Friday, 17 May 2024
WORLD

‘จีน’ ก่อสร้างสถานีตรวจวัด ‘ก๊าซเรือนกระจก’ 117 แห่ง อาศัย ‘ดาวเทียม’ ที่มีความแม่นยำสูง ดักจับคาร์บอนฯ

(2 ธ.ค.66 ) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สำนักงานอุตุนิยมวิทยาแห่งประเทศจีน รายงานว่าปัจจุบันนั้น มีการก่อสร้างสถานีตรวจวัดก๊าซเรือนกระจกที่มีความแม่นยำสูงรวม 117 แห่งแล้ว

จางซิ่งอิ๋ง เจ้าหน้าที่สำนักงานฯ เผยว่าจีนได้ส่งดาวเทียมที่สามารถเฝ้าติดตามคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศโลก จำนวน 5 ดวง เพื่อเพิ่มความสามารถตรวจวัดก๊าซเรือนกระจกตั้งแต่ปี 2016 รวมถึงจัดตั้งเครือข่ายสังเกตการณ์ชั้นบรรยากาศอันประกอบด้วยสถานีระดับโลก 1 แห่ง และสถานีระดับภูมิภาค 6 แห่ง

นอกจากนั้นสำนักงานฯ เผยแพร่แถลงการณ์เกี่ยวกับก๊าซเรือนกระจกในงานแถลงข่าวเมื่อวันศุกร์ (1 ธ.ค.) ซึ่งระบุว่า การเพิ่มขึ้นของความเข้มข้นของคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศโดยเฉลี่ยต่อปีในพื้นที่ดินของจีนในปี 2022 ต่ำกว่าการเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยต่อปีในช่วงปี 2013-2022 อย่างมีนัยสำคัญ

‘ฮ่องกง’ เปิดตัว ‘รถบัส 2 ชั้น’ ขับเคลื่อนด้วยพลังไฮโดรเจนคันแรก พร้อมสถานีเติมเชื้อเพลิง เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เตรียมให้บริการปีหน้า

เมื่อวันที่ 30 พ.ย. 66 สำนักข่าวซินหัว, ฮ่องกง ‘ซิตีบัส’ (Citybus) ผู้ให้บริการรถโดยสารประจำทาง ในเขตบริหารพิเศษฮ่องกงทางตอนใต้ของจีน รายงานการเริ่มต้นทดลองใช้งานรถบัส 2 ชั้นพลังไฮโดรเจนคันแรก และสถานีเติมเชื้อเพลิงไฮโดรเจนสำหรับรถบัสแห่งแรกของเมือง ซึ่งมีกำหนดให้บริการแก่สาธารณะในเดือนมกราคมปีหน้า

‘จอห์น ลี’ ผู้บริหารสูงสุดของฮ่องกง กล่าวว่าความคืบหน้านี้ถือเป็นหมุดหมายสำคัญของการใช้งานยานยนต์พลังงานใหม่ในฮ่องกง โดยยานยนต์พลังไฮโดรเจนสามารถเดินทางในระยะไกลและเติมเชื้อเพลิงได้เร็ว ทำให้ไฮโดรเจนเป็นแหล่งพลังงานที่มีศักยภาพ สำหรับการเปลี่ยนผ่านสู่คาร์บอนต่ำทั่วโลก

ซิตีบัส ระบุว่า การเติมเชื้อเพลิงของรถบัสพลังไฮโดรเจนคันแรกนี้ ใช้เวลาราว 10 นาที และรถบัสรุ่นใหม่ที่ล้ำหน้ากว่านี้จะวิ่งได้ไกลถึง 400 กิโลเมตรต่อการเติมเชื้อเพลิงหนึ่งครั้ง โดยรถบัสพลังไฮโดรเจนเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากกว่ารถบัสน้ำมันดีเซล เพราะปล่อยเพียงน้ำขณะใช้งาน ซึ่งซิตีบัสวางแผนทดแทนรถบัสน้ำมันดีเซลทั้งหมดด้วยรถบัสพลังไฮโดรเจน ภายในปี 2045

ทั้งนี้ รถบัสพลังไฮโดรเจนคันแรก เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามพัฒนาอุตสาหกรรมการขนส่ง อันเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมของฮ่องกง

การแถลงนโยบายในปีนี้ของจอห์น ลี ระบุว่า รัฐบาลฮ่องกงจะกำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาไฮโดรเจนในฮ่องกงในปีหน้า และเริ่มต้นงานเตรียมการแก้ไขกฎหมายอันจำเป็นต่อการผลิต จัดเก็บ ขนส่ง และใช้งานเชื้อเพลิงไฮโดรเจน ภายใต้แนวคิดเสนอร่างกฎหมายต่อสภานิติบัญญัติในปี 2025

‘สิงคโปร์’ เหนียวแน่น!! เมืองที่มีค่าครองชีพสูงสุดในโลก 9 ปีติด เหตุ!! ‘ราคาสินค้าทุกกลุ่ม-ค่าเดินทางในประเทศ’ พุ่งสูงไม่แผ่ว

(1 ธ.ค. 66) การจัดอันดับของ Economist Intelligence Unit (EIU) เผยแพร่เมื่อวันที่ 30 พ.ย. ชี้ว่า วิกฤตค่าครองชีพทั่วโลก นั้นยังห่างไกลจากคำว่า ‘สิ้นสุด’ โดยในปีนี้ ‘สิงคโปร์’ ยังคงครองแชมป์เป็น เมืองที่ค่าครองชีพสูงที่สุดในโลก ต่อเนื่องเป็นปีที่ 9 ตลอดช่วง 11 ปีที่ผ่านมา จากการที่ราคาสินค้าพุ่งสูงในทุกประเภท อีกทั้งค่าใช้จ่ายในการเดินทางในสิงคโปร์ก็สูงที่สุดในโลก เนื่องจากการควบคุมของรัฐในการจำกัดปริมาณรถยนต์ในสิงคโปร์ และยังเป็นประเทศที่มีราคาเสื้อผ้า สินค้าอุปโภคบริโภค และแอลกอฮอล์ แพงที่สุดในโลกด้วย

ทางด้าน เมืองซูริค จาก ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ที่ก้าวกระโดดขึ้นอันดับมาครองแชมป์ร่วมกับสิงคโปร์ในปีนี้ได้ เป็นผลมาจากค่าเงินฟรังก์สวิสที่แข็งค่าขึ้น และราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่ถีบตัวสูง

ส่วนอันดับ 3 นั้นตกเป็นของเมืองเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ที่ครองอันดับร่วมกันกับ มหานครนิวยอร์ก ของสหรัฐอเมริกา ขณะที่อันดับ 5 ตกเป็นของฮ่องกง

มาที่อันดับ 6 ได้แก่ เมืองลอสแองเจลิส สหรัฐอเมริกา อันดับ 7 กรุงปารีส ฝรั่งเศส อันดับ 8 โคเปนเฮเกน เดนมาร์ก อันดับ 9 เทลอาวีฟ อิสราเอล และอันดับ 10 ซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ทาง EIU ประเมินในฝั่งเอเชียจะเริ่มเห็นการปรับขึ้นของราคาสินค้าที่ลดลงเมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่น ๆ ในโลก โดยจะเห็นว่า เมืองใหญ่ในจีนและญี่ปุ่นต่างก็ไม่ติดอันดับเมืองค่าครองชีพสูงในปีนี้

ในรายงานของ EIU ยังพบว่า หลายเมืองทั่วโลกต้องเผชิญกับปัญหาราคาสินค้าที่แพงขึ้นเนื่องจากเงินเฟ้อเพิ่มสูง สินค้าและบริการมากกว่า 200 รายการ แพงขึ้น 7.4% เมื่อเทียบแบบปีต่อปี ตามสกุลเงินท้องถิ่น แม้อัตราราคาสินค้าดังกล่าวต่ำกว่าปีก่อน 0.7% แต่ก็ยังถือว่าสูงกว่าระดับราคาสินค้าในช่วงปี ค.ศ. 2017-2021 (พ.ศ. 2560-2564) อยู่ดี

