Wednesday, 19 February 2025
SPECIAL

'ปวีณา' พาเหยื่อค้ามนุษย์ไปพบ รอง ผบ.ตร.

รายที่  1.สาวไทย 4 ราย ถูกหลอกไปค้าประเวณีที่ดูไบ 3 ราย -บาห์เรน 1 ราย ขอช่วยดำเนินคดีกับขบวนการค้ามนุษย์ รายที่ 2.ตัวแทนญาติเหยื่อ 24 ราย ถูกหลอกไปบังคับให้ทำงานคอลเซ็นเตอร์ หลอกคนไทยให้ลงทุน ถูกกักขัง ทำร้าย ที่เมืองเล้าไก่ ประเทศเมียนมา ขอช่วยลูกหลานและคนที่รักกลับไทย รายที่ 3.แม่ของสาวไทยวัย 23 ปี ไปญี่ปุ่น 2 วัน ตกตึกเสียชีวิตขอช่วยคลี่ปมสาเหตุการตาย วันนี้เเม่นำโทรศัพท์มือถือลูกสาว ให้ ปวีณา มอบบิ๊กโจ๊ก เพื่อกู้ข้อมูลหาหลักฐาน ใคร? พูดกับลูกเป็นคนสุดท้ายก่อนตกตึกตาย

พร้อมกันนี้ “ปวีณา” ยังได้พา นรต. ปี 3 รุ่น 78 จำนวน 30 นาย ที่ศึกษาดูงานมูลนิธิปวีณาฯ ไปศึกษาดูงานกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. อีกด้วย   

วันที่ 12 ก.ย.66 เวลา 10.00 น. ที่สโมสรตำรวจ เคสที่ 1. นางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี พา 4 สาวไทยซึ่งถูกหลอกไปค้าประเวณีที่เมืองดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 3 ราย และประเทศบาห์เรน 1 ราย ไปพบ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. เพื่อขอความช่วยเหลือดำเนินคดีกับขบวนการค้ามนุษย์ หลังบางรายเกือบเอาชีวิตไม่รอดในต่างแดน ต้องสูญเงินจำนวนมากเพื่อไถ่ตัว บางรายหลังกลับมาไทยยังถูกขู่ฆ่าทำร้าย ซึ่งเคสทั้ง 4 ราย ร้องทุกข์มูลนิธิปวีณาฯ และได้รับการช่วยเหลือกลับไทย   

ผู้เสียหายทั้ง 4 คน ให้ข้อมูลว่า ถูกคนรู้จักชักชวนไปทำงานนวดแผนไทยที่ดูไบ และบาห์เรน บอกว่ารายได้ดี เดือนละ 4-5 หมื่นบาท มีที่พัก อาหารฟรี โดยทุกคนหวังว่าจะได้มีเงินส่งมาให้ครอบครัวไม่ลำบาก แต่เมื่อไปถึงที่ร้านกลับถูกยึดพลาสปอร์ต และบังคับให้ค้าประเวณีใช้หนี้นับแสนบาท ถูกกักขังทำร้ายเหมือนตกนรกทั้งเป็น ทั้งหมดจึงได้ร้องทุกข์มายังมูลนิธิปวีณาฯ โดยนางปวีณา ได้ประสาน นายรุธ ธรรมมงคล อธิบดีกรมการกงสุล ประสานช่วยเหลือกลับไทย ซึ่งแต่ละคนถูกขบวนการค้ามนุษย์ข่มขู่ฆ่าเกรงจะไม่ปลอดภัย

เคสที่ 2. นางปวีณา พาญาติเหยื่อถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกไปทำงานที่เมืองเล้าไก่ ประเทศเมียนมา ไปพบ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. พร้อมนำข้อมูลคนไทยที่ถูกหลอกไปทำงานที่ดังกล่าวรวม 24 คน ซึ่งร้องทุกข์ขอความช่วยเหลือมายังมูลนิธิปวีณาฯ ไปมอบให้ เพื่อขอความช่วยเหลือให้ช่วยกลับไทย เนื่องจากแต่ละคนถูกบังคับให้ทำงานหลอกคนไทยลงทุน ถูกกักขังพร้อมคนไทยอีก 200-300 คนอยู่ในตึกที่มีชายฉกรรจ?เเต่งตัวคล้ายทหารถือปืนคอยคุม ถ้าทำยอดไม่ได้ก็จะถูกเรียกค่าไถ่และขายต่อไปที่อื่น    

เคสที่ 3. นางปวีณา พา นางสาวสมพร ศิริโสภณ อายุ 48 ปี เเม่นำโทรศัพท์มือถือของนางสาวธนพร ลูกสาว อายุ 23 ปี ที่เสียชีวิตที่ประเทศญี่ปุ่น ให้ปวีณา มอบให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. เพื่อขอให้ช่วยตรวจสอบข้อมูลการใช้โทรศัพท์ว่ามีการติดต่อพูดคุยกับใครบ้างหลังเดินทางไปทำงานถึงประเทศญี่ปุ่นวันที่ 23 ก.ค.66 ใคร? พูดกับลูกเป็นคนสุดท้ายก่อนกลายเป็นศพเสียชีวิตอยู่ในซอกตึกอาคารที่พัก ในพื้นที่เขตอ.อิเซซากิ จ.คานากาวะ 

ซึ่งตำรวจญี่ปุ่นแจ้งสาเหตุการเสียชีวิตกับแม่ว่า ตกจากที่สูงชั้น 8 จากการฆ่าตัวตาย เนื่องจากตรวจสอบบริเวณช่องสุดทางเดินชั้น 8 ไม่พบร่องรอยการต่อสู้และไม่พบลายนิ้วมือหรือรอยเท้าผู้อื่นนอกจากผู้เสียชีวิตคนเดียว แต่แม่ยังไม่ปักใจเชื่อเพราะไม่มีสาเหตุหรือแรงจูงใจที่จะให้ลูกสาวคิดสั้นฆ่าตัวตาย จึงขอให้พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ช่วยตรวจสอบหาความจริงให้ด้วย  

