อทุกคนทำแบบนี้ รัฐจะมีรายได้ที่ไหนไปทำรัฐสวัสดิการ

สมัยผมมาแรกๆ ยังเรียนหนังสือ รู้มั้ยมื้อกลางวันผมกิน แมคโดนัลด์ แทบทุกวัน เมืองไทยเป็นของแพงใช่มั้ย เป็นร้านที่คนจนๆ ไม่มีปัญญาเข้าใช่มั้ย

แต่ในเมืองนอก มันคืออาหารราคาถูก อาจจะพูดได้ว่า เหมือนข้าวไข่เจียวหรือข้าวแกงในเมืองไทยดีๆ นั้นเอง

ผมกินแมคโดนัลด์ เพราะมันไม่ถึง 10 เหรียญ ในขณะที่ข้าวผัดกระเพราไข่ดาวกับโค้กสักแก้วต้องมี 20 เหรียญ

20 เหรียญสมัยนั้นคือ 600 กว่าบาท

'อัษฎางค์' ชี้!! ปัญหาน้ำท่วมมีมาตลอด 200 กว่าปี แต่ไม่ใช่เพราะฝนตกหนักที่สุดในรอบ 6 ปี 30 ปี 100 ปี

นายอัษฎางค์ ยมนาค นักวิชาการอิสระ โพสต์เฟซบุ๊ก 'เอ็ดดี้ อัษฎางค์ ยมนาค' โดยระบุว่า...

“ปัญหาไม่ได้อยู่ที่น้ำมากที่สุดในรอบกี่ปี แต่อยู่ที่ผู้ว่าที่ไม่รู้จักการจัดการกับปัญหาที่มันมีอยู่คู่กับกรุงเทพตลอดมาต่างหาก”

ไอ้ที่ท่วมหนักปีนี้ ไม่ใช่เพราะฝนตกหนักที่สุดในรอบ 6 ปี 30 ปี 100 ปี หรอก

แต่หนักตรงที่มีผู้ว่าที่ “ไม่มีปัญญาจัดการกับปัญหาที่มันมีอยู่ทุกปี” ต่างหาก

ทำให้ปีนี้หนักที่สุด 
เขตไหนไม่เคยท่วม ก็ท่วม

ปัญหาน้ำท่วม อยู่คู่กับกรุงเทพมา 200 กว่าปีแล้ว

ปีไหนที่มันท่วมหนัก ไม่ใช่เพราะปัญหาจากน้ำหรอก เพราะน้ำคือปัจจัยพื้นฐานที่อยู่คู่กับปัญหาน้ำท่วม ที่ใครจะมาเป็นผู้ว่า ควรรู้อยู่แล้ว มิใช่หรือ

ย้ำว่า ปัญหาไม่ได้อยู่ที่น้ำ เพราะน้ำท่วมมาตลอด 200 กว่าปีแล้ว ตั้งแต่ตั้งกรุงเทพฯ แล้ว

แต่อยู่ที่ผู้นำไม่รู้จักการจัดการกับปัญหาที่มันมีอยู่คู่กับกรุงเทพฯ มาตลอด 200 กว่าปีต่างหาก

ตัวเองก็อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ มาตลอดชีวิต

แถมบอกว่า ได้ศึกษา เตรียมตัว มาก่อนเป็นผู้ว่ากว่า 2 ปี

ฝนตกตูมเดียว กรุงเทพฯ จมน้ำทันที 

'แรมโบ้' ยก 10 ข้อเลวร้าย หากนายกฯ ชื่อ 'ทักษิณ' ชี้!! การทำรัฐประหารไม่ได้เลวร้าย ดีกว่ามีนายกฯ ขี้โกง

'แรมโบ้' ตอกกลับ 'ทักษิณ' คนไทยส่วนใหญ่ดีใจมากกว่าที่มีการทำรัฐประหาร ไม่เช่นนั้นบ้านเมืองคงพัง ขออย่ามองการรัฐประหารเลวร้ายเสมอไป ยก 10 ข้อ หากทักษิณเป็นนายกฯ อะไรจะเกิดขึ้นกับประเทศชาติบ้าง