อัยการเท็กซัสฟ้องเอาผิด ‘ไฟเซอร์’ บิดเบือนข้อมูลวัคซีน หลังข้อมูลชี้!! มีประสิทธิภาพป้องกันโควิดแค่ 0.85%

เมื่อไม่นานนี้ อัยการสูงสุดของรัฐเท็กซัส ฟ้องร้องดำเนินคดีกับ ‘ไฟเซอร์’ บริษัทยายักษ์ใหญ่ โดยกล่าวหาว่าบริษัทแห่งนี้ บิดเบือนความจริงเกี่ยวกับประสิทธิภาพของวัคซีนโควิด-19 และหาทางปกปิดการพูดคุยของสาธารณชน เกี่ยวกับความล้มเหลวของผลิตภัณฑ์ของบริษัท

การยื่นฟ้องครั้งนี้ มีขึ้นตามหลังการสืบสวนนาน 6 เดือนของอัยการสูงสุด ‘เคน แฟ็กซ์ตัน’ (Ken Paxton) ในคำกล่าวหาที่มีต่อการวิจัยแบบ ‘Gain of Function’ (GOF) โดยไฟเซอร์ รวมถึงบรรดาผู้พัฒนาวัคซีนอื่นๆ ได้แก่ โมเดอร์นา และจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน

“ไฟเซอร์มีความเกี่ยวข้องกับการกระทำและแนวทางปฏิบัติที่ผิดพลาด การหลอกลวงและชี้นำผิดๆ ด้วยการจัดทำคำกล่าวอ้างที่ไม่มีอะไรสนับสนุนในเรื่องเกี่ยวกับวัคซีนโควิด-19 ของบริษัท ซึ่งเป็นการละเมิดกฎหมายว่าด้วยพฤติกรรมทางการค้าที่ทำให้เข้าใจผิดของรัฐเท็กซัส จากการเปิดเผยของแฟ็กซ์ตัน พร้อมอ้างว่า บริษัทแห่งนี้โกยเงินอย่างผิดกฎหมายไปหลายพันล้านดอลลาร์”

แฟ็กซ์ตัน ท้าทายอย่างเจาะจงต่อคำกล่าวอ้างของไฟเซอร์ที่ว่า วัคซีนของพวกเขามีประสิทธิภาพป้องกันไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ถึง 95% โดยชี้ว่า มันเป็น ‘กลลวงทางสถิติ’ ที่ใช้คำว่า ‘ค่อนข้างลดความเสี่ยง’ ซึ่ง ‘สำนักงานอาหารและยาแห่งชาติสหรัฐฯ’ (เอฟดีเอ) ยอมรับว่ามันอาจชี้นำผู้บริโภคผิดๆ ด้วยการนำเสนอว่ามีประสิทธิภาพในการรักษามากกว่าความเป็นจริง ในขณะที่ข้อมูลการทดลองทางเทคนิค เผยให้เห็นว่าแท้จริงแล้ว มันลดความเป็นไปได้ของการติดเชื้อโควิด-19 เพียงแค่ 0.85% เท่านั้น

ในคำร้องระบุว่า โรคระบาดใหญ่ ‘เลวร้ายลง’ หลังจากประชาชนชาวสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ได้รับวัคซีนโควิด-19 โดยชี้ว่า “รายงานอย่างไม่เป็นทางการของรัฐบาล แสดงให้เห็นว่า ในบางพื้นที่มีเปอร์เซ็นต์ของผู้ฉีดวัคซีนเสียชีวิตจากโควิด-19 มากกว่าคนที่ไม่ฉีดวัคซีนหลายเท่า”

คำร้องอ้างด้วยว่า “ไฟเซอร์รู้ตัวดีว่าได้กล่าวอ้างเป็นเท็จและไม่มีข้อมูลสนับสนุน เกี่ยวกับประสิทธิภาพของวัคซีนกับตัวกลายพันธุ์ทั้งหลายในนั้น โดยเฉพาะกับไวรัสตัวกลายพันธุ์ที่เรียกว่า ‘เดลตา’ แถมยังกล่าวหาพวกที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็น ‘อาชญากร’ และกล่าวหาคนเหล่านั้นว่าเผยแพร่ข้อมูลบิดเบือนเสียอีก”

แฟ็กซ์ตัน เสนอลงโทษทางการเงินและคำตักเตือน เพื่อป้องกันไฟเซอร์จากการเดินหน้านำเสนอข้อมูลผิดๆ เกี่ยวกับประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์

'ปธน.อิหร่าน' เผยความจริง!! รัฐเถื่อนไซออนิสต์ เปิดหน้าชัด จัดการ 'เข่นฆ่า-เหยียด' ชาวปาเลสไตน์ ภายใต้แรงหนุนสหรัฐฯ

เมื่อวันที่ 29 พ.ย. 66 ซัยยิดอิบรอฮีม ราอีซี ประธานาธิบดีแห่งอิหร่าน กล่าวเนื่องในวันสากลว่าด้วยความเป็นปึกแผ่นสากลแห่งชาวปาเลสไตน์ ระบุว่า…

ด้วยพระนามของพระเจ้าผู้ทรงกรุณาปรานีเสมอ

วันที่ 29 พฤศจิกายนตรงกับวันสากลว่าด้วยความเป็นปึกแผ่นสากลแห่งชาวปาเลสไตน์ข้าพเจ้าในฐานะเป็นตัวแทนของชาวอิหร่านและรัฐบาลของประเทศนี้ ขอประกาศแสดงจุดยืนอันแน่วแน่ของสาธารณรัฐอิสลามอิหร่านที่มีต่อประชาชนปาเลสไตน์ในการบรรลุอุดมการณ์ที่แท้จริงของพวกเขามาโดยตลอดอย่างต่อเนื่อง

วันที่ 29 พฤศจิกายนเป็นวันแห่งการรำลึกถึงการยึดครองแผ่นดินปาเลสไตน์โดยระบอบอิสราเอลกว่า 70
ปีซึ่งถือเป็นความเจ็บปวดความทุกข์ทรมานของชาวปาเลสไตน์มาอย่างต่อเนื่อง ทั้งการกดขี่ข่มเหงและการไร้ซึ่งความยุติธรรมต่อสิทธิอันชอบธรรมของประชาชาติที่ถูกกดขี่

ปีนี้เราขอระลึกวันนี้ท่ามกลางสถานการณ์ในอาชญากรรมที่โหดร้ายของระบอบรัฐเถื่อนไซออนิสต์ที่เหยียดเชื้อชาติต่อชาวปาเลสไตน์และผู้อาศัยอยู่ในฉนวนกาซา ทำให้ชาวโลกทั้งหลายต่างตื่นตระหนกเป็นอย่างมากและยังจะเป็นการเปิดประวัติศาสตร์หน้าใหม่ที่เต็มไปด้วยการกดขี่และความเกลียดชังต่อระบอบรัฐเถื่อนนี้

การสังหารพลเรือนทั้งการโจมตีโรงพยาบาลและโรงเรียนโบสถ์ชาวคริสต์ การปิดกั้นน้ำอาหารน้ำมันและยารักษาโรคต่อประชาชนในฉนวนกาซา การอพยพและการลี้ภัยหลายแสนคน การสังหารผู้สื่อข่าวและการโจมตีอาคารของหน่วยงานระหว่างประเทศ ทั้งหมดเหล่านี้ล้วนอยู่ในสายตาของประชาคมโลกขณะที่รัฐบาลชาติตะวันตกอ้างถึงสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะสหรัฐฯและเหล่าพันธมิตรผู้สนับสนุนรัฐเถื่อนที่ยึดครองในการก่ออาชญากรรมเหล่านี้

