Saturday, 27 April 2024
SPECIAL

ผบ.ตร.สั่งด่วนให้ ผบช.ก. นำชุดหนุมานประสาน ภ.7 ไล่ล่าคนร้ายอุกอาจยิงสารวัตรทางหลวงดับ หากขัดขืนใช้มาตรการขั้นเด็ดขาด พร้อมสั่งปูพรมกวาดล้างอิทธิพลในพื้นที่ ขยายผลดำเนินการผู้เกี่ยวข้องทุกราย

วันนี้ (7 ก.ย.66 ) พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า  “กรณีเหตุคนร้ายอุกอาจเหิมเกริม ยิงตำรวจทางหลวง พ.ต.ต.ศิวกร สายบัว สว.ส.ทล.1 กก.2 บก.ทล. เสียชีวิต และ  พ.ต.ท.วศิน พันปี รอง ผกก.2 บก.ทล. บาดเจ็บสาหัส เหตุเกิดในพื้นที่ ต.ตาก้อง อ.เมือง จ.นครปฐม เมื่อคืนที่ผ่านมา พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร.ได้รับทราบแล้ว สั่งการด่วนให้ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. พร้อมชุดหนุมาน และ พล.ต.ท.ธนายุตม์ วุฒิจรัสธำรงค์ ผบช.ภ.7 เร่งรัดออกหมายจับคนร้ายที่ก่อเหตุ ซึ่งตำรวจรู้ตัวแล้ว พร้อมไล่ล่าติดตามจับกุมมาดำเนินคดีให้ได้โดยเร็ว หากขัดขืนพร้อมจะใช้มาตรการเด็ดขาดดำเนินการ

ผบ.ตร.ยังได้สั่งการเพิ่มเติม ให้ ผบช.ภ.7 และ ผบช.ก ปูพรมระดมกวาดล้างอิทธิพลในพื้นที่ เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่รับไม่ได้ คนร้ายไม่เกรงกลัวกฎหมาย โดยให้เน้นตรวจค้นอาวุธปืน ยาเสพติด สิ่งผิดกฎหมายอื่นๆ รวมทั้งการขยายผลดำเนินการกับผู้เกี่ยวข้องทุกราย"

‘นิวัติไชย’ ยัน!! ป.ป.ช.ชี้มูล 15 ผู้ถูกกล่าวหา ‘คดีบอส’ จริง พบ ‘สมยศ-เนตร’ โดนด้วย ส่วน ‘เพิ่มพูน’ ผิดวินัยไม่ร้ายแรง

(6 ก.ย. 66) นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ยืนยันข้อเท็จจริงว่า ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดผู้ถูกกล่าวหาในคดีกลับคำสั่งไม่ฟ้องนายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือ ‘บอส’ ในข้อหาขับรถยนต์ชน ‘ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ’ เสียชีวิตเมื่อปี 2555 เนื่องจากมีการเปลี่ยนพยานหลักฐานด้านความเร็วของรถไปแล้วจริง เมื่อวันที่ 5 ก.ย. 2566

นายนิวัติไชย ยอมรับว่า ผู้ถูกกล่าวหาที่ถูกชี้มูลความผิดนั้นจำรายละเอียดทั้งหมดไม่ได้ ต้องรอให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.รับรองรายงานการประชุม ก่อนจะแถลงข่าวกับสื่อมวลชนต่อไป อย่างไรก็ดี ในส่วนของผู้ถูกกล่าวหาหลัก เช่น พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง อดีต ผบ.ตร. และนายเนตร นาคสุข อดีตรองอัยการสูงสุด (อสส.) โดนชี้มูลความผิดไปทั้งหมด

ส่วน พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ อดีตผู้ช่วย ผบ.ตร. ที่ถูกกล่าวหาในคดีนี้เมื่อครั้งยศ พล.ต.ท. ถูกที่ประชุมชี้มูลความผิดด้วยเช่นกัน แต่เป็นความผิดวินัยไม่ร้ายแรง และส่งเรื่องให้ต้นสังกัดไปดำเนินการทางวินัยแล้ว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คดีนี้มีผู้ถูกกล่าวหาทั้งหมด 15 ราย ได้แก่ ทั้งอดีตข้าราชการตำรวจชั้นผู้ใหญ่ที่เกษียณอายุราชการไปแล้ว และยังรับราชการอยู่ พนักงานสอบสวน พนักงานอัยการ นักการเมือง เป็นต้น

ด่วน!! ออกหมายจับ ‘อิทธิพล คุณปลื้ม’ หลังเบี้ยวนัดศาล คดีอนุมัติสร้างคอนโดหรู บริเวณเชิงเขาพระตำหนัก เมืองพัทยา

(6 ก.ย. 66) นายโกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวถึงกรณีศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 2 จังหวัดระยอง ได้ออกหมายจับ นายอิทธิพล คุณปลื้ม อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกเมืองพัทยา ในความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่มิชอบฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 กรณีพิจารณาออกใบอนุญาตก่อสร้างอาคาร ลงวันที่ 10 กันยายน 2551 ให้แก่บริษัท บาลี ฮาย จำกัด เพื่อก่อสร้างอาคารโครงการวอเตอร์ฟรอนท์ฯ บริเวณเชิงเขาพระตำหนัก เมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี ไม่ถูกต้องตามกฎหมายว่า…

เรื่องดังกล่าวได้ทราบจาก นายคำนึง วงษ์ทวีทรัพย์ อธิบดีอัยการ สำนักงานคดีปราบปรามการทุจริตภาค 2 ว่าพนักงานอัยการสำนักงานคดีปราบปรามการทุจริตภาค 2 ได้นัดให้ ป.ป.ช. นำตัวนายอิทธิพลมาพบพนักงานอัยการ เพื่อยื่นฟ้องคดีเมื่อวันที่ 4 ก.ย.ที่ผ่านมา แต่นายอิทธิพลไม่เดินทางมาตามนัด พนักงานอัยการจึงแจ้งให้ ป.ป.ช.ผู้ร้องไปดำเนินการขอศาลออกหมายจับ และศาลออกหมายจับเมื่อวันที่ 5 ก.ย. พนักงานอัยการมีหน้าที่ประสานให้นำตัวผู้ต้องหามาส่งฟ้องตามกฎหมายต่อไป

“คดีนี้ ป.ป.ช.ส่งเรื่องให้อัยการเมื่อวันที่ 3 ส.ค. อัยการสูงสุดพิจารณาสั่งฟ้อง 30 ส.ค. คดีอยู่ที่อัยการไม่ถึงเดือน” นายโกศลวัฒน์ กล่าว

ตำรวจไซเบอร์ ตามรวบเอเย่นต์รับซื้อบัญชีม้า ตุ๋นเหยื่อสูญเงินกว่า 2.5 ล้าน

กองบังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 1 จับกุมเอเย่นต์รับซื้อบัญชีม้า ในขบวนการแอบอ้างเป็นหญิงสาวหน้าตาดี เข้ามาตีสนิทผ่านโลกออนไลน์ ลวงเหยื่อลงทุนเทรดเงินดิจิทัล ผลตอบแทนสูงร้อยละ 50 สูญเงินรวมกว่า 2.5 ล้านบาท

สืบเนื่องจากเมื่อเดือนธันวาคม 2565 ที่ผ่านมา มีประชาชนซึ่งตกเป็นผู้เสียหาย จากการถูกกลุ่มขบวนการ Hybrid Scam หลอกให้รักแล้วลงทุน ใช้โปรไฟล์หญิงสาวหน้าตาดี เข้ามาทักทายตีสนิทผ่านทางเฟสบุ๊ค จากนั้นได้มีการพูดคุยติดต่อกันทางแอปพลิเคชั่น ไลน์ และได้เริ่มชักชวนให้ผู้เสียหายลงทุนเทรด ซื้อขายเงินสกุลดิจิทัล USDT ซึ่งมีผลตอบแทนสูงถึงร้อยละ 50 ของเงินลงทุน เมื่อผู้เสียหายสนใจ คนร้ายได้ส่งแพลตฟอร์ม Bidget-coins เพื่อให้ผู้เสียหายสมัครสมาชิกเข้าไปลงทุน ซึ่งในช่วงแรกสามารถทำกำไรและเบิกถอนเงินได้ตามปกติ จนกระทั่งผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินเข้าบัญชีคนร้าย จำนวน 7 ครั้ง รวมเป็นเงินกว่า 2,588,000 บาท ต่อมาไม่สามารถถอนเงินออกมาได้ โดยคนร้ายใช้ข้ออ้างต่างๆ เช่น ต้องชำระค่าภาษีหรือค่าธรรมเนียม หรือ ต้องเพิ่มการลงทุนให้มากขึ้น จึงจะถอนเงินได้ เมื่อผู้เสียหายรู้ตัวว่าถูกหลอกจึงได้มาร้องทุกข์กับ กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พล.ต.ต.ชัชปัณฑกาณฑ์ คล้ายคลึง ผบก.สอท.1 จึงได้สั่งการให้ทำการสืบสวนสอบสวนและติดตามจับกุมกลุ่มคนร้ายมาดำเนินคดีให้ได้โดยเร็ว จนกระทั่งต่อมาชุดสืบสวน กก.4 บก.สอท.1  สามารถจับกุมขบวนการนี้ไว้ได้ ซึ่งได้ให้การรับสารภาพและซัดทอดว่า นายธานุศักดิ์ฯ หรือเกมส์ (ขอสงวนนามสกุล) เป็นผู้ว่าจ้างให้เปิดบัญชี จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานและขออนุมัติศาลอาญาออกหมายจับผู้ต้องหานี้ไว้

