Monday, 7 July 2025
SPECIAL

‘บิ๊กป้อม’ นำทัพลูกทีม จับเบอร์ปาร์ตี้ลิสต์ ลั่น!! ขอสัก 20 เก้าอี้ พร้อมกำหมัดข้างขวา สู้ๆ

(4 เม.ย.66) ที่อาคารไอราวัตพัฒนา ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร เขตดินแดง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) พร้อมแกนนำพรรค เดินทางมาสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ โดย พล.อ.ประวิตร ชูมือสองข้างทักทายกองเชียร์และสื่อมวลชล จากนั้นได้เดินขึ้นบันไดมายังหน้าอาคารไอราวัตพัฒนา พร้อมกำหมัดข้างขวาขึ้น เพื่อแสดงสัญลักษณ์ว่าสู้ๆ

จากนั้นผู้สื่อข่าวถามว่า ลงสมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อครั้งแรกเป็นอย่างไร พล.อ.ประวิตร ยิ้มแต่ไม่ได้ตอบคำถาม เมื่อถามว่า เหนื่อยหรือไม่วันนี้ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า เป็นนักการเมืองก็ต้องเข้มแข็ง เราต้องทำตามหน้าที่

'ก้าวไกล' ตบเท้า ยื่น 92 บัญชีรายชื่อ  ด้าน 'พิธา' ลั่น!! พรรคส้มไม่ได้ส้มหล่น

(4 เม.ย.66) ที่อาคารไอราวัตพัฒนา ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร ดินแดง พรรคก้าวไกล นำโดย นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เดินทางมาสมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ และแคนดิเคตนายกรัฐมนตรี

นายพิธา กล่าวว่า ตนจะเป็นผู้จับหมายเลขด้วยตนเอง เบอร์อะไรก็ได้ เพราะเราตั้งใจทำงานให้กับประชาชน ตามยุทธศาสตร์ของเรา ซึ่งการเลือกตั้งในครั้งนี้ เราต้องระบุเบอร์ในแต่ละเขต เพราะในบัตรเลือกตั้งแบบเขตไม่มีโลโก้พรรคและรายชื่อ ต้องดูว่าจะทำอย่างไรในการสื่อสารกับประชาชน เพื่อไม่ให้สับสน แต่ตนคิดว่าประชาชนจำโลโก้พรรคได้ หากได้เบอร์ 9 "อย่างที่ก้าวไกลให้ไทยก้าวหน้า"ก็จะดี 

เมื่อถามว่าวันนี้ได้เตรียมตัวมาแตกต่างกับเมื่อวานหรือไม่ นายพิธากล่าวว่า วันนี้เตรียมเอกสารมาสมัครเอง เมื่อวานเป็นเพียงผู้สังเกตการณ์  "วันนี้พิธามาสมัครงานกับพี่น้องประชาชน เป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป"

เมื่อถามว่ากดดันหรือไม่ เพราะเลือกตั้งครั้งนี้ไม่มีกรณีพรรคไทยรักษาชาติแล้ว นายพิธากล่าวว่า ไม่กดดัน ที่ทุกคนคิดการอาจจะไม่เป็นความจริงทั้งหมด ว่าเราเป็นพรรคส้มหล่น ต้องขอเรียนกับประชาชนว่า "พรรคส้มไม่ได้ส้มหล่น" มีหลายพื้นที่ ที่มีบ้านใหญ่ แต่อดีตพรรคอนาคตใหม่ก็ชนะ ทำให้เห็นว่ามีประชาชนจำนวนมาก ที่ต้องการการเมืองแบบใหม่ ต้องการปลี่ยนแปลงประเทศ ที่อยู่ในระบบอุปถัมภ์ และต้องการกระจายอำนาจ เลือกตั้งผู้ว่าราชการด้วยตนเอง และต้องการงบประมาณท้องถิ่นเพื่อจัดการด้วยตนเอง

เมื่อถามว่า มั่นใจว่ากระแสพรรคจะดีกว่าพรรคอนาคตใหม่หรือไม่ นายพิธากล่าวว่า ดีขึ้นทุกวัน เราไม่ได้แข่งขันกับอนาคตใหม่ เราแข่งขันกับตนเอง พรรคอนาคตใหม่คือพรรคของเรา และเพื่อนของเราในตอนนี้ที่จะสนับสนุน ให้เราสูงขึ้นเรื่อยๆ แต่ถ้าเปรียบเทียบกับครั้งแรกที่เริ่มแคมเปญ ตนคิดว่าได้การตอบรับที่ดี มากขึ้นทุกวันที่เราหาเสียง และเรายังมีเวลาก่อนถึงการเลือกตั้ง เพื่อให้ประชาชน ที่จะทำให้ได้รับการยอมรับและทำให้ประชาชนเชื่อ เชื่อในสิ่งที่เราจะทำให้ประเทศมากขึ้นเรื่อยๆ และหวังว่าในที่สุดจะได้รับโอกาส และได้รับความไว้วางใจจากประชาชน

สีสันวันรับสมัคร ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ แฟนคลับแห่เชียร์-ให้กำลังใจ ฟาก ‘ชูวิทย์’ โผล่จุดรับสมัคร ทักก้าวไกลปมงูเห่าในพรรค

(4 เม.ย.66) ที่อาคารไอราวัตพัฒนา ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร เขตดินแดง ซึ่งคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กำหนดให้เป็นสถานที่รับสมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ และรับแจ้งรายชื่อบุคคล ซึ่งพรรคการเมืองนั้นมีมติว่าจะเสนอให้สภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ระหว่างวันที่ 4-7 เมษายน 2566 บรรยากาศเป็นไปด้วยความคึกคัก โดยมีบรรดากองเชียร์จากพรรคต่างๆ เดินทางเข้ามาให้กำลังใจผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคตัวเอง

เช่น พรรคเพื่อไทย (พท.) เหล่ากองเชียร์ต่างตะโกนว่า “แลนด์สไลด์ เพื่อไทย สู้ๆ” พรรคไทยศิวิไลย์ รวมทั้ง พรรคเพื่อชาติ (พช.) นำโดย น.ส.ปวิศรัฐฐ์ ติยะไพรัช หัวหน้าพรรค นพ.เรวัต วิศรุตเวช แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ร.อ.ดร.จารุพล เรืองสุวรรณ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี เดินทางถึงศาลาว่าการ กทม. ตั้งแต่เวลา 06.35 น.

