Wednesday, 14 May 2025
SPECIAL

‘ดร.เอ้’ ควง ‘ผู้การแต้ม’ ลงพื้นที่ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ กร้าว!! ไม่ทนปัญหาฝุ่น ชู ‘กม.อากาศสะอาด’ ปกป้องคนกรุง

(29 มี.ค.66) ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ประธานคณะทำงานนโยบาย กทม. นางดรุณวรรณ ชาญพิพัฒนชัย รองโฆษกพรรคฯ พร้อมด้วย ‘ผู้การแต้ม’ พล.ต.ต.ดร.วิชัย สังข์ประไพ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. กทม.เขตหลักสี่-จตุจักร พรรคประชาธิปัตย์ ลงพื้นที่บริเวณทางเข้าศูนย์ราชการ แจ้งวัฒนะ เพื่อตรวจวัดค่า PM 2.5 ซึ่งเป็นจุดที่มีการจราจรหนาแน่นโดยเฉพาะในช่วงเช้าที่มีการสัญจรไปมา รวมถึงมีการก่อสร้างในบริเวณใกล้เคียง

โดย ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ย้ำว่าปัญหาเรื่องฝุ่น PM 2.5 เป็นปัญหาใหญ่ระดับชาติ ไม่ใช่ปัญหาของพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง ซึ่งทุกคนในประเทศต้องพร้อมร่วมมือกันในการแก้ไขรวมถึงภาคประชาชน ที่ต้องตระหนักถึงความสำคัญว่ามีอันตรายต่อชีวิต จึงพร้อมผลักดันให้มี ‘กฎหมายอากาศสะอาด’ เพื่อเป็นแนวทางแก้ไขปัญหา เพราะการมี ‘กฎหมายอากาศสะอาด’ จะช่วยให้หน่วยงานที่ดูแลและแก้ไขปัญหา PM 2.5 มีอำนาจในการบังคับใช้มาตรการต่าง ๆ ในการควบคุมและแก้ไขปัญหาที่ต้นตอของ PM 2.5 โดยที่ผ่านมาหน่วยงานต่าง ๆ มักจะแก้ปัญหาอย่างเฉพาะหน้า สาเหตุหนึ่งมาจากการไม่มีกฎหมายมารองรับ และสนับสนุนอย่างจริงจัง ทำให้ไม่สามารถควบคุมและแก้ไขปัญหาที่เกิดจากแหล่งกำเนิดได้ เลยต้องไปแก้ไขที่ปลายเหตุ สุดท้ายปัญหาคงก็อยู่

ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ กล่าวต่อไปว่า ‘กฎหมายอากาศสะอาด’ ที่ออกมาจะช่วยเป็น ‘เครื่องมือ’ ให้หน่วยงานที่ดูแลเรื่องสิ่งแวดล้อม สามารถนำมาตรการและข้อบังคับไปควบคุมสาเหตุของ PM 2.5 ได้ถึงต้นตอ ไม่ว่าจะเป็น 

- การกำหนดเขตพื้นที่มลพิษต่ำ หรือ Low Emission Zone บริเวณพื้นที่ใจกลางเมือง 16 เขต  
- การควบคุมรถควันดำ ต้นตอสำคัญของ PM 2.5 
- การจัดเก็บภาษีการปล่อยมลพิษยิ่งปล่อยมากยิ่งจ่ายมาก เพื่อเป็นการบังคับให้หาทางลดการปล่อยมลพิษ 
- การลดภาษีพื้นที่สีเขียวเป็นรางวัลให้คนทำดี

“เป็นที่น่าเสียดายว่าวันนี้ประเทศไทยยังไม่มี ‘กฎหมายอากาศสะอาด’ เพื่อคุ้มครองให้คนในชาติได้สูดอากาศบริสุทธิ์แม้แต่ฉบับเดียว ที่ผ่านมาแม้จะมีการผลักดันจากหลายภาคส่วน แต่ก็ยังถูกละเลย ไม่มีการนำมาประกาศบังคับใช้ บางคนอาจมองว่ามีความซ้ำซ้อน เพราะกฎหมายสิ่งแวดล้อมเดิมก็มีอยู่ แต่ที่ผ่านมาก็พิสูจน์มาแล้วว่าถ้ากฎหมายสิ่งแวดล้อมเดิมใช้ได้จริงพวกเราชาวกรุงเทพฯ คงไม่ต้องมาทนกับปัญหานี้ในปัจจุบัน ทั้งหมดนี้เป็นทางรอดเพื่อให้พวกเราชาวกรุงเทพฯ ได้กลับมาสูดอากาศบริสุทธิ์กันทุกคน” ศ.ดร.สุชัชวีร์ กล่าว

ในขณะที่ ‘ผู้การแต้ม’ พล.ต.ต.ดร.วิชัย สังข์ประไพ กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์ยืนยันจะเดินหน้าต่อเพื่อประกาศสงครามกับปัญหามลพิษทางอากาศ PM 2.5 อย่างต่อเนื่อง ซึ่งไม่ใช่การทำเพื่อหวังผลทางการเมือง แต่มองประเด็นเรื่องคุณภาพชีวิตของคนไทยเป็นสำคัญ โดยเฉพาะคนกรุงเทพฯ ที่ต้องเผชิญปัญหาเหล่านี้มาเป็นเวลานานและยังไม่ได้รับการแก้ไขจากผู้ที่มีอำนาจหน้าที่รับผิดชอบโดยตรง

ด้านนางดรุณวรรณ ได้กล่าวด้วยว่าบรรยากาศการลงพื้นที่ที่ศูนย์ราชการ แจ้งวัฒนะ ในวันนี้ได้รับกำลังใจจากประชาชนที่เห็นความมุ่งมั่นในการทำงานของพรรค โดยบางท่านได้มาจอดรถทักทายและส่งเสียงเชียร์ ให้กับ ศ.ดร.สุชัชวีร์ และผู้การแต้ม รวมถึงขอบคุณที่พรรคประชาธิปัตย์มาลงพื้นที่ตรวจวัดค่าฝุ่น PM 2.5 ทำให้ได้ตระหนักถึงอันตรายและอยากให้พรรคได้เข้ามาแก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจัง

ทั้งนี้ ศ.ดร.สุชัชวีร์ ย้ำว่าฝุ่น PM 2.5 เป็นสิ่งที่มองไม่เห็นนั้น มันอันตรายกว่าโควิด 19 ซึ่งสามารถรักษาให้หายได้ หากแต่ภัยจาก PM2.5 สามารถซึมเข้าไปในร่างกายได้อย่างต่อเนื่อง และสุดท้ายอาจทำให้เกิดภาวะสมองตายได้ นอกจากจะนำเสนอ กฎหมายอากาศสะอาด แล้ว ยังตั้งทีมเพื่อวัดค่าฝุ่น PM2.5 อย่างต่อเนื่อง พร้อมนำเสนอแนวทางการป้องกันและแก้ไขเบื้องต้นให้แก่ประชาชนในพื้นที่ต่าง ๆ ต่อไป
 

‘ศุภชัย ’ เผย ‘ภท.’ หนุน กม.กัญชาเพื่อการแพทย์ หลัง ‘ภาคประชาชน’ เตรียมล่ารายชื่อทั่วประเทศ