รัฐเถื่อนไซออนิสต์ได้รุดหน้าประวัติศาสตร์ในอาชญากรทั้งหลายเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาด้วยการสังหารมนุษย์ผู้บริสุทธิ์กว่า 14,000 คนซึ่งกว่า 5,000 คนนั้นเป็นเด็กรวมอยู่ด้วย ท่ามกลางการสังหารเหล่านี้มีเจ้าหน้าที่องค์การสหประชาชาติมากกว่าหนึ่งร้อยคนและการสังหารผู้สื่อข่าวกว่าห้าสิบคน ทั้งหมดเหล่านี้แสดงให้ถึงรากเหง้าอันชั่วร้ายของรัฐเถื่อน ซึ่งไม่เคยยึดมั่นในกฎหมายระหว่างประเทศแม้แต่ข้อเดียวก็ตามและยังก่อการรุกรานอาชญากรรมสงครามและอาชญากรรมต่อมนุษยชาติและการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์อย่างโหดร้ายท่ามกลางสายตาของชาวโลกทั้งหลาย

สาธารณรัฐอิสลามอิหร่านขอเน้นย้ำให้เห็นว่าประชาชาติปาเลสไตน์มีสิทธิอันชอบธรรมในการต่อสู้กับเหล่าผู้ยึดครอง และขอประณามอาชญากรรมของรัฐเถื่อนที่สังหารเด็กที่มีต่อประชาชาติที่มีอำนาจและถูกกดขี่ และขอเรียกร้องสมาชิกขององค์การสหประชาชาติและอิสรชนทั้งหมดทั่วโลกให้แสดงปฏิกิริยาเพื่อยุติการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์และการยึดครอง รวมทั้งการมอบสิทธิอันชอบธรรมให้ประชาชนปาเลสไตน์เป็นผู้กำหนดชะตากรรมของพวกเขาเอง จงรู้ไว้ว่าการกดขี่จะต้องถูกทำลาย และในที่สุดชัยชนะจะเป็นของชาวปาเลสไตน์

สาธารณรัฐอิสลามอิหร่านขอเน้นย้ำถึงการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องของรัฐอิสลามในอุดมการณ์ของประชาชนปาเลสไตน์ในทุกด้าน และการแสดงให้เห็นถึงการยืนหยัดต่อสู้เป็นสิทธิอันชอบธรรมและการเรียกร้องให้เยาวชนชาวปาเลสไตน์ลุกขึ้นเผชิญหน้ากับอาชญากรรมและการยึดครองของรัฐเถื่อนไซออนิสต์ และเรียกร้องให้ประชาคมโลกเผชิญหน้าอย่างเปิดเผยกับการกระทำของรัฐเถื่อนอาชญากรรายนี้ผู้ปฏิเสธกฎหมายระหว่างประเทศและมติต่าง ๆ ของนานาชาติ

สาธารณรัฐอิสลามอิหร่านเชื่อว่าวิธีการเดียวในการแก้ไขปัญหาปาเลสไตน์คือการยุติการยึดครองแผ่นดินของชาวปาเลสไตน์ และการกลับคืนสู่มาตภูมิของผู้ลี้ภัยชาวปาเลสไตน์ และการมอบสิทธิในการกำหนดชะตาชีวิตให้พวกเขา

ด้วยเหตุนี้ข้อเสนอโครงการของสาธารณรัฐอิสลามอิหร่านบนพื้นฐานของการกลับสู่มาตภูมิของผู้ลี้ภัยและการลงประชามติระหว่างประชากรหลักรวมทั้ง ชาวมุสลิม ชาวคริสเตียน และชาวยิว ด้วยหลักการประชาธิปไตยและสิทธิระหว่างประเทศ โดยการรับรองขององค์การสหประชาชาติอย่างเป็นทางการและแทนที่โครงการเดิมตามความเหมาะสม

โครงการนี้จะทำให้กรณีปาเลสไตน์ได้รับการแก้ไขตามมุมมองทางกฎหมายและบนพื้นฐานของการมอบสิทธิในการกำหนดชะตากรรมและการกลับคืนสู่มาตภูมิ โดยทำให้ผู้ลี้ภัยชาวปาเลสไตน์สามารถกลับสู่มาตภูมิของพวกเขา

ท้ายที่สุดนี้ ข้าพเจ้าขอยกย่องต่อความกล้าหาญของขบวนการยืนหยัดต่อสู้ในการปกป้องประชาชนอย่างหาญกล้าและบรรดาเยาวชนที่สร้างความภาคภูมิใจให้ปาเลสไตน์ในการเผชิญหน้ากับการรุกรานของรัฐเถื่อนไซออนิสต์ และขอวิงวอนต่อพระผู้เป็นเจ้าโปรดช่วยเหลือพวกเขา และทรงทำให้พวกเขาได้รับการปลดปล่อยจากการกดขี่ของรัฐเถื่อนผู้ยึดครองด้วยเถิด

ซัยยิดอิบรอฮีมราอีซี
ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน

เรื่องที่ไม่อยากให้เกิด!! ‘อาร์โนลด์ ชวาร์เซเน็กเกอร์’ ถูกฟ้องเรียกค่าเสียหาย จากอุบัติเหตุรถชน ทำคู่กรณีหญิง ‘พิการอย่างถาวร’

หลายคนคงรู้จัก ‘Arnold Schwarzenegger’ นักแสดงชื่อดังก้องโลกจากผลงาน Terminator หรือคนเหล็ก ซึ่ง ‘Arnold Schwarzenegger’ ถูกฟ้องจากอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อเดือนมกราคม 2022 และมีรายงานว่าเขาทำให้ผู้หญิงคนหนึ่ง ‘พิการอย่างถาวร’ 

ในเอกสารของศาลระบุว่า Cheryl Augustine อ้างว่า เธอกำลังขับรถใกล้สี่แยก Sunset Boulevard และ Allenford Avenue ในนครลอสแองเจลิส ตอนที่เธอถูกรถของ Schwarzenegger ชน 
 

คดีดังกล่าวถูกฟ้องในศาลของนครลอสแองเจลีส Arnold Schwarzenegger ถูกตัดสินว่าขับรถ 'โดยประมาทและประมาทเลินเล่อ' ส่งผลให้ Cheryl Augustine ได้รับบาดเจ็บ มีอาการช็อกและบาดเจ็บต่อระบบประสาท และอาการบาดเจ็บของเธอ ส่งผลให้เธอมีอาการทุพพลภาพถาวรโดยสิ้นเชิง
 

รายละเอียดของคดีความยังอ้างอีกว่า หญิงสาวรายนี้ไม่สามารถทำงานได้นับตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ และได้รับความเสียหายต่อทรัพย์สินที่ต้องรับ

ผิดชอบเอง รถยนต์ของเธอเสียหาย รวมทั้งเหตุอื่น ๆ ที่เกิดขึ้น เช่น ค่ากระเป๋าที่ไม่ได้ระบุจำนวนเงิน และตอนนี้เธอกำลังเรียกร้องค่าเสียหายจากพระเอกคนเหล็ก เพื่อชดเชยค่ารักษาพยาบาลและความเสียหายต่อทรัพย์สินของเธอ 

อย่างไรก็ตาม อุบัติเหตุที่เป็นสาเหตุของการฟ้องร้องนี้ เกิดขึ้นเกือบสองปีที่แล้ว หรือเมื่อวันที่ 21 มกราคม 2022 ตอนที่ Schwarzenegger กำลังขับรถ Yukon SUV บนถนนห่างจากบ้านของเขาประมาณครึ่งไมล์ 