จาก 'อนาคตใหม่' ถึง 'ก้าวไกล' บทพิสูจน์ว่า 'ของจริง' แค่ไหน ในเลือกตั้ง66

เลือกตั้ง 24 มีนาคม 62 พรรคอนาคตใหม่ กวาดเก้าอี้ในสภาได้เกินคาดถึง 81ที่นั่ง ได้คะแนนรวมกว่า 6 ล้านเสียง กลายเป็นพรรคอันดับ 3 ในสภา จากระบบเลือกตั้งแบบจัดสรรปันส่วนผสม ที่ใช้บัตรเลือกตั้งใบเดียว ส่งให้พรรคอนาคตใหม่ ได้จำนวน ส.ส. ทะลุเป้า ทั้งที่ผู้สมัคร ส.ส.ทุกคนไม่เคยลงสมัครรับเลือกตั้งมาก่อนเลย 

พรรคอนาคตใหม่เริ่มนับหนึ่ง โดยมีนักธุรกิจหมื่นล้านอย่าง ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ กับ ปิยบุตร  แสงกนกกุล อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ เป็นผู้ร่วมกันปลุกปั้น โดยมี 'ช่อ' พรรณิการ์ วานิช อดีตบรรณาธิการและพิธีกรรายการข่าว วอยซ์ทีวี เข้ามารับบทบาทเป็นโฆษกพรรค ขณะที่กลุ่มผู้ก่อตั้งพรรค ที่ส่วนใหญ่เป็นนักกิจกรรมทางสังคมและคนรุ่นใหม่ เป็นส่วนผสมที่โดนใจกลุ่มผู้มีสิทธิเลือกตั้งครั้งแรก จำนวนกว่า 7 ล้านคน

แต่เส้นทางการเมืองของพรรคอนาคตใหม่ ก็ถูกสังคมจับจ้อง ด้วยภูมิหลังของ 'ธนาธร' ตั้งแต่ นามสกุล 'จึงรุ่งเรืองกิจ' ของเขา บทบาทนายทุนนิตยสารฟ้าเดียวกัน รวมถึงการเข้าร่วมชุมนุมกับกลุ่มคนเสื้อแดงในปี 2553 ไม่ต่างจาก 'ปิยบุตร' ที่เคยมีบทบาทเป็นหนึ่งในนักวิชาการกลุ่ม 'นิติราษฎร' ที่ออกมาจุดประเด็นในการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ทำให้ด้านหนึ่ง พวกเขาถูกโจมตีในฐานะบุคคลอันตราย แต่อีกด้าน ก็ทำให้พวกเขาและพรรคอนาคตใหม่เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในช่วงเวลาไม่นาน

พรรคอนาคตใหม่ ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ขณะเดียวกัน หลายจุดยืนและวิธีคิดของพรรคอนาคตใหม่ ก็ถูกตั้งคำถามจากสังคม ทำให้พรรคอนาคตใหม่ ต้องเผชิญกับข้อกล่าวหา ถูกร้องในหลายกรณี ซึ่งมีไม่น้อยที่มีความผิดถึงขั้นยุบพรรค 

ย้อนไปในวันที่มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎรนัดแรก หลังเลือกตั้ง 62  ยังไม่ทันได้เริ่มต้นทำหน้าที่ 'ธนาธร' ก็ต้องเดินออกจากที่ประชุมสภา เนื่องจากศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่กรณีถือหุ้นสื่อ บริษัทวี-ลัค มีเดีย ก่อนมีคำวินิจฉัยให้พ้นสภาพ ส.ส. ในวันที่ 20 พ.ย.62

ห่างจากนั้นไม่ถึง 2 เดือน 21 ม.ค.63 พรรคอนาคตใหม่รอดพ้นจากการถูกยุบพรรค หลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยปมอิลลูมินาติ ไม่เข้าข่ายล้มล้างการปกครอง 

กระทั่งเดินมาถึงจุดพลิกผันสำคัญ เมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีมติรับคำร้องของ กกต. กรณีที่ 'ธนาธร' ให้พรรคอนาคตใหม่กู้เงินจำนวน 191.2 ล้านบาท ซึ่งในที่สุด ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ 'ยุบพรรค' ส่งผลให้กรรมการบริหารพรรคอนาคตใหม่จำนวน 16 คน ถูกเพิกถอนสิทธิทางการเมือง  10 ปี 

จุดสิ้นสุดของพรรคอนาคตใหม่ นำมาสู่การตัดสินใจแยกสายกันเดิน โดยที่ ธนาธร ปิยบุตร และ ช่อ พรรณิการ์ แยกไปตั้ง 'คณะก้าวหน้า' เดินหน้าทำงานการเมืองท้องถิ่น หวังผลักดันการกระจายอำนาจ แต่ประสบความล้มเหลวในการเลือกตั้งองค์การบริหารส่วนจังหวัดในปี 2563 เพราะใน 42 จังหวัดที่คณะก้าวหน้า ส่งผู้สมัครลงเลือกตั้งนายก อบจ. สอบตกทั้งหมด แต่ยังได้เก้าอี้สมาชิก อบจ. 57 คน จาก 20 จังหวัด 

ส่วนงานในสภาฯ ส.ส.จากพรรคอนาคตใหม่เดิม ที่เหลือ 55 คน หลังบางส่วนแยกตัวไปอยู่กับพรรคร่วมรัฐบาล ประกาศสานต่อนโยบายเดิม ด้วยการพากันย้ายไปบ้านใหม่ ที่ชื่อ 'พรรคก้าวไกล' โดยมี 'ทิม' พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ รับไม้ต่อเป็นหัวหน้าพรรค 

ด้านหนึ่งต้องยอมรับว่าพรรคก้าวไกลมีบทบาทสำคัญในการทำหน้าที่ฝ่ายค้าน หยิบยกประเด็นสำคัญขึ้นมาตั้งกระทู้ หรืออภิปรายตรวจสอบรัฐบาล อย่างไรก็ตาม บางจุดยืนที่แข็งแรงของพรรคอนาคตใหม่ที่ส่งต่อมายังพรรคก้าวไกล เช่น ประกาศเป็นขั้วตรงข้ามกับรัฐประหาร จุดยืนเรื่องการแก้ 112 และปฏิรูปสถาบัน ล้วนแต่เป็นยาขมของพรรคการเมืองอื่น และเริ่มกลายเป็นเค้าลางว่าเส้นทางของพรรคก้าวไกล ในการเลือกตั้งจะไม่ราบเรียบเหมือนปี 62