(29 มี.ค. 66) ที่พรรคภูมิใจไทย นายศุภชัย ใจสมุทร นายทะเบียนพรรคภูมิใจไทย แถลงว่า จากที่ผลการเสวนาของพรรคภูมิใจไทย เรื่อง ‘ทิศทางกฎหมายกัญชาเพื่อสุขภาพ และการแพทย์หลังการเลือกตั้ง’ เมื่อวันที่ 24 มี.ค.ที่ผ่านมา เพื่อเป็นการแสดงจุดยืนที่จะให้มีกฎหมายเฉพาะมาคุ้มครองเพื่อการแพทย์ สุขภาพ และเศรษฐกิจ จึงจำเป็นต้องมีการผลักดันกฎหมายต่อไป
.
โดยทางภาคประชาชนจะมีการรณรงค์พร้อมล่ารายชื่อในทุกภาค ทั้งจากในพื้นที่จริง และทางระบบออนไลน์ เพื่อแสดงจุดยืนดังกล่าว นอกจากนี้ ภาคประชาชนจะมีการจัดสัมมนาในทุกภูมิภาคทั่วประเทศ ในช่วงเวลาที่เหมาะสมต่อไป  อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลานี้ที่มีกลุ่มบุคคลออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านคัดค้านเรื่องกัญชา รวมถึงจะนำกลับไปเป็นยาเสพติด โดยขาดความรู้ และความเข้าใจ ทำให้ส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของประชาชนที่ยังเห็นว่า กัญชาสามารถเป็นประโยชน์ทางการแพทย์ จึงเป็นเหตุผลสำคัญในการรวมตัวของภาคประชาชนทุกภาคส่วน

#THESTATESTIMES
#ElectionTime
#NewsFeed
#ภูมิใจไทย
#ศุภชัยใจสมุทร
#กัญชา
#กัญการแพทย์

‘กรณ์’ ฉะ 2 รมต. แก้ปัญหา ‘ไฟป่า-ค่าไฟ’ ล้มเหลว ลั่น!! ชพก. มีแผนพร้อมจัดการ 2 ปัญหาเพื่อ ปชช.

(29 มี.ค.66) นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า แสดงความอึดอัดต่อท่าที่ของรัฐบาลในการให้สัมภาษณ์ของ 2 รัฐมนตรี ที่รับผิดชอบในการแก้ปัญหา 2 ไฟ ได้แก่ ไฟป่าที่ก่อให้เกิดปัญหา PM2.5 และค่าไฟฟ้าที่รัฐบาลจะประกาศขึ้นราคาในภาคครัวเรือนในเดือนพฤษภาคม - สิงหาคม 

โดยนายกรณ์ ได้กล่าวถึงปัญหาการเผาป่าในไร่ข้าวโพดของประเทศไทย และไฟป่าจากประเทศเพื่อนบ้าน ส่งผลต่อสภาพอากาศของพี่น้องภาคเหนือ โดยเฉพาะคุณภาพอากาศที่เชียงรายถือว่าสาหัสมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ ค่า PM2.5 สูงถึงเกือบ 500 หน่วย ซึ่งเป็นระดับอากาศที่เป็นพิษ หายใจไม่ได้เลย ตามรายงานทราบว่ามีผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาพยายาลอย่างน้อย 3,000 คน ไม่นับรวมคนป่วยที่บ้านอีกเป็นจำนวนมาก รัฐบาลประกาศให้เรื่องนี้เป็นวาระแห่งชาติมาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2562 แต่กลับไม่มีมาตรการใด ๆ ที่จับต้องได้เพื่อให้ประชาชนมีความหวังว่าจะมีสถานการณ์จะดีขึ้น ตรงกันข้ามสถานการณ์กลับเลวร้ายลงเรื่อย ๆ ตนรู้สึกอึดอัดและโกรธแทนพี่น้องคนไทยทุกคนที่เดือดร้อน

“ผมเห็นท่าน พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ให้สัมภาษณ์สื่อที่ถามว่า ถึงเวลาประกาศเป็นภัยพิบัติฉุกเฉินแล้วหรือยัง ทั้งนี้เพื่อกระตุ้นให้หน่วยงานราชการมีมาตรการที่ชัดเจนเพื่อพี่น้องประชาชน แต่ ท่านตอบมาพอสรุปได้ว่า ยังประกาศไม่ได้ เพราะไม่รู้ประกาศไปแล้วจะนำไปสู่การมาตรการอะไร เพราะไม่มีมาตรการใด ๆ รองรับ และไม่รู้ด้วยว่าจะประกาศในพื้นที่ไหนบ้าง เนื่องจากไม่มีการกำหนดเกณฑ์ว่าคุณภาพอากาศต้องเลวร้ายระดับไหน ถึงจะประกาศเป็นภัยพิบัติ หรือ ภัยฉุกเฉินได้ ผมเชื่อว่า ใครฟังก็คงตกใจและหดหู่ใจว่า ปัญหาระดับวาระแห่งชาติที่ประกาศมาแล้ว 4 ปี แทนที่จะกระบวนการช่วยเหลือเฉพาะหน้า เช่นอุปกรณ์เครื่องรองรับบรรเทาปัญหา ทั้งหน้ากาก ยา เวชภัณฑ์ เครื่องฟอกอากาศ  หรือแม้แต่การอพยพประชาชนที่อาจมีปัญหาเรื่องภูมิแพ้ ทางเดินหายใจ ออกจากพื้นที่เสี่ยง ประกาศเป็นพื้นที่ภัยพิบัติฉุกเฉิน เพื่อจะได้มีการช่วยเหลืออย่างทันท่วงที ” นายกรณ์ กล่าว  

นายกรณ์ กล่าวว่า พรรคชาติพัฒนากล้า มีชุดความคิดที่เป็นข้อเสนอมาตรการระยะยาวในการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าปัญหาควันภาคเหนือที่ก่อให้เกิด PM2.5 นั้น เกิดจากการเผาในประเทศและประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งเมียนมา และ สปป.ลาว ที่ส่วนหนึ่งเราเข้าใจว่าเกษตรกรต้องทำมาหากินด้วยการปลูกไร่ข้าวโพดสัตว์เลี้ยง เมื่อถึงเวลาเตรียมการเพาะปลูกในแต่ฤดู ก็ต้องเผาไร่สร้างมลพิษให้กับพี่น้องประชาชน เราจึงต้องแก้ที่ต้นตอด้วยมาตรการทางเศรษฐกิจ คือ ชักจูงให้เกษตรกรปลูกพืชชนิดอื่นทดแทนที่ไม่ต้องเผา คือ การปลูกป่าเศรษฐกิจจากพืช 58 ชนิด ที่ได้ปลดแอกให้สามารถปลูกได้อย่างถูกกฎหมาย โดยมีการจ่ายเงินเดือนให้กับเกษตรกรในจำนวนที่มากกว่าการปลูกไร่ข้าวโพด และในระยะยาวเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ ส่วนหนี่งจะเป็นของเกษตรกร และอีกส่วนหนึ่งสามารถผลิตเป็นคาร์บอนเครดิตได้ด้วย สิ่งเหล่านี้เราสามารถระดมทุนผ่านพันธบัตรป่าไม้ ซึ่งพรรคชาติพัฒนากล้าพร้อมที่จะเข้าไปดำเนินการได้ทันทีที่มีโอกาสเข้าไปทำงาน 