ขณะที่วันนี้ นางปวีณา ได้พานักเรียนนายร้อยตำรวจ ชั้นปีที่ 3 รุ่นที่ 78 จำนวน 30 นาย ที่เข้าศึกษาดูงานมูลนิธิปวีณาฯ ระหว่างวันที่ 29 ส.ค. – 12 ก.ย.66 ตามโครงการโรงเรียนนายร้อยตำรวจ หลักสูตรสัมผัสปัญหาชุมชน รุ่นที่ 27 ปีการศึกษา 2566 ไปศึกษาดูงานกับพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. เพื่อเก็บประสบการณ์นำไปปรับใช้หลังเรียนจบไปเป็นตำรวจรับใช้ประชาชนต่อไป 

นางปวีณา กล่าวว่า ขอขอบคุณ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ที่ประสานการช่วยเหลือร่วมกับมูลนิธิปวีณาฯ ด้วยดีเสมอมา ที่ผ่านมา พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ร่วมกับมูลนิธิปวีณาฯ ช่วยเหลือเหยื่อและผู้เสียหายได้จำนวนมาก พร้อมจับกุมผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีได้อย่างรวดเร็ว ทั้งนี้อยากฝากเตือนคนไทยอย่าหลงเชื่ออะไรง่ายๆ หากจะเดินทางไปทำงานต่างประเทศควรตรวจสอบกับกระทรวงแรงงาน กระทรวงการต่างประเทศให้ดี เพราะอาจตกเป็นเหยื่อได้ และเจ้าหน้าที่ก็อาจจะช่วยไม่ได้ทุกคน

สถิติรับเรื่องราวร้องทุกข์ มูลนิธิปวีณาฯ ประจำปี 2565 ตั้งแต่วันที่ 4 ม.ค. – 23 ธ.ค. 2565 รวมทั้งสิ้น  6,745 ราย เป็นเรื่องค้ามนุษย์/ค้าประเวณี จำนวน 255 ราย สถิติรับเรื่องราวร้องทุกข์ มูลนิธิปวีณาฯ ประจำปี 2566 ตั้งแต่วันที่ 2 ม.ค. – 8 ก.ย. 2566 รวมทั้งสิ้น  4,491 ราย เป็นเรื่องค้ามนุษย์/ค้าประเวณี จำนวน 181 ราย

ผิงผิง-โคลนาซีแพม สาวสองสุดแสบ นัดเดทผ่านแอ๊พพลิเคชั่นหาคู่สาวสอง โดยขึ้นข้อความว่า “สาวสอง ใครร้อนเงินทักมา” สุดอันตราย ล่อแมลงให้เหล่าชายหนุ่มสายเหลืองตกเป็นเหยื่อ ใช้การวางยามอมผู้เสียหายชายสายเหลือง ก่อนจะรูดทรัพย์และยานพาหนะไปหมดตัว

ผิงผิง-โคลนาซีแพม สาวสองสุดแสบ นัดเดทผ่านแอ๊พพลิเคชั่นหาคู่สาวสอง โดยขึ้นข้อความว่า “สาวสอง ใครร้อนเงินทักมา” สุดอันตราย ล่อแมลงให้เหล่าชายหนุ่มสายเหลืองตกเป็นเหยื่อ ใช้การวางยามอมผู้เสียหายชายสายเหลือง ก่อนจะรูดทรัพย์และยานพาหนะไปหมดตัว บางรายถูกลงมือทำร้ายขณะพยายามฝืนต้านฤทธิ์ยา แผนประทุษกรรมสุดแสบ บดยา Clonazepam ไว้ก้นแก้วก่อนรินเบียร์ผสม พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. สั่งให้ พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. ส่งชุดสืบมือดีไล่ล่ากว่า 2 เดือน จนในที่สุดจับตัวได้ขณะกำลังหลบหนีออกชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน หลังจับกุมเจ้าตัวสารภาพทำเอาชุดจับกุมอึ้ง “เห็นคนล้มฟุบแล้วมีความสุข คิดว่ามีพลังวิเศษ” เสพติดต้องก่อเหตุเดือนละ 2-3 ครั้ง ขยายผลพบเป็นมือขวาบอสชาวไต้หวัน หัวหน้าแก๊งคอลเซ็นเตอร์ 3 แห่ง ในประเทศเพื่อนบ้าน

เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2566 พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. สั่งการให้ พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. , พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. , พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น./หน.ชุด PCT 5 , พ.ต.อ.วิชัย  แดงประดับ รอง ผบก.สส.บช.น. พ.ต.อ.จักราวุธ คล้ายนิล ผกก.วิเคราะห์ข่าวฯ บก.สส.บช.น. , พ.ต.อ.พัชรดนัย การินทร์ ผกก.(สอบสวน) กลุ่มงานสอบสวน บก.สส.บช.น. , พ.ต.อ.ธนากร อ่อนทองคำ ผกก.สส.4 บก.สส.บช.น. , พ.ต.ต.ธัญพีรสิษฐ์ จุลพิภพ , ร.ต.อ.ศิวัช ยังอุ่น , ร.ต.อ.กฤษณะ ชนิดไทย , ร.ต.อ.อำนาจ แป้นดวงเนตร , ร.ต.อ.สุรศักดิ์ บุญนุ่ม , ร.ต.อ.วทัญญู เริ่มประชาธิปไตย , ร.ต.ท.คณาธิป ภูสมตา , ส.ต.อ.ณัฐกิต  เชื้อสุข , ส.ต.ท.จิรวัฒน์ ศรีมั่นมีชัย , ส.ต.ต.เมธิชัย คำดี ร่วมกับเจ้าหน้าที่ สืบนครบาล และเหล่านักเรียนอบรมหลักสูตรสืบสวนคดีอาญา รุ่นที่ 112 ร่วมกันสืบสวนติดตามจับกุมตัว นายอภิชาติ ศรีโคตร หรือ “ผิงผิง” อายุ 22 ปี อยู่บ้านเลขที่ 60 ม.11 ต.หนองน้ำใส อ.บ้านไผ่ จ.ขอนแก่น ผ อายุ 29 ปี อยู่บ้านเลขที่ 223 ซ.รังสิต-นครนายก 10 ต.ประชาธิปัตย์ อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี ผู้ต้องหา โดยกล่าวหาว่า  “ลักทรัพย์ในเวลากลางคืน”

