Monday, 9 June 2025
WORLD

‘ทุเรียนไทย’ เสี่ยงไม่ได้ 'ยืนหนึ่ง' ตลาดจีน หลังหลายชาติทยอยรุกส่งออกกันไม่แผ่ว

(3 พ.ค.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ด่านโหย่วอี้กวนหรือด่านมิตรภาพบนพรมแดนจีน - เวียดนาม ณ เขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วงทางตอนใต้ของจีน ได้รับรองการนำเข้าทุเรียนสดในไตรมาสแรก (มกราคม-มีนาคม) ของปีนี้รวม 48,000 ตัน คิดเป็นมูลค่า 1.85 พันล้านหยวน (ราว 9.25 พันล้านบาท)

ปริมาณการนำเข้าทุเรียนสดข้างต้นแบ่งเป็นนำเข้าจากเวียดนาม 35,000 ตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 48.1 เมื่อเทียบปีต่อปี คิดเป็นมูลค่า 1.28 พันล้านหยวน (ราว 6.4 พันล้านบาท) และนำเข้าจากไทย 13,000 ตัน คิดเป็นมูลค่า 570 ล้านหยวน (ราว 2.85 พันล้านบาท) ซึ่งลดลงร้อยละ 59.5 และร้อยละ 63.5 เมื่อเทียบปีต่อปี

อนึ่ง ด่านโหย่วอี้กวนของกว่างซีจัดเป็นด่านบกขนาดใหญ่ที่สุดในการนำเข้าทุเรียนและจุดสังเกตกระแสการบริโภคทุเรียนของตลาดจีน โดยศุลกากรนครหนานหนิงระบุว่า มูลค่าการนำเข้าทุเรียนสดผ่านด่านแห่งนี้ในปี 2023 รวมอยู่ที่ 2.25 หมื่นล้านหยวน (ราว 1.12 แสนล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 353 เมื่อเทียบปีต่อปี

ด้านสำนักงานศุลกากรทั่วไปของจีนระบุว่า จีนนำเข้าทุเรียนสดในปี 2023 ราว 1.42 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่า 6.71 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 2.47 แสนล้านบาท) โดยปริมาณทุเรียนที่นำเข้าผ่านด่านโหย่วอี้กวนคิดเป็นเกือบครึ่งหนึ่งของปริมาณทุเรียนนำเข้าทั้งหมดของจีน

บรรดาคนวงในอุตสาหกรรมมองว่าปริมาณทุเรียนสดนำเข้าจากไทยผ่านด่านโหย่วอี้กวนที่ลดลงในไตรมาสแรกของปีนี้ ส่วนหนึ่งเป็นผลจากทุเรียนไทยเข้าสู่ตลาดจีนล่าช้ากว่าปกติ กอปรกับสภาพภูมิอากาศในท้องถิ่นไทยส่งผลกระทบต่อผลผลิตทุเรียน

ทั้งนี้ ข้อมูลการบริโภคทุเรียนของตลาดจีนชี้ว่าสถานะ ‘ผู้นำ’ ของทุเรียนไทยในตลาดจีนกำลังสั่นคลอน เนื่องด้วยผลกระทบจากการส่งออกทุเรียนสู่จีนของแหล่งผลิตทุเรียนที่พัฒนามาทีหลังอย่างเวียดนามและฟิลิปปินส์ ทำให้ทุเรียนไทยในตลาดจีนต้องเผชิญกับการแข่งขันอันดุเดือดยิ่งขึ้น

ช่ายเจิ้นอวี่ ผู้จัดการของบริษัท กว่างซี โอวเหิง อินเตอร์เนชันแนล โลจิสติกส์ จำกัด เผยว่า ช่วงก่อนปี 2023 บริษัทฯ นำเข้าทุเรียนจากไทยเท่านั้น แต่พอปี 2023 ทุเรียนที่นำเข้ามากกว่า 2,000 ตู้คอนเทนเนอร์ แบ่งเป็นทุเรียนไทยและทุเรียนเวียดนามอย่างละครึ่ง โดยบริษัทฯ เลือกแหล่งผลิตตามความต้องการของผู้บริโภคทั่วจีน

ช่ายกล่าวว่า การปลูกทุเรียนในไทยมักปลูกโดยครัวเรือนทั่วไปหรือกลุ่มหมู่บ้าน แต่การปลูกทุเรียนของเวียดนามมุ่งเน้นการเพาะปลูกขนานใหญ่ รวมถึงใช้ข้อได้เปรียบจากระยะทางขนส่งสั้น ความเป็นอุตสาหกรรมระดับสูง และต้นทุนต่ำกว่า ทำให้ทุเรียนเวียดนามมีโอกาสรุกเข้าท้าชิงส่วนแบ่งตลาดจีน

คนวงในอุตสาหกรรมเผยว่าช่วงไม่กี่ปีมานี้ หลายประเทศอาเซียนได้รับอนุญาตส่งออกทุเรียนสดสู่จีน ทำให้โครงสร้างตลาดทุเรียนของจีนเปลี่ยนแปลงไป โดยก่อนหน้านี้ทุเรียนไทยครองส่วนแบ่งตลาดจีนมากที่สุดเสมอจนกระทั่งเวียดนามสามารถส่งออกทุเรียนสดสู่จีนในเดือนกันยายน 2022 ทำให้ทุเรียนไทยครองส่วนแบ่งตลาดจีนลดลง

สำนักงานศุลกากรทั่วไปของจีนระบุว่าปี 2022 จีนนำเข้าทุเรียน 825,000 ตัน ซึ่งเป็นทุเรียนไทยมากกว่า 780,000 ตัน หรือคิดเป็นเกือบร้อยละ 95 ต่อมาปี 2023 จีนนำเข้าทุเรียน 1.42 ล้านตัน ซึ่งเป็นทุเรียนไทย 929,000 ตัน และทุเรียนเวียดนาม 493,000 ตัน ทำให้ทุเรียนเวียดนามครองส่วนแบ่งตลาดจีนเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 30 ภายในหนึ่งปีและยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น

ขณะเดียวกันแม้ปริมาณทุเรียนสดส่งออกจากฟิลิปปินส์สู่จีนไม่ได้สูงมากแต่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยศุลกากรนครหนานหนิงระบุว่าปริมาณการขนส่งทุเรียนด่วนผ่านท่าอากาศยานนานาชาติหนานหนิง อู๋ซวี ในไตรมาสแรกของปีนี้รวมอยู่ที่ 1,201 ตัน ซึ่งมาจากไทย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม โดยการนำเข้าทุเรียนฟิลิปปินส์เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบปีต่อปี

สวี่เฉียง รองผู้จัดการบริษัทที่ให้บริการขนส่งทุเรียนทางอากาศ เผยว่า มีการนำเข้าทุเรียนจากฟิลิปปินส์ทางอากาศทุกวัน คิดเฉลี่ยราว 4 ตันต่อเที่ยวบิน โดยต้นทุนการขนส่งไม่สูงเพราะเป็นเที่ยวบินขากลับ และการขนส่งทางอากาศช่วยการันตีรสชาติสดใหม่ด้วย

นอกจากเวียดนามและฟิลิปปินส์แล้ว ทุเรียนมาเลเซียกำลังบุกตลาดจีนเช่นกัน โดยมาเลเซียส่งออกผลิตภัณฑ์ทุเรียนแช่แข็งสู่จีนตั้งแต่ปี 2011 และส่งออกทุเรียนแช่แข็งทั้งลูกสู่จีนในปี 2019

ข้อมูลจากหอการค้าแห่งประเทศจีนเพื่อการนำเข้าและส่งออกอาหาร ผลผลิตพื้นเมือง ผลผลิตพลอยได้จากสัตว์ ระบุว่าปริมาณการส่งออกทุเรียนมาเลเซียแช่แข็งสู่จีนในปี 2023 อยู่ที่ 25,000 ตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 47 เมื่อเทียบปีต่อปี คิดเป็นมูลค่า 270 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 9.96 พันล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 34 เมื่อเทียบปีต่อปี

ฟาทิล อิสมาอิล กงสุลใหญ่มาเลเซียประจำนครหนานหนิง กล่าวว่าจีนกลายเป็นตลาดแห่งสำคัญของทุเรียนมาเลเซียหลังจากพัฒนามานานหลายปี โดยปัจจุบันมาเลเซียและจีนกำลังทำงานร่วมกันเพื่อการส่งออกทุเรียนสดจากมาเลเซียสู่จีน