(19 ก.ย. 65) - นายเสกสกล อัตถาวงศ์ อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตรโพสต์เฟชบุ๊ก 16 ปีรัฐประหารประเทศไทยขาดโอกาสหลายด้าน และบอกว่าบั้นปลายชีวิตหวังกลับไปเลี้ยงหลาน โดยนายเสกสกลระบุว่านายทักษิณไม่ควรออกมาโพสต์เฟซบุ๊กในทำนองที่ทำให้ประชาชนเห็นว่าตัวเองเป็นผู้ถูกกระทำ และการรัฐประหารทำให้ประเทศเสียโอกาสทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าการที่ต้องทำรัฐประหารมีสาเหตุเกิดจากอะไร ไม่ใช่เพราะการบริหารงานผิดพลาด เห็นแต่ผลประโยชน์ของคนในครอบครัวและพวกพ้องจนทำให้คนทั้งประเทศออกมาขับไล่ แถมยังมีคดีติดตัวมากมาย ไม่ยอมรับกระบวนการยุติธรรมของไทยและหนีคดีออกไปอยู่ต่างประเทศ

นายเสกสกล กล่าวว่าหากนายทักษิณไม่ถูกรัฐประหาร เป็นนายกฯ อยู่ต่อ อะไรจะเกิดขึ้นกับประเทศชาติบ้านเมืองนี้ 10 ข้อ ดังนี้

1.) ประชาธิปไตย ที่ถูกวางรากฐานมาจากรัฐธรรมนูญปี 2540 หรือรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน จะกลายเผด็จการรัฐสภาสมบูรณ์แบบ ทั้งสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา จะถูกยึดเบ็ดเสร็จโดยมหาเศรษฐี ที่อ้างมาจากการเลือกตั้งของประชาชน ระบบเผด็จการเสียงข้างมากลากไปจะเกิดขึ้นในยุคทักษิณ จนถูกขนานนามว่าระบอบทักษิณหรือระบอบเผด็จการรัฐสภา

2.) ประเทศชาติบ้านเมืองจะสูญสิ้นความสง่างามในสายตานานาชาติ เพราะเต็มไปด้วยการโกงกิน ทุจริตคอร์รัปชันไปทั่วทุกหย่อมหญ้า

3.) ระบบการศึกษา เทคโนโลยี การเกษตร และอุตสาหกรรมของประเทศชาติบ้านเมือง จะไม่มีวันเติบโต เพราะถูกเลี้ยงไข้คล้ายให้เป็นแมวป่วย เชื่องๆ ที่ไม่มีวันจะรู้เท่าทันผู้นำที่คิดโกงกิน

4.) คนยากจนจะมากยิ่งขึ้นจะทบทวีคูณ เพราะที่ผ่ามมาตระกูลชินวัตรเป็นรัฐบาล 4 ชุด เข้าครองอำนาจรวมเกือบ 10 ปี พิสูจน์ชัดแล้วว่าไม่สามารถแก้ปัญหาความยากจนได้ ตรงกันข้ามคนจนกลับเพิ่มมากขึ้น และความเหลื่อมล้ำทางสังคมยิ่งถ่างกว้างมากกว่าเดิมอีก

นายเสกสกล กล่าวต่อไปว่า 5.) คนไทยจะมองไม่เห็นอนาคตตนเอง เพียงแค่หางานทำให้ได้เพื่ออยู่ไปวันๆ ทั้งๆ ที่รายได้ต่ำกว่าประเทศอื่นในระดับการพัฒนาเดียวกัน เพราะประเทศชาติจะเต็มไปด้วยการทจุริตคอร์รัปชันทุกหย่อมหญ้าแรงงานถูกกดขี่เอารัดเอาเปรียบ นักศึกษาตกงานว่างงาน เดินเตะฝุ่นเต็มแผ่นดิน