ตามหมายจับ 2 หมายจับ 
1.หมายจับศาลอาญาที่ จ.2174/2566 ลงวันที่ 10 ก.ค. 66 ข้อหา “ลักทรัพย์ในเคหสถานในเวลากลางคืน” (พื้นที่ สน.สุทธิสาร)
2.หมายจับศาลอาญาที่ จ.2963/2566 ลงวันที่ 11 ก.ย. 66 ข้อหา “ลักทรัพย์ในเวลากลางคืน” (พื้นที่ สน.พญาไท)

ตรวจยึดของกลาง 4 รายการ
1.บัตรประจำตัวประชาชน จำนวน 6 ใบ (เป็นของบุคคลอื่น) รับว่าเป็นของบัญชีม้า
2.โทรศัพท์มือถือ จำนวน 6 เครื่อง (ของตนเอง 2 เครื่อง , ของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ 4 เครื่อง)
3.เงินสด จำนวน 25,000 บาท
4.ยา Clonazepam จำนวน 3 แผง (ยาที่ใช้มอมเหยื่อ)

พฤติการณ์กล่าวคือ ดำดิ่งสู่จิตใต้สำนึกสุดอำมหิตผิดเพี้ยนของ “นักมอมยา”นามว่า “ผิงผิง” หรือ นายอภิชาติ ศรีโคตร เธอเป็นสาวประเภทสองวัยเพียง 22 ปี ที่ก่อวีรกรรมกับเหล่าชายหนุ่มสายเหลืองได้อย่างแสบทรวง กลายเป็นมหันตภัยในยามรัตติกาลสำหรับชายหนุ่มในเมืองกรุงไปแล้ว เมื่อเธอได้ตระเวนก่อเหตุ “วางยาและรูดทรัพย์” เหล่าชายหนุ่มที่ติดกับดักเธออย่างนับไม่ถ้วน โดยแผนประทุษกรรมสุดแสบของเธอเริ่มต้นจาก “แอ๊พหาคู่” โดยเธอจะทำตัวเป็นสาวสองทรงเจ๊สายเปย์ สปีชีส์ตัวรับ ขึ้นข้อความทำนอง “สาวสอง ใครร้อนเงินทักมา” ล่อแมลงให้เหล่าชายหนุ่มสายเหลืองที่ไส้แห้งต่างเข้ามารุมเร้า อย่างที่ทราบกันดี วงการนี้ไม่สนทนากันนานเพราะต่างมุ่งไปตามกามอารมณ์กันอยู่แล้ว โดยทั้งสองฝ่ายต่างรู้กันจุดหมายปลายทางคือ “เพศสัมพันธ์” เมื่อนัดหมายสถานที่แล้วเหล่าเหยื่อชายสายรุกมักพุ่งมาอย่างรวดเร็วโดยไม่รู้ตัวว่า สถานที่ดังกล่าวคือ “ห้องเชือด” ที่เธอได้เตรียมการขุดหลุมพลางไว้รอเหยื่อไว้แต่เนิ่นแล้ว โดยเธอจะนำยา Clonazepam จำนวน 3-10 เม็ดมาบดให้ละเอียด ก่อนจะเทลงในแก้วน้ำที่เตรียมไว้และเพิ่มความแนบเนียนด้วยการใส่น้ำแข็งเปล่าให้เต็มแก้ว ปิดบังคราบผงยาที่นองอยู่ก้นแก้ว โดยทันทีที่เหล่าชายหนุ่มที่ตกเป็นเหยื่อย่ำเท้าเข้ามาในถ้ำเสือ เธอเริ่มสะกดจิตเหยื่อด้วยการเปย์แบงค์พันให้ชายหนุ่มก่อน 1 ใบ 

จากนั้นจะหว่านล้อมชักจูงให้เหยื่อดื่มเบียร์เปิดหัวเป็นอันดับแรก เหยื่อหนุ่มเกือบทั้งสิ้นล้วนติดกับดักค่ายกลของเธอ เมื่อเหยื่อเริ่มเปิดกระป๋องเบียร์และบรรจงเทลงในแก้วที่เธอวางยาไว้ ผงยาผสมปนเปกับน้ำสีทองของเบียร์ไร้ร่องรอยให้สงสัย และเมื่อของเหลวสีทองผสมยาที่เธอวางไว้ก้นแก้วไหลเข้าสู่ร่างกายชายหนุ่มก็เป็นอันรุกฆาต ยาดังกล่าวนั้นจะออกฤทธิ์รุนแรง ง่วงซึม มึนศีรษะ สับสน จดจำสิ่งต่างๆ ไม่ได้ เกือบทุกรายล้มพับไปในไม่กี่อึดใจ บางรายพยายามฝืนต้านฤทธิ์ยาเธอยิ่งชอบเพราะเธอจะลงมือทำร้ายร่างกายเช่น กระโดดถีบ ต่อยหน้า ตบหน้า ต่างๆนาๆโดยที่เหยื่อไร้เรี่ยวแรงต่อสู้ จนกว่าเหยื่อจะสลบไสลไป โดยภาพการล้มพับของเหล่าชายหนุ่มสร้าง ความสุข , ความสนุก , ความสะใจ ทำให้เธอรู้สึกว่าตัวเอง “มีพลังวิเศษ” ให้เธอจนเธอเสพติดเข้าเส้นเลือดไปแล้ว แต่เรื่องยังไม่จบแค่นั้นเมื่อเหยื่อไร้สติ เธอจะลงมือกวาดทรัพย์สินของเหยื่อไปจนเกลี้ยง รายใดโชคร้ายขับรถมาก็จะถูกขโมยไปด้วย 