จากรายงานข่าวระบุว่ารถ SUV ของ Schwarzenegger ชนกับรถ Prius สีแดง เมื่อเวลาประมาณ 16.35 น. ของบ่ายวันนั้น แหล่งข่าวบอกว่า Schwarzenegger ได้เลี้ยวซ้ายก่อนที่ลูกศรเลี้ยวซ้ายที่ไฟจราจรจะเปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีเขียว แต่ไม่มีการจับกุม และตำรวจไม่เชื่อว่ามีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือยาเสพติดเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง 
.
นอกจากนี้ ภาพจากที่เกิดเหตุแสดงให้เห็นรถยนต์ขนาดใหญ่คันหนึ่งอยู่บนฝากระโปรงหน้ารถ Prius ที่พังยับเยิน พยานยังอ้างอีกว่า พวกเขาเห็นผู้หญิงคนหนึ่งมีเลือดไหลออกมาจากศีรษะก่อนที่เธอจะถูกพาไปโรงพยาบาล 
 

คดีความลักษณะนี้เป็นที่ชื่นชอบของทนายความในสหรัฐฯ เพราะคดีไม่ได้ยากหรือซับซ้อนมากนัก และสามารถฟ้องร้องเรียกค่าชดเชยได้เป็นจำนวนสูงมาก ๆ โดยเฉพาะเมื่อคู่กรณีอ้างว่า ได้รับอุบัติเหตุจนมีอาการทุพพลภาพถาวรโดยสิ้นเชิง 

แต่ทาง Schwarzenegger น่าจะทำประกันรถยนต์ของเขาเอาไว้ และทนายของบริษัทประกันต้องต่อสู้รักษาผลประโยชน์ของบริษัทประกันอย่างสุดฤทธิ์เช่นกัน 
 

‘ททท.’ ในคุนหมิง จัดมหกรรม ‘เที่ยวไทย’ ดึงดูดใจชาวจีน พร้อมเดินหน้าแลกเปลี่ยนข้อมูลสองชาติให้ลึกซึ้งมากขึ้น

เมื่อวานนี้ (29 พ.ย. 66) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า “ไทยคือหนึ่งในจุดหมายท่องเที่ยวยอดนิยมของนักท่องเที่ยวชาวจีน” ซู่หง ผู้อำนวยการสำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยประจำนครคุนหมิง มณฑลอวิ๋นหนาน (ยูนนาน) ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีนกล่าว

เมื่อไม่นานมานี้ สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยประจำนครคุนหมิง ได้จัดงานมหกรรมการท่องเที่ยวไทยในนครคุนหมิง ซึ่งมีบริษัทผู้ประกอบการเกี่ยวกับการเดินทางท่องเที่ยวของจีนและไทยมากกว่า 40 แห่ง เข้าร่วมเจรจาความร่วมมือทางธุรกิจและแลกเปลี่ยนข้อมูลการท่องเที่ยว

ซู่เผยว่าอวิ๋นหนาน กุ้ยโจว และกว่างซี มีศักยภาพด้านตลาดการท่องเที่ยวขนาดใหญ่ โดยปัจจุบันมีเที่ยวบินโดยสารจากทั้ง 3 ภูมิภาคนี้ ไปยังกรุงเทพฯ ภูเก็ต และเชียงใหม่ มากกว่า 70 เที่ยวต่อสัปดาห์แล้ว

รายงานระบุว่า จำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเยือนไทยทางอากาศ ช่วงเดือนมกราคม-กันยายนของปีนี้ สูงกว่า 150,000 คน ขณะเดียวกันมีนักท่องเที่ยวไม่น้อยเลือกนั่งรถไฟจีน-ลาว หรือขับรถไปยังไทยด้วยตนเอง

ซู่แสดงความเชื่อมั่นว่าการพบปะกันระหว่างบริษัทผู้ประกอบการของจีนและไทยครั้งนี้จะส่งเสริมการแลกเปลี่ยนและความร่วมมือทางการท่องเที่ยวระหว่างสองประเทศให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

อนึ่ง ข้อมูลสถิติจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ระบุว่าจำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนที่เดินทางเยือนไทยในปีนี้สูงแตะ 2.86 ล้านคนแล้ว เมื่อนับถึงวันที่ 9 พ.ย. ที่ผ่านมา

Stella Terra รถไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์คันแรกของโลก ทดลองวิ่งบนระยะทางกว่า 1,000 กม. ได้สำเร็จ

เข้าใจดีว่ากระแสรถยนต์ไฟฟ้า EV คงเป็นทางเลือกใหม่ของวงการยานยนต์ในปัจจุบัน ที่ช่วยลดมลพิษ และไม่ต้องจ่ายค่าน้ำมันแพง ๆ 

แต่ปัญหาของรถยนต์ EV ก็ยังมีอยู่ โดยเฉพาะเรื่องของสถานีชาร์จ ที่แม้จะเริ่มมีการพัฒนาสถานีและหัวจ่ายให้ครอบคลุมขึ้น แต่ก็อาจจะยังไม่เพียงพอ

แนวคิดรถยนต์พลังงานแสงอาทิตย์จึงเป็นอีกแนวทางหนึ่งคู่ขนานกับรถ EV โดยไม่นานมานี้ก็มีการเปิดเผยถึงรถพลังงานแสงอาทิตย์คันแรกของโลกที่ทดลองวิ่งแล้ว โดยเดินทางจากประเทศโมร็อกโกสู่ทะเลทรายซาฮาราระยะทางกว่า 1,000 กิโลเมตรได้สำเร็จแบบไม่ต้องง้อสถานีชาร์จ

หลังจากทีมนักศึกษา Solar Team Eindhoven จาก Eindhoven University of Technology (TU/e) ประเทศเนเธอร์แลนด์ ได้ร่วมกันพัฒนาและเปิดตัว Stella Terra ในฐานะรถยนต์ออฟโรดพลังงานแสงอาทิตย์คันแรกของโลกไปเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ล่าสุดในเดือนตุลาคม Stella Terra ได้ทดลองวิ่งจากตอนเหนือของประเทศโมร็อกโกสู่ทะเลทรายซาฮารา ฝ่าภูมิประเทศหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นลำธารแห้งขอด ป่าไม้ เส้นทางภูเขาสูงชัน หรือแม้กระทั่งทะเลทราย รวมเป็นระยะทางกว่า 1,000 กิโลเมตร ซึ่งทั้งหมดนี้อาศัยเพียงพลังงานแสงอาทิตย์เท่านั้น

ชิ้นส่วนสำคัญของ Stella Terra คือแผงโซลาร์เซลล์ซึ่งกินพื้นที่ด้านบนของตัวรถเกือบทั้งหมด ตั้งแต่หลังคาไปจนถึงฝากระโปรง โดยแผงโซลาร์เซลล์นี้สามารถกางออกเพื่อเพิ่มสมรรถภาพการชาร์จหรือใช้เป็นที่บังแดดได้ ภายในตัวรถยังมีแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนเพื่อให้รถสามารถวิ่งระยะทางใกล้ ๆ ได้แม้แดดอ่อน และเนื่องจาก Stella Terra มีความสามารถในการชาร์จไฟขณะวิ่ง จึงไม่จำเป็นต้องใช้แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ ทำให้เป็นรถ SUV ไฟฟ้าที่มีน้ำหนักเพียง 1,200 กิโลกรัมเท่านั้น ซึ่งเบากว่ารถ SUV ทั่วไปที่มีน้ำหนักเฉลี่ยประมาณ 1,500 ถึง 2,700 กิโลกรัม

ทีมงานเผยว่า Stella Terra วิ่งได้เร็วสูงสุดที่ 145 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และในกรณีที่มีแดด รถคันนี้จะสามารถวิ่งได้ระยะทางไกลสุด 710 กิโลเมตร แต่หากขับขี่บนทางวิบากอาจวิ่งได้ประมาณ 550 กิโลเมตรขึ้นอยู่กับพื้นผิวถนน นอกจากนี้ จากการทดลองยังพบว่า Stella Terra ใช้พลังงานน้อยกว่าที่คาดไว้ถึง 30% อีกด้วย