คนวงในอุตสาหกรรมทิ้งท้ายว่าตลาดผู้บริโภคทุเรียนของจีนมีขนาดใหญ่และความต้องการทุเรียนไทยจะยังคงเพิ่มขึ้น แต่ทุเรียนไทยกำลังเผชิญการแข่งขันกับอีกหลายประเทศ ทำให้ไทยต้องเร่งรักษาข้อได้เปรียบทางการแข่งขัน โดยนอกจากควบคุมคุณภาพอย่างเข้มงวด ต้องเพิ่มประสิทธิภาพของระบบขนส่งและโลจิสติกส์ ทุกภาคส่วนต้องทำงานร่วมกันเพื่อลดผลกระทบต่อสถานะ ‘ผู้นำ’ ในตลาดจีน

‘เพจตี๋น้อย’ แชร์ภาพ ‘ทุเรียนหมอนทอง’ ในตลาดสดจีน ชี้!! ราคาแรง กก.ละ 325 บ. แต่ครองตลาดถึง 99%

เมื่อวานนี้ (2 พ.ค. 67) เพจเฟซบุ๊ก ‘ตี๋น้อย’ ได้โพสต์ข้อความถึงความนิยมทุเรียนไทยในประเทศจีน โดยเฉพาะทุเรียนหมอนทอง ระบุว่า…

“โพสต์นี้เอาภาพมาฝากกันครับ ทุเรียนหมอนทอง ที่นี่ขาย กก.ละ 65 หยวน (ประมาณ 325 บาท) ราคาถือว่าแพงเอาเรื่องเลยครับ นี่ขนาดในตลาดสดนะ ไม่ใช่ในห้าง

ที่นี่ซินเจียงจะขายทุเรียนหมอนทองเป็นส่วนใหญ่ ประมาณ 99% ที่เหลือจะเป็นพวงมณี หรือทุเรียน มูซางคิง จากมาเลเซียครับ

榴莲 liú lián แปลว่า ทุเรียน
金枕头 jīn zhěn tóu แปลว่าหมอนทอง”

‘สหรัฐฯ’ วอน ‘จีน-รัสเซีย’ เร่งประกาศเจตนารมณ์ “การใช้นิวเคลียร์ต้องตัดสินใจโดยมนุษย์ ไม่ใช่ AI”

(2 พ.ค.67) เจ้าหน้าที่ระดับสูงของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ได้ออกมาเรียกร้องให้จีนและรัสเซียประกาศเจตนารมณ์ในลักษณะเดียวกับสหรัฐฯ และประเทศอื่น ๆ ว่าการใช้อาวุธนิวเคลียร์จะต้องอยู่ภายใต้การตัดสินใจโดยมนุษย์เท่านั้น ไม่ใช่โดยปัญญาประดิษฐ์ (AI)

นายพอล ดีน รองผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ ประจำสำนักควบคุม ป้องปราม และเสถียรภาพอาวุธ กล่าวในงานแถลงข่าวออนไลน์ว่า รัฐบาลสหรัฐได้ให้คำมั่นอย่างชัดเจนและเด็ดขาดว่า มนุษย์เท่านั้นที่มีอำนาจควบคุมอาวุธนิวเคลียร์ทั้งหมด โดยฝรั่งเศสและอังกฤษก็ได้ประกาศเจตนารมณ์ในทำนองเดียวกัน

“เราหวังว่าจีนและสหพันธรัฐรัสเซียจะออกแถลงการณ์ในลักษณะเดียวกัน” นายดีนกล่าวและว่า “เราเชื่อว่านี่เป็นบรรทัดฐานสำคัญอย่างยิ่งของพฤติกรรมที่มีความรับผิดชอบ และจะเป็นที่ยินดีอย่างยิ่งในบริบทของ P5” 

ทั้งนี้คำกล่าวของ นายดีน ยังหมายรวมถึง 5 ประเทศสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติด้วย

ด้านสำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ความเห็นของนายดีนมีขึ้นในขณะที่รัฐบาลของประธานาธิบดีโจ ไบเดน พยายามที่จะมีการหารือกับจีนอย่างละเอียด ทั้งในเรื่องนโยบายอาวุธนิวเคลียร์และการเติบโตของ AI

ประเด็นการแพร่กระจายเทคโนโลยี AI ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดคุยในการเจรจาครั้งสำคัญระหว่างนายแอนโทนี บลิงเกน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ กับนายหวัง อี้ รัฐมนตรีต่างประเทศจีน ที่กรุงปักกิ่ง เมื่อวันที่ 26 เม.ย.

นายบลิงเกนกล่าวว่า “ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะจัดการประชุมทวิภาคีเกี่ยวกับ AI เป็นครั้งแรกในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า โดยจะแลกเปลี่ยนมุมมองกันว่าจะบริหารความเสี่ยงและความปลอดภัยที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี AI ให้ดีที่สุดได้อย่างไร ในฐานะส่วนหนึ่งของการฟื้นฟูการสื่อสารทางทหารให้กลับสู่ภาวะปกติ เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ และจีนได้กลับมาหารือเรื่องอาวุธนิวเคลียร์อีกครั้งในเดือน ม.ค.ที่ผ่านมา อย่างไรก็ดี คาดว่าจะยังไม่มีการเจรจาควบคุมอาวุธอย่างเป็นทางการในเร็ว ๆ นี้”

‘ททท.’ ผนึกกำลัง ‘ยูเนียนเพย์’ หวังดึงตลาดจีนใช้จ่ายเพิ่มในไทย

(2 พ.ค. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และยูเนียนเพย์ อินเตอร์เนชันแนล (UnionPay International) ผู้ให้บริการทางการเงินของจีน ได้ลงนามหนังสือแสดงเจตจำนงส่งเสริมการท่องเที่ยวที่มีคุณภาพและยกระดับประสบการณ์การเดินทางในไทย

ฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวฯ ซึ่งร่วมพิธีลงนาม กล่าวว่า การทำงานร่วมกันครั้งนี้ที่มุ่งเน้นแผนริเริ่มและการประชาสัมพันธ์ตลาดร่วมกัน สอดคล้องกับนโยบายการท่องเที่ยวของรัฐบาลไทย ซึ่งต้องการสร้างความเป็นหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์ระยะยาวกับผู้มีบทบาทนำในตลาดนักท่องเที่ยวแห่งสำคัญ

ฐาปนีย์ อีกกล่าวว่า ข้อตกลงยกเว้นวีซ่าซึ่งกันและกันระหว่างไทยกับจีน ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค. เป็นต้นมา ช่วยเสริมสร้างความร่วมมือกับจีน รวมถึงช่วยอำนวยความสะดวกแก่การเดินทางและส่งเสริมประสบการณ์การท่องเที่ยวที่มีคุณภาพของนักท่องเที่ยวชาวจีน

ทั้งนี้ ฐาปนีย์เสริมว่า การพำนักแบบฟรีวีซ่า ระยะ 30 วัน กอปรกับความเป็นหุ้นส่วนกับยูเนียนเพย์ จะกระตุ้นนักท่องเที่ยวชาวจีนที่มีกำลังจับจ่ายใช้สอยสูงและนิยมท่องเที่ยวไทยเดินทางมาไทยมากขึ้น และเพิ่มการจับจ่ายซื้อสินค้าและการบริการทางการท่องเที่ยวของไทย

ด้าน หวังลี่ซิน กรรมการบริหารยูเนียนเพย์ อินเตอร์เนชันแนล กล่าวว่า การทำงานร่วมกันครั้งนี้จะใช้ประโยชน์จากเครือข่ายการชำระเงินมานำเสนอการเป็นจุดหมายท่องเที่ยวชั้นนำของไทย พร้อมกับมอบสิทธิประโยชน์พิเศษแก่ผู้ถือบัตรยูเนียนเพย์

ข้อมูลจากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาของไทยระบุว่า จีนกลับมาครองตำแหน่งตลาดนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางเยือนไทยมากที่สุดในปีนี้ คิดเป็นจำนวน 2.29 ล้านคน เมื่อนับถึงวันที่ 28 เม.ย. โดยปีนี้ไทยต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติรวมกว่า 11.94 ล้านคนแล้ว

ไทยตั้งเป้าหมายดึงดูดนักท่องเที่ยวจากจีนในปีนี้ราว 8 ล้านคน ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 75 ของจำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนทั้งหมด 11.1 ล้านคน ที่เดินทางเยือนไทยในปี 2019 อันเป็นช่วงก่อนเกิดโรคระบาดใหญ่