นายกรณ์ กล่าวว่า สำหรับมาตรการด้านต่างประเทศ เราปฏิเสธไม่ได้ที่จะต้องหารือกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยต้องเร่งประสานไปทางรัฐฉาน ประเทศเมียนมาร์ และ สปป.ลาว เพื่อหามาตรการควบคุมการเผา ซึ่งความจริงมีสัญญาในกลุ่มประเทศอาเซียนตั้งแต่เมื่อ 20 ปีที่แล้ว ว่าด้วยเรื่องของการคุ้มครองการสร้างสร้างมลพิษข้ามชายแดน โดยเฉพาะเรื่องการเผา สามารถนำข้อตกลงนี้เป็นจุดเริ่มต้นมาเป็นข้อประชุมฉุกเฉินของอาเซียนได้ นอกจากนี้เราคงต้องทบทวนข้อตกลงการค้าเสรีอาเซียน (AFTA) ต่อการนำเข้าข้าวโพดสัตว์เลี้ยงปลอดภาษีจากประเทศเพื่อนบ้าน ต่อไปต้องกำหนดมาตรการทางภาษี ไม่รับซื้อผลผลิตที่มาจากการเผา ส่งผลให้การนำเข้ายากยิ่งขึ้น และชะลอการเผาลง และสร้างแรงจูงใจให้เกษตรกรของไทย ปลูกอย่างอื่นทดแทนที่มีรายได้มากกว่า ลดพื้นที่การเผาป่าลง 
.
“5-6 ปีที่ผ่านมา การปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ใน 3 ประเทศ เพิ่มขึ้นเกือบ 20 เท่า ซึ่งปริมาณเพาะปลูก เป็นไปในทิศทางเดียวกับปริมาณการเผา อย่างไรก็ตามเราคงหวังการแก้ปัญหาจากฤดูกาลไม่ได้แล้ว เพราะรัฐบาลก็เป็นรัฐบาลรักษาการ ก็ได้แต่หวังว่า รัฐบาลที่จะกำลังจะมีขึ้นในอีก 2 เดือนข้างหน้า จะเร่งดำเนินการทันที และพรรคชาติพัฒนากล้าก็ขอสัญญาว่า เป็นหนึ่งในเรื่องที่ทำให้เกิดมาตรการที่กล่าวมาแล้วข้างต้นและจะทำทันที ถ้ามีโอกาสเข้าไปทำงาน ตราบใดที่ยังมีการเผาป่า ผมเป็นหนึ่งคนที่จะต่อสู้แทนพวกท่าน” หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าว 

‘เสี่ยหนู’ นั่ง ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ เบอร์ 1 ‘ภูมิใจไทย’ เผย รายชื่อว่าที่ ส.ส.คืบ 90% พบคนเด่น-ดังเพียบ!!

(29 มี.ค. 66) ที่พรรคภูมิใจไทย นายศุภชัย ใจสมุทร นายทะเบียนพรรคภูมิใจไทย แถลงถึงการจัดทำไพรมารีโหวตผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคในการเลือกตั้ง ทั้งส.ส.แบบระบบเขต และ ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ ว่าในส่วนของรายชื่อผู้สมัคร ส.ส.แบบแบ่งเขต ทั้ง 400 เขต ขณะนี้ดำเนินการไปแล้วกว่า 90% ขั้นตอนต่อจากนี้จะส่งให้คณะกรรมการสรรหาพิจารณา แล้วสรุปส่งต่อเสนอไปยังคณะกรรมการบริหารพรรค ไม่เกินวันที่ 31 มี.ค.นี้

ส่วนรายชื่อผู้เสนอตัวเป็นผู้สมัครส.ส.แบบบัญชีรายชื่อของพรรค ล่าสุดได้ครบ 100 คนแล้ว โดยลำดับที่ 1 คือ นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรค ลำดับที่ 2 นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ เลขาธิการพรรค ส่วนที่เหลืออีก 98 คน ใช้รูปแบบการเรียงลำดับตัวอักษร หลังจากนี้ก็จะเข้ากระบวนการส่งให้คณะกรรมการสรรหา และคณะกรรมการบริหารพรรคตามลำดับ เพื่อพิจารณาเรียงลำดับผู้สมัครตั้งแต่หมายเลข 3 -100 ต่อไป ซึ่งต้องเสร็จก่อนวันที่ 3 เม.ย.นี้

นายศุภชัย กล่าวต่อว่า สำหรับวันรับสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.แบบแบ่งเขต ผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคภูมิใจไทย จะไปยื่นสมัครในวันที่ 3 เม.ย.นี้ ส่วนวันรับสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ จะเป็นในวันที่ 4 เม.ย.นี้ ที่ห้องบางกอก อาคารไอราวัตพัฒนา ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร แขวงดินแดง เขตดินแดง กทม. ซึ่งนายอนุทิน จะนำทีมไปสมัครด้วยตัวเอง และจับสลากหมายเลขผู้สมัคร

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับรายชื่อผู้เสนอตัวเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อของพรรคภูมิใจไทย มีบุคคลที่น่าสนใจ อาทิ น.ส.ชนม์ทิดา อัศวเหม, นายศุภชัย ใจสมุทร, นายทรงศักดิ์ ทองศรี, นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์, น.ส.ศุภมาส อิศรภักดี, นายสรอรรถ กลิ่นประทุม, นายสวาป เผ่าประทาน, นายสุชาติ โชคชัยวัฒนากร, นายสุพล ฟองงาม, นายองอาจ ปัญญาชาติรักษ์, น.ส.อนุสรี ทับสุวรรณ, นายอารี ไกรนรา, นายภิญโญ นิโรจน์, นายนัจมุดดีน อูมา, นางนันทนา สงฆ์ประภา, นายบุญดำรง ประเสริฐโสภา, น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล, นายสามารถ แก้วมีชัย, นายชลัฐ รัชกิจประการ, นายกิตติชัย เอ่งฉ้วน, นายพิกิฎ ศรีชนะ, นายมารุต มัสยวาณิช, น.ส.เรวดี รัศมิทัต และนายวิรัช พันธุมะผล เป็นต้น

‘มณีรัตน์’ ชูนโยบาย "มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า" ตอบโจทย์ลดรายจ่าย ช่วงน้ำมันแพง

ว่าที่ผู้สมัครส.ส.ภูมิใจไทย “พระโขนง - บางนา” ชูนโยบาย “มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า” เชื่อ ตอบโจทย์ลดรายจ่ายช่วงน้ำมันแพง – แก้ปัญหามลภาวะทางอากาศ

(29 มี.ค. 66) น.ส.มณีรัตน์ ลิมป์รัตนกาญจน์ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม. เขตพระโขนง-บางนา พรรคภูมิใจไทย เปิดเผยว่า หลังจากลงพื้นที่รับฟังปัญหาพี่น้องประชาชนในพื้นที่ โดยมีโอกาสได้พูดคุยกับวินมอเตอร์ไซค์ ไรเดอร์ และผู้ใช้รถจักรยานยนต์ พบว่าเกือบทุกคนประสบปัญหาราคาน้ำมันแพง ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่เพิ่มต้นทุนของอาชีพวินมอเตอร์ไซค์รับจ้าง ไรเดอร์ส่งสินค้า ตลอดจนประชาชนทั่วไป 

ประกอบกับปัญหาโลกร้อน และปัญหาสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะเรื่องฝุ่นพิษ PM 2.5 ที่กำลังวิกฤตส่งผลอันตรายต่อสุขภาพอย่างมากในตอนนี้ พรรคภูมิใจไทย เล็งเห็นความสำคัญในเรื่องนี้ จึงมีนโยบาย มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า และติดตั้งแผงโซล่าร์ลูฟบนหลังคา เก็บพลังงานแสงอาทิตย์เปลี่ยนมาเป็นไฟฟ้า เป็นการประหยัดค่าไฟลดค่าใช้จ่าย ส่งผลให้ทั้งอากาศ และสิ่งแวดล้อมดีขึ้นได้ ตอบโจทย์ลดปัญหาสิ่งแวดล้อม ลดการปล่อยมลพิษ PM 2.5 และยังช่วยลดต้นทุนค่าน้ำมัน ลดค่าไฟฟ้า ให้พี่น้องประชาชนอีกด้วย 

น.ส.มณีรัตน์ กล่าวต่อว่า นโยบายนี้หากบ้านไหนติดตั้งแผงโซล่าร์ลูฟบนหลังคา จะให้สิทธิซื้อมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าบ้านละ 1 คัน ในราคา 6,000 บาท ด้วยระบบผ่อนชำระเพียงเดือนละ 100 บาท เป็นเวลา นานถึง 60 งวด และสามารถใช้เครดิตพลังงานเติมกระแสไฟฟ้าได้ โดยไม่ต้องจ่ายค่าพลังงานสำหรับรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า ซึ่งจะช่วยลดรายจ่ายให้แก่ประชาชน ทั้งการซื้อรถราคาถูก และไม่ต้องเสียเงินค่าพลังงาน ส่วนตัวจึงเชื่อว่า นโยบายมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าจะตอบโจทย์ทั้งลดช่วยต้นทุน เพิ่มรายได้ พร้อมยกระดับชีวิตพี่ๆวินมอเตอร์ไซค์ ไม่ต้องแบกรับภาระหนักซ้ำเติมภาวะเศรษฐกิจ รายรับไม่พอรายจ่ายอีกต่อไป