ต่อมาวันที่ 5 กันยายน 2566 พล.ต.ต.ชัชปัณฑกาณฑ์ คล้ายคลึง ผบก.สอท.1 พ.ต.อ.ทำนุรัฐ คงมั่น รอง ผบก.สอท.1 พร้อมกำลังฝ่ายสืบสวน กก.4 บก.สอท.1 นำกำลังเข้าจับกุมตัว นายธานุศักดิ์ หรือ เกมส์ (สงวนนามสกุล) อายุ 21 ปี ผู้ต้องหา ซึ่งทำหน้าที่ชักชวนและว่าจ้างให้เปิดบัญชี เพื่อรวบรวมบัญชีม้าไปส่งให้นายทุนใหญ่อีกทอดหนึ่ง ได้ที่ บริเวณบ้านเอื้ออาทร ซอยรังสิตนครนายก 24 ต.ประชาธิปัตย์ อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี ในความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่น , นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน” นอกจากนี้จากการตรวจสอบประวัติยังพบว่า ผู้ต้องหามีประวัติพัวพันกับยาเสพติดก่อนหน้านี้เคยถูกจับกุมตัวมาแล้วหลายครั้ง

พล.ต.ต.ชัชปัณฑกานต์ฯ กล่าวว่า “จากการจับกุมบัญชีม้าก่อนหน้านี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รวบรวมพยานหลักฐาน และขยายผลจนทราบว่า นายธานุศักดิ์ ทำหน้าที่ชักชวนคอยหาบัญชีม้าให้กับกลุ่มมิจฉาชีพโดยว่าจ้างให้เปิดบัญชีธนาคาร และลงทะเบียนซิมการ์ดโทรศัพท์ (บัญชีม้า ซิมม้า) โดยให้ค่าตอบแทนบัญชีละ 700 บาท ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจจะได้ขยายผลไปยังนายทุนผู้อยู่เบื้องหลังต่อไป”

พล.ต.ต.ชัชปัณฑกานต์ฯ ผบก.สอท.1 ได้ฝากเตือนไปยังพี่น้องประชาชนว่าอย่าได้หลงเชื่อหรือตกเป็นเหยื่อ โดยไม่ควรรับแอดเพื่อนในสื่อสังคมออนไลน์ที่ไม่รู้จัก หากจะรับขอให้ตรวจสอบข้อมูลในบัญชีให้ดี และหากมีการชักชวนลงทุนในสกุลเงินดิจิทัล ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นมิจฉาชีพ และควรตรวจสอบความน่าเชื่อถือของการลงทุนอีกด้วย หากมีข้อสงสัยสามารถปรึกษาสอบถาม สายด่วน ตำรวจไซเบอร์ 1441 ได้ทันที

ปส. ลุยกวาดล้าง จับกุม 13 เครือข่ายยาเสพติด จับกุมผู้ต้องหา 26 คน ยึดยาบ้า 17.27 ล้านเม็ด, ไอซ์ 1,470 กก. และคีตามีน 90 กก. รถยนต์ 20 คัน อาวุธปืนสั้น 1 กระบอก

เมื่อวันที่ 5 ก.ย.66 เวลา 10.00 น. พล.ต.อ.ชินภัทร สารสิน รอง ผบ.ตร./ผอ.ศอ.ปส.ตร.,พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ศอ.ปส.ตร., พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผบช.ปส., พล.ต.ต.พลัฏฐ์ วิเศษสิงห์ ผบก.สกส., พล.ต.ต.สมกิต พุ่มวารี ผบก.ขส., พล.ต.ต.พรศักดิ์  สุรสิทธิ์ ผบก.ปส.4 และ พล.ต.ต.ธรรัชน์ สอนกล้า ผบก.ปส.2 พร้อมด้วย เจ้าหน้าที่ ป.ป.ส. และ กอ.รมน. ร่วมแถลงผลการจับกุมเครือข่ายยาเสพติดตามนโยบายของ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร.ให้กวาดล้างจับกุมเครือข่ายยาเสพติดรายใหญ่และรายย่อยให้หมดสิ้นโดยเร็ว ล่าสุดตำรวจ ปส.(NSB) ได้จับกุมขบวนการค้า  ยาเสพติด 13 เครือข่ายยาเสพติด จับกุมผู้ต้องหา 26 คน ยึดยาบ้า 17.27 ล้านเม็ด, ไอซ์ 1,320 กก. และคีตามีน 90 กก. รถยนต์ 20 คัน อาวุธปืนสั้น 1 กระบอก

โดยรายแรก ตำรวจ ปส.3 ได้สืบสวนทราบว่า นายแสง ซึ่งเป็นคนในพื้นที่ อ.แม่สาย จ.เชียงราย ใช้แอปพลิเคชันไลน์ชื่อ “โอปอ” จะทำการลักลอบลำเลียงยาเสพติดไอซ์ และคีตามีน จำนวนมาก โดยซุกซ่อนมากับรถยนต์กระบะ ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นวีโก้ สีดำ ทะเบียน ฒธ 52xx กรุงเทพมหานคร จากพื้นที่ อ.แม่สาย จ.เชียงราย ลำเลียงเข้าสู่พื้นที่ตอนในของประเทศ จึงได้เฝ้าติดตาม จนกระทั่งเมื่อวันที่ 10 ส.ค.66 เวลาประมาณ 18.30 น. ตำรวจชุดสืบสวนเข้าทำการตรวจสอบในพื้นที่ ถนนหมายเลข 1 บ้านสันทรายปู่ยี่ หมู่ 4 ต.โป่งผา อ.แม่สาย จ.เชียงราย พบรถยนต์เป้าหมายจอดอยู่บริเวณไหล่ทาง จึงได้เข้าทำ การตรวจสอบไม่พบบุคคลแสดงตัวเป็นเจ้าของรถยนต์ ตรวจค้นเบื้องต้น พบว่าภายในรถกระบะบรรทุกมีแม็กไลน์เนอร์ ซึ่งมีลักษณะได้รับการติดตั้งใหม่ พบรอยเชื่อมของกระบะบรรทุกมีระดับความสูงของกระบะผิดปกติ จึงตรวจสอบโดยละเอียด พบไอซ์ 22 กิโลกรัม และคีตามีน 50 กิโลกรัม ซุกซ่อนอยู่ภายในช่องลับดัดแปลงสำหรับซุกซ่อนยาเสพติดใต้กระบะบรรทุกของรถยนต์คันดังกล่าว เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมทำการตรวจยึดของกลางทั้งหมด  ส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมาย เพื่อขยายผลติดตามออกหมายจับบุคคล ในเครือข่ายและยึดทรัพย์สินตามประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ.2564 ต่อไป