6.) ศูนย์กลางการบินของสุวรรณภูมิ ที่นายทักษิณบอกเป็นที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ เราควรจะเป็นศูนย์กลางของอาเซียนนั้น จะไม่เกิดขึ้นแน่นอน หากประเทศชาติบ้านเมืองยังมีภาพลักษณ์การทุจริตคอร์รัปชันและปล่อยให้พวกพ้องสมุนในเครือข่ายเข้าไปครอบงำแสวงหาผลประโยชน์เอื้อประโยชน์ ให้พวกตนเองและพวกพ้องจากสนามบินสุวรรณภูมิ

'พงศ์พรหม' เน้น 95% ความสกปรก 'กทม.-เมืองไทย' ไม่ใช่ความห่วยของภาครัฐที่เราด่าเขาทั้งวัน

'พงศ์พรหม' ชี้!! ทุกครั้งที่คนไทยไปต่างประเทศ แทบทุกคนจะเอาสิ่งดี ๆ ในต่างประเทศมาเปรียบเทียบกับไทย แล้ว 'ด่า' ทั้งที่บางเรื่องเกิดจากพฤติกรรมคนไทยทั้งนั้น

นายพงศ์พรหม ยามะรัต รองโฆษกพรรคสร้างอนาคตไทย ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Pongprom Yamarat ระบุว่า..

ผมไม่ได้ออกนอกประเทศมาร่วม ๆ 4 ปี

ไปญี่ปุ่นครั้งนี้ผมมีมุมมองเมืองไทยที่เปลี่ยนไปเยอะ ที่อยากชวนเพื่อนๆ มาแบ่งปันกัน

เวลาเราไปต่างประเทศ แทบทุกคนจะเอาสิ่งดี ๆ ในต่างประเทศมาเปรียบเทียบกับไทย

ผมก็เป็น!!

เวลาเราบอกว่า ญี่ปุ่นสะอาด เยอรมันการเดินทางดี สิงคโปร์มีต้นไม้เยอะ

พอมองย้อนกลับมาไทย เรามักจะเริ่มต้นด้วยการด่า

ด่า ด่า ด่า ด่า ด่า ด่า 

เอาแค่ถนนในญี่ปุ่น สิงคโปร์ จีน (เช่นเซี่ยงไฮ้ ปักกิ่ง) แม้แต่มาเลเซีย ที่สะอาดกว่ากรุงเทพมาก

เวลาเราด่า เราด่าใคร?
1. กทม.ห่วย ไม่ดูแลให้ดี
2. คนที่อยู่ในกรุงเทพนี่แหละ

แน่นอน กทม.โดนประจำแหละครับ ผมเองก็ด่าเขาบ่อย ซึ่งก็จะด่าไปเรื่อยๆ นะ

แต่เหตุใหญ่มันคือ 'คุณภาพ และความรับผิดชอบของประชาชน' ครับ

ถ้าไม่มีขยะบนถนนซะอย่าง กทม.เค้าก็ไม่ต้องมาตามเก็บทั้งวัน

ผมนั่งสังเกตที่ USJ (Universal Studio Japan) ที่คนแน่นคลั่ก

ตลอด 3 ชั่วโมง ผมเห็นคนทำความสะอาดคนเดียว!!

เพราะที่ตามถนนมันสะอาดได้ เพราะคนญี่ปุ่นไม่ทิ้งขยะเรี่ยราด

นั่นคือสิ่งที่ทำให้บ้านเมืองเขาสะอาด

เปิด 17 ตัวแปร เปลี่ยนไทยให้ยิ่งใหญ่ ก้าวสู่ศูนย์กลาง EV แห่งอาเซียน

ประเทศไทย 🇹🇭 จะสามารถเป็นศูนย์กลาง Hub ของ EV ได้อย่างแน่นอน เพราะว่า...

