Thursday, 2 May 2024
WORLD

‘พิซซ่าฮัทฮ่องกง’ รังสรรค์เมนูใหม่ ‘พิซซ่าหน้างู’ ใช้เนื้องูเน้นๆ เชื่อ!! ช่วยบำรุงกำลัง-โลหิตไหลเวียนดี

(10 พ.ย. 66) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า บริษัท Pizza Hut (พิซซ่าฮัท) ในฮ่องกงเปิดตัวเมนูใหม่โดยเป็นความร่วมมือระหว่าง Pizza Hut กับ Ser Wong Fen (เฉอหวังเฟิน) ร้านอาหารฮ่องกงที่มีประวัติยาวนานมากกว่า 100 ปี รังสรรค์เมนูใหม่ ‘พิซซ่าหน้างู’ คือพิซซ่าที่ใช้ ‘เนื้องู’ จริง ๆ มาเป็นส่วนประกอบสำคัญ

ผลิตภัณฑ์ใหม่ของพิซซ่าฮัทนี้ประกอบด้วย เนื้องู เห็ด แฮม ขิง หน่อไม้ ชีส ไก่ ซอสหอยเป๋าฮื้อ ตะไคร้ ซึ่งบางส่วนประกอบเป็นส่วนผสมที่ขาดไม่ได้ของเมนูสตูว์งูแบบดั้งเดิม พิซซ่าฮัทฮ่องกง กล่าวในแถลงการณ์เปิดตัวเมนูใหม่ว่า “เมื่อจับคู่กับชีสและไก่หั่นเต๋า เนื้องูจะมีรสชาติเข้มข้นยิ่งขึ้น” พร้อมเสริมว่า เนื้องูสามารถบำรุง เพิ่มการไหลเวียนโลหิต ตามความเชื่อในการแพทย์แผนจีน เมื่อรวมกับพิซซ่าแล้ว ถือเป็นความก้าวหน้าจากแนวคิดทั่วไปเกี่ยวกับความหมายของการรักษาสุขภาพที่ดี 

สำหรับพิซซ่าหน้างูนี้มีขนาด 9 นิ้ว มาพร้อมกับซอสหอยเป๋าฮื้อแทนที่จะเป็นซอสมะเขือเทศธรรมดา โดยจะมีวางจำหน่ายจนถึงวันที่ 22 พฤศจิกายนนี้เท่านั้น ผู้ที่ได้ลองชิมพิซซ่าหน้าใหม่นี้บอกว่า เนื้องูมีลักษณะคล้ายกับไก่แห้ง โดยมีทั้งคนที่ชอบและคนที่รู้สึกว่าน่ากลัว

นักชิมที่ชอบลองพิซซ่า กล่าวว่า ฉันคิดว่ามันน่ากลัว งูไม่ใช่อาหารในหลายวัฒนธรรม โดยเฉพาะในประเทศตะวันตก

ทางด้านราเชล หว่อง ชาวฮ่องกงซึ่งเป็นแฟนตัวยงของซุปงูตั้งแต่เธอเคยกินครั้งแรกเมื่อตอนที่เธอยังเป็นเด็ก รู้สึกตื่นเต้นกับเมนูใหม่นี้ เนื้อสัมผัสจะคล้ายกับไก่เล็กน้อยและมีรสชาติเหมือนปลาและอาหารทะเลอื่น ๆ ฉันชอบทานอาหารที่มีโปรตีนสูงในช่วงฤดูหนาว

ส่วนคาเรน ชาน ผู้จัดการของพิซซ่าฮัทฮ่องกงและมาเก๊า กล่าวว่า บริษัทใช้ความเชี่ยวชาญของเฉอหวังเฟินในการพัฒนาพิซซ่าจากเนื้องูหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น งูสิง งูสามเหลี่ยม และงูปล้องฉนวน พิซซ่างูสุดพิเศษมอบความสมดุลที่สมบูรณ์แบบให้กับทุกรสชาติ ทั้งอร่อยและเผ็ดร้อนสำหรับฤดูกาลนี้

‘3 แพนด้ายักษ์’ ในสวนสัตว์สหรัฐฯ กลับจีน หลังสิ้นสุดสัญญา 23 ปี ท่ามกลางความสัมพันธ์ทางการทูตที่ตึงเครียดของทั้งสองในขณะนี้

‘สวนสัตว์แห่งชาติสมิธโซเนียน’ (Smithsonian National Zoo) สหรัฐฯ ในกรุงวอชิงตันดีซี ส่งแพนด้ายักษ์ 3 ‘พ่อ-แม่-ลูก’ เดินทางกลับจีนแล้ว หลังสัญญา 23 ปีสิ้นสุด ท่ามกลางความสัมพันธ์ทางการทูตที่ตึงเครียดของจีนกับสหรัฐฯ

(10 พ.ย. 66) เอบีซีนิวส์ของสหรัฐฯ รายงานว่า เมื่อวันที่ 8 พ.ย. 66 ‘แพนด้าเหมย เซียง’ (Mei Xiang) ‘แพนด้าเทียน เทียน’ (Tian Tian) และ ‘แพนด้าเซียว ฉี จี’ (Xiao Qi Ji) แพนด้า 3 พ่อ-แม่-ลูก ถูกส่งตัวกลับจีนแล้ว โดยทั้ง 3 ตัว ถูกนำใส่ลังที่ทำจากเหล็ก ซึ่งภายในใส่ใบไผ่ แอปเปิล และลูกแพร์จำนวนมาก เพื่อเป็นเสบียงอาหารระหว่างเดินทางไกล 19 ชม. ไปยังเมืองเฉิงตูของจีน

โดยแพนด้ายักษ์ทั้ง 3 ตัว ได้เดินทางด้วยเครื่องบินขนส่งสินค้าโบอิ้ง 777 เอฟ ที่มีชื่อว่า ‘เฟดเอ็กซ์ แพนด้า เอ็กซ์เพรส’ (FedEx Panda Express) ออกเดินทางจากสนามบินนานาชาติแดลลัส ของสหรัฐอเมริกา พร้อมผู้ดูแลอีก 3 คน เพื่อเดินทางไปยังเขตป่าสงวนในมณฑลเสฉวนของจีน ซึ่งปัจจุบันยังคงมีแพนด้ายักษ์ อาศัยอยู่ในป่าตามธรรมชาติของจีนประมาณ 1,800 ตัว

ทั้งนี้ ‘เหมย เซียง’ วัย 25 ปี และ ‘เทียน เทียน’ วัย 26 ปี ถูกนำมาที่สวนสัตว์แห่งชาติสหรัฐฯ เมื่อปี 2543 และให้กำเนิดลูกแพนด้ายักษ์ 3 ตัว ระหว่างช่วงปี 2548-2558 โดยล่าสุด คือ เซียว ฉี จี ที่เกิดเมื่อ 3 ปีที่แล้ว ทำให้ เหมย เซียงกลายเป็นแพนด้ายักษ์ที่อายุมากที่สุดที่ให้กำเนิดลูกได้ในสหรัฐฯ

เอบีซี เผยอีกว่า แพนด้ายักษ์ทั้ง 3 ตัวนี้ มีแฟนคลับมากมาย ซึ่งมียอดเข้าชมเว็บไซต์ของสวนสัตว์มากกว่า 100 ล้านครั้ง และบรรยากาศแห่งการจากลาเป็นไปด้วยความเศร้า เพราะเจ้าแพนด้า 3 ตัวที่เป็นดาราประจำสวนสัตว์มาโดยตลอด ไม่สามารถโผล่ออกมากล่าวคำอำลากับเด็กๆ พ่อแม่และแฟนๆ ที่ต้องการกล่าวลาเป็นครั้งสุดท้าย

สำหรับการส่งแพนด้ากลับจีนครั้งนี้ มีขึ้นหลังสัญญาโครงการให้ยืมแพนด้ายักษ์ ที่ทางการจีนทำไว้กับสวนสัตว์ดังกล่าวหมดอายุลง และการเดินทางกลับของแพนด้าเกิดขึ้นไม่นานก่อนที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ‘โจ ไบเดน’ จะพบกับประธานาธิบดีจีน ‘สี จิ้นผิง’ ที่เมืองซานฟรานซิสโก ระหว่างการประชุม APEC ท่ามกลางความตึงเครียดของทั้ง 2 ชาติ

และจากสถานการณ์ความสัมพันธ์ของ 2 ประเทศที่ตึงเครียดขึ้น จึงยังไม่มีวี่แววว่าจะมีการเจรจาเพิ่มเติม โดยผู้อำนวยการสวนสัตว์ แบรนดี สมิท (Brandie Smith) ไม่ยอมตอบตรงคำถามว่ามีความพยายามใดๆ จากสวนสัตว์แห่งชาติสมิธโซเนียนในการต่อสัญญายืมตัวแพนด้าดังกล่าว

นั่นเท่ากับว่า ตอนนี้จะมีแพนด้าจากจีนหลงเหลืออยู่บนแผ่นดินสหรัฐฯ อีกแค่ 2 ตัว เป็นแพนด้าแฝด ชื่อ ‘หยา หลุน’ กับ ‘ซี หลุน’ อยู่ที่สวนสัตว์เมืองแอตแลนตา รัฐจอร์เจีย แต่ก็มีกำหนดจะต้องส่งคืนจีนช่วงต้นปีหน้าเช่นกัน 