รายที่ 2 ตำรวจ ปส.3 ได้สืบสวนทราบว่า นายสุรพงษ์ ซึ่งมีพฤติการณ์รับจ้างลำเลียงยาเสพติดจากเครือข่าย กลุ่มชาติพันธุ์ม้ง ในพื้นที่ อ.ภูซาง และ อ.เชียงคำ จ.พะเยา โดยใช้วิธีการซุกซ่อนไปกับพืชผลทางการเกษตรและสินค้าอื่น ๆ เพื่ออำพรางการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ ส่งให้กับกลุ่มเครือข่ายในพื้นที่ จ.พระนครศรีอยุธยา และปริมณฑล โดยใช้รถบรรทุก 6 ล้อ ยี่ห้ออีซูซุ สีขาวเทาน้ำเงิน ทะเบียน 70-86xx ลำปาง ในการลำเลียงยาเสพติด ตำรวจชุดสืบสวนจึงได้เฝ้าติดตาม กระทั่งวันที่ 14 ส.ค.66 เวลาประมาณ 03.00 น. ตำรวจ ปส.3 พบรถเป้าหมาย ขับมาจากทาง อ.เชียงคำ จ.พะเยา มุ่งหน้าไปทาง อ.เมือง จ.พะเยา สังเกตมีผ้าใบคลุมส่วนท้าย และใช้ถนนเส้นทางรองเพื่อหลบเลี่ยงด่านตรวจ ต่อมาเวลาประมาณ 10.30 น. ของวันเดียวกัน พบรถยนต์เป้าหมายได้ขับไปจอดที่บริเวณร้านอาหารแห่งหนึ่ง บนถนนสายเอเชีย อ.บางระกำ จ.พิษณุโลก จึงได้แสดงตัวและขอทำการตรวจค้น พบกระดาษแข็งมัดอัดเป็นก้อนอยู่เต็มภายในกระบะบรรทุก พบช่องลับมีถุงพลาสติก สีดำบรรจุกระดาษแข็งปิดไว้ สอบถามนายสุรพงษ์ รับสารภาพว่า มียาเสพติดซุกซ่อนอยู่ จึงควบคุมตัวนายสุรพงษ์ พร้อมรถบรรทุก 6 ล้อ ไปที่ด่านตรวจ พยุหะคีรี ต.ย่านมัทรี อ.พยุหะคีรี จ.นครสวรรค์ ตรวจค้นโดยละเอียดพบยาบ้าจำนวน 30 กระสอบ ประมาณ 6,000,000 เม็ด ทำการตรวจยึดของกลางทั้งหมด ส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมาย เพื่อขยายผลติดตามออกหมายจับบุคคล ในเครือข่ายและยึดทรัพย์สินตามประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ.2564 ต่อไป

รายที่ 3 ตำรวจ บก.สกส. ร่วมกับ บก.ขส.บช.ปส. ได้สืบสวนขยายผลจากการจับกุมนายสือ กับพวก พร้อมของกลางยาบ้า 4,000,000 เม็ด เมื่อวันที่ 13 พ.ค.66 ที่ผ่านมา ในพื้นที่ อ.บางปะหัน จ.พระนครศรีอยุธยา  จากการสืบสวนขยายผลเพิ่มเติม พบว่ายังมีกลุ่มลักลอบลำเลียงยาเสพติดเป็นชาติพันธุ์ม้ง ชื่อนายสัตยา กับพวก ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับกลุ่มผู้ต้องหาที่ถูกจับกุม มีพฤติการณ์รับจ้างกลุ่มนายทุนยาเสพติดลำเลียง ยาเสพติดจากพื้นที่ จ.เชียงราย ส่งให้กับลูกค้าของผู้ว่าจ้าง ในพื้นที่ภาคกลางเช่นเดียวกัน จนกระทั่งเมื่อวันที่ 14 ส.ค.66 เวลาประมาณ 10.30 น. สามารถจับกุมนายสัตยา เป็นผู้ขับขี่รถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล ยี่ห้อ TOYOTA สีเทา ทะเบียน บร 74XX กำแพงเพชร ซึ่งใช้ในการลำเลียงยาเสพติด ได้ที่รีสอร์ตแห่งหนึ่ง ในพื้นที่ ต.บ้านใหม่สุขเกษม อ.กงไกรลาศ จ.สุโขทัย พร้อมของกลางยาบ้า 1,000,000 เม็ด และ ไอซ์ 200 กิโลกรัม ซุกซ่อนอยู่บริเวณท้ายกระบะและภายในห้องโดยสารด้านหลัง ต่อมา เวลา 10.40 น. สามารถจับกุมนายวิวัฒน์ และนางดี พร้อมรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล ยี่ห้อ ISUZU สีน้ำเงิน หมายเลขทะเบียน บฉ 74XX ตาก ซึ่งใช้ในการขับขี่นำทาง/ สำรวจเส้นทาง/คุ้มกัน ที่รีสอร์ตแห่งหนึ่ง ในพื้นที่ ต.มะตูม อ.พรหมพิราม จ.พิษณุโลก ตำรวจชุดจับกุมทำการตรวจยึดของกลางทั้งหมด ส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมาย เพื่อขยายผลติดตามออกหมายจับบุคคล ในเครือข่ายและยึดทรัพย์สินตามประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ.2564 ต่อไป

รายที่ 4 ตำรวจ บก.สกส. ได้สืบสวนทราบว่า นายจิตวัต มีพฤติการณ์ในการลักลอบลำเลียงยาเสพติดจาก จ.เชียงใหม่ มาส่งให้กับลูกค้าของผู้ว่าจ้างในเขตพื้นที่ภาคกลาง จนกระทั่งวันที่ 18 ส.ค.66  เวลาประมาณ 02.45 น. พบรถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน ยี่ห้อ CHEVROLET สีเทา ทะเบียน 1ฒบ 76XX กทม. จอดรถทิ้งไว้ข้างทางบริเวณถนนในหมู่บ้าน ม.7 ต.กลางดง อ.ทุ่งเสลี่ยม จ.สุโขทัย ไม่พบผู้ขับขี่และผู้โดยสาร จากการตรวจค้น พบยาบ้า 1,900,000 เม็ด ซุกซ่อนอยู่บริเวณภายในห้องโดยสารด้านหลังผู้ขับขี่ ต่อมา เวลา 16.30 น. ของวันเดียวกัน สามารถติดตามจับกุมนายจิตวัต ได้ที่บริเวณ ริมคลอง ต.กลางดง อ.ทุ่งเสลี่ยม จ.สุโขทัย และสามารถยึดรถยนต์ ISUZU สีขาว หมายเลขทะเบียน กฉ 31XX อุทัยธานี ได้ที่บริเวณบ้านแห่งหนึ่ง ม.8 ต.บางปะมุง อ.โกรกพระ จ.นครสวรรค์ ซึ่งรถยนต์คันดังกล่าวได้หลบหนีการจับกุม ของเจ้าหน้าที่ระหว่างทำการจับกุม ตำรวจชุดจับกุมทำการตรวจยึดของกลางทั้งหมด ส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีและขยายผลติดตามออกหมายจับบุคคลในเครือข่ายและยึดทรัพย์สินตามประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ.2564 ต่อไป

รายที่ 5 ตำรวจ บก.สกส. ได้สืบสวนทราบว่า นายชาญชัย และนายบุญหลา ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทกัน กับพวก มีพฤติการณ์ร่วมกันลักลอบลำเลียงยาเสพติดจากพื้นที่ทางภาคเหนือ นำมาส่งให้กับลูกค้าของผู้ว่าจ้าง ในพื้นที่ภาคกลาง จนกระทั่ง วันที่ 18 ส.ค.66 เวลาประมาณ 17.00 น. สามารถจับกุมนายชาญชัย พร้อมของกลางยาบ้า 6,000,000 เม็ด ซุกซ่อนอยู่ภายในกระบะบรรทุกด้านหลังรถบรรทุก ยี่ห้อ HINO สีขาว ทะเบียน 70-73XX อุบลราชธานี ซึ่งใช้ในการซุกซ่อนและลำเลียง ยาเสพติด และสามารถขยายผลจับกุมนายบุญหลา เป็นผู้ขับขี่รถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล ยี่ห้อ TOYOTA สีเทา ทะเบียน ผธ 81XX อุบลราชธานี ซึ่งใช้ในการคุ้มกัน/สำรวจเส้นทาง ได้ที่บริเวณด่านตรวจยาเสพติดพยุหะคีรี อ.พยุหะคีรี จ.นครสวรรค์ และขยายผลจับกุมนายโจ ขับรถยนต์ HONDA สีขาว ทะเบียน 3กพ 45XX กทม. ซึ่งใช้ในการมารับของกลางยาเสพติด มีนายธนพนธ์ นั่งมาด้วย  และน.ส.ภาณุมาศ ขับขี่รถยนต์ TOYOTA สีดำ ทะเบียน 3ขถ 61XX กรุงเทพมหานคร ซึ่งใช้ในการมารับของกลางยาเสพติด มีนายเสกสรร และนายภูมินันท์ นั่งมาด้วย ได้ที่บริเวณทางคู่ขนาน ถ.พหลโยธินขาออก ต.ลำไทร อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมทำการตรวจยึดของกลางทั้งหมด ส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมาย เพื่อขยายผลติดตามออกหมายจับบุคคล ในเครือข่ายและยึดทรัพย์สินตามประมวลกฎหมาย ยาเสพติด พ.ศ.2564 ต่อไป