1. ปัจจุบันโรงงานประกอบและผลิตแบตเตอรี่ลิเธียมใหญ่ที่สุดในอาเซียนนั้น อยู่ที่ไทยเป็นของบริษัท EA 

2. บริษัท BYD, Mercedes Benz, BMW, MG, GWM, Volt ก็เลือกประเทศไทย เป็นฐานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย โดยตั้งให้ประเทศไทยเป็น Hub ผลิตรถ EV ในอาเซียน

3. BMW, Benz , Nissan, BYD, EVLOMO ก็ตั้งโรงงานผลิตแบตเตอรี่ EV ในประเทศไทย ตั้งให้เป็นฐานผลิตในภูมิภาค

4. Foxconn ร่วมมือกับ ปตท. ลงทุนประมาณ 72,000 ล้านบาท จัดตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าครบวงจร ชื่อ HORIZON PLUS พร้อมศูนย์วิจัย R&D ดันประเทศไทยสู่ศูนย์กลาง EV อาเซียน เซ็นสัญญากันไปเรียบร้อยแล้ว

5. ล่าสุด BYD ซึ่งเป็นบริษัทรถยนต์ EV ยอดขายอันดับ 1 ของจีน ได้ร่วมทุนกับกลุ่มบริษัทสยามกลการของไทย ซื้อที่ดิน จำนวน 600 ไร่ เพื่อตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้า BYD และโรงงานผลิตแบตเตอรี่ มูลค่าการลงทุนกว่า 20,000 ล้านบาทเพื่อใช้เป็นฐานการผลิตรถยนต์พวงมาลัยขวา เพื่อจำหน่ายในประเทศไทยและส่งออกไปยังภูมิภาคอาเซียน รวมไปถึงออสเตรเลีย และ อังกฤษ ด้วยกำลังการผลิตเบื้องต้นที่ 150,000 คัน ต่อปี (ซึ่งไทย มีข้อตกลง FTA กับประเทศเหล่านี่)

6. บริษัท อีวี ไพรมัส จากจีน มีแผนตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยที่นิคมอุตสาหกรรมเกตเวย์ ฉะเชิงเทรา มูลค่าการลงทุนกว่า 400 ล้านบาท คาดว่าจะเริ่มขึ้นไลน์ผลิตได้ในช่วงปลายปี 2566 โดยจะผลิตเพื่อขายรถยนต์ไฟฟ้าทั้งใน และต่างประเทศ ตั้งเป้าการผลิตอยู่ที่ 4,000 คันต่อปี

7. 'บ้านปู เน็กซ์' ร่วมกับ 'เชิดชัยฯ' และ 'ดูราเพาเวอร์' ผู้ผลิตแบตสัญชาติสิงคโปร์ ร่วมกันตั้งโรงงานแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนในประเทศไทยที่ โคราช ตั้งเป้าเพิ่มกำลังการผลิต 1 กิกะวัตต์ชั่วโมง (GWh) ภายในปี 2569 บุกตลาดในเอเชียแปซิฟิก

8. บริษัท EVLOMO บริษัทชั้นนำด้านยานยนต์ไฟฟ้าจากสหรัฐอเมริกา กำลังสร้างโรงงานผลิตแบตเตอรี่ขนาด 8 กิโลวัตต์ ซึ่งจะมีขนาดที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน สร้างในพื้นที่ EEC ด้วยเงินลงทุน 1.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และยังจับมือกับ OR ในการติดตั้งตู้ EV Super Charge 150kW อีกว่า 100 สถานีในประเทศไทย

ย้อนประวัติศาสตร์สยาม ฝ่าพายุร้ายจากตะวันตกนับเกือบ 200 ปี พระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ทรงทำให้เกิดความเจริญ

'พล.ท.นันทเดช' ย้อนประวัติศาสตร์ 'ประเทศไทยในสถานการณ์สู้รบ' สยามฝ่าพายุร้ายจากตะวันตกนับเกือบ 200 ปี พระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ทรงตั้งรับไว้ได้ย่างเหมาะสม สยามจึงที่มีทั้งความสงบและเจริญ ในลำดับ 1 ของเอเซีย ซัดคณะราษฎรไม่ได้สร้างโครงสร้างพื้นฐาน ชิงอำนาจกันเอง จนเกิดเผด็จการทางสภา