สาวกไอโฟน ฮึ่ม!! นาฬิกาปลุกไม่ดัง ทำคนตื่นสาย-ผิดนัดกันทั่วโลก

ดูเหมือน iPhone กำลังประสบปัญหานาฬิกาปลุกไม่ส่งเสียงในสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากมีรายงานบนโซเชียลจากคนใช้ iPhone จำนวนหนึ่งในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา พบปัญหาแปลกนั่นคือนาฬิกาปลุกไม่ส่งเสียงดัง ล่าสุดตัวแทนของแอปเปิลยืนยันกับนักข่าวของ The Wall Street Journal ว่ารับทราบปัญหานี้แล้ว และกำลังแก้ไขอยู่

ด้านแอปเปิลบอกว่า ปัญหาที่พบคือในการตั้งนาฬิกาปลุกบน iPhone บางกรณี จะไม่ส่งเสียงเมื่อถึงเวลาปลุก เรื่องนี้ทำให้ผู้ใช้หลายคนรายงานปัญหาชีวิต ตื่นสาย ผิดนัด และอะไรต่างๆ ที่ตามมานั่นเอง

อย่างไรก็ตามก่อนที่แอปเปิลจะแก้ไขปัญหานี้ ผู้ใช้งานบางคนคาดเดาว่า ปัญหานาฬิกาปลุกนี้อาจเกี่ยวข้องกับฟีเจอร์ชื่อ Attention Aware หรือ ตั้งใจมอง ซึ่งจะลดระดับเสียงการเตือนลง หากผู้ใช้มองอุปกรณ์ ซึ่ง iPhone ตรวจจับจากกล้องหน้า TrueDepth หากใครพบปัญหาดังกล่าวจึงอาจแก้ไขเบื้องต้นได้โดยไปที่ Settings > Face ID & Passcode และปิด Attention Aware

งามนะ!! สาวใหญ่ วัย 60 ปี คว้า ‘มิสยูนิเวิร์สบัวโนสไอเรส’ เตรียมเดินหน้าชิงมงระดับชาติ หากชนะมุ่งสู่เวทีมิสยูนิเวิร์ส

(2 พ.ค. 67) เลฮานดรา มาริซา โรดริเกรซ สร้างประวัติศาสตร์ด้วยการคว้าตำแหน่งชนะเลิศการประกวดนางงาม ‘มิสยูนิเวิร์สบัวโนสไอเรส’ แม้จะมีอายุ 60 ปีแล้วก็ตาม ได้เป็นตัวแทนรัฐแห่งนี้เข้าชิงมงกุฎมิสยูนิเวอร์สระดับประเทศต่อไป

โดยทนายความและผู้สื่อข่าวรายนี้ทำลายธรรมเนียมปฏิบัติและหว่านเสน่ห์ครองหัวใจผู้คนชาวอาร์เจนตินา เอาชนะคู่แข่งขันสาวสวยคนอื่น ๆ ที่มีอายุอ่อนว่าเธอราว 30 ถึง 40 ปี คว้าตำแหน่งชนะเลิศมิสยูนิเวิร์สบัวโนสไอเรส ประจำปีนี้ไปครอง

สำหรับชัยชนะของโรดริเกรซ ถือเป็นตัวแทนของหมุดหมายประวัติศาสตร์ในการท้าทายธรรมเนียมปฏิบัติที่ยึดถือมาช้านานและถือเป็นการกำหนดคำนิยมใหม่ในมาตรฐานของสังคมในด้านความสวยงาม

หลังจากคว้าชัยชนะอย่างสุดช็อกเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โรดริเกรซ เผยว่า เธอมีความรู้เป็นอย่างยิ่งที่ถูกเลือกเป็นตัวแทนแห่งยุคสมัยใหม่ของการประกวดนางงาม "ฉันตื่นเต้นที่ได้เป็นตัวแทนของกระบวนทัศน์ในการประกวดนางงาม เพราะว่าเรากำลังอ้าแขนรับขั้นใหม่ ที่ผู้หญิงไม่ใช่แค่สวยงามในด้านรูปลักษณ์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงค่านิยมต่าง ๆ ฉันเป็นครั้งแรกของยุคนี้ที่ได้เป็นคนเริ่มมัน"

เวลานี้ โรดริเกรซ ตั้งตาคอยและกำลังวางแผนสำหรับการเข้าชิงชัยในการประกวดมิสยูนิเวิร์ส อาร์เจนตินา ต่อไป ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 25 พฤษภาคมนี้ ถ้าเธอประสบความสำเร็จ เธอจะได้เป็นตัวแทนของประเทศเข้าประกวดมิสยูนิเวิร์สระดับโลก ครั้งที่ 73 ที่เม็กซิโก ซิตี ในช่วงปลายปี

อย่างไรก็ตาม โรดริดเกรซ ไม่ใช่ผู้หญิงอายุเยอะเพียงคนเดียวที่เข้ามาเขย่าธรรมเนียมปฏิบัติของการประกวดนางงามในประเทศของเธอเอง โดยก่อนหน้านี้ ไฮดี ครูซ คุณแม่ลูก 2 วัย 43 ปี โค้ชด้านสุขภาพและผู้เชี่ยวชาญด้านฟิตเนส กำลังแข่งขันเพื่อเป็นตัวแทนของสาธารณรัฐโดมินิกัน เข้าประกวดมิสยูนิเวิร์ส 2024

เรื่องราวนี้มีขึ้นหลังจากกองประกวดได้บังคับใช้กฎเกณฑ์ใหม่เป็นครั้งแรก หนึ่งในนั้นคือการยกเลิกจำกัดอายุผู้เข้าประกวด และตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไป ผู้หญิงทุกคนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปจะได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมชิงชัย โดยไม่สนว่าจะมีอายุเท่าใดก็ตาม หลังจากที่ผ่าน ๆ มา จนถึงปี 2023 ผู้เข้าประกวดจำเป็นต้องมีอายุระหว่าง 18 ปีถึง 28 ปี

แฉปมร้าวลึก!! PDF กับ KTLA ที่อาจถึงขั้น 'จุดแตกหัก' เมื่อกะเหรี่ยงยังมอง PDF เป็นคนพม่า และร่วมมือกันเพราะ 'เงิน'

ไม่นานมานี้มีข่าวมาเข้าหูเอย่ากลางดึก จนทำให้เอย่านอนไม่หลับถึงขั้นต้องลุกขึ้นมาจับปากกาเล่าเรื่องนี้ให้ทุกคนได้รู้กัน

เรื่องนี้เป็นเรื่องของ 'พันโท ซอ ซา โลน' ผู้บังคับการกองกำลังคอมมานโดพิเศษ ของกองทัพกอทูเล หรือที่หลายคนรู้จักในนาม KTLA โดยกองพลนี้ขึ้นตรงกับ 'นายพลเนอดา เมียะ' ผู้เปิดศึกในเมืองเมียวดีนั่นเอง

เรื่องราวมีอยู่ว่า 'พันโท ซอ ซา โลน' ผู้นี้ถูกกล่าวหาว่าเขาเป็นคนยักยอกเงินในการจัดหาอาวุธและเสบียงสำหรับที่ใช้ในกองพล

แต่เรื่องที่น่าตกใจกว่าเรื่องคอร์รัปชันคือ พันโทผู้นี้เป็นผู้สังหารนักรบฝ่ายเรียกร้องประชาธิปไตยหรือ PDF (กองกำลังพิทักษ์ประชาชน) ไปกว่า 20 ราย และยังไม่พอ เขาและลูกน้องในสังกัดของเขายังร่วมกันข่มขืนภรรยาของทหารฝ่าย PDF ที่เขาสังหารอีกด้วย

นอกจากนี้ก็มีทหารหญิงฝั่ง PDF หลายรายที่ถูกพันโทผู้นี้ย่ำยีความบริสุทธิ์ด้วยเช่นกัน

นอกจากนี้ยังมีรายงานด้วยว่าพันโทรายนี้ติดสุราอย่างหนักและมีพฤติกรรมชอบใช้อาวุธข่มขู่ผู้ใต้บังคับบัญชาเป็นประจำ และเขาตกเป็นผู้สงสัยในการเสียชีวิตของ 'เย หยิ่น' นายทหารคนสนิทของเขา

เหตุการณ์ทั้งหมดรับรู้กันเป็นวงกว้างในกองทัพของ PDF และ KTLA แต่นายพลเนอดา กลับเลือกจะนิ่งเฉยไม่ดำเนินการใด ๆ กับพันโท ซอ ซา โลน ผู้นี้

บางคนว่าเพราะนายพลเนอดามีความสนิทสนมกันเป็นการส่วนตัว แต่บ้างก็ว่าพันโทผู้นี้คือมือขวาฝีมือดีของกองทัพ KTLA ซึ่งถ้าหากขาดนายพันคนนี้ไป อาจจะทำให้กองทัพ KTLA ปราชัยก็เป็นได้

จากเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้กองกำลังผสมของ PDF และ KTLA อ่อนกำลังลงมีทหาร PDF ถอนตัวจาก KTLA ไปอยู่กับกลุ่มต่อต้านอื่น

อีกทั้งยิ่งมีข่าวไม่นานมานี้เรื่องดีลลับสงบศึกเมียวดีระหว่างนายพลชิตตู่และนายพลเนอดา ยิ่งทำให้ฝั่ง PDF ผิดหวัง เพราะมีข่าวว่ากองทัพเมียนมามีการจ่ายเงินจำนวนหลายล้านบาทแลกกับการให้ KTLA ถอนกำลังพร้อมชี้เป้าจุดหลบซ่อนของกองกำลัง PDF จนเกิดปฏิบัติการบอมบ์ที่ภูเขา แล็ตคัดต่องก์ จนฝั่ง PDF สูญเสียเป็นอันมาก

จากเหตุการณ์นี้เป็นไปได้ว่า กองกำลังผสม PDF กับ KTLA อาจจะถึงคราวแตกหักในไม่ช้า 

PDF ต้องไม่ลืมว่ากะเหรี่ยงก็ยังมอง PDF เป็นคนพม่าอยู่ดี ถ้าไม่ใช่เพราะเงินอัดฉีดมหาศาลที่มาจากฝั่ง PDF ก็ไม่มีทางที่นายพลเนอดาจะมาสนใจกลุ่ม PDF แน่นอน เพราะจากพฤติกรรมการแสดงออกที่ไม่ดำเนินการใด ๆ กับ พันโท ซอ ซา โลน ก็เป็นสิ่งที่แสดงออกให้เห็นละว่า กะเหรี่ยงไม่ได้อยากญาติดีกับชาติพันธุ์เมียนมา

‘เวียดนาม’ ระอุ!! อากาศร้อน ทำปลานับแสนตัวตายคาอ่าง แถมชาวบ้านในพื้นที่ ต้องเผชิญปัญหาจากกลิ่นเน่าเหม็น

(2 พ.ค.67) เอเอฟพี รายงานว่า ปลาหลายแสนตัวลอยตายเกลื่อนในอ่างเก็บน้ำจังหวัดด่งนาย ทางตะวันออกเฉียงใต้ ของประเทศเวียดนาม หลังสภาพอากาศร้อนจัดต่อเนื่อง เช่นเดียวกับหลายประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

สื่อท้องถิ่นระบุว่า พื้นที่ตอนกลางและตอนใต้ของเวียดนามเผชิญหน้ากับการทำลายล้างของคลื่นความร้อนรุนแรง ปลาทั้งหมดในอ่างเก็บน้ำซ้องไมยตายเพราะขาดน้ำ และชาวบ้านในอำเภอจั๋งโบมกำลังประสบปัญหาอย่างหนักจากกลิ่นเน่าเหม็นของปลาตาย

จากภาพถ่ายเผยให้เห็นปลาตายลอยแพเกือบเต็มอ่างเก็บน้ำซ้องไมยซึ่งมีพื้นที่ราว 1,875 ไร่ และบางส่วนแห้งขอดมีซากปลาตายติดกรัง เนื่องจากไม่มีฝนตกเป็นเวลาหลายสัปดาห์แล้ว และปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำต่ำเกินไปสำหรับสิ่งมีชีวิตที่จะอยู่รอดได้

ทั้งนี้ อุณหภูมิในจังหวัดด่งนาย เมื่อเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา พุ่งสูงถึง 40 องศาเซลเซียสและทำลายสถิติอุณหภูมิสูงสุดที่บันทึกไว้ในรอบ 26 ปี ตั้งแต่ปี 2541

‘สีจิ้นผิง’ เตรียมเยือน 'ฝรั่งเศส-เซอร์เบีย-ฮังการี' 5-10 พ.ค.นี้ เพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ ส่งเสริมสันติภาพ และการพัฒนาของโลก

(1 พ.ค. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ฮว่าชุนอิ๋ง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีน ประกาศว่าสีจิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน จะเดินทางเยือนฝรั่งเศส เซอร์เบีย และฮังการีอย่างเป็นทางการระหว่างวันที่ 5-10 พ.ค. นี้

ฮว่ากล่าวว่า การเดินทางเยือนอย่างเป็นทางการครั้งนี้เป็นไปตามคำเชิญของเอ็มมานูเอล มาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศส อเล็กซานดาร์ วูซิก ประธานาธิบดีเซอร์เบีย และทามาส ซูลิออค ประธานาธิบดีฮังการี และวิกโตร์ โอร์บาน นายกรัฐมนตรีฮังการี

ด้าน หลินเจี้ยน โฆษกกระทรวงฯ อีกคน กล่าวว่านี่เป็นการเดินทางเยือนยุโรปครั้งแรกของผู้นำจีนในรอบเกือบ 5 ปี ซึ่งมีนัยสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาความสัมพันธ์ของจีนกับฝรั่งเศส เซอร์เบีย ฮังการี และยุโรป รวมถึงส่งเสริมสันติภาพและการพัฒนาของโลก

ผู้นำเบอร์ 2 รัฐบาลเมียนมา ปรากฏตัวเยี่ยมให้กำลังใจทหาร สยบข่าว ‘ถูกปลด-เจ็บสาหัส’ หลังหายตัวไป นานเกือบเดือน 

(1 พ.ค. 67) เว็บไซต์เมียนมา อินเตอร์เนชันแนล ทีวี หรือ MITV  ซึ่งเป็นสื่อของรัฐบาลเมียนมาได้เผยแพร่ภาพของ พลเอก โซ วิน รองประธานสภาบริหารแห่งรัฐและรองผู้บัญชาการทหารสูงสุด ขณะเข้าเยี่ยมให้กำลังใจกำลังพลที่ได้รับบาดเจ็บ และรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลทหารในเมืองมะละแหม่ง ของรัฐมอญ 

รายงานข่าวของเมียนมา อินเตอร์เนชันแนล ทีวี ระบุว่า การเดินทางไปยังโรงพยาบาลดังกล่าวของ พลเอก โซ วิน เกิดขึ้นเมื่อวันจันทร์ที่ 29 เม.ย. ที่ผ่านมา

ความเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นหลังจากตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาเกิดกระแสข่าวลือว่า นายทหารผู้นี้อาจถูกปลด หรือได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการโจมตีด้วยโดรนของฝ่ายต่อต้าน เนื่องจากไม่ปรากฏตัวต่อสาธารณะนานเกือบ 1 เดือน  โดยพลเอก โซ วิน ถือเป็นแกนนำเบอร์ 2 ของรัฐบาลทหารเมียนมา รองจาก พลเอก มิน อ่อง หล่าย

ส่วนสถานการณ์สู้รบในเมียนมายังคงเกิดขึ้นต่อเนื่อง โดยล่าสุดกองทัพเอกราชคะฉิ่น (KIA) เปิดเผยว่า สามารถยึดฐานกองพันทหารราบที่ 141 ของรัฐบาลทหารเมียนมาได้แล้ว หลังโจมตีมานานหลายเดือน ซึ่งฐานดังกล่าวควบคุมเส้นทางแม่น้ำอิรวดีไปยังเมืองมิตจีนา เมืองเอกของรัฐคะฉิ่น

ก่อนหน้านี้ KIA และกองกำลังป้องกันประชาชนคะฉิ่น  หรือ KPDF ที่เป็นพันธมิตร เข้ายึดครองฝั่งตะวันตกของแม่น้ำอิรวดีในเมืองมิตจีนาได้ตั้งแต่วันที่ 10 ก.พ. และจากนั้นมา กลุ่มต่อต้านรัฐบาลก็พยายามยึดกองบัญชาการกองพันทหารราบที่ 141 ทางตะวันตกของเมืองมาโดยตลอด

‘หมอธีระวัฒน์’ เผยงานวิจัยญี่ปุ่นชี้ ‘วัคซีน mRNA’ ส่งผลอัตราการตายสูง ฉีดแล้วมีผลกระทบ ภูมิคุ้มกันแปรปรวน ทำให้ ‘มะเร็ง’ เติบโตแพร่กระจายได้เร็ว

(1 พ.ค. 67) จากกรณีแอสตร้าเซนเนก้า ออกมายอมรับครั้งแรกว่า วัคซีนโควิดของบริษัททำให้เกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตัน และเกล็ดเลือดต่ำ

ล่าสุด ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ผู้เชี่ยวชาญทางอายุรกรรมและระบบประสาท โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวถึงผลกระทบของวัคซีนโควิด mRNA กับการเกิดมะเร็ง โดยมีรายละเอียด ดังนี้