Stella Terra เป็นหนึ่งตัวอย่างของนวัตกรรมที่ช่วยปูทางให้อุตสาหกรรมยานยนต์เข้าใกล้เป้าหมายความยั่งยืนมากขึ้น และอีกไม่นานเกินรอ เราอาจสามารถเปลี่ยนจากการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลเป็นพลังงานหมุนเวียนได้อย่างแท้จริง

‘อิสลา’ อัจฉริยะตัวจิ๋ว เข้าร่วม ’เมนซา‘ ตั้งแต่ 2 ขวบครึ่ง หลังวัดระดับไอคิวได้ 99 ทุบสถิติสมาชิกอายุน้อยสุดในโลก

(30 พ.ย.66) ยูพีไอ รายงานเรื่องราวชีวิตชวนทึ่งของ ด.ญ.อิสลา แม็คแนบบ์ เด็กหญิงชาวอเมริกัน เจ้าของตำแหน่งเด็กที่อายุน้อยที่สุดในโลกที่ได้เป็นสมาชิกสมาชิกของ สถาบันอัจฉริยะแห่งอังกฤษ (เมนซา) ขณะมีอายุ 2 ขวบกับอีก 195 วัน

กินเนสส์ เวิลด์ เรคคอร์ดส์ ระบุว่า อิสลาจากเมืองเครสวูด รัฐเคนทักกี กลายเป็นสมาชิกเมนซาที่มีอายุน้อยที่สุดในโลก หลังวัดระดับเชาว์ปัญญาแบบไอคิวเปอร์เซ็นไทล์ได้ถึง 99 เมื่อเทียบกับเด็กในกลุ่มอายุเท่ากันด้วยการทดสอบความสามารถทางสติปัญญาแบบสแตนฟอร์ด บิเนต์

สำหรับบุคคลที่จะเข้าร่วมเมนซาได้ต้องมีคะแนนทดสอบไอคิวเปอร์เซ็นไทล์ที่ 98 หรือสูงกว่าขึ้นไปเท่านั้น ด้าน นายเจสัน และ นางอแมนดา แม็คแนบบ์ พ่อแม่ของหนูน้อยอัจฉริยะ กล่าวว่าอิสลาเริ่มฉายแววตั้งแต่วันที่พาออกจากโรงพยาบาลเพราะสังเกตเห็นว่าอิสลามีสมาธิสูง

เมื่ออายุได้ 7 เดือน อิสลาเลือกรูปภาพสิ่งของจากหนังสือภาพเมื่อพ่อแม่บอกให้หยิบสิ่งนั้นๆ ได้อย่างถูกต้อง อิสลาเริ่มเรียนเดี่ยวกับพยัญชนะ ตัวอักษร สี และตัวเลขเมื่ออายุได้ขวบครึ่ง ไม่นานจากนั้นก็สามารถอ่านหนังสือได้

นายเจสันให้สัมภาษณ์กับ นิวยอร์กโพสต์ ว่าวันเกิดครบรอบ 2 ขวบของอิสลา ตนเขียนคำว่า “แดง” บนกระดานไวท์บอร์ด ก่อนจะทึ่งกับความสามารถของลูกสาวเพราะอ่านออกและเมื่อลองเขียนคำอื่นๆ เช่น “เหลือง” “แมว” และ “หมา” ลูกสาวก็อ่านได้อย่างง่ายดาย พออายุได้ 2 ขวบครึ่ง นางอแมนดาพาลูกสาวไปทดสอบไอคิวที่เมนซาและกลายเป็นสมาชิกที่อายุน้อยที่สุดในโลก

ด้าน นายเอ็ดเวิร์ด อาเมนด์ นักจิตวิทยาเด็กในรัฐเคนทักกีและผู้เชี่ยวชาญด้านเด็กที่มีพรสวรรค์ กล่าวว่า การทดสอบไอคิวจะพิจารณาด้านความจำและการใช้เหตุผลของเด็กในวัยนั้นๆ รวมทั้งคำศัพท์ต่างๆ เช่น ถามให้เด็กตอบว่าสิ่งนี้คืออะไร มีความเหมือนหรือต่างกับสิ่งอื่นอย่างไร

นอกจากนี้ยังทดสอบอวัจนภาษาหรือไม่ใช้ภาษา แต่เน้นการแก้ไขปัญหา บอกรูปแบบและเมทริกซ์ต่างๆ โดยคำถามจะเริ่มจากง่ายแล้วค่อยๆ เพิ่มความยากขึ้น พ่อแม่ของอิสลายังประหลาดใจที่ลูกสาวเข้าใจภาษามือและรู้ในสิ่งที่พ่อกับแม่ซึ่งไม่ว่าลูกสาวไปเรียนมาจากไหน

ขณะนี้อิสลาอายุ 4 ขวบแล้วและกำลังเรียนรู้โปรแกรมการศึกษาแบบส่วนตัวที่เมนซา ซึ่งพ่อแม่หวังว่าจะพบแหล่งข้อมูลและคำแนะนำจากพ่อแม่เด็กอัจฉริยะคนอื่นๆ เพื่อส่งเสริมความสามารถพิเศษของลูกสาว นายเจสันกล่าวว่าดีใจมากที่อิสลาได้ลงบันทึกในกินเนสส์ เวิลด์ เรคคอร์ดส์ ลูกสาวประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีในช่วง 3 ปีแรกและแทบจะอดทนรอเห็นอนาคตของลูกไม่ไหวแล้ว

‘หัวเว่ย’ เดินหน้ารุดอุตสาหกรรม ‘รถยนต์ไฟฟ้า’ ในจีน อาศัย ‘เทคโนโลยี’ ที่เชี่ยวชาญเป็นจุดขายร่วมธุรกิจ

(29 พ.ย.66) ‘หัวเว่ย’ บริษัทโทรคมนาคมและสมาร์ตโฟนยักษ์ใหญ่สัญชาติจีน กำลังขยายการจำหน่ายเทคโนโลยีหัวเว่ยในตลาดรถยนต์ไฟฟ้า และย้ำว่าบริษัทไม่ได้ผลิตรถยนต์ แต่ขายส่วนประกอบด้านเทคโนโลยี เช่น ระบบปฏิบัติการ Harmony OS และผลิตภัณฑ์ช่วยเหลือผู้ขับขี่ หรือการทำงานร่วมกับผู้ผลิตรถยนต์เพื่อสร้างแบรนด์อีวีใหม่ ๆ

โดยเมื่อวานนี้ (28 พ.ย.) หัวเว่ยยืนยันว่า บริษัททำงานร่วมกับผู้ผลิตรถยนต์ในท้องถิ่นเพื่อผลิตรถยนต์รุ่นใหม่อย่างน้อย 4 รายในจีน หลังมีข่าวว่าหัวเว่ยร่วมทุนกับฉางอัน ออโตโมบิลเพื่อผลิตเทคโนโลยีสำหรับรถยนต์

หัวเว่ยยังทำงานร่วมกับ Chery เพื่อผลิตเทคฯยานยนต์ให้กับแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้า Luxeed ที่เปิดตัวซีดาน S7 เมื่อวานนี้ (28 พ.ย.) รวมถึง BAIC Motor และ JAC Motor ซึ่ง BAIC เจ้าของรถยนต์ไฟฟ้าแบรนด์ Arcfox ใช้เทคโนโลยีของหัวเว่ยเรียบร้อยแล้ว แต่ JAC ยังไม่ตอบคำขอแสดงความเห็น