(5 ต.ค. 65) พลโทนันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ(ศรภ.) โพสต์เฟซบุ๊ก เรื่อง ประเทศไทยในสถานการณ์สู้รบ ตอนที่ 1 มีรายละเอียดดังนี้

สยามฝ่าพายุร้ายจากตะวันตก ที่พัดกระหน่ำซัดใส่มานาน แสนนาน นับเกือบ 200 ปีแล้ว แต่พระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ ทรงได้ปรับปรุง เปลี่ยนแปลง ภูมิทัศน์ และแนวตั้งรับ ของประเทศไว้ได้ย่างเหมาะสม โดยทรงภารกิจ จัดวางโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจ เครื่องมือสนับสนุนการประกอบอาชีพ ให้ราษฎร และทรงคุ้มเกล้าให้กำลังใจ ความหวัง ร่วมทุกข์ร่วมสุข กับประชาชนตลอดมา

โดยเฉพาะในรัชสมัยอันยาวนานของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่ทำให้คนไทยได้มองเห็น และเข้าใจถึง 'สิ่งดี ๆ' ที่เคยเกิดขึ้นในวันก่อน ซึ่ง 'สิ่งดี ๆ'เหล่านั้น จะอยู่มาจนถึงวันนี้ หรือไม่ ก็ขึ้นอยู่คนไทยหลากหลายวัยในยุคปัจจุบันนี้ ว่าจะช่วยกันรับมืออย่างไร เมื่อมีคนกลุ่มหนึ่งพยายามริดรอนพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ไทย ที่อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ ให้ลดน้อยลงไป เหลือเป็นเพียง 'สัญญลักษณ์' หรือ สาบสูญไป เพียงหวังอย่างเดียวว่า “ถ้าเป็นผลสำเร็จ พวกเขาจะซื้อขายประเทศไทย กันได้สะดวกยิ่งขึ้น รวมถึงการเดินทางกลับประเทศไทย ของคนอีกกลุ่มหนึ่งก็จะง่ายขึ้นด้วย ”

นอกจากนั้น ก็ยังมีอีกหลายประเทศ ที่ไม่อยากให้ประเทศไทยเติบโตไปมากกว่านี้อีก เพราะจะส่งผลกระทบต่อ สถานภาพของประเทศพวกเขา จึงได้เข้ามาผสมโรง สนับสนุนคนกลุ่มนี้

เรียงความตอนที่ 1 เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตร วันที่ 13 ตุลาคม 2565

ตอนที่ 2 : เปรียบเทียบการใช้พระราชอำนาจของในหลวงรัชกาลที่ 5 และ ในหลวงรัชกาลที่ 6 กับการใช้อำนาจ ของรัฐบาล คณะราษฎร ว่าตรงส่วนไหนท่ีจะทำให้ประเทศไทยดีขึ้น

รัชสมัย ร.5 พระองค์ทรงใช้พระราชอำนาจอย่างเต็มที่หลายเรื่อง เพื่อปรับปรุงพัฒนาประเทศให้ทันสมัย เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วที่สำคัญ คือ