‘ธรรมรักษ์’ นำทัพลุย ‘อุดรฯ’ ชู บัตรประชารัฐ-ก้าวข้ามความขัดแย้ง ปลื้ม!! ประชาชนเห็นด้วย เผย อยากเห็นคนไทยหยุดแตกแยก

(29 มี.ค. 66) ที่ศูนย์ประสานงานพรรคพลังประชารัฐ จังหวัดอุดรธานี พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) รับผิดชอบดูแลพื้นที่ภาคอีสาน ลงพื้นที่พบประชาชน จังหวัดอุดรธานี เพื่อรับฟังปัญหาจากในพื้นที่และให้กำลังใจว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคฯ พร้อมเน้นย้ำนโยบายก้าวข้ามความขัดแย้งของ พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.)

โดย พล.อ.ธรรมรักษ์ กล่าวว่า การลงพื้นที่ในวันนี้ ได้รับการตอบรับจากประชาชนเป็นอย่างดี และส่วนใหญ่เห็นด้วยกับนโยบายของพรรค พปชร. โดยเฉพาะเรื่องการก้าวข้ามความขัดแย้ง เพราะไม่อยากเห็นคนไทยกลับมาทะเลาะกันเหมือนเดิมอีก และนโยบายบัตรประชารัฐ 700 บาทต่อเดือน ที่จะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของประชาชนได้

“ผมเชื่อว่า วันนี้ คนไทยรู้ดีว่าประเทศบอบช้ำจากการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย แบ่งขั้ว แบ่งสี ทำให้คนไทยต้องมาทะเลาะกันเองยาวนานเป็น 10 ปีแล้ว ทุกคนอยากเห็นสังคมไทยกลับมามีแต่รอยยิ้มอีกครั้ง ดังนั้น หลายคนจึงมองว่า นโยบายก้าวข้ามความขัดแย้งจะช่วยให้ประเทศชาติเดินหน้าไปสู่ความเจริญ รุ่งเรืองได้อย่างยั่งยืน หากคนในชาติเกิดความสามัคคีขึ้น” พล.อ.ธรรมรักษ์ กล่าว

การเปลี่ยนประเทศของพรรคก้าวไกล คือเวลาเป็นฝ่ายค้านมักจะพูดปัญหา แต่ไม่มีโซลูชัน

การเปลี่ยนประเทศของพรรคก้าวไกล คือเวลาเป็นฝ่ายค้านมักจะพูดปัญหา แต่ไม่มีโซลูชัน แต่สิ่งที่คนทำอยู่เขากำลังพยายามแก้ทำให้มันดีขึ้นตลอด ไม่ใช่อยู่ ๆ ก็เปิดประเด็นจะเลือกตั้งผู้ว่าฯ ทุกจังหวัดทั่วประเทศเอย หรือพรรคนี้เขาบอกว่าเขาไม่ได้เปลี่ยนรัฐบาลนะเขาจะเปลี่ยนประเทศ คิดอะไรที่ไกลเกินไปคนไทยรับไม่ได้ 

ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ 
รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ
กล่าวในรายการ เลือกตั้ง 66 'เปลี่ยนใหม่หรือไปต่อ' 
ตอน "ตัวตึง!"

28 มี.ค.66 เวลา 22:30 น.- 23:30 น.
•ดำเนินรายการโดย นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา 

•ผู้ร่วมรายการ
1.นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ พรรคเพื่อไทย
2.นายธนกร วังบุญคงชนะ พรรครวมไทยสร้างชาติ
3.นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ พรรคพลังประชารัฐ
4.นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร พรรคก้าวไกล
5.นายศุภชัย ใจสมุทร พรรคภูมิใจไทย

https://fb.watch/jyN6eyr2Sx/?mibextid=v7YzmG

"ชาวนากับงูเห่า" นิทานอีสป ที่ให้ข้อคิดสอนใจว่าอย่าไปไว้ใจสัตว์ร้ายที่เลี้ยงไม่เชื่อง

ซึ่งเปรียบเป็นคนแล้ว ก็คือผู้ที่มีลักษณะคิดไม่ซื่อ ทรยศ หักหลัง ได้แม้คนที่เคยช่วยเหลือฟูมฟักมา

และ "งูเห่า" นี่เองที่เป็น "คำแรง" ใช้เปรียบเปรยนักการเมืองในสภา ที่มีพฤติกรรม ข้ามค่าย ย้ายขั้ว หรือโหวตสวนมติพรรค จนถึงวันนี้ และแน่นอนว่า บรรยากาศการเมืองไทยในช่วงเวลานี้ ที่กำลังเข้าสู่ฤดูกาลแห่งการเลือกตั้ง กิจกรรมการย้ายค่าย สลับขั้วเหล่านี้ ยิ่งทวีความร้อนแรง ว่าแล้ว The State Times เลยขอนำตำนาน “งูเห่าการเมือง” ที่เคยเกิดขึ้น มาย้อนความทรงจำคอการเมืองกันสักหน่อย...

จุดเริ่มต้นของ "งูเห่า" ในสภา เกิดขึ้นเมื่อเกือบ 26 ปีที่แล้ว เป็นคำพูดเปรียบเปรยที่เกิดจากความรู้สึกบอบช้ำแสนสาหัส ของชาวนาที่ชื่อ "สมัคร สุนทรเวช"

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2540 วิกฤตต้มยำกุ้ง ซึ่งเป็นวิกฤตการณ์ทางการเงินที่ส่งผลกระทบหนักในไทยและหลายประเทศในเอเชีย ทำให้รัฐบาลของ "พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ" ขณะนั้น ตัดสินใจประกาศ "ลอยตัวค่าเงินบาท" ผลที่ตามมาคือผู้ประกอบการภาคธุรกิจ ภาคการเงินการธนาคาร และภาคอุตสาหกรรมจำนวนมากต้องปิดกิจการ หรือล้มละลายไป รัฐบาลถูกกดดันอย่างหนักทั้งในและนอกสภา จนสุดท้าย "บิ๊กจิ๋ว" ต้องแสดงความรับผิดชอบด้วยการประกาศลาออก นำมาสู่การช่วงชิงจังหวะของพรรคร่วมรัฐบาลและฝ่ายค้านในการรวมเสียงจัดตั้งรัฐบาลใหม่

ฝ่ายพรรคร่วมรัฐบาลเดิม มีพรรคความหวังใหม่ ประชากรไทย ชาติพัฒนา และมวลชน กุมเสียงอยู่ 197 เสียง ตกลงกันว่าจะดึง พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ กลับมาเป็นนายกฯ อีกสมัย ขณะที่ฝ่ายค้าน ที่มีพรรคประขาธิปัตย์เป็นแกนนำได้เสียงจากพรรคกิจสังคม และเสรีไทยย้ายขั้วมาเติม จนมี 196 เสียง น้อยกว่าฝั่งรัฐบาลเพียงแค่เสียงเดียว โดยชู นายชวน หลีกภัย หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ขึ้นมาท้าชิง

แต่แล้วก็เกิด "บิ๊กดีล" ขึ้น เมื่อพลตรีสนั่น ขจรประศาสน์ เลขาธิการประชาธิปัตย์สมัยนั้น เปิดการเจรจา ดึงเสียงสนับสนุนจาก ส.ส.กลุ่มปากน้ำของพรรคประชากรไทย รวม12 เสียง ไปโหวตสนับสนุน ให้นายชวน หลีกภัย ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีสมัยที่ 2 ด้วยเสียง 208 ต่อ 185 เสียง