ซึ่งล่าสุดเมื่อวันที่ 7 ก.ย. 66 เธอได้ลงมือก่อเหตุกับชายหนุ่มรายหนึ่ง ที่โรงแรมชื่อดังในซอยศรีอยุธยา 12 แขวงถนนพญาไท เขตราชเทวี จ.กรุงเทพฯ โดยเธอได้ขโมยทรัพย์สินเงินสด โทรศัพท์ และรถจักรยานยนต์บิ๊กไบท์ ของเหยื่อไป มูลค่าความเสียหายประมาณ 200,000 บาท จากนั้นหายไปในกลีบเมฆชนิดไร้ร่องรอยให้คลำหา เป็นเช่นนี้ทุกครั้งที่เธอจะมาก่อเหตุและหายไปราวหมอกควัน เหยื่อเพิ่มขึ้นเรื่อยๆด้วยแผนประทุษกรรมเดิมที่ตรึงใจเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนที่ติดตามไล่ล่าเธอมาเกือบ 2 เดือน จนเรื่องนี้ถึงหูนายตำรวจผู้ดูแลเมืองหลวงอย่าง พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. เร่งสั่งการ พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. สืบสวนแกะรอยจนสืบทราบว่าสาวประเภทสองรายนี้คือ นายอภิชาติ ศรีโคตร อายุ 22 ปี และกำลังหลบหนีออกไปทาง อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว เพื่อหลบหนีออกไปยังประเทศเพื่อนบ้าน พล.ต.ต.ธีรเดชฯ ไม่รอช้าส่งชุดสืบนครบาลและนักเรียนสืบสวน 112 ไล่ล่าติดตามไปอย่างกระชั้นชิด ไล่กวดถึงริมชายแดนกระทั่งสามารถจับกุมตัวได้ขณะกำลังพยายามจะหลบหนีออกไปประเทศเพื่อนบ้าน

ในชั้นจับกุม นายอภิชาติ ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา โดยให้การว่า “ตนเองเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์อยู่ใน ปอยเปต ประเทศกัมพูชา โดยทำมาเป็นเวลากว่า 3 ปี หลอกคนไทยได้ยอดรวมประมาณล้านกว่าบาท ซึ่งตนได้ค่าคอมมิชชั่นมา 400,000 บาท แต่ได้ใช้เสเพลกับการพนันไปหมดแล้ว ในปัจจุบันตนได้เป็นมือขวาของบอสชาวไต้หวันชื่อว่า เสี่ยว เฟ่ย เชียน ซึ่งเป็นเจ้าของคอลเซ็นเตอร์ 3 ตึกในปอยเปต ล่าสุดได้ทำหน้าที่เป็น HR และคอยจัดหาบัญชีม้าให้กับบอสชาวจีน โดยจะเข้าๆออกๆกัมพูชาและประเทศไทยเป็นประจำเพราะตนเองเสพติดภาพการล้มพับของเหยื่อ เพราะมันทำให้ตนเองมี ความสุข , ความสนุก , ความสะใจ มีอยู่ครั้งหนึ่งตนได้เคยไปลองมอมยาใส่กลุ่มชายหนุ่มในสถานที่ท่องเที่ยวแล้วเห็นเหยื่อล้มฟุบพร้อมกัน 4 คน ทำให้รู้สึกว่าตัวเองมีพลังวิเศษ ซึ่งตอนนี้ได้เสพติดความสุขนี้ไปแล้ว 

ซึ่งตนเองจะหาเวลาว่างจากการทำงานเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์เดือนละ 2-3 ครั้ง เพื่อเข้ากรุงเทพมาก่อเหตุลักษณะนี้ ความสุขก็ส่วนหนึ่งแต่อีกส่วนก็หวังจะได้ทรัพย์สินจากเหยื่อด้วย โดยจุดเริ่มต้นเกิดจากตนเองเคยถูกผู้ชายมามีเพศสัมพันธ์ด้วยแล้วโดนชายคนนั้นขโมยทรัพย์สินไประหว่างที่ตนเองหลับ โดยตอนนั้นตนเองถูกขโมยเงินไปกว่า 80,000 บาท จึงแค้นมากวางแผนล่อลวงชายคนนั้นมาและได้ลองมอมยาแบบนี้เป็นครั้งแรก โดยตอนนั้นใส่ยาไปทั้งหมด 10 เม็ด จนล้มพับไปจากนั้นก็ขโมยของขโมยรถของชายคนนั้น จากนั้นก็รู้สึกสนุก สะใจ จึงติดเป็นนิสัยและก่อเหตุต่อมาเรื่อยๆ โดยยาที่ตนได้มานั้นตนเองไปหาหมอแล้วจะบอกว่าต้องการยาตัวนี้ ถ้าหมอคนไหนไม่ยอมให้ก็จะแสดงละครบอกหมอว่าถ้าไม่ให้จะไปฆ่าตัวตาย หมอก็จะยอมให้ โดยให้ทีละ 20-30 แผง และที่เลือกวางยาในเบียร์แบบนี้เพราะว่าตนเคยลองใส่ในน้ำเปล่าแล้วมันจะขุ่นๆทำให้เหยื่อดูออกได้ง่าย ส่วนรถที่ตนเองได้ขโมยมาจะนำไปขายให้กับขบวนการส่งรถออกนอกประเทศ โดยจะเก็บรถที่ขโมยมาไว้กับตัวเองไม่เกิน 2 ชั่วโมง ส่วนบัตรประชาชนที่ถูกตรวจค้นพบหลายๆใบนั้น ตนเองได้มาจากเหยื่อบ้าง และได้จากพวกเปิดบัญชีบ้าง เลยนำมาใช้ในการทำธุรกรรมต่างๆแทนชื่อของตนเองเพื่อปกปิดตัวเอง” หลังจับกุมตัว ได้นำส่งพนักงานสอบสวน สน.พญาไท ดำเนินคดีตามกฎหมาย

พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. กล่าวว่า “เรายังไม่ปักใจเชื่อในคำให้การของภัยสังคมรายนี้ โดยจากการขยายผลการจับกุมในขณะนี้เราพบพยานหลักฐาน รถจักรยานยนต์ ซึ่งต้องสงสัยว่าได้จากการก่อเหตุ กว่า 13 คัน และพบข้อมูลเหยื่อและผู้ที่กำลังจะตกเป็นเหยื่ออีกไม่ต่ำกว่า 10 ราย จึงขอประชาสัมพันธ์ถึงผู้ที่เคยตกเป็นเหยื่อคนร้ายรายนี้ ให้แจ้งมาที่เฟสบุ๊คเพจ สืบสวนนครบาล IDMB เรามีเจ้าหน้าที่ประสานงานตลอด 24 ชั่วโมง เราจะปกปิดข้อมูลของคุณเป็นความลับ และขอฝากเตือนไปยังเหล่าผู้ปกครองให้หมั่นเฝ้าระวังบุตรหลานที่ชื่นชอบการเล่นแอ็พพลิเคชั่นหาคู่ลักษณะนี้ ให้หลีกเลี่ยง เพื่อความปลอดภัยในชีวิตร่างกายและทรัพย์สินของท่าน ในส่วนของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ตอนนี้เราได้ข้อมูลสำคัญของขบวนการมามากพอสมควร ซึ่งเราจะมีการขยายผลต่อไปจนถึงที่สุด แม้ไม่ใช่คดีอุกฉกรรจ์ แต่หากเป็นความเดือดร้อนของประชาชน เราทำทันที ตามนโยบายของ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น.”

ตร.ไซเบอร์จับขบวนการ Romance Scam ปลอมเป็นฝรั่งหน้าตาดี ตุ๋นเหยื่อผ่าน IG สูญเงินกว่าล้านบาท

สืบเนื่องจากเมื่อปลายปี 2565 ผู้เสียหายได้รู้จักและสนทนากับคนร้าย โดยใช้บัญชี Instagram และ WhatsApp สร้างโปรไฟล์ปลอมใช้ชื่อ "Roland" อ้างเป็นหนุ่มต่างชาติหน้าตาดี พูดคุยในเชิงชู้สาวเรื่อยมาจนผู้เสียหายตายใจ

จนกระทั่งคนร้ายได้หลอกลวงผู้เสียหายว่าจะส่งของขวัญเป็นเครื่องประดับมีค่าและเงินให้แก่ผู้เสียหาย โดยหลอกให้ผู้เสียหายช่วยชำระค่าใช้จ่ายในการส่งของขวัญออกไปก่อน อาทิ ค่าธรรมเนียม ค่าภาษี และอื่นๆ ตามที่กลุ่มคนร้ายบอก ผู้เสียหายจึงหลงเชื่อโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารของคนร้าย จำนวน 19 ครั้ง รวมเป็นเงินรวม 1,090,000 บาท ภายหลัง ผู้เสียหายรู้ตัวว่าไม่ไม่มีทางได้รับสิ่งของดังกล่าว และรู้ตัวว่าถูกหลอกลวงแล้ว จึงมาแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีตามกฎหมาย

ต่อมาวันที่ 11 ก.ย. 2566 พ.ต.ท.ศักดิ์สิทธิ์ ชูบุญเรือง สว.กก.วิเคราะห์ข่าวฯ บก.สอท.1 ได้นำกำลังชุดสืบสวนร่วมกันลงพื้นที่ติดตามจับกุมผู้ต้องหาที่เป็นหนึ่งในขบวนการที่ได้เปิดบัญชีธนาคารไว้สำหรับรับโอนเงินจากเหยื่อ จนสามารถจับกุมตัว นายอรุณ อายุ 25 ปี ชาวจังหวัดสระบุรี ในฐานความผิด “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน โดยแสดงตนเป็นคนอื่น, ร่วมกันโดยทุจริต หรือหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน” โดยสามารถควบคุมตัวได้บริเวณพื้นที่ หมู่ที่ 6 ต.พุแค อ.เฉลิมพระเกียรติ
จ.สระบุรี

เบื้องต้นผู้ต้องหาอ้างว่าตนได้ถูกหลอกให้เปิดบัญชีเพื่อรับผลกำไรจากการเล่นการพนันออนไลน์ อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้นำตัวส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ตำรวจไซเบอร์ จับแก๊งคอลฯ อ้างสรรพากร หลอกกดลิงก์ สูญเงินเกือบ 2 ล้าน

สืบเนื่องจากเมื่อปลายเดือนเมษายน 2566 ที่ผ่านมา ได้มีผู้เสียหายซึ่งตกเป็นเหยื่อของขบวนการคอลเซ็นเตอร์ แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่จากกรมสรรพากร โทรศัพท์มาแจ้งให้ผู้เสียหายส่งงบการเงินประจำปี ที่ยังค้างชำระและให้อัพเดทข้อมูลส่วนตัวให้เป็นปัจจุบัน พร้อมทั้งใช้แอปพลิเคชั่น Line ชื่อ กระทรวงพาณิชย์ ส่งลิงก์มาให้ผู้เสียหายโดยแจ้งว่าเป็นลิงก์เว็บไซต์ของกรมสรรพากร เพื่อให้ผู้เสียหายกดเข้าไปตรวจสอบว่ามีการค้างภาษีหรือไม่ ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงกดเข้าไปจากนั้นโทรศัพท์มือถือได้ค้างและดับไป ต่อมาปรากฏว่ามีการโอนเงินออกจากบัญชีของผู้เสียหาย ผ่าน Mobile Banking จำนวน 2 บัญชี รวมเป็นเงิน 1,968,049 บาท ผู้เสียหายรู้ตัวว่าถูกหลอกจึงได้มาร้องทุกข์กับ บช.สอท. เพื่อให้ช่วยติดตามจับกุมคนร้ายมาดำเนินคดีตามกฎหมาย

พล.ต.ต.ชัชปัณฑกาณฑ์ คล้ายคลึง ผบก.สอท.1, พ.ต.อ.ศรายุทธ จุณณวัตต์ และ พ.ต.อ.ทำนุรัฐ คงมั่น
รอง ผบก.สอท.1 ได้สั่งการให้ทำการสืบสวนสอบสวนและติดตามจับกุมกลุ่มคนร้ายมาดำเนินคดีให้ได้โดยเร็ว ต่อมาพนักงานสอบสวน กก.4 บก.สอท.1 ได้สืบสวนสอบสวนจนทราบตัวผู้ร่วมกระทำความผิดดังกล่าว และได้รวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติออกหมายจับผู้ต้องหานี้ไว้

