Monday, 7 July 2025
SPECIAL

'ธนาธร’ ขอคะแนน 'โคราช-เพชรบูรณ์' ส่ง ‘ก้าวไกล’ เป็นรัฐบาล ยาหอม!! ทำงานคุ้มค่าภาษีประชาชนแบบตรงไปตรงมา

(1 เม.ย.66) ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า และผู้ช่วยหาเสียงพรรคก้าวไกล ลงพื้นที่จังหวัดนครราชสีมาและจังหวัดเพชรบูรณ์ เพื่อช่วยหาเสียงให้ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. พรรคก้าวไกล 

โดยเมื่อวานนี้ (31 มีนาคม) ธนาธรเดินตลาดใหม่แม่กิมเฮง ร่วมกับ ฉัตร สุภัทรวณิชย์ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. นครราชสีมา เขต 1 ระหว่างพูดคุยพบปะชาวโคราช มีประชาชนกลุ่มหนึ่งเข้ามาถามนโยบายของพรรคก้าวไกล ว่าจะตัดลดบำนาญข้าราชบำนาญหรือไม่ ซึ่งธนาธรตอบคำถามอย่างชัดเจนว่า ข้อมูลดังกล่าวเป็นข่าวปลอมหรือเฟกนิวส์ จากที่ตนติดตาม พรรคก้าวไกลได้ยืนยันอย่างหนักแน่นแล้วหลายครั้ง ว่าไม่มีและไม่เคยมีนโยบายลดเงินเดือนหรือบำนาญของข้าราชการ สิ่งที่พรรคก้าวไกลเสนอคือให้ลดงบประจำ ที่ไม่ใช่เงินเดือนของข้าราชการ เช่น การไปดูงานเมืองนอก โครงการอบรมสัมมนา โครงการที่ซ้ำซ้อน ดังนั้น ข้าราชการบำนาญทุกคนวางใจเรื่องนี้ได้

จากนั้นธนาธร เดินทางไปยังตลาดไนท์ขามทะเลสอ ช่วยหาเสียง พ.ต.ท.อัครพงษ์ วรรณพงษ์ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.นครราชสีมา เขต 4 มีพี่น้องประชาชนและพ่อค้าแม่ขายให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น โดยธนาธรปราศรัยกลางตลาดว่า ขอแลกคะแนนเสียงพี่น้องประชาชนกับความสามารถในการทำงานของว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. พรรคก้าวไกล ตนในฐานะผู้ช่วยหาเสียง มั่นใจว่าพรรคก้าวไกลจะทำงานคุ้มค่ากับทุกคะแนนที่พี่น้องประชาชนมอบให้ จะทำงานอย่างตรงไปตรงมา และพร้อมแก้ไขปัญหาของประเทศที่ต้นตอ หากใครมีภาพประเทศไทยที่อยากเห็นเหมือนกับพรรคก้าวไกล ต้องขอแรงให้ช่วยกันเพิ่มคะแนนเสียงแห่งความเปลี่ยนแปลง ช่วยกันบอกพ่อแม่พี่น้อง เพื่อน คนข้างบ้าน อธิบายว่าพรรคก้าวไกลจะเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้ดีขึ้นอย่างไร

สำหรับรายชื่อว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.นครราชสีมา พรรคก้าวไกล ทั้ง 16 เขต ประกอบด้วย...
เขต 1 ฉัตร สุภัทรวณิชย์
เขต 2 ปิยชาติ รุจิพรวศิน
เขต 3 ศุทธสิทธิ์ พจน์ฐศักดิ์
เขต 4 พ.ต.ท.อัครพงษ์ วรรณพงษ์
เขต 5 เสนีย์ หาญศรี
เขต 6 สามารถ ธนกุลชัยสุข
เขต 7 อุดม เพชรอ่อน
เขต 8 กำพล แจ่มศรี
เขต 9 สมศักดิ์ บุญเสริฐ
เขต 10 วุฒิศักดิ์ พิมพ์พิสาร
เขต 11 ณฐพงศ์ สอบกิ่ง
เขต 12 ชรินทร์ ทำดี
เขต 13 ศุภวัฒน์ พันธ์นัทธีร์
เขต 14 ดร.สาธิต ปิติวรา
เขต 15 พัชริดา กีรตินพดล
เขต 16 กรฉัตรชัย นาสมใจ

ต่อมาในวันที่ 1 เมษายน 2566 ธนาธร เดินทางถึงจังหวัดเพชรบูรณ์ ร่วมปราศรัยช่วยหาเสียงให้ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. ที่สวนสาธารณะเพชบุระ อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบูรณ์ โดยมีพี่น้องประชาชนร่วมรับฟังอย่างอบอุ่น

‘ภูมิใจไทย’ ชู พ.ร.บ.ส่งเสริมการเรียนรู้ หนุนการศึกษาตลอดชีวิต เล็งจัดตั้ง ‘ครูหมู่บ้าน’ 8 แสนคน ให้ความรู้-สอนทักษะแก่ชุมชน

‘ภูมิใจไทย’ ดัน พ.ร.บ.ส่งเสริมการเรียนรู้ สำเร็จ หนุนจัดการศึกษาตลอดชีวิต-เพื่ออาชีพ-ตามอัธยาศัย เพิ่มบทบาทกระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะผู้สนับสนุน เปิดทางองค์กรอื่นเป็นผู้จัดการศึกษาเอง เพื่อสร้างคนตามความต้องการ พร้อมตั้งธนาคารหน่วยกิต (Credit Bank) เพื่อเทียบโอน-พักเรียน เล็งจัดตั้ง ‘ครูหมู่บ้าน’ จำนวน 800,000 คนทั่วประเทศ เป็นอาสาสมัครให้ความรู้กับชุมชน

(1 เม.ย.66) ทางเฟซบุ๊กแฟนเพจ ‘พรรคภูมิใจไทย’ ได้เผยแพร่คลิปวิดีโอในหัวข้อ ‘พลิกโฉมการศึกษาไทย ด้วย พ.ร.บ.ส่งเสริมการเรียนรู้’ โดย ดร.กมล รอดคล้าย คณะทำงานยุทธศาสตร์ด้านการศึกษา พรรคภูมิใจไทย ได้กล่าวให้ข้อมูลเกี่ยวกับ พ.ร.บ.ส่งเสริมการเรียนรู้ ไว้ว่า…

“โดยทั่วไปแล้ว การจัดการศึกษามีกรอบแนวทาง ซึ่งจะมีแผนการศึกษาแห่งชาติกำหนดทิศทางเนื้อหา สาระ และสิ่งที่เด็กจะต้องเรียนรู้ไว้ แต่มันจะต้องมีกฎหมายหลักอีกตัวหนึ่ง ซึ่งจะเป็นตัวขับเคลื่อนการจัดการศึกษา เรียกว่า ‘พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ’ แต่เนื่องจากว่า นับตั้งแต่นี้ต่อไป โลกของการเรียนรู้ได้ออกไปนอกห้องเรียนมากขึ้น ทุกคนสามารถเรียนผ่านระบบออนไลน์ได้ และยังมีวิธีการจัดการเรียนการสอนที่หลากหลาย อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต นับตั้งแต่เกิดจนกระทั่งถึงวันสุดท้ายของชีวิต เพราะฉะนั้น จึงมีพระราชบัญญัติอีกฉบับหนึ่งเกิดขึ้น เรียกว่า ‘พระราชบัญญัติส่งเสริมการเรียนรู้’ ”