รายที่ 6 ตำรวจ ปส.4 ได้ทำการสืบสวนขยายผลกลุ่มเครือข่ายนักค้ายาเสพติด กระทั่งทราบว่าวันที่ 13 ส.ค.66 จะมีการลักลอบลำเลียงยาเสพติดจากพื้นที่ภาคกลางไปยังพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยใช้รถกระบะแบบมีตู้ทึบด้านหลัง ยี่ห้ออีซูซุ ทะเบียน 2ฒห 2xxx กทม. ซุกซ่อนยาเสพติด ตำรวจชุดจับกุมจึงได้เฝ้าติดตาม จนพบว่ามีการนัดส่งมอบยาเสพติด ด้านหลังตลาดไอยรา จ.ปทุมธานี จากการเฝ้าสังเกตการณ์พบมีผู้ชาย 3 คน ช่วยกันยกกล่องลังโฟมสีขาวจากรถบรรทุก ทะเบียน 70-xxxx ลำปาง ไปใส่รถกระบะแบบตู้ทึบด้านหลัง ยี่ห้ออีซูซุ ทะเบียน 2ฒห 2xxx กทม. หลังจากนั้น ได้ขับมุ่งหน้าออกไปทางถนนคลองหลวง ต.คลองสอง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี และจอดส่งนายศิรากร ที่บริเวณปาก ซ.เทศบาล 3 ต.คลองสอง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี และมีรถยนต์เก๋ง ยี่ห้อฮอนด้า ทะเบียน 9กล xxxx กทม. ขับมารับ ต่อมารถยนต์กระบะตู้ทึบยี่ห้ออีซูซุ ทะเบียน 2ฒห 2xxx กรุงเทพมหานคร ซึ่งมีนายอนุชาติ เป็นคนขับ และนายนคเรศ นั่งโดยสารมาด้วย ได้ขับเข้าไปจอด หน้าธนาคารกรุงเทพ อ.คลองหลวง  จ.ปทุมธานี ตำรวจชุดจับกุม จึงได้แสดงตัวขอตรวจสอบสิ่งของหลังรถคันดังกล่าว ผลการตรวจค้นพบไอซ์ 500 กิโลกรัม บรรจุอยู่ในถุงชาสีเขียวภายในกระสอบสีขาวในกล่องลังโฟม สีขาว และได้ติดตามจับกุมนายศิรากร ได้ที่บริเวณร้านค้าในพื้นที่  อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมทำการตรวจยึดของกลางทั้งหมด

‘สืบสวนภาค 9’ ปฏิบัติการจับกุม ‘บ่าว ศรีชุมพวง’ มือปืนรับจ้างบัญชีดำ พบ ‘ปืน-กระสุน’ ในบ้านพักเพียบ

(4 ก.ย. 66) มีรายงานว่าเมื่อเวลา 13.00 น. เมื่อ 3 กันยายน ตำรวจชุดสืบสวนภาค 9 ร่วมกับชุดสืบสวนภาค 8 นำโดย พ.ต.อ.ศักดา เจริญกุล รอง ผบก.สส.ภ.9, พ.ต.อ.สมพงษ์ สุวรรณวงศ์ รอง ผบก.สส.ภ.9  พ.ต.อ.ธนวัต เส้งสุย ผกก.สส. 3 ภ.9 พ.ต.อ.กองทัพ เสนาทิพย์ ผกก.ปพ.สส.ภ.9 สนธิกำลังตำรวจชุดสืบสวนทั้งจากภาค 9 และภาค 8 พร้อมอาวุธครบมือ

ปฏิบัติการจู่โจมเข้าจับกุม นายนิพนธ์ ศรีชุมพวง อายุ 41 ปี หรือบ่าว มือปืนรับจ้าง และผู้ต้องหาลำดับที่ 186 ตามปฏิบัติหมายจับหรือแบล็คลิสต์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และตามหมายจับของศาลจังหวัดนาทวี ที่ จ.22/2561 ลง 12 ก.พ.61 ในข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน, ร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืน ที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครองและร่วมกันพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยไม่มีเหตุจำเป็นและเร่งด่วนตามควรแก่พฤติการณ์

ขณะกบดานอยู่ที่บ้านพักในสวนยางพารา พื้นที่บ้านน้ำนิ่ง ต.บ้านลำนาว อ.บางขัน จ.นครศรีธรรมราช และสามารถรวบตัวเอาไว้ได้โดยไม่ได้ต่อสู้หรือขัดขืน

จากการตรวจค้นในบ้านพักพบของกลางเป็นยาบ้าเปียกน้ำจำนวนหนึ่ง และอาวุธปืน 4 กระบอก พร้อมเครื่องกระสุน ประกอบด้วย, อาวุธปืนพกสั้น แบบออโตเมติก ขนาด .45 จำนวน 1 กระบอก พร้อมกระสุนปืน .45 จำนวน 27 นัด, อาวุธปืนสงคราม คาร์บิน 1 กระบอก พร้อมกระสุนปืน .30 คาร์ไบน์ จำนวน 21 นัด, อาวุธปืนลูกซองยาวเดี่ยว 1 กระบอกพร้อมกระสุนปืนลูกซอง, อาวุธปืนลูกกรดยาว .22 จำนวน 2 กระบอก พร้อมกระสุนปืน .22 จำนวน 30 นัด

โดยเฉพาะอาวุธปืนคาร์บินนั้น ต้องสงสัยว่าเคยถูกใช้ก่อเหตุมาแล้วในพื้นที่ อ.สะเดา จ.สงขลา เมื่อปี 2560 ซึ่งคนร้ายใช้อาวุธปืนคาร์บินในการก่อเหตุ และเป็นคดีที่นายนิพนธ์ ร่วมก่อเหตุและถูกออกหมายจับ เจ้าหน้าที่ได้ส่งไปตรวจพิสูจน์ที่ศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 9 เพื่อดูว่าตรงกับปลอกกระสุนปืนที่ใช้ก่อเหตุในคดีนี้หรือไม่

เบื้องต้นได้แจ้งข้อหาตามหมายจับ 3 ข้อหา คือร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน, ร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครอง, และร่วมกันพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยไม่มีเหตุจำเป็นและเร่งด่วนตามควรแก่พฤติการณ์ คุมตัวส่งพนักงานสอบ สภ.สะเดา จ.สงขลา พื้นที่เกิดเหตุที่เคยก่อเหตุและถูกออกหมายเพื่อดำเนินคดี

สำหรับประวัติของ นายนิพนธ์ ศรีชุมพวง อายุ 41 ปี หรือบ่าว เป็นหนึ่งในมือปืนรับจ้าง หนึ่งในคดีดังที่เคยก่อเหตุคือ รับงานฆ่านายอาคม พรมโสภา อายุ 56 ปี หัวหน้าฝ่ายผลิตของโรงงานหาดใหญ่รับเบอร์ เสียชีวิตในบ้านพัก ซึ่งเปิดเป็นร้านขายชำ ที่ ต.ปริก อ.สะเดา จ.สงขลา โดยใช้อาวุธปืนคาร์บินยิงถล่มจนตายคาบ้าน เหตุเกิดเมื่อคืนวันที่ 18 ธันวาคม 2560

คดีนี้มีผู้ถูกออกหมายจับทั้งหมด 5 คน และจับกุมได้แล้ว 3 คน มีนายน้อย สัจจมาตย์ อายุ 52 ปี ชาว อ.สะเดา ผู้จ้างวาน นายอาดัม หมัดเลียด อายุ 54 ปี ชาว อ.สะเดา จ.สงขลา คนดูต้นทาง และนายสมใจ แก้วแหร้ อายุ 53 ปี ชาว อ.สิงหนคร จ.สงขลา คนจัดหามือปืนและจัดหาอาวุธปืนคาร์บิน และหลบหนีอีก 2 คน คือนายกมลชัย หรือบรรณ สูงศักดิ์ อายุ 54 ปี ชาว อ.หาดใหญ่ คนจัดหารถยนต์เก๋งที่ใช้ในการก่อเหตุ และนายนิพนธ์ หรือบ่าว ศรีชุมพวง อายุ 35 ปี ชาว อ.ชะอวด จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นมือปืนที่เป็นผู้ลงมือสังหาร

พล.ต.ท.รณศิลป์ กล่าวว่า ส่วนสาเหตุมาจากความขัดแย้งเกี่ยวกับเงินกู้นอกระบบและธุรกิจมืด ระหว่างนายน้อย ผู้จ้างวาน กับนายอาคม ผู้ตาย จึงได้ว่าจ้างทีมมือปืนทั้งหมดมายิงนายอาคม ในราคา 2 แสนบาท มีการวางแผนการทำงานอย่างเป็นขั้นตอน ทั้งขณะลงมือก่อเหตุและการหลบหนี โดยส่งคนไปเฝ้าจับตา นายอาคม ก่อนที่จะประสานทีมมือปืนขับรถเก่งมายิงถล่มจนเสียชีวิต รวมทั้งการเปลี่ยนรถอีกคันมารับตัวมือปืนหนีไป