ต่อมาวันที่ 11 กันยายน 2566 พล.ต.ต.ชัชปัณฑกาณฑ์ คล้ายคลึง ผบก.สอท.1 และ พ.ต.อ.ทำนุรัฐ คงมั่น
รอง ผบก.สอท.1 พร้อมกำลังฝ่ายสืบสวน กก.4 บก.สอท.1 นำกำลังเข้าจับกุมตัว นายกำชัย หรือ ปุ๊ (สงวนนามสกุล) อายุ 37 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ได้ที่ บริเวณบ้านพัก ในซอยเทศบาลบางปู 91 อ.เมืองสมุทรปราการ จ.สมุทรปราการ ในความผิดฐาน “ร่วมกันลักทรัพย์โดยลวงว่าเป็นเจ้าพนักงาน , ร่วมกันโดยทุจริตนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน และ ร่วมกันเข้าถึงโดยมิชอบซึ่งระบบและข้อมูลคอมพิวเตอร์” นอกจากนี้ยังพบว่าผู้ต้องหามีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับยาเสพติดและเคยถูกจับกุมตัวมาก่อน

พล.ต.ต.ชัชปัณฑกานต์ฯ กล่าวว่า “ผู้ต้องหาให้การรับว่า ก่อนหน้านี้มีหญิงสาวรายหนึ่งซึ่งรู้จักกันได้มาขอ
บัตรประจำตัวประชาชนไป โดยไม่ได้แจ้งว่าจะนำไปทำอะไร พร้อมทั้งให้ค่าตอบแทนมาเป็นจำนวนเงิน 200 บาท จึงเชื่อว่าจะมีการนำบัตรประชาชนของตนไปเปิดบัญชีธนาคาร หรือลงทะเบียนซิมการ์ดโทรศัพท์ (บัญชีม้า ซิมม้า) เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจยังไม่ปักใจเชื่อในคำให้การของผู้ต้องหา และกำลังขยายผลไปยังผู้ที่อยู่เบื้องหลังและขบวนการทั้งหมด”

พล.ต.ต.ชัชปัณฑกานต์ฯ ได้ฝากเตือนไปยังพี่น้องประชาชนว่าอย่าได้หลงเชื่อหรือตกเป็นเหยื่อ โดยไม่ควรรับแอดเพื่อนในสื่อสังคมออนไลน์ที่ไม่รู้จัก หากจะรับขอให้ตรวจสอบข้อมูลในบัญชีให้ดี รวมทั้งไม่ควรกดลิงค์จากคนแปลกหน้าหรือผู้ที่ไม่รู้จัก เมื่อมีการติดต่อจากผู้ที่อ้างตนเป็นเจ้าหน้าที่ ควรตรวจสอบยืนยันว่าเป็นเจ้าหน้าที่จริงหรือไม่ และหากมีการชักชวนลงทุนในสกุลเงินดิจิทัล ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นมิจฉาชีพ และควรตรวจสอบความน่าเชื่อถือของการลงทุนอีกด้วย หากมีข้อสงสัยสามารถปรึกษาสอบถาม สายด่วน ตำรวจไซเบอร์ 1441 ได้ทันที

‘ป.ป.ส.’ บุกยึดยาบ้ากว่า 2 ล้านเม็ด ที่ถูกซุกอยู่บ้านเช่า จ.อยุธยา ส่วนผู้ต้องหาขับรถแหกวงล้อมหนีไปได้ จ่อแถลงใหญ่ 13 ก.ย.นี้

(10 ก.ย. 66) ภาพจากกล้องวงจรปิด บันทึกเสียง และภาพเจ้าหน้าที่ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) และกำลังจะเข้าจับกุมกลุ่มเครือข่ายยาเสพติด ไหวตัวทัน ขับรถยนต์ พุ่งชนรั้วบ้าน และรถยนต์ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้รับความเสียหาย 2 คัน จากนั้นขับหลบหนี ซึ่งกล้องบริเวณหน้าปากทางสามารถจับภาพได้ขณะที่ต้องสงสัย รายที่ 1 วิ่งหลบหนีออกไปทางด้านหน้าปากซอย จากนั้นก็จะเห็นภาพรถยนต์นั่งส่วนบุคคล อีซูซุ มิวเอ็ก สีขาววิ่งตามมา อย่างรวดเร็ว ตามด้วยเสียงปืนดังขึ้นหลายนัด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงเช้าวันนี้ เจ้าหน้าที่ ป.ป.ส. พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นำกำลังเข้าตรวจค้นจับกุมเครือข่ายค้ายาเสพติดข้ามชาติรายใหญ่ ที่บ้านหลังหนึ่ง ภายในหมู่บ้านจัดสรร ริมถนนโรจนะ ม.5 ต.บ้านสร้าง อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา

ในขณะที่กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้ปิดล้อมบ้าน และกำลังจะเข้าจับกุมกลุ่มเครือข่ายยาเสพติด เกิดไหวตัวทัน ขับรถยนต์พุ่งชนรั้วบ้านหลบหนีออกมาจากบ้าน จนชนรถของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทำให้ได้รับความเสียหายจำนวน 2 คัน เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ยิงสกัดรถของเครือข่ายยาเสพติด พร้อมกับขับรถรถติดตามไปแต่ไม่สามารถจับกุมตัวได้ ท่ามกลางความตกใจของชาวบ้านที่อาศัยอยู่ภายในหมู่บ้าน

ในเบื้องต้น ทราบข้อมูลว่า เจ้าหน้า ป.ป.ส. พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ทหารเรือ ให้ข้อมูลว่า ได้ติดตามเครือข่ายยาเสพติดมาจากจังหวัดทางภาคอีสาน ที่ขนยาบ้ามาจากประเทศเพื่อนบ้าน ข้ามแม่น้ำโขงมา มีการนำยาบ้ามาซุกซ่อนพักเอาไว้ภายในบ้านหลังดังกล่าว เพื่อเตรียมกระจายจำหน่ายในพื้นที่ภาคกลาง และปริมณฑล ขณะที่เจ้าหน้าที่กำลังจะเข้าจับกุม กลุ่มเครือข่ายยาเสพติด ได้เปิดประตูรั้วบ้านออกมาพอดี เตรียมจะเดินทางออกจากบ้าน จึงเห็นกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ วิ่งหลบหนี และอีก 2 คนได้ขับรถยนต์อีซูซุ สีขาว หลบหนีพุ่งชนรั้วบ้าน และรถเจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่ตำรวจติดตามไปแล้วไม่ทัน หลบหนีไปได้จำนวน 3 คน