ดร.กมล ได้กล่าวต่อว่า “แม้ว่าพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ จะยังไม่ผ่านการพิจารณาจากรัฐสภา แต่พระราชบัญญัติส่งเสริมการเรียนรู้ ซึ่งพรรคภูมิใจไทยเป็นพรรคหลักในการขับเคลื่อนเรื่องนี้ เราได้ขับเคลื่อน พ.ร.บ ฉบับนี้จนประสบผลสำเร็จ ซึ่งมีจุดเด่นอยู่ประมาณ 3-4 เรื่อง ที่แตกต่างไปจากเดิม เช่น

เรื่องที่ 1 รูปแบบการจัดการศึกษา ซึ่งเดิมทีใช้ระบบการจัดการศึกษาแบบตามคุณวุฒิ คือ เรียนประถมฯ มัธยมฯ ซึ่งการจัดการศึกษาตลอดชีวิต เราเรียกว่า ‘การศึกษาเพื่ออาชีพ’ สำหรับนำความรู้ไปใช้ประกอบอาชีพต่าง ๆ และการจัดการการศึกษาเพื่อส่งเสริมความรู้ตามอัธยาศัย ตามความสนใจ รูปแบบการจัดการศึกษาในอนาคต จึงเปลี่ยนไปจากเดิม และไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เราสามารถเรียนรู้ผ่านระบบออนไลน์ เข้าถึงการศึกษาหลักสูตรระยะสั้น รวมถึงสามารถที่จะไปเรียนต่อในต่างประเทศ ตามหลักสูตรของมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ได้

ประการต่อไป คือ ผู้จัดการศึกษา ต้องไม่ใช่กระทรวงศึกษาธิการอย่างเดียว กระทรวงศึกษาธิการอาจทำหน้าที่ในการจัดการศึกษาตามคุณวุฒิ แต่เราสามารถสนับสนุนให้ผู้อื่นจัดการศึกษาเพิ่มเติมได้ เช่น โรงงาน บริษัทใหญ่ ๆ หรือภาคธุรกิจเอกชนที่ต้องการผู้ที่มีความชำนาญในอาชีพเฉพาะทาง เราสามารถที่จะให้งบในการซัพพอร์ตบางส่วน เพื่อให้หน่วงงานเหล่านั้นไปเป็นคนจัดการศึกษา และจากนั้น เด็กจึงนำวิชาที่เรียนมาเทียบโอนกับการศึกษาในระบบได้ โดยข้อมูลเหล่านี้จะถูกจัดเก็บไว้ในระบบที่เรียกว่า ‘ธนาคารหน่วยกิต’ หรือ ‘เครดิตแบงก์’ (Credit Bank) ซึ่งพรรคภูมิใจไทยเตรียมพร้อมที่จะจัดตั้ง ‘สถาบันพัฒนาระบบธนาคารหน่วยกิต’ ขึ้นในโอกาสต่อไป หากพรรคภูมิใจไทยได้เข้าไปเป็นรัฐบาล เราจะต้องพัฒนาส่งเสริมให้หน่วยงานมีพิพิธภัณฑ์ มีศูนย์วิทยาศาสตร์ มีศูนย์ศิลปวัฒนธรรม มีห้องสมุด ทั้งหมดนี้ เป็นกระบวนการที่เราจะจัดการศึกษาให้กับทุกคน และเป็นการศึกษาตลอดชีวิต สามารถที่จะหยุดพักการเรียนเพื่อไปทำงานแล้วเก็บหน่วยกิตไว้ในธนาคารหน่วยกิต เพื่อให้สามารถกลับมาเรียนในโอกาสต่อไปได้”

‘มณีรัตน์’ ลงพื้นที่รับฟังปัญหา ปชช. เขตพระโขนง-บางนาทุกวัน ชู ‘จยย.ไฟฟ้า’ ลด PM2.5-รายจ่ายค่าน้ำมัน ‘ไรเดอร์-วินฯ’

(1 เม.ย. 66) น.ส.มณีรัตน์ ลิมป์รัตนกาญจน์ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เขตพระโขนง-บางนา พรรคภูมิใจไทย ลงพื้นที่รับฟังปัญหาพี่น้องประชาชนในพื้นที่เขตพระโขนง-บางนา ต่อเนื่องทุกวัน ทั้งในชุมชนและตลาด โดยได้รับการตอบรับจากชาวบ้านให้ความรักและให้การต้อนรับจำนวนมาก พร้อมให้การตอบรับนโยบายภูมิใจไทยกรุงเทพฯ เป็นอย่างดี 

น.ส.มณีรัตน์ ได้นำเสนอนโยบายของพรรคภูมิใจไทย อาทิ ตั๋ว One Day Pass การกำหนดค่าโดยสารสาธารณะ รถ เรือ เริ่มต้น 15 บาท ตลอดวัน ไม่เกิน 50 บาท ส่วนรถไฟฟ้า เริ่ม 15 บาท ตลอดสายไม่เกิน 40 บาท, นโยบายพักหนี้ 3 ปีหยุด ต้นปลอดดอกเบี้ยคนละไม่เกิน 1 ล้านบาท, การตั้งศูนย์ฟอกไตฟรี โดยจะมีการจัดตั้งศูนย์ฟอกไต 1 เขต 1 ศูนย์ ให้บริการประชาชนลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้ป่วยและญาติ, ศูนย์ฉายรังสีมะเร็งฟรี เป็นการจัดตั้งศูนย์ ฉายรังสีรักษาโรคมะเร็งฟรี 1 จังหวัด 1 ศูนย์ ให้ผู้ป่วยเข้าถึงการรักษาได้ง่ายขึ้น

เปิด 6 ภารกิจฉบับเพื่อไทย สู่ประเทศประชาธิปไตยที่แท้จริง

(1 เม.ษ.66) เพจ ‘พรรคเพื่อไทย’ ได้โพสต์ 6 ภารกิจฉบับเพื่อไทย สู่ประเทศประชาธิปไตยที่แท้จริง ความว่า...

ถึงเวลาแล้วหรือยัง? ที่คนไทยจะได้กลับมาแนะนำตัวเองต่อประชาคมโลกอย่างเต็มปากเต็มคำด้วยความภาคภูมิใจว่า เราเป็น ‘ประเทศประชาธิปไตย’ เพื่อไทยพร้อมแก้ไขทุกปัญหาที่ฝังรากลึกในสังคมเพื่อเปลี่ยนประเทศไทยให้กลับเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง

1.) จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน
เพื่อให้กฎหมายไทยสะท้อนเจตนารมณ์ของประชาชนไทยอย่างแท้จริง เมื่อเพื่อไทยขึ้นเป็นรัฐบาล เราจะจัดการเลือกตั้ง ‘สภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.)’ เพื่อให้ประชาชนเลือกคนเข้ามาจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนด้วยตัวเองและร่วมตรวจสอบและออกเสียงลงประชามติในทุกขั้นตอน พร้อมเสนอกฏหมายป้องกันและต่อต้านการรัฐประหารเข้าสู่การพิจารณา

2.) อัปเกรดระบบราชการ
เพื่อให้บริการประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพ สะดวก รวดเร็วและมีความโปร่งใส เพื่อไทยมุ่งเปลี่ยนโครงสร้างระบอบราชการไทยให้เป็น Digital Government ด้วยการนำเทคโนโลยี Blockchain เข้ามาช่วยให้ทุกการกระทำโปร่งใสและสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ สนับสนุนการ Reskil Upskill เพิ่มฐานเงินเดือนข้าราชการที่ปรับตัวเท่าทันยุคสมัย พร้อมผลักดันแนวคิด ‘ชัดเจน ลดขั้นตอน ลดการใช้ดุลยพินิจ’ สร้างกรอบกฏหมายและเงื่อนไขในการทำงานรวมถึงกรอบเวลาที่ชัดเจน ปิดช่องโหว่ลดช่องว่างที่นำไปสู่การใช้เงินใต้โต๊ะจูงใจเจ้าหน้าที่รัฐ

เจาะนโยบายยกเลิกการเกณฑ์ทหารและปฏิรูปกองทัพ พรรค 'ก้าวไกล-เพื่อไทย-เสรีรวมไทย' คิดอะไรกันอยู่?