ถือเป็นครั้งแรกในรอบ 50 ปี ที่สหรัฐฯ จะไม่มีทูตสันถวไมตรีอย่างแพนด้าอีกต่อไป และนั่นก็หมายความว่า จะเหลือแพนด้าอีกเพียงตัวเดียวในทวีปอเมริกาเหนือ คือ ที่สวนสัตว์ในกรุงเม็กซิโก ซิตี เท่านั้นด้วย

‘ปฏิญญา Balfour’ สารตั้งต้นแห่งความรุนแรงในภูมิภาคเอเชียตะวันตก แรงบันดาลใจของ ‘กลุ่มไซออนิสต์’ สู่การยึดครองดินแดนปาเลสไตน์

การแบ่งแยกและยึดครอง : มรดกของ ‘Arthur James Balfour’

กรุงเตหะราน, ประเทศอิหร่าน วันที่ 2 พฤศจิกายน 2023 ถือเป็นวันครบรอบ 106 ปี ปฏิญญาของรัฐมนตรีต่างประเทศสหราชอาณาจักร ‘Arthur James Balfour’

สิ่งที่ปัจจุบันรู้จักกันในชื่อ ‘ปฏิญญา Balfour’ คือข้อความสั้น ๆ ที่เปลี่ยนแปลงชีวิตไม่เพียงแค่ชาวปาเลสไตน์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงผู้คนหลายล้านคนในเอเชียตะวันตกด้วย เนื่องจากมันก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่เลวร้าย เช่น การก่อตัวของระบอบการปกครองจอมปลอม การสังหารหมู่ผู้หญิงและเด็กหลายแสนคน พลเมืองปาเลสไตน์หลายล้านคนต้องพลัดถิ่น และการถูกขับไล่ออกจากบ้านเกิด กระทั่งท้ายที่สุด จึงนำไปสู่การยึดครองดินแดนปาเลสไตน์โดยอิสราเอล

คำประกาศที่ชั่วร้ายนี้ปูทางไปสู่การก่อตัวของเนื้องอกที่เป็นมะเร็ง และเรื่องผิดกฎหมายในเอเชียตะวันตก โดยผลที่ตามมายังคงส่งผลกระทบต่อผู้คนปาเลสไตน์และในภูมิภาค หลังจากผ่านไปเกือบ 80 ปี คำแถลงต่อสาธารณะอาจเป็นประเด็นสำคัญของการหารือทางโทรศัพท์ ของรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศอิหร่านและสหราชอาณาจักร เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน โดยหัวหน้านักการทูตอิหร่านอาจทำให้ชาวสหราชอาณาจักรสนใจว่า ประเทศของเขาสนับสนุน ‘การสถาปนา ‘มาตุภูมิแห่งชาติสำหรับชาวยิว’ ในดินแดนปาเลสไตน์’ เมื่อปี 1917 ซึ่งเป็นรากฐานของทุกความท้าทาย และความทุกข์ยากที่เกิดขึ้นในเอเชียตะวันตกในปัจจุบัน

‘กลุ่มไซออนิสต์’ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากเจ้าพ่อแองโกล-แซกซัน (Anglo-Saxons) ในการส่งเสริมประวัติศาสตร์จอมปลอมและการกดขี่ กำลังเผชิญกับวิกฤติที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในเอเชียตะวันตก การตื่นตัวและลุกขึ้นต่อต้านของชาวปาเลสไตน์ได้เปิดหูเปิดตาของผู้คนทั่วโลก ให้มองเห็นความโหดร้ายและการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของไซออนิสต์ ดังนั้น จึงเป็นโอกาสที่ดีที่จะอ่านปฏิญญา Balfour อีกครั้ง เพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับมิติของ Nakba (ภัยพิบัติ, หายนะ) ในปี 1948

ดังที่ได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ ‘ปฏิญญา Balfour’ แสดงความเห็นอกเห็นใจของสหราชอาณาจักร ต่อความปรารถนาและแรงบันดาลใจของไซออนิสต์ในนานาชาติ ที่จะสถาปนาสิ่งที่เรียกว่า ‘มาตุภูมิแห่งชาติของไซออนิสต์ในดินแดนปาเลสไตน์’ ถ้อยแถลงดังกล่าวมีขึ้นระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 21 ปีก่อนที่ชาวยุโรปจะเดินหน้าสร้างสันติภาพระหว่างประเทศอีกครั้งในสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อรู้ว่า ‘อดอล์ฟ ฮิตเลอร์’ ลงเอยด้วยการสังหารชาวยิวจำนวนมาก ดูเหมือนว่าสหราชอาณาจักรและสหายไซออนิสต์จะตระหนักดี ถึงสิ่งที่รอคอยชาวยิวในสงครามโลกครั้งที่ 2

การปรากฏตัวโดยชอบธรรมของไซออนิสต์ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์นั้น ถูกสร้างขึ้นบนพื้นฐานของเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่บิดเบี้ยวและเป็นเท็จ 2 เรื่อง โดยเรื่องราวแรกคือ ในพระคัมภีร์ของชาวยิว ดินแดนนี้ถูกสัญญาไว้กับพวกเขา (ไซออนิสต์) และคำบรรยายที่ 2 อ้างว่า เป็นการสังหารและการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของชาวยิวโดยพวกนาซีในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เรื่องเล่าทั้ง 2 นี้ โดยเฉพาะเรื่องที่ 2 ได้ส่งชาวยิวจำนวนมากไปยังปาเลสไตน์ และปูทางไปสู่การยึดครองและการทำลายล้างประเทศอาหรับ 3 ปีหลังจากการเผยแพร่ปฏิญญา Balfour และในสนธิสัญญาที่ลงนามโดยประเทศที่ได้รับชัยชนะในสงครามโลกครั้งที่ 1 ชะตากรรมของดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งปาเลสไตน์ถูกส่งมอบให้กับสหราชอาณาจักร และคำมั่นสัญญาของ Balfour ที่มีต่อไซออนิสต์ก็ดำเนินไป

คงจะเป็นเรื่องไร้เดียงสามาก หากเชื่อว่าทั้งหมดนี้เป็นเพียงเรื่องบังเอิญ

สหราชอาณาจักรส่งมอบดินแดนปาเลสไตน์ให้กับไซออนิสต์ โดยไม่คำนึงถึงข้อเท็จจริงที่ว่า ชาวปาเลสไตน์ซึ่งแท้จริงแล้ว คือทายาทที่แท้จริงของชาวยิวปฐมวัย อาศัยอยู่ที่นั่นมาเป็นเวลาหลายพันปีแล้ว ตลอดช่วงชีวิตนอกกฎหมายของระบอบการปกครองที่ฆ่าเด็ก รัฐบาลตะวันตกได้นำเครื่องมือโฆษณาชวนเชื่อมาใช้เล่นเกมกล่าวโทษและวาดภาพผู้กดขี่ว่า เป็นผู้ถูกกดขี่ พวกไซออนิสต์ได้ก่ออาชญากรรมครั้งใหญ่และไม่มีที่สิ้นสุด โดยไม่ต้องรับผิดชอบ เมื่อใดก็ตามที่มีการประท้วงเพื่อปกป้องปาเลสไตน์ ไซออนิสต์จะเป่าสโลแกน ‘ต่อต้านชาวยิว’ หลังจาก ‘ปฏิบัติการพายุแห่งอัล-อักซอ’ (Operation Al-Aqsa Storm) โดยกลุ่มฮามาส เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ผู้สนับสนุนระบอบการปกครองเทลอาวีฟก็ออกมาเดินหน้าอีกครั้งเพื่อบิดเบือนความจริง ในขณะเดียวกันก็เตรียมการและให้กำลังใจอิสราเอล

ภารกิจที่ครั้งหนึ่งเคยอยู่บนบ่าของสหราชอาณาจักร ถูกโอนไปยังสหรัฐอเมริกา หลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 และความเจริญรุ่งเรืองของประเทศในระบบของการเมืองระหว่างประเทศ การสนับสนุนอย่างไม่มีเงื่อนไขของสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักร สำหรับระบอบไซออนิสต์เป็นเหตุผลหลักที่ทำให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ล้มเหลวในการยอมรับสิทธิของชาวปาเลสไตน์ ด้วยการยับยั้งมติ (Veto) ถึง 45 ครั้ง สหรัฐฯ ไม่เพียงแต่ต่อต้านการหยุดยั้งอาชญากรรมของระบอบไซออนิสต์ในฉนวนกาซาเท่านั้น แต่ยังปฏิเสธที่จะช่วยบรรลุแนวทางแก้ไข เพื่อบรรเทาวิกฤติด้านมนุษยธรรมในดินแดนที่ถูกปิดล้อมอีกด้วย

ในความขัดแย้งที่ชัดเจนกับการกล่าวอ้างที่เป็นเท็จเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน สหรัฐฯ ยังได้ลงคะแนน ‘ไม่เห็นด้วย’ กับมติที่ร่างขึ้นเพื่อช่วยเหลือชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซา ความพยายามของสหรัฐฯ ในการสนับสนุนไซออนิสต์ยังแสดงให้เห็นถึงการสนับสนุนอาชญากรรมสงครามที่เกิดขึ้นในฉนวนกาซา เป็นที่ชัดเจนว่าการกระทำล่าสุดของสหรัฐฯ เป็นตัวอย่างของการเพิกเฉยต่อหลักการสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน ประเด็นก็คือ ระบอบการปกครองจอมปลอม แม้ว่า อิสราเอลจะได้รับการสนับสนุนจากสหราชอาณาจักรและสหรัฐฯ มานานหลายปี แต่ก็ไม่ก็สามารถยืนหยัดได้ด้วยตัวเอง

จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า อนาคตมีไว้สำหรับปาเลสไตน์

‘ดิสนีย์’ เผย!! กำไร Q4 ปีนี้ สูงกว่าที่คาด หลังได้รับอานิสงส์จากธุรกิจ ‘สตรีมมิ่ง’

(9 พ.ย.66) บริษัท วอลต์ ดิสนีย์ เปิดเผยกำไรที่สูงกว่าคาด ในไตรมาส 4 ของปีงบการเงิน 2566 โดยได้แรงหนุนจากกำไรในธุรกิจสตรีมมิ่ง อีเอสพีเอ็นพลัส (ESPN+) และรายได้ที่เติบโตอย่างต่อเนื่องของธุรกิจสวนสนุก แต่รายได้จากการโฆษณาที่ลดลงได้บดบังภาพรวมผลประกอบการของบริษัท

ดิสนีย์ ระบุว่า กำไรต่อหุ้นในไตรมาส 4/2566 อยู่ที่ 82 เซนต์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์ของรีฟินิทิฟ (Refinitiv) คาดการณ์ไว้ที่ 70 เซนต์ และรายได้อยู่ที่ 2.124 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งแม้ว่าเพิ่มขึ้น 5% แต่ยังต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 2.133 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งนับเป็นไตรมาสที่ 2 ติดต่อกันที่รายได้ของดิสนีย์อยู่ในระดับต่ำกว่าการคาดการณ์

ส่วนจำนวนสมาชิกที่ใช้บริการสตรีมมิ่งดิสนีย์พลัส (Disney+) ทั่วโลกเพิ่มขึ้น 7 ล้านราย สู่ระดับ 150.2 ล้านราย สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ระดับ 148.15 ล้านราย

ดิสนีย์เปิดเผยรายได้จากการโฆษณาลดลง โดยส่วนใหญ่เป็นการโฆษณาบนแพลตฟอร์มเอบีซี เน็ตเวิร์ก (ABC Network) และโฆษณาทางสถานีโทรทัศน์ของดิสนีย์

ดิสนีย์ ระบุว่า บริษัทได้นำภาพยนตร์หลายเรื่องที่ออกฉายในโรงภาพยนตร์เข้ามาเพิ่มในบริการสตรีมมิ่งในไตรมาส 4 ซึ่งรวมถึงภาพยนตร์เรื่อง ‘Elemental’, ‘Little Mermaid’ และ ‘Guardians of the Galaxy: Vol. 3’

นอกจากนี้ ดิสนีย์ ยังประกาศแผนการลดต้นทุนเชิงรุก โดยจะปรับลดต้นทุนเพิ่มอีก 2 พันล้านดอลลาร์ สู่ระดับเป้าหมายที่วางไว้ที่ 7.5 พันล้านดอลลาร์

‘ลาว’ วิกฤติ!! ‘ยาบ้า’ ทะลักเกลื่อนตลาด ราคาถูกยิ่งกว่าน้ำเปล่า หน่วยปฏิบัติงานหย่อนยาน มุ่งดักจับแค่เป็นรายกรณีเกินไป

‘องค์การสหประชาชาติ’ วิตก ปัญหายาเสพติด ประเภท ‘เมทแอมเฟตามีน’ แพร่ระบาดอย่างหนักในท้องตลาด ‘ลาว’ อย่างไม่เคยมีมาก่อน ทำให้ราคาขายต่อเม็ดเหลือไม่เกินเม็ดละ 8 บาท ถูกยิ่งกว่าน้ำดื่มทั่วไป ดันยอดผู้เสพยาพุ่งเพราะเข้าถึงง่าย ซื้อขายคล่อง สวนกระแสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำในลาว

ชาวลาวเรียก ‘เมทแอมเฟตามีน’ ว่า ‘ยาบ้า’ เช่นเดียวกับบ้านเรา ซึ่งเป็นสารเสพติดที่แพร่หลายอย่างในลาวมานานนับ 10 ปีแล้ว เนื่องจากลาวเป็นเส้นทางขนส่งยาบ้า จากรัฐฉานทางฝั่งพม่าข้ามรอยต่อชายแดนเข้ามาในลาว

แต่ทว่าตั้งแต่เกิดเหตุการณ์รัฐประหารในพม่าเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 เป็นต้นมา ทำให้เกิดการแตกแยกทางการเมือง และสุญญากาศในการบังคับใช้กฎหมายในพม่า ส่งผลให้ขบวนการค้ายาเสพติดในพม่าเติบโตอย่างมาก การลักลอบขนยาเสพติดผ่านเข้ามาในลาวก็เพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย

เมื่อมีของเข้ามามาก ราคาก็ถูกลงตามกลไกตลาด ซึ่งสวนทางอย่างสิ้นเชิงกับปัจจัยค่าเงินเฟ้อในลาว ในขณะที่สินค้าอุปโภค บริโภคพื้นฐานที่จำเป็นล้วนมีราคาสูงขึ้น มีแต่ยาบ้าเพียงเท่านั้น ที่นับวันราคายิ่งถูกลงไปเรื่อยๆ แม้จะมีฐานะยากดีมีจนขนาดไหนก็สามารถซื้อได้

นายบุญมี ผู้ช่วยผู้อำนวยการของ ‘Transformation Center’ หนึ่งในศูนย์บำบัดผู้ติดยาเสพติดเอกชน ที่มีเพียง 2 แห่งในลาว ได้ให้ข้อมูลว่า ตั้งแต่ช่วง Covid-19 เป็นต้นมา ค่าครองชีพในลาวเพิ่มสูงขึ้น ข้าวของทุกอย่างล้วนขึ้นราคา แต่ยาบ้ากลับมีราคาที่ถูกลงเรื่อยๆ ทุกวันนี้ คนลาวสามารถซื้อยาบ้า 1 เม็ดได้ในราคาเม็ดละ 5,000 - 7,000 กีบ (8.50-12 บาท) แต่ถ้าซื้อยกแพ็ก 200 เม็ด หารเฉลี่ยจะตกเหลือเม็ดละ 2,500 กีบ (4.30 บาท) เท่านั้น

นายแก้ว หนึ่งในผู้บำบัดยาเสพติดในศูนย์ ‘Transformation Center’ วัย 37 ปี เล่าว่า เขาเป็นหนึ่งในผู้เสพติดยาบ้า และเสพต่อเนื่องมานานกว่า 17 ปี ราคายาบ้าที่ถูกลงอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทำให้เขาเสพหนักกว่าเดิมถึงวันละ 10 เม็ด บางครั้งนำไปผสมกินคู่กับกาแฟด้วย เสพหนักจนหลอน จำลูก-เมียไม่ได้ ประสาทตื่นตัวตลอดเวลา กินไม่ได้ นอนไม่หลับ จนครอบครัวต้องจับมาส่งศูนย์บำบัดในกรุงเวียงจันทน์

‘เจเรมี ดักลาส’ เจ้าหน้าที่ของสำนักงานปราบปรามยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิก ยอมรับว่าหลังเหตุการณ์รัฐประหารในพม่า ทำให้เกิดการไหลทะลักของยาเสพติดข้ามชายแดนเขตรัฐฉาน ตามแนวพรมแดนแม่น้ำโขงเข้ามาในฝั่งลาว

อย่างไรก็ตาม ทางการลาวได้เร่งแก้ปัญหาด้วยการเพิ่มมาตรการตรวจสอบและจับกุม โดยยาเสพติดล็อตใหญ่ล่าสุด จับกุมได้ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2564 จากการสกัดจับรถบรรทุกขนเบียร์ในจังหวัดบ่อแก้ว ซึ่งพบว่ามีการลักลอบขนยาบ้ามากถึง 55 ล้านเม็ด และยาไอซ์อีก 1.5 ตันในคราวเดียว

จากรายงานล่าสุดของ UNODC พบว่า ยอดการจับกุมยาเสพติดในลาวเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด จากปี พ.ศ. 2562 ยึดได้ 17.7 ล้านเม็ด และเพิ่มขึ้นเป็น 18.6 ล้านเม็ดในปีต่อมา แต่ทว่าตัวเลขล่าสุดของปี 2563 ยึดของกลางได้ถึง 144 ล้านเม็ด

แต่ถึงตัวเลขการจับกุมจะสูงขึ้นแค่ไหนก็ตาม หากไม่มีการรื้อถอนขบวนการขนส่ง ที่เป็นต้นตอของปัญหาของการลำเลียงยาเสพติดผ่านเข้ามาในดินแดนลาว การไหลบ่าของยาเสพติดก็ยังคงอยู่

ผู้สังเกตการณ์ระหว่างประเทศ ได้ชี้ถึงข้อบกพร่องในการปราบปรามยาเสพติดของเจ้าหน้าที่ลาวว่า จะเป็นการปฏิบัติงานในรูปแบบเฉพาะกิจ ดักจับเป็นรายกรณีไป ซึ่งหลายครั้งพบการเพิกเฉยในการจับกุมคนขับรถขนยา ละเลยการสาวลึกลงไปในขบวนการลักลอบขนสินค้าข้ามชาติอย่างผิดกฎหมาย ตลอดจนการสมรู้ร่วมคิดระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐและเครือข่ายผู้ค้ายาเสพติด

ดังนั้น จะมองเพียงตัวเลขการจับกุมและของกลางที่ยึดอย่างเดียวไม่ได้ เพราะนั่นเป็นเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งของปริมาณยาเสพติดที่ขนเข้ามาในฝั่งลาว สังเกตได้จากยาบ้าที่ล้นตลาด จนทำให้มีราคาถูกลงมากอย่างน่าใจหายนั่นเอง

ซึ่งปัญหาของยาบ้าล้นตลาดในลาว ก็สะท้อนถึงปัญหาของไทยเช่นกัน เนื่องจากไทยก็เป็นหนึ่งในเส้นทางขนส่งยาบ้าจากชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน ไหลเข้ามาฝั่งไทยจำนวนมหาศาล ท่ามกลางปรากฏการณ์ ‘ยาบ้าถูกกว่าน้ำเปล่า’ เป็นสิ่งที่ทุกภาคส่วนควรต้องตระหนักว่า เราควรหาทางป้องกันสังคมของเราอย่างไรต่อภัยยาเสพติดราคาถูกเช่นนี้

‘บ.มะกัน’ ผลิต ‘น้ำมหัศจรรย์’ ช่วยลดอาการเมาค้าง เคลม!! ขจัดแอลกอฮอล์ในเลือดครึ่งหนึ่ง ภายใน 30 นาที

(9 พ.ย. 66) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า บริษัทในสหรัฐอเมริกาอ้าง กำลังผลิต ‘น้ำมหัศจรรย์’ ดื่มแล้วลดปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดได้ครึ่งหนึ่ง ภายใน 30 นาที ลดปัญหาอาการเมาค้าง

ปัจจุบันมีอาหารเสริมและเครื่องดื่มมากมายที่มีสรรพคุณโฆษณาชวนเชื่อแปลกใหม่ ชวนให้น่าลิ้มลอง ไม่ว่าจะเป็นช่วยเรื่องความสวยความงาม ลดน้ำหนัก เพิ่มพลังงานสมอง บำรุงสายตา เรื่องเพศ จนถึงตัวช่วยในการดื่มแอลกอฮอล์

ล่าสุดบริษัทหนึ่งในอเมริกาก็ประกาศจะว่าจะเปิดตัวเครื่องดื่มดีท็อกซ์แอลกอฮอล์ในเลือดตัวใหม่ปลายปีนี้ที่จะทำให้อาการเมาค้างหายเป็นปลิดทิ้ง

ว่ากันว่าสูตรที่ได้รับการจดสิทธิบัตรนี้สามารถลดปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดของคนลงได้ครึ่งหนึ่งในเวลาเพียง 30 นาที ลดความเสี่ยงต่อพิษจากแอลกอฮอล์และอาการเมาค้าง

โดยใช้ส่วนผสมที่ได้รับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ เพิ่มเส้นทางการเผาผลาญที่สลายระดับแอลกอฮอล์ในเลือดและสร้างชั้นป้องกันรอบกระเพาะอาหารเพื่อป้องกันการดูดซึมแอลกอฮอล์ที่ตกค้างเข้าสู่ร่างกาย

ซึ่งจะวางจำหน่ายในสหรัฐอเมริกาในเดือนธันวาคมของปีนี้ และตลาดอื่น ๆ คาดว่าจะตามมา เครื่องดื่มมหัศจรรย์นี้จะจำหน่ายในกระป๋องขนาด 12 ออนซ์ ราคา 4.99 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 177 บาท) เบื้องต้นเครื่องดื่มดังกล่าวจะวางจำหน่ายในร้านขายยาทั่วสหรัฐอเมริกา

‘WHO’ เผย 'เด็กในฉนวนกาซา' เสียชีวิต 160 รายต่อวัน ความชอบธรรมแก่พลเรือนในกาซา ที่ไม่มีใครหยิบยื่น

(9 พ.ย. 66) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา คริสเตียน ลินด์ไมเออร์ โฆษกองค์การอนามัยโลก (WHO) รายงานว่าผู้คนในฉนวนกาซาถูกสังหารแล้วกว่า 11,000 ราย หรือราวร้อยละ 0.5 ของประชากรทั้งหมด โดยพบเด็กเสียชีวิตเฉลี่ย 160 รายต่อวัน

ลินด์ไมเออร์ แถลงว่า ปัจจุบันมีบุคลากรการแพทย์เสียชีวิตขณะปฏิบัติหน้าที่แล้ว 16 ราย โดยองค์การฯ กำลังทำงานเพื่อสนับสนุนบุคลากรการแพทย์ในกาซา พร้อมเรียกร้องการรับรองความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่กลุ่มนี้อีกครั้ง

ลินด์ไมเออร์ กล่าวว่า มีการโจมตีสถานพยาบาลในกาซา 102 ครั้ง ในเขตเวสต์แบงก์ 121 ครั้ง และในอิสราเอล 25 ครั้ง ขณะโรงพยาบาลในกาซา 14 แห่ง ไม่สามารถให้บริการได้เนื่องจากขาดแคลนเชื้อเพลิงและได้รับความเสียหาย

เมื่อวันอังคาร (7 พ.ย.) ถือเป็นวันครบรอบหนึ่งเดือนที่กลุ่มฮามาสเปิดฉากโจมตีอิสราเอลเมื่อวันที่ 7 ต.ค. โดยลินด์ไมเออร์เผยว่า ผู้คนในอิสราเอลหวาดกลัวและกังวลเรื่องตัวประกันมากกว่า 200 คน พร้อมเรียกร้องให้ปล่อยตัวประกันทั้งหมดทันที ซึ่งหลายคนในจำนวนนี้จำเป็นต้องได้รับการดูแลทางการแพทย์อย่างเร่งด่วน

นอกจากนั้น ลินด์ไมเออร์ ย้ำว่า ไม่มีสิ่งใดสามารถสร้างความชอบธรรมให้แก่ความหวาดกลัวที่พลเรือนในกาซาต้องเผชิญ พวกเขาต้องการน้ำ อาหาร และการรักษาพยาบาล ขณะระดับความอันตรายถึงชีวิตและความทุกข์ทรมานที่พวกเขาเผชิญอยู่นั้นยากจะหยั่งรู้ได้

ด้าน เจนส์ ลาร์เคอ โฆษกประจำสำนักงานเพื่อการประสานงานกิจการด้านมนุษยธรรมขององค์การสหประชาชาติ (UN) กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่ารถบรรทุกจำนวน 561 คันได้เข้าไปในกาซาตั้งแต่วันที่ 21 ต.ค. แต่ไม่มีรถบรรทุกคันใดบรรจุเชื้อเพลิงเนื่องจากคำสั่งห้ามของทางการอิสราเอล

ส่วนอเลสซานดรา เวลลุชชี ผู้อำนวยการฝ่ายบริการข้อมูลขององค์การฯ ในเจนีวา กล่าวว่าผู้คนในกาซามากกว่า 1.5 ล้านคนต้องกลายเป็นผู้พลัดถิ่น โดยเกือบครึ่งหนึ่งลี้ภัยอยู่ในค่ายพักพิงขององค์การฯ

'คนงานเกาหลีใต้' ดับสยอง!! สังเวยชีวิตให้ 'แขนกลหุ่นยนต์'  หลังระบบสับสนนึกว่าคนเป็นกล่องพริก คว้าร่างลงสายพาน 'บด'

(9 พ.ย. 66) บีบีซี รายงานถึงเหตุการณ์สุดสยองในประเทศเกาหลีใต้ หลังจากชายในช่วงอายุ 40 ปี ถูกแขนกลหุ่นยนต์สังหารที่โรงงานในจังหวัดคย็องซังใต้ เมื่อค่ำวันพุธที่ 8 พ.ย.ที่ผ่านมา

สำนักข่าวยอนฮัป ระบุว่า แขนกลหุ่นยนต์สับสนว่าชายคนงานเป็นกล่องบรรจุพริกหรือพริกไทยและคว้าตัวชายเคราะห์ร้ายจากนั้นวางร่างลงบนระบบสายพานลำเลียง

ก่อนบีบอัดเข้าที่ใบหน้าและส่วนอกอย่างแรง แม้เจ้าหน้าที่โรงงานจะเร่งช่วยเหลือนำตัวส่งโรงพยาบาล แต่แพทย์ไม่สามารถยื้อชีวิตชายคนดังกล่าวไว้ได้

ด้านตำรวจท้องถิ่นเปิดเผยว่า ผู้เสียชีวิตกำลังตรวจสอบการทำงานของแขนกลหุ่นยนต์ซึ่งเลื่อนจากกำหนดเดิมเมื่อวันที่ 6 พ.ย. ขณะที่บริษัท ทงโกซอง เอ็กซ์พอร์ต อะกริคัลเจอรัล คอมเพล็กซ์ ผู้บริหารโรงงาน ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้เร่งตรวจสอบระบบเพื่อให้มีความแม่นยำและปลอดภัยมากขึ้น

เหตุการณ์นี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกี่ยวข้องกับระบบเครื่องจักรในสถานที่ทำงาน โดยเมื่อเดือน มี.ค. ที่ผ่านมา ชายชาวเกาหลีใต้อายุ 50 ปี ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากหุ่นยนต์อยู่ระหว่างทำงานที่โรงงานผลิตชิ้นส่วนรถยนต์

‘อิหร่าน’ เจ๋ง!! ส่งออกรถแทรกเตอร์ 25 ประเทศทั่วโลก ‘สินค้าคุณภาพสูง-ราคาย่อมเยา’ แต้มต่อการแข่งขัน

เมื่อไม่นานมานี้ Mostafa Vahidzadeh CEO ของ Iran Tractor Manufacturing Company (Tractorsazi) บริษัทผู้ผลิตรถแทรกเตอร์อิหร่าน ประกาศว่า สามารถส่งออกผลิตภัณฑ์ของบริษัทไปยัง 25 ประเทศทั่วโลก อาทิ ตุรกี อุซเบกิสถาน รัสเซีย คิวบา โคลอมเบีย อิรัก กาตาร์ และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ฯลฯ

Vahidzadeh ระบุว่า ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูง ราคาที่ค่อนข้างถูก ซึ่งเป็นราคาที่แข่งขันกับประเทศต่าง ๆ ได้นั้น เป็นเหตุผลและปัจจัยหลักในความสำเร็จของการส่งออกผลิตภัณฑ์รถแทรกเตอร์ 

Vahidzadeh กล่าวเสริมว่า ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ (21 มีนาคม - 22 กันยายน 2023) มีการส่งออกรถแทรกเตอร์ของอิหร่าน 1,500 คัน มูลค่า 22 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 30 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว (2022) 

นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์ชิ้นส่วนหล่อขึ้นรูปของรถแทรกเตอร์ยังส่งออกไปยังหลายประเทศในยุโรป อาทิเช่น ตุรกี เยอรมนี และอิตาลี หนึ่งในผลิตภัณฑ์ใหม่ของบริษัทนี้คือ รถไถนาซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่มีจำหน่ายในบางประเทศเท่านั้น โดยคุณสมบัติของรถไถอเนกประสงค์รุ่นนี้ คือ น้ำหนักเบา มีกำลัง 45 แรงม้า ตัวถังรถสูง และกันน้ำได้

CEO ของบริษัทผู้ผลิตรถแทรกเตอร์ของอิหร่าน (Tractorsazi) ระบุว่า ร้อยละ 92 ของชิ้นส่วนรถแทรกเตอร์สามารถผลิตได้ในประเทศ และอีกร้อยละ 8 มาจากต่างประเทศ เนื่องจากไม่สามารถผลิตในประเทศได้ นอกจากนี้แล้วบริษัทฯ ยังมีสายการผลิตในเวเนซุเอลาและทาจิกิสถานอีกด้วย และจะมีการเปิดตัวสายการผลิตในอีกสองประเทศในเอเชียซึ่งอยู่ในขั้นตอนสุดท้ายของการดำเนินการ

ทั้งนี้ Iran Tractor Manufacturing Company ก่อตั้งขึ้นในเมือง Tabriz ในปี ค.ศ. 1968 โดยเป็นบริษัทร่วมหุ้นพิเศษโดยมีส่วนร่วมกับโรมาเนีย เพื่อผลิตรถแทรกเตอร์และเครื่องจักรอุตสาหกรรมประเภทต่าง ๆ ในเมือง Tabriz บนพื้นที่ 400 เฮกตาร์ เริ่มจำหน่ายรถแทรกเตอร์ยี่ห้อ UTB ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1975 การผลิตรถแทรกเตอร์เหล่านี้ค่อย ๆ ยุติลง และเริ่มการผลิตรถแทรกเตอร์ MF แทน ด้วยการเข้ามาร่วมทุนของบริษัท Messi Ferguson จากอังกฤษ เมื่อเวลาผ่านไป ด้วยการปรับเทคโนโลยีการผลิตรถแทรกเตอร์ให้เข้ากับท้องถิ่น ผลิตภัณฑ์ของบริษัทจึงได้รับการผลิตและจำหน่ายภายใต้แบรนด์ ITM ในประเทศ

ในปี ค.ศ. 1996 บริษัท ผู้ผลิตรถแทรกเตอร์อิหร่าน กลายเป็นบริษัทมหาชนและจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ในปี พ.ศ. 2008 เพื่อดำเนินการตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญ จึงมีการโอนจำหน่ายหุ้นไปยังภาคเอกชน ปัจจุบันบริษัทนี้มีกำลังการผลิตระบุอยู่ที่ราว 30,000 คันต่อปี ได้แก่ รถแทรกเตอร์ในช่วง 38 ถึง 150 แรงม้า ซึ่งรวมถึงรถแทรกเตอร์ขนาดเบา ขนาดกลาง กึ่งหนัก และหนัก คิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 95% ของตลาดในประเทศ และยังเป็นผู้ผลิตรถแทรกเตอร์รายใหญ่ที่สุดในตะวันออกกลาง

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา บริษัทผู้ผลิตรถแทรกเตอร์ของอิหร่านให้ความสำคัญกับการใช้มาตรการในด้านความพอเพียงมากขึ้นในการผลิตชิ้นส่วนและส่วนประกอบรถแทรกเตอร์เชิงกลยุทธ์ เช่น เพลาหน้า กระปุกเกียร์กลาง ชุดประกอบไฮดรอลิก ฯลฯ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ เช่น การออกแบบและ การผลิตรถแทรกเตอร์ 475, 485, 800 คัน 470 และผลิตภัณฑ์เชิงกลยุทธ์ของรถแทรกเตอร์หนัก การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการเพิ่มผลผลิตของปัจจัยการผลิตสามารถเดินตามเส้นทางแห่งความเป็นเลิศได้ แม้แต่ในช่วงปีเศรษฐกิจที่ยากลำบากไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้

Tractorsazi Industrial Group ในฐานะผู้ผลิตอุปกรณ์การเกษตรรายใหญ่ที่สุดในอิหร่านมีการดำเนินงานยาวนานกว่าห้าทศวรรษ ทั้งยังมีบริษัทดาวเทียม 10 แห่งในประเทศ และอีก 2 บริษัทในต่างประเทศ ด้วยการผลิตรถแทรกเตอร์ที่มีกำลังตั้งแต่ 35 ถึง 150 แรงม้า กลุ่มผู้ผลิตนี้สามารถตอบสนองความต้องการรถแทรกเตอร์ของเกษตรกรชาวอิหร่านได้ถึงร้อยละ 99 และยังมีส่วนร่วมในการผลิตเครื่องยนต์ 71 ประเภทในภาคเกษตรกรรม อุตสาหกรรม และยานยนต์อีกด้วย

‘ออสเตรเลีย’ เดินหน้าประสานรอยร้าว-เคลียร์ใจทุกข้อขัดแย้ง ‘จีน’ งัดกลยุทธ ‘Kungfu Panda Diplomacy’ หวังพิชิตใจ ‘สี จิ้นผิง’

‘นายแอนโทนี แอลบานีส’ นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย ของัดทุกกลยุทธ ขุดทุก Soft Power ที่รู้จัก มาเพื่อทำภารกิจสานสัมพันธ์กับรัฐบาลจีนปักกิ่ง หลังจากที่ความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศ ดำดิ่งสู่ระดับเลวร้ายมานานกว่า 7 ปี

เมื่อไม่นานนี้ นายแอนโทนี แอลบานีส ถือเป็นนายกรัฐมนตรีคนล่าสุด ที่มาเยือนจีนอย่างเป็นทางการ นับตั้งแต่ปี 2016 ในสมัยของ ‘นายแมลคัม เทิร์นบุลล์’ โดยมีเป้าหมายสำคัญในการฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการค้าระดับทวิภาคี ให้กลับมามีบรรยากาศที่ดีขึ้นอีกครั้ง และยังเป็นการมาเพื่อเคลียร์ใจในประเด็นที่เคยขัดแย้ง จนสร้างความเย็นชาต่อกันมานานหลายปี ส่งผลกระทบต่อธุรกิจส่งออกกุ้งล็อบสเตอร์ เนื้อวัว และไวน์ รวมถึงสินค้าอื่นๆ ของออสเตรเลียไปยังตลาดจีน

ซึ่งต้องยอมรับว่า จีนเป็นตลาดนำเข้าสินค้าออสเตรเลียรายใหญ่ที่สุดมานานหลายสิบปี นอกจากนี้ ยังมีนักศึกษาจีนนับแสนต่อปีที่เดินทางมาศึกษาต่อในออสเตรเลีย ซึ่งเคยทำสถิติสูงสุดในปี 2019 มากกว่า 1.6 แสนคน และถือเป็นสัดส่วนนักเรียนต่างชาติมากที่สุดของออสเตรเลียอีกด้วย

จนกระทั่งความสัมพันธ์ระหว่าง ‘จีน-ออสเตรเลีย’ เริ่มเลวร้ายลงตั้งแต่ปี 2017 เมื่อออสเตรเลียออกมากล่าวหาว่า จีนพยายามเข้ามาแทรกแซงการเมืองในประเทศ ตามมาด้วยการตัดสินใจดำเนินตามนโยบายของสหรัฐอเมริกา ในการแบนอุปกรณ์เทคโนโลยี 5G ของ ‘Huawei’ รวมถึงการออกมาเรียกร้องให้สอบสวนคดีต้นกำเนิดไวรัส Covid-19 โดยตั้งข้อสงสัยว่าอาจมาจากเมืองอู่ฮั่น

และล่าสุด ได้มีการร่วมลงนามในสนธิสัญญาความมั่นคงไตรภาคีระหว่างประเทศออสเตรเลีย สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา (AUKUS) ที่มีเป้าหมายเพื่อต้านอิทธิพลของจีนในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก ที่ได้เติมเชื้อไฟในความบาดหมางระหว่างจีน และออสเตรเลียเรื่อยมาจนถึงวันนี้

โดยคิดเป็นมูลค่ามากกว่า 1.27 หมื่นล้านดอลลาร์ เมื่อรัฐบาลจีนคว่ำบาตรสินค้านำเข้าจากออสเตรเลีย และตั้งกำแพงภาษีเพิ่มขึ้นตั้งแต่ 116.2% – 218.4% รวมถึงการรณรงค์ไม่ให้นักศึกษาจีนเดินทางมาเรียนต่อในออสเตรเลีย จนยอดนักศึกษาจีนหล่นฮวบกว่า 5 หมื่นคนในปีการศึกษา 2022

ทำให้นายแอนโทนี แอลบานีส ผู้นำออสเตรเลียคนปัจจุบัน ต้องมาคิดทบทวน นโยบายที่แล้วมา และขอเดินหน้าฟื้นฟูความสัมพันธ์กับรัฐบาลจีนแผ่นดินใหญ่ ให้กลับมาอยู่ในระดับปกติอีกครั้ง ซึ่งการเยือนจีนในครั้งนี้ยังถือเป็นการฉลองครบรอบ 50 ปีที่ ‘โกห์ วิทแลม’ นายกรัฐมนตรีออสเตรเลียคนแรก เดินทางมาเยือนจีน ในปี 1973 

หลังจากที่ได้พบหน้ากับผู้นำจีนแล้ว นายแอนโทนี แอลบานีส ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อว่า เป็นการพูดคุยด้วยบรรยากาศชื่นมื่น แถมยังมีการเล่นมุก หยอกล้อกันด้วยเรื่องความน่ารักของ ‘แพนด้า’ อีกด้วย

นายแอนโทนี เล่าว่า “สี จิ้นผิง เล่าถึงการไปเยือนนิวซีแลนด์เมื่อเร็วๆ นี้ และเอ่ยปากชมว่าไวน์ของที่นั่นรสชาติดีมาก ผมจึงเสริมทันทีว่า ถ้าพูดถึง ‘ไวน์แดง’ ของออสเตรเลียเหนือชั้นกว่ามาก จากนั้น สี จิ้นผิง ก็พูดถึงตัว ‘แทสเมเนียนเดวิล’ สัตว์พื้นถิ่นของออสเตรเลีย และชมว่ามันน่ารักดี ผมบอกเขาไปทันทีว่า น่ารักไม่เท่าแพนด้าของจีนหรอก ผู้นำจีนรีบตอบทันทีว่า แพนด้าก็ไม่ได้น่ารักทุกตัวหรอกนะ จากนั้นก็ได้หยิบตัวละครในแอนิเมชันดัง อย่าง ‘Kungfu Panda มาคุยกันต่อ” ซึ่งผู้นำออสเตรเลียค่อนข้างพอพึงใจในการเจอกัน ระหว่างเขาและผู้นำสี จิ้นผิง ที่เต็มไปด้วยบรรยากาศอบอุ่น

แต่ทว่า สื่อตะวันตกบางสำนักได้ออกวิพากษ์วิจารณ์ นายแอนโทนี แอลบานีส ว่าเป็นการให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อที่ ‘แปลกประหลาดที่สุด’ ในบรรดาผู้นำออสเตรเลียที่ผ่านมา และแสดงออกอย่างชัดเจนถึงความละมุนละม่อมต่อรัฐบาลจีน จากที่เคยแสดงจุดยืนอย่างแข็งกร้าวมาโดยตลอด และตั้งคำถามว่าจะมีผลต่อนโยบายเกี่ยวกับจีนของรัฐบาลออสเตรเลียหรือไม่

ด้านนายแอนโทนี ตอบแบบกลางๆ ว่า ถึงระบบการเมืองของจีนจะแตกต่างจากออสเตรเลีย แต่มันไม่สำคัญเลยว่าใครจะสวมหมวกใบที่แตกต่างจากเรา เพราะพวกเราสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ดีร่วมกันได้ ถ้าหากเรารู้จักแสวงหาจุดร่วม และสงวนจุดต่าง

แต่ทั้งนี้ ผู้นำออสเตรเลียย้ำว่า ออสเตรเลียยังมีความสัมพันธ์ที่ดีกับสหรัฐอเมริกา และยังต้องการรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับจีนด้วยเช่นกัน เราไม่ต้องการเป็นกันชน คนกลางระหว่าง 2 มหาอำนาจทางเศรษฐกิจโลก ซึ่งการพูดคุยกับผู้นำจีนในวันนี้ ถือเป็นการต่อยอดจากการเจอหน้ากันครั้งแรก ในงานประชุมสุดยอดผู้นำ G-20 ซึ่งเป็นไปในทิศทางที่ดี

นับเป็นสัญญาณที่ดีในการฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างออสเตรเลียและจีน ที่มีความบาดหมาง และเย็นชาต่อกันมานานหลายปี อย่างน้อยก็ตราบเท่าที่นายแอนโทนี แอลบานีส ยังอยู่ในตำแหน่ง ถึงไม่อาจจะรับประกันได้ว่าผู้นำออสเตรเลียคนต่อไป จะมีนโยบายต่อจีนที่ต่างออกไปหรือไม่ แต่สำหรับ ‘แพนด้า’ นับเป็นสัญลักษณ์ทูตสันถวไมตรี ที่ใช้เป็นสื่อกลางของชาวจีนได้ดีเสมอ

‘กลุ่มธุรกิจไทย’ เผย งาน ‘CIIE’ หนุนการสื่อสาร-ขยายตลาดดียิ่งขึ้น เพิ่มขีดความสามารถการค้า-เจาะกลุ่มเป้าหมายตรงจุด-กระตุ้นยอดขายพุ่ง

เมื่อวันที่ 7 พ.ย. 66 สำนักข่าวซินหัว, กรุงเทพฯ รายงานว่า ผู้นำวงการธุรกิจไทย กล่าวว่า ‘งานมหกรรมสินค้านำเข้านานาชาติจีน’ (CIIE) ครั้งที่ 6 ถือเป็นงานแสดงสินค้าระดับสูง ที่มีผู้ประกอบการอุตสาหกรรมชั้นนำเข้าร่วม และสร้างเวทีอันกว้างใหญ่สำหรับผู้ประกอบการต่างชาติเข้าสู่ตลาดจีน

‘หลี่เจียชุน’ วัย 48 ปี ผู้ค้าอัญมณี และประธานสมาคมนักธุรกิจยุคใหม่ไทย-จีน ย้ายมาไทยพร้อมกับพ่อแม่ตั้งแต่ยังเด็ก และก่อตั้ง ‘บริษัท ไทยแลนด์ หย่งไท่ จิวเวลรี จำกัด’ (Thailand Yongtai Jewelry) ตอนอายุ 18 ปี ซึ่งนำสู่การมีส่วนร่วมในแวดวงธุรกิจการค้าอัญมณี

หลี่ ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวซินหัว ก่อนมีการจัดงานมหกรรมฯ ครั้งที่ 6 ระหว่างวันที่ 5-10 พ.ย. ว่า งานมหกรรมฯ ขยับขยายกลุ่มมิตรสหาย และเขาเข้าร่วมงานทุกครั้งมาตั้งแต่ปี 2018 โดยปีนี้นับเป็นการเข้าร่วมงานครั้งที่ 6 แล้ว

ไทยเป็นศูนย์กลางการแปรรูปทับทิมและไพลินระดับโลก และอัญมณีเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมเสาหลักของไทย โดยหลี่และบริษัทของเขาได้เข้าร่วมงานมหกรรมฯ ตามคำเชิญจากตลาดแลกเปลี่ยนอัญมณีและหยกแห่งประเทศจีน (China Gems & Jade Exchange) ในปี 2018

หลี่ กล่าวว่า บริษัทของเขาได้ลงนามสัญญาจะซื้อจะขายจำนวนมาก และทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่ที่งานมหกรรมฯ รวมถึงแข่งขันกับแบรนด์ชื่อดังมากมาย และเรียนรู้จากแต่ละฝ่ายผ่านงานนี้ ขณะเดียวกันสามารถสื่อสารกับลูกค้าที่มีศักยภาพโดยตรง ซึ่งช่วยเพิ่มชื่อเสียงของเราในจีน

งานมหกรรมฯ ในปีนี้จัดทางออฟไลน์อย่างเต็มรูปแบบ และบูธของหลี่ขยายพื้นที่จากเดิม 36 เป็น 72 ตารางเมตร โดยขนาดบูธที่เพิ่มขึ้นสะท้อนความน่าดึงดูดของงานมหกรรมฯ ที่มีต่อผู้ประกอบการที่เข้าร่วม และเขาขยายบูธเพราะเชื่อว่าจะได้รับประโยชน์มากมายจากงานนี้

หลี่ เผยว่า งานมหกรรมฯ ไม่เพียงแสดงการเปิดกว้างของตลาดจีน แต่ยังแสดงพัฒนาการของบริษัทเขาตลอดหลายปีมานี้ด้วย โดยการขยายบูธเป็นเครื่องแสดงการหยั่งรากลึกในตลาดจีนยิ่งขึ้น และปีนี้เขาวางแผนนำเสนออัญมณีกว่า 1,000 รายการ และเพชรพลอย 5,000 กะรัต

การเจรจาพูดคุยกับลูกค้าชาวจีนโดยตรง ทำให้หลี่พบว่า ความเข้าใจของลูกค้าชาวจีนที่มีต่อวัฒนธรรมอัญมณีนั้นลึกซึ้งเพิ่มขึ้น โดยชาวจีนแสวงหาและรู้จักอัญมณีเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ตามกำลังการบริโภคที่พัฒนาดีขึ้นต่อเนื่อง ขณะความต้องการของลูกค้ามีความหลากหลายเพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งเขาเชื่อว่าอุตสาหกรรมอัญมณีในจีนมีโอกาสรออยู่มากมาย

นอกจากมองหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ หลี่ยังมีส่วนร่วมช่วยผู้ประกอบการชาวไทยเข้าร่วมงานมหกรรมฯ ผ่านสมาคมฯ โดยเขานำพาผู้ผลิตอัญมณีไทยเข้าร่วมงานมหกรรมฯ ครั้งแรกในปี 2018 มากกว่า 40 ราย และตัวเลขดังกล่าวเพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 70 รายในงานมหกรรมฯ ครั้งที่ 2 ซึ่งครอบคลุมผู้จัดแสดงสินค้าอาหารและการแพทย์ด้วย

ปีนี้ตรงกับวาระครบรอบ 10 ปี ‘แผนริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง’ (BRI) ที่นำเสนอโดยจีน ซึ่งงานมหกรรมฯ ที่เป็นงานแสดงสินค้านำเข้าระดับชาติงานแรกของโลก มีกลุ่มประเทศตามแผนริเริ่มฯ เข้าร่วมกันอย่างแข็งขัน โดยปัจจุบันมีบริษัทจากกลุ่มประเทศตามแผนริเริ่มฯ ลงทะเบียนเข้าร่วมนิทรรศการผู้ประกอบการและธุรกิจของงานมหกรรมฯ ครั้งนี้มากกว่า 1,500 แห่ง

หลี่ กล่าวว่า งานมหกรรมฯ สร้างโอกาสใหม่แก่ไทยและกลุ่มประเทศตามแผนริเริ่มฯ ในการเข้าสู่ตลาดจีน โดยรัฐบาลไทยยกย่องงานมหกรรมฯ เป็นเวทีสำคัญในการส่งเสริมการค้า และกระตุ้นบริษัทต่างๆ เข้าร่วมอย่างแข็งขันเป็นจำนวนมาก

“เราจะยังคงส่งเสริมผู้ประกอบการชาวไทยเข้าร่วมงานมหกรรมฯ และนำเสนอสินค้าไทยสู่ตลาดจีนมากขึ้นในอนาคต ขณะเดียวกันจะมุ่งนำเสนอสินค้าที่มีคุณภาพสูงจากจีนมาสู่ไทยและทั่วโลกด้วย” หลี่ กล่าวทิ้งท้าย

‘ไนกี้’ ยื่นฟ้อง 2 คู่แข่ง ‘นิวบาลานซ์-สเก็ตเชอร์ส’ เหตุละเมิดสิทธิบัตรผลิตรองเท้าแบบ Flyknit

เมื่อวานนี้ (7 พ.ย.66) สำนักข่าวรอยเตอร์ (Reuters) รายงานว่า ไนกี้ (Nike) บริษัทสินค้าเสื้อผ้าและรองเท้ากีฬาชื่อดังยื่นฟ้องสองแบรนด์รองเท้าดัง นิวบาลานซ์ (New Balance) และ สเก็ตเชอร์ส (Skechers) โดยกล่าวหาว่า นิวบาลานซ์ และสเก็ตเชอร์ ละเมิดสิทธิบัตรเทคโนโลยีการผลิตรองเท้าของตน ในส่วนการผลิตส่วนบน (upper) ของรองเท้าสนีกเกอร์ 

การฟ้องร้องนี้ของไนกี้ระบุว่า รองเท้านิวบาลานซ์และรองเท้าสเก็ตเชอร์สหลายรุ่นได้ใช้เทคโนโลยี ‘ฟลายนิต’ (Flyknit) ของไนกี้ซึ่งได้รับการจดสิทธิบัตรสำหรับการผลิตทั้งรองเท้าวิ่ง รองเท้าฟุตบอล และรองเท้าบาสเก็ตบอล

กรณีการฟ้องร้องนิวบาลานซ์ ไนกี้ยื่นฟ้องต่อศาลรัฐบาลกลางในรัฐแมสซาชูเซตส์โดยกล่าวหาว่า รองเท้าจาก เฟรช โฟม (Fresh Foam), ฟูเอลเซล (FuelCell) และไลน์การผลิตอื่น ๆ ของนิวบาลานซ์ละเมิดสิทธิ์ในสิทธิบัตรของไนกี้

ส่วนกรณีสเก็ตเชอร์ส ไนกี้ได้ฟ้องร้องต่อศาลในลอสแอนเจลิสโดยกล่าวหาว่ารองเท้าสเก็ตเชอร์ส รุ่น อัลตรา เฟล็กซ์ (Ultra Flex) และ ไกลด์ สเต็ป (Glide Step) ละเมิดสิทธิบัตรของตน

ไนกี้ได้ร้องขอให้ศาลเรียกค่าเสียหายโดยไม่ระบุจำนวนเงิน และขอให้ศาลออกคำสั่งห้ามนิวบาลานซ์และสเก็ตเชอร์สละเมิดสิทธิบัตรอย่างถาวร

ฝั่งนิวบาลานซ์กล่าวในแถลงการณ์ว่า “เคารพในสิทธิ์แห่งทรัพย์สินทางปัญญาของคู่แข่งอย่างเต็มที่ แต่ไนกี้ไม่ได้เป็นเจ้าของสิทธิ์แต่เพียงผู้เดียวในการออกแบบและผลิตรองเท้าโดยวิธีการผลิตแบบดั้งเดิมที่ใช้ในอุตสาหกรรมนี้มานานหลายทศวรรษ”

ส่วน ไนกี้และสเก็ตเชอร์สยังไม่ตอบสนองต่อคำร้องขอความคิดเห็นของรอยเตอร์ที่สอบถามไปในวันที่ 6 พฤศจิกายน

ก่อนหน้านี้ ไนกี้ได้ฟ้องร้องอาดิดาส (Adidas) พูม่า (Puma) และลูลูเลมอน (Lululemon) ในข้อหาละเมิดสิทธิบัตรเทคโนโลยีในตระกูลฟลายนิตเช่นกัน ซึ่งกรณีอาดิดาสและพูม่าได้ยุติคดีความแล้ว ส่วนคดีของลูลูเลมอนยังคงดำเนินอยู่ตามขั้นตอนของกฎหมาย 

ทั้งนี้ สำหรับเทคโนโลยีฟลายนิต ซึ่งไนกี้เรียกว่า ‘Nike Flyknit’ มีคำอธิบายในเว็บไซต์ของไนกี้ ประเทศไทยว่า Nike Flyknit คือ วัสดุที่ประกอบด้วยเกลียวเส้นด้ายที่แข็งแรงแต่มีน้ำหนักเบาที่ทอออกมาเป็นส่วนบนแบบชิ้นเดียว ซึ่งช่วยให้เท้าของนักกีฬากระชับเข้ากับพื้นรองเท้า 

“รูปแบบการถักที่ต่างกันของแต่ละประเภทนั้นนำมาใช้ร่วมกันในส่วนบน Flyknit ชิ้นเดียว บริเวณหนึ่งจะมีการถักทอที่แน่นกว่าเพื่อให้มีการรองรับเท้ามากขึ้น ในส่วนอื่น ๆ ก็จะดีไซน์ให้ยืดหยุ่นมากขึ้นหรือระบายอากาศได้ดีขึ้น โดยอาศัยข้อมูลจากการศึกษาเท้ามากกว่า 40 ปีจาก Nike เป็นตัวระบุว่าควรจัดวางแต่ละรูปแบบไว้ตำแหน่งใด” 

ไนกี้บอกอีกว่า ได้แรงบันดาลใจในการพัฒนาเทคโนโลยี Nike Flyknit จากความคิดเห็นของบรรดานักวิ่ง โดยออกแบบผ้ามาเป็นพิเศษให้พอดีราวกับถุงเท้า พร้อมการรองรับและความทนทานสำหรับการเล่นกีฬา

'รัสเซีย' ซัด!! 'อิสราเอล' หลุดปากสารภาพครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ ถาม!! องค์กรนิวเคลียร์ระหว่างประเทศทั้งหลายมัวทำอะไรอยู่ 

โฆษกกระทรวงการต่างประเทศรัสเซียระบุมีคำถามมากมายผุดขึ้นมา หลังรัฐมนตรีรายหนึ่งของอิสราเอลเสนอทิ้งระเบิดปรมาณูใส่ฉนวนกาซา ดูเหมือนเป็นการรับสารภาพว่าอิสราเอลมีอาวุธนิวเคลียร์ในครอบครอง แล้วองค์กรนิวเคลียร์ระหว่างประเทศทั้งหลายมัวทำอะไรอยู่

เบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล เมื่อวันอาทิตย์ (5 พ.ย.) สั่งพักงาน อามิไช เอลิยาฮู รัฐมนตรีกระทรวงมรดกอิสราเอล ไม่ให้เข้าร่วมประชุมคณะรัฐมนตรี จนกว่าจะมีการแจ้งให้ทราบเพิ่มเติม หลังแสดงความคิดเห็นผ่านสถานีวิทยุท้องถิ่น แนะนำให้ทิ้งระเบิดปรมาณูใส่ฉนวนกาซา

เอลิยาฮู ให้สัมภาษณ์กับสถานีวิทยุท้องถิ่น บอกว่าเขาไม่พอใจกับภาพรวมของขอบเขตการแก้แค้นของอิสราเอล และครั้งที่ถูกผู้สัมภาษณ์สอบถามว่าเขาสนับสนุนให้ทิ้งบอมบ์ "ระเบิดปรมาณูบางอย่าง" ใส่ฉนวนกาซา เพื่อเข่นฆ่าทุก ๆ คนหรือไม่ ทาง เอลิยาฮู ตอบว่า "มันเป็นทางเลือกหนึ่ง"

ในเรื่องนี้สำนักข่าวอาร์ไอเอของรัสเซีย อ้างคำกล่าวของ มาเรีย ชาคาโรวา โฆษกกระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย เมื่อวันอังคาร (7 พ.ย.) ระบุว่า "มันก่อคำถามต่าง ๆ มากมาย" พร้อมชี้ว่าประเด็นหลักก็คือ มันดูเหมือนว่าอิสราเอลยอมรับสารภาพว่าพวกเขามีนิวเคลียร์ในครอบครอง

อิสราเอลไม่เคยยอมรับต่อสาธารณะว่าพวกเขามีอาวุธนิวเคลียร์ในครอบครอง แต่ทางสหพันธ์นักวิทยาศาสตร์อเมริกัน คาดการณ์ว่าอิสราเอลมีหัวรบนิวเคลียร์อยู่ราว 90 หัวรบ

"คำถามหมายเลข 1 สิ่งที่ปรากฏออกมาก็คือ ดูเหมือนเรากำลังได้ยินถ้อยแถลงอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับการมีอยู่ของอาวุธนิวเคลียร์" ชาคาโรวา ระบุ "ถ้าเป็นเช่นนั้น แล้วทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศและคณะตรวจสอบนิวเคลียร์นานาชาติอยู่ที่ไหน มัวทำอะไรอยู่?"

ความเห็นของ เอลิยาฮู เรียกเสียงประณามอย่างกว้างขวางทั่วโลกอาหรับ ขณะที่เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ระบุว่ามันเป็นถ้อยคำโวหารแห่งความเกลียดชัง ซึ่งรังแต่จะโหมกระพือความตึงเครียดเพิ่มเติม ส่วนอิหร่านเรียกร้องให้นานาชาติตอบสนองเรื่องนี้เป็นการเร่งด่วน

"คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติและทบวงพลังงานปรมาณูสากล ต้องดำเนินการในทันทีและอย่างต่อเนื่อง เพื่อปลดอาวุธรัฐบาลที่ป่าเถื่อนและแบ่งแยกเชื้อชาติแห่งนี้ พรุ่งนี้อาจสายเกินไป" ฮอสเซน อามีร์อับดอลลาเฮียน รัฐมนตรีต่างประเทศอิหร่าน เขียนบนแพลตฟอร์มเอ็กซ์เมื่อวันจันทร์ (6 พ.ย.)

'ลังกาวี' เงียบสงัด ใกล้ได้ชื่อเรียกว่า 'เมืองผี'   หลังนักท่องเที่ยวเลือกซบไทย-หาดใหญ่

(8 พ.ย. 66) จากเพจ 'World Forum ข่าวสารต่างประเทศ' ได้โพสต์ข้อความถึงภาพการท่องเที่ยวในมาเลเซียที่แลดูเงียบสงัด ไว้ว่า...

มาเลเซีย 🇲🇾 : ลังกาวี เงียบสงัด ใกล้ได้ชื่อเรียกว่า เมืองผี นักท่องเที่ยว เลือกไปเที่ยวหาดใหญ่ ประเทศไทย ร้านอาหาร รถเช่าในลังกาวีกำลังปิดตัว 

#สื่อมาเลเซียตีข่าว 7/11/2023

🧳จำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางไปลังกาวีซึ่งลดลงในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาส่งผลให้ร้านอาหารและอุตสาหกรรมรถเช่าของเกาะประสบความสูญเสียปิดตัว เกิดจากพฤติกรรมของประชาชนที่ชื่นชอบหาดใหญ่ในประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางในวันหยุด ในความเป็นจริงปัจจัยของราคาอาหารและที่พักที่ถูกกว่าในภาคใต้ของประเทศไทยยังดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติให้เลือกสถานที่นั้นเหนือกว่าเกาะลังกาวี หลายคนไม่ไปลังกาวีเพราะขาดเรือเฟอร์รี่ และบางคนก็กลัวโดนกดราคาอาหารแพง 

🧳การจองโรงแรมบนเกาะลังกาวี ในช่วงวันหยุดดีปาวาลีในสัปดาห์หน้ามีเพียงร้อยละ 10 ของโรงแรมระดับ 3 ดาวหรือต่ำกว่า ซึ่งถือว่าแย่ที่สุดเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ในช่วงเดือนตุลาคม ผู้ประกอบการร้านอาหารมากถึง 31 รายจาก 163 รายที่จดทะเบียนกับ LTA ได้เลิกกิจการ  

*ลังกาวีอยู่ระหว่างเรียกร้องให้ภาครัฐ ออกมาตรการส่งเสริม กระตุ้นการท่องเที่ยว 

'ฮีท' มือเบส X Japan เสียชีวิตแล้ว หลังมะเร็งลุกลามอย่างรวดเร็ว

เมื่อวานนี้ (7 พ.ย.66) สื่อญี่ปุ่นรายงานข่าวเศร้า เกี่ยวกับวงร็อกระดับตำนาน X Japan ว่า ‘ฮิโรชิ โมริเอะ’ หรือ ‘ฮีท’ มือเบสของวงได้เสียชีวิตลงแล้วด้วยวัย 55 ปี ซึ่งเกิดขึ้นอย่างกะทันหันโดยที่หลายคนไม่ได้ทำใจเอาไว้ก่อนเลย

เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน โยชิกิ ลีดเดอร์ของ X Japan ตัดสินใจยกเลิกงานทั้งหมด และเดินทางจากอเมริกากลับบ้านเกิดที่ญี่ปุ่นอย่างฉุกเฉิน หลังทราบข่าวเศร้าว่า ฮีท ได้เสียชีวิตลงแล้ว

ตามข้อมูลของสื่อญี่ปุ่น ฮีท เริ่มรู้สึกไม่สบายตั้งแต่ต้นปี จนตัดสินใจไปพบแพทย์ และตรวจพบว่าเขาป่วยเป็นมะเร็ง จากนั้นมะเร็งก็ลุกลามอย่างรวดเร็ว จนสุดท้ายเสียชีวิตลงในปลายเดือน ต.ค. ทีผ่านมา

"เขาเสียชีวิต หลังการวินิจฉัยได้เพียงไม่นาน มันกระทันหันจนเขาไม่มีโอกาสที่จะบอกสมาชิกในวงว่าตัวเองเป็นมะเร็งหรือกำลังต่อสู้กับโรคนี้ด้วยซ้ำ" คนสนิทของ ฮีท กล่าว

X Japan ไม่ได้ทำกิจกรรมในฐานะวงมาตั้งแต่ปี 2018 เนื่องจากปัญหาต่างๆ ข่าวบอกว่า ฮีท เป็นสมาชิกเพียงคนเดียว ที่ตั้งความหวัง และรอคอยที่จะให้วงกลับมาร่วมกันมากที่สุด

โดย ฮีท เข้าร่วมวงเอ็กซ์ X Japan ในปี 1992 แทนที่ ไทจิ ซาวาดะ มือเบสคนแรกของวง เขามีผลงานสตูดิโออัลบั้มร่วมกับ X Japan 2 ชุด คืออัลบั้ม Art of Life และ Dahlia


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top