‘ทู เล่อ’ ผู้ก่อตั้งซิโน ออโต้ อินไซด์ บริษัทที่ปรึกษาในปักกิ่ง เผยว่า ผู้ผลิตรถยนต์จีนที่ผลิตภัณฑ์ยังขาดเทคโนโลยีสำคัญ พึงพอใจที่จะใช้เทคฯ ของหัวเว่ยมากกว่าที่อื่น แต่ยังเร็วเกินไปที่จะทราบว่าโซลูชันของหัวเว่ยดีกว่าคู่แข่งอย่างไร และหัวเว่ยก็เหมือนบริษัทเทคฯ อื่น ๆ ที่เห็นโอกาสในตลาดยานยนต์อีวีและลงมือทำทุกอย่างเต็มที่

ด้าน ‘เทนเซ็นต์’ ที่บริหารจัดการแอปพลิเคชันวีแชท วางแผนเปิดตัวรถยนต์ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2567 และประกาศเมื่อปลายเดือน ต.ค. ว่าบริษัทมีระบบปฏิบัติการเป็นของตนเองแล้ว เรียกว่า HyperOS

>> ธุรกิจอีกส่วนหนึ่งของหัวเว่ย

หลังสหรัฐขึ้นบัญชีดำหัวเว่ย และห้ามให้บริษัทซื้อซัพพลายเออร์จากสหรัฐ รวมถึงใบอนุญาตเข้าถึงกูเกิลเวอร์ชันล่าสุดของระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ หัวเว่ยจึงสร้างระบบปฏิบัติการ Harmony OS ขึ้นมาแทน

ช่วงครึ่งแรกของปีนี้ หัวเว่ยมีรายได้จากการจำหน่ายสินค้าเทคโนโลยี 103,500 ล้านหยวน ขณะที่โซลูชันยานยนต์อัจฉริยะ รวมถึงเทคโนโลยีเพื่อยานยนต์พลังงานใหม่ (NEV) มีรายได้ 1,000 ล้านหยวน

‘ริชาร์ด ยู’ หัวหน้าฝ่ายธุรกิจเกี่ยวกับรถยนต์และสินค้าอุปโภคบริโภค เผยแนวทางการร่วมงานกับผู้ผลิตรถยนต์ไว้ 3 แนวทาง ได้แก่

1.บริษัทปฏิบัติตนเป็นซัพพลายเออร์ชิ้นส่วนประกอบ
2.บริษัทจำหน่ายชุดผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีรถยนต์ที่เรียกว่า ‘Huawei Inside’ ขณะที่ผู้ผลิตรถยนต์ออกแบบยานยนต์เอง
3.บริษัทควบคุมการออกแบบ Huawei Inside ส่วนใหญ่ รวมถึงการจำหน่าย และการทำการตลาด ขณะที่ผู้ผลิตยานยนต์ผลิตรถยนต์เอง

นักศึกษารัสเซีย ผุดไอเดียขอรับบริจาคบุหรี่ไฟฟ้า เพื่อนำชิ้นส่วนภายในไปผลิตเป็นโดรนรบกับยูเครน

โดยทั่วไปแล้ว หลายประเทศมักมีแคมเปญรณรงค์ให้นักศึกษาเลิกสูบบุหรี่ไฟฟ้า ด้วยการยกเหตุผลด้านสุขภาพ ซึ่งหาก ‘ลด-ละ-เลิก’ ได้ ก็จะส่งผลดีต่อร่างกายในระยะยาว 

แต่ทว่า ที่ ‘รัสเซีย’ กลับมีแคมเปญที่แปลกกว่านั้น คือ ขอบริจาคบุหรี่ไฟฟ้า...เพื่อชาติ!!

แคมเปญดังกล่าวนี้ ถูกจัดขึ้นโดยนักศึกษาจากชมรม Falcon Patriotic Military Club ของ University of Samara ซึ่งอยู่ทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของรัสเซีย ที่ผุดแคมเปญสุดพิสดาร ด้วยการผสมผสานไอเดียที่ใช้รณรงค์ลดการสูบบุหรี่ไฟฟ้า เข้ากับแนวคิดชาตินิยม 

โดยจะมีการจัดกลุ่มอาสาสมัคร ถือกล่องตระเวนรับบริจาคบุหรี่ไฟฟ้าจากเพื่อนๆ นักศึกษาในสถาบัน ด้วยเหตุผลจูงใจอย่างการสนับสนุนปฏิบัติการทางทหารของรัสเซียในยูเครน

นอกจากนี้ ยังมีการออกใบปลิว และ โปสเตอร์ประกอบแคมเปญด้วยการดัดแปลงภาพสไตล์ย้อนยุคสมัยสหภาพโซเวียต ที่เคยใช้จริงตอนที่รัฐบาลกำลังรณรงค์ให้ชาวรัสเซียลดการดื่มเหล้าวอดก้า เพียงแต่คราวนี้ เปลี่ยนจากวอดก้า เป็นบุหรี่ไฟฟ้าแทน  พร้อมสโลแกนเท่ๆ ว่า…

“1 e-cigarette = 1 drone attack on the enemy!” หรือ “บุหรี่ไฟฟ้า 1 มวน = โดรนพิฆาต 1 ลำ สำหรับโจมตีข้าศึกของเรา”

หลายท่านอาจจะงงว่า เป้าหมายสำคัญของการขอรับบริจาคบุหรี่ไฟฟ้าของนักศึกษากลุ่มนี้ จะมีส่วนให้กองทัพรัสเซีย นำไปใช้ผลิตโดรนพิฆาตในการสู้รบในสงครามรัสเซีย-ยูเครน จริงๆ ได้อย่างไร? ซึ่งเรื่องนี้ทางกลุ่มนักศึกษาเจ้าของแคมเปญ ก็อธิบายว่า... 

“อันที่จริงแล้ว ตัวบุหรี่ไฟฟ้าไม่สามารถนำมาใช้เป็นอาวุธได้ แต่ชิ้นส่วนภายใน เช่น แผงวงจรไมโครและแบตเตอรี สามารถนำไปดัดแปลงใช้ใหม่ในระบบปล่อยกระสุนของโดรนพิฆาตได้”

สำหรับชมรม Falcon Patriotic Military Club ก่อตั้งในปี 2008 มีวัตถุประสงค์ในการปลุกจิตสำนึกรักชาติแก่เยาวชน และ นักศึกษาของรัสเซีย  ซึ่งที่ผ่านมามีการจัดกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง ทั้งให้ความรู้เกี่ยวกับหน้าที่ของทหารในโรงเรียน หรือ รับบริจาคสิ่งของ และจัดส่งของจำเป็นให้กับทหารแนวหน้าในสงครามยูเครน อาทิ โทรศัพท์มือถือ, เตาภาคสนาม, เสื้อผ้า อาหาร ฯลฯ และล่าสุดทำแคมเปญบริจาคบุหรี่ไฟฟ้าเพื่อนำไปผลิตโดรนพิฆาตให้กับกองทัพรัสเซีย 

อย่างไรก็ตาม เมื่อเรื่องนี้เล็ดลอดถึงหูสื่อยูเครน ก็ได้มีการรายงานบลัฟอย่างรวดเร็วว่า “ไอเดียการดัดแปลงบุหรี่ไฟฟ้ามาเป็นโดรนโจมตีนั้น ได้มาจากนักศึกษาของยูเครนต่างหาก โดยสถาบัน Chernivtsi Polytechnic College ทางตะวันตกเฉียงใต้ของยูเครนเคยทำมาก่อนแล้ว  นอกจากนี้ยังมีโปรเจกต์สนับสนุนกองทัพที่ล้ำหน้านั้นอีก ด้วยการพัฒนาโครนโจมตีขนาดจิ๋ว Powerbank สุดอึดที่สามารถชาร์ตโทรศัพท์มือถือได้นานถึง 10 วันอีกด้วย” 

ก็ไม่น่าเชื่อว่าจากแคมเปญเลิกบุหรี่ไฟฟ้า จะกลายมาเป็นไอเดียสร้างสรรค์สิ่งประดิษฐ์ที่เข้าไปช่วยเสริมศักยภาพในสงครามได้ ภายใต้แนวคิดปลุก ‘จิตสำนึกในความรักชาติ’ 

เพียงแต่มันก็ยังไม่รู้สึกถึงแง่มุมดีๆ ที่จะมีต่อโลกใบนี้ยังไงก็ไม่รู้!! 