พรรคก้าวไกล กำลังเผชิญกับทั้ง 'ศึกนอก' ทั้งระบบการเลือกตั้งที่จะกลับมาใช้บัตร 2 ใบ เป็นระบบที่เอื้อ 'พรรคใหญ่' ที่มีกลุ่ม 'บ้านใหญ่' ทำให้พรรคใหม่อย่างก้าวไกลคาดหวังเก้าอี้ในสภาได้น้อยกว่าปี 62 ขณะเดียวกัน ยุทธศาสตร์แลนด์สไลด์ของ 'พรรคเพื่อไทย' หวังเก็บกวาดคะแนนเสียงจากฝั่งประชาธิปไตยไปทั้งหมดเพื่อตั้งรัฐบาลให้ได้ เป็นการส่งนัยถึงการโดดเดี่ยวพรรคก้าวไกลไว้ข้างหลัง

‘หนุ่มใหญ่’ ปล่อยโฮ ถูกมือดีฉกเงินสด 8 หมื่นบาท หลังเผลอหลับ หวังจ่ายค่าผ่าตัดสมองให้พี่ชาย ชาวบ้านยันเห็นคนร้าย

ใจสั่นและขาอ่อนจนระทวย หนุ่มใหญ่วัย 52 ปี อ.ศรีบุญเรือง จ.หนองบัวลำภูหอบเงินเฉียดแสนมาที่อุดรฯหวังจ่ายค่ารักษาพยาบาลพี่ชายผ่าตัดสมอง เผลอนอนหลับที่สวนสาธารณะหนองประจักษ์ มีมือดีมาฉกเงินหนีหน้าตาเฉย ชาวบ้านยันเห็นคนร้าย ยืนยันไม่ได้กุเรื่อง วอนตร.ล่าตัวคนร้ายแสบโดยเร็วไม่งั้นไม่มีเงินรักษาพยาบาลพี่ชายแน่

(4 เม.ย.66) เมื่อวันที่ 3 เม.ย.66 ผู้สื่อข่าวรายงานว่านายอดิศร อ่อนมาสาย อายุ 53 ปี ชาวบ้าน ต.นากอก อ.ศรีบุญเรือง จ.หนองบัวลำภู เข้าแจ้งความกับตร.สภ.เมืองอุดรธานีว่า เงินสดตนเองหายไปจากกระเป๋าขณะเผลอหลับไปที่สวนสาธารณะหนองประจักษ์ ข้างรพ.ศูนย์อุดรธานี ที่น่าตกใจกว่านั้นคือเงินสดจำนวน 82,000 บาทได้หายไป คาดว่าจะมีคนมาขโมยตอนหลับ อยากให้ตร.ติดตามมาคืนด้วยเพราะเงินก้อนนี้เป็นเงินก้อนสุดท้ายที่ตนเองนำมาจ่ายค่ารักษาผ่าตัดสมองที่รพ.ศูนย์อุดรธานี

ต่อมานายอดิศรพาตร.ชุดสืบสวนเดินทางไปดูจุดที่เกิดเหตุที่นอนหลับในสวนสาธารณะหนองประจักษ์ โดยนายอดิศรใจสั่นและขาอ่อนจนระทวยที่เงินเฉียดแสนหายไปแบบนี้ พาตร.ชี้จุดที่เกิดเหตุ พร้อมบอกว่า เงินผมหายแล้วหัวหน้า ช่วยตามให้ผมที เงินนี้ผมจะเอามาจ่ายค่าผ่าตัดสมองพี่ชาย ขโมยมาเงินผมไป แบบนี้ผมไม่ได้จ่ายให้พี่ชายแน่

หนุ่มใหญ่เคราะห์ร้ายถูกขโมยเงิน บอกว่า พี่ชายป่วยเป็นเนื้องอกในสมองและมาผ่าตัดที่รพ.อุดรธานีตั้งแต่กลางเดือนมี.ค.แล้วและมีคิวผ่าตัดวันที่ 5 เม.ย.นี้ หมอแจ้งมีค่าใช้จ่ายประมาณ 80,000 บาทเศษ เงินที่ตนเองเก็บหอมรอมรับมานาน เอาใช้เป็นค่าใช้จ่ายพี่ชายทั้งหมด หวังจะให้พี่ชายรอด  ก่อนเกิดเหตุได้ขึ้นไปเยี่ยมพี่ชายและบอกว่าไม่ต้องห่วงมีเงินจ่ายค่าผ่าตัดแล้ว จากนั้นตนเองก็เดินลงมานอนพักผ่อนที่หนองประจักษ์ โดยเอากระเป๋าวางไว้ข้างๆ ที่ตัวเองนอน เผลอหลับไปสักงีบ พอตื่นขึ้นมาปรากฏว่ากระเป๋าเงินหายแล้ว ตกใจมากเงินหายแบบนี้ไม่ได้จ่ายค่าผ่าตัดพี่ชายแน่จึงรีบไปแจ้ง ตร.ให้มาตรวจสอบทันที หมดเนื้อหมดตัวแล้ว และสงสารพี่ชาย พอพี่ชายป่วยก็ถูกภรรยาไล่ออกจากบ้าน ตนเองสงสารพี่ชายจึงอยากจะจ่ายค่าผ่าตัดสมองให้ อยากจะวิงวอนให้ตร.ตามจับคนร้ายให้ได้

‘เจ้าของสวน’ แทบทรุด อีก 2 วันก็ตัดขายได้แล้ว  กลับถูกโจรแสบย่องตัด ‘ทุเรียน’ กว่าร้อยลูก มูลค่ากว่า 90,000 บาท

(4 เม.ย.66) วันที่ 3 เม.ย.66 ร.ต.อ. ชัชวาล เพ็ชรนอก รอง สว.(สอบสวน) สภ.บ้านค่าย ระยอง ได้รับแจ้งจาก นางจินตนา บุญประเสริฐ ผู้ใหญ่บ้านหมู่8 ต.ชากบก อ.บ้านค่าย จ.ระยอง ที่พานายพยุง ธรรมชาติ อายุ 55 ปี เจ้าของสวนทุเรียน ในพื้นที่หมู8 ต.ชากบก ว่าถูกคนร้ายไม่ทราบจำนวน บุกเข้าไปขโมยตัดทุเรียนพันธุ์หมอนทอง หายไปกว่า 100 ลูก จึงประสานตำรวจชุดสืบสวนเข้าตรวจสอบในจุดเกิดเหตุเพื่อหาเบาะแสคนร้าย

เมื่อไปถึงสวนทุเรียนที่เกิดเหตุ ซึ่งเป็นสวนทุเรียนพันธุ์หมอนทอง บนเนืัอที่ 7 ไร่ มีต้นทุเรียนอายุกว่า 7 ปี ทั้งหมด 60 ต้น กำลังออกผลเต็มต้น ตรวจสอบพบร่องรอยกิ่งหัก และ เหลือเพียงขั้วทุเรียนที่ถูกตัดลูกหายไป โดยหนึ่งต้นถูกขโมยลูกทุเรียนหายไป 10-20ลูก ตัดเอาผลไปทุกต้น รวมกว่า100ลูก ทิ้งไว้เพียงรอยเท้าของโจร ที่พบอยู่หลายรอยคาดว่าคงมาไม่ต่ำกว่า 3 คน เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงตรวจสอบทั่วทุ้งสวนเพื่อหาเบาะแสของคนร้ายกลุ่มนี้

นายพยุง เจ้าของสวนทุเรียน ได้ให้การว่า ทุเรียนภายในสวนของตนเองเป็นพันธุ์หมอนทองทั้งหมด ต้นทุเรียนอายุ 7 ปี ใหะผลผลิตมาแล้ว 2 ปี โดยปีนี้ให้ผลผลิตมากกว่าปีที่ผ่านมา จึงเฝ้าดูแลทะนุถนอม รดน้ำใส่ปุ๋ย จนทำให้ผลทุเรียนได้น้ำหนัก โดยเหลือเวลาอีกแค่สองวันก็จะตัดทุเรียนบางส่วนส่งขายได้แล้ว โดยตนเองไม่ได้พักในสวน จึงสร้างรั้วกั้นอย่างแน่นหนา โดยเข้ามารดน้ำครั้งสุดท้ายเมื่อ 3 วันที่ผ่านมา จนกระทั่งวันนี้ได้เข้ามารดน้ำ เมื่อเห็นต้นทุเรียนก็แทบทรุด เพราะพบว่าถูกขโมยลูกทุเรียนไป ตรวจสอบพบว่าถูกขโมยไปทุกต้น โดยคนร้ายคัดเอาแต่ลูกที่สวยไป คงจะมีความรู้เรื่องทุเรียนพอสมควร

'กูรูใหญ่' ฟันธง!! พปชร. หัวหอกขั้วที่ 3 ตั้งรัฐบาล ได้เวลาการเมืองยุคใหม่ที่เปิดเผยตรงไปตรงมา

(3 เม.ย.66) นายไพศาล พืชมงคล นักกฎหมาย และอดีตกรรมการผู้ช่วยรองนายกรัฐมนตรี (พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า การเมืองยุคใหม่ที่เปิดเผยตรงไปตรงมา สง่างาม!!!

1.ในวาระวันสมัครรับเลือกตั้ง2566 วันแรก ลุงป้อม ไสช้างออกมากลางสมรภูมิแล้ว ประกาศพร้อมเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 โดย “จะเป็นนายกฯ ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน” จึงสวม 3 บท คือ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ลงสมัครรับเลือกตั้งแบบปาร์ตี้ลิสต์ และเป็นแคนดิเดตนายกลำดับ 1 ของ พปชร.

2.ในขณะเดียวกันก็เป็นแกนพรรคขั้วที่สาม ซึ่งขณะนี้มี 5 พรรค เตรียมการจัดตั้งรัฐบาลหลังเลือกตั้งไปพร้อมกัน และจัดขบวน 6 สาย ประสาน ส.ว. ประกันให้ได้เสียงเกิน 376 ในการเลือกนายกรัฐมนตรี

3.ในการฟอร์มรัฐบาลจะให้มีเสียงในสภาผู้แทนราษฎรเกิน 300 เสียง ซึ่งอาจมี 3 พรรคเป็นฝ่ายค้าน 150 เสียง เพื่อความงดงามในระบอบประชาธิปไตย ใช้ยุทธศาสตร์ก้าวข้ามความขัดแย้งเริ่มต้นใหม่ประเทศไทย และสามัคคีประชาชาติไทย ทำสงครามกับความยากจน

‘ธนาธร’ ชี้ ‘กระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น’ มีผลดีมหาศาล ช่วยขับเคลื่อน ศก.-เกิดการจ้างงาน-ลดความเหลื่อมล้ำ

(3 เม.ย. 66) ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า พร้อมด้วย ชำนาญ จันทร์เรือง กรรมการบริหารคณะก้าวหน้า และวสันต์ เหลืองประภัสร์ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมวงเสวนาวิชาการ ‘30 ปี ข้อถกเถียงเรื่องการกระจายอำนาจ กับการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดของไทย’ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการแถลงข่าว โดย สันติสุข กาญจนประกร บรรณาธิการ The Voters ที่กำลังเปิดการรณรงค์ล่ารายชื่อเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ให้มีการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดทั้งประเทศ

ธนาธร ระบุว่าการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดในประเทศไทยนั้นยังเป็นโจทย์ที่ต้องมาพูดคุยกันในรายละเอียดอีกมาก แต่หลักการสำคัญที่สุดที่ไม่อาจขาดได้ คือการทำให้หน่วยการปกครองที่มีอำนาจสูงสุดทั้งในระดับจังหวัดและในระดับท้องถิ่นพื้นฐานอย่างเทศบาล และ อบต. ต้องมาจากการเลือกตั้งของประชาชน ซึ่งไม่ใช่รูปแบบที่เป็นอยู่ในปัจจุบันของการปกครองท้องถิ่น ภายใต้กลไกราชการส่วนกลางและส่วนภูมิภาคแน่ ๆ

การจัดความสัมพันธ์ระหว่างส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น ที่เป็นอยู่ในปัจจุบันเป็นปัญหาอย่างมาก โดยเฉพาะในเรื่องของอำนาจและงบประมาณ ที่เต็มไปด้วย ‘งบฝาก’ ให้ท้องถิ่นทำภารกิจที่ไม่ใช่เรื่องของท้องถิ่น แต่แทบไม่มีงบประมาณให้ท้องถิ่นได้ทำเรื่องของตัวเองจริงๆ กลายเป็นอุปสรรคที่บดบังเจตนารมณ์ของประชาชนที่จะสร้างบ้านสร้างเมืองของตัวเอง ทำให้ประชาธิปไตยไม่มีความหมาย ทำให้การเลือกตั้งในระดับท้องถิ่น ไม่มีครั้งไหนที่ทำให้ชีวิตดีได้อย่างมีนัยสำคัญ

ธนาธรกล่าวต่อไปว่า ในด้านหนึ่งการรวมศูนย์เช่นนี้คือต้นเหตุหนึ่งของความเหลื่อมล้ำที่รุนแรงมากในประเทศไทย ที่สะท้อนออกมาให้เห็นได้อย่างชัดเจนที่สุดในต่างจังหวัด งานและรายได้ที่กระจุกตัวอยู่แต่เฉพาะตามเมืองใหญ่ โดยเฉพาะกรุงเทพมหานคร นอกจากนี้ระบบราชการรวมศูนย์ยังเป็นปัจจัยที่ฉุดรั้งขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งด้วย นั่นเป็นเพราะภายใต้โครงสร้างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน การอนุมัติโครงการใด ๆ แม้กระทั่งการสร้างสะพานลอยสักเส้นหนึ่งในตำบลหนึ่ง ล้วนแต่เป็นเรื่องของส่วนกลาง ต้องรอให้ถูกหยิบยกมาพิจารณาแล้วรอการอนุมัติ ทำให้ทุกการแก้ปัญหาเป็นเรื่องล่าช้า

เรื่องของอำนาจท้องถิ่นจึงเป็นเรื่องที่ส่งผลโดยตรงในทุกมิติของชีวิตประชาชน โดยเฉพาะในเรื่องเศรษฐกิจปากท้อง และได้เกิดข้อพิสูจน์มาแล้วว่าการกระจายอำนาจสามารถระเบิดพลังทางเศรษฐกิจได้จริง อย่างเช่นที่ญี่ปุ่น ที่ในปลายทศวรรษที่ 1980 เมื่อเผชิญกับวิกฤติฟองสบู่แตก ต้องหา new s-curve (อุตสาหกรรมใหม่) ที่จะพาประเทศไปข้างหน้าได้ สิ่งที่ญี่ปุ่นทำคือการกระจายอำนาจอย่างเต็มรูปแบบ เกิดการยกเลิกกฎหมายกว่า 100 ฉบับที่เดิมเคยให้ส่วนกลางเป็นผู้มีอำนาจตัดสินใจในทุกเรื่องของท้องถิ่น เปลี่ยนมาเป็นการให้ท้องถิ่นมีอำนาจเต็ม จนแต่ละเมืองเริ่มมีการผลักดันสถานที่ท่องเที่ยว สินค้าและผลิตภัณฑ์ของท้องถิ่นขึ้นมาเป็นจุดขายใหม่ ออกแบบระบบขนส่งสาธารณะ และบริการสาธารณะต่าง ๆ ของตัวเองขึ้นมา

ธนาธรกล่าวต่อไป ว่า new s-curve คือสิ่งที่ประเทศไทยก็กำลังพยายามแสวงหาอยู่เช่นกัน เพราะอุตสาหกรรมที่เป็นเสาหลักของประเทศไทยมาโดยตลอดอย่างยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ มาถึงจุดอิ่มตัวของมันเองแล้ว แม้จะเพิ่มการลงทุนในรูปแบบเม็ดเงินใหม่ได้ แต่ไม่อาจเพิ่มกำลังการผลิต ไม่สามารถนำไปสู่การจ้างงานใหม่ ๆ ได้อีกต่อไป เรียกได้ว่าอุตสาหกรรมทั้งยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ จบที่ยุคนี้แล้ว

นครพนมเดือด!! 'ครูแก้ว' ประกาศล้มแลนด์สไลด์ มั่นใจ!! พา 'ภูมิใจไทย' ชนะยกจังหวัดทั้ง 4 เขต

(3 เม.ย.66) วันแรกในการเปิดรับสมัคร ส.ส.แบบแบ่งเขตทั่วประเทศ โดยตั้งแต่เช้าที่ศาลาประชาคมยงใจยุทธ ศาลากลางจังหวัดนคพนม บรรยากาศเป็นไปด้วยความคึกคัก มีบรรดาผู้สมัคร ส.ส. พรรคการเมืองต่างๆ เดินทางมารอคิวอย่างพร้อมเพรียง ซึ่งมีกองเชียร์ของแต่ละพรรคแห่มาให้กำลังใจอย่างคับคั่ง แต่เข้มงวดตามระเบียบกฎหมายเลือกตั้ง ห้ามจัดการรื่นเริงทั้งแตรวงหรือกลองยาว ต่างจากการเลือกตั้ง ส.ส.ที่ผ่านมา คงมีเพียงการเดินทางมาให้กำลังใจ คล้องมาลัยและมัดผ้าขาวม้าแบบที่เคยปฏิบัติมา เพื่อเป็นสิริมงคลตามวัฒนธรรมทางการเมือง

โดยการเปิดรับสมัคร ส.ส.นครพนมทั้ง 4 เขตเลือกตั้ง มีพรรคการเมืองใหญ่ที่สำคัญน่าจับตามอง เพียงแค่ไม่กี่พรรค ที่มีฐานคะแนนนิยม รวมถึงตัวผู้สมัครคนสำคัญ อาทิ เจ้าถิ่นที่ผูกขาดเก้าอี้ ส.ส.มาตั้งแต่สมัยเป็นพรรคความหวังใหม่ ถึงพรรคไทยรักไทย พลังประชาชน และเป็นพรรคเพื่อไทยในปัจจุบัน ตามด้วยพรรคภูมิใจไทย พรรคนี้ถือเป็นผู้ท้าชิงที่น่ากลัวมาก และพรรคพลังประชารัฐ พรรคก้าวไกล พรรคไทยสร้างไทย พรรครวมไทยสร้างชาติ พรรคเสรีรวมไทย เป็นต้น

ส่วนพรรคการเมืองที่น่าจับตามอง และเชื่อว่าจะต้องมีการแข่งขันกันอย่างเข้มข้น คือ พรรคเพื่อไทยกับพรรคภูมิใจไทย โดยในวันนี้ ทางพรรคเพื่อไทย มีแม่ทัพคนสำคัญ คือ นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช อดีต ผวจ.นครพนม คนที่ 29 (2537-2540) อดีตเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ในรัฐบาลของนายทักษิณ ชินวัตร และ รมช.ศึกษาธิการ ในรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ปัจจุบันเป็นรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย นำทีมผู้สมัครพรรคเพื่อไทยทั้ง 4 เขตเดินทางมาสมัคร นอกจากนี้ ยังมีนายสมนาม เหล่าเกียรติ ผู้สมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย และ นายแพทย์ ประสงค์ บูรณ์พงศ์ รวมถึงมีแกนนำครอบครัวเพื่อไทยทั้ง 4 เขตเลือกตั้ง มาร่วมให้กำลังใจด้วย

ในเบื้องต้นก่อนจะมีการจับสลากเลือกลำดับว่า ใครจะเป็นผู้หยิบเบอร์ประจำตัวในการหาเสียงครั้งนี้นั้น นายศุภชัย โพธิ์สุ แกนนำพรรคภูมิใจไทย ได้ขอหารือร่วมกับ ดร.มนพร เจริญศรี แกนนำพรรคเพื่อไทย และ ดร.สมชอบ นิติพจน์ แกนนำพรรครวมไทยสร้างชาติ เพื่อทำข้อตกลงกันว่า ให้มีการจับเลือกเบอร์เพียงพรรคละคน สมมติแกนนำพรรคคนใดคนหนึ่งล้วงได้เบอร์ 1 ส่วนที่เหลืออีก 3 เขต ก็ได้เบอร์ 1 เหมือนกันหมด หลังตกลงเป็นที่เข้าใจแล้ว ก็ไปสอบถามนายสมพล พงษ์พิพัฒน์ ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำจังหวัดนครพนม ซึ่งได้รับคำตอบว่าทาง กกต.ไม่มีกฎหมายรองรับ จึงต้องกลับมาจับสลากเลือกเบอร์ของตัวเองในแต่ละเขตตามเดิม

ผลการจับสลากเลือกเบอร์ประจำตัวผู้สมัคร เฉพาะ 2 พรรคการเมืองใหญ่ เริ่มจากพรรคเพื่อไทยเขตเลือกตั้งที่ 1 ดร.ภูมิพัฒน์ พชรทรัพย์ ได้เบอร์ 6 เขตเลือกตั้งที่ 2 ดร.มนพร เจริญศรี เบอร์ 2 เขตเลือกตั้งที่ 3 ดร.ไพจิต ศรีวรขาน เบอร์ 2 และเขตเลือกตั้งที่ 4 นายณพจน์ศกร ทรัพยสิทธิ์ ได้เบอร์ 1 ภายหลังการสมัครทางทีมงานพรรคเพื่อไทย ได้เดินทางไปสักการะขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพื่อเป็นสิริมงคลทั้งศาลหลักเมืองนครพนม องค์พญาศรีสัตตนาคราช และ องค์พระธาตุพนม พร้อมพบปะปราศรัยกับประชาชน แกนนำครอบครัวเพื่อไทย

ผวาบัตรโหล ‘สองใบ’ แต่คนละเบอร์ ‘พรรคกระแส’ อาจต้องเติม ‘กระสุน’

หลังจบความคึกคักกับการลงสมัคร ส.ส.เขตในช่วงเช้าจากทุกพรรค ก็อยากขอสรุปสถานการณ์หลักๆ ในรอบวัน รวมถึงสิ่งที่เชื่อว่าจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ให้ดูเป็นข้อๆ... 

1. เป็นไปด้วยความคึกคักสำหรับการสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.ในวันแรก 3 เม.ย. ซึ่งเป็น ส.ส.เขตทั่วประเทศ ส่วนวันที่ 4 เม.ย.จะเป็นวันแรกที่รับสมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ หรือ ปาร์ตี้ลิสต์ และจะคึกคักและลุ้นกันระทึกยิ่งกว่า เพราะเบอร์พรรคจะเหมือนกันทั้งประเทศ ส่วนเบอร์เขตนั้นเขตใครเขตมัน จับสลากได้เบอร์ไหนก็เบอร์นั้น

2) ระบบเลือกตั้งบัตรสองใบตามกฎหมาย กกต.ได้ออกแบบแล้ว บัตรเลือกตั้งส.ส.เขตสีเขียว มีช่องกาเครื่องหมาย มีเบอร์ผู้สมัคร แต่ไม่มีชื่อและสัญลักษณ์ (โลโก้) พรรค ที่เรียกกันตอนนี้ว่าเป็น ‘บัตรโหล’ ส่วนบัตรเลือกปาร์ตี้ลิสต์นั้นสีฟ้า มีช่องกาเครื่องหมาย, โลโก้พรรคและเบอร์พรรค

3) อธิบายเพิ่มเติมว่า เลือกตั้ง 2566 กำหนดให้เลือกตั้งแบบบัตรสองใบแบบแยกบัตรแยกเบอร์ ต่างจากปี 2554และ 2550 ที่กฎหมายกำหนดให้ทั้งคน (ผู้สมัคร ส.ส.เขต) และพรรคใช้เบอร์เดียวกัน...แบบว่าพรรคจับได้เบอร์ไหน ผู้สมัครก็ใช้เบอร์นั้นเหมือนกันทั้งประเทศ...ซึ่งแบบนี้พรรคใหญ่หรือพรรคที่กระแสดีชอบเป็นยิ่งนัก...  เพราะทำแคมเปญง่าย...

‘ชพก.’ ย้ำนโยบาย ศก.สายมู เดินสายขอพร-เสริมบารมี เข้าสักการะศาลหลักเมือง-พระพรหมเอราวัณ ก่อนสู้ศึกเลือกตั้ง

(3 เม.ย.66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากเสร็จสิ้นการจับหมายเลขผู้สมัคร ที่ อาคารกีฬาเวสน์ 2 ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร (ไทย-ญี่ปุ่น) เขตดินแดง เรียบร้อยแล้ว นายกรณ์ จาติกวณิช พร้อมด้วย นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี นายวรวุฒิ อุ่นใจ รองหัวหน้าพรรค นายวรนัยน์ วาณิชกะ ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรค และผู้สมัครเดินทางเข้าสักการะศาลหลักเมืองเป็นพรรคแรก จากนั้นนายกรณ์ ได้นำทีม ผูกผ้า 3 สี ก่อนที่ทั้งหมดจะนำพวงมาลัยดอกดาวเรือง เดินเข้ามาสักการะ องค์พระหลักเมือง เพื่อความเป็นสิริมงคล ก่อนลุยศึกเลือกตั้งต่อไป 

นายกรณ์ เปิดเผยว่า ตนได้ขอพรเพื่อให้ประชาชนคนไทยอยู่ดีมีสุข อิ่มท้อง มีงานการดีๆ ทำ มีเงินในกระเป๋า และข้าวของต้องไม่แพง ซึ่งตนจะเป็นหนึ่งในผู้ช่วยผลักดันให้ความหวังเหล่านี้เป็นจริงได้ด้วยความเป็นมืออาชีพทางเศรษฐกิจของทีมชาติพัฒนากล้า

‘ประเดิมชัย’ เตรียมหาเสียง ผลักดันสร้าง ‘สถานพยาบาล’ ใกล้บ้าน แก้ปัญหาผู้ป่วยไม่ต้องเดินทางไกล จ่อลงพื้นที่ทุกวัน 6 โมงครึ่ง-1 ทุ่ม

(3 เม.ย.66) ที่อาคารกีฬาเวสน์ 2 ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร (ไทย-ญี่ปุ่น) เขตดินแดง ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศการรับสมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง ของกรุงเทพมหานคร (กทม.) ซึ่งเปิดรับสมัครระหว่างวันที่ 3-7 เมษายนนี้

โดยเวลา 07.00 น. บรรยากาศวันแรก มีผู้สมัครหัวหน้าพรรค แกนนำพรรคและกองเชียร์ผู้สมัคร ส.ส. มาร่วมให้กำลังใจเป็นจำนวนมาก โดยจอดรถที่มีป้ายหาเสียงริมถนน รอนำตัวเลขมาติดที่ช่องว่าง หลังจากทราบหมายเลขผู้สมัคร

ในส่วนของพรรคภูมิใจไทย นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ หรือบี ผอ.เลือกตั้งกรุงเทพมหานคร พรรคภูมิใจไทย และอดีต รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นำทีมผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.แบบแบ่งเขต กทม. จำนวน 33 คน ขึ้นรถโดยสารพลังงานไฟฟ้า ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายหาเสียง เคลื่อนออกจากพรรคภูมิใจไทย มาถึงหน้าอาคารกีฬาเวสน์ 2 ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร (ไทย-ญี่ปุ่น) เขตดินแดง ก่อนให้สัมภาษณ์ว่า ในการเลือกตั้งครั้งนี้พรรคภูมิใจไทยพร้อมมาก

นายประเดิมชัย บุญช่วยเหลือ เขต 5 ห้วยขวาง วังทองหลาง พรรคภูมิใจไทย ซึ่งย้ายมาจากพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์หลังจับได้หมายเลข 8 โดยกล่าวถึงกระแสโจมตีพรรคว่า เชื่อว่าประชาชนไม่ได้เชื่อทันที แต่จะพิจารณาสิ่งที่ได้รับรู้ว่าจริงหรือไม่

“ใช่ว่าประชาชนพูดแล้วจะเชื่อ หรือพูดแล้วจะฟัง เขาฟังและนำกลับไปคิดว่าจริงหรือไม่จริง”

เมื่อถามว่า การย้ายพรรคมีผลกับฐานเสียงในพื้นที่มากน้อยแค่ไหน?

นายประเดิมชัยกล่าวว่า “แน่นอนว่า ในช่วงแรกๆ อาจจะมีผล แต่จากการที่ผมได้ลงพื้นที่และทำความเข้าใจกับพี่น้องประชาชน ถึงจุดที่นำไปสู่การเปลี่ยนพรรคของผม เพราะผมต้องการจะมาทำประโยชน์อะไรให้กับคนกรุงเทพมหานคร ในฐานะที่เป็นสมาชิกสภากรุงเทพมหานครมา 5 สมัย 20 ปี ซึ่งก็เก็บเกี่ยวเอาประสบการณ์ความเดือดร้อน ความต้องการของคนกรุงเทพมหานคร รวมทั้งในพื้นที่ที่ผมลงสมัครรับเลือกตั้ง ไม่ว่าจะเป็นเขตห้วยขวาง หรือเขตวังทองหลาง ยังมีปัญหาที่จะต้องได้รับการแก้ไขโดยเฉพาะในเรื่องของสถานพยาบาล ที่พี่น้องประชาชนเรียกร้องค่อนข้างมาก” นายประเดิมชัย กล่าว

นายประเดิมชัย กล่าวต่อว่า “ตอนนี้คนห้วยขวาง คนวังทองหลาง คนบางกะปิ คนจตุจักร คนลาดพร้าว ไม่มีโรงพยาบาล 

5 เขตตรงนี้ไม่มีโรงพยาบาลใกล้เคียง จะต้องเดินทางไปรักษาตัวไกล ตรงนี้ผมก็นำมาเป็นนโยบายในการที่จะผลักดัน เพื่อขับเคลื่อนให้มีสถานพยาบาลรองรับดูแลคน 5 เขตการปกครองนี้” นายประเดิมชัย กล่าว

เมื่อถามว่า พรรคภูมิใจไทยค่อนข้างคาดหวังกับเขตของคุณประเดิมชัยอย่างมาก รู้สึกกดดันหรือไม่? นายประเดิมชัยเผยว่า ไม่รู้สึกกดดันแต่อย่างใด

“ไม่มีเลย เพราะผมคิดว่าผมลงสมัครมาตั้งแต่ปี 2533 จนกระทั่งถึงปี 2557 ในฐานะที่เป็นสมาชิกสภาท้องถิ่น ลง ส.ข.ปี 33 ลง ส.ก.ปี 2537-2557 ก็เปลี่ยนพรรคมาแล้วอย่างน้อย 4 พรรค

แต่การเปลี่ยนพรรคเปลี่ยนค่าย ผมคิดว่าเป็นเรื่องปกติ เพราะผมยึดถือเอาความเดือดร้อน เอาประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง สิ่งใดที่ผมสามารถไปยืนอยู่และสามารถจะทำประโยชน์ให้กับพี่น้องประชาชนได้ ผมก็เลือกที่จะไปอยู่” นายประเดิมชัยระบุ

เมื่อถามว่า คิดว่าการเลือกตั้งรอบนี้ คนกรุงเทพฯจะเลือกจากกระแสพรรค หรือบุคคล นายประเดิมชัยกล่าวว่า “ณ ขณะนี้ ผมคิดว่าทุกพรรคต่างก็นำเสนอนโยบาย ถามว่าวันนี้คนกรุงเทพฯตัดสินใจ ในการที่จะเลือกใครหรือยัง ผมเชื่อว่าคนส่วนใหญ่ยังไม่ได้ตัดสินใจ ยังรอที่จะศึกษา ทั้งคุณสมบัติของผู้สมัครรวมทั้งนโยบายของแต่ละพรรค ที่จะสามารถนำไปแก้ไขปัญหาหรือตรงกับความต้องการที่เขาอยากจะได้ ฉะนั้น วันนี้ผมยังไม่เชื่อว่าคนกรุงเทพฯตัดสินใจ

‘คิง ณภัทร’ เผย ตั้งใจยื่นสมัคร ส.ส. 5 เม.ย. นี้ หลังหลายคนกังวลไม่มีชื่อสมัคร ส.ส. วันแรก

(3 เม.ย.66) นายณภัทร ชุ่มจิตตรี ว่าที่ผู้สมัครส.ส. เขต 1 ประจวบคีรีขันธ์ ได้ออกมาโพสต์คลิปชี้แจงประเด็นที่ไม่มีรายชื่อผู้สมัคร ส.ส. ในวันที่ 3 เมษายน 2566 โดยระบุว่า…

“สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวประจวบคีรีขันธ์ เขต 1 ผมนายณภัทร ชุ่มจิตตรี หรือ คิง ก่อนบ่าย วันนี้จะมาชี้แจงประเด็นที่พี่น้องประชาชนหลายคนสงสัยว่า ทำไมผมไม่มีรายชื่อเป็นผู้สมัคร ส.ส. เขต 1 ประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งวันนี้เป็นวันเปิดรับสมัครเป็นวันแรก เนื่องด้วยผมตั้งใจไว้ว่าจะไปสมัครในวันพุธ ที่ 5 เมษายน 2566

‘ชัยวุฒิ’ เผย เสียงตอบรับ ‘พปชร.’ ดีเยี่ยม ประชาชนคุ้นเคยกันดี - ฐานแฟนคลับแน่น

(3 เม.ย.66) ที่อาคารกีฬาเวสน์ 2 ศูนย์เยาวชนไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวถึงการลงพื้นที่ใน กทม. ว่าเท่าที่ไปช่วยผู้สมัคร เสียงตอบรับดีมาก ซึ่งพรรค พปชร. เป็นภาพที่เคยได้รับการเลือกตั้งใน กทม. มาแล้วรอบหนึ่ง ประชาชนรู้จักคุ้นเคยอยู่แล้ว จึงเชื่อว่ายังมีแฟนคลับอยู่

ผู้สื่อข่าวถามว่า ยังมั่นใจว่าจะได้ ส.ส.เท่าเดิมใช่หรือไม่ นายชัยวุฒิ กล่าวว่า เป็นเป้าหมาย เราไม่อยากให้น้อยกว่าเดิม จะพยายามทำให้ดีที่สุด 

เมื่อถามว่า วันนี้มีกลุ่มทะลุวังมาเคลื่อนไหวทางการเมือง นายชัยวุฒิ กล่าวว่า คิดว่ากลุ่มนี้พยายามเคลื่อนไหวทางการเมือง ก็เป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญ แต่ตนเคยบอกแล้วว่าการเคลื่อนไหวแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 112 สุ่มเสี่ยงที่จะขัดรัฐธรรมนูญ และผิดกฎหมายได้ จึงอยากให้ระมัดระวัง 

เมื่อถามว่า เป็นห่วงว่าจะเกิดความวุ่นวาย เหมือนกรณีเวทีปราศรัยที่สะพานพระราม 8 หรือไม่ นายชัยวุฒิ กล่าวว่า ไม่วุ่นวายหรอก คนไม่กี่คน ไม่ใช่คนส่วนใหญ่ของประเทศ คนในประเทศส่วนใหญ่เขาไม่เดือดร้อนเรื่องนี้หรอก ส่วนใหญ่ไม่ได้มีปัญหากับมาตรา 112 เขาไม่อยากแก้กันหรอก เป็นแค่ความต้องการของคนกลุ่มหนึ่ง ซึ่งตนเชื่อว่ามีการยุยงปลุกปั่น

‘ชาวบ้าน’ ขึ้นป้ายขอโจรเมตตา หลังถูกงัดห้องขโมยของนับไม่ถ้วน พ้อ!! “บ้านนี้โดนงัดบ้าน ไปหลายรอบแล้ว ไปบ้านอื่นก่อน ช่วงนี้หมดแล้ว”

(3 เม.ย.66) ความเดือดร้อนของชาวบ้านย่านบางเสาธง ถูกโจรงัดห้องขโมยของนับครั้งไม่ถ้วน จนต้องติดป้ายขอโจรเมตตาไปบ้านอื่นก่อน ชาวบ้านบอกเฉพาะตัวเองห้องเดียวโดนไป 3 ครั้ง ท้าโจรมางัดห้องดูได้หมดตัวแล้ว

ความเดือดร้อนของผู้พักอาศัยในหอพักแห่งหนึ่งในซอยคลองปั้นหยา ถนนเทพารักษ์ ตำบลบางเสาธง อำเภอบางเสาธง จังหวัดสมุทรปราการ ต้องอยู่กับความหวาดระแวงหัวขโมยในพื้นที่ ถูกขโมยรถจักรยานยนต์ ถูกงัดห้อง ขโมยยางอะไหล่รถยนต์ ขโมยจักรยาน มานับครั้งไม่ถ้วน จนต้องตัดสินใจทำป้ายไวนิลสีเหลืองขนาดใหญ่มาติดไว้ที่หน้าตึกมีข้อความว่า "เรียนคุณขโมยที่เคารพ บ้านนี้โดนงัดบ้าน ขโมยรถ ไปหลายรอบแล้ว ขอเวลาทำงานสักพัก เพราะมีหน้าที่ต้องดูแลครอบครัว จึงขอความเมตตาจากคุณขโมย ให้ไปบ้านอื่นก่อน ช่วงนี้หมดแล้ว ด้วยความเคารพอย่างสูง ที่นี่ อำเภอบางเสาธง สมุทรปราการ"

นายภานุพงศ์ พรมมา อายุ 52 ปี บอกว่าอยู่ในหอพักแห่งนี้มา 10 ปี หอพักถูกงัดห้องบ่อยครั้ง วันเดียวโดนงัดไป 3 ห้องรวดก็มี เฉพาะห้องตนก็เคยโดนงัดห้องมาแล้วถึง 3 ครั้ง ถูกขโมยไปทั้ง ทอง พระ เงินสด โทรศัพท์ มูลค่าที่สูญไปก็เป็นหลักหมื่นบาท ที่ไม่ได้ไปแจ้งความเพราะคิดว่าไปแจ้งความไว้ก็เท่านั้น แค่เรื่องของหายตำรวจคงไม่ตามให้ ก็อยากจะฝากโจรให้มางัดห้องตนใหม่ เพราะไม่มีอะไรจะให้มันแล้ว ส่วนทางตำรวจตนก็อยากให้ตำรวจผ่านมาทางนี้บ่อย ๆ ผ่านมาก็มองมาบ้าง

นายธีรวุฒิ ชังอินทร์ ผู้ดูแลหอพัก บอกว่า มาดูแลหอพักแห่งนี้ได้ 5 ปี ถูกโจรขโมยของไป 5 ครั้งแล้ว ได้ไปทั้งมอเตอร์ไซด์ จักรยาน ซึ่งครั้งล่าสุดก็โดนงัดห้องไป เมื่อวันจันทร์ที่ 27 มีนาคม ที่ผ่านมา จนทนไม่ไหวนำป้ายไวนิลมาติดไว้ที่หน้าหอพัก เพื่อแสดงความไม่ได้นิ่งนอนใจ อยากให้ตำรวจส่งสายตรวจมาบ้าง เพราะไปแจ้งความก็ทำได้แค่ลงบันทึกประจำวัน การติดป้ายครั้งนี้ก็จึงอยากให้ตำรวจรับรู้ถึงความเดือดร้อนของประชาชนด้วย


ที่มา : https://news.ch7.com/detail/634698


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top