สำหรับ ส.ส.กลุ่มปากน้ำ นำโดย นายวัฒนา อัศวเหม เคยมีความขัดแย้งกับพรรคชาติไทย จนไม่มีสังกัดพรรคอยู่ ซึ่งต่อมานายสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรคประชากรไทย ในขณะนั้น รับเข้ามาสังกัดพรรค แต่ท้ายที่สุดกลับไปยกมือสนับสนุนฝ่ายตรงข้าม ทำให้นายสมัครรู้สึกเจ็บช้ำน้ำใจ และเปรียบตัวเองเป็นเหมือนชาวนา ช่วยเหลืองูเห่าแต่สุดท้ายกลับมากัดตนเอง และคำว่า "งูเห่า" จึงกลายเป็นคำเรียก ส.ส.กลุ่มปากน้ำ และยังใช้แทน ส.ส. ที่มีพฤติกรรมในลักษณะเดียวกัน โดยเฉพาะอีกเหตุการณ์ใหญ่ที่เกิดขึ้นคล้อยหลังมาอีก 10 ปี

"มันจบแล้วครับนาย" ประโยคที่ "เนวิน ชิดชอบ" ส่งถึง "ทักษิณ ชินวัตร" อดีตนายเก่า เป็นประโยคทิ้งท้าย ย้อนภาพจำถึงอีกหนึ่งจุดพลิกผันทางการเมืองในปี 2551 เป็นที่มาของเหตุการณ์ที่ถูกเรียกขานต่อมาว่า "งูเห่าภาค 2"

หลังพรรคไทยรักไทยถูกยุบเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคของพรรคพลังประชาชน "เนวิน ชิดชอบ" เป็นหนึ่งในสมาชิกบ้าน 111 ที่ถูกเว้นวรรคทางการเมือง แต่เขายังคงมีอิทธิพลต่อ ส.ส. สายอีสาน "กลุ่มเพื่อนเนวิน" จำนวนมากกว่า 20 คนในพรรคพลังประชาชน

‘ตั๊น’ โพสต์ตัดพ้อ ‘ปชป.’ ปาร์ตี้ลิสต์ไม่ลงตัว  ชี้!! ประเมินได้ไม่เกิน 10 ที่นั่ง แย่งลำดับต้น

(28 มี.ค.66) รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับการจัดลำดับส.ส.บัญชีรายชื่อของ พรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) ยังไม่ลงตัว ประเมินกันว่าครั้งนี้พรรคอาจจะได้ ส.ส.ระบบนี้ไม่เกิน 10 บวกลบ 5 ทำให้มีการแย่งกันอยู่ลำดับต้นๆ ส่วนที่น.ส.จิตภัสร์ ตั๊น กฤดากร อดีตส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองเลขาธิการ ปชป. โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กเคลื่อนไหวเพราะกลัวตัวเองจะไม่ได้อยู่ในเซฟโซน และทราบว่าการประชุมกก.บห.พรรคในวันที่ 29 มีนาคม จะมีการพิจารณาเรื่องดังกล่าว

‘บิ๊กป้อม’ ส่งปาร์ตี้ลิสต์ 92 คน หลัง 8 คนสละสิทธิ์ไม่ปลื้มลำดับ ทุ่มเต็มที่กวาด 100 เขต ลั่น!! “ทำเต็มที่ ให้ปชช. อยู่ดีกินดี”

เปิดเบื้องหลังปาร์ตี้ลิสต์ พปชร.ระอุ!!! ล่าสุดส่งแค่ 92 คน หลัง 8 คนสละสิทธิ์ไม่พอใจการจัดลำดับ ขณะที่ ‘บิ๊กป้อม’ แคนดิเดตนายกฯ ประกาศเล่นใหญ่ทุ่มเต็มที่ตั้งเป้ากวาด 100 เขต

(28 มี.ค.66) ที่ทำการพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรค พปชร. เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรค เพื่อพิจารณาบัญชีผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.บัญชีรายชื่อของพรรค ตามที่คณะกรรมการสรรหาผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.แบบแบ่งเขตและบัญชีรายชื่อเสนอ โดยมี กก.บห.เข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง

โดยมีการแจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า มีผู้ที่มีรายชื่อเป็นผู้สมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ขอสละสิทธิ์ไม่ลงสมัครรับเลือกตั้ง เนื่องจากไม่พอใจที่ได้ลำดับท้ายๆ จำนวน 7 คน ได้แก่ นายนิพนธ์ นราพิทักษ์กุล ลำดับที่ 46 นายอนุชา เจริญรักษ์ ลำดับที่ 48 นายสมชาย เหล่าสายเชื้อ ลำดับที่ 51 นางลลิตา ฤกษ์สำราญ ลำดับที่ 55 นายธีระยุทธ วานิชชัง ลำดับที่ 60 นายธงชัย กสิกรรม ลำดับที่ 95 และชาติ จินดาพล ลำดับที่ 100 และเมื่อรวมกับนางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรคที่ขอสละสิทธิ์ไปก่อนหน้านี้ ทำให้เหลือผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อที่จะส่งให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) แค่ 92 คน

นอกจากนี้ ยังมีการสลับลำดับกันเอง 2 กรณี กรณีแรกคือ นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ที่อยู่ลำดับที่ 18 ได้ขอแลกกับนายอภิชัย เตชะอุบล ที่อยู่ในลำดับที่ 12 และกรณีที่สอง คือ นายปริญญา วันทา ลำดับที่ 40 ได้สลับกับนายนายภัฎ สุริวงษ์ ลำดับที่ 79 ทั้งนี้ นายอภิชัยยอมรับว่านายนิพิฏฐ์มาขอเปลี่ยน แต่ไม่เป็นไร ตนเสียสละ

ขณะที่นายรงค์ บุญสวยขวัญ อดีต ส.ส.นครศรีธรรมราช และกรรมการบริหารพรรค เปิดภายหลังการประชุมว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคยังมีมติเสนอชื่อพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรค พปชร. เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี

‘พิธา’ จับมือ 'เท่าพิภพ' ขอโอกาสชาวฝั่งธนฯ เลือกคนรุ่นใหม่ พร้อมผลักดันนโยบายแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5-สุราก้าวหน้า

‘พิธา’ ลงพื้นที่ฝั่งธนฯ ขอประชาชนกาก้าวไกล เลือกคนรุ่นใหม่ ทำงานคุ้มค่า แก้ปัญหาที่ต้นตอ ให้ 'เท่าพิภพ' กลับเข้าสภาฯ อีกสมัย ดันสุราก้าวหน้าเป็นจริง

(28 มี.ค.66) พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล พร้อมด้วย เท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กรุงเทพฯ เขต 24 ครอบคลุมเขตธนบุรี (ยกเว้นแขวงวัดกัลยาณ์ แขวงหิรัญรูจี และแขวงบางยี่เรือ) เขตคลองสาน และเขตราษฎร์บูรณะ (เฉพาะแขวงบางปะกอก) ลงพื้นที่หาเสียงที่ตลาดกระต่ายมั่งคั่ง ตรงข้ามเดอะมอลล์ท่าพระ