เรื่อง: ยีนส์ อรุณรัตน์

‘ญี่ปุ่น’ เริ่มทดลองขาย ‘ยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน’ ที่ร้านขายยาแล้ว ชี้!! ถือเป็นก้าวสำคัญของประเทศ ที่อนุญาตใช้โดยไร้ใบสั่งแพทย์

เมื่อวานนี้ (28 พ.ย.66) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ญี่ปุ่นได้เริ่มทดลองจำหน่าย ‘ยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉิน’ (morning-after pills) ที่ร้านขายยาแล้ว ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญสำหรับการอนุญาตใช้ยาคุมฉุกเฉินได้โดยไม่ต้องมีใบสั่งยาจากแพทย์

กระทรวงสาธารณสุขญี่ปุ่นรายงานว่า ขณะนี้ยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉินซึ่งสามารถป้องกันการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ได้ในระดับหนึ่ง หากรับประทานภายใน 72 ชั่วโมงหลังมีเพศสัมพันธ์โดยไม่มีการป้องกัน มีจำหน่ายที่ร้านขายยา 145 แห่งทั่วญี่ปุ่น ราคาประมาณ 7,000-9,000 เยน (ประมาณ 1,640-2,110 บาท)

รายงานระบุว่าผู้หญิงอายุ 16 ปีขึ้นไปที่ยินดีให้ความร่วมมือในการทดลองนี้สามารถซื้อยาดังกล่าวได้ โดยผู้หญิงอายุ 16-17 ปี ต้องได้รับอนุญาตจากพ่อแม่หรือผู้ปกครองก่อน

ร้านขายยาที่ได้รับเลือกให้จำหน่ายยาเพื่อการศึกษาข้างต้น ต้องผ่านเกณฑ์เงื่อนไขบางประการ อาทิ มีเภสัชกรที่ผ่านการอบรมและสามารถจ่ายยาตอนกลางคืน วันหยุดสุดสัปดาห์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ รวมถึงมีห้องให้คำปรึกษาส่วนตัว

ทั้งนี้ ผู้ซื้อยาจะได้รับการร้องขอให้ตอบแบบสอบถามที่จะถูกนำมาใช้ในการศึกษา

ก่อนการทดลองดังกล่าว ผู้หญิงในญี่ปุ่น ซึ่งรวมถึงเหยื่อจากการถูกล่วงละเมิดทางเพศ ต้องไปคลินิกหรือโรงพยาบาลเพื่อรับใบสั่งยาก่อนรับยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน

'เพจประวัติศาสตรพลัส' แชร์!! 'ไกด์พม่า' เผยเหตุผลที่อังกฤษขุดคลองให้ในอดีต เพื่อผลประโยชน์และทรัพย์สมบัติชาติที่วันนี้ยังตกค้างในลอนดอน

(29 พ.ย. 66) จากเพจ 'ประวัติศาสตร์พลัส' โพสต์ข้อความถึงเหตุผลที่ในอดีตอังกฤษขุดคลองให้พม่า ระบุว่า...

ไปพม่าคราวนี้ ผมได้สนทนากับไกด์ท้องถิ่นซึ่งเป็นคนพม่า

ไกด์พม่าบอกว่า…อังกฤษขุดคลองให้ ไม่ใช่หวังดี แต่ขุดเพื่อขนไม้สักล่องน้ำไปปากน้ำ แล้วเอาไม้สักขึ้นเรือที่อันดามัน เพื่อเอาไปขาย

ไกด์พม่าบอกว่า…อังกฤษสร้างถนนให้ ไม่ใช่หวังดี แต่เอาไว้ขนสินค้าของพม่า จะได้เอาไปขายได้สะดวก

ไกด์พม่าบอกว่า…ชุดโบราณงามวิจิตรของกษัตริย์และราชินีที่ตกทอดมา มงกุฎ สมบัติในวังต่าง ๆ พระพุทธรูป อังกฤษบอกว่าจะเอาไปดูแลให้ เอาไว้ที่พม่ากลัวคนพม่าจะทำสมบัติเหล่านี้หาย สุดท้ายสมบัติพวกนี้ก็ไปปรากฎอยู่ในพิพิธภัณฑ์ที่ลอนดอน พม่าขอคืน อังกฤษก็คืนมาเพียงบางส่วน

ไกด์พม่าบอกว่า ส่วนดีก็มี อังกฤษมาวางรากฐานการศึกษาให้ มาวางผังเมืองให้ แต่ถ้าเลือกได้ เขาขออยู่กันเอง ปกครองกันเอง ทุกอาณาจักรย่อมต้องการอิสระเสรี ไม่ต้องการตกอยู่ภายใต้การปกครองของอาณานิคมหรือ อาณาจักรอื่นที่เข้ามาแล้วเหมือนมาปล้นชาติ แล้วเหลือเนื้อติดกระดูกให้คนในชาติเอาไปแทะกิน

ไกด์พม่าบอกว่า ศักดิ์ศรีมันกินไม่ได้หรอกครับ แต่บางครั้ง…มันก็จำเป็นต้องมี เพราะคนเรามักมองไม่เห็นคุณค่าในสิ่งที่ตัวเองมี 

ฟังแล้วก็ให้รู้สึกขอบคุณบรรพบุรุษของเราเหลือเกิน ที่รักษาชาติไทย จนเป็นชาติไทยอยู่จนทุกวันนี้

ขอบพระคุณจริงๆ 🙏🇹🇭

‘กู้ภัยอินเดีย’ ช่วย ‘41 คนงาน’ สำเร็จ!! หลังติดในอุโมงค์ถล่มมานาน 17 วัน

(29 พ.ย.66) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เจ้าหน้าที่กู้ภัยอินเดียช่วยเหลือคนงาน 41 คน ที่ติดอยู่ในอุโมงค์ถนนทางตอนเหนือของประเทศ ที่พังถล่มลงมาเมื่อ 17 วันก่อน ได้ครบทั้งหมดแล้ว

โดยเมื่อวานนี้ (28 พ.ย.) เจ้าหน้าที่กู้ภัยอินเดียสามารถช่วยเหลือคนงานก่อสร้าง 41 คน ที่ติดอยู่ในอุโมงค์ที่พังถล่มในรัฐอุตตราขัณฑ์ แถบเทือกเขาหิมาลัย ภาคเหนือของอินเดีย ตั้งแต่วันที่ 12 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ออกมาได้ทั้งหมดแล้ว ไม่กี่ชั่วโมงหลังสามารถขุดเจาะทะลุเศษหิน ดินและคอนกรีต จนถึงตัวคนงาน

หลังได้รับการช่วยเหลือจากอุโมงค์ คนงานหลายคนที่สวมแจ็กเก็ตกันหนาวสีเข้มและหมวกนิรภัยสีเหลือง ล้วนได้รับการต้อนรับในสไตล์อินเดีย ด้วยพวงมาลัยดอกดาวเรือง โดยมุขมนตรีแห่งรัฐอุตตราขัณฑ์ และรัฐมนตรีช่วยกระทรวงทางหลวงของรัฐบาลกลาง

การอพยพกลุ่มคนงานเริ่มต้นขึ้นหลังจากเจ้าหน้าที่กู้ภัยเจาะท่อเข้าไปในอุโมงค์สำเร็จ แล้วใช้เปลติดล้อเลื่อนดึงคนงานก่อสร้างทั้ง 41 คน ผ่านท่อเหล็กความกว้าง 90 เซนติเมตร กระบวนการทั้งหมดเสร็จสิ้นภายใน 1 ชั่วโมง จากนั้นรถพยาบาลฉุกเฉินนำตัวคนงานจากสถานที่เกิดเหตุมายังโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้เคียงในเมืองชินยาลีซอร์ มุขมนตรีรัฐอุตตราขัณฑ์ แถลงว่า คนงานทั้งหมดจะยังคงพักอยู่ในโรงพยาบาล เพื่อตรวจร่างกายและให้อยู่ในความดูแลของแพทย์