‘บก.ปอศ.’ บุกจับหนุ่มแสบ หลอกตุ๋นเหยื่อลงทุนหุ้น IPO  เสียหายกว่า 3.4 ลบ. เบื้องต้นยังให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา

(3 ก.ย. 66) กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดย กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก.ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมนำโดย พ.ต.ต.หญิง ปวีณวรรณ สินธุชัย สว.กก.๓ บก.ปอศ., ร.ต.อ.หญิง ศณิศา นนธ์พละ, ร.ต.อ.สุรพันธุ์ ตาขันทะ, ร.ต.อ.ศศิวิมล คำนาค รอง สว.กก.3 บก.ปอศ., ร.ต.ท.ขวัญใจ ยิ่งเจริญ รอง สว.ฝอ.ฯ ปฏิบัติราชการ กก.3 บก.ปอศ., ร.ต.ท.ชัยวิทย์ ศรจิตต์, ร.ต.ต.มีสิทธิ์ ม่วงไหมทอง รอง สว.(ป.) กก.3 บก.ปอศ. พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.3 บก.ปอศ.ร่วมกันจับกุม นายวรพจน์ (สงวนนามสกุล) อายุ 29 ปี ในความผิดฐาน “ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ (ประเภทการจัดการกองทุนส่วนบุคคล) โดยไม่ได้รับอนุญาต และฉ้อโกง”

โดยนายวรพจน์ ชักชวนให้กลุ่มผู้เสียหายบุคคลร่วมการลงทุนในหลักทรัพย์ที่เสนอขายต่อประชาชนเป็นครั้งแรก หรือหุ้น IPO ซึ่งแอบอ้างถึงโควตาที่ได้รับจัดสรรก่อน (Pre IPO) ของบริษัทหลักทรัพย์แห่งหนึ่ง โดยกระทำการผ่านตัว นายวรพจน์ เอง (ลักษณะเป็นการรับบริหารจัดการการลงทุนของบุคคลเป็นการเฉพาะ)

อ้างถึงผลกำไรที่คาดว่าจะได้รับจากการลงทุน ซึ่งในการรับบริหารจัดการดังกล่าว ผู้ต้องหาจะได้รับค่าตอบแทนในอัตราร้อยละ 10 ของผลกำไรที่ได้ อีกทั้งยังอ้างถึงการได้รับอนุญาตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทำให้กลุ่มผู้เสียหายหลงเชื่อว่าเป็นการลงทุนที่น่าสนใจและเชื่อถือได้ และได้ร่วมลงทุนซื้อหุ้น IPO ผ่านผู้ต้องหา รวมมูลค่าความเสียหาย 3,497,442 บาท

ซึ่งชุดสืบสวน กก.3 บก.ปอศ. ได้ดำเนินตรวจสอบติดตามความเคลื่อนไหวผู้ต้องหารายดังกล่าว จนสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ในบริเวณหน้าชุมชนซอยสีคาม แขวงถนนนครไชยศรี เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร และควบคุมตัวนำส่งพนักงานสอบสวน กก.3 บก.ปอศ. ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป สอบถามปากคำผู้ต้องหาเบื้องต้นให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา

ธรรมะประจำวันอาทิตย์ที่ 3 กันยายน 2566

“คนมี ‘สัจจะ’ ทำอะไร มักจะประสบความสำเร็จ
เพราะ ‘สัจจะ’ เป็น ‘บารมี’ อย่างหนึ่ง
ที่ส่งผลให้กำลังใจเข้มแข็งมากขึ้น”

- หลวงปู่แหวน สุจิณโณ -

'จับคาด่าน' ฉก.ทัพเจ้าตากร่วมกับตำรวจ สภ.แม่จัน ยึดยาบ้า 191,000 เม็ดคาด่านกิ่วทัพยั้ง

เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2566ที่ผ่านมา เวลา 00.15 นาฬิกา หน่วยเฉพาะกิจทัพเจ้าตาก กองกำลังผาเมือง โดย หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 31 จัดกำลังพล ร่วมกับ ชุดสุนัขทหารที่ 6 หมวดสุนัขทหาร กองกำลังผาเมือง, กองร้อยตำรวจตระเวนชายแดนที่ 327 

และ สถานีตำรวจภูธรแม่จัน ทำการตั้งจุดตรวจเพื่อป้องกัน และสกัดกั้นการกระทำผิดกฎหมาย บริเวณ ด่านตรวจกิ่วทัพยั้ง บ้านปงตอง ตำบลแม่จัน อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย ตรวจพบและจับกุมผู้กระทำความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติด จำนวน 3 คน พร้อมของกลาง ยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) จำนวน 31 ห่อๆ ละ  6,000 เม็ด และ ห่อละ 5,000 เม็ด อีก 1 ห่อ รวมยาบ้าจำนวนทั้งสิ้น 191,000 เม็ด ซุกซ่อนอยู่ภายในรถยนต์กระบะ ยี่ห้อ โตโยต้า รุ่น ไท

เกอร์ สีบอร์นทอง หมายเลขทะเบียน กจ 6838 สุโขทัย และ รถยนต์กระบะ ยี่ห้อ อีซูซุ รุ่น ดีแม็กซ์ สีเทา หมายเลขทะเบียนป้ายแดง ก 4298 พิษณุโลก (รถนำขบวนยาเสพติด) หน่วยจึงได้นำตัวผู้ต้องหา และของกลาง ส่งให้สถานีตำรวจภูธรแม่จัน เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

‘ตำรวจ’ บุกทลายเครือข่ายธุรกิจสีเทาข้ามชาติ รวบ ‘กีกี้ แม็กซิม’ ยึดทรัพย์-บ้าน-รถหรูเฉียดพันล้าน

(30 ส.ค. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. สั่งการให้ พล.ต.ต.อธิป พงษ์ศิวาภัย ผบก.ปอท., พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ รอง ผบก.ปอท. และพ.ต.อ.วัชรพันธ์ ศิริพากย์ ผกก.1 บก.ปอท. นำกำลังร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.ป. บก.ปอศ. พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ ป.ป.ง. และเจ้าพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด รวมกว่า 200 นาย บุกเข้าตรวจค้นเป้าหมายเพื่อจับกุมและยึดทรัพย์แก๊งคนร้ายชาวจีนที่ร่วมมือกับคนไทยและชาวต่างชาติอื่น ๆ ตั้งเป็นแก๊งหลอกลงทุนเงินดิจิทัล แก๊งโรแมนสแกม และฟอกเงิน โดยนำหมายศาลอาญาเข้าตรวจค้นทั้งหมด 30 เป้าหมายในกรุงทพฯ จ.สมุทรปราการ และ จ.อุดรธานี

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หนึ่งในจุดที่เจ้าหน้าที่ได้เข้าตรวจค้นเป็นหมู่บ้านหรูย่านถนนกรุงเทพฯ กรีฑา อายัดบ้านพักหรูจำนวน 12 หลัง มูลค่าต่อหลังราว 50 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังเข้าตรวจค้นหมู่บ้านหรูอีก 4 หมู่บ้านในย่านเดียวกันด้วย ทั้งนี้ เชื่อว่าบ้านพักทั้งหมดได้ใช้เงินที่ได้จากการกระทำความผิดซื้อไว้ผ่านบริษัทกฎหมายแห่งหนึ่งที่มีคนจีนเป็นเจ้าของ

โดยในวันเดียวกันเจ้าหน้าที่ยังได้เข้าค้นบริษัทกฎหมายดังกล่าวด้วยเพื่อหาหลักฐานเพื่อเติม และเชื่อว่าเป็นบริษัทที่รับฟอกเงินให้จับแก๊งคนร้ายชาวจีนแก๊งนี้ โดยมีคนไทยเป็นตัวเชื่อมและให้ความช่วยเหลือในการเปิดบริษัทนอมินี

สำหรับการเข้าตรวจค้นในครั้งนี้ ชุดสืบสวนยังได้มีเป้าหมายในการจับกุมผู้ร่วมกระทำความผิดทั้งหมด 14 หมายจับ ในจำนวนนี้มี น.ส.จักรีณา ชูขาวศรี หรือ กีกี้ แม็กซิม นางแบบชื่อดัง รวมอยู่ด้วย

อย่างไรก็ตามจากปฏิบัติการดังกล่าวเจ้าหน้าที่สามารถจับกุม น.ส.จักรีณาและผู้ร่วมขบวนการได้อีกจำนวนหนึ่ง พร้อมยึดทรัพย์เป็นบ้านและรถหรูได้จำนวนมาก รวมมูลค่าเกือบหนึ่งพันล้านบาท โดยรายละเอียดการตรวจค้นและจับกุม ตำรวจสอบสวนกลาง ป.ป.ง. และอัยการจะมีการแถลงร่วมกันให้ทราบต่อไป

มีรายงานว่า สำหรับการตรวจค้นเป้าหมายในวันนี้สืบเนื่องจากชุดสืบสวน บก.ปอท.ได้แกะรอยแก๊งคนร้ายที่มีพฤติกรรมเป็นแก๊งโรแมสแกมหลอกลวงเหยื่อผู้หญิงคนไทยให้ร่วมลงทุนเงินอิเล็กทรอนิกส์ หรือคริปโทเคอร์เรนซี หลังเกิดเหตุผู้เสียหายได้แจ้งความไว้ที่ สภ.สำโรงเหนือ จ.สมุทรปราการ จากการแกะรอยจากบัญชีคริปโทฯ ทำให้พบว่ากลุ่มคนร้ายได้ยักย้ายถ่ายเทเงินไปหลายขั้นตอนก่อนที่จะเปลี่ยนเงินอิเล็กทรอนิกส์เป็นสกุลเงินบาท จากนั้นได้นำเงินไปซื้อทรัพย์สินหลายรายการ รวมทั้งบ้านพักและคอนโดหรูในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล มีเงินหมุนเวียนทั้งเงินสดและเงินดิจิทัลนับพันล้านบาท

‘ตร.’ รวบ คู่สามีภรรยาชาวจีน หนีหมายจับคดีฉ้อโกงในจีน หลังหลอกเหยื่อระดมทุน เสียหายกว่า 1.5 พันล้านบาท

(29 ส.ค. 66) ตามนโยบายของ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร. สั่งการให้ สตม.สกัดกั้น ตรวจสอบ ระดมจับกุมคนต่างด้าวที่เข้ามาประกอบธุรกิจผิดกฎหมายในประเทศไทย รวมทั้งให้ดำเนินการตรวจสอบ ชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม ในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือ กลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุ หรือโดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด

ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ สัจจพันธุ์ ผบช.สตม., พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ธนิต ไทยวัชรามาศ ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.อภิมุข กานตยากร รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.รัฐโชติ โชติคุณ รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.แดนไพร แก้วเวหล รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.สุรศักดิ์ สุรินทร์แก้ว รอง ผบก.ศท.ตม.ปฏิบัติราชการ บก.สส.สตม., พ.ต.อ.ชิตเดชา สองห้อง รอง ผบก.สส.ภ.7 ปฏิบัติราชการ บก.สส.สตม., พ.ต.อ.สรธรรศจ์ เอี่ยมละออ ผกก.1 บก.สส.สตม., พ.ต.อ.พิสิษฐ์ ศรีอ่อน ผกก.2 บก.สส.สตม., พ.ต.อ.รัฐพงษ์ แก้วยอด ผกก.4 บก.สส.สตม., พ.ต.อ.ณภัทรพงศ สุภาพร ผกก.ปอพ.บก.สส.สตม., พ.ต.อ.ชย พานะกิจ ผกก. (สอบสวน) กลุ่มงานสอบสวน บก.สส.สตม. ร่วมแถลงข่าวการจับกุมผู้ต้องหารายสำคัญ ดังนี้

บก.สส.สตม. รวบชาวจีนสามีภรรยาหลอกระดมทุน หนีหมายจับ มูลค่าความเสียหายกว่า 1.5 พันล้านบาท

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้สั่งการให้ สตม.พิจารณาดำเนินการกรณี สาธารณรัฐประชาชนจีน มีหนังสือมายังกองการต่างประเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขอให้จับกุมตัว ‘นายหวาง’ (นามสมมติ) และ ‘นางชาง’ สัญชาติจีน ผู้ต้องหาตามหมายจับ สาธารณรัฐประชาชนจีน ข้อหา ฉ้อโกงลักษณะอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ โดยผู้ต้องหาได้จัดตั้งบริษัทระดมทุนชื่อว่า ‘Tianjin Wusetu’ หลอกให้ผู้เสียหายร่วมระดมลงทุน และแอบอ้างว่าจะให้ผลตอบแทนในอัตราที่สูงกว่าปกติ ซึ่งมีผู้เสียหายในเมืองปักกิ่งและเทียนจินตกเป็นเหยื่อจำนวนมาก สร้างความเสียหายกว่า 1.5 พันล้านบาท

จากการตรวจสอบข้อมูลในระบบสารสนเทศ ตม. พบว่านายหวางและนางชาง เดินทางเข้ามาในประเทศไทยด้วยวีซ่านักท่องเที่ยว และการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรยังไม่สิ้นสุด ผบก.สส.สตม. จึงได้อนุมัติให้เพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร เนื่องจากพิจารณาเห็นว่าเป็นบุคคลซึ่งเจ้าหน้าที่รัฐบาลต่างประเทศได้ออกหมายจับ มีพฤติการณ์ที่สมควรเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร แล้วขึ้นบัญชีเป็นบุคคลเฝ้าระวังไว้ บก.สส.สตม. จึงได้สืบสวนติดตามตัวนายหวางและนางชางเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย

จากการสืบสวนพบว่านายหวางและนางชาง ได้หลบหนีเข้ามาอยู่ในประเทศไทย ปัจจุบันพักอาศัยอยู่ในโรงแรมแห่งหนึ่งเมืองพัทยา จ.ชลบุรี ส่วนนางชางปัจจุบันพักอาศัยอยู่ที่บ้านเช่า เขตวังทองหลาง กทม. เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้ติดตามเฝ้าดูบริเวณที่พักอาศัยจนพบบุคคลลักษณะคล้ายนายหวางบริเวณหน้าโรงแรมที่พัทยา จ.ชลบุรี ได้แสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจและขอตรวจสอบหนังสือเดินทาง พบว่าเป็นบุคคลคนเดียวกันกับบุคคลตามหมายจับของสาธารณรัฐประชาชนจีน จึงได้แจ้งหนังสือแจ้งการเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรให้นายหวางรับทราบ พร้อมยึดรถยนต์ที่มีชื่อนางชางเป็นเจ้าของรถ จำนวน 1 คัน

ส่วนนางชาง เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้ขอศาลอาญาอนุมัติหมายค้นบ้านเช่าของนางชาง จนพบนางชางอาศัยอยู่ภายในบ้านกับแฟนใหม่ชาวจีน ไม่พบสิ่งของผิดกฎหมาย จากการตรวจสอบหนังสือเดินทาง พบว่าเป็นบุคคลคนเดียวกันกับหมายจับของสาธารณรัฐประชาชนจีน จึงได้แจ้งหนังสือแจ้งการเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรให้รับทราบ และควบคุมตัวบุคคลทั้งสองรายนำส่ง กก.3 บก.สส.สตม. เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

จุดจบคนโกง สืบนครบาลรวบ 'ป้าประยูร' บัญชีม้าติด แบล็กลิสต์ หลอกขายเสื้อวงศิลปินเกาหลี อ้างว่าเอาบัญชีจำนำไว้

ตามนโยบายของ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ให้ปราบปรามกลุ่มเครือข่ายองค์กรอาชญากรรมที่กระทำความผิดทุกรูปแบบที่สร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชนผู้สุจริต ชุดลาดตระเวนออนไลน์ได้สืบสวนหาข่าวพบว่ามีมิจฉาชีพใช้บัญชีม้าธนาคาร หลอกขายเสื้อของวง 'Got7'และเป็นเสื้อของศิลปินดัง 'Jackson Wang' ให้กับเยาวชนเป็นจำนวนมาก เจ้าตัวอ้างว่าเปิดบัญชีแล้วได้นำบัญชีไปจำนำไว้เป็นเงิน 7,000-8,000 บาท 

เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2566 พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น., พล.ต.ต.นพศิลป์  พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. พร้อมด้วย พ.ต.อ.วรพจน์ รุ่งกระจ่าง รอง ผบก.สส.บช.น. พ.ต.อ.จักราวุธ คล้ายนิล ผกก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สส.บช.น. สั่งการให้ ชุดลาดตระเวนออนไลน์ บก.สส.บช.น. นำโดย พ.ต.ต.ทศรัสมิ์ กิติธารา สว.กก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สส.บช.น. และกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.วิเคราะห์ข่าวฯ ชุดปฏิบัติการที่ 4 สืบสวนจับกุม นางประยูร จินดา อายุ 57 ปี อยู่ 14 ม.8 ต.อุ่มเม้า อ.ธวัชบุรี จ.ร้อยเอ็ด ตามหมายจับศาลจังหวัดพิษณุโลก ที่ 183/2566 ลงวันที่ 14 มิถุนายน 2566 คดีอาญาที่ 973/2566 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ ฉ้อโกงประชาชน และโดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน”

สามารถจับกุมได้ที่บริเวณหน้าบ้านเช่าไม่ทราบเลขที่ ภายในซอยชุมชนวัดมะกอกกลางสวน ซ.9 แขวงและเขต พญาไท กรุงเทพฯ

สืบเนื่องจากมีผู้ใช้บัญชีเฟซบุ๊กรายหนึ่ง หลอกขายบัตรเสื้อผ้าของเหล่าศิลปินเกาหลีชื่อดัง โดยใช้ชื่อบัญชีรับโอนเงินชื่อบัญชี “นางประยูร จินดา”  ตำรวจสืบสวนนครบาลจึงได้ทำการตรวจสอบพบว่า ชื่อบัญชีดังกล่าวมีประวัติในแบล็กลิสต์บัญชีคนโกงของเว็บไซต์ “www.blacklistseller.com” จำนวน 14 รายการ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้สืบสวนหาข้อมูล นางประยูร จนสืบทราบว่า นางประยูร ได้มีการหลบหนีมาพักอาศัยอยู่ที่บ้านเช่าแห่งหนึ่ง เมื่อพบผู้ต้องหาจึงได้แสดงตัวจับกุมตัวพร้อมแจ้งข้อกล่าวหาและสิทธิตามกฎหมาย ให้นางประยูรทราบ

เบื้องต้นผู้ต้องหาให้การรับสารภาพ ว่าได้มีการเปิดบัญชีแล้วได้นำบัญชีดังกล่าวไปให้กับเพื่อนในที่ทำงาน โดยเป็นการนำบัญชีไปจำนำไว้ และได้เงินจากการนำบัญชีไปจำนำเป็นเงิน 7,000-8,000 บาท หลังจากนั้นก็ไม่ได้มีการไปนำบัญชีของกลับมาเลย

ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจจะควบคุมตัวผู้ต้องหานำส่ง สภ.เมืองพิษณุโลก จ.พิษณุโลก ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

‘ตร.’ ตามรวบ ‘คู่รัก’ สุดแสบ!! ตระเวนล้วงกระเป๋าทั่วกรุงเทพฯ เผย ใช้แผนเบี่ยงเบนความสนใจ พบก่อเหตุมาแล้วนับร้อยครั้ง

(27 ส.ค. 66) พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น., พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น., พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น., พ.ต.อ.เกียรติศักดิ์ สระรองออย รอง ผบก.สส.บช.น., พ.ต.อ.วรพจน์ รุ่งกระจ่าง รอง ผบก.สส.บช.น., พ.ต.อ.วิชิต ถิรขจรวงศ์ ผกก.สส.1 บก.สส.บช.น. จับกุมนายบูย หรือ ‘บอย ยางฮา’ อายุ 31 ปี สัญชาติกัมพูชา และ น.ส.แมรี่ หรือ ‘ส้มจีน’ อายุ 27 ปี สัญชาติกัมพูชา ข้อหาเป็นบุคคลต่างด้าวเดินทางเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักร โดยไม่ได้รับอนุญาต

พร้อมของกลางโทรศัพท์มือถือที่ลักทรัพย์มา และชุดที่ใช้ในการก่อเหตุรวมกว่า 36 รายการ จับกุมตัวได้ที่บริเวณหน้าห้องพักเลขที่ 310 อพาร์ทเม้นทรัพย์เอเชีย ซอยสุขุมวิท 111 ต.สำโรงเหนือ อ.เมืองสมุทรปราการ จ.สมุทรปราการ

สืบเนื่องจากปัญหาการก่ออาชญากรรมของกลุ่มมิจฉาชีพที่ตระเวนก่อเหตุลักทรัพย์สินของชาวบ้านในปัจจุบัน พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. จึงได้วางแนวทางการป้องกันและปราบปราม พร้อมอีกทั้งได้ให้ เจ้าหน้าที่ตำรวจของ บก.สส.บช.น. เร่งช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากกลุ่มมิจฉาชีพดังกล่าว

ต่อมาได้สืบสวนจนพบกลุ่มแก๊งมิจฉาชีพออกลาดตระเวนวิ่งราวทรัพย์ล้วงกระเป๋า จึงได้สั่งการให้ พ.ต.อ.วิชิต ถิรขจรวงศ์ ผกก.สส.1 บก.สส.บช.น. ทำการสืบสวน จนทราบแผนประทุษกรรมของแก๊งนี้คือ ผู้ก่อเหตุจะออกตระเวนก่อเหตุล้วงกระเป๋าตามห้างสรรพสินค้า และแหล่งชุมชนที่มีนักท่องเที่ยวและผู้คนสัญจรเป็นจำนวนมาก ทั่ว กทม. โดยมีวิธีการก่อเหตุคือจะมีการแบ่งหน้าที่กันทำแบบชัดเจน

โดยคนหนึ่งจะทำการประชิดตัวผู้เสียหายเพื่อทำการเบี่ยงเบนความสนใจ ก่อนที่อีกคนหนึ่งจะทำการล้วงกระเป๋าเอาทรัพย์สินไปก่อนจะหลบหนี เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ทำการสืบสวนอย่างต่อเนื่อง จนสามารถพบได้ว่ากลุ่มของผู้ก่อเหตุได้โดยสารรถประจำทางมาจากบริเวณห้างอิมพีเรียล สำโรง ต.สำโรงเหนือ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ

ต่อมาวันที่ 26 ส.ค. 66 พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. จึงได้นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนนครบาล ลงพื้นที่สืบสวนจนทราบว่า กลุ่มมิจฉาชีพดังกล่าวได้พักอาศัยที่ อพาร์ทเม้นทรัพย์เอเชีย ซอยสุขุมวิท 111 ต.สำโรงเหนือ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ ทราบชื่อภายหลังคือ นายบูย หรือบอย ยางฮา อายุ 31 ปี สัญชาติกัมพูชา และ น.ส.แมรี่ หรือส้ม จีน อายุ 27 ปี สัญชาติกัมพูชา

โดยระหว่างสืบสวนได้พบว่า ทั้งสองคนนั้นได้เดินเข้า-ออกบริเวณห้องพักของตนจำนวนหลายครั้ง อีกทั้งมีการเก็บเสื้อผ้าคล้ายจะเตรียมทำการหลบหนี เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้รีบแสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าจับกุมผู้ต้องหาทั้งสอง

จากการสอบสวผู้ต้องหาให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา โดยให้การว่า เมื่อประมาณต้นปี พ.ศ.2565 ตนทั้งสองได้ลักลอบเข้าประเทศไทย ผ่านช่องทางธรรมชาติบริเวณ จ.สระแก้ว โดยเมื่อเข้ามาในประเทศไทย ไม่มีงานทำเป็นหลักแหล่ง จึงได้วางแผนร่วมกันก่อเหตุล้วงกระเป๋า โดยได้มีการซักซ้อมกันจนชำนาญ ก่อนที่จะออกก่อเหตุตามบริเวณห้างสรรพสินค้า

และแหล่งชุมชนที่มีนักท่องเที่ยวและผู้คนสัญจรเป็นจำนวนมากในจังหวัดกรุงเทพมหานคร เพื่อนำทรัพย์สินที่ได้ไปขายเพื่อนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน โดยได้ก่อเหตุรวมมากกว่า 100 ครั้ง หลังการจับกุม เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนนครบาล จึงได้นำตัว นายบูย และ น.ส.แมรี่ เบื้องต้นนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.สำโรงเหนือ เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

สืบนครบาลรวบ “บอย-ส้ม คู่รักกุนขแมร์” ตระเวนก่อเหตุล้วงกระเป๋าทั่วเมืองกรุง

ตามนโยบายของ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. ให้ปราบปรามจับกุมอาชญากรรมที่กระทำความผิดทุกรูปแบบ ตลอดจนอาชญากรที่สร้างความเดือนร้อนให้กับประชาชนผู้สุจริต โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจสืบนครบาล (IDMB) ได้รับทราบถึงกลุ่มคนร้ายออกตระเวนล้วงกระเป๋าตามห้างสรรพสินค้า และแหล่งชุมชนที่มีนักท่องเที่ยวและผู้คนสัญจรเป็นจำนวนมาก ทั่วกรุงเทพฯ โดยมีวิธีการก่อเหตุคือจะมีการแบ่งหน้าที่กันทำแบบชัดเจน โดยคนหนึ่งจะทำการประชิดตัวผู้เสียหายเพื่อทำการเบี่ยงเบนความสนใจ ก่อนที่อีกคนหนึ่งจะทำการล้วงกระเป๋าเอาทรัพย์สินไปก่อนจะหลบหนี  

โดย  พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. ผู้การจ๋อส่งทีมนักสืบ บช.น. นักสืบ 111 แกะรอยสืบสวน “กลุ่มแก๊งมิจฉาชีพออกลาดตระเวนล้วงกระเป๋า” พบมีการทำหน้าที่กันเป็นรูปแบบ และมีการแบ่งหน้าที่กันอย่างเป็นระบบ โดยล่าสุด พ.ต.อ.วิชิต ถิรขจรวงศ์ ผกก.สส.1 บก.สส.บช.น. จับกุมตัว นายบูย ยางฮา สัญชาติกัมพูชา และ นางสาวแมรี่ จีน สัญชาติกัมพูชา คู่รักมือฉมังตระเวนล้วงกระเป๋าทั่วเมืองกรุง พร้อมดำเนินการเร่งติดตามตัวมาดำเนินคดีตามกฎหมาย ทั้งขบวนการ

เมื่อวันที่ 26  สิงหาคม  2566  พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น., พล.ต.ต.นพศิลป์  พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น.  พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. พ.ต.อ.เกียรติศักดิ์ สระรองออย รอง ผบก.สส.บช.น. , พ.ต.อ.วรพจน์ รุ่งกระจ่าง รอง ผบก.สส.บช.น. , พ.ต.อ.วิชิต ถิรขจรวงศ์ ผกก.สส.1 บก.สส.บช.น. , พ.ต.ท.พีรบูรณ์ แก้วดู รอง ผกก.สส.1 บช.น. , พ.ต.ท.เอกศิษฐ์ วรกิตติ์ฐากรณ์ รอง ผกก.สส.1 บช.น. , พ.ต.ท.พัฒน์พงษ์ กื้อมะโน สว.กก.สส.1 บก.สส.บช.น. , พ.ต.ต.คณิตนนท์ ถนอมศรี สว.กก.สส.1 บก.สส.บช.น. และเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนนครบาล (บก.สส.บช.น.) นำกำลังสืบสวนติดตามจับกุมตัว

1. นายบูย หรือบอย ยางฮา อายุ 31 ปี สัญชาติกัมพูชา 
2.  นางสาวแมรี่ หรือส้ม จีน อายุ 27 ปี สัญชาติกัมพูชา 

ในข้อหา “เป็นบุคคลต่างด้าวเดินทางเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต” พร้อมของกลางโทรศัพท์มือถือที่ลักทรัพย์มา และชุดที่ใช้ในการก่อเหตุรวมกว่า 36 รายการ โดยจับกุมตัวได้ที่บริเวณหน้าห้องพักเลขที่ 310 อพาร์ทเม้นทรัพย์เอเชีย ซอยสุขุมวิท 111 ตำบลสำโรงเหนือ อำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ พร้อมของกลางโทรศัพท์มือถือที่ลักทรัพย์มา และชุดที่ใช้ในการก่อเหตุรวมกว่า 36 รายการ

พฤติการณ์กล่าวคือ สืบเนื่องจากปัญหาการก่ออาชญากรรมของกลุ่มมิจฉาชีพที่ตระเวนก่อเหตุลักทรัพย์สินของชาวบ้านในปัจจุบัน พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. จึงได้วางแนวทางการป้องกันและปราบปราม พร้อมอีกทั้งได้ให้ เจ้าหน้าที่ตำรวจของ บก.สส.บช.น. เร่งช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากกลุ่มมิจฉาชีพดังกล่าว ซึ่งต่อมาได้สืบสวนจนพบกลุ่มแก๊งมิจฉาชีพออกลาดตระเวนวิ่งราวทรัพย์ล้วงกระเป๋า จึงได้สั่งการให้ พ.ต.อ.วิชิต ถิรขจรวงศ์ ผกก.สส.1 บก.สส.บช.น. ทำการสืบสวน จนทราบแผนประทุษกรรมของแก๊งนี้คือ ผู้ก่อเหตุจะออกตระเวนก่อเหตุล้วงกระเป๋าตามห้างสรรพสินค้า และแหล่งชุมชนที่มีนักท่องเที่ยวและผู้คนสัญจรเป็นจำนวนมาก ทั่วกรุงเทพฯ โดยมีวิธีการก่อเหตุคือจะมีการแบ่งหน้าที่กันทำแบบชัดเจน โดยคนหนึ่งจะทำการประชิดตัวผู้เสียหายเพื่อทำการเบี่ยงเบนความสนใจ ก่อนที่อีกคนหนึ่งจะทำการล้วงกระเป๋าเอาทรัพย์สินไปก่อนจะหลบหนี  เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ทำการสืบสวนอย่างต่อเนื่อง จนสามารถพบได้ว่ากลุ่มของผู้ก่อเหตุได้โดยสารรถประจำทางมาจากบริเวณห้างอิมพีเรียล สำโรง ตำบลสำโรงเหนือ อำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ ต่อมาวันที่ 26 ส.ค. 66 พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. จึงได้นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนนครบาล ลงพื้นที่สืบสวนจนทราบว่า กลุ่มมิจฉาชีพดังกล่าวได้พักอาศัยที่ อพาร์ทเม้นทรัพย์เอเชีย ซอยสุขุมวิท 111 ตำบลสำโรงเหนือ อำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ ทราบชื่อภายหลังคือ นายบูย หรือบอย ยางฮา อายุ 31 ปี สัญชาติกัมพูชา และ นางสาวแมรี่ หรือส้ม จีน อายุ 27 ปี สัญชาติกัมพูชา โดยระหว่างสืบสวนได้พบว่าทั้งสองคนนั้นได้เดินเข้า-ออกบริเวณห้องพักของตนจำนวนหลายครั้ง อีกทั้งมีการเก็บเสื้อผ้าคล้ายจะเตรียมทำการหลบหนี เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้รีบแสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าจับกุมผู้ต้องหาทั้งสอง โดยจับกุมได้ที่ บริเวณหน้าห้องพักเลขที่ 310 อพาร์ทเม้นทรัพย์เอเชีย ซอยสุขุมวิท 111 ตำบลสำโรงเหนือ อำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ

 ในชั้นจับกุม นายบูยฯ และนางสาวแมรี่ฯ ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา โดยให้การว่า “เมื่อประมาณต้นปี พ.ศ.2565 ตนทั้งสองได้ลักลอบเข้าประเทศไทย ผ่านช่องทางธรรมชาติบริเวณ จ.สระแก้ว โดยเมื่อเข้ามาในประเทศไทย ไม่มีงานทำเป็นหลักแหล่ง จึงได้วางแผนร่วมกันก่อเหตุล้วงประเป๋า โดยได้มีการซักซ้อมกันจนชำนาญ ก่อนที่จะออกก่อเหตุตามบริเวณห้างสรรพสินค้า และแหล่งชุมชนที่มีนักท่องเที่ยวและผู้คนสัญจรเป็นจำนวนมากในจังหวัดกรุงเทพมหานคร เพื่อนำทรัพย์สินที่ได้ไปขายเพื่อนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน โดยได้ก่อเหตุรวมมากกว่า 100 ครั้ง หลังการจับกุม เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนนครบาล จึงได้นำตัว นายบูยฯ และนางสาวแมรี่ฯ 

ส่งพนักงานสอบสวน สภ.สำโรงเหนือ เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย ต่อไป พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. กล่าวว่า “การเดินทางระหว่างประเทศเพื่อนบ้านนั้น เป็นสิ่งที่กระทำได้ง่ายมากขึ้น ซึ่งเป็นผลดีต่อการร่วมกันพัฒนาเศรษฐกิจในแต่ละประเทศ แต่เมื่อเข้ามาในประเทศของผู้อื่นแล้ว ก็ต้องเคารพซึ่งกฎหมายของแต่ละประเทศเช่นกัน โดยขอฝากเตือนไปยังกลุ่มผู้เข้ามาภายในประเทศไทยโดยที่คิดสร้างความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนนั้น ให้คิดเลิกทำ แต่ถ้ายังไม่เลิกทำ เราจะติดตามท่าน จนไปถึงหน้าประตูแม้อยู่นอกกรุงเทพ”

ธรรมะประจำวันอาทิตย์ที่ 27 สิงหาคม 2566

อย่าไปว่าคนอื่นเขา
ตัวเรานั้นดีแล้วหรือ
ให้หมั่นถามตัวเอง
เช่นนี้ตลอดเวลา
แล้ว…จะไม่มีความเดือดร้อนใจ
ไม่ต้องลับเขี้ยวไว้กัดกัน

-หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน-


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top