วัคซีนโควิดกับการเกิดมะเร็ง

รายงานจนกระทั่งถึงปลายเดือนเมษายน 2024 ตอกย้ำความเชื่อมโยงของวัคซีน mRNA กับอัตราตายสูงขึ้นอย่างผิดปกติ (statistically significant increases) ของมะเร็งทุกชนิดโดยเฉพาะในกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับฮอร์โมนเอสโตรเจน (estrogen- related cancers) ตามหลังการระดมฉีดเข็มสาม

รายงานจากประเทศญี่ปุ่นในวันที่ 8 เมษายน 2024 ในวารสาร Cureus ในเครือเนเจอร์

โดยที่เป็นการรายงาน ประเมินผลกระทบของการระบาดโควิดในประเทศญี่ปุ่น ทั้งนี้เป็นการวิเคราะห์อัตราการตายของมะเร็ง 20 ชนิดในประเทศญี่ปุ่น โดยใช้ข้อมูลของทางการที่เกี่ยวข้องกับการตาย การติดเชื้อโควิดและการฉีดวัคซีนโควิด โดยเป็น การปรับตัวแปรในช่วงอายุต่างๆ (age adjusted mortality)

ผลที่ได้ถือเป็นการค้นพบ ที่น่าตกใจ ในช่วงหนึ่งปีแรกของการระบาดโควิด ไม่พบการตายที่เกิดจากมะเร็งที่เพิ่มขึ้นอย่างผิดปกติ (excess cancer deaths) แต่การตาย กลับเพิ่มขึ้นโดยแปรตามการฉีดวัคซีนโควิด

ประเทศญี่ปุ่นมีอัตราการฉีดวัคซีนสูงที่สุด และในปี 2024 กำลังระดมการฉีดวัคซีนโควิดเข็มที่เจ็ด

การระดมฉีดทั้งประเทศญี่ปุ่นเริ่มในปี 2021 และ เริ่มเห็นตัวเลขของการตายจากมะเร็งเพิ่มขึ้นคู่ขนานไปกับการฉีดฉีดวัคซีนเข็มที่หนึ่งและเข็มที่สอง
หลังจากที่มีการฉีดเข็มที่สามในปี 2022 พบว่ามีการตายจากมะเร็งที่เกิดขึ้นอย่างผิดปกติ ในมะเร็งทุกชนิดและโดยเฉพาะกับมะเร็งที่ไวหรือตอบสนองต่อ ฮอร์โมนเอสโตรเจน ที่เรียกว่า estrogen and estrogen receptor alpha( ERalpha)-sensitive cancers โดยรวมทั้งมะเร็งรังไข่ มะเร็งเม็ดเลือดขาว ต่อมลูกหมาก มะเร็งริมฝีปาก ช่องปาก ช่องลำคอ มะเร็งตับอ่อนและมะเร็งเต้านม

สำหรับมะเร็งเต้านมนั้นในช่วงระยะเวลาปี 2020 พบการตายจากมะเร็งเต้านมลดลง แต่แล้วเปลี่ยนมาเป็นเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญในปี 2022 พร้อมกับการระดมฉีดทั่วประเทศของวัคซีนเข็มที่สาม

มะเร็งตับอ่อนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นคงที่ก่อนหน้าระบาดโควิดและมะเร็งอีกห้าชนิดมีแนวโน้มลดลง อย่างไรก็ตามมะเร็งหกชนิดยังมีการตายเพิ่มกว่าที่คาดการณ์ไว้ในในปี 2021 ในปี 2022 หรือในช่วงระยะเวลาทั้งสองปี

ยิ่งไปกว่านั้น มะเร็งสี่ชนิดซึ่งมีการตายสูงอยู่แล้ว ได้แก่มะเร็งปอด ลำไส้ใหญ่และทวารหนัก มะเร็งกระเพาะอาหารและมะเร็งตับ ซึ่งมีการตายลดลงก่อนปี 2020 แต่เมื่อเริ่มมีการใช้วัคซีนนั้นอัตราการตายกลับไม่ลดลงมากดังก่อนมีการระบาด

อัตราตาย ของมะเร็งที่พุ่งขึ้นทั้งๆ ที่ก่อนหน้าการระบาดของโควิดในช่วงระหว่างปี 2010 ถึง 2019 ในประเทศญี่ปุ่น พบว่าการตายจากมะเร็งมีแนวโน้มลดลงในทุกอายุ ยกเว้นที่อายุ 90 หรือสูงกว่า 90 ปี

และแม้แต่ในปี 2020 ช่วงที่ยังไม่มีการระดมฉีดวัคซีนและมีการระบาดของโควิดแล้ว อัตราการตายจากมะเร็งก็ยังลดลงในช่วงแทบทุกอายุยกเว้นช่วงอายุ 75 ถึง 79 ปี

ในปี 2021 เริ่มเห็นแนวโน้มในอัตราการตายของมะเร็งที่สูงขึ้นและสูงขึ้นต่อเนื่องจนกระทั่งถึงในปี 2022 ในช่วงทุกอายุ

ในปี 2021 มีอัตราตายเพิ่มขึ้นจากทุกสาเหตุอย่างมีนัยสำคัญ 2.1% และ 1.1% สำหรับการตายที่เกิดจากมะเร็ง

ในปี 2022 การตายจากทุกสาเหตุกระโดดขึ้นเป็น 9.6% และสำหรับมะเร็งสูงขึ้นเป็น 2.1%

การศึกษานี้ได้แยกแยะตามอายุและพบว่าจำนวนการตายจากมะเร็งทุกชนิดจะสูงสุดในช่วงอายุ 80 ถึง 84 ปีซึ่งประชากรในกลุ่มนี้มากกว่า 90% ได้รับวัคซีนสามเข็ม และวัคซีนที่ได้รับนั้นเกือบ 100% เป็น mRNA และเป็นไฟเซอร์ 78% โมเดนา 22%

คณะผู้รายงานยังได้เพ่งเล็งประเด็นของการตายจากมะเร็งดังกล่าวที่ อาจจะมาจากสาเหตุที่มีการคัดกรองมะเร็งน้อยลง และ การเข้าถึงการรักษาได้จำกัดในช่วงที่มีการล็อคดาวน์ แต่อย่างไรก็ตาม คณะผู้รายงานระบุว่า ไม่สามารถอธิบายการกระโดดขึ้นของการตายโดยเฉพาะในมะเร็งหกชนิดในปี 2022 ซึ่งไม่มีข้อจำกัดในการคัดกรองมะเร็งและการรักษาแล้ว

และมะเร็งที่มีอัตราตายสูงขึ้นจะตกอยู่ในกลุ่มที่เป็น ERalpha-sensitive ทั้งนี้สามารถอธิบายได้จากกลไกหลายอย่างของวัคซีน mRNA ซึ่ง อยู่ในอนุภาคนาโนไขมัน มากกว่าที่จะอธิบายจากการติดเชื้อโควิดหรือการที่มีการรักษาลดลงในช่วงล็อกดาวน์

นักวิทยาศาสตร์วิจัยอาวุโส ของ MIT Stephanie Seneff ได้ให้ความเห็นว่ารายงานดังกล่าวชี้ชัดเจนในข้อมูลทางระบาดวิทยาซึ่งสามารถเชื่อมโยงอัตราตายที่สูงขึ้นของมะเร็งหลายชนิดและการที่ได้รับวัคซีนหลายเข็ม

ทั้งนี้ โดยที่ได้เคยให้ความเห็น ก่อนหน้านี้แล้วโดยยึดถือพื้นฐานกลไกทางวิทยาศาสตร์ทางด้านระบบภูมิคุ้มกันว่าวัคซีนควรจะมีความเกี่ยวข้องกับการเกิดมะเร็ง

โดยที่วัคซีนนั้นทำให้ระบบการตรวจตราเฝ้าระวังและป้องกันการเกิดมะเร็งนั้นถดถอยลงโดยเฉพาะในระบบ ที่เรียกว่า innate immunity และความบกพร่องห่วงโซ่ ในระบบภูมิคุ้มกัน ที่นำไปถึงการติดเชื้อโรคได้ง่ายขึ้นและมีโรคภูมิคุ้มกันแปรปรวนทำร้ายตัวเองมากขึ้นและทำให้มะเร็งมีการเติบโตแพร่กระจายได้เร็ว

กลไกที่ mRNA วัคซีน โยงไปถึงการเกิดมะเร็งได้ไวขึ้นและโตเร็วขึ้นนั้น โดยเฉพาะในกลุ่มที่เป็น estrogen และ ERalpha-sensitive เกิดจากการที่โปรตีนหนามของวัคซีน มีการจับตัวอย่างเฉพาะเจาะจงกับ ERalpha และเร่งให้เกิดปฏิกริยามากขึ้น

การศึกษาที่รายงานในปี 2020 ในวารสาร Translational Oncology พบว่า ส่วนของโปรตีนหนาม S2 มีความสัมพันธ์จำเพาะกับยีนส์ที่ปกป้องไม่ให้เกิดมะเร็ง คือ p53 BRCA1 และ BRCA2 ที่มักมีการผันเปลี่ยน พันธุกรรมในมะเร็ง

ซึ่งสอดคล้องกับรายงานในประเทศญี่ปุ่นโดยที่มีการตายเพิ่มของมะเร็งเต้านม มะเร็งมดลูกและรังไข่ในผู้หญิงและมะเร็งต่อมลูกหมาก ในผู้ชายซึ่งเกี่ยวพันกับการทำงานของ BRCA1 ลดลง และยังเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งตับอ่อน การทำงานผิดปกติ ของ BRCA2 ยังมีความสัมพันธ์กับมะเร็งเต้านม รังไข่ในผู้หญิง มะเร็งต่อมลูกหมากและมะเร็งเต้านมในผู้ชาย และมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลัน acute myeloid leukemia ในเด็ก

การกระจายตัวได้ทั่วไปในร่างกายมนุษย์ในทุกอวัยวะ จากการที่วัคซีนอยู่ในอนุภาคนาโนไขมัน โดยมีการพิสูจน์ชัดเจนแล้วโดยที่ วัคซีนยังเข้าไปฝังตัวที่ ตับ ม้าม ต่อมหมวกไต รังไข่และไขกระดูก ซึ่งก็ทำการผลิตโปรตีนหนาม ปล่อยออกมาตลอดและยังทำให้มีการติดเชื้อง่ายขึ้นอีก

ในเดือนสิงหาคม 2023 รายงานในวารสาร Proteomics Clinical Applications พบว่าชิ้นส่วนของโปรตีนหนามจากวัคซีนยังล่องลอยอยู่ในเลือดของผู้ได้รับวัคซีนยาวนาน ได้อย่างน้อยสามถึงหกเดือนใน 50% ของตัวอย่าง และเมื่อเปรียบเทียบกับการติดเชื้อโควิดตามธรรมชาตินั้น โปรตีนหนามจากไวรัส จะพบได้นาน ประมาณ 10 ถึง 20 วัน แม้ว่าการติดเชื้อนั้นจะมีความรุนแรงมากก็ตาม และในรายงานดังกล่าวนี้ยังชี้ให้เห็นว่าโปรตีนหนามนั้นสามารถที่จะเข้าไปอยู่ในเซลล์บางชนิด หรือมีการสร้างใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าขึ้นมาอีกในเซลล์

การศึกษา รายงานในเดือนพฤศจิกายนปี 2021 ในวารสาร the Journal of Immunology พบ exosome ซึ่งบรรจุโปรตีนหนามที่ 14 วันหลังจากฉีดวัคซีน และ เมื่อได้รับวัคซีนเข็มที่สองและวัคซีนเข็มต่อไป โปรตีนหนามดังกล่าว พบมากขึ้นเรื่อยๆ

วัคซีนโควิดยังเป็นวัคซีนที่ปรับแต่งให้เสถียรขึ้นด้วย N1-Methyl-Pseudouridine

การที่วัคซีนมีการปรับแต่งดังกล่าวจะทำให้มีการด้อยหรือเปลี่ยนการทำงานของโปรตีนที่สำคัญคือ toll-like receptors ที่คอยป้องกันการเกิดเนื้องอกและการโตของเนื้องอก

การที่วัคซีนมีการปรับแต่งดังกล่าวทำให้ร่างกายมีการผลิตโปรตีนหนามในจำนวนมากมาย และทำให้มีการขัดขวางระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย และ ด้อยการส่ง สัญญาณผ่านทางอินเตอร์เฟียรอน (early interferon signaling) ทำให้มีการสร้างโปรตีนหนามได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ในขณะเดียวกันทำให้การ ระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันด้อยลง

รายงานในวันที่ 5 เมษายนในวารสาร International Journal of Biological macromolecules พบว่าการดัดแปลงของวัคซีนดังกล่าวทำให้เกิดการกดภูมิคุ้มกันและช่วยส่งเสริมให้เกิดมะเร็ง ทั้งนี้ โดยการใส่ N1-methyl-pseudouridine mRNA วัคซีน ในการทดลองที่ใช้ มะเร็งผิวหนัง melanoma ผลปรากฏว่าสามารถกระตุ้นการเติบโตของ เซลล์ มะเร็งและการแพร่กระจาย ในขณะที่ mRNA วัคซีนที่ไม่มีการดัดแปลงจะไม่เกิดผลร้ายดังกล่าว

ระบบภูมิคุ้มกันในระดับที่เรียกว่า ADE หรือ antibody dependent enhancement

การได้วัคซีนหลายเข็ม เป็นการทำให้ได้รับโปรตีน หนาม มากขึ้นเรื่อยๆ และทำให้กลับมีการติดเชื้อโควิดตามธรรมชาติได้ง่ายขึ้น ทั้งนี้ยังร่วมกับการที่มนุษย์ประทับความทรงจำกับไวรัสโควิดบรรพบุรุษหรือดั้งเดิมและจากการที่มีการกดภูมิคุ้มกัน

ADE เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น เมื่อแอนติบอดีแทนที่จะทำลายไวรัส กลับช่วยนำพาไวรัสเข้าเซลล์ได้ง่ายขึ้นและมีการเพิ่มจำนวนในเซลล์ได้เก่งขึ้น ผลของโปรตีนหนามและอนุภาคนาโนไขมัน ทำให้หลอดเลือดอุดตัน

ผลการวิจัยต่างๆ แสดงว่าวัคซีนโควิดก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการตันของเส้นเลือดและยิ่งเป็นคนป่วยด้วยโรคมะเร็ง ดังนั้นจะทำให้อัตราตายของมะเร็งยิ่งสูงขึ้นไปอีก หลังจากมีระดมการฉีดในประเทศญี่ปุ่น

จากการศึกษาพบว่าโปรตีนหนามของไวรัสโควิดและจากวัคซีนเองนั้น มีศักยภาพทางไฟฟ้าบวกและทำให้จับกับ glycoconjugates ที่มีศักยภาพทางไฟฟ้าเป็นลบและอยู่บนผิวของเม็ดเลือดแดงและเซลล์ชนิดอื่นๆ นอกจากนั้นโปรตีน หนาม ยังสามารถกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันผ่านทางตัวรับ ACE2 ทำให้เกิดผนังหลอดเลือดหนาตัว ขัดขวางการทำงานของ ไมโตคอนเรีย โรงพลังงานของเซลล์ และการเกิด reactive oxygen species (ROS)

ทั้งนี้ ROS เป็น highly reactive radicals ions หรือ โมเลกุล ที่มีอิเล็กตรอน โดดเดี่ยว ไม่มีคู่ ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเกิดพันธะ (single unpaired electron) โดยที่เซลล์มะเร็งนั้นจะมีปริมาณของ ROS สูงมากจากการ ผลของเมแทบอลิซึม การทำงานของ oncogene และการที่ไมโตคอนเดรีย ผิดปกติและยังรวมทั้งกลไกทางด้านภูมิคุ้มกันต่างๆ

ส่วนจำเพาะของโปรตีนหนามยังสามารถทำให้เกิดการก่อตัวของโปรตีนอมิลอยด์ (fibrous insoluble tissue) และแอนติบอดีต่อโปรตีนหนามที่เกาะกับโปรตีน S ที่โผล่ออกมาจากผิวเซลล์ ทำให้เกิดปฏิกิริยาการอักเสบทำลายเซลล์และเนื้อเยื่อของตนเอง และอธิบายปรากฏการณ์เกิดแท่งย้วยสีขาว หรือ white clots

ระบบการเฝ้าระวังตรวจตรามะเร็งของมนุษย์อ่อนด้อยลง

จากการที่วัคซีนทำให้ระบบภูมิคุ้มกันบกพร่องจึงทำให้มีการปะทุของไวรัสที่ซ่อนอยู่ในร่างกายอยู่แล้ว โดยที่มีศักยภาพในการก่อให้เกิดมะเร็ง เช่น ไวรัสงูสวัด ไวรัสเริม herpesvirus 8 โดยที่ไวรัสตัวนี้ถือว่าเป็นไวรัสที่ก่อให้เกิดมะเร็งชนิด Kaposi’s sarcoma และการปะทุของไวรัส EBV และ human papilloma virus ที่สามารถเหนียวนำให้เกิดมะเร็งในช่องปากและลำคอ

ปรากฏการณ์เช่นนี้จะช่วยอธิบายอัตราการตายที่สูงขึ้นของมะเร็งที่ริมฝีปากช่องปากและลำคอในปี 2022 ในประเทศญี่ปุ่นที่มีการระดมฉีด เข็มที่สาม การเปลี่ยน RNA เป็น DNA จากกระบวนการ reverse transcription และเข้าไปเสียบในจีโนมของมนุษย์

รายงานในปี 2022 ในวารสาร Current Issues in Molecular Biology แสดงให้เห็นว่าวัคซีน mRNA สามารถเสียบเข้าไปในยีนส์ของมนุษย์หรือดีเอ็นเอโดยใช้กระบวนการนี้ https://www.mdpi.com/1467-3045/44/3/73

ในเดือนกุมภาพันธ์ 2023 รายงานในวารสาร Medical Hypotheses พบว่าการเพิ่มปริมาณของวัคซีน mRNA และโมเลกุลของดีเอ็นเอที่ได้ถูกปรับเปลี่ยนจากอาร์เอ็นเอในเซลล์ (cytoplasm) จะสามารถเหนียวนำให้เกิดภาวะอักเสบด้วยตัวเองอย่างเรื้อรัง และนำไปสู่ภูมิคุ้มกันแปรปรวนต่อต้านตัวเอง จนกระทั่งถึงการทำลายดีเอ็นเอ และเกิดมะเร็งในมนุษย์ที่มีปัจจัยโน้มน้าวอยู่แล้วด้วย

นักวิจัยทางด้านพันธุศาสตร์ Kevin McKernan พบว่าวัคซีนโควิดสามารถถูกเปลี่ยนให้เป็นดีเอ็นเอ ทั้งนี้โดยสามารถตรวจพบส่วนของพันธุกรรมโปรตีนหนามของวัคซีนโควิด ในโครโมโซม 9 และ 12 ของเซลล์มะเร็งเต้านมและรังไข่หลังจากที่ฉีดวัคซีนโควิด mRNA

และพบว่ามีความเชื่อมโยงกับบาง batch ของวัคซีนที่มีปริมาณของดีเอ็นเอที่ปนเปื้อนกับความรุนแรงของผลข้างเคียงและผลกระทบที่เกิดขึ้น

นักวิจัยจากสถาบันวิจัยสาธารณสุข และการแพทย์ของฝรั่งเศส Helene Banoun ได้สนับสนุนรายงานจากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งคล้องจองกับศักยภาพในการกระตุ้นการเกิดมะเร็งจากผลิตภัณฑ์ที่เป็น gene therapy ซึ่ง mRNA วัคซีน ถือว่าจัดอยู่ในประเภทนี้ และผลของวัคซีนที่เหนียวนำให้เกิดภาวะภูมิคุ้มกันชาด้าน(immune tolerance) ส่งเสริมการเกิดมะเร็ง

ทั้งนี้ สำนักอาหารและยาของสหรัฐเอง ได้มีการระบุอย่างชัดเจนมาก่อนว่า มีกลไกหลายอย่างที่เป็นไปได้ที่ DNA ที่ปะปนปนเปื้อนจะทำให้เกิดมะเร็ง ทั้งนี้ รวมถึงการที่เข้าไปเสียบในดีเอ็นเอของมนุษย์และสั่งให้มีการสร้าง ยีนส์มะเร็ง (oncogenes) หรือ มีการสอดใส่ซึ่งทำให้มีการผันแปร ทางรหัสพันธุกรรม (intentional mutagenesis)

คณะผู้รายงานจากญี่ปุ่นได้ตอกย้ำว่า กระบวนการวิธีมาตรฐานในผลิตภัณฑ์วัคซีนตามที่สำนักอาหารและยาของสหรัฐได้ระบุไว้นั้นควรต้องถูกนำมาพิจารณา ทั้งนี้เนื่องจากในช่วงระบาดของโควิดนั้น เป็นการใช้ในภาวะฉุกเฉินเท่านั้น

บทความนี้เรียบเรียงจากรายงานของคณะผู้ศึกษาจากประเทศญี่ปุ่นและจาก คุณเมแกน เรดชอ สื่อ เอปิค ไทม์ส

นักวิทย์ค้นพบ 'วัสดุที่มีรูพรุน' กักเก็บก๊าซคาร์บอนฯ จากอากาศได้ คาดหวังให้เป็นทางออกของปัญหาโลกร้อนในอนาคต

นักวิทยาศาสตร์ต่างยกย่องการค้นพบ ‘วัสดุที่มีรูพรุน’ ซึ่งสามารถกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากอากาศได้ หวังให้เป็นทางออกปัญหาโลกร้อน

งานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Nature Synthetic พบว่าทีมนักวิทยาศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยเเฮเรียต-วัตต์ ในเอดินเบอระ ของสก็อตแลนด์ ได้สร้างโมเลกุลที่มีลักษณะกลวงเป็นรูพรุน เปรียบเสมือนกรงที่สามารถใช้กักเก็บก๊าซเรือนกระจก เช่น 'คาร์บอนไดออกไซด์' และ 'ซัลเฟอร์เฮกซาฟลูออไรด์' ได้

โดย 'ซัลเฟอร์เฮกซาฟลูออไรด์' นับเป็นก๊าซเรือนกระจกที่สลายตัวได้ยากมากกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งสามารถอยู่ในชั้นบรรยากาศของโลกได้เป็นเวลาหลายพันปี

ดร.มาร์ค ลิตเติ้ล หนึ่งในผู้ร่วมวิจัยระบุว่า นี่เป็นการค้นพบที่น่าตื่นเต้น พวกเขาต้องการวัสดุที่มีรูพรุนชนิดใหม่ ๆ เพื่อช่วยแก้ปัญหาที่ท้าทายที่สุดของโลกอย่างวิกฤติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ดร.ลิตเติ้ลยังบอกด้วยว่า การดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศโดยตรงมีความสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะแม้ในอนาคตเราอาจจะหยุดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ แต่ก๊าซเรือนกระจกที่อยู่ในชั้นบรรยากาศของเราจนถึงตอนนี้ก็ยังคงสร้างปัญหาต่อสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรงอยู่ดี

และแม้การปลูกต้นไม้เป็นวิธีดูดซับคาร์บอนที่มีประสิทธิภาพมาก แต่ใช้เวลานานมากกว่าจะเห็นผล จึงจำเป็นต้องมีการแทรกแซงของมนุษย์ในการสร้างวัสดุบางอย่างขึ้นมาเพื่อดักจับก๊าซเรือนกระจกจากสิ่งแวดล้อมได้อย่างมีประสิทธิภาพเร็วขึ้น และการค้นพบครั้งนี้ก็นำไปสู่การค้นพบหนทางใหม่ ๆ ของการแก้ปัญหาโลกร้อนในอนาคต

อย่างไรก็ตาม งานวิจัยดังกล่าวยังคงต้องได้รับการพัฒนาเพื่อให้ได้วิธีการดักจับก๊าซเรือนกระจกที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น พวกเขามีแผนจะใช้ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI เข้ามาช่วยจำลองสถานการณ์เพื่อสร้างการรวมตัวของโมเลกุลให้เป็นวัสดุรูพรุนชนิดใหม่ได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำมากขึ้นด้วย

‘เมียนมา’ ระอุ!! เดือนเมษาสภาพอากาศ ‘ร้อนสุดขั้ว’ หลังอุณหภูมิแตะ 48 องศา ทุบสถิติในรอบ 56 ปี

(30 เม.ย.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สำนักอุตุนิยมวิทยาและอุทกวิทยาของเมียนมา รายงานว่า เมือง 7 แห่งของเมียนมาเผชิญสภาพอากาศเดือนเมษายนที่ร้อนที่สุดในรอบหลายทศวรรษ เมื่อวันอาทิตย์ (28 เม.ย.) ที่ผ่านมา

โดย เมืองเชาะ ในภูมิภาคมะกเวทางตอนกลาง มีอุณหภูมิพุ่งสูงถึง 48.2 องศาเซลเซียส เมื่อวันอาทิตย์ (28 เม.ย.) นับเป็นอุณหภูมิเดือนเมษายนที่สูงสุดในรอบ 56 ปี ตั้งแต่เริ่มมีการบันทึก ขณะที่เมืองญองอู สะกาย ตะดาอู ตองวิงยี มัณฑะเลย์ และซวงตู เผชิญกับวันที่ร้อนที่สุดในเดือนเมษายนในวันอาทิตย์เช่นกัน

ทั้งนี้ หลายภูมิภาคของเมียนมามีรายงานอุณหภูมิสูงมากกว่า 40 องศาเซลเซียสในหลายพื้นที่ โดยอู ลา ตุน ผู้อำนวยการสำนักฯ ได้คาดการณ์ไว้แล้วว่าอุณหภูมิวันที่ 28-29 เม.ย. มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นในพื้นที่ทางตอนกลางของเมียนมาและบริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำ

อนึ่ง ปกติแล้วเดือนเมษายน-พฤษภาคมจะเป็นเดือนที่อากาศร้อนที่สุดในเมียนมา เนื่องจากอุณหภูมิจะพุ่งสูงขึ้นก่อนเข้าสู่ฤดูมรสุม

‘รัสเซีย’ เตรียมโชว์ ‘รถถังตะวันตก’ ที่ยึดจาก ‘ยูเครน’ ในงานเฉลิมฉลองวันแห่งชัยชนะ 9 พฤษภาคมนี้

วลาดิมีร์ ปูติน ผู้นำรัสเซียภูมิใจนำเสนอคอลเลกชันพิเศษ ‘รถถังอเมริกัน’ และ ‘รถถังอังกฤษ’ ที่ยึดได้ในสนามรบที่ยูเครน เตรียมพร้อมจัดแสดงอย่างยิ่งใหญ่ในงานเฉลิมฉลองแห่งชัยชนะ (Victory Day) ปีนี้ 

โดยรถถังและยานเกราะเหล่านี้ ส่วนใหญ่เป็นยุทโธปกรณ์ที่พันธมิตรชาติตะวันตกส่งไปสนับสนุนกองทัพยูเครน แต่เมื่อรัสเซียยึดพื้นที่ในยูเครนได้ จึงนำยานรบเหล่านี้กลับมาด้วย และตอนนี้นำมาจอดเรียงรายยาวเหยียดกลางกรุงมอสโก พร้อมป้ายข้อความว่า "ชัยชนะของพวกเรามันแน่นอนอยู่แล้ว" 

งานแสดงนี้เป็นส่วนหนึ่งในนิทรรศการฉลองวันแห่งชัยชนะที่ตรงกับวันที่ 9 พฤษภาคมของทุกปี เป็นวันที่กองทัพสหภาพโซเวียตประกาศชัยเหนือกองทัพนาซีเยอรมันในปี 1945 ถือเป็นปีที่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 

ซึ่งในวันนี้รัฐบาลรัสเซียกำหนดให้เป็นวันหยุดราชการ ที่จะมีงานเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่ด้วยการจัดพิธีเดินสวนสนาม และแสดงยุทโธปกรณ์ด้านการทหารหน้าจัตุรัสแดงกลางกรุงมอสโกเพื่อเป็นการแสดงแสนยานุภาพของกองทัพแดงและรำลึกถึงเหล่าทหารผ่านศึก

แต่ในปีนี้พิเศษกว่าทุกปีที่ผ่านมา เพราะมีการจัดแสดง ‘รถถังชาติตะวันตก’ ที่ยึดได้ในยูเครนเป็นไฮไลต์ ที่ประกอบด้วย รถถัง American Bradley รถหุ้มเกราะ British Saxon, รถถังสวีเดน CV90, รถถังฝรั่งเศส AMX-10RC และอื่น ๆ ซึ่งปูตินวางแผนที่จะนำรถถงเหล่านี้มาติดธงประจำชาติ แห่ในขบวนพาเหรดด้วย เพื่อเป็นสัญลักษณ์ในการฉลองชัยชนะของรัสเซียในสงครามยูเครน

ในช่วงไม่กี่ปี หลังเกิดสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ผู้นำรัสเซียให้ความสำคัญกับงานฉลองวันแห่งชัยชนะ 9 พฤษภาคม นี้เป็นพิเศษ และมักเปรียบเทียบสงครามยูเครนว่า คล้ายคลึงกับช่วงเวลาที่โซเวียตต้องต่อสู้กับกองทัพนาซีเยอรมันในสงครามโลกครั้งที่ 2 และปูตินยังเคยได้กล่าวสุนทรพจน์ในงานวันแห่งชัยชนะว่า รัสเซียพร้อมต่อสู้กับ ‘ชนชั้นสูงของโลกตะวันตก’ และอารยธรรมโลกเดินทางมาถึงจุดชี้ขาดแล้ว 

แต่ในทางกลับกัน ฝ่ายรัสเซียก็สูญเสียรถถังของตนเป็นจำนวนมากจากการสู้รบในยูเครนเช่นกัน คาดการณ์ว่ามีรถถังของรัสเซียได้รับความเสียหาย หรือ ถูกทำลายไปมากถึง 3,000 คันในช่วง 2 ปี ตั้งแต่เกิดสงครามยูเครน อันเป็นเหตุให้รัฐบาลรัสเซียต้องอัดฉีดงบประมาณด้านการทหารเพิ่มขึ้น เพื่อเสริมกำลังยุทโธปกรณ์ และ รถถัง ในการสู้รบที่ด่านหน้า จนเศรษฐกิจรัสเซียเข้าสู่ภาวะสงคราม

แต่ทั้งนี้ส่วนที่เสียไปแล้วก็คือเสียไป ปูตินต้องการให้ชาวรัสเซียโฟกัสในส่วนที่ได้ อย่างน้อยก็ในวันฉลองวันแห่งชัยชนะนี้ ที่รัสเซียสามารถยึดรถถัง ยานเกราะของชาติตะวันตกกลับมาได้มากมาย และอีกหลายพื้นที่ในยูเครนที่ตอนนี้ถูกยึดครองโดยกองทัพรัสเซีย อีกทั้งยังเป็นการฝากคำท้าทายจากปูตินว่าชาติตะวันตกชาติใดต้องการมาเติมคอลเลกชันรถถังให้ปูตินมาจัดแสดงอีกในปีหน้าก็มาได้เลย 

KFC มาเลเซีย ปิดสาขาชั่วคราว อ้าง!! สภาพเศรษฐกิจไม่ดี ท่ามกลางกระแส 'แบน' แบรนด์ฝรั่งที่หนุนอิสราเอลรบปาเลสไตน์

(30 เม.ย.67) เพจ 'เดือดทะลักจุดแตก' โพสต์ข้อความรายงานกรณีการปิดสาขาชั่วคราวของ KFC ในมาเลเซียว่า...

ถึงขั้นปิดสาขาเลยเรอะ???

ไม่น่าเชื่อนะครับ เราเห็นข่าวเนืองๆ (โดยเฉพาะตอนอุบัติสงครามอิสราเอล-ฮามาสใหม่ๆ) ว่าหลายๆ ประเทศมุสลิม 'แบน' ไม่กินร้านอาหารแฟรนไชส์อเมริกา เหตุเพราะเจ้านั้นๆ มีทีท่าแสดงออก สนับสนุนอิสราเอลประหัตประหารชาวปาเลสไตน์ในกาซา (ซึ่งเพจเดือดฯ เคยโพสต์ไปแล้ว ไม่ขอลงรายละเอียดอีก * ย้ำว่าคนมองกันเองนะครับ แต่ละเจ้าไม่ได้มาประกาศสนับสนุนอะไรแบบนั้นเลย)

รัฐบาลไม่ได้ 'แบน' นะครับ เป็นประชาชนเองที่รณรงค์กัน 'แบน' ไม่กิน

ซึ่งดีกรีไม่รู้กี่มากน้อย และที่สำคัญคือจะนานจะเร็วเท่าไหร่ ไม่ใช่เดี๋ยวก็ซาแล้ว ... รึเปล่า

ที่ไหนได้!!! KFC มาเลเซียถึงขั้นต้องปิดสาขาเชียว แสดงว่าไม่น้อยและไม่เร็วแล้วล่ะครับ

คนเขาเอาจริงแฮะ

สอดส่องรายละเอียด เขาไม่ได้ปิดทั้งหมดนะครับ อ้างว่าสภาพเศรษฐกิจไม่สู้ดีนัก จะต้องปิดสาขาชั่วคราว เพื่อเน้นให้บริการ เฉพาะย่านที่คึกคัก ลูกค้าคับคั่ง

ก็ไม่รู้ว่าปิดเท่าไหร่ แต่สื่อท้องถิ่นของมาเลเซียรายงานว่า ปิดไปเป็นร้อย

ย้ำอีกครั้งว่าปิดชั่วคราวนะครับ ขึ้นกับสถานการณ์
ว่าเมื่อไหร่คนจะลืมเรื่องนี้? ไม่ใช่
ว่าเมื่อไหร่อิสราเอลจะเลิกรบ!
เพราะดูท่าแล้ว คงไม่ลืมกันง่ายๆ ครับ จนกว่าอิสราเอลจะรามือ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top