Thursday, 10 October 2024
SPECIAL

ตร.ไซเบอร์จับขบวนการหลอกให้เดตสาว พบเชื่อมโยงอีก 12 คดี ความเสียหายรวมกว่า 1 ล้าน

สืบเนื่องจาก ช่วงเดือนธันวาคม 2565 ที่ผ่านมา ผู้เสียหายได้รู้จักกับคนร้ายผ่านแอปทวิตเตอร์ ต่อมาได้เปลี่ยนมาพูดคุยกันผ่านทางแอปไลน์ โดยคนร้ายใช้ชื่อบัญชี “ติวเตอร์'จีจี้” อ้างว่าเป็นติวเตอร์ ได้ชักชวนผู้เสียหายทำภารกิจนัดเดทสาวในแอปหาคู่ (Bumble) โดยออกอุบายว่า ให้ผู้เสียหายสร้างโปรไฟล์ในแอปหาคู่ดังกล่าว หากมีผู้หญิงในแอปสนใจแล้วกดแมทช์ ผู้เสียหายก็จะได้รับเงินค่าคอมมิชชั่น โดยผู้เสียหายต้องโอนเงินลงทุนกับคนร้ายไปก่อน ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงทำตามอุบายดังกล่าว โดยครั้งแรกได้เงินคืนกลับมาจริง จึงได้ลงทุนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในยอดที่สูงขึ้น สุดท้ายหลงเชื่อโอนเงินไปจำนวน 6 ครั้ง รวมเป็นเงินทั้งหมด 76,115 บาท สุดท้ายไม่สามารถถอนเงินออกจากระบบได้ จึงรู้ตัวว่าโดนหลอกแล้วได้แจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดี

พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. จึงสั่งการให้ พล.ต.ต.ชัชปัณฑกาณฑ์ คล้ายคลึง ผบก.สอท.1 ส่งเจ้าหน้าที่สืบสวนเร่งหาตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษตามกฎหมาย พบว่าคดีดังกล่าวมีความเชื่อมโยงกับคดีอื่นอีก 12 คดี ซึ่งมีลักษณะในการหลอกโอนเงินทำภารกิจเหมือนกัน มีความเสียหายรวมทั้งสิ้นกว่า 1 ล้านบาท สุดท้ายสามารถรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อขออำนาจศาลออกหมายจับผู้เกี่ยวข้องหลายราย

ต่อมา เมื่อช่วงเย็นของวันที่ 16 พ.ย.66 พ.ต.ท.ศักดิ์สิทธิ์ ชูบุญเรือง สว.กก.วิเคราะห์ข่าวฯ บก.สอท.1 ได้นำกำลังชุดสืบสวนร่วมกันลงพื้นที่ติดตามจับกุมผู้ต้องหาที่เป็นหนึ่งในเครือข่ายผู้ร่วมขบวนการ จนสามารถนำหมายจับศาลอาญาเข้าควบคุมตัว นางบุญธรรม อายุ 36 ปี ชาวอุบลราชธานี ในข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคืนอื่น, โดยทุจริตหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน” โดยจับกุมตัวได้ในพื้นที่ อ.เมือง จ.อุบลราชธานี นำตัวส่งดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. พล.ต.ต.ชัชปัณฑกาณฑ์ คล้ายคลึง ผบก.สอท.1 และ พ.ต.อ.ศุภรฐโชติ จำหงษ์ ผกก.วิเคราะห์ข่าวฯ บก.สอท.1 สั่งการให้ พ.ต.ท.ศักดิ์สิทธิ์ ชูบุญเรือง สว.กก.วิเคราะห์ข่าวฯ บก.สอท.1 พร้อมชุดสืบสวนดำเนินการจับกุม

สืบ ตม. ตะครุบชายตากาล็อกใจโฉด ข่มขืนลูกในไส้นาน 10 ปี หนีกบดานไทย

ตามนโยบายของ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. สั่งการให้ สตม.สกัดกั้น ตรวจสอบ ระดมจับกุมคนต่างด้าวที่เข้ามาประกอบธุรกิจผิดกฎหมายในประเทศไทย รวมทั้งให้ดำเนินการตรวจสอบ ชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหาย ต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือ กลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุ หรือโดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิดภาย

ใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผบช.สตม., พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ประพันธ์ศักดิ์ ประสานสุข ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.อภิมุข กานตยากร รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.รัฐโชติ โชติคุณ รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.แดนไพร แก้วเวหล รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ. สุรศักดิ์ สุรินทร์แก้ว รอง ผบก.ศท.ตม. ปฏิบัติราชการ บก.สส.สตม., พ.ต.อ.ชิตเดชา สองห้อง รอง ผบก.สส.ภ.7 ปฏิบัติราชการ บก.สส.สตม., พ.ต.อ.สรธรรศจ์ เอี่ยมละออ ผกก.1 บก.สส.สตม., พ.ต.อ.พิสิษฐ์ ศรีอ่อน ผกก.2 บก.สส.สตม., พ.ต.อ.รัฐพงษ์ แก้วยอด ผกก.4 บก.สส.สตม., พ.ต.อ.ณภัทรพงศ สุภาพร ผกก.ปอพ.บก.สส.สตม., พ.ต.อ.ชย พานะกิจ ผกก.(สอบสวน) กลุ่มงานสอบสวน บก.สส.สตม. ร่วมแถลงข่าวการจับกุมผู้ต้องหารายสำคัญ ดังนี้

สืบเนื่องจาก ตร. ได้สั่งการให้ สตม. พิจารณาดำเนินการ กรณีสำนักงานผู้ช่วยทูตฝ่ายตำรวจฟิลิปปินส์ มีหนังสือมายังกองการต่างประเทศ แจ้งข้อมูล นายโจนาธาน หรือนายโจ (นามสมมติ) อายุ 47 ปี สัญชาติ ฟิลิปปินส์ ผู้ต้องหาตามหมายจับของสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ กระทำความผิดฐานข่มขืน พฤติการณ์การกระทำผิด คือ นายโจได้ข่มขืนบุตรสาวอายุ 7 ปีของตน เป็นเวลานานกว่า 10 ปี โดยเมื่อนางเจส (นามสมมติ) มารดาของเด็กทราบเรื่อง จึงได้แจ้งความกับตำรวจฟิลิปปินส์ และทางการฟิลิปปินส์ได้ออกหมายจับนายโจเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย 

จากการตรวจสอบข้อมูลในระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ตม. พบว่า นายโจ ได้เดินทางเข้ามาในประเทศไทย เมื่อวันที่ 18 ส.ค.66 ด้วยวีซ่านักท่องเที่ยว และได้รับการอนุมัติให้อยู่ต่อในราชอาณาจักรถึงวันที่ 15 พ.ย.66 การอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรยังไม่สิ้นสุด ผบก.สส.สตม. จึงได้อนุมัติให้เพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรของนายโจ เนื่องจากพิจารณาเห็นว่าเป็นบุคคลซึ่งเจ้าหน้าที่รัฐบาลต่างประเทศได้ออกหมายจับ มีพฤติการณ์ที่สมควรเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ ในราชอาณาจักร และได้สั่งการให้ กก.1 บก.สส.สตม. สืบสวนติดตามตัวนายโจ เพื่อนำตัวมาดำเนินการส่งกลับออกไปนอกราชอาณาจักร กก.1 บก.สส.สตม. จึงได้ลงบัญชีเฝ้าดู (Watchlist) ไว้ และระดมกำลังสืบสวนติดตามหาตัวนายโจ ตามย่านที่พักอาศัย และสถานที่ท่องเที่ยวของชาวต่างชาติทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด จนกระทั่งต่อมาสืบสวนทราบว่านายโจ กำลังจะเดินทางออกนอกราชอาณาจักรที่สนามบินดอนเมือง จึงได้ไปตรวจสอบ พบตัวโจจึงแจ้งหนังสือแจ้งการเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรให้ได้รับทราบ และนำตัวส่ง กก.3 บก.สส.สตม. เพื่อรอการส่งกลับไปดำเนินคดีที่สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ต่อไป

สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่าง ๆ รวมถึงการเฝ้าระวังบุคคลทั้งสัญชาติไทยและสัญชาติอื่น ๆ ที่มีหมายจับ และการเดินทางเข้า-ออกประเทศไทย หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง อาคารเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พระชนมพรรษา 60 พรรษา เลขที่ 904 หมู่ที่ 6 ต.บ้านใหม่ อ.ปากเกร็ด จว.นนทบุรี 11120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178 หรือที่ www.immigration.go.th จักขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง

ธรรมะประจำวันอาทิตย์ที่ 12 พฤศจิกายน 2566

"มนุษย์ที่หมดบุญ มีสองอย่างด้วยกัน อย่างแรกคือหมดอายุขัย อย่างที่สองคือมนุษย์ ที่กำลังมีลมหายใจอยู่ แต่ไม่คิดที่จะแสวงหาบุญกุศล 