จากการตรวจค้นภายในบ้านเช่า พบจำนวนยาบ้าประมาณ 2 ล้านเม็ด ถูกพันด้วยผ้าเทปสีน้ำตาล ตั้งเรียงไว้อยู่บริเวณมุมบ้านพร้อมกับขวดสเปรย์น้ำหอม ที่ใช้ฉีดกลบกลิ่นยาบ้าไม่ให้เพื่อนบ้านได้กลิ่น จากนั้นเจ้าหน้าที่ ป.ป.ส.ขนย้ายยาเสพติดทั้งหมด เข้าสำนักงาน ป.ป.ส. แล้วจะมีการแถลงใหญ่ในวันที่ 13 กันยายน ที่จะถึงนี้อย่างละเอียดอีกครั้ง

ผู้สื่อข่าวได้ สอบถามเพื่อนบ้านเล่าว่า บ้านหลังดังกล่าว พบว่ามีคนมาเช่าบ้านอยู่ได้ประมาณ 5-6 เดือน เคยพูดคุยกันทราบว่าเป็นผู้รับเหมา มักจะกลับเข้ามาบ้านช่วงดึกๆ มาอยู่ประมาณ 2-3 ชั่วโมงแล้วออกไปไม่เคยมีการพักค้างคืน

จนเมื่อเช้า เห็นมีกำลังเจ้าหน้าที่มาจอดหน้าบ้าน คนในบ้านเปิดประตูมาพอดี แล้ววิ่งหนี เจ้าหน้าที่ตำรวจจะพยามจับกุมตัวแต่ไม่ทัน รถที่จอดในบ้านขับชนรั้วออกมาชนรถตำรวจขับหลบหนี ได้ยินเสียงปืนดังหลายนัด ตนเองตกใจกระโดดหลบจนล้มได้รับบาดเจ็บ

ธรรมะประจำวันอาทิตย์ที่ 10 กันยายน 2566

แม้จะละสังขารด้วยอายุแค่ 34 ปี ด้วยอาการหัวใจล้มเหลว เมื่อวันที่ 31 ส.ค. 2566 แต่คำสอนของ ‘ครูบาน้อย ญาณวิไชย’ แห่งวัดถ้ำเชตวัน ต.สันทะ อ.นาน้อย จ.น่าน ยังคงอยู่

มาลองดูคำสอนบางส่วน ที่เป็นบันทึกด้วยลายมือของครูบาน้อยเอง ที่เขียนขึ้นระหว่างปฏิบัติกรรมฐานในถ้ำ นาน 3 ปี 3 เดือน 3 วัน ซึ่งเกิดขึ้นระหว่างวันที่ 12 ก.ค. 2557 ถึงวันที่ 15 ต.ค. 2560 ในพุทธสถานถ้ำเชตวัน คำสอนจากก้นถ้ำจำนวน 49 หน้า รวม 156 บท ล้วนแต่เป็นธรรมะอันลึกซึ้ง ที่จะคงอยู่ไม่มีวันตาย

‘จเรหิน’ เตรียมฟาดซ้ำ!! สั่งสอบวินัย 25 ตร.ร่วมวงสังสรรค์ หลังปล่อยมือสังหารสารวัตรสิวลอยนวล ชี้!! โทษถึงไล่ออก

จากกรณีเกิดเหตุนายธนัญชัย หรือ ‘หน่อง ท่าผา’ ได้ใช้อาวุธปืนกระหน่ำยิง พ.ต.ต.ศิวกร  สายบัว สว.ส.ทล.1 กก.2 บก.ทล.เสียชีวิต เหตุเกิดที่บ้านของนายของนายปวีณ จันทร์คล้าย หรือ ‘กำนันนก’ ที่ตำบลตาก้อง อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม ทั้งๆ ที่มีตำรวจระดับ ผกก. - ผบ.หมู่ อยู่ในเหตุการณ์ขณะเกิดเหตุจำนวนถึง 25 นาย ซ้ำร้ายยังปล่อยให้คนร้ายหนีไปได้อย่างลอยนวล รวมถึงมีการทำลายพยานหลักฐานในที่เกิดเหตุอีกด้วย เหตุเกิดเมื่อวันที่ 6 ก.ย. 66 ซึ่งโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติแถลงว่า พล.ต.อ.ดำรงศักด์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร.ได้สั่งการให้ จเรตำรวจแห่งชาติ ตรวจสอบข้อเท็จจริงทางวินัย

ล่าสุด วันนี้ (9 ก.ย. 66) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.วิสนุ ปราสาททองโอสถ จเรตำรวจแห่งชาติ ได้เปิดเผยผู้สื่อข่าว ถึงกรณีดังกล่าวว่า…

“ขณะนี้ ยังไม่มีคำสั่งที่เป็นทางการ แต่ก็ได้สั่งการให้เตรียมการในเบื้องต้นไว้แล้ว โดยในส่วนการสอบสวนคดีอาญา ทาง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร.ก็ได้ลงไปควบคุมสั่งการอยู่แล้ว แต่ในส่วนจเรตำรวจก็เป็นเรื่องทางวินัย ซึ่งตนจะออกคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการของจเรตำรวจเข้าไปสอบวินัยตำรวจทั้ง 25 นาย โดยจะมีการประสานข้อมูลกับพนักงานสอบสวนคดีอาญาอย่างใกล้ชิดเพราะเป็นเหตุการณ์เดียวกัน พยานหลักฐานชุดเดียวกัน