(1) การกำหนดขอบเขตแผ่นดินสยาม (สยามไม่เคยมีเส้นเขตแดนชัดเจนมาก่อน)
(2) การเลิก ไพร่/ทาส
(3) การลงทุนปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานของประเทศทุกด้าน (ตลอด 25 ปีของรัฐบาลคณะราษฎร ไม่เคยทำเรื่อง โครงสร้าง อย่างจริงจังเลย มาเกิดขึ้นในสมัยรัฐบาล พล.อ.เปรม เป็นครั้งที่2 แล้วก็เลยมาที่รัฐบาลลุงตู่ นี่แหละ เป็นครั้งที่3 น่าเศร้าใจไหมครับ)
(4) การปูพื้นฐานทางด้านประชาธิปไตย เช่น การเลือก กำนัน/ผู้ใหญ่บ้าน, การให้อำนาจตัดสินคดีแก่ศาล,การส่งนักเรียนทุนหลวงไปศึกษาต่างประเทศ ฯลฯ แต่นักเรียนทุนบางคนกลับมาทำปฏิวัติผู้ส่งไปเรียนเสียเอง รวมทั้งจับกุมนักเรียนทุนท่ีไม่เห็นด้วยไปขังคุก โดยตั้งศาลพิเศษ (ญี่ปุ่นซึ่งมีความเจริญไล่ๆกันกับไทย และมีรัฐธรรมนูญท่ีจักรพรรดิ์ มีอำนาจเหนือรัฐธรรมนูญ ได้นักเรียนทุนกลับมาพัฒนาประเทศ เจริญก้าวหน้าไปกว่าไทย ทั้งท่ีส่งคนไปเรียนพร้อมๆกัน จำนวนคนไปเรียนก็พอๆกันประมาณ400คน)

ในรัชสมัย ร.6 พระองค์ ทรงหาทางแก้ไขการทำสัญญาทางการค้า ที่เสียเปรียบต่างชาติ ดังนั้นพระองค์ทรงใช้พระราชอำนาจ ในสงครามโลกครั้งที่ 1 ประกาศสงครามกับเยอรมัน ท่ามกลางคำคัดค้านของทหาร และขุนนาง เมื่อชนะสงคราม สยามก็ได้รับการค้ำประกันอิสรภาพ ในฐานะสมาชิกผู้ก่อตั้งองค์การสันนิบาตชาติ และได้รับการแก้ไข สัญญาที่ไม่เป็นธรรมทุกฉบับ รวมถึงการซื้อเครื่องบินจำนวนมาก กลับมาใช้ในราชการไทย ( จอมพล ป.เข้าร่วมกับญี่ปุ่น ประกาศสงครามโลกครั้งท่ี2กับประเทศกลุ่มพันธมิตร

โชคดี ที่ ม.ร.ว.เสนีย์ ทูตไทย ประจำสหรัฐฯไม่ยอมรับคำสั่งรัฐบาล จัดตั้งกลุ่มเสรีไทยขึ้น และส่งคนไปจัดตั้งที่อังกฤษ เพิ่มขึ้นอีก ต่อมานายปรีดี ได้จัดตั้งขบวนการต่อต้านญี่ปุ่นขึ้นในไทย ซึ่งได้กลายเป็นจุดประสานงานของกลุ่มเสรีไทย เมื่อสงครามจบ ไทยยกเอาเรื่องเสรีไทยขึ้นมาอ้าง สหรัฐฯยอมรับ แต่อังกฤษ จะเอาไทยเป็นรัฐในอารักขาของอังกฤษ ประชาชนเดือดร้อนกันมาก ม.ร.ว.เสนีย์ ใช้ความเป็นทูตประจำสหรัฐฯ เจรจาจนสำเร็จแม้จะเสียเปรียบบ้างก็ตาม )

นอกจากนั้น ในหลวง ร.6 ยังทรงระดมสร้างโครงงานพื้นฐานของประเทศต่อจาก ร.5 จนสำเร็จหมดทุกโครงการจากการกู้เงินในตลาดการเงินยุโรปเพื่อนำมาลงทุน เพิ่มเติม รวม 5 ล้านปอนด์ เมื่อโครงงานเสร็จ การค้าขาย นาข้าว การขนส่งฯลฯ ก็เจริญก้าวหน้าขึ้น เศรษฐกิจเริ่มดีมากขึ้น รัฐบาลก็ทยอยได้รับเงินคืนมามากขึ้นเช่นกัน

'บิ๊กตู่' พอใจ!! ไทยติดอันดับจุดสนใจของโลกหลายเรื่อง ขอบคุณคนไทยช่วยทำให้ประเทศเป็นจุดสนใจของโลก

‘บิ๊กตู่’ ยินดี ไทยติดอันดับ 3 ใน Top Countries in the World จาก Condé Nast Traveler Readers' Choice Awards 2022 ขอบคุณคนไทยช่วยทำให้ประเทศเป็นจุดสนใจของโลก พร้อมเดินหน้าทำงานพัฒนาประเทศ สนับสนุนการท่องเที่ยวกระตุ้นเศรษฐกิจ 

(6 ต.ค. 65) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับทราบและยินดี ประเทศไทยได้อันดับ 3 'ประเทศระดับท็อปของโลก' (Top Countries in the world) และกรุงเทพฯ ได้อันดับ 4 'เมืองที่ดีที่สุดในโลก' ในขณะที่เกาะ โรงแรม และรีสอร์ทของไทยหลายแห่ง ยังติดอันดับสูงในรายการ 'ดีที่สุด' อื่น ๆ อีกด้วย

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากรายงานผลการประกาศรางวัล Condé Nast Traveler Readers' Choice Awards 2022 ประเทศไทยได้รับเลือกให้เป็นอันดับที่ 3 ใน Top Countries in the World จากทั้งหมด 48 ประเทศ โดยได้รวม 90.46 คะแนน และอันดับ 1 คือ โปรตุเกส (91.22 คะแนน) และอันดับ 2 ญี่ปุ่น (91.17 คะแนน) ในขณะที่อันดับ 4 คือ สิงคโปร์ (90.09 คะแนน) โดยไทยและสิงคโปร์ เป็น 2 ประเทศในภูมิภาคอาเซียนที่ได้รับการจัดให้อยู่ใน 10 อันดับแรก นอกจากนี้ กรุงเทพฯ เมืองหลวงของประเทศไทยก็ติดอันดับ 4 'เมืองที่ดีที่สุดในโลก (Best Cities in the World) โดยกรุงเทพฯ ก็เป็นเพียง 1 ใน 2 เมืองในภูมิภาคอาเซียนที่ติดอันดับ 10 เมืองที่ดีที่สุดในโลกเช่นกัน ด้วยคะแนน 89.36 ซึ่ง เมืองซาน มิเกล เด อัลเลนเด (San Miguel de Allende) ประเทศเม็กซิโกได้รับการจัดอันดับที่ 1 ด้วยคะแนน 92.94 สิงคโปร์ อันดับที่ 2 (89.49 คะแนน) และอันดับ 3 เมืองวิคทอเรีย ประเทศแคนาดา (89.46 คะแนน) ตามลำดับ

ไทยติดอันดับที่ 5 ของเอเชีย อันดับ 2 อาเซียน ประเทศที่ดีที่สุดในโลกประจำปี 2022

(15 ต.ค. 65) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ไทยได้รับการจัดอันดับเป็นอันดับที่ 5 ของเอเชีย และอันดับที่ 2 ของอาเซียน และอันดับที่ 28 ของโลกสำหรับประเทศที่ดีที่สุดในโลกประจำปี 2022 (U.S. News & World Report Best Countries Rankings) ของ usnews.com เว็บไซต์ที่จัดอันดับความนิยมด้านต่างๆ ( https://www.usnews.com/news/best-countries/rankings)

ซึ่งพบว่า จากผลสำรวจทั้งหมด 85 ประเทศทั่วโลกในปี 2022 ประเทศที่ได้คะแนนสูงสุดเป็นประเทศที่ดีที่สุดในโลกคือ สวิตเซอร์แลนด์ และอันดับ 2 ถึง 5 เรียงตามลำดับ คือ เยอรมนี แคนาดา สหรัฐอเมริกา และสวีเดน สำหรับ 5 อันดับสูงสุดของ ทวีปเอเชียได้แก่ ญี่ปุ่น อันดับ 6, จีน อันดับ 17, สิงคโปร์ อันดับ 19, เกาหลีใต้ อันดับ 20 และประเทศไทย อันดับที่ 28


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top