‘เกาหลีเหนือ’ โว!! ‘ดาวเทียมสอดแนม’ ส่องได้ทุกซอกทุกมุม เย้ย ‘มะกัน’ เก็บภาพได้ยันหลังคา ‘ทำเนียบขาว-ตึกเพนตากอน’

(28 พ.ย. 66) ‘KCNA’ สำนักข่าวกลางเกาหลี รายงานว่า ดาวเทียมสอดแนม ‘Malligyong-1’ ที่เพิ่งส่งขึ้นฟ้าไปตัวล่าสุด สามารถถ่ายภาพอาคารทำเนียบขาว, อาคารเพนตากอน และฐานทัพอากาศ ที่เก็บเครื่องบินขนส่งนิวเคลียร์ของสหรัฐอเมริกาได้สำเร็จ และภาพถ่ายเหล่านั้น ก็อยู่ในมือ ‘คิม จอง-อึน’ ผู้นำเกาหลีเหนือเรียบร้อยแล้ว

ปฏิบัติการพัฒนาดาวเทียมสอดแนม เป็นส่วนหนึ่งในภารกิจของหน่วยงาน Pyongyang General Control Center of the National Aerospace Technology Administration ที่ใช้ตัวอักษรย่อว่า ‘NATA’

ที่ล่าสุดสามารถส่งดาวเทียม ‘Malligong-1’ ขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศได้สำเร็จ เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายนที่ผ่านมา หลังจากที่ล้มเหลวมาแล้วถึง 2 ครั้งในปีนี้

โดยเกาหลีเหนืออ้างว่า ดาวเทียมสอดแนมดวงล่าสุด สามารถถ่ายภาพสถานที่สำคัญทางยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ ได้หลายแห่ง อาทิ อาคารทำเนียบขาว, อาคารเพนตากอน, ฐานทัพเรือนอร์ฟอล์ก และฐานทัพอากาศสหรัฐฯ ในรัฐเวอร์จิเนีย

อีกทั้งยังสามารถเก็บรายละเอียดได้ถึงขนาดที่สามารถระบุได้ว่า เป็นเครื่องบินขนส่งนิวเคลียร์ของสหรัฐฯ 4 ลำ และเครื่องบินขนส่งของอังกฤษอีก 1 ลำ ในภาพที่ถ่ายจากกองทัพอากาศสหรัฐฯ โดยดาวเทียมสอดแนม

สื่อเกาหลีเหนือรายงานด้วยว่า ผู้นำ คิม จอง-อึน พอใจในผลงานของทีมนักพัฒนาดาวเทียมสอดแนมครั้งนี้เป็นอย่างมาก และได้จัดงานเลี้ยงฉลองให้กับนักวิทยาศาสตร์ของ ‘NATA’ เมื่อช่วงค่ำวันจันทร์ที่ 27 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ด้วยบรรยากาศชื่นมื่น พร้อมนำภาพถ่ายจากดาวเทียมสอดแนมเหนือน่านฟ้าสหรัฐฯ มาแบ่งกันดู

ด้านรัฐบาลสหรัฐฯ ได้ออกมาประณามโครงการดาวเทียมสอดแนมของทางเปียงยางในทันที โดยกล่าวหาว่า เป็นแค่เพียงความพยายามในการ ‘สร้างโฆษณาชวนเชื่อ’ ของระบอบคิม จอง-อึน ที่จะยิ่งทำให้การเผชิญหน้าในบริเวณชายแดน 2 ฝั่งของเกาหลี มีแต่จะตึงเครียดยิ่งขึ้น

อีกทั้งไม่เชื่อในศักยภาพของดาวเทียมเกาหลีเหนือ ว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายในการสอดแนมได้ เพราะเป็นเพียงคำเคลมจากรัฐบาลเปียงยางเพียงฝ่ายเดียว โดยไม่มีการปล่อยภาพจริงออกมาเป็นหลักฐาน

สอดคล้องกับผู้เชี่ยวชาญในกองทัพเกาหลีใต้ ที่แสดงความเห็นว่า ดาวเทียม ‘Malligyong-1’ อาจประสบความสำเร็จในการเข้าสู่วงโคจรของโลกได้ แต่ไม่สามารถยืนยันได้ว่ามันจะมีประสิทธิภาพเพียงพอที่จะถ่ายภาพ และส่งข้อมูลกลับมายังโลก และเชื่อว่าน่าจะใช้เทคโนโลยีทางดาวเทียมของ ‘รัสเซีย’ ช่วยมากกว่า

อีกทั้งมาตรการคว่ำบาตรของ ‘องค์การสหประชาชาติ’ ต่อเกาหลีเหนือ ยังครอบคลุมไปถึงการพัฒนาดาวเทียมด้วย เพราะเป็นเทคโนโลยีสำคัญส่วนหนึ่งในโครงการขีปนาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ

‘ลินดา โธมัส-กรีนฟิลด์’ เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำองค์การสหประชาชาติ ประท้วงการครอบครองดาวเทียมสอดแนมกลางที่ประชุมสภาความมั่นคงว่า “เกาหลีเหนือมีแรงจูงใจที่ชัดเจน ในการพยายามพัฒนาศักยภาพเทคโนโลยีขีปนาวุธนิวเคลียร์ของตนผ่านโครงการดาวเทียม ที่ขัดกับข้อตกลงของสหประชาชาติอย่างร้ายแรง เป็นการแสดงพฤติกรรมอย่างไร้สำนึกที่ขัดต่อกฎหมายความมั่นคง ที่เป็นการข่มขู่คุกคามประเทศเพื่อนบ้าน และประเทศสมาชิกอื่น ๆ”

ด้าน ‘คิม ซุง’ เอกอัครราชทูตเกาหลีเหนือประจำองค์การสหประชาชาติ ที่น้อยครั้งมากจะปรากฏตัวในที่ประชุมสมัชชาความมั่นคง ก็ได้ออกมาตอบโต้อย่างเผ็ดร้อนเช่นกันว่า “ไม่มีชาติใดในโลกที่กำลังเผชิญวิกฤติด้านความมั่นคงเท่าเกาหลีเหนือ ซึ่งชาติมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาต่างหาก ที่กำลังข่มขู่คุกคามเกาหลีเหนือด้วยอาวุธนิวเคลียร์”

ดังนั้น รัฐบาลเปียงยางก็มีสิทธิอันชอบธรรมที่จะพัฒนา ผลิต หรือ ครอบครองอาวุธที่มีศักยภาพเทียบเท่ากับสหรัฐอเมริกา ที่ถือว่าเป็นประเทศคู่สงคราม

และดาวเทียมสอดแนมคือหนึ่งในเทคโนโลยีนั้น เมื่อสหรัฐอเมริกามีได้ ทำไมเกาหลีเหนือจะมีบ้างไม่ได้ แถมรัฐบาลทำเนียบขาวก็เคยใช้ดาวเทียมส่องหลังคาบ้านเกาหลีเหนือมาหลายครั้งแล้ว เกาหลีเหนือก็เลยขอส่องกลับบ้าง ก็ไม่ถือว่าเป็นการโกงแต่อย่างใด

เพียงแต่ ‘Malligong-1’ ของเกาหลีเหนือจะส่องได้จริงดังที่เคลมหรือเปล่า ยังเป็นปริศนา จนกว่า ผู้นำ คิม จอง-อึน จะอนุมัติให้ปล่อยภาพหลักฐานออกสื่อ เพื่อให้ทุกชาติหายสงสัย

เรื่อง : ยีนส์ อรุณรัตน์


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top