นั่นก็เรียกว่ากำลังจะหมดบุญ...ประมาทในบุญกุศล"

- สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) -

ตำรวจไซเบอร์รวบขบวนการอ้างเจ้าหน้าที่สรรพากร หลอกติดตั้งแอปดูดเงิน เสียหายกว่า 2 ล้านบาท

สืบเนื่องจาก เมื่อวันที่ 18 ต.ค.65 ได้มีโทรศัพท์จากบุคคลไม่ทราบชื่อ โทรมาหาผู้เสียหาย อ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่สรรพากร ได้สอบถามข้อมูลส่วนตัวของผู้เสียหาย ผู้เสียหายเชื่อว่าเป็นเจ้าหน้าที่จริง จึงได้บอกข้อมูลส่วนตัวไป

ต่อมาบุคคลดังกล่าวได้แอดไลน์เป็นเพื่อนผู้เสียหาย ชักจูงใจให้ผู้เสียหายให้โหลดแอปพลิเคชัน เพื่อดูแลอำนวยความสะดวกด้านภาษี และเมื่อผู้เสียหายโหลดแอปพลิเคชันพร้อมแจ้งเลข OTP ให้กับคนร้ายแล้ว โทรศัพท์ของผู้เสียหายก็เกิดมีปัญหาที่หน้าจอ ผู้เสียหายจึงได้รีบปิดเครื่องโทรศัพท์ และต่อมาผู้เสียหายเปิดเครื่องโทรศัพท์มาอีกครั้ง ได้ตรวจสอบพบว่าเงินในบัญชีธนาคารของผู้เสียหาย ถูกโอนไปยัง ชื่อบัญชี น.ส.อธิตินันท์ จำนวนเงินที่โอนไป 180,198 บาท ผู้เสียหายจึงทราบว่าถูกหลอกลวง จึงมาแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน

พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. จึงสั่งการให้ พล.ต.ต.ชัชปัณฑกาณฑ์ คล้ายคลึง ผบก.สอท.1 ส่งเจ้าหน้าที่สืบสวนเร่งหาตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษตามกฎหมาย จนสามารถรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อขออำนาจศาลออกหมายจับผู้เกี่ยวข้อง

ต่อมา วันที่ 9 พ.ย.66 เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับแจ้งจากสายลับว่าพบ น.ส.อธิตินันท์ ปรากฎตัวอยู่ที่ปั๊มน้ำมันคาลเท็กซ์ฉลองกรุง แขวงลำปลาทิว เขตลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร พ.ต.ท.ศักดิ์สิทธิ์ ชูบุญเรือง สว.กก.วิเคราะห์ข่าวฯ บก.สอท.1 ได้นำกำลังชุดสืบสวนร่วมกันลงพื้นที่ติดตามจับกุม น.ส.อธิตินันท์ อายุ 19 ปี ชาว จ.ศรีสะเกษ ในข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน, ร่วมกันโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน”

ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. พล.ต.ต.ชัชปัณฑกาณฑ์ คล้ายคลึง ผบก.สอท.1 และ พ.ต.อ.ศุภรฐโชติ จำหงษ์ ผกก.วิเคราะห์ข่าวฯ บก.สอท.1 สั่งการให้ พ.ต.ท.ศักดิ์สิทธิ์ ชูบุญเรือง สว.กก.วิเคราะห์ข่าวฯ บก.สอท.1 พร้อมชุดสืบสวนดำเนินการจับกุม

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม : พ.ต.ท.ศักดิ์สิทธิ์ ชูบุญเรือง สว.กก.วิเคราะห์ข่าวฯ บก.สอท.1  หมายเลขโทรศัพท์ 0899199987

สืบนครบาลรวบใบเฟิร์นเน็ตไอดอลชื่อดังหลอกลงทุนร้านทำเล็บ จนมุมกลางห้างดัง

“ใบเฟิร์นเน็ตไอดอลดังถ่ายแบบเป็นอินฟลูเอนเซอร์ โปรไฟล์ IG ของเธอจึงมีผู้ติดตามกว่า 120,000 คน โพสภาพคู่กับรถหรูและดาราผู้มีชื่อเสียงอีกหลายๆคน สร้างความน่าเชื่อถือ ก่อนตุ๋นเหยื่อหลอกลงทุน “ร้านตัดผมและร้านทำเล็บ” โดยมีเหยื่อหลงเชื่อร่วมลงทุนไม่ต่ำกว่า 40 ราย ความเสียหายไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท ก่อนหายเข้ากลีบเมฆ ผู้เสียหายและทีมงานทนายความชื่อดังประสสนขอความช่วยเหลือกับ น .1 พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. โดย เกรงว่าจะมีประชาชนเดือดร้อนเพิ่ม จึงสั่งการให้สืบนครบาลเร่งรัดสืบสวนหาตัว จนกระทั่งทราบเบาะแสว่าหนีมาเข้าถ้ำเสือนครบาล อยู่ใน กรุงเทพ พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. / หัวหน้าชุด PCT5 ส่งชุด PCT5 และ สืบนครบาล ตระเวนปลอมตัวเป็นเอเจนซี่แฝงตัวตามคอนโดหรูย่านทองหล่อ กระทั่งสามารถจับกุมตัวได้ โดยเธอเผยกับชุดจับกุมว่า “ตอนนี้ตนพยายามหา ซื้อของแบบซื้อมาขายไป หวังว่าถ้ามีเงินก็จะนำไปทยอยคืนให้กับผู้เสียหาย”

เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2566 พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. , พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. , พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. , พ.ต.อ.วรพจน์ รุ่งกระจ่าง รอง ผบก.สส.บช.น. , พ.ต.อ.จักราวุธ คล้ายนิล ผกก.วิเคราะห์ข่าวฯ บก.สส.บช.น. , พ.ต.อ.พัชรดนัย การินทร์ ผกก.(สอบสวน) กลุ่มงานสอบสวน บก.สส.บช.น. , พ.ต.อ.ธนากร อ่อนทองคำ ผกก.สส.4 บก.สส.บช.น. , พ.ต.ท.มาโนชย์ ทองแก้ว , พ.ต.ต.ธัญพีรสิษฐ์ จุลพิภพ , ร่วมกับเจ้าหน้าที่ สืบนครบาล ,ตำรวจ PCT5 และ พ.ต.ท.เกียรติศักดิ์ ผัดก๋า รอง ผกก.สส.สภ.สันกำแพง  จว. เชียงใหม่ กับพวกได้ร่วมจับกุม

น.ส.มณฑิรา อินทร์สุวรรณ หรือ “ใบเฟริน” อายุ 31 ปี อยู่บ้านเลขที่ 85/2 ต.ในเมือง อ.เมือง จ.ลำพูน ผู้ต้องหาตามหมายจับ 2 หมายจับ ดังนี้

1.หมายจับศาลจังหวัดเชียงใหม่ที่ จ.997/2566 ลงวันที่ 5 ต.ค. 66 ข้อหา “ฉ้อโกงประชาชน และโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน” (สภ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่)
2.หมายจับศาลจังหวัดเชียงใหม่ที่ จ.1073/2566 ลงวันที่ 26 ต.ค. 66 ข้อหา “ฉ้อโกงประชาชน และโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน” (สภ.ภูพิงคราชนิเวศน์ จ.เชียงใหม่)

โดยกล่าวหาว่า ฉ้อโกงประชาชน และโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน”