โดยเฉพาะประเด็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ปล่อยให้คนร้ายหลบหนี ปล่อยให้มีการทำลายที่เกิดเหตุ ทำลายพยานวัตถุ ทำลายหลักฐาน ทำลายระบบการบันทึกระบบวงจรปิดในที่เกิดเหตุ นอกจากนั้น จะสาวข้อมูลให้ลึกลงไปด้วยว่า ตำรวจทั้ง 25 นาย มีการประพฤติตนอันไม่สมควรอื่นๆ ที่เอื้อต่อกำนันรายนี้อย่างไร เช่น การเรียกรับส่วย การรับผลประโยชน์ และการเอื้อผู้มีอิทธิพลที่กระทำผิดกฎหมายอื่นๆ ซึ่งเป็นที่มาของการกล้ากำเริบเหิมเกริมก่อเหตุสังหารตำรวจระดับสารวัตร ต่อหน้าตำรวจที่นั่งกันอยู่เต็มงาน แถมยังมีตำรวจผู้ใหญ่ระดับ ผกก.นั่งอยู่ด้วยถึง 3 นาย ในครั้งนี้ โดยไม่มีตำรวจคนใดกล้าจับกุม หรือขัดขวางการหลบหนี ปล่อยให้เพื่อนตำรวจถูกยิงเสียชีวิตคาตา

พล.ต.อ.วิสนุ กล่าวทิ้งท้ายว่า ตนยืนยันได้ว่าจะดำเนินการในเรื่องนี้อย่างเด็ดขาด ตรงไปตรงมา ตามพยานหลักฐานไม่มีการละเว้น และความผิดทางวินัยในเรื่องนี้ มีโทษขั้นสูงสุดคือไล่ออกจากราชการ

‘No More Bets’ ทำนักท่องเที่ยวจีนมอง 'อาเซียน' ไม่ปลอดภัย หลังตัวหนังชี้!! “หนึ่งคนดู ลดเหยื่อถูกโกงหนึ่งคน”

กลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาทันที หลังจากบรรดา 'นักท่องเที่ยวจีน' ซึ่งเป็นความหวังในการพลิกฟื้นเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และประเทศไทย อยู่ดีๆ ก็เริ่มชะลอการมาท่องเที่ยวยังโซนอาเซียน

แน่นอนว่า ส่วนหนึ่งก็คงมาจากปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจในประเทศจีนเอง ที่รัฐบาลพยายามจูงใจให้เที่ยวภายในประเทศ

แต่อีกส่วนหนึ่ง ดูเหมือนจะมาจากอิทธิพลของภาพยนตร์เรื่อง 'No More Bets' ที่ทำรายได้ถล่มทลายทั่วเมืองจีน แต่ด้วยเนื้อหาที่เล่าถึงการค้ามนุษย์และหลอกคนไปเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้สร้างความหวาดกลัวให้กับผู้ชมชาวจีนจนไม่กล้ามาเที่ยวในละแวกนี้

>> ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น!!

'No More Bets' ภาพยนตร์แอ๊กชันอาชญากรรมสุดระห่ำเข้าฉายในจีนตั้งแต่เมื่อต้นเดือน ส.ค. และสามารถครองอันดับหนึ่งบนตารางหนังทำเงินได้ตั้งแต่สัปดาห์แรกที่เข้าฉาย มาพร้อมกับสโลแกน โปรโมตภาพยนตร์ว่า “หนึ่งคนดู ลดเหยื่อถูกโกงหนึ่งคน”

โดยภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากคดีที่เกิดขึ้นจริง ซึ่งเล่าถึงเรื่องคู่รักชาวจีนที่ถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกให้ไปทำงานต่างประเทศ เพราะจะได้ค่าตอบแทนสูง แต่พอไปถึงกลับต้องอยู่โรงงานนรกในเมียนมา และทั้งคู่ถูกกักขังและต้องทำงานหลอกลวงผู้อื่น จนต้องหาทางหลบหลีกจากโรงงานค้ามนุษย์แห่งนี้ให้ได้

แน่นอนว่าตัวหนังมีความสอดคล้องกับกระแสข่าวในเมียนมาและกัมพูชาในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา หลังจากทั้ง 2 ประเทศ ถูกมองในฐานะประเทศฐานที่มั่นของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ การฉ้อโกงออนไลน์ และขบวนการค้ามนุษย์มาโดยตลอด

จากรายงานของสำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (OHCHR) ที่พึ่งเผยแพร่ เมื่อวันที่ 29 ส.ค. ที่ผ่านมา ชี้ให้เห็นว่า มีคนอย่างน้อย 120,000 คนในเมียนมา และประมาณ 100,000 คนในกัมพูชา ถูกหลอกและบังคับให้ทำงานหลอกลวงประชาชน ด้วยการเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เล่นพนันออนไลน์

>> ลุกลามเทือนเพื่อนบ้าน!!

ที่น่ากังวล คือ ในขณะที่ 2 ประเทศดังกล่าวถูกมองในสถานะที่กล่าวมา ก็พาประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดนหางเลขไปด้วย ไม่ว่าจะเป็น ลาว, ฟิลิปปินส์ และไทย ในฐานะของประเทศที่กลายเป็นทางผ่านของเหยื่อในขบวนการค้ามนุษย์หลายหมื่นคน

>> กระแสจากหนัง ฝังใจคนจีน ตีจากอาเซียน

ข้อมูลจากเว็บไซต์ Straits Times ได้เคยรายงานไว้ว่า หลังจากภาพยนตร์เรื่อง 'No More Bets' เข้าฉาย ส่งผลให้ชาวจีนไม่กล้ามาเที่ยวเมียนมาและกัมพูชา เพราะกลัวจะตกเป็นเหยื่อขบวนการค้ามนุษย์

...และจากกระแสของหนังนี้เอง ก็ลุกลามไปถึงชาวจีนที่มีความกังวลด้านความปลอดภัยต่อการมาเยือนอาเซียน ซึ่งรวมถึงไทยด้วย พร้อมตั้งคำถามผ่านโซเชียลมากมาย อาทิ...

"ถ้าฉันไปเที่ยวที่โน่น ฉันไม่คิดว่าจะสามารถเดินทางกลับมาโดยปลอดภัย"

"สถานทูตจีนในเมียนมาออกเตือนด้วยว่า เราไม่ควรสนใจประกาศรับสมัครงานออนไลน์ที่มีเงินเดือนสูงเกินจริง หรือมีส่วