Friday, 17 May 2024
WORLD

‘เขตชิบูย่า’ กรุงโตเกียว สั่งห้าม 'เคานต์ดาวน์-ดื่มแอลกอฮอล์' เหตุกังวลคนแห่ฉลองส่งท้ายปีมากเกินไป จนเกิดอันตราย

(11 ธ.ค.66) เขต 'ชิบูย่า' ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงในกรุงโตเกียวของญี่ปุ่น โดยเฉพาะในช่วงที่มีงานเทศกาลเฉลิมฉลอง ซึ่งจะมีคนมารวมกันที่นี่จนแน่นขนัด แต่ช่วงหลังๆ เจ้าหน้าที่เริ่มมีความกังวลด้านความปลอดภัยจากการที่มีคนมารวมตัวกันจำนวนมากในช่วงงานเทศกาล จึงมีคำสั่งห้ามไม่ให้ประชาชน รวมถึงนักท่องเที่ยวมารวมตัวฉลองกันที่นี่ ล่าสุด เจ้าหน้าที่ได้ประกาศ ไม่ให้มีการรวมตัวกันในเขตชิบูย่า เพื่อฉลองการ 'เคานต์ดาวน์' นับถอยหลังเข้าสู่วันปีใหม่ เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้น

ในวันส่งท้ายปีเก่า วันที่ 31 ธ.ค.เขตชิบูย่า ห้ามไม่ให้มีการดื่มเครื่องดื่ม 'แอลกอฮอล์' ในพื้นที่ ตั้งแต่เวลา 18:00 น. ไปจนถึงเวลา 05:00 น. ของวันที่ 1 ม.ค.2567 โดยเจ้าหน้าที่จะขอความร่วมมือจากร้านค้าในเขตชิบูย่า ไม่ให้ขายเครื่องดื่ม 'แอลกอฮอล์' ในช่วงเวลานั้น และจะเพิ่มกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ ในการเดินตรวจรักษาความเรียบร้อย

นอกจากนี้ ทางการยังตัดสินใจยกเลิกกิจกรรมเคานต์ดาวน์ ซึ่งปกติแล้วจะจัดที่ด้านหน้าสถานีรถไฟชิบูย่า โดยให้เหตุผลเรื่องความกังวลด้านความปลอดภัย และยอมรับว่า หากมีประชาชนเดินทางมาเฉลิมฉลองจำนวนมาก ทางการมีเจ้าหน้าที่ไม่เพียงพอที่จะดูแลความปลอดภัยได้ และหากใครคิดจะไปชิบูย่า เพื่อต้องการถ่ายภาพแสงสีสวยๆ ตรงห้าแยกชิบูย่า ในช่วงคืนส่งท้ายปีเก่า ก็อาจจะต้องรีบไปกันหน่อย เพราะทางเจ้าหน้าที่ได้ขอให้ร้านค้าตรงห้าแยกชิบูย่า ปิดไฟทั้งหมดตอน 23:00 น. เพื่อป้องกันไม่ให้มีการรวมตัวกันในเขตชิบูย่า ในช่วงเคานต์ดาวน์ใกล้วันปีใหม่

'มหาวิทยาลัยในจีน' ออกแบบคอร์สเรียนสำหรับ 'ผู้สูงวัย' สอนใช้ 'เทคโนโลยี-ดนตรี' ให้เท่าทันเทรนด์ยุคใหม่

เมื่อวันที่ 7 ธ.ค.66 มหาวิทยาลัยฮาร์บินจัดคอร์สสอนดนตรีและเทคโนโลยีแก่นักศึกษาผู้สูงอายุ โดยแรกเริ่มคอร์สใหม่นี้ถูกใช้เพื่อสอนร้องเพลงคาราโอเกะสำหรับผู้สูงอายุ ก่อนที่จะเสริมวิชาอื่นๆ ให้ตามทันยุคสมัยปัจจุบัน เช่น การตัดต่อวิดีโอ จนคอร์สนี้ได้รับความนิยมอย่างมากในวิทยาเขตซงซานของมหาวิทยาลัยฮาร์บิน ในมณฑลเฮยหลงเจียง

ทางมหาวิทยาลัยได้พัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนเพื่อตามทันเทรนด์โลกอยู่เสมอ โดยเพิ่มวิชาใหม่อีกมากมาย อาทิ เช่น วิชาสำหรับสอนการตัดต่อวิดีโอ การออกกำลังกาย จิตวิทยาสำหรับผู้สูงวัย การเต้นแนวสตรีตแดนซ์ และการใช้โดรน เป็นต้น

คุณฉีซิน ผู้อำนวยการวิทยาเขตซงซาน กล่าวถึงจุดเริ่มต้นของคอร์สเรียนนี้ว่าช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เรามักจะเห็นผู้สูงอายุจำนวนมากไปร้องคาราโอเกะ (KTV) เพื่อร้องเพลงร่วมกับสมาชิกในครอบครัวและเพื่อนๆ จึงเกิดความคิดเริ่มผลิตหลักสูตรนี้

สำหรับคอร์สเรียนนี้เปิดสอนครั้งแรกเมื่อวันที่ 30 ต.ค.ที่ผ่านมา และเปิดสอนคอร์สที่สองในวันที่ 4 พ.ย. โดยแต่ละคอร์สมีนักเรียน 42 คน อายุระหว่าง 48-73 ปี ขณะที่ค่าเรียนหนึ่งคอร์สอยู่ที่ 90 หยวน (ราว 444 บาท) สำหรับการเรียนรวม 16 ครั้ง

หวังจินเฟิง หญิงวัย 69 ปี หนึ่งในผู้สมัครเรียน กล่าวว่า แม้เธอจะอายุมากแต่ก็ต้องตามเทรนด์ยุคใหม่เสมอ อย่างเช่นการเรียนรู้วิธีใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ใหม่ๆ ซึ่งหลังจากลงเรียนคอร์สนี้ ตอนนี้เธอใช้แอปตัดต่อวิดีโอพื้นฐานในโทรศัพท์เป็นแล้ว 

แถมในภาคเรียนฤดูใบไม้ร่วงปีหน้า มีผู้สนใจลงทะเบียนเรียนคอร์สนี้มากถึง 39,000 รายในวิทยาเขตทั้ง 8 แห่งของมหาวิทยาลัยฮาร์บิน โดยนักศึกษามีอายุตั้งแต่ 45 ไปจนถึง 90 ปี และคอร์สใหม่ในภาคเรียนปีหน้า จะเปิดสอน 118 หลักสูตร ครอบคลุมอีกหลายสาขา ทั้งศิลปะการใช้ชีวิต การเขียนอักษรวิจิตร วรรณกรรม และเทคโนโลยีสมัยใหม่ เป็นต้น

‘เจ้าหน้าที่จีน’ ยกระดับการอนุรักษ์ ‘กำแพงเมืองจีน’ งัดเทคโนโลยีช่วยคุ้มครอง-ตรวจจับความเสียหายที่เกิดขึ้น

เมื่อวานนี้ (10 ธ.ค.66) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า เจ้าหน้าที่ศูนย์ติดตามมรดกทางวัฒนธรรมจากสถาบันวิจัยวัฒนธรรมเส้นทางสายไหมเจียอวี้กวน (กำแพงเมืองจีน) พากันลาดตระเวนบริเวณจุดชมวิวกำแพงเมืองจีน ด่านเจียอวี้กวน ในเมืองเจียอวี้กวน มณฑลกานซู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน เพื่อใช้เครื่องมือตรวจสอบและรวบรวมข้อมูลจากกำแพงเมืองจีน

ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา สถาบันคุ้มครองมรดกทางวัฒนธรรมหลายแห่งได้เพิ่มการลงทุนด้านการคุ้มครองทางเทคโนโลยีของกำแพงเมืองจีน โดยใช้อุปกรณ์ทางเทคโนโลยีรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ตัวชี้วัด และตรวจจับความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น วิธีการเหล่านี้ช่วยรับประกันการดำเนินมาตรการอนุรักษ์และฟื้นฟูที่มีประสิทธิภาพอย่างทันท่วงที รวมถึงรับรองว่ากำแพงเมืองจีนถูกอนุรักษ์ให้คงอยู่ในสภาพที่ดี

‘จีน’ ปล่อย ‘ลองมาร์ช-2ดี’ ส่งดาวเทียมสำรวจสู่อวกาศสำเร็จ นับเป็นการบินครั้งที่ 500 ของจรวดขนส่งในตระกูลลองมาร์

(10 ธ.ค. 66) สำนักข่าวซินหัว, ซีชาง รายงานว่า จีนปล่อยจรวดขนส่ง ‘ลองมาร์ช-2ดี’ (Long March2D) ซึ่งขนส่งดาวเทียมสำรวจระยะไกลดวงหนึ่งขึ้นสู่อวกาศ

‘จรวดลองมาร์ช-2ดี’ ทะยานออกจากศูนย์ปล่อยดาวเทียมซีชาง ในมณฑลซื่อชวน (เสฉวน) ทางตะวันตกเฉียงใต้ ตอน 09.58 น. (ตามเวลาปักกิ่ง) และส่งดาวเทียม ‘เหยาก่าน-39’ (Yaogan-39) เข้าสู่วงโคจรที่กำหนดไว้

ทั้งนี้ การขนส่งดาวเทียมดังกล่าวนับเป็นภารกิจการบินครั้งที่ 500 ของจรวดขนส่งตระกูลลองมาร์ช

‘จีน’ ประกาศลดค่า ‘วีซ่า’ 25% ให้หลายชาติ รวม ‘ไทย’ ด้วย เริ่ม 11 ธ.ค.66-31 ธ.ค.67 หวังกระตุ้นนักท่องเที่ยวเข้าประเทศ

เมื่อวานนี้ (8 ธ.ค.66) กระทรวงต่างประเทศจีนและสถานทูตจีนในหลายประเทศรายงานว่า จีนจะลดค่าการตรวจลงตราหนังสือเดินทาง (วีซ่า) ลง 25% ให้แก่นักเดินทางจากไทย ญี่ปุ่น เม็กซิโก เวียดนาม และฟิลิปปินส์ ตั้งแต่วันที่ 11 ธ.ค. 2566 ถึงวันที่ 31 ธ.ค. 2567 ปัจจุบันนโยบายนี้ครอบคลุมผู้เดินทางหลายร้อยล้านคนจากกว่า 10 ประเทศ

สำหรับมาตรการใหม่นี้เป็นมาตรการล่าสุดของจีนที่ต้องการกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวและนักธุรกิจชาวต่างชาติเดินทางเข้าจีน ในช่วงที่เศรษฐกิจจีนยังฟื้นตัวไม่เต็มที่

เมื่อเดือน พ.ย.ที่ผ่านมา จีนได้ประกาศนโยบายยกเว้นวีซ่าให้ผู้ถือหนังสือเดินทางฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี เนเธอร์แลนด์ สเปน และมาเลเซีย ตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค. 2566 ถึงวันที่ 30 พ.ย. 2567 โดยสามารถพำนักอยู่ในจีนได้สูงสุด 15 วัน โดยไม่ต้องขอวีซ่า สำหรับทำธุรกิจ ท่องเที่ยว เยี่ยมครอบครัว และแวะเปลี่ยนเที่ยวบิน

‘จีน’ ออกแผนปฏิบัติการมุ่งปรับปรุง ‘คุณภาพอากาศ’ หวังลด PM 2.5 ให้ได้ร้อยละ 10 ภายในปี 2025

เมื่อวานนี้ (8 ธ.ค.66) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า คณะรัฐมนตรีจีนเผยแพร่แผนปฏิบัติการเพื่อปรับปรุงคุณภาพอากาศ ท่ามกลางความพยายามส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจคุณภาพสูงของประเทศ

แผนปฏิบัติการดังกล่าวประกอบด้วยชุดมาตรการที่มุ่งบรรลุเป้าหมายท้องฟ้าที่มีสีฟ้ามากขึ้น ภายในปี 2025 อาทิ การขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางอุตสาหกรรมสีเขียว การสร้างพลังงานผสมที่สะอาดมากขึ้น และการพัฒนาระบบการขนส่งคาร์บอนต่ำ

เป้าหมายของแผนนี้คือเพื่อลดความเข้มข้นของฝุ่นพิษขนาดเล็ก พีเอ็ม 2.5 (PM2.5) ในเมืองระดับแคว้นขึ้นไป ลงร้อยละ 10 ภายในปี 2025 เมื่อเทียบกับระดับปี 2020 เพื่อควบคุมสัดส่วนวันที่มีมลพิษทางอากาศย่ำแย่แต่ละปีให้อยู่ที่ร้อยละ 1 หรือต่ำกว่า และเพื่อลดการปล่อยก๊าซไนโตรเจนออกไซด์และสารประกอบอินทรีย์ระเหยง่ายกว่าร้อยละ 10

ภูมิภาคปักกิ่ง-เทียนจิน-เหอเป่ยและพื้นที่โดยรอบ รวมถึงภูมิภาคสามเหลี่ยมปากแม่น้ำแยงซี และที่ราบเฝินเว่ย ถูกระบุเป็นพื้นที่สำคัญในแผนปฏิบัติการข้างต้น

นอกจากนี้ จีนจะสั่งห้ามกำลังการผลิตเหล็กใหม่ เร่งการยกเลิกกำลังการผลิตที่ล้าสมัยในอุตสาหกรรมหลัก และส่งเสริมอุตสาหกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

จีนจะดำเนินการเพื่อพัฒนาพลังงานใหม่และพลังงานสะอาดเพิ่มเติม เพื่อรับประกันว่าพลังงานที่ไม่ใช่ฟอสซิลจะครองสัดส่วนร้อยละ 20 ของการใช้พลังงานทั้งหมดของประเทศ ภายในปี 2025 โดยการผลิตและการจัดหาก๊าซธรรมชาติจะเพิ่มขึ้นเช่นกัน

ส่วนยานยนต์พลังงานใหม่จะครองสัดส่วนไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของรถบัส รถแท็กซี่ และยานพาหนะขนส่งสาธารณะอื่นๆ ในเมืองรุ่นใหม่หรือที่ได้รับการปรับปรุงในพื้นที่สำคัญ

ทั้งนี้ จีนจะพยายามเสริมสร้างการกำกับดูแลและการบังคับใช้กฎหมาย การปรับปรุงกฎหมาย การปรับปรุงนโยบายสิ่งแวดล้อมและนโยบายเศรษฐกิจ ขยายความร่วมมือระหว่างประเทศในการจัดการสภาพแวดล้อมในชั้นบรรยากาศ ตลอดจนการป้องกันและควบคุมการแปรสภาพเป็นทะเลทราย

'วลาดิมีร์ ปูติน' ขอครองอำนาจต่ออีก 6 ปี ประกาศลงชิง ปธน.รัสเซีย สมัย 5 ในปีหน้า

เมื่อวานนี้ (8 ธ.ค.66) สำนักข่าวทาสส์ของทางการรัสเซียรายงานว่า ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย ประกาศลงสมัครเลือกตั้งประธานาธิบดีรัสเซียในปีหน้า ซึ่งหากประสบชัยชนะจะทำให้เขาดำรงตำแหน่งผู้นำรัสเซียสมัยที่ 5 เป็นเวลาอีก 6 ปี

ทั้งนี้ การเลือกตั้งประธานาธิบดีรัสเซียจะมีขึ้นเป็นเวลา 3 วันระหว่างวันที่ 15-17 มี.ค.2567

ผลการสำรวจของ Levada Center พบว่า ปธน.ปูตินได้รับคะแนนความพึงพอใจจากชาวรัสเซียสูงถึง 85% ในเดือน พ.ย. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือน ม.ค.2560

นอกจากนี้ ผลการสำรวจของ Public Opinion Foundation (FOM) พบว่า ชาวรัสเซียที่มีสิทธิเลือกตั้งราว 70% ต้องการให้ปธน.ปูตินลงสมัครเลือกตั้งประธานาธิบดีรัสเซียในครั้งนี้

‘ไทย’ เล็ง ดัน ‘ประเพณีสงกรานต์’ สู่งานเทศกาลระดับโลก หลัง ‘ยูเนสโก’ ขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้

(8 ธ.ค. 66) สำนักข่าวซินหัว, กรุงเทพฯ รายงานว่า เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 7 ธ.ค.ที่ผ่านมา ไทยจัดงานเฉลิมฉลองในกรุงเทพฯ เนื่องในโอกาสที่วันสงกรานต์ หรือเทศกาลวันขึ้นปีใหม่แบบดั้งเดิมของไทย ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ขององค์การยูเนสโก (UNESCO) โดยไทยพร้อมส่งเสริมเทศกาลนี้ให้กลายเป็นงานระดับโลก เพื่อดึงดูดผู้มาเยือนและกระตุ้นเศรษฐกิจที่พึ่งพาการท่องเที่ยว

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีไทย กล่าวในงานเฉลิมฉลองว่าการขึ้นทะเบียน เมื่อวันพุธที่ 6 ธ.ค.ที่ผ่านมา นับเป็นของขวัญล้ำค่าที่นำมาซึ่งความภาคภูมิใจและเกียรติยศ รัฐบาลไทยมุ่งมั่นที่จะอนุรักษ์และส่งเสริมประเพณีสงกรานต์ พร้อมเปิดโอกาสเท่าเทียม ให้ประชาชนทุกสาขาอาชีพได้ร่วมเฉลิมฉลองทั่วประเทศ

แถลงการณ์จากรัฐบาลระบุว่า ไทยกำลังวางแผนจัดงานขนาดใหญ่หลายรายการสำหรับการเฉลิมฉลองเทศกาลสงกรานต์ประจำปีซึ่งตรงกับเดือนเมษายน ภายใต้ความพยายามส่งเสริมซอฟต์พาวเวอร์ด้านวัฒนธรรม โดยนอกเหนือจากกิจกรรมสาดน้ำแบบดั้งเดิมแล้ว เทศกาลนี้ยังจะประกอบด้วยสิ่งดึงดูดมากมาย อาทิ เทศกาลต่างๆ ดนตรี อาหาร ศิลปะ และงานด้านวัฒนธรรม

อนึ่ง เทศกาลสงกรานต์ เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ลำดับที่สี่ของไทยที่ได้รับการขึ้นทะเบียนบนบัญชีของยูเนสโก ตามหลังละครโขน การนวดแผนไทย และรำโนรา

‘หญิงจีน’ ช็อก!! เจอบิลค่าอาหารกว่า 2 ล้านบาท หลังโพสต์รูปติด ‘คิวอาร์โค้ด’ แล้วเจอชาวเน็ตแกล้งสั่ง

หญิงชาวจีนแชร์ประสบการณ์ถูกแจ้งบิลค่าอาหาร 430,000 หยวน หรือราวๆ 2.1 ล้านบาท หลังจากที่เธอเผลอโพสต์รูปที่มี ‘คิวอาร์โค้ด’ สั่งอาหารลงในสื่อออนไลน์ จนทำให้ชาวเน็ตจำนวนมากแกล้งใช้มันกดสั่งเมนูต่างๆ ในชื่อของเธอ

เมื่อไม่นานนี้ หญิงจีนสกุล ‘แซ่หวัง’ คนนี้เล่าว่า เธอตั้งใจโพสต์รูปอาหารที่เธอกับเพื่อนไปนั่งรับประทานด้วยกันที่ร้านหม้อไฟแห่งหนึ่ง เมื่อวันที่ 23 พ.ย.ที่ผ่านมา แต่ไม่ทันสังเกตว่ามีคิวอาร์โค้ดที่ถูกแปะอยู่ข้างๆ โต๊ะ สำหรับกดสั่งอาหารและชำระเงินติดอยู่ในรูปด้วย

แม้เธอจะโพสต์รูปลงใน ‘WeChat Moments’ ซึ่งถูกตั้งค่าให้มองเห็นได้เฉพาะเพื่อนเท่านั้น แต่ปรากฏว่ามีคนจำนวนมากเริ่มนำโค้ดไปใช้กดสั่งอาหาร

หวัง เพิ่งมารู้ตัวว่า ‘พลาด’ ไปแล้ว หลังพนักงานของร้านเดินมาขอคำยืนยันว่า “เธอต้องการสั่งอาหารมูลค่า 430,000 หยวนจริงหรือไม่?”

หวัง ตัดสินใจลบโพสต์ดังกล่าวทันที แต่ยังคงมีออเดอร์ถูกสั่งในนามโต๊ะของเธอไม่หยุด ซึ่ง หวัง เข้าใจว่าคงจะมีใครสักคนดาวน์โหลดภาพดังกล่าวไปแล้ว ก่อนที่เธอจะลบมันทิ้ง

จากภาพสกรีนช็อตที่ หวัง นำมาแชร์เป็นอุทาหรณ์ ออเดอร์ที่พวกชาวเน็ตตะลุยสั่งในนามของเธอประกอบด้วยเลือดเป็ดสด 1,850 ชิ้น, ปลาหมึก 2,850 จาน และกุ้งบดอีก 9,990 จาน ซึ่งแต่ละจานก็มีสนนราคาหลายสิบหยวน

โชคยังดีที่ทางร้านไม่ได้บังคับให้ หวัง ต้องจ่ายเงินตามออเดอร์เหล่านั้น โดยหลังจากที่ทราบว่ามีความผิดพลาดเกิดขึ้น พนักงานก็ได้ย้ายเธอกับเพื่อนไปนั่งโต๊ะใหม่ และมองข้ามออเดอร์ทั้งหมดที่ถูกสั่งเข้ามาเพิ่ม

หวัง ยอมรับว่านี่เป็นบทเรียนราคาแพงสำหรับเธอ พร้อมเตือนให้ทุกคนตระหนักถึงเรื่องความปลอดภัยของข้อมูล และใช้ความระมัดระวังมากขึ้นก่อนจะโพสต์ภาพหรือข้อมูลต่างๆ ลงในสื่อออนไลน์

‘หลิน เสี่ยวหมิง’ ทนายความจากบริษัทกฎหมาย ‘Sichuan Yishang Law Firm’ ให้สัมภาษณ์กับสื่อจีนว่า เนื่องจาก ‘ออเดอร์ปลอม’ ที่ถูกส่งเข้ามาไม่ได้เกิดจากเจตนาของ หวัง ดังนั้น จึงถือว่าเป็น ‘โมฆะ’ และร้านอาหารที่เผชิญปัญหาลักษณะนี้มีสิทธิ์ปฏิเสธออเดอร์ หรือแม้กระทั่งฟ้องเรียกเงินจากชาวเน็ตเหล่านั้น หากทำให้ทางร้านเกิดความเสียหาย

ลูกชาย ‘โจ ไบเดน’ โดนข้อหาเพียบ ‘เลี่ยงภาษี-พัวพันยาเสพติด’ เสี่ยงโทษหนักจำคุก 17 ปี ทำตำแหน่งประธานาธิบดีพ่อสั่นคลอน

เมื่อวันที่ 7 ธ.ค. 66 ‘ฮันเตอร์ ไบเดน’ บุตรชายหัวแก้วหัวแหวนของประธานาธิบดี ‘โจ ไบเดน’ แห่งสหรัฐฯ ถูกกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ แจ้งข้อหาหลบเลี่ยงไม่จ่ายภาษีเป็นเงิน 1.4 ล้านดอลลาร์ ท่ามกลางวีรกรรมอื้อฉาวมากมายของเจ้าตัว ทั้งการใช้ชีวิตหรูหราฟุ้งเฟ้อ มั่วโสเภณี ซื้อปืนผิดกฎหมาย และพัวพันยาเสพติด

‘ฮันเตอร์ ไบเดน’ วัย 53 ปี ถูกแจ้งความผิดอาญาร้ายแรง 3 กระทง และความผิดลหุโทษอีก 6 กระทงที่เกี่ยวข้องกับการเลี่ยงภาษี ตามข้อมูลจากเอกสารคำฟ้องที่ยื่นต่อศาลแขวงกลาง รัฐแคลิฟอร์เนีย

ฮันเตอร์ อาจต้องโทษจำคุกถึง 17 ปี หากศาลพิพากษาว่ามีความผิดจริง ขณะที่กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ระบุว่า กระบวนการสอบสวนความผิดของเขายังคงดำเนินอยู่

“จำเลยไม่ได้จ่ายภาษีเป็นเงินอย่างน้อย 1.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ตามการประเมินภาษีด้วยตนเอง (self-assessed federal taxes) ตลอดระยะเวลา 4 ปี ในช่วงระหว่างปี 2016-2019” เอกสารคำฟ้องระบุ

ในทางกลับกัน ฮันเตอร์ ไบเดน ได้ใช้จ่ายเงินมหาศาลไปกับ ‘ยาเสพติด หน่วยอารักขา และเพื่อนหญิงมากหน้าหลายตา โรงแรมหรูและที่พักสำหรับเช่า รถยนต์ราคาแพง เสื้อผ้า และข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวอื่นๆ’ รวมถึงจ่ายเงินค่าบำบัดยาเสพติดอีกกว่า 70,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ตามข้อมูลในเอกสารคำฟ้อง

ทนายความของ ฮันเตอร์ ไบเดน ยังไม่ให้ได้สัมภาษณ์ในประเด็นนี้ ขณะที่ทำเนียบขาวก็ปฏิเสธที่จะให้ความเห็นใดๆ เช่นกัน

เอกสารคำฟ้องยังเผยด้วยว่า “ฮันเตอร์ ไบเดน ‘มีรายได้มหาศาล’ ระหว่างเป็นสมาชิกบอร์ดบริหารของ ‘Burisma’ ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทอุตสาหกรรมในยูเครน รวมถึงกองทุนรวมตราสารทุนของเอกชนจีนอีกแห่งหนึ่ง”

อัยการสหรัฐฯ เผยว่า ระหว่างปี 2016-2020 ฮันเตอร์ ไบเดน มีรายได้เบื้องต้นก่อนหักภาษีมากกว่า 7 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในจำนวนนี้รวมถึงเงินเกือบ 2.3 ล้านดอลลาร์ ที่ได้จากการเป็นบอร์ดบริหารของ Burisma ในช่วงปี 2016-2019

ความเชื่อมโยงระหว่าง ‘ฮันเตอร์ ไบเดน’ กับ ‘Burisma’ กลายเป็นจุดอ่อนที่พรรครีพับลิกันเอามาใช้โจมตี ว่าเขาใช้อำนาจบารมีของ ‘ครอบครัวไบเดน’ เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ในต่างแดน

“จำเลยมีหน้าที่ตามกฎหมายที่จะต้องจ่ายภาษีรายได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นรายได้จากการดำรงตำแหน่งในบอร์ดบริหาร Burisma ค่าธรรมเนียมจากการทำข้อตกลงกับกองทุนรวมตราสารทุนของจีน รวมถึงรายได้จากการเป็นทนาย และแหล่งอื่นๆ” เอกสารคำฟ้องระบุ

บุตรชายผู้นำสหรัฐฯ ยังมีรายได้จากการทำงานให้กับบริษัท ‘CEFC Energy Co Ltd.’ ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทด้านพลังงานของจีนอีกด้วย

ในขณะที่รายได้ของเขาเพิ่มขึ้น รายจ่ายของ ฮันเตอร์ ไบเดน ก็มากขึ้นเป็นเงาตามตัว โดยเอกสารคำฟ้องระบุว่า “เฉพาะในปี 2018 ฮันเตอร์ ใช้จ่ายเงินไปกว่า 1.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งรวมถึงการถอนเงินสดเกือบ 772,000 ดอลลาร์, จ่ายเงินเพื่อปรนเปรอผู้หญิง 383,000 ดอลลาร์ และค่าเสื้อผ้ากับข้าวของเครื่องใช้อื่นๆ อีกประมาณ 151,000 ดอลลาร์”

“จำเลยไม่ได้นำเงินทุนเหล่านี้มาจ่ายภาษีเลยในปี 2018”

เมื่อเดือน ต.ค. ที่ผ่านมา ฮันเตอร์ ไบเดน รับสารภาพต่อศาลรัฐเดลาแวร์ในข้อหาให้การเท็จ เกี่ยวกับการใช้ยาเสพติดขณะที่ซื้อปืนผิดกฎหมาย ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่บุตรของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในตำแหน่งถูกดำเนินคดีอาญา

‘จีน’ เปิดใช้ ‘ห้องแล็บใต้ดิน’ ลึก-ใหญ่ที่สุดในโลก ‘สะอาด-รังสีต่ำ’ ตอบโจทย์การตรวจจับ ‘สสารมืด’

(8 ธ.ค. 66) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า จีนเปิดใช้งานห้องปฏิบัติการทางฟิสิกส์ ซึ่งตั้งอยู่ลึกลงไปใต้ดิน 2,400 เมตร ในมณฑลซื่อชวน (เสฉวน) ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศ โดยห้องปฏิบัติการแห่งนี้ถือเป็นห้องปฏิบัติการใต้ดินขนาดใหญ่ที่สุดและตั้งอยู่ลึกมากที่สุดในโลก

คณะนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าห้องปฏิบัติการใต้ดินแห่งนี้จะเป็นพื้นที่ ‘สะอาด’ สำหรับการแสวงหาสสารที่มองไม่เห็นหรือ ‘สสารมืด’ (dark matter) โดยการตั้งอยู่ลึกลงไปใต้ดินอย่างมากจะช่วยสกัดกั้นรังสีคอสมิกส่วนใหญ่ที่เป็นอุปสรรคต่อการสังเกตการณ์

รายงานระบุว่าห้องปฏิบัติการใต้ดินลึกและรังสีพื้นหลังต่ำพิเศษสำหรับการทดลองทางฟิสิกส์แนวหน้า (DURF) ตั้งอยู่ข้างใต้ภูเขาจิ่นผิง แคว้นปกครองตนเองเหลียงซาน กลุ่มชาติพันธุ์อี๋ ของซื่อชวน มีความจุของห้องรวม 330,000 ลูกบาศก์เมตร

ห้องปฏิบัติการฯ จัดเป็นระยะที่ 2 ของห้องปฏิบัติการใต้ดินจิ่นผิงแห่งประเทศจีน เริ่มต้นก่อสร้างเดือนธันวาคม 2020 และร่วมสร้างโดยมหาวิทยาลัยชิงหัว และบริษัท ยาหลง ริเวอร์ ไฮโดรพาวเวอร์ เดเวลอปเมนต์ จำกัด

ตำแหน่งที่ตั้งอยู่ลึกลงไปใต้ดินช่วยให้ห้องปฏิบัติการฯ สัมผัสกับรังสีคอสมิกในปริมาณเล็กน้อยมาก คิดเป็นหนึ่งร้อยในหนึ่งล้านของปริมาณการสัมผัสรังสีคอสมิกบนพื้นผิวโลก

เย่ว์เฉียน อาจารย์มหาวิทยาลัยฯ ระบุว่าห้องปฏิบัติการฯ มีจุดเด่นหลายประการ ทั้งปริมาณรังสีคอสมิกต่ำพิเศษ รังสีในสิ่งแวดล้อมต่ำมาก ความเข้มข้นของเรดอนต่ำมาก และพื้นที่สะอาดพิเศษ ซึ่งเกื้อหนุนการตรวจจับสสารมืด

ทั้งนี้ คณะนักวิทยาศาสตร์อนุมานว่าสสารที่มองเห็นได้คิดเป็นเพียงราวร้อยละ 5 ของจักรวาล ขณะสสารมืดและพลังงานมืดคิดเป็นราวร้อยละ 95 ของจักรวาล

ปัจจุบันคณะนักวิจัยทีมแรกจาก 10 ทีม ซึ่งมาจากมหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยของจีน เช่น มหาวิทยาลัยชิงหัว และมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ เจียวทง ได้ประจำการอยู่ในห้องปฏิบัติการฯ เพื่อดำเนินการทดลองทางวิทยาศาสตร์แล้ว

เย่ว์กล่าวว่าห้องปฏิบัติการฯ จะเป็นศูนย์วิจัยทางวิทยาศาสตร์ใต้ดินลึกสหวิทยาการระดับโลก ซึ่งบูรณาการสาขาวิชาต่าง ๆ ทั้งฟิสิกส์อนุภาค ฟิสิกส์ดาราศาสตร์นิวเคลียร์ และชีววิทยาศาสตร์ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่การพัฒนาการวิจัยในสาขาแนวหน้าที่เกี่ยวข้องของจีน

อนึ่ง ระยะที่ 1 ของห้องปฏิบัติการใต้ดินจิ่นผิงแห่งประเทศจีนก่อสร้างเสร็จสิ้นและเปิดใช้งานเมื่อสิ้นปี 2010 มีความจุห้องราว 4,000 ลูกบาศก์เมตร และประสบผลสำเร็จทางวิทยาศาสตร์หลายรายการ ซึ่งยกระดับการทดลองตรวจจับสสารมืดของจีนสู่ระดับสูงบนเวทีโลก

ระบบการศึกษาเวียดนาม ความคล้ายคลึงที่อาจไม่ต่างจากไทย เน้นสอนให้ท่องจำไว้ เพื่อดันผลคะแนนสอบ PISA ให้ได้สูงๆ

(8 ธ.ค.66) จากเพจ ‘Mr Strategist’ ได้โพสต์ข้อความชวนคิดในหัวข้อ ‘เด็กเวียดนามเรียนเก่งกว่าไทยจริงไหม?’ ความว่า...

เด็กเวียดนามเรียนเก่งกว่าไทยจริงไหม? วัดกันยากครับ ผมเคยไปพูดคุยกับคณะทำงานของฝั่งเวียดนาม เจ้าหน้าที่ระดับล่างและระดับกลางบ้านเขาก็ไม่ได้พูดอังกฤษเก่งนะ (จากการประเมินของผม)

ภาษาอังกฤษเขาก็ติดสำเนียงท้องถิ่น พูดแบบไม่แม่นแกรมม่าเหมือนบ้านเรานี่แหละ แต่เขาดูมีความพยายามมากๆ ในการพูด ถามว่าการแข่งขันเขาสูงไหม สูงมากครับ

สูงไม่ต่างจากจีน, เกาหลี, ญี่ปุ่น เขาแข่งกัน ในแบบที่บ้านครอบครัวเด็กยากจนยังวิ่งหาเงิน เพื่อจ่ายค่าติวเตอร์/ส่งลูกเรียนพิเศษหลังเลิกเรียนน่ะ…

เรื่องคะแนนคณิตศาสตร์เนี่ย แน่นอน พูดกันในเรื่องการออกแบบหลักสูตรแล้ว มันไม่ค่อยซับซ้อนอะไรมาก รัฐบาลเวียดนามสั่งกระทรวงศึกษาฯ ไปว่าอยากได้คะแนนสอบ PISA เยอะๆ

ทางโรงเรียนก็ไปเร่งสอน ไปบีบเด็กให้ท่องจำ ไปเน้นอัดความรู้ให้เด็กๆ แค่นี้เองครับ คนแวดวงการศึกษาของเวียดนามเคยเล่าให้ผมฟัง คะแนนคณิตศาสตร์บ้านเขาดี ก็เพราะหลักสูตรมันเน้นอัดทุกอย่างให้เด็กท่องจำไม่ต่างจากบ้านเรา

ดังนั้น ผมว่าแค่คะแนนอะไรพวกนี้มันน่าจะวัดความเก่ง หรือสติปัญญาไม่น่าจะได้ และคะแนนที่เก็บสถิติมามันก็แค่ค่าเฉลี่ย ไม่สะท้อนภาพรวมทั้งประเทศ อย่างมากอาจจะวัดภาพรวมคุณภาพและการบริหารจัดการระบบการศึกษา

(เพราะท้ายที่สุด กลุ่มตัวอย่างที่ดึงให้คะแนนภาพรวมของประเทศขึ้นหรือลง มันคือกลุ่มที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล ถ้าพวกเขาเหล่านั้นไม่ได้รับการกระจายทรัพยากรการศึกษาที่ดีพอ ทำยังไงคะแนนภาพรวมในประเทศก็ไม่ขึ้นครับ)

แต่จุดเด่นหนึ่งที่เวียดนามเขาดีกว่าเราในตอนนี้คือ บ้านเขาประชากรยังหนุ่มสาวเยอะ มีวัยรุ่นพร้อมเป็นแรงงานราคาถูกมากกว่าประเทศไทย

เขาผลิตเด็กออกไปเป็นแรงงานในอุตสาหกรรมได้ แต่ไทยเราควรเลิกหวังเรื่องผลิตเด็กออกไปเป็นแรงงานพวก Semi Skilled หรือ Unskilled ได้แล้ว

ค่าแรงบ้านเราแพงครับ ยังไงก็แข่งไม่ได้ โรงงานของบริษัทข้ามชาติยังไงก็ชอบเวียดนามกับอินโดนีเซียมากกว่าบ้านเราในระยะยาว

ยังไงไทยก็ควรปรับ Position ตัวเองให้พร้อมกับการผลิตแรงงานป้อน Service Sector และ IT Sector ที่มันซับซ้อนกว่าแค่การเป็นแรงงานประกอบชิ้นส่วนครับ

‘สภาฯ สูงมะกัน’ โหวตคว่ำร่างงบฯ หนุน ‘ยูเครน-อิสราเอล’ แนะ!! โยกงบฯ ไปดูแลพรมแดนสหรัฐ-เม็กซิโก จะดีกว่า

(7 ธ.ค. 66) สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า วุฒิสภาสหรัฐได้โหวตคว่ำร่างกฎหมายงบประมาณฉุกเฉินเพื่อมอบความช่วยเหลือด้านความมั่นคงครั้งใหม่ให้แก่ประเทศยูเครนและอิสราเอล ซึ่งมีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 1.1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม หลังสมาชิกพรรครีพับลิกันเรียกร้องให้มีการนำเอางบประมาณดังกล่าวมาเชื่อมโยงกับมาตรการเพื่อควบคุมการเข้าเมืองตามพรมแดนที่ติดกับประเทศเม็กซิโกที่รัดกุมยิ่งขึ้น

ร่างงบประมาณที่เป็นข้อเสนอของฝ่ายบริการของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ดังกล่าวแบ่งเป็นการมอบความช่วยเหลือด้านความมั่นคงให้กับยูเครนมูลค่า 5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ รวมถึงเงินช่วยเหลือทางด้านมนุษยธรรมและเศรษฐกิจให้กับรัฐบาลยูเครน และยังมอบความช่วยเหลือให้กับอิสราเอลในการทำสงครามกับกลุ่มฮามาสในฉนวนกาซาอีก 1.4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ

ร่างงบประมาณนี้ได้รับเสียงสนับสนุนในวุฒิสภาไป 49 ต่อ 51 เสียง น้อยกว่า 60 เสียงที่ต้องการเพื่อเปิดให้มีการอภิปรายร่างงบประมาณในสภา ซึ่งส่งผลกระทบต่อความพยายามของประธานาธิบดีไบเดนที่จะให้มีการมอบความช่วยเหลือครั้งใหม่ก่อนสิ้นปีนี้

สว.ของพรรครีพับลิกันทุกคนโหวตคว่ำร่างงบประมาณมอบความช่วยเหลือชุดใหม่แก่ยูเครนและอิสราเอล เช่นเดียวกับนายเบอร์นี แซนเดอร์ส สว.อิสระที่มักโหวตเห็นชอบกับพรรคเดโมแครตแต่ได้โหวตคว่ำร่างงบประมาณที่ว่านี้ โดยเขาเคยแสดงความกังวลเกี่ยวกับการให้งบสนับสนุนยุทธวิธีทางทหารที่ไร้มนุษยธรรมของอิสราเอลต่อชาวปาเลสไตน์ในขณะนี้

นายชัค ชูเมอร์ ผู้นำเสียงข้างมากในสภาสูงจากพรรคเดโมแครตก็ได้โหวตคว่ำร่างงบประมาณฉุกเฉินฉบับนี้เช่นกัน เพื่อที่เขาจะสามารถเสนอร่างงบประมาณดังกล่าวได้อีกครั้งในอนาคต โดยภายหลังการโหวต ชูเมอร์ได้กล่าวถึงความเสี่ยงต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นหากยูเครนพ่ายแพ้สงคราม โดยกล่าวว่ามันจะเป็นเหตุการณ์ที่น่าตึงเครียดซึ่งจะส่งผลกระทบต่อไปในระยะยาวตลอดช่วงศตวรรษที่ 21 และเสี่ยงที่จะทำให้ระบอบประชาธิปโตยของชาติตะวันตกอาจเสื่อมถอยลง

ขณะที่ฝ่ายพรรครีพับลิกันให้ความเห็นว่าการเพิ่มความรัดกุมให้กับนโยบายการเข้าเมืองและการควบคุมพรมแดนทางตอนใต้ของประเทศเป็นเรื่องที่สำคัญ และถึงแม้ร่างงบประมาณฉุกเฉินฉบับดังกล่าวจะผ่านการเห็นชอบจากวุฒิสภา แต่มันจะต้องได้รับการเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐที่รีพับลิกันครองเสียงข้างมาก ซึ่งสมาชิกของรีพับลิกันหลายคน รวมถึงนายไมค์ จอห์นสัน ประธานสภาล่าง ไม่เห็นด้วยที่จะมอบความช่วยเหลือให้กับยูเครนเพิ่ม

‘อังกฤษ’ เมินคำสั่งศาล เตรียมส่งตัวผู้ลี้ภัยไปอยู่ ‘รวันดา’ เชื่อ เป็นประเทศปลอดภัย-น่าอยู่ ยัน!! ไม่ส่งกลับบ้านเกิดแน่

‘อังกฤษ’ เป็นอีกหนึ่งประเทศในทวีปยุโรปที่มีปัญหาเรื่องการรับผู้ลี้ภัยต่างชาติมานาน จนกลายเป็นประเด็นความขัดแย้งในสังคมอย่างมาก ซึ่งชาวอังกฤษแท้ๆ จำนวนไม่น้อยต่างสุดจะทน ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ปัญหาเรื่องผู้ลี้ภัย และผู้อพยพเข้าเมืองอย่างผิดกฏหมายล้นเมืองโดยด่วน

แต่วันนี้ รัฐบาลอังกฤษค้นพบวิธีแก้ปัญหาผู้ลี้ภัยได้แล้ว ด้วยการส่งผู้อพยพทั้งหมดไปอยู่ ‘ประเทศรวันดา’ ในทวีปแอฟริกาตะวันออกแทน

โดยล่าสุด เมื่อวันที่ 5 ธ.ค. 66 ‘เจมส์ เคลฟเวอร์ลี’ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยของอังกฤษ ได้เซ็นข้อตกลงร่วมฉบับใหม่กับรัฐบาลรวันดา ที่มีชื่อว่า ‘UK and Rwanda Migration and Economic Partnership’ หรือรู้จักกันทั่วไปว่า ‘แผนผู้ลี้ภัยรวันดา’ ณ กรุงคิกาลี ประเทศรวันดา เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพื่อเลี่ยงข้อกฏหมายที่ศาลฎีกาอังกฤษได้เคยตัดสินว่า ‘การส่งตัวผู้ลี้ภัยมารวันดาเข้าข่ายผิดกฏหมายระหว่างประเทศ’

ซึ่งข้อตกลงฉบับนี้ระบุว่า รัฐบาลอังกฤษสามารถส่งตัวผู้อพยพ ที่อยู่ในผู้เข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย หรือ ‘กลุ่มผู้แสวงหาที่ลี้ภัย’ (Asylum Seeker) ทั้งหมดมาไว้ที่รวันดาก่อนได้ จนกว่าคำร้องขอลี้ภัยจะได้รับการอนุมัติจากรัฐบาลอังกฤษ ถึงสามารถเดินทางจากรวันดา กลับมาอังกฤษได้

แต่ถ้าคำร้องถูกปฏิเสธ ผู้ลี้ภัยคนนั้นก็จะต้องอยู่ในรวันดาแทน โดยรัฐบาลอังกฤษยืนยันว่าจะไม่ผลักดันผู้ลี้ภัยเหล่านั้นไปยังประเทศที่ 3 หรือส่งตัวกลับประเทศต้นทาง

หลังจากที่บรรลุข้อตกลงเรื่องแผนการย้ายผู้ลี้ภัยแล้ว เจมส์ เคลฟเวอร์ลี กล่าวว่า รัฐบาลอังกฤษพร้อมเดินหน้าส่งตัวกลุ่มผู้เข้าเมืองผิดกฏหมาย หรือผู้แสวงหาที่ลี้ภัย บินข้ามมาที่รวันดาได้ทันที ตั้งแต่ปี 2567 เป็นต้นไป และเขาไม่เห็นว่าจะมีเหตุผลใดๆ ในการคัดค้านแผนการย้ายผู้ลี้ภัยของอังกฤษในครั้งนี้ อีกทั้งยังสอดคล้องกับนโยบายเร่งด่วนของ ‘นายกรัฐมนตรี ริชี ซูนัค’ ที่จะลดจำนวนผู้อพยพเข้าเมืองของอังกฤษอีกด้วย

แม้ว่าเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ศาลฎีกาของอังกฤษได้ตัดสินว่า นโยบายส่งตัวผู้ลี้ภัยไปยังรวันดาเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนของกฏหมายระหว่างประเทศ โดยชี้ประเด็นถึงความเสี่ยงที่ผู้ลี้ภัยเหล่านี้อาจถูกส่งตัวกลับไปยังประเทศบ้านเกิดที่พวกเขาหนีมาเพราะภัยสงคราม หรือสภาวะที่ทนทุกข์ทรมาน และตั้งคำถามถึงความปลอดภัยของประเทศรวันดา

ด้าน เจมส์ เคลฟเวอร์ลี ก็กล่าวหนักแน่นว่า “รัฐบาลรวันดามีความใส่ใจอย่างยิ่งต่อสิทธิผู้ลี้ภัย และยินดีที่จะทำงานร่วมกับรัฐบาลอังกฤษ ในการรับมือกับปัญหาผู้อพยพเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายในระดับสากล”

ในขณะเดียวกัน ‘อเลน มุคุราลินดา’ รองโฆษกรัฐบาลรวันดา กล่าวว่า ทั้งสองประเทศจะจัดตั้งคณะทำงานร่วมกัน เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีผู้ลี้ภัยคนใดถูกส่งตัวกลับประเทศของตนอย่างแน่นอน แต่ทั้งนี้คณะทำงานของทั้งสองประเทศต้องผ่านการพิจารณาในสภาอย่างโปร่งใส

และทันทีที่ผ่านกระบวนการทั้งหมดแล้ว รัฐบาลอังกฤษเตรียมที่จะส่งกลุ่มผู้แสวงหาที่ลี้ภัย ที่เข้าเมืองอย่างผิดกฏหมายชุดแรกหลายพันคนไปที่รวันดา โดยรัฐบาลอังกฤษจะสนับสนุนเงินให้แก่รัฐบาลรวันดาก้อนแรกเป็นเงิน 140 ล้านปอนด์ (ประมาณ 6140 ล้านบาท) ในการดูแลผู้ลี้ภัยของอังกฤษชุดนี้ จนกว่าผลวีซ่าจะออก

แผนผู้ลี้ภัยรวันดาครั้งนี้ เกิดจากแรงกดดันของชาวอังกฤษให้นายกรัฐมนตรี ริชี ซูนัค ผู้นำของอังกฤษ ลดจำนวนคนเข้าเมืองที่ทำสถิติสูงสุด 7.45 แสนคน เมื่อปี 2565 ที่ผ่านมา อีกทั้งปัญหาผู้ลี้ภัยที่ลักลอบเข้ามาผ่านทางช่องแคบอังกฤษด้วยเรือลำเล็ก จนเกิดเหตุโศกนาฏกรรมหลายครั้ง และเพื่อแผนการนี้ รัฐบาลอังกฤษก็ได้เตรียมพิจารณาร่างกฎหมายฉบับเร่งด่วนที่จะระบุให้รวันดาเป็น ‘ประเทศที่ปลอดภัย’ อีกด้วย

อันเนื่องจากประเทศรวันดา เคยเป็นที่รู้จักของชาวโลกจากเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชนเผ่าทุตซี เมื่อช่วงปี 2537 จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตมากถึง 8 แสนคนมาแล้ว แต่วันนี้ รัฐบาลอังกฤษออกมาการันตีว่า “รวันดาเป็นประเทศที่ปลอดภัยสำหรับเดินทางและเริ่มต้นชีวิตใหม่”

แต่สำหรับผู้ลี้ภัยที่ตั้งใจมาอยู่ที่อังกฤษอาจต้องคิดหนัก เพราะสุดท้ายต้องมาจบลงที่แอฟริกาแทน พร้อมตั๋วเครื่องบินเที่ยวเดียวจากรัฐบาลอังกฤษบินตรงจากลอนดอนถึงรวันดา และที่พักฟรีระหว่างรอฟังผลวีซ่า

และหากโครงการนี้ประสบความสำเร็จ ก็อาจจะกลายเป็นโมเดลนำร่องให้แก่ประเทศในยุโรปอีกหลายประเทศที่กำลังประสบปัญหาผู้ลี้ภัยล้นเมือง และต้องการลดปริมาณชาวโรบินฮู้ดที่ลักลอบเข้ามาอย่างผิดกฏหมายก็เป็นได้

‘นักวิจัยจีน’ คิดค้น ‘ขั้วไฟฟ้ากระตุ้นเซลล์ประสาท’  อาศัยเทคโนโลยีอินเทอร์เฟซ ช่วยรักษา ‘โรคสโตรก’ 

เมื่อวานนี้ (6 ธ.ค.66) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า เมื่อไม่นานนี้ การศึกษาที่เผยแพร่ผ่านวารสารแอดวานซ์ แมททีเรียลส์ (Advanced Materials) ระบุว่า กลุ่มนักวิจัยของจีนได้พัฒนาขั้วไฟฟ้ากระตุ้นเซลล์ประสาทสมองไฮโดรเจลแบบฝังเข้าไปในร่างกายชนิดใหม่ เพื่อช่วยการฟื้นตัวของหนูทดลองที่ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง หรือสโตรก ซึ่งช่วยไขกระจ่างเกี่ยวกับการรักษาโรคหลอดเลือดสมองโดยใช้เทคโนโลยีอินเทอร์เฟซระหว่างสมองกับคอมพิวเตอร์

โรคหลอดเลือดสมอง เป็นสาเหตุหลักของภาวะอัมพาตครึ่งซีกและความผิดปกติด้านการเคลื่อนไหวร่างกาย โดยเทคโนโลยีดังกล่าวคาดว่าจะสามารถช่วยสนับสนุนการควบคุมการยิงสัญญาณของเซลล์ประสาท การทำงานของจุดประสานประสาท และวงจรประสาทสมอง รวมถึงส่งเสริมการฟื้นตัวของเซลล์ประสาทสมองและวงจรเซลล์ประสาทที่เสียหาย

ทีมวิจัยดังกล่าวที่นำโดยจางเฉียง จากสถาบันเคมีประยุกต์ฉางชุน สังกัดสถาบันบัณฑิตวิทยาศาสตร์จีน พัฒนาขั้วไฟฟ้าข้างต้นซึ่งสามารถรับข้อมูลเส้นประสาทสมองในจุดกำเนิด และควบคุมเส้นประสาทสมองในระดับเซลล์เดียวได้

ทั้งนี้ ทีมวิจัยได้ติดตามข้อมูลของเซลล์ประสาทสมองเป็นเวลา 8 สัปดาห์ติดต่อกัน และใช้เทคโนโลยีการควบคุมเส้นประสาทด้วยแสง เพื่อควบคุมวงจรประสาทในสมองและการตอบสนองของแขนและขา โดยการควบคุมเซลล์ประสาทที่บาดเจ็บในพื้นที่สมองของหนูทดลองที่ได้รับความเสียหายจากโรคหลอดเลือดสมอง สามารถลดพื้นที่เนื้อเยื่อสมองขาดเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมส่งเสริมการฟื้นตัวด้านการเคลื่อนไหว

จางระบุว่า เทคโนโลยีดังกล่าวสร้างความคืบหน้าในแง่ของการออกแบบขั้วไฟฟ้าตรวจจับเส้นประสาท การติดตามสัญญาณประสาท การควบคุมเส้นประสาท และการรักษาโรคหลอดเลือดสมอง อีกทั้งมีประโยชน์ในการรับข้อมูลเส้นประสาทสมองและรักษาความผิดปกติของสมอง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top