พฤติการณ์กล่าวคือ ตำรวจชุด PCT5 และชุดสืบนครบาล ติดตามไล่ล่า “เน็ตไอดอลดัง อักษรย่อ บ.” หลังเธอได้ตระเวนก่อเหตุ หลอกลวงให้ลงทุน “ร้านตัดผมและร้านทำเล็บ” โดยมีเหยื่อหลงเชื่อร่วมลงทุนไม่ต่ำกว่า 40 ราย ความเสียหายไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท ด้วยเธอเป็นหญิงสาวที่มีรูปร่างหน้าตาดีและยังเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง ออกรายการทีวีต่างๆ ถ่ายแบบ เป็นอินฟลูเอนเซอร์ โปรไฟล์ IG ของเธอจึงมีผู้ติดตามกว่า 120,000 คน และในเฟสบุ๊คของเธอยังมีการโพสภาพคู่กับรถหรูและดาราผู้มีเชื่อเสียงอีกหลายๆคน สร้างความน่าเชื่อถือให้กับผู้มาสอดส่องโปรไฟล์เธอเป็นอย่างดี กระทั่งช่วงต้นปี 2566 ที่ผ่านมาเธอได้เริ่มโพสเชิญชวนให้ร่วมลงทุนเป็นหุ้นส่วนการทำร้านตัดผมและทำเล็บ โดยเสนอเป็นแพ็กเกจต่างๆ ยอดปันผลขึ้นอยู่กับจำนวนเงินที่ลงทุน และเมื่อถึงกำหนดก็จะได้เงินปันผล ซึ่งเมื่อเหยื่อหลงเชื่อและตัดสินใจโอนเงินไปร่วมลงทุนกับเธอแล้ว เธอก็ไม่ค่อยตอบข้อความ อ้างว่างานเยอะ ติดงานต่างๆ ส่วนสัญญาที่พิมพ์มาให้เซ็นก็ผิดๆ ถูกๆ หลายครั้ง และเมื่อถึงกำหนดจ่ายเงินปันผลเธอก็จะบ่ายเบี่ยงไม่จ่ายเงิน จนถึงช่วงปลายเดือน มิ.ย. 66 เธออ้างกับเหยื่อว่า บริษัทถูกยักยอกเงิน ทำให้ไม่มีเงินมาคืนให้กับผู้ร่วมลงทุน และหนีหายเข้ากลีบเมฆไป กระทั่งบรรดาเหยื่อที่ร่วมลงทุนกับเธอได้ทยอยเข้าแจ้งความ กระทั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจออกหมายจับ  จำนวน  2 หมายจับ ซึ่งล่าสุดเหยื่อได้ให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ว่าเจ้าตัวได้หลบหนีมากบดาลในพื้นที่ จ.กรุงเทพฯ เรียกได้ว่าหนีมาเข้าถ้ำเสือนครบาล พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. / หัวหน้าชุด PCT5 ส่งเจ้าหน้าที่ติดตามจับกุมตัว โดยมีเพียงเบาะแสว่าเธอ “กินหรูอยู่สบายละแวกทองหล่อ” ชุดสืบสวนตระเวนตรวจสอบแต่ยังคงไร้ร่องรอย กระทั่ง พล.ต.ต.ธีรเดชฯ ได้เบาะแสจากสายลับว่าเธอควงหนุ่มอยู่ตามห้างดังในพื้นที่ จ.กรุงเทพ จึงตระเวนกระจายกำลังตามห้างดังทั่วกรุงเทพกว่า 5 วัน กระทั่งวันที่ 8 พ.ย. 66 ชุดสืบสวนที่แฝงตัวอยู่ตามห้างได้พบตัวขณะกำลังเดินหาซื้อชุดว่ายน้ำกับหนุ่มชาวต่างชาติ จึงเข้าแสดงตัวและจับกุมตัวเธอได้ โดยจับกุมตัวได้ที่ ห้างยูเนียนมอลล์ แขวงจอมพล เขตจตุจักร จ.กรุงเทพฯ

ในชั้นจับกุม น.ส.มณฑิราฯ หรือใบเฟริน ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา โดยให้การว่า “ตนเองจบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยภาคเหนือ เปิดร้านทำเล็บอยู่ จ.เชียงใหม่ ล่าสุดเข้ากรุงเทพมาได้เป็นเวลา 3 สัปดาห์แล้วแต่ไม่ได้เป็นการหลบหนี ในทางคดีตนเองเปิดร้านทำปมและเล็บอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ เห็นว่ามีรายได้ดี จึงได้มาร่วมลงทุนร่วมกัน ร้านกู๊ดคัด โดยร่วมลงทุนรายละ 50,000-1,000,000 บาท และเปิดรับลงทุนร่วมรับจำนำของ จากนั้นนำไปขายเพื่อนำเงินมาแบ่งกัน  แต่ช่วงหลังกำไรน้อยมาก และซื้อสินค้ามาขายไม่ค่อยได้ ทำไห้ไม่ได้จ่ายดอกเบี้ยให้กับผู้ร่วมลงทุน  ส่วนร้านทำผมเนื่องจากหาช่างไม่ได้ และลูกค้าน้อย ทำให้ไม่มีเงินจ่ายไห้กับผู้ร่วมลงทุน ตอนนี้ตนพยายามหา ซื้อของแบบซื้อมาขายไป หวังว่าถ้ามีเงินก็จะนำไปทยอยคืนให้กับผู้เสีย” หลังจับกุมตัว ได้นำส่งพนักงานสอบสวน สภ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ ดำเนินคดีตามกฎหมาย

พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. กล่าวว่า “เรายังไม่ปักใจเชื่อในคำให้การของผู้ต้องหา และจะมีการขยายผลการจับกุมโดยละเอียด ซึ่งจากข้อมูลที่ได้วิธีการที่ผู้ต้องหารายนี้ใช้หลอกลวง นั้นเริ่มจากการสร้างโปรไฟล์ให้มีความน่าเชื่อถือ ถ่ายภาพคู่รถหรู หรือดาราผู้มีชื่อเสียงคนอื่นๆ จากนั้นการหลอกลวงจึงทำได้ไม่ยากนัก จึงขอเตือนไปยังพี่น้องประชาชนยุคใหม่ว่า การร่วมลงทุนในโลกออนไลน์นั้นมีความเสี่ยง เพราะในปัจจุบันเหล่ามิจฉาชีพจะแฝงตัวอยู่ในโลกออนไลน์เป็นจำนวนมาก การตรวจสอบความน่าเชื่อถือจากโปรไฟล์ในโลกออนไลน์นั้นยังไม่เพียงพอ จะต้องศึกษาหรือปรึกษาผู้มีความรู้ทางด้านการลงทุนให้ดีก่อน เพื่อไม่ตกเป็นเหยื่อ และขอเตือนไปยังเหล่ามิจฉาชีพทางออนไลน์ว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติมีการระดมปราบปรามผู้กระทำผิดทางออนไลน์อยู่ตลอด ตามนโยบายของ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ฉะนั้นผู้ที่ยังทำหรือคิดจะทำขอเตือนว่า มันไม่คุ้มได้คุ้มเสีย เมื่อได้ลงมือก่อเหตุแล้วและมีผู้เสียหายเข้าแจ้งความแล้วยังไงก็ต้องถูกจับกุม เพียงแต่จะช้าหรือเร็วแค่นั้นเอง”

ตำรวจ ปส. โค่น 3 เครือข่ายยาเสพติดรายใหญ่ ยึดยาบ้ารวมกว่า 12 ล้านเม็ด ซุกรถเตรียมลำเลียงส่งลูกค้าในพื้นที่ภาคกลางและใต้ พร้อมยึดทรัพย์กว่า 9 ล้าน

ตามนโยบายการแก้ปัญหายาเสพติดอย่างเร่งด่วนของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี มีเจตนารมณ์ที่จะลดความรุนแรงของปัญหายาเสพติด ไม่ให้ส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิต ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน เร่งรัดดำเนินการปราบปรามผู้มีอิทธิพลและยาเสพติด โดยใช้มาตรการปราบปรามทางกฎหมายอย่างจริงจัง รวมทั้งการยึดอายัดทรัพย์สินเพื่อตัดวงจรการค้ายาเสพติด ซึ่ง พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ได้กำหนดเป็นนโยบายสำคัญมุ่งเน้นแก้ไขปัญหายาเสพติดในทุกมิติทั้งการปราบปรามผู้ผลิตและผู้ค้ายาเสพติด โดยใช้มาตรการทางกฎหมายอย่างจริงจังและเด็ดขาด เป็นไปตามการขับเคลื่อนการทำงานของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์  รอง ผบ.ตร./ผอ.ศอ.ปส.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ศอ.ปส.ตร. 

วันนี้ 9 พ.ย.66 เวลา 10.00 น. พล.ต.ท.คีรีศักดิ์ ตันตินวะชัย รรท.ผบช.ปส. เป็นประธานแถลงผลการปราบปรามเครือข่ายยาเสพติด พร้อมด้วย พล.ต.ต.สมเกียรติ วัฒนพรมงคล, พล.ต.ต.สมบูรณ์ เทียนขาว, พล.ต.ต.ออมสิน ตรารุ่งเรือง, พล.ต.ต.พลัฎฐ์ วิเศษสิงห์ รรท.รอง ผบช.ปส., พล.ต.ต. พรศักดิ์ สุรสิทธิ์ ผบก.ปส.4, พล.ต.ต. ธนรัชน์ สอนกล้า ผบก.ปส.2,พ.ต.อ.อดิศ  เจริญสวัสดิ์ รรท.ผบก.ปส.3, พ.ต.อ.วิทัศน์ บริรักษ์ รรท.ผบก.สกส. และ พ.ต.อ. อิทธิพล จันทร์ศรีบุตร รรท.ผบก.ขส. ซึ่ง พล.ต.ท.คีรีศักดิ์ ระบุว่า กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด เดินหน้าปราบปรามเครือข่ายยาเสพติดทุกเครือข่ายที่ยังมีความเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง ทั้งการสืบสวนขยายผล พร้อมทั้งใช้มาตรการยึดทรัพย์เป็นเครื่องมือ เพื่อตัดวงจรการค้ายาเสพติดของเครือข่าย ขณะเดียวกันก็ได้ขับเคลื่อนงานป้องกันอาชญากรรมควบคู่ไปด้วย ล่าสุด ตำรวจ ปส. สามารถตรวจยึดยาบ้าได้ 11,540,000, เม็ด และยึดทรัพย์สินไว้เพื่อตรวจสอบมูลค่า 8,690,000 บาท    

คดีแรก สืบเนื่องมาจากการจับกุมนายวิฑูรณ์ พร้อมพวก 5 คน พร้อมไอซ์ 200 กิโลกรัม ในพื้นที่ อ.สองพี่น้อง จว.สุพรรณบุรี เมื่อวันที่ 10 ก.พ.66 ที่ผ่านมา ของ ตำรวจ บก.สกส. ร่วมกับ บก.ขส. ก่อนจะขยายผล และพบว่ายังมีเครือข่ายของนายวิฑูรณ์ เคลื่อนไหวอยู่ใน จว.สระบุรี มีพฤติการณ์ลักลอบลำเลียงยาเสพติดจากพื้นที่ทางภาคเหนือ เพื่อนำไปส่งมอบให้กับลูกค้าในพื้นที่ภาคกลาง และใกล้เคียง เจ้าหน้าที่จึงเฝ้าติดตามกระทั่งช่วงบ่ายของวันที่ 3 พ.ย.ที่ผ่านมา สามารถจับกุม นายอาทิตย์, นายณคฤตห์, นายจักรพรรณ, น.ส.ทวีวรรณ,น.ส.ศุภมาสและน.ส.ปรารถนา ได้ที่บริเวณบ้านเลขที่ 12 ม.9 ต.ป่าสัก อ.เชียงแสน จว.เชียงราย พร้อมยาบ้า 7,000,000 เม็ด ซุกซ่อนอยู่ภายในห้องโดยสารและท้ายกระบะ หมายเลขทะเบียน 1ขษ 44XX กทม. จากนั้นได้ควบคุมตัวผู้ต้องหาทั้ง 7 ราย เข้าตรวจค้นบ้านพักจำนวน 7 จุด เบื้องต้นตรวจยึดรถยนต์ 3 คัน, อาวุธปืน GLOCK 2 กระบอก และอื่น ๆ ไว้ตรวจสอบมูลค่ากว่า 8,690,000 บาท  

คดีที่ 2 ตำรวจ ปส.2 ร่วมกับ ตำรวจทางหลวง ได้ทำการสืบสวนขยายผลหลังจับกุมขบวนการค้ายาเสพติด  และทราบว่าจะมีการลำเลียงยาเสพติดจากชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ไปส่งลูกค้าในเขตพื้นที่ตอนใน โดยใช้รถยนต์หมายเลขทะเบียน Xกฒ 40XX กทม. และ หมายเลขทะเบียน กต 64XX ราชบุรี ลำเลียงยาเสพติด เจ้าหน้าที่จึงสืบสวนและเฝ้าติดตาม กระทั่งกลางดึกของวันที่ 4 พ.ย.66 พบรถยนต์เป้าหมายทั้งสองคัน ในเขตพื้นที่ จว.สกลนคร ขับตามกันมุ่งหน้า จว.อุดรธานี ต่อเนื่อง จว.ขอนแก่น เมื่อรถยนต์เป้าหมายทั้งสองคันขับขี่เข้ามาพื้นที่ อ.เมือง จว.ขอนแก่น ตำรวจจึงแสดงตัวเพื่อเข้าทำการตรวจสอบ แต่รถเป้าหมายได้อาศัยความชำนาญพื้นที่ขับหลบหนี ชุดจับกุมจึงประสานตำรวจทางหลวงตั้งจุดตรวจจุดสกัดในเขตพื้นที่และข้างเคียง กระทั่งเวลา 03.15 น. ของวันที่ 5 พ.ย.66   ตำรวจทางหลวง 2 กก.4 แจ้งว่าพบว่าพบรถเป้าหมายบริเวณริมทางหลวงหมายเลข 229 ต.กุดเค้า อ.มัญจาคีรี จว.ขอนแก่น จึงนำกำลังเข้าตรวจสอบพบ นายธนัตชัย เป็นผู้ขับขี่ ตรวจค้นภายในรถพบยาบ้า 2,540,000 เม็ด ส่วนรถยนต์อีก 1 คัน ถูกจอดทิ้งอยู่บริเวณข้างคลองน้ำบ้านหัวสระ ต.ดอนช้าง อ.เมือง จว.ขอนแก่น ในสภาพยางล้อหลังซ้ายแตก ตรวจสอบไม่พบบุคคลหรือสิ่งของที่ผิดกฎหมายแต่อย่างใด 

คดีที่ 3 ตำรวจ ปส. 4 ทำการสืบสวนเครือข่ายรับจ้างลำเลียงยาเสพติดลงสู่พื้นที่ภาคใต้ พบมีการติดต่อกัน ผ่านแอปพลิเคชัน Line ต่อมาทราบว่าไปรับยาเสพติดในพื้นที่ อ.พระพุทธบาท จว.สระบุรี มาพักไว้ในพื้นที่ อ.บางปู จว.สมุทรปราการ เพื่อเตรียมส่งต่อไปยังภาคใต้ในพื้นที่ จว.พังงา และ จว.ภูเก็ต กระทั่งวันที่ 6 พ.ย.66 พบความเคลื่อนไหวของเครือข่ายขณะขับรถมุ่งหน้าพื้นที่ภาคใต้ โดยใช้เส้นทางรอง เพื่อเลี่ยงด่านตรวจยานพาหนะชุมพร ชุดจับกุมจึงเฝ้าสะกดรอยติดตาม พบว่ามีรถยนต์หมายเลขทะเบียน ฒย 8xxx กทม. และ หมายเลขทะเบียน 1 ฒศ 5xxx กทม. เป็นรถนำ และรถกระบะตู้ทึบ หมายเลขทะเบียน ยข 4xxx ชลบุรี ซึ่งเป็นรถที่ซุกซ่อนยาเสพติด โดยใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 41 จนมาถึง อ.ตะกั่วทุ่ง จว.พังงา ก่อนจะเข้าพักที่รีสอร์ตแห่งหนึ่ง เจ้าหน้าที่จึงแสดงตัวจับกุมผู้ต้องหาทั้งหมด 6 ราย และตรวจสอบพบยาบ้า 2,000,000 เม็ด ซุกซ่อนอยู่ภายในรถกระบะตู้ทึบ จากนี้ ตำรวจ ปส. จะสอบสวนขยายผลเพื่อติดตามออกหมายจับบุคคล ในเครือข่ายและยึดทรัพย์สินตามประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ.2564 ต่อไป  

สำหรับเดือน ตุลาคม 2566 ตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) ได้จับกุมขบวนการค้ายาเสพติด รายสำคัญ 15 คดี ผู้ต้องหา 22 คน ของกลาง ยาบ้า 21,836,340 ล้านเม็ด, ไอซ์ 748.52 กก. เฮโรอีน 15.17 กก., และตรวจยึดทรัพย์ ไว้ตรวจสอบมูลค่าประมาณ 103,854,167 ล้านบาท 

สตม. รวบหนุ่มเมืองเบียร์ หนีคดีล่วงละเมิดทางเพศเด็ก กบดานเชียงดาว

บก.สส.สตม. ได้จับกุมผู้ต้องหารายสำคัญ คือ นายไมค์ (นามสมมติ) อายุ 32 ปี สัญชาติเยอรมัน ผู้ต้องหา ตามหมายจับของ ศาลเมืองฮัมบวร์ค ต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน ร่วมกันละเมิดทางเพศเด็ก, ชักจูงเด็กโดยการแสดงภาพหรือนำเสนอภาพลามกอนาจาร โดยการถ่ายวีดีโอที่มีเนื้อหาลามกอนาจาร และเผยแพร่เนื้อหาลามกอนาจารผ่านทาง ช่องทางการสนทนาสื่อสาร, ผลิตเนื้อหาลามกอนาจารเด็กที่เกี่ยวกับกิจกรรมทางเพศที่กระทำต่อหน้าบุคคลอายุ ต่ำกว่า 14 ปี และบังคับให้กระทำการทางเพศโดยใช้กำลังหรือข่มขู่ว่าจะทำร้าย ส่ง กก.3 บก.สส.สตม. เพื่อดำเนินการ ตามกฎหมาย 

สืบเนื่องจาก ตร. ได้สั่งการให้ สตม. พิจารณาดำเนินการ กรณีสถานเอกอัครราชทูตสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ประจำประเทศไทย มีหนังสือมายังกองการต่างประเทศ แจ้งข้อมูลนายไมค์ สัญชาติเยอรมัน ผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลเมืองฮัมบวร์ค ต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน ร่วมกันละเมิดทางเพศเด็กฯ ผบก.สส.สตม. จึงได้สั่งการให้ กก.1 บก.สส.สตม. 

ตรวจสอบข้อมูลในระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ตม. พบว่า นายไมค์เดินทางเข้ามาในประเทศไทย เมื่อวันที่ 15 ธ.ค.2562 ประเภทวีซ่า คนอยู่ชั่วคราว (NON-90) และได้รับอนุญาต  ให้อยู่ในราชอาณาจักรถึงวันที่ 16 ก.ย.2567 ผบก.สส.สตม.จึงได้เพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรของนายไมค์ เนื่องจากพิจารณาเห็นว่าเป็นบุคคล ซึ่งเจ้าหน้าที่รัฐบาลต่างประเทศได้ออกหมายจับ มีพฤติการณ์ที่สมควรเพิกถอน การอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร และได้สั่งการให้ กก.1 บก.สส.สตม. สืบสวนติดตามหาตัวนายไมค์ ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด เพื่อนำตัวมาดำเนินการส่งกลับออกไปนอกราชอาณาจักร กก.1 บก.สส.สตม.จึงได้ระดมกำลังสืบสวนติดตาม  หาตัวนายไมค์ จนกระทั่งต่อมาจากการสืบสวนทราบว่านายไมค์ ได้ไปพักอาศัยอยู่กับหญิงไทยที่บ้านหลังหนึ่งในพื้นที่ ต.แม่นะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ จึงได้เดินทางไปตรวจสอบ พบนายไมค์อยู่ในบ้านหลังดังกล่าว จึงได้แจ้งหนังสือแจ้งการเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรให้ได้รับทราบ และได้เปรียบเทียบปรับเจ้าของบ้านในข้อหา เจ้าบ้าน เจ้าของ หรือผู้ครอบครองเคหสถาน รับคนต่างด้าวซึ่งได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวเข้าพักอาศัย  แล้วไม่แจ้งต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ภายใน 24 ชั่วโมง จากนั้นได้นำตัวนายไมค์ ส่ง กก.3 บก.สส.สตม. เพื่อกักตัวรอการส่งกลับ ไปดำเนินคดีที่สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีต่อไป

สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่าง ๆ รวมถึงการเฝ้าระวังบุคคลทั้งสัญชาติไทยและสัญชาติอื่น ๆ ที่มีหมายจับ และการเดินทางเข้า-ออกประเทศไทย หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง อาคารเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พระชนมพรรษา 60 พรรษา เลขที่ 904 หมู่ที่ 6 ต.บ้านใหม่ อ.ปากเกร็ด จว.นนทบุรี 11120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178 หรือที่ www.immigration.go.th จักขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง

‘ตำรวจทางหลวงขอนแก่น’ รวบ ‘หนุ่มขอนแก่น’ รับจ้างขนยา ‘แก๊งม้าบิน’ ยึดยาบ้า 2.5 ล้านเม็ด

(6 พ.ย. 66) พ.ต.อ.คงกฤช เลิศสิทธิกุล รักษาราชการแทน ผู้บังคับการตำรวจทางหลวง (รรท.ผบก.ทล.) สั่งการให้ พ.ต.อ.บุญลือ ผดุงถิ่น รอง.ผบก.ป. ช่วยราชการ รอง ผบก.ทล., พ.ต.อ.จรุงศักดิ์ จำรูญ ผกก.4 บก.ทล., พ.ต.ต.ฐกร ทองอิงครัต สว.ส.ทล.2 กก.4 บก.ทล. พร้อมกำลังเข้าจับกุมนายธนัตชัย อายุ 31 ปี ชาว จ.ขอนแก่น พร้อมของกลาง ยาบ้า 2,540,000 เม็ด ได้บริเวณริมทางหลวงหมายเลข 224 กม.26-27 ต.กุดเค้า อ.มัญจาคีรี จ.ขอนแก่น

ก่อนหน้าทางเจ้าหน้าที่รับรายงานว่าจะมีขบวนการค้ายาเสพติดข้ามชาติ เครือข่ายของชาวลาว ลักลอบลำเลียงยาบ้าจากภาคอีสานเพื่อนำลงไปส่งให้ลูกค้าในจังหวัดภาคกลาง และกทม. จึงนำกำลังออกตรวจสอบ จนกระทั่งพบรถเก๋งโตโยต้าวีออส สีเทา ลักษณะมีพิรุธ จึงขับรถติดตามและเรียกให้หยุดเพื่อขอตรวจสอบ พบผู้ขับขี่คือ นายธนัตชัย จากการตรวจค้นภายในรถพบยาบ้าของกลางทั้งหมดจึงทำการจับกุม

นายธนัตชัย รับสารภาพว่า ตนรับจ้างขนยาบ้ามาจริง โดยผู้ว่าจ้างนั้นเป็นชาว สปป.ลาว ที่ติดต่อกันผ่านช่องทางแชตไลน์ใช้ชื่อว่า ‘ม้าบิน’ ที่ให้ตนเดินทางไปรับรถเก๋งของกลาง ซึ่งจอดไว้ริมถนนใน อ.บุ่งคล้า จ.บึงกาฬ จากนั้นให้ขับรถลงไปส่งที่ จ.สระบุรี ค่าจ้าง 5 หมื่นบาท แต่ตนไปไม่ถึงเพราะถูกจับกุมเสียก่อน นอกจากนี้ผู้ต้องหายังอ้างด้วยว่า เพิ่งจะมาทำเป็นครั้งแรก จึงนำตัวผู้ต้องหาส่งให้พนักงานสอบสวน บช.ปส. สอบสวนขยายผลการดำเนินคดีต่อไป

ทหารกองกำลังสุรศักดิ์มนตรีตรวจยึดยาบ้าล็อตใหญ่ 1,380,000เม็ด ผู้ต้องหา 6 คน พร้อมรถยนต์ 1 คัน

กองกำลังสุรศักดิ์มนตรี แถลงข่าวตรวจยึดยาบ้าล๊อตใหญ่ จำนวน 4 กระสอบ จำนวน 1,380,000 เม็ด และขยายผล จับกุมผู้ต้องหาขบวนการค้ายาเสพติดข้ามชาติ จำนวน 6 คน พร้อมรถยนต์กระบะ ที่ใช้ขนยาบ้าจากขบวนการค้ายาข้ามชาติ จำนวน 1 คัน พร้อมรถจักรยานยนต์ ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน จำนวน 1 คัน บริเวณถนนทางเข้าหมู่บ้านท่าสีไค ตำบลดงบัง อำเภอบึงโขงหลง จังหวัดบึงกาฬ

กองกำลังสุรศักดิ์มนตรี โดย พันเอก สุริวัชร์  อัครพรเดชาพงษ์ ผู้บังคับการกรมทหารพรานที่ 21/ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 21 เป็นผู้แทน พลตรี นรธิป โพยนอก ผู้บัญชาการกองกำลังสุรศักดิ์มนตรี/ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 2 ส่วนแยก 1 พร้อมด้วยหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่ อำเภอบึงโขงหลง จังหวัดบึงกาฬ แถลงข่าวการตรวจยึดยาบ้า จำนวน 4 กระสอบ จำนวน  1,380,000 เม็ด และขยายผลจับกุมผู้ต้องหาขบวนการค้ายาเสพติดข้ามชาติ จำนวน 6 คน พร้อมรถยนต์กระบะ ที่ใช้ขนยาบ้าจากขบวนการค้ายาข้ามชาติ จำนวน 1 คัน และรถจักรยานยนต์ ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน จำนวน 1 คัน บริเวณถนนทางเข้าหมู่บ้านท่าสีไค ตำบลดงบัง อำเภอบึงโขงหลง จังหวัดบึงกาฬ 

โดยในห้วงที่ผ่านมาพันเอก สุริวัชร์  อัครพรเดชาพงษ์ ผู้บังคับการกรมทหารพรานที่ 21/ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 21ได้รับแจ้งจากแหล่งข่าวว่าจะมีการลักลอบนำเข้ายาเสพติดให้โทษประเภทที่ 1 (ยาบ้า) ไม่ทราบจำนวน จากขบวนการค้ายาเสพติดข้ามชาติล๊อตใหญ่จากฝั่ง สปป.ลาว เข้ามายังฝั่งประเทศไทย บริเวณ ริมฝั่งแม่น้ำโขง พื้นที่บ้านท่าสีไค ตำบลดงบัง อำเภอบึงโขงหลง จังหวัดบึงกาฬ เพื่อลำเลียงขนส่งเข้าสู่พื้นที่ตอนในให้กับกลุ่มขบวนการค้ายาเสพติดภายในประเทศ จึงสั่งการให้ร้อยโท โกวิทย์ วงษ์แสง ผู้บังคับกองร้อยเฉพาะกิจทหารพรานที่ 2108 หน่วยเฉพาะกิจทหารพรานที่ 21 ทำการบรูณากำลังวางแผนร่วมกับหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่ อำเภอบึงโขงหลง จังหวัดบึงกาฬ ทำการลาดตระเวนซุ่มเฝ้าตรวจตามภาพข่าวที่ได้รับแจ้ง เจ้าหน้าที่ตรวจพบรถยนต์กระบะสีดำขับออกจาก บริเวณที่ได้รับแจ้ง เจ้าหน้าที่จึงแสดงตัวเป็นเพื่อขอเข้าตรวจสอบรถต้องสงสัย แต่รถยนต์คันดังกล่าว ได้เร่งเครื่องหลบหนี เจ้าหน้าที่จึงไล่ติดตามเส้นทางบ้านท่าสีไค้ ตำบลดงบัง แต่คนขับรถยนต์ได้หักรถยนต์ต้องสงสัยลงข้างทาง และวิ่งหลบหนีไป หน่วยจึงประสานหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่ 

เพื่อเข้าร่วมตรวจสอบรถคันดังกล่าว ตรวจพบสิ่งของต้องสงสัย จำนวน 4 กระสอบ จึงได้ทำการตรวจสอบสิ่งของต้องสงสัย ผลการตรวจสอบ พบเป็นยาเสพติดประเภทที่ 1(ยาบ้า) บรรจุอยู่ภายใน จึงได้ทำการตรวจยึดยาเสพติดดังกล่าว มายังกองร้อยเฉพาะกิจทหารพรานที่ 2108 เพื่อทำการตรวจนับอย่างละเอียด จากขยายผลในครั้งนี้หน่วยพร้อมหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่ได้ร่วมจับกุมผู้ต้องหาขบวนการค้ายาเสพติดข้ามชาติเป็นชายไทย จำนวน 6 คน พร้อมของกลางยาบ้า จำนวน 4 กระสอบ จำนวน 1,380,000 เม็ด รถยนต์กระบะ ยี่ห้อ มิตซูบิชิ รุ่น ไตรตัน สีดำ ทะเบียน บล 3098 กาฬสินธุ์ จำนวน 1 คัน และรถจักรยานยนต์ ยี่ห้อ เวฟ 100 ไอ ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน จำนวน 1 คัน หน่วยพร้อมหน่วยงานความมั่นคงจึงร่วมกันจับกุมผู้ต้องหาพร้อมตรวจยึดของกลางทั้งหมดส่งให้ สภ.เหล่าหลวงจังหวัดบึงกาฬ เพื่อดำเนินการตามกกหมายต่อไป

เครือข่ายปราบปรามอาชญากรรมประเทศไทย (Thailand Wen) จับขบวนการลักลอบค้าเต่าดาวอินเดีย

3 พฤศจิกายน 2566 นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง รักษาราชการแทนอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้รับรายงานจากนายประเสริฐ สอนสถาพรกุล ผู้อำนวยการกองคุ้มครองพันธุ์สัตว์ป่าและพืชป่าตามอนุสัญญา รายงานว่านายภัคพงศ์  ผาทอง เจ้าพนักงานป่าไม้ชำนาญการ หัวหน้าด่านตรวจสัตว์ป่าท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2566 เวลา 02.00 น. เจ้าหน้าที่ด่านตรวจสัตว์ป่าท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ร่วมกับเจ้าหน้าที่ด่านกักกันสัตว์ เจ้าหน้าที่ฝ่ายรักษาความปลอดภัยท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ได้ตรวจสอบภาพเอกซเรย์กระเป๋าสัมภาระที่ต้องสงสัยว่าจะมีการลักลอบขนสัตว์ป่าที่ผิดกฎหมายของหญิงชาวไทย อายุ 24 ปี ที่เดินกำลังจะเดินทางจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ไปยังเมืองไทเป ประเทศไต้หวัน โดยสายการบิน EVA AIR เที่ยวบินที่ BR206 

จากการเปิดตรวจสอบกระเป๋าดังกล่าว พบว่ามีการซุกซ่อนเต่าดาวอินเดีย จำนวน 17 ตัว  ซึ่งเป็นสัตว์ป่าควบคุมและสัตว์ป่าตามบัญชีอนุสัญญาไซเตส  เพื่อลักลอบออกนอกประเทศ มูลค่าประมาณ 170,000 บาท ทราบชื่อผู้ต้องหาภายหลัง นางสาววริญญา  อายุ 24 ปี สัญชาติไทย เจ้าหน้าที่ได้พิจารณาแล้วพบว่า เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 มาตรา 23 เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.โรคระบาดสัตว์ พ.ศ. 2558 มาตรา 31 และ พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2560 มาตรา 242 และ 244 จึงร่วมกันตรวจยึดของกลางทั้งหมด และจับกุมผู้ต้องหา โดยได้แจ้งสิทธิต่างๆ ตามระเบียบแล้ว และมอบหมายให้หัวหน้าด่านตรวจสัตว์ป่านำเรื่องราวไปร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจภูธร (สภ.) ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย สำหรับของกลางนำส่งกลุ่มงานจัดการสุขภาพสัตว์ป่า สำนักอนุรักษ์สัตว์ป่า กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ต่อไป 

ทั้งนี้ สำหรับ Thailand WEN หมายถึง คณะกรรมการเครือข่ายการบังคับใช้กฎหมาย เกี่ยวกับสัตว์ป่าและพืชป่าแห่งประเทศไทย (Thailand Wildlife Enforcement Network : Thailand WEN) ซึ่งมีหน้าที่ในการประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐ เอกชน และองค์กรเอกชน เพื่อสร้างเครือข่ายการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับสัตว์ป่า และพืชป่าให้เกิดขึ้นในประเทศไทย

‘ตร.ภาค 1’ ร่วม ‘หน่วยข่าวกรองทหาร-ป.ป.ส.’ รวบเเก๊งขนยาบิ๊กล็อต ยึดของกลางพร้อมยาบ้าได้ 4 ล้านเม็ด รวมมูลค่ากว่า 40 ล้านบาท!!

(3 พ.ย. 66) ที่กองบัญชาการตำรวจภูธร ภาค 1 พล.ต.ต.จิรสันต์ แก้วแสงเอก รรท.ผบช.ภ.1 ,พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการ ป.ป.ส. พร้อมคณะแถลงผลการจับกุมยาเสพติด พร้อมของกลาง ยาบ้า จำนวนประมาณ 4,000,000 เม็ด มูลค่ากว่า 40,000,000 ล้านบาท

พล.ต.ต.จิรสันต์ กล่าวว่า สืบเนื่องจากวันที่ 4 ก.ย. 2566 เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดตำรวจภูธรภาค 1 ชุดที่ 3 ได้จับกุม นายนนทวัฒน์ หรือ ‘นิก’ (สงวนนามสกุล) และนายศุภวัฒน์ หรือ ‘ตาล’ (สงวนนามสกุล) พร้อมของกลางยาบ้า ประมาณ 1,600,000 เม็ด พื้นที่ สภ.หนองแค จังหวัดสระบุรี ซึ่งจากสืบสวนขยายผลในคดีดังกล่าว ทำให้ทราบว่ามีทีมลำเลียงยาเสพติดจากพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เข้ามาส่งยาเสพติดในพื้นที่ภาคกลาง

โดย พล.ต.ต.วิชิต บุญชินวุฒิกุล รรท.ผบก.ภ.จ.สมุทรปราการ ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่ง ผบก.ภ.จ.สระบุรี ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่เฝ้าระวังติดตามและสืบสวนจับกุม ต่อมาเมื่อวันที่ 31 ต.ค. มีการสืบสวนจนทราบว่าจะมีการลักลอบลำเลียงยาเสพติดจาก จ.นครพนม มาส่งให้ลูกค้าในพื้นที่ปริมณฑลและกรุงเทพฯ โดยใช้รถบรรทุกยี่ห้ออีซูซุ สีขาว ทะเบียน 83-3754 สุรินทร์ เป็นยานพาหนะในการลำเลียงยาเสพติด และจะใช้รถยนต์กระบะยี่ห้อโตโยต้า สีขาว ทะเบียน บม 645 ร้อยเอ็ด และรถยนต์กระบะ ยี่ห้ออีซูซุ สีเทา ทะเบียน สชช 7466 กทม. ในการสำรวจเส้นทางด่านตรวจของเจ้าหน้าที่ตำรวจ

จนกระทั่งวันที่ 1 พ.ย. 66 พ.ต.อ.ไกรสร ศรีอำพร ผกก.สส.ภ.จ.สระบุรี เป็นหัวหน้า ชปส.ศอ.ปส.ภ.1 ชุดที่ 3 ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดตำรวจภูธรภาค 1 ชุดที่ 3 และเจ้าหน้าที่ทหารหน่วยข่าวกรองทางทหาร ร่วมกันสังเกตการณ์และพบกลุ่มรถยนต์ดังกล่าวอยู่ที่สถานีบริการน้ำมัน พีที วังน้อย (ขาออก กทม.) หมู่ 3 ต.ลำไทร จ.พระนครศรีอยุธยา จึงนำกำลังฝ้าสังเกตการณ์และสามารถจับกุมผู้ต้องหาในคดีนี้ได้ จำนวน 5 คน ได้แก่

1.) นายสุชาติ มูลสาร
2.) นายวิรอน เปรี้ยววงษ์
3.) นายวิรงค์ เปรี้ยววงษ์
4.) พงศ์อิทธิพล ขวานคร
5.) นายณัฐสิทธิ์ สักการี

โดยตรวจค้นพบยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) 8 กระสอบ รวมจำนวน 2,000 มัด ประมาณ 4,000,000 เม็ด ซุกซ่อนอยู่ภายในรถบรรทุกยี่ห้ออีซูซุ สีขาว คันดังกล่าวพร้อมด้วยอาวุธปืน 1 กระบอก และเครื่องกระสุนปืน ขนาด 9 มม. จำนวน 14 นัด และได้นำตัวพร้อมของกลางส่งพนักงานสอบสวน สภ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา เพื่อดำเนินคดีในความผิด ‘ร่วมกันจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1(ยาบ้าหรือเมทแอมเฟตามีน) โดยการมีไว้เพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต’ และกล่าวหาผู้ต้องหารายที่ 3 เพิ่มเติมว่า ‘มีอาวุธปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต’

โดยทางเจ้าหน้าที่ตำรวจคาดการณ์ว่า หากไม่มีการจับกุมสกัดกั้นยาเสพติดดังกล่าวไว้ได้ก่อน จะแพร่กระจายสู่ท้องตลาดซึ่งจะมีมูลค่าสูงถึงประมาณ 40,000,000 บาท

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่จะได้ขยายผลถึงผู้อยู่ในขบวนการค้ายาเสพติด และทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับการทำความผิด เพื่อนำมาดำเนินคดีต่อไป

‘สาวแสบ’ กุเรื่องป่วยหาเงินรักษา-หลอกขายแบรนด์เนม  ด้านเหยื่อสงสาร หลงโอนเงินให้ สุดท้ายไม่ได้ของ!!

เมื่อวันที่ 2 พ.ย. พ.ต.อ.วิทยา ศรีประเสริฐภาพ รรท.ผบก.ปคบ., สั่งการ พ.ต.อ.ไกรวิศท์ แสนทวีสุข ผกก.1 บก.ปคบ. พ.ต.ท.กฤษณ์ พิพัฒน์พูนสิริ สว.กก.1 บก.ปคบ. จับกุม นางอโณมา  อายุ 30 ปี ตามหมายจับศาลอาญา ที่ 3651/2566 ลง 25 ต.ค. 2566 ข้อหา “ฉ้อโกงประชาชน, นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลอันเป็นเท็จ” ได้ที่ หน้าวัดเจดีย์หลวง ถ.พระปกเกล้า ต.ศรีภูมิ อ.เมือง จ.เชียงใหม่

เนื่องจากผู้ต้องหารายนี้มีพฤติกรรมโพสต์ข้อความตามสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ อ้างว่า ตนเอง หรือ สามีป่วย ต้องเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาล จำเป็นต้องใช้เงิน ก่อนเสนอขายสินค้าจำพวกเสื้อผ้า กระเป๋าแบรนด์เนม ยี่ห้อต่างๆในราคาถูกราคาท้องตลาดทั่วไป จนมีผู้หลงเชื่อโอนเงินสั่งซื้อเพราะอยากช่วยเหลือเป็นจำนวนมาก แต่สุดท้ายกลับไม่ได้รับสินค้าตามที่ตกลงกันไว้ จึงเชื่อว่าเรื่องทั้งหมดเป็นการกุเรื่องขึ้นมาเพื่อหลอกลวงเงิน จึงรวมตัวเข้าแจ้งความไว้ที่ กก.1 บก.ปคบ. จนมีการออกหมายจับ และนำมาสู่การตามจับกุมตัวได้ดังกล่าว 

สอบสวน นางอโณมา ให้การปฏิเสธ เบื้องต้นจึงนำตัวส่งพนักงานสอบสวน กก.1 บก.ปคบ.ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป 

‘อธิบดีปค.’ สั่งบุกจับผับเถื่อนเชียงใหม่ แถมเสี่ยงไฟไหม้ หนำซ้ำ!! ปล่อยเด็กอายุต่ำกว่า 20 มั่วสุมดื่มสุรา 242 คน

สนธิกำลังชุดปฏิบัติการพิเศษกรมการปกครองและฝ่ายปกครองเชียงใหม่ ‘ปฏิบัติการป่าช้าแตก’ Kick Off จัดระเบียบสังคม ต้อนรับ 1 พ.ย.66 ตามนโยบาย มท.1 สามารถบุกจับ ‘เลอ เนิร์ฟ ผับ’ ย่านช้างเผือก กลางเมืองเชียงใหม่ ทำเอาผู้ฝ่าฝืนกฎหมายต้องสยองคืนฮาโลวีน โดยลักลอบเปิดอย่างผิดกฎหมาย ใช้บ้านไม้ดัดแปลงทำผับเถื่อนไร้ใบอนุญาต เสี่ยงเกิดเหตุเพลิงไหม้ ไม่มีทางหนีไฟ หนำซ้ำ ‘เด็ก’ แออัดเพียบถึง 242 คน

(1 พ.ย. 66) โดย นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ อธิบดีกรมการปกครอง (ปค.) สั่งการชุดปฏิบัติการพิเศษกรมการปกครอง นำโดยนายรณรงค์ ทิพย์ศิริ ผู้ตรวจราชการกรมการปกครอง ปฏิบัติหน้าที่ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการบังคับใช้กฎหมายพนักงานฝ่ายปกครอง สำนักการสอบสวนและนิติการ กรมการปกครอง พร้อมสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน กองบัญชาการกองอาสารักษาดินแดน กว่า 30 นาย บูรณาการร่วมกับนายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ พร้อมฝ่ายปกครองจังหวัดเชียงใหม่

นำโดย นายอรรถวุฒิ พึ่งเนียม ปลัดจังหวัดเชียงใหม่ นายสิทธิศักดิ์ อภิกุลชัยสุทธิ์ นายอำเภอเมืองเชียงใหม่ และนายดนัย สุขสกุล ป้องกันจังหวัดเชียงใหม่ นำกำลังเข้าจับกุมสถานบริการเถื่อน ‘เลอ เนิร์ฟ ผับ’ ย่านช้างเผือก อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่

นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ อธิบดีกรมการปกครอง เปิดเผยว่า ปฏิบัติการในครั้งนี้ เป็นไปตามนโยบายของนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่ได้กำชับให้ฝ่ายปกครองทั่วประเทศจัดตั้งชุดปฏิบัติการพิเศษเพื่อกวดขันปราบปรามผู้มีอิทธิพล การจัดระเบียบสังคม ยาเสพติด การค้ามนุษย์ การพนัน และอาวุธปืน โดยนายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย สั่งการให้กรมการปกครองบูรณาการจัดตั้งชุดปฏิบัติการฝ่ายปกครองร่วมกับทุกจังหวัดและเริ่ม Kick off ในวันที่ 1 พ.ย.66

“ชุดปฏิบัติการพิเศษกรมการปกครองได้สนธิกำลังกับชุดปฏิบัติการฝ่ายปกครองจังหวัดเชียงใหม่ วางแผนเข้าร่วมจับกุม ร้านเลอ เนิฟ หรือ NEUFXBAR ซึ่งมีการร้องเรียนจากประชาชนผู้อาศัยใกล้เคียงว่าเปิดให้บริการในลักษณะเป็นสถานบริการ มีอาหารเครื่องดื่มจำหน่าย ปล่อยปละละเลยให้มีเด็กอายุต่ำกว่า 20 ปี เข้าไปใช้บริการจำนวนมาก

ทั้งยังเปิดให้บริการจนถึงเวลา 02.00 น. ส่งเสียงดังรบกวนชาวบ้านข้างเคียงจนนอนไม่หลับ ซึ่งเมื่อพนักงานฝ่ายปกครองเข้าสืบสวนข้อเท็จจริงแล้วพบว่ามีการกระทำผิดจริงตามข้อร้องเรียน

กระทั่งเวลา 00.30 น. ของวันที่ 1 พ.ย.66 ได้เปิดปฏิบัติการ ‘ป่าช้าแตก’ บุกจู่โจมสถานบันเทิงละเมิดกฎหมายทันที โดยเมื่อชุดจับกุมเข้าไปถึงภายในผับ พบเป็นห้องปิดทึบ เปิดเพลงเสียงดังสนั่น แสงไฟเลเซอร์วิบวับ มีนักเที่ยวจำนวนเกือบ 300 คน กำลังมั่วสุมดื่มกินเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เต้นตามจังหวะเสียงดนตรีอย่างเมามัน นักเที่ยวกว่า 90% ของร้านเป็นเยาวชน

พนักงานฝ่ายปกครองจึงสั่งให้ปิดเพลงและเปิดไฟให้แสงสว่าง ทำให้ภายในผับเกิดความโกลาหล นักเที่ยวเด็กต่างตกใจและพยายามหลบหนีออกทางประตูหน้าร้านและหลังร้าน แต่ชุดจับกุมได้ปิดล้อมประตูไว้ทุกด้าน จึงทำให้นักเที่ยวไม่สามารถหนีออกไปได้ พนักงานฝ่ายปกครองได้ประกาศให้ทุกคนอยู่ในความสงบ

ทั้งนี้ จากการตรวจสอบ พบนักเที่ยวส่วนใหญ่เป็นเด็กนักเรียน นักศึกษา อายุระหว่าง 17 - 19 ปี ที่กำลังศึกษาสถาบันการศึกษาในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยสำหรับเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี พนักงานฝ่ายปกครองได้ประสานให้ทางสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดเชียงใหม่ รับตัวเด็กไปคุ้มครองสวัสดิภาพ และจัดทำประวัติ พร้อมแจ้งให้ผู้ปกครองมารับตัวไป” นายอรรษิษฐ์ กล่าว

นายอรรษิษฐ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในเบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อกล่าวหาแก่ผู้ดูแลร้าน 7 ฐานความผิด คือ…

1.ตั้งสถานบริการโดยไม่ได้รับอนุญาต 
2.จำหน่ายสุราให้กับเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี 
3.จำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้กับผู้มีอายุต่ำกว่า 20 ปี 
4.จำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เกินกว่าเวลาที่กฎหมายกำหนด 
5.ยุยงส่งเสริมให้เด็กประพฤติตนไม่สมควร 
6.โฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือแสดงชื่อหรือเครื่องหมายของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อันเป็นการอวดอ้างสรรพคุณหรือชักจูงใจให้ผู้อื่นดื่มโดยตรงหรือโดยอ้อม 
7.ดัดแปลงอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่น

นอกจากนี้ ยังเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 22/2558 ซึ่งเจ้าพนักงานฝ่ายปกครองชุดจับกุมจะได้เสนอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ออกคำสั่งปิดสถานที่ดังกล่าวเป็นเวลา 5 ปี และในส่วนของการดัดแปลงอาคาร โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่น นั้น ทางจังหวัดเชียงใหม่จะได้ประสานกับเทศบาลนครเชียงใหม่ เพื่อออกคำสั่งระงับการใช้อาคารดังกล่าวต่อไป

ด้าน นายรณรงค์ ทิพย์ศิริ ผู้ตรวจราชการกรมการปกครอง ปฏิบัติหน้าที่ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการบังคับใช้กฎหมายพนักงานฝ่ายปกครอง กล่าวว่า ผับแห่งนี้ นอกจากไม่มีใบอนุญาตตั้งสถานบริการแล้ว ยังพบว่ามีการดัดแปลงอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยใช้บ้านไม้สองชั้นนำมาดัดแปลงเป็นสถานบริการ มีเพดานห้องที่ต่ำมาก ไม่มีทางหนีไฟ หากเกิดเพลิงไหม้ จะต้องเกิดเหตุที่น่าสลด ดังนั้น จึงต้องทำการจับกุมดำเนินคดีไม่ให้เป็นตัวอย่าง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน

“ขอฝากเตือนไปยังผู้ประกอบการสถานบันเทิง ควรประกอบธุรกิจด้วยความมีจิตสำนึกรับผิดชอบต่อสังคม ไม่ฝ่าฝืนต่อกฎหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปล่อยปละละเลยให้เยาวชนที่อายุต่ำกว่า 20 ปี เข้าใช้บริการ การปล่อยปละละเลยให้มีการใช้ยาเสพติดในสถานบริการ และการพกพาอาวุธเข้าไปในสถานบริการ

หากพบว่าร้านใดยังคงฝ่าฝืนจะต้องถูกจับกุมดำเนินคดีและเสนอสั่งปิด 5 ปี ทุกร้าน เพื่อให้เป็นไปตามกฎหมาย และสอดคล้องกับนโยบายของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ซึ่งท่านมีความห่วงใยความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน จึงกำชับให้ฝ่ายปกครองทั่วประเทศเข้มงวดกวดขันบังคับใช้กฎหมายตามอำนาจหน้าที่ เพื่อให้สังคมเกิดความสงบสุข โดยหากประชาชนมีเบาะแสการกระทำผิด สามารถแจ้งต่อพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจในท้องที่ หรือร้องเรียนมายังศูนย์ดำรงธรรมอำเภอ ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัด หรือสายด่วน 1567 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง” นายรณรงค์ กล่าวเพิ่มเติม

ตำรวจภาค 4(ร้อยเอ็ด) สกัดยาบ้าทะลักเข้าทางอีสานกว่า 9 แสนเม็ด ขณะลำเลียงก่อนเข้าพื้นที่ชั้นใน

ตามนโยบายการแก้ไขปัญหายาเสพติดของนายกรัฐมนตรี และ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ที่มุ่งปราบปรามผู้ผลิตและผู้ค้ายาเสพติด โดยใช้มาตรการทางกฎหมายอย่างจริงจังและเด็ดขาด รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพในการสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติดตามแนวชายแดน หรือใช้ประเทศไทยเป็นเส้นทางผ่าน และใช้มาตรการยึดทรัพย์เพื่อตัดวงจรการค้ายาเสพติด ตำรวจภูธรภาค 4 ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผบช.ภ.4, พล.ต.ต.ธนชาติ รอดคลองตัน รอง ผบช.ภ.4, พล.ต.ต.พิตติศักดิ์ จำรัสประเสริฐ ผบก.ภ.จว.ร้อยเอ็ด, พ.ต.อ.สุริเดช วรรณสุทธิ์ รอง ผบก.ภ.จว.ร้อยเอ็ด,พ.ต.อ.วีระ หางนาค ผกก.สืบสวน ภ.จว.ร้อยเอ็ด โดยเมื่อวันที่ 23 ต.ค.66 ตำรวจชุดปราบปรามยาเสพติด ภ.จว.ร้อยเอ็ด สามารถสกัดจับกุมผู้ต้องหาขบวนการค้ายาเสพติด 3 คน ขณะกำลังขนยาบ้า 840,000 เม็ด เพื่อนำไปส่งลูกค้าในจังหวัดร้อยเอ็ด 

โดยกล่าวหาว่า ร่วมกันจำหน่ายโดยมีไว้เพื่อจำหน่ายซึ่งยาเสพติดให้โทษประเภท1(เมทแอมเฟตามีน) โดยไม่ได้รับอนุญาต อันเป็นการกระทำเพื่อการค้าและก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน จนทำให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐและความปลอดภัยของประชาชน ก่อนการจับกุม ตำรวจชุดปราบปรามยาเสพติด ภ.จว.ร้อยเอ็ด ได้สืบสวนติดตามพฤติการณ์ของขบวนการค้ายาเสพติดที่นำยาเสพติดจากชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน ส่งไปยังลูกค้าในพื้นที่ จ.ร้อยเอ็ด จนกระทั่งทราบว่าจะมีการขนยาบ้าล็อตใหญ่ผ่านทางจังหวัดร้อยเอ็ด อีกครั้ง จึงวางแผนจับกุม ต่อมาวันที่ 23 ต.ค 66 ตำรวจชุดจับกุม ได้พบรถกระบะยี่ห้อ Toyota สีดำ ทะเบียน xx 2825 อุบลราชธานี และรถกระบะยี่ห้อ Mitsubishi สีฟ้าทะเบียน xx 5891 มุกดาหาร ขับไปบนถนนสายโพนทอง อ.โพนทอง จ.ร้อยเอ็ด ซึ่งตรงกับข้อมูลที่สืบสวนทราบมาว่าเป็นรถขนยาเสพติด 

จึงได้สกัดจับกุม จากการตรวจค้นรถกระบะยี่ห้อ Mitsubishi ทะเบียน xx 5891 มุกดาหาร มีนายเชิดศักดิ์หรือเหลิน เป็นผู้ขับขี่ พบยาบ้าจำนวน 340,000 เม็ดภายในรถ ในขณะที่รถกระบะ Toyota ทะเบียน xx 2825 อุบลราชธานี ได้ขับขึ่หลบหนี ตำรวจชุดจับกุมจึงไล่ติดตามจนกระทั่งจับกุมได้ที่ บริเวณใกล้ป่าละเมาะข้างทาง อ.กมลาไสย จ.กาฬสินธุ์ โดยมีนายธนากรหรือชล เป็นผู้ขับขี่ และมีนางประมวญหรือมวล นั่งไปด้วย ซึ่งรับว่านำยาบ้าจำนวน 490,000 เม็ด ซุกซ่อนไว้ภายในป่าละเมาะ ตำรวจชุดจับกุมยึดเป็นของกลาง จากนั้นจึงจับกุมตัวผู้ต้องหา พร้อมของกลางยาบ้ารวมทั้งสิ้น 830,000 เม็ด นำส่งพนักงานสอบสวน สภ.โพนทอง ดำเนินคดีตามกฎหมาย และสอบสวนขยายผลหาผู้สั่งการและผู้ร่วมขบวนการ รวมทั้งดำเนินการตามมาตรการยึดทรัพย์ เพื่อตัดวงจรการค้ายาเสพติดต่อไป

ธรรมะประจำวันอาทิตย์ที่ 22 ตุลาคม 2566

ผิดหวัง...ให้เริ่มใหม่
ผิดใจ...ให้พูดจากัน
ผิดพลาด...ให้โอกาสกัน
ผิดมหันต์...จงยอมรับผลกรรม

- หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน -


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top