พิธากล่าวถึงกระแสความนิยมของพรรคก้าวไกลในพื้นที่กรุงเทพฯ ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จะส่งผลต่อความนิยมของพรรคก้าวไกลในพื้นที่ต่างจังหวัดด้วยว่า ว่าที่ผู้สมัครทุกคนทำงานอย่างแข็งขัน และยิ่งใกล้เลือกตั้งยิ่งทำงานหนักกว่าเดิม เพื่อให้เราได้รับความไว้วางใจจากพี่น้องประชาชน มีโอกาสเข้าไปเป็นฝ่ายบริหาร ผลักดันทั้ง 9 เสานโยบายให้เป็นจริง โดยทุกนโยบายล้วนผ่านกระบวนการคิดและกระบวนการออกแบบการสื่อสาร ตั้งใจเข้าไปแก้ปัญหาที่ต้นตอ ไม่ว่าจะเป็นการแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 ที่เราเสนอว่าต้องกล้าชนกลุ่มทุนสินค้าเกษตรที่ไม่มีความรับผิดชอบต่อสังคม หรือการปลดล็อกสุราก้าวหน้า ซึ่งเป็นกฎหมายที่เท่าพิภพเป็นผู้เสนอ เพื่อกระจายผลประโยชน์ในธุรกิจสุราออกจากทุนใหญ่ไปสู่ผู้ประกอบการรายย่อย เชื่อว่าผลงานในสภาฯ ตลอด 4 ปีที่ผ่านมา จะทำให้พี่น้องประชาชนมั่นใจมากขึ้น เป็นสิ่งที่สื่อสารได้ดีที่สุดว่าการทำงานการเมืองแบบพรรคก้าวไกล มีความแตกต่าง เป็นการทำงานที่ซื่อตรงต่อประชาชน กล้าคิด กล้าทำ กล้าดันเพดานของสังคมเพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยอย่างเต็มศักยภาพแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน

ตำรวจรวบทันควัน 'ศิลปินอิสระ' กลุ่มศิลปะปลดแอก  หลังพ่นสีข้อความ 112 บนกำแพงวัดพระแก้ว

ตำรวจรวบทันควัน หนุ่มขอนแก่นเป็นศิลปินอิสระกลุ่มศิลปะปลดแอก พ่นสีข้อความ 112 บนกำแพงวัดพระแก้ว ก่อนนำตัวส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดี เผยมักทำผิดกฎหมายหลายครั้ง แต่ยังไม่เคยถูกจับ

( 28 มี.ค.)เมื่อเวลา 17.30 น. วันที่ 28 มี.ค. พ.ต.อ.นภัสพงษ์ โฆษิตสุริยมณี ผกก.สน.พระราชวัง นำกำลังสายตรวจเข้าจับกุมตัว นายศุทธวีร์ สร้อยคำ หรือบังเอิญ อายุ 24 ปี ชาว จ.ขอนแก่น โดยจับกุมตัวได้ขณะที่ผู้ต้องหา กำลังพ่นสีสเปรย์สีดำใส่รั้ว วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว) ถนนหน้าพระลาน แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กทม.

'อำนวย นวลทอง' ผู้ขันอาสา 'รวมไทยสร้างชาติ' เปลี่ยนการเมืองตรัง กร้าว!! สู้ไม่มีถอย ลงสมัครเพื่อชนะ ไม่ใช่เพื่อแพ้

น่าติดตามอย่างยิ่งกับพื้นที่ในจังหวัดตรัง เมื่อ 'อำนวย นวลทอง' ได้กล่าวอย่างหนักแน่นว่า จะลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.ครั้งนี้ ในนามพรรครวมไทยสร้างชาติ เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในจังหวัดตรัง และประกาศศักดา ขอสู้แบบไม่มีถอย มาลงสมัครก็เพื่อชนะ ไม่ใช่เพื่อพบกับความพ่ายแพ้

“30-40 ปีของการเมืองในจังหวัดตรัง พี่น้องประชาชนให้โอกาสกับบางพรรคการเมืองมายาวนาน แต่เมืองตรังกลับย่ำอยู่กับที่ หรือถดถอยด้วยซ้ำ ประชาชนจนลง บ้านเมืองไม่ได้รับการพัฒนา จึงตัดสินใจนำความรู้ ประสบการณ์ที่มีอยู่ขันอาสามารับใช้บ้านเกิด บ้านเมืองจะได้เกิดการเปลี่ยนแปลง” อำนวย กล่าว

อำนวย กล่าวอีกว่า ปัญหาใหญ่ของจังหวัดตรังคือปัญหาที่ดินทำกิน อันเกิดจากการที่ภาครัฐไปประกาศเขตอุทยานบ้าง เขตทุ่งเลี้ยงสัตว์บ้าง ทับที่ดินทำกินของชาวบ้าน จึงไม่สามารถออกเอกสารสิทธิ์ใดๆ ได้ ทั้งๆ ที่ชาวบ้านทำกินบนที่ดินแปลงนั้นมาก่อน และสภาพที่ดินก็ควรให้ชาวบ้านได้สิทธิ์ทำกิน แต่กลับถูกเจ้าหน้าที่รัฐโค่นทำลาย

อำนวย กล่าวต่อว่า อีกปัญหาของเมืองตรัง คือการบริหารจัดการน้ำ ถึงหน้าฝนก็เจอน้ำท่วม พอหน้าแล้งก็ขาดน้ำ ไม่มีใครคิดเรื่องการบริหารจัดการน้ำ การทำแหล่งกักเก็บน้ำ ซึ่งถ้ามีโอกาสก็จะเข้าไปดูแก้ไขปัญหาเหล่านี้ 

ทั้งนี้ หากกล่าวถึง 'อำนวย นวลทอง' แล้ว พี่น้องชาวละมอ อ.นาโยง จ.ตรัง คงรู้จักกันดี เพราะเขาถือกำเนิดบนผืนแผ่นดินแห่งนี้ โตที่นี้ และเรียนจบการศึกษาระดับมัธยมปลายจากโรงเรียนวิเชียรมาตุ

แต่ด้วยการศึกษาในระบบ 'แพ้คัดออก' ทำให้อำนวยสอบเข้ามหาวิทยาลัยเปิดไม่ได้ เขาจึงบ่ายหน้าเข้าเมืองหลวง เข้าสู่ระบบการศึกษา 'ตลาดวิชา' เป็นลูกพ่อขุนในรั้วมหาวิทยาลัยรามคำแหง

"รู้จักอภัย ตั้งใจศึกษา บูชาพ่อขุน สนองคุณชาติ" คือคำขวัญของมหาวิทยาลัย ที่ติดตาตรึงใจอำนวยตั้งแต่ก้าวแรกที่ย่างเข้าสู่รั้วรามคำแหง และเมื่อเขาเดินทางเข้ากรุงก็มุ่งมั่น ตั้งใจศึกษา มีพ่อขุนเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ 

กระนั้น ภายหลังจากจัดแจงเรื่องเอกสาร และมติพรรครวมไทยสร้างชาติ ให้ 'อำนวย นวลทอง' ลงสมัคร ส.ส.เขต 3 จังหวัดตรัง อำนวยจึงได้หอบกระเป๋าเอกสารเดินทางเข้าสู่รั้วรามคำแหง แจ้งต่อพ่อขุนฯ ถึงเจตนารมณ์ และไหว้ขอพร พร้อมกล่าวคำปณิธานให้พ่อขุนฯ ได้รับทราบ ว่า...

"เมื่อครั้งเข้ามาเมืองหลวงใหม่ๆ ฉันเยาว์ ฉันเขลา ฉันทึ่ง ฉันหอบความเขลาจากบ้านนอก เข้ามาหาความหมายในเมืองหลวง เพื่อหวังแก้ปัญหาอีกมากมายที่สั่งสมบ่มเพาะอยู่ในสังคมไทย สังคมแห่งความเหลื่อมล้ำ สังคมแห่งการเอารัดเอาเปรียบ แม้แต่การศึกษาก็ยังไม่เท่าเทียมกัน" อำนวย กล่าว

ระหว่างศึกษาอำนวยกระโดดเข้าสู่เวทีกิจกรรมนักศึกษา ทำกิจกรรมแนวบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ และการเมือง ออกค่ายอาสา ร่วมเวทีเรียกร้องความเป็นธรรมในนามองค์กรนักศึกษา ชื่อเสียงของอำนวยเป็นที่รู้จักกันของระดับนำของนักศึกษากลุ่มหัวก้าวหน้าในรั้วรามคำแหง

อำนวยเป็นนักศึกษากิจกรรมรุ่นเดียวกับ 'นิพนธ์ บุญญามณี' รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รุ่นเดียวกับ 'วิสูตร สุจิรกุล' อดีตนายกองค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหง และ สมชาย โล่สภาพิพิธ อดีต ส.ส.ตรัง พรรคประชาธิปัตย์

หลังจบการศึกษาระดับปริญญาตรี อำนวย เข้าสู่ระบบราชการในกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นเจ้าหน้าที่ควบคุมการจัดจำหน่ายน้ำตาลทราย จากนั้นได้ลาออกมาทำงานภาคเอกชนและทำธุรกิจส่วนตัว โดยเข้าไปทำงานในบริษัท หมากหอมเยาวราช ของนายพิชัย รัตตกุล อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ จึงได้มีโอกาสได้รู้จักกับ ดร.พิจิตต รัตตกุล อดีตผู้ว่าฯ กทม. พร้อมกันนี้ 'อำนวย' ยังเป็นหนึ่งในคณะทำงานรณรงค์หาเสียงให้กับเดโช สวนานนท์ ร.ท.เชาวลิต เตชะไพบูลย์ และ ร.ต.ฉลาด วรฉัตร อีกด้วย

'อำนวย' กระโดดเข้าสู่เวทีการเมืองในยุคที่สังคมกำลังเปิดทางให้กับคนรุ่นใหม่ อำนวยได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภาเขตพญาไท กรุงเทพมหานคร 

ในช่วงวัยหนุ่ม ด้วยหวังว่า ตำแหน่งทางการเมืองจะช่วยแก้ไขปัญหาให้พี่น้องประชาชนได้ 'อำนวย' ได้รับเลือกตั้งให้เป็นประธานสภาเขตพญาไทถึงสองสมัย และเป็นคณะทำงานของกลุ่มยุวประชาธิปัตย์ เป็นกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ สาขาพญาไท

อำนวยยังวาดฝันว่า วันหนึ่งจะก้าวสู่การเมืองระดับชาติ เพื่อแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างการเมืองได้มากกว่าการเมืองท้องถิ่น แต่เมื่อเหลียวซ้ายมองขวา บ้านเกิดของตัวเองก็ยังมีปัญหาอีกมากที่ควรได้รับการแก้ไข รวมถึงการปูทางไปสู่ความเป็นเมืองท่องเที่ยว สร้างสังคมอุดมธรรม สังคมสร้างสุข

อำนวยตัดสินใจครั้งสำคัญอีกครั้ง ทิ้งสิ่งที่สร้างและมีอยู่ในเมืองหลวง บอกภรรยาเก็บกระเป๋ากลับละมอบ้านเกิด และเริ่มต้นทำในสิ่งที่ฝัน เดินตามพ่อ 'เศรษฐกิจพอเพียง' กับที่ดินแปลงมรดก พร้อมขยายแนวคิดไปยังชาวบ้าน เดินหน้าสร้างความอยู่รอด และอยู่เย็นเป็นสุขในชุมชน

'อำนวย' ฝันไกลไปกว่านั้น ฝันเห็นการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในจังหวัดตรัง เพื่อการพัฒนาในเชิงรุกกับการลงชิง ส.ส.ตรัง เขต 3 แม้จะต้องสู้กับลูกสาวของเพื่อนรัก 'สมชาย โล่สถาพรพิพิธ' ก็ตาม ตามหลักคิด “การเมืองเป็นเรื่องของประชาชน และต้องมีการแข่งขัน”

วันนี้ชายนักสู้ ยังเต็มเปี่ยมไปด้วยอุดมการณ์ประชาธิปไตย ล้นไปด้วยประสบการณ์ ผ่านการศึกษา เรียนรู้ ทั้งในระบบและนอกระบบ มาอย่างท่วมท้น พร้อมจะลงสู้ศึกชิงเก้าอี้ ส.ส.เขต 3 จ.ตรัง ศึกคนกันเองกำลังจะระเบิดขึ้นท่ามกลางความขัดแย้งของคนประชาธิปัตย์ในจังหวัดตรัง

“ผมพร้อม ทีมงานพร้อม” อำนวยกล่าวอย่างมั่นใจในการเปิดศึกกับคนกันเอง แพ้-ชนะไปว่ากันในสนามเลือกตั้ง ประชาชนจะเป็นคนชี้ขาด แต่งานนี้ 'อำนวย' สู้ไม่มีถอย

‘ชัยวุฒิ’ ขอไม่โต้ ‘โทนี่’ ยึดสโลแกนก้าวข้ามความขัดแย้ง  ยัน พปชร. ไม่ขัดแย้งกับใคร ชี้ทำงานบางเรื่องก็ต้องตัดสินใจร่วมกัน

(28 มี.ค.66) พรรคพลังประชารัฐ นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจ ในฐานะรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน ถึงกรณีที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีออกมาตอบโต้นายวิรัช รัตนเศรษฐ ผ่านทวิตเตอร์ว่า พรรคเพื่อไทยไม่โง่พอที่จะยกตำแหน่งนายกรัฐมนตรีให้กับ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐว่า พปชร.มีนโยบายก้าวข้ามความขัดแย้ง และไม่ขัดแย้งกับทุกพรรค จึงไม่อยากตอบโต้เรื่องนี้ ซึ่งการทำงานในทางการเมืองมันก็ทำงานตามสถานการณ์ บางครั้งไม่ได้ฉลาดทุกครั้ง ต้องมีบางเรื่องที่ต้องตัดสินใจร่วมกัน 

เมื่อถามว่า มองว่าการปรามาสครั้งนี้ ให้รอวันที่ผลการเลือกตั้งออกเลยใช่หรือไม่ นายชัยวุฒิกล่าวว่า การเลือกตั้งเป็นเรื่องของประชาชน ยืนยันว่า แต่ละพรรคต่อสู้กันเต็มที่ เสนอนโยบายและลงพื้นที่เข้าหาพี่น้องประชาชน ผู้สมัครแต่ละเขต แข่งกันเต็มที่ไม่มีการจับมือกัน หรือ ตกลงกันว่า ใครจะเป็นรัฐบาลหรือเป็นนายกรัฐมนตรี ทุกอย่างเป็นไปตามกรอบประชาธิปไตย 

เมื่อถามว่า แสดงว่าไม่ปฏิเสธที่จะจับมือร่วมรัฐบาลกับใครใช่หรือไม่ นายชัยวุฒิกล่าวว่า พรรคพลังประชารัฐก้าวข้ามความขัดแย้ง ฉะนั้นไม่มีเงื่อนไขที่จะต้องขัดแย้งกัน อะไรที่เป็นประโยชน์หรือประชาชนยอมรับเราเราก็ทำงานร่วมกันได้ อะไรที่เป็นความขัดแย้งหรือเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องก็ก้าวข้ามไป 

‘ปชป.’ เปิดตัว ‘ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.106 เขต’ สู้สนามภาคกลาง พร้อมปรับยุทธศาสตร์หาเสียง เน้นโซเชียลฯ หวังเข้าถึง ปชช.

(28 มี.ค.66) เวลา 13.30 น. ที่ พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และนายสาธิต ปิตุเตชะ รองหัวหน้าพรรคฯดูแลภาคกลาง ร่วมกันเปิดตัวผู้สมัคร ส.ส. ภาคกลาง รวม 26 จังหวัด 106 เขต โดยในช่วงเช้า พรรคฯภาคกลาง ได้เชิญคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) มาให้รายละเอียดเกี่ยวกับกฎหมายพรรคการเมือง กฎหมายเลือกตั้ง และกฎระเบียบต่างๆ ของ กกต. ให้กับว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. ภาคกลาง เพื่อเป็นการสร้างความรู้ความเข้าใจ และเป็นเจตจำนงสำคัญของพรรคฯที่ต้องการให้ผู้สมัครทุกคนได้ปฏิบัติตามกฎหมายและกฎระเบียบของ กกต. โดยเคร่งครัด 

นอกจากนั้นได้มีการซักซ้อมถึงยุทธศาสตร์ นโยบายของพรรค เพื่อให้ว่าที่ผู้สมัครได้นำไปใช้ในการหาเสียงและสื่อสารกับประชาชน หรือเพื่อไปทำหน้าที่ ‘ลำโพงประชาธิปัตย์’ ในแต่ละพื้นที่ อีกทั้งเข้ารับเอกสารรับรองการเป็นผู้สมัครของพรรคปชป. ซึ่งลงลายเซ็นโดยหัวหน้าพรรค สำหรับนำไปยื่นสมัครรับเลือกตั้งในวันที่ 3 เม.ย.นี้

ทั้งนี้นายจุรินทร์ กล่าวว่า ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. ทั้ง 106 เขต ล้วนเป็นบุคลากรที่มีศักยภาพ และพรรคได้คัดสรรมาแล้วเป็นอย่างดี หากพี่น้องประชาชนให้โอกาสก็พร้อมจะทำหน้าที่ ส.ส.ที่ดีได้ต่อไป ซึ่งผู้สมัครดังกล่าว ประกอบไปด้วย คนรุ่นใหม่ นักธุรกิจ ผู้นำเกษตรกร นักวิชาการ สื่อสารมวลชน รวมทั้งผู้นำสตรี ซึ่งในจำนวน 106 คน เป็นสตรีถึง 11 คน และในจำนวนนี้ เป็นรัฐมนตรี และอดีตรัฐมนตรี 3 คน คือ นายสาธิต  ปิตุเตชะ รมช. สาธารณสุข เป็นว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เขต 2 ระยอง นายอลงกรณ์ พลบุตร อดีต รมช.พาณิชย์ เป็นว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. เขต 1 เพชรบุรี นายธีระ สลักเพชร อดีต รมว.วัฒนธรรม เป็นว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. ตราด นอกจากนี้ ยังมีอดีต ส.ส. ของพรรค 13 คน ไม่ว่าจะเป็น นายกัมพล สุภาแพ่ง นายอภิชาติ สุภาแพ่ง จ.เพชรบุรี นายฉัตรพันธ์ เดชกิจสุนทร จ.กาญจนบุรี นายยุคล ชนะวัฒน์ปัญญา จ.จันทบุรี นางพจนารถ แก้วผลึก จ.ชลบุรี นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ จ.นครนายก นายมนตรี ปาน้อยนนท์ นายจักรพันธ์ ปิยพรไพบูลย์ นายประมวล พงศ์ถาวราเดช จ.ประจวบคีรีขันธ์ นพ.บัญญัติ เจตนจันทร์ นายธารา ปิตุเตชะ จ.ระยอง นายนิติรัฐ สุนทรวร จ.สมุทรสาคร และ นายปรพล อดิเรกสาร จ.สระบุรี 

“ทั้งหมดนี้เป็นทัพหน้าของประชาธิปัตย์ ที่จะลงพื้นที่บุกเขตเลือกตั้ง เพื่อนำชัยชนะมาสู่พรรคในพื้นที่ภาคกลางในการเลือกตั้งที่จะมาถึงนี้ ผมขอฝากไว้กับพี่น้องภาคกลางทุกจังหวัด ขอให้ช่วยสนับสนุนประชาธิปัตย์ ทั้งคนทั้งพรรคในการเลือกตั้งที่จะมาถึง” นายจุรินทร์กล่าว 

นายสาธิต กล่าวว่า ขณะนี้ภาคกลางมีความพร้อม 100% เพื่อเดินหน้าไปสู่การรับสมัครในวันที่ 3 เม.ย.นี้ โดยผู้สมัครของพรรค มีความหลากหลายตั้งแต่ผู้นำท้องถิ่น ผู้นำเกษตรกร ผู้นำสตรี อดีตรัฐมนตรี นอกจากนี้ยังมีคนรุ่นใหม่ที่จะมีส่วนในการสร้างอนาคตอีกด้วย ดังนั้นถือว่าพรรคประชาธิปัตย์ของเรามีความพร้อมเข้าสู่สนามเลือกตั้งแล้วอย่างเต็มที่ 

จากนั้นนายสาธิตให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่า วันนี้เปิดตัวทั้งหมดแล้ว เหลือเพียงอีก 4 เขต คิดว่าไม่มีปัญหา โดยในวันพรุ่งนี้ (29 มี.ค.) จะทำไพรมารีและส่งให้คณะกรรมการสรรหารับรองต่อไป ซึ่งถือว่าทุกคนเป็นคนรุ่นใหม่มีความสามารถ โปรไฟล์ดี พร้อมที่จะต่อสู้ในสนามเลือกตั้งครั้งนี้แน่นอน

เมื่อถามว่า การปรับยุทธศาสตร์ในการหาเสียง เนื่องจากพื้นที่ภาคกลางมีการต่อสู้กันสูง นายสาธิต กล่าวว่า มีการอบรมกติกาและระบบการเลือกตั้งให้กับว่าที่ผู้สมัคร ซึ่งทุกเขตต้องมีศูนย์อำนวยการเลือกตั้ง ซึ่งการหาเสียงจะใช้วิธีเดิมไม่ได้ จะต้องมีทั้งระบบเครือข่ายอยู่ในทุกพื้นที่ เพื่อนำข้อมูล ผลงานของพรรคฯและผู้สมัครเข้าถึงประชาชนให้ได้มากที่สุด รวมถึงการใช้โซเชียลมีเดียเพื่อให้ข้อมูลผู้สมัครอยากนำเสนอเข้าถึงประชาชนให้มากที่สุด ซึ่งเป็นระบบที่พรรคฯได้วางให้ผู้สมัครทุกคนได้ทำในแพตฟอร์มเดียวกัน ถือว่าเป็นการวางระรบบให้เข้าถึงเพื่อจูงใจประชาชน ในเขตเลือกตั้งนั้นๆ

เมื่อถามว่าในส่วนของภาคกลางได้ตั้งเป้าว่าจะได้ส.ส.เท่าไหร่ นายสาธิต กล่าวว่า เดิมในพื้นที่ภาคกลางพรรคปชป.ได้ 8 คน ดังนั้นการเลือกตั้งครั้งนี้ตั้งเป้าว่าจะได้ส.ส.ให้มากที่สุด เพราะการประเมินยังทำได้ยาก เนื่องจากเวลาเราลงพื้นที่แม้จะมีคนตัดสินใจไปแล้ว นับตั้งแต่วันที่ผู้สมัครได้เบอร์ ยังมีผู้ยังไม่ได้ตัดสินใจเยอะ จึงมั่นใจว่าความขยัน และระบบการหาเสียงที่ใช้เทคโนโลยีรูปบบแบบใหม่ จะจูงใจให้คนที่ยังไม่ตัดสินใจมาสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์และผู้สมัครของเราได้ ทั้งนี้การหาเสียงรูปแบบใหม่เวลาปราศรัยไม่จำเป็นต้องมีคนเยอะ และจะไม่ทำผิดกฎหมายเพราะขณะนี้มีการไลฟ์สดออกโชเชียลมีเดียได้ ถ้าเราโพสต์ในเฟสบุคก็ซื้อไลฟ์ได้ แต่ต้องแสดงค่าใช้จ่ายทั้งหมด ซึ่งถือเป็นเทคโนโลยีที่เราต้องนำมาใช้ให้ทันยุคสมัย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top