วิเคราะห์นโยบายของพรรคการเมืองในการเลือกตั้ง พ.ศ. ๒๕๖๖

การเกณฑ์ทหารคือ การระดมและเตรียมพร้อมสรรพกำลังของชาติ เพื่อดำรงคงไว้ซึ่ง ‘ศักย์สงคราม’ (War Potential) เพื่อให้ประเทศชาติมีความพร้อมต่อภัยคุกคามจากอริราชศัตรู

หลาย ๆ คนที่ตั้งคำถามว่า เราจะเตรียมทหารให้พร้อมเพื่อรบกับใคร การรบครั้งล่าสุดของกองทัพไทยเกิดขึ้นเมื่อสิบกว่าปีที่ผ่านมาคือ กรณีการปะทะกับกัมพูชาตามแนวชายแดน อันเนื่องมากจากข้อพิพาทระหว่างกันในเรื่อง ‘เขาพระวิหาร’ พ.ศ. 2553 และพึ่งจะครบ 35 ปี ในกรณีการปะทะกับสปป.ลาว อันเนื่องมากจากข้อพิพาทระหว่างกันในเรื่อง ‘ชายแดนบริเวณบ้านร่มเกล้า อำเภอชาติตระการ จังหวัดพิษณุโลก’   

อีกทั้งบนโลกใบนี้มีสงครามและความไม่สงบเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา การดำรงคงไว้ซึ่ง ‘ศักย์สงคราม’ เพื่อให้ประเทศชาติมีความพร้อมในการป้องกันประเทศจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง ด้วยถือเป็นการประกันเอกราชและอธิปไตยของชาติ

นอกจากนั้นแล้ว หน่วยทหารของเราตลอดแนวชายแดนไม่ว่าทางบกหรือทางน้ำ ต้องทำหน้าที่สกัดกั้นหยุดยั้งภัยคุกความต่อความมั่นคงและสังคม ไม่ว่าจะเป็น การจับกุมคาราวานยาเสพติด การค้าอาวุธ การค้ามนุษย์ การจับกุมผู้ลักลอบเข้าเมือง สินค้าหนีภาษี การบ่อนทำลายทรัพยากรธรรมชาติของชาติ เช่น การลักลอบตัดไม้ การจับสัตว์น้ำ ฯลฯ ด้วยกำลังและยุทโธปกรณ์ของหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบภารกิจนั้น ๆ ไม่เพียงพอต่อภารกิจที่ต้องดูแลรับผิดชอบ

กองทัพไทยยังต้องรับผิดชอบดูแลสถานการณ์ความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนใต้นับแต่เหตุการณ์ปล้นปืนจากกองพันพัฒนาที่ 4 ค่ายกรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ หรือค่ายปิเหล็ง ต.มะรือโบออก อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2547 ซึ่งถูกมองว่า เป็นจุดเริ่มต้นของการเกิดความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยในระลอกใหม่ ต่อเนื่องยาวนานมากว่า 19 ปีแล้ว 

และปฏิเสธไม่ได้เลยว่า เมื่อเกิดบรรดาพิบัติภัยต่าง ๆ ขึ้น ก็ต้องอาศัยกำลังพลตลอดจนยุทโธปกรณ์ของกองทัพในการช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัยพิบัติต่าง ๆ ในทุกมิติ

‘พิธา’ กร้าว!! ปลดล็อก ‘สวัสดิการผู้สูงอายุ’ ชี้!! เคาะแล้วตกมื้อนึงได้ไข่ต้มแค่ฟองเดียว

‘พิธา’ ควงผู้สมัครปักธงชัย อ.นครไทย จ.พิษณุโลก ชูนโยบาย 4 ป. ปลดล็อกสวัสดิการ-ที่ดิน-หนี้สิน-ท้องถิ่น แก้ปัญหาประชาชน ก่อนขนทัพใหญ่เปิดเวทีปราศรัย ‘ก้าวไกล’ กลางเมืองพิษณุโลกเย็นนี้ เปิดตัวว่าที่ผู้สมัครครบ 5 เขต

(1 เม.ย.66) แกนนำพรรคก้าวไกล นำโดย นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล, น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล, น.ส.เบญจา แสงจันทร์ กรรมการบริหารพรรคก้าวไกล และ นายวาโย อัศวรุ่งเรือง ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ร่วมกิจกรรมหาเสียงร่วมกับว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พรรคก้าวไกล จังหวัดพิษณุโลก ทั้ง 5 เขต ก่อนที่จะร่วมเปิดเวทีปราศรัยในช่วงเย็นวันเดียวกันนี้

ในส่วนของนายพิธา ได้ร่วมกิจกรรมเดินหาเสียงพบปะประชาชนในเขตชุมชน ที่ อ.นครไทย ร่วมกับนายศุภปกรณ์ กิตยาธิคุณ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พิษณุโลก เขต 5 ตามด้วยการเปิดเวทีพูดคุยพบปะประชาชน ที่วัดหนองกะท้าว ต.หนองกะท้าว อ.นครไทย และที่ ต.ไทรย้อย อ.เนินมะปราง ร่วมกับ โชคดี สายนำพามีลาภ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พิษณุโลก เขต 3 โดยประชาชนส่วนมากประสบปัญหาร่วมกันในเรื่องที่ดินทำกิน

นายพิธากล่าวว่า ตั้งแต่เริ่มต้นการทำงานในสภาฯ มาตั้งแต่ครั้งเป็นพรรคอนาคตใหม่ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการที่ดินฯ ตนได้เดินทางมา จ.พิษณุโลกบ่อยครั้ง เพราะเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่มีปัญหาที่ดินหลายกรณีมาก และนั่นเป็นเหตุผลที่ตนต้องมาที่นี่อีกครั้ง เพื่อนำข้อเสนอ ‘4 ปลดล็อก’ มาเสนอเพื่อแก้ปัญหาให้กับทุกคนที่นี่ รวมถึงประชาชนทั่วประเทศที่เผชิญปัญหาแบบเดียวกัน จากปัญหาระยะสั้นไปถึงปัญหาระยะยาว ให้แก้ปัญหาไปถึงอนาคตของลูกหลานทุกคน

ปลดล็อกที่หนึ่ง คือปลดล็อกสวัสดิการผู้สูงอายุ จากที่ตนได้เห็นงบประมาณของประเทศที่ถูกจัดสรรผ่านมาทั้ง 4 ปี พบว่ามีงบประมาณที่ถูกนำไปใช้อย่างไม่มีประโยชน์มากมาย โดยเฉพาะงบประมาณของกองทัพ มากมายกว่างบประมาณที่เอามาดูแลประชาชนเสมอ ปัจจุบันสวัสดิการที่ให้กับผู้สูงอายุ เริ่มต้นที่ 100 บาท เฉลี่ยออกมาได้แค่วันละ 20 บาท หรือเป็นค่ากินแค่มื้อละ 7 บาท ได้ไข่ต้มแค่ฟองเดียว ไม่สอดคล้องกับสังคมสูงวัย ของแพงค่าแรงถูกในปัจจุบัน

พรรคก้าวไกล จึงมีนโยบายที่จะเปลี่ยนงบกองทัพที่ไม่จำเป็น เอามาทำเป็นงบประมาณ เพิ่มเบี้ยสูงอายุจาก 600 เป็น 3,000 บาทต่อเดือน นี่คือรัฐสวัสดิการที่ทำให้ผู้สูงอายุอยู่ได้อย่างมีศักดิ์ศรี คนหนุ่มสาวกล้าเสี่ยงเดินตามความฝันโดยไม่ต้องกังวลถึงพ่อแก่แม่เฒ่า

ปลดล็อกที่สอง คือการปลดล็อกที่ดิน หลายพื้นที่ เช่น อ.นครไทย แห่งนี้ มีสถานะเป็นเหมือนขนมชั้น คือ ส.ป.ก. ครอบทับกับกรมป่าไม้ ดูแลกันสองหน่วยงาน อำนาจบางส่วนทับซ้อนกัน ทำให้เวลาชาวบ้านไปเดินเรื่องก็ทำอะไรไม่ได้ เกี่ยงกันเป็นเก้าอี้ดนตรี พรรคก้าวไกลจึงมีนโยบาย เปลี่ยน ส.ป.ก. เป็นโฉนด ทวงคืน ส.ป.ก. จากนายทุนทั่วประเทศ 4 ล้านไร่ หาที่ดินเพิ่มให้ประชาชนอีก 6 ล้านไร่ รวมเป็น 10 ล้านไร่ ซึ่งแม้ยังน้อยกว่าเมื่อเทียบกับที่ดิน 320 ล้านไร่ที่ประเทศไทยมีอยู่ แต่อย่างน้อยนี่จะเป็นกระดุมเม็ดแรกที่จะนำไปสู่การแก้ปัญหาที่ดินในระยะยาว

ปลดล็อกที่สาม คือปลดล็อกหนี้สิน โดยเฉพาะในภาคเกษตร สั้น ๆ ง่าย ๆ ว่าสำหรับใครก็ตามที่เป็นหนี้ ธ.ก.ส. มีอายุเกิน 60 ปี และชำระหนี้เกินครึ่งของเงินต้นไปแล้ว นโยบายคือการปลดหนี้ให้ทันที

‘จูรี’ ชวน ปชช.มาถ่ายรูปสวมหัวเป็นจูรี หลังโดนมือดีกรีดป้าย ลั่น!! ทำลายได้แค่ป้าย แต่ทำลายความตั้งใจที่จะเป็นผู้แทนไม่ได้

(1 เม.ย. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานจาก จ.สงขลาว่า ป้ายหาเสียงของว่าที่ผู้สมัครของพรรคชาติพัฒนากล้า ที่มีภาพของ นายจูรี นุ่มแก้ว ถูกตัดหัวออก เหลือไว้แต่ตัว ซึ่งป้ายดังกล่าวเป็นป้ายที่ถ่ายร่วมกับนายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรค และว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคอีก  3 คนในจังหวัดสงขลา

ทั้งนี้ นายจูรี ซึ่งเป็นขวัญใจชาวใต้ และเป็นดาวติ๊กตอกชื่อดัง ได้ตัดสินใจลงสมัคร ส.ส.ในนามพรรคชาติพัฒนากล้า และมีเสียงตอบรับจากพี่น้องชาวใต้เป็นจำนวนมาก ดังนั้น ผู้สมัคร ทั้ง 4 คนของ จ.สงขลา ได้แก่ นายกัณฑ์ นวกัณฑ์ เขต 1, นายจูรี นุ่มแก้ว เขต 2, ผศ.ดร.ประสิทธิ์ รัตนพันธ์ เขต 3 และนายพงศธร สุวรรณรักษา เขต 9 หรือ ทนายอาร์ม ซึ่งทั้ง 4 จึงได้ร่วมทำกิจกรรมกับพี่น้องประชาชนชาวสงขลาเป็นทีมอย่างต่อเนื่อง และได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นและเนืองแน่น ดังนั้น ในป้ายของผู้สมัคร นอกจากจะมีรูปของหัวหน้าพรรคแล้ว ยังมีรูปของนายจูรี ประกบไปด้วยทุกป้าย และในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มีมือมืดมาตัดหัวของจูรีออกกว่า 100 ป้าย ซึ่งเป็นการจงใจตัดออกเฉพาะหน้า

ล่าสุด นายจูรี ได้อัดคลิปลงติ๊กตอก พร้อมกับเสนอไอเดีย ให้พี่น้องประชาชนที่ผ่านไปผ่านมาก็สามารถสามารถเอาหน้ามาสวมในป้ายที่ถูกตัดเป็นนายจูรี แล้วก็เช็กอินไปเลยว่า มาที่นี่แล้ว

“ฉันก็คิดว่าคนกรีดเขาก็ไอเดียดี เขาก็คงมีเจตนาดี เพราะเขากรีดเฉพาะหน้าฉัน เวลาเธอผ่านไปผ่านมาก็เอาหัวมาแยงในภาพแล้วก็ถ่ายรูปเช็กอินเป็นฉันไปเลย ตอนนี้ 150 ป้าย คงเหลือดีสัก 2 ป้าย แต่ก็ไม่เป็นไร ใครอยากทำอะไร ทำเลย เพราะคุณทำลายได้แค่ป้าย แต่ทำลายความตั้งใจของฉันที่จะมาลงผู้แทนของชาวบ้านไม่ได้” นายจูรี กล่าว

‘ก้าวไกล’ เผย ข้อจำกัดดับไฟป่าเขาแหลม ขาดอุปกรณ์-แผนรับมือ ชี้ ต้องกระจายอำนาจ เปลี่ยนงบในกระทรวงเป็นเงินหนุนท้องถิ่น

(1 เม.ย. 66) พล.ท. วีรากร ประกอบ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.นครนายก เขต 1 พรรคก้าวไกล กล่าวถึงสถานการณ์ไฟป่าที่เขาแหลมและรอบบริเวณหลังโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า จังหวัดนครนายก ว่า จนถึงตอนนี้ยังไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ ไฟยังคงลามไหม้กินพื้นที่ โดยเฉพาะบริเวณที่มีหญ้าแห้ง กอไผ่แห้ง ยิ่งในเวลากลางคืนมีกระแสลม ทำให้ไฟปะทุขึ้นมา

จากการลงพื้นที่ ตนรู้สึกเห็นใจเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานอย่างเหน็ดเหนื่อยทุ่มเท และเห็นข้อจำกัดในการแก้ไขรับมือสถานการณ์ อย่างน้อย 2 เรื่อง

1.) การขาดความพร้อมของอุปกรณ์ เครื่องมือที่จำเป็นต่อการดับไฟยังขาดหรือมีไม่เพียงพอ โดยตนเสนอว่าควรใช้อากาศยานไร้คนขับ (UAV) เพื่อบินลาดตระเวนในเวลากลางคืน ถ่ายภาพเรียลไทม์ส่งมาที่ศูนย์บัญชาการสถานการณ์ ให้ทราบพิกัดที่ชัดเจนของจุดที่ไฟป่าปะทุขึ้น ทั้งเพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้นและเพื่อสวัสดิภาพของเจ้าหน้าที่

2.) การเตรียมหรือซักซ้อมแผนเผชิญเหตุเพื่อความพร้อมในการดับไฟป่า ทั้งที่เหตุการณ์ลักษณะนี้เคยเกิดขึ้นเมื่อ 3 ปีที่แล้ว และทั้งที่ล่วงเลยหน้าฝนมาแล้วหลายเดือน หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น จังหวัด สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด หรือกรมอุทยานแห่งชาติฯ ควรมีประสบการณ์ในการเตรียมรับมือภัยที่มาในช่วงหน้าร้อน ไม่ว่าจะเป็นการทำแนวกันไฟป่า ประชาสัมพันธ์ประชาชนที่จะเข้าไปในพื้นที่ป่าเพื่อดักสัตว์ ซึ่งอาจกระทำบางอย่างเป็นต้นเหตุของไฟป่าได้ เช่น สูบบุหรี่

‘ปชป.’ ส่ง ‘กานต์’ แกนนำผู้พิการทางสายตา นั่งปาร์ตี้ลิสต์ ชู เพิ่มเบี้ยยังชีพ-สร้างโอกาส-เป็นปากเสียงให้กลุ่มเปราะบาง

(1 เม.ย. 66) ที่พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) นางมัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข อดีตกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ แกนนำพรรคภาคเหนือ เปิดเผยว่า พรรคประชาธิปัตย์เป็นสถาบันการเมืองที่ได้รับความสนใจจากคนทุกภาคส่วน และให้ความเป็นธรรมอย่างเท่าเทียมกับกลุ่มเปราะบาง ที่จะมีตัวแทนในการลงสมัครรับเลือกตั้งครั้งนี้ด้วย ซึ่งถือว่าเป็นประวัติการณ์อย่างยิ่ง โดยในที่ประชุมกรรมการบริหารพรรคได้รับรอง นายกานต์ ปิงเมือง เลขาสมาคมคนตาบอด จังหวัดพะเยา ตัวแทนกลุ่มเปราะบาง เป็นสมาชิกพรรค และ เป็นผู้สมัคร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ โดยผ่านการประชุมคัดเลือกเรียบร้อยแล้ว

ทางด้านนายกานต์ กล่าวภายหลังได้รับคัดเลือกให้ลงสมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ระบบบัญชีรายชื่อของพรรคประชาธิปัตย์ว่า ตนรู้สึกดีใจมากเพราะพรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคที่ให้โอกาสกับคนเปราะบาง ซึ่งน่าจะเป็นพรรคการเมืองเพียงพรรคเดียวในประเทศไทยที่มองเห็นพี่น้องคนพิการ และตนมุ่งหวังว่าจะได้มีโอกาสขับเคลื่อนงานเพื่อสร้างประโยชน์ให้กับพี่น้องคนพิการ ที่สำคัญมุ่งหวังที่จะผลักดันนโยบายเพิ่มเบี้ยยังชีพคนพิการเป็น 2,000 บาทถ้วนหน้า และ เพิ่มเบี้ยผู้สูงอายุ 2,000 บาทถ้วนหน้า

ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ให้โอกาสที่จะได้นำเสนอนโยบายเหล่านี้ โดยตนได้นำเสนอนโยบายให้กับทุกพรรค มีเพียงพรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคที่ให้ความสำคัญกับกลุ่มเปาะบางมาตั้งแต่เริ่มต้น เห็นได้ว่ากฎหมายด้านคนพิการก็ออกมาในสมัยของรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ การเพิ่มเบี้ยยังชีพจาก 500 บาทเป็น 800 บาทก็มาจากพรรคประชาธิปัตย์ และการแก้ไขกฎหมายด้านคนพิการหรือการให้เบี้ยผู้สูงอายุก็เริ่มต้นจากพรรคประชาธิปัตย์ และที่สำคัญพรรคประชาธิปัตย์พิสูจน์ให้ประชาชนได้เห็นว่า พรรคเป็นสถาบันทางการเมืองที่ยืนหยัดมั่นคงในหลักการและอุดมการณ์

นายกานต์ กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ ได้รับการผลักดันจาก นางมัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข ส.ส. บัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ปี 2562 และอดีตปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ โดยตนได้ประสานงานกับมูลนิธิมัลลิกาเพื่อประชาชน และงานภาคประชาสังคมของจังหวัดพะเยารวมทั้งภาคเหนือมาอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ นอกจากนั้น แล้วยังร่วมกันผลักดันโอกาสของกลุ่มเปราะบาง และพยายามในการส่งเสริมให้ผู้พิการในแต่ละสมาคมมีปากเสียงในกองทุน และสวัสดิการของรัฐฯ ในกระทรวงที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เพื่อความเป็นธรรมให้กับกลุ่มผู้พิการซึ่งมีอยู่จำนวนไม่น้อยในประเทศ


ที่มา : https://www.naewna.com/politic/721410

‘บิ๊กป้อม’ ลงปาร์ตี้ลิสต์เบอร์ 1 - แคนดิเดตนายกฯ ‘พปชร.’ ชี้ จะได้รู้ว่า ปปช.เลือกมาจริง ลั่น!! ต้องการเป็นผู้นำที่สง่างาม

(1 เม.ย. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เฟซบุ๊กแฟนเพจ ‘พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ’ ได้มีการโพสต์ข้อความ ระบุว่า…

“ที่ผ่านมา ผมสื่อสารให้พี่น้อง สื่อมวลชน และประชาชนได้เข้าใจถึงแนวคิดของผมว่า ทำไมต้องไปต่อ ผ่านจดหมายทั้ง 6 ฉบับ ซึ่งจบไปแล้ว และต้องขอขอบคุณที่พี่น้องประชาชนให้ความสนใจ และค้นหาผ่าน Google ในแต่ละฉบับ โดยรวมแล้วมีกว่า 10 ล้านครั้ง

แต่สำหรับในช่วงรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง ก็คงจะต้องสื่อสารกับพี่น้องประชาชนในรูปแบบใหม่ ที่จะต้องตอบคำถามบ่อยหน่อย เพราะอาจจะมีบางเรื่องที่เกี่ยวข้องกับผมและพรรค ควรจะต้องมีคำตอบเพื่อสร้างความเข้าใจ และป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้น แต่ไม่ได้หมายความว่า ผมจะทำเป็น Facebook ป้อมรายวัน กรุณาติดตาม”

‘ก้าวไกล’ เล่นใหญ่ รณรงค์ยกเลิกการเกณฑ์ทหารทั่วไทย ชี้!! นี่ต้องเป็นการจับ ‘ใบดำ-ใบแดง’ ครั้งสุดท้าย

(1 เม.ย. 66) พรรคก้าวไกล นำโดย นายพริษฐ์ วัชรสินธุ, นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร, นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ และนายปิยรัฐ จงเทพ ผู้สมัคร ส.ส. กรุงเทพ เขตพระโขนง-บางนา ได้เข้าสังเกตการณ์ ชวนพูดคุย และทำโพลสำรวจความเห็นต่อข้อเสนอยกเลิกการบังคับเกณฑ์ทหาร ณ หน่วยจับใบดำ-ใบแดง เขตพระโขนง โดยมีผู้สมัคร ส.ส. พรรคก้าวไกล ทั่วประเทศกระจายทำกิจกรรมรณงค์ลักษณะเดียวกันในเขตเลือกตั้งของตนเอง

นายพริษฐ์ วัชรสินธุ ผู้จัดการการสื่อสารและการรณรงค์นโยบายพรรคก้าวไกล กล่าวว่า หากก้าวไกลเป็นรัฐบาล เราตั้งเป้าจะยกเลิกการบังคับเกณฑ์ทหารภายใน 1 ปี เพื่อให้เมษายนปีนี้ เป็นครั้งสุดท้าย ที่ต้องมีคนมาจับใบดำ-ใบแดง หรือต้องมีคนเป็นทหารทั้งที่ไม่อยากเป็น

“เหตุผลที่พรรคก้าวไกลเสนอการยกเลิกบังคับเกณฑ์ทหาร เพราะระบบเกณฑ์ทหารทำให้เกิดความสูญเสียในสองระดับด้วยกัน กล่าวคือ การสูญเสียเสรีภาพในระดับปัจเจกบุคคล ซึ่งกระทบต่อเสรีภาพในการประกอบอาชีพ โอกาสความก้าวหน้าทางการงาน และเวลาที่ได้อยู่กับครอบครัว ส่วนอีกระดับหนึ่งคือ ‘การสูญเสียมูลค่าทางเศรษฐกิจระดับประเทศ’ เพราะเป็นการดึงทรัพยากรมนุษย์ออกจากตลาดแรงงานในวันที่ประเทศไทยเผชิญกับ ‘สังคมสูงวัย’ และโครงสร้างประชากรที่มีสัดส่วนคนวัยทำงานที่ลดลง” นายพริษฐ์ กล่าว

นายพริษฐ์ ยืนยันว่า การยกเลิกการบังคับเกณฑ์ทหารจะไม่กระทบต่อความมั่นคงของประเทศ เพราะหากเราลดยอดกำลังพลที่ไม่จำเป็นหรือไม่เกี่ยวข้องกับงานด้านความมั่นคง (เช่น พลทหารรับใช้) ควบคู่กับการยกระดับสวัสดิการ-สวัสดิภาพของพลทหาร และการกำจัดความรุนแรงในค่าย ยอดทหารที่สมัครใจเข้ามาจะเพิ่มขึ้นและเพียงพอต่อภารกิจการรักษาความมั่นคงของประเทศ ซึ่งหากการยกเลิกเกณฑ์ทหารสามารถเกิดขึ้นได้จริงจะส่งผลดีกับทุกฝ่าย ไม่เว้นแม้แต่กองทัพ ที่จะได้ลบข้อครหาว่าเป็น ‘สถาบันอำนาจนิยม’ และก้าวสู่ ‘กองทัพยุคใหม่’ ที่เต็มไปด้วยบุคลากรที่สมัครใจทำงานและพร้อมทุ่มเทให้องค์กรอย่างแท้จริง

‘บิ๊กโจ๊ก’ รับเรื่อง เจ้าของแฟรนไชส์ดังหลอกลงทุน หลังเหยื่อร่วมตัวเข้าร้องทุกข์ เสียหายรวม 4 ล้านบาท

เมื่อไม่นานนี้ ที่สโมสรตำรวจ ถนนวิภาวดีรังสิต กลุ่มผู้เสียหายร้อง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ นายนรเศรษฐ์ นาหนองตูม ทนายความ เปิดเผยว่า ได้พากลุ่มผู้เสียหายมาร้องทุกข์กล่าวโทษนายมณฑล ทองคำ เจ้าของแบรนด์ ‘ย่างให้’ ซึ่งมีพฤติการณ์คือ เดินสายออกสื่อหลายรายการ ทั้งทางโทรทัศน์และสื่อออนไลน์ต่าง ๆ พร้อมให้สัมภาษณ์ว่าธุรกิจประสบความสำเร็จ เปิดสาขามากกว่า 400 สาขาทั่วประเทศ รวมถึงมีการนำภาพศิลปิน ดารา นักแสดงชื่อดังหลายคนมาโพสต์ในเพจเฟซบุ๊กว่า มีคนดังชื่อชอบในแบรนด์ของตัวเองและมาร่วมลงทุนในธุรกิจจำนวนมาก ธุรกิจได้ทำจริง ประสบความสำเร็จจริง เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้คนหลงเชื่อ และเข้ามาลงทุนในแบรนด์ด้วย

กลุ่มผู้เสียหายเชื่อใจและนำเงินมาร่วมลงทุน แต่กลับไม่ได้เงินปันผล ไม่มีการแบ่งผลกำไร และไม่พบการดำเนินกิจการต่าง ๆ ตามที่ได้คุยกันไว้ และเมื่อผู้เสียหายมีการสอบถาม กลับถูกลบออกจากกรุ๊ปไลน์

หลังจากที่ผู้เสียหายได้ลงทุนไป ก็ได้มีการตรวจสอบจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ พบว่าธุรกิจมีการจดทะเบียนจริง แต่เจ้าของแบรนด์ไม่ได้มีการจดชื่อผู้เสียหายบางรายเข้าไปในรายชื่อผู้ถือหุ้นตามที่ได้ตกลงกันไว้ อีกทั้งปัจจุบันเจ้าของแบรนด์ได้ปิดเฟซบุ๊กส่วนตัวและปิดเพจธุรกิจไปแล้ว ทำให้ไม่สามารถติดต่อได้

เบื้องต้นจากการรวบรวมกลุ่มผู้เสียหาย ขณะนี้ประมาณ 13 คน ที่หลงเชื่อคำโฆษณานี้และเข้าร่วมลงทุน ยอดความเสียหายเบื้องต้นกว่า 4 ล้านบาท เฉลี่ยรายละตั้งแต่ 200,000-1,000,000 บาท คาดว่าอาจจะมีผู้เสียหายเพิ่มอีก

ด้านนายต๋อง หนึ่งในผู้เสียหาย ซึ่งเป็นผู้เสียหายที่เสียเงินมากที่สุด 1,000,000 บาท เล่าว่า เจ้าของแบรนด์หลอกว่ามีหุ้นอยู่ 20 ตัว ตัวละ 200,000 บาท ตนเองจึงได้ร่วมลงทุนไป 5 ตัว เป็นจำนวนเงิน 1,000,000 บาท โดยเจ้าของแบรนด์ได้กล่าวอ้างว่าลงทุนแค่ 7,000 บาท ก็สามารถปลดหนี้ 10 ล้านบาทได้ภายใน 6 เดือน และคืนทุนได้ภายใน 1 เดือน แต่เมื่อเวลาผ่านไป 6 เดือน ก็ยังไม่ได้รับเงินใด ๆ

เจ้าของธุรกิจอ้างว่าติดช่วงโควิด-19 จึงไม่สามารถดำเนินธุรกิจได้ จึงรอไปเรื่อย ๆ และยังเชิญชวนให้ลงทุนเพิ่มเติมในบริษัทลูกอีก โดยอ้างว่ามีบริษัทน้ำดื่มยักษ์ใหญ่รายหนึ่งเข้ามาร่วมลงทุนด้วย จึงจะได้เงินปันผล แต่หลังจากตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมและสืบทราบว่า พบว่าเจ้าของแบรนด์ได้มีการเปิดบริษัทที่ 2 และนำไปขายให้กับบริษัทดังต่อ เพื่อให้เป็นการรับช่วงทำแบรนด์ต่อจากนายมณฑล ไม่ใช่การทำแบรนด์บริษัทลูกอย่างที่บอกกับผู้เสียหาย และหลังจากผ่านไป 2 ปีก็ยังไม่ได้รับเงินปันผลแม้แต่บาทเดียว อีกทั้งยังมีปัญหากับภรรยาจนถึงขั้นเลิกรากันไป


ที่มา : https://www.thaipbs.or.th/news/content/326084

‘มาร์ค’ กลับถิ่นเก่า ควง ‘มาดามเดียร์’ ลุยบางคอแหลม อ้อนชาวบ้าน หนุน ‘อภิมุข’ เข้าสภาฯ รับใช้ประชาชน

เมื่อวันที่ 31 มี.ค. 66 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) พร้อมด้วย น.ส.วทันยา บุนนาค ประธานคณะทำงานนวัตกรรมการเมือง พรรค ปชป.ลงพื้นที่ชุมชนบ้านใหม่ ซอยเจริญกรุง 85 เขตบางคอแแหลม ช่วยหาเสียงสนับสนุนให้นายอภิมุข ฉันทวานิช ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. กทม. เขตยานนาวา-บางคอแหลม พรรค ปชป.

โดยทันที นายภิสิทธิ์เดินทางถึง นางสุไร แก้วทอง สข. คนแรกของประเทศไทยปี 2528 ที่เคย ช่วยอภิสิทธิ์หาเสียงสมัยลงสมัคร ส.ส.ครั้งแรก พร้อมกับชาวบ้านเก่าแก่ในชุมชน มารอต้อนรับ โดยมี มล.อภิมงคล โสณกุล อดีต ส.ส.เขตนี้ มาช่วยหาเสียงด้วย

ขณะเดียวกัน นายอภิมุข ได้นำโปสเตอร์ หาเสียง รูป นายอภิสิทธิ์ สมัยลงเลือกตั้งครั้งแรก ที่ นายสมเกียรติ ฉันทวานิช อดีต ส.ส.เขตนี้ ซึ่งเป็นพ่อ นายอภิมุข ฝากมาให้นายอภิสิทธิ์ด้วย

โดยในช่วงหนึ่งระหว่างการเดินพบปะประชาชน นายอภิสิทธิ์ ได้กล่าวว่า วันนี้ดีใจที่ทุกคนยังจำได้ว่าเมื่อ 30 ปีที่แล้ว ตนเคยลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.ที่เขตนี้ ได้ทำงานรับใช้ประชาชนในฐานะ ส.ส.แต่ตนก็ไม่เคยทิ้งพื้นที่ เพราะตลอดเวลาในการทำงานการเมืองได้กลับมาเยี่ยมเยียนอยู่เสมอ รวมถึงยังได้เฟ้นหาบุคลากรที่มีคุณภาพมาเป็นผู้แทน รับใช้ดูแลประชาชนในเขตพื้นที่ยานนาวา-บางคอแหลมอยู่ตลอด

โดยในอดีต ตนเคยมาเดินหาเสียงหาเสียงกับนายสมเกียรติ ฉันทวานิช อดีต ส.ส.กทม. คุณพ่อของนายอภิมุข ดังนั้น นายอภิมุขจึงไม่ใช่คนอื่นไกล และได้ทำงานรับใช้พี่น้องในฐานะ ส.ก.มายาวนาน และวันนี้มีความพร้อมที่จะเข้าไปทำหน้าที่ในสภาผู้แทนราษฎร ตนก็ให้ความมั่นใจเพราะว่าเห็นเขามาตั้งแต่เด็ก รู้ว่าใจเขาอยู่กับงานการเป็นผู้แทนฯ รับใช้ประชาชนและจะสามารถมาดูแลทุกข์สุขของทุกคนได้

กลุ่มคนรัก "ทักษิณ ชินวัตร" อาจยังรู้สึกตื่นเต้น แต่เชื่อว่ามีคนไม่น้อยที่รู้สึกชาชินไปเสียแล้ว

กลุ่มคนรัก "ทักษิณ ชินวัตร" อาจยังรู้สึกตื่นเต้น แต่เชื่อว่ามีคนไม่น้อยที่รู้สึกชาชินไปเสียแล้ว เมื่อได้ยินเจ้าตัวออกมาสร้างกระแสด้วยการประกาศ จะ "กลับบ้าน"

16 ปีแห่งความหลัง กำลังจะย่างก้าวเข้าปีที่ 17 ที่อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 23 ต้องระหกระเหิน หลบหนีหลายคดีไปอยู่นอกประเทศหลังเกิดรัฐประหาร 2549 จากนั้นเป็นต้นมา การสร้างกระแส "กลับบ้าน" ก็เกิดขึ้นแทบทุกปี

ครั้งล่าสุดเกิดขึ้นหมาดๆ เมื่อ 24 มีนาคมที่ผ่านมา "ทักษิณ" ให้สัมภาษณ์สื่อญี่ปุ่นว่าเขาพร้อมรับโทษจำคุกในประเทศไทยหากแลกกับการได้ใช้ชีวิตบั้นปลายกับครอบครัว ไม่ว่าผลการเลือกตั้งจะออกมาอย่างไร

“ผมติดคุกใหญ่มา 16 ปีแล้ว เพราะพวกเขากีดกันไม่ให้ผมอยู่กับครอบครัว ... ถ้าผมต้องทนทุกข์ทรมานอีกครั้งในคุกที่เล็กกว่านั้น ก็ไม่เป็นไร”

ย้อนกลับไปแค่ช่วงต้นปี ปลายเดือนมกราคม เจ้าตัวก็เอ่ยปากจะกลับบ้านแบบไม่ต้องมี "ดีลลับ" ไม่ต้องอาศัยพรรคเพื่อไทย ไม่ต้องใช้กฎหมาย(นิรโทษ) ไม่ต้องเกี้ยเซียะพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งหลายคนก็ตีความเงื่อนไขนี้ ว่าคงเหลืออยู่ทางเดียวที่กลับบ้านได้คือยอมกลับมา "ติดคุก"

ย้อนวิบากกรรมของอดีตนายกฯ "ทักษิณ ชินวัตร" เกิดขึ้นตั้งแต่มีการรัฐประหาร 19 กันยา 49 ขณะนั้นเขาอยู่ระหว่างเตรียมประชุมสหประชาชาติ ที่นครนิวยอร์ก ซึ่ง "ทักษิณ" เปิดเผยผ่านคลับเฮาส์เมื่อปีที่แล้ว ว่าขณะถูกยึดอำนาจ เขาตั้งใจ "กลับบ้าน" แต่ฝ่ายปฏิวัติไม่ให้เครื่องบินขึ้น เพราะกลัวเขากลับเข้าเมืองไทย จึงตัดสินใจเดินทางไปตั้งหลักที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ

1 ปีหลังรัฐประหาร ปี 49 พรรคพลังประชาชนชนะเลือกตั้งถล่มทลาย ส่วนหนึ่งมาจากประโยคหาเสียง "เลือกสมัคร พาทักษิณกลับบ้าน" และครั้งนั้น ก็เป็นครั้งเดียวที่ "ทักษิณ" ได้กลับบ้านจริงๆ

28 กุมภาพันธ์ 2551 ภาพทักษิณ ก้มลงกราบแผ่นดินทันทีที่เดินทางกลับถึงบ้านเกิด กลายเป็นภาพประวัติศาสตร์ ขณะนั้นอยู่ระหว่างการดำเนินคดีที่ดินรัชดา แต่ผ่านไปเพียงแค่ 5 เดือน ทักษิณก็ขออนุญาตศาลออกนอกประเทศ เพื่อไปบรรยายพิเศษที่ญี่ปุ่น ก่อนเดินทางไปดูไปดูพิธีเปิดโอลิมปิกที่ประเทศจีน และไม่เดินทางกลับไทยอีกเลย หลังจากนั้นเขาถูกศาลตัดสินจำคุกในหลายคดี

แม้ตัวอยู่เมืองนอก แต่ตลอดห้วงเวลาที่มีการชุมนุมของมวลชนคนเสื้อแดง ทักษิณยังสื่อสารผ่านวิดีโอคอล วอนขอให้พาเขากลับบ้านอยู่เสมอ โดยเฉพาะช่วงที่สถานการณ์เริ่มร้อน เขาปลุกระดมคนเสื้อแดงว่า ถ้าเมื่อไหร่เสียงปืนแตก ทหารยิงประชาชนจะกลับมานำประชาชนเดินเข้ากรุงเทพฯ ทันที

แต่สุดท้ายก็ไร้เงา จนกระทั่งผ่านเหตุการณ์สลายการชุมนุมแยกราชประสงค์ ปี 53 คล้อยหลังจากนั้น 2 ปี ทักษิณสื่อสารเรื่องกลับบ้านกับคนเสื้อแดงด้วยท่าทีเปลี่ยนไป จากอ้อนวอนให้พากลับบ้าน เป็นขอขอบคุณคนเสื้อแดงที่แจวเรือส่งถึงฝั่ง ที่เหลือตัวเขาจะขอขับรถขึ้นเขาต่อด้วยตัวเอง และเพียงไม่นานหลังพรรคเพื่อไทยเดินหน้าผลักดันกฎหมายนิรโทษกรรมสุดซอย ก็ถูกแรงต้านจนมีอันต้องพับเก็บไปแบบไม่เป็นท่า

 

‘สันติ-ชัยวุฒิ’ ชูนโยบาย พปชร.เข้าถึงทุกกลุ่ม วอนเลือกทั้งคนทั้งพรรค ดัน ‘บิ๊กป้อม’ นั่งนายกฯ

สันติ-ชัยวุฒิ เยือนกรุงเก่าพบปชช.ต่อเนื่อง ย้ำนโยบาย พปชร.เข้าถึงทุกกลุ่ม วอนเลือก ‘พล.อ.ประวิตร’ เป็นนายกฯผลักดันพัฒนาเศรษฐกิจทุกระดับเข้มแข็ง

(31 มี.ค. 66) เวลา 17.30 น.นายสันติ พร้อมพัฒน์ เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ พร้อม ด้วยนายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ร่วมเวทีปราศรัย วัดลาดทราย อ.วังน้อย จ.อยุธยา โดยมีนายพิตติพรรธน์ พรรณธนะ เขต 4 นายภูมินทร์ มงคล เขต 5 นายชณทัต ปัมะภูวดล เขต 3 แนะนำตัวให้กับประชาชนในพื้นที่ โดยเสนอนโยบายที่มุ่งช่วยปากท้อง พี่น้องชาวอยุธยา โดยมีประชาชน มาร่วมฟังปราศรัยกว่า 3,000 คน 

นายสันติ กล่าวว่า ว่าที่ผู้สมัครทั้ง 3 เขต มีความตั้งใจที่จะเสนอตัวในการรับใช้พี่น้องประชาชนอย่างจริงใจและจริงจัง และขอมั่นใจได้ว่า ทั้งสามคนเป็นพลังของพรรคพลังประชารัฐ เป็นพื้นที่ความหวัง และความตั้งใจของพรรค ที่ทุกคนจะสามารถได้รับการตอบรับจากประชาชน เลือกมาเป็นตัวแทนที่สามารถผลักดันนโยบายต่าง ๆ เพื่อแก้ปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน   พร้อมกับนำความเจริญและเดินหน้าพัฒนาจังหวัด ทั้งในด้านการส่งเสริมอาชีพ สร้างความก้าวหน้าในด้านต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องผ่านกลไกของพรรค และรัฐบาล 

นอกจากบัตรสวัสดิการประชารัฐ ที่จะเพิ่มเงินเป็น 700 บาทต่อเดือน มีนโยบายบุตร ธิดา ประชารัฐ เพื่อส่งเสริมด้านสุขอนามัย และลดภาระการเลี้ยงดูบุตร ให้กับสตรีผู้เป็นเพศแม่ ซึ่งถือเป็นผู้สร้างคุณประโยชน์ให้กับประเทศชาติ ในการเพิ่มจำนวนประชากร เพราะมีส่วนสำคัญในการสร้างบุคลากรเพื่อการพัฒนาประเทศต่อไป แต่ต้องยอมรับประเทศประสบปัญหา ผู้สูงอายุเพิ่มมากขึ้น ทำให้พรรค ออกนโยบายดูแลผู้สูงอายุ เพิ่มเงินเบี้ยสวัสดิการประชารัฐ 345 678 ที่พร้อมดูแลผู้สูงอายุ 60 ปี ขึ้นไปได้ 3,000 บาท 70 ปี 4,000 บาท และ 80 ปีขึ้นไป 5,000 บาท

นอกจากนี้ยังมีเป้าหมายที่จะสร้างแหล่งเงินให้เข้าถึงประชาชนได้มากยิ่งขึ้น ผ่านนโยบายการเงินการคลัง ซึ่งจะดำเนินการให้เป็นจริง แต่ต้องอาศัยเสียงพี่น้องประชาชน มอบความไว้วางใจให้กับ พล.อ.ประวิตร เป็นนายกรัฐมนตรีและว่าที่ผู้สมัคร พปชร.เป็นรัฐบาล เพื่อนำนโยบายต่าง ๆ ออกมาช่วยเหลือ รวมถึงการแก้ไขระเบียบการปล่อยกู้ของสถาบันการเงิน โดยให้นำเงินฝากที่อยู่ในระบบ 19-20 ล้านล้านบาท ต้องกำหนดให้แบ่งสัดส่วนการปล่อยกู้อย่างทั่วถึง แบ่งเป็นการจัดสรรเงินฝากในสัดส่วน 50% เพื่อนำมาปล่อยกู้ให้กับประชาชนทั้งคนชั้นกลาง ผู้มีรายได้น้อย โดยให้พี่น้องประชาชน ที่มีความต้องการวงเงินไม่เกิน ระดับ 100,000-500,000 บาท นำไปพัฒนาอาชีพ ไม่ใช่กระจุกไวปล่อยสินเชื่อเพียงระดับบนเพียงอย่างเดียว เพื่อให้ประชาชนทุกคนสามารถลืมตาอ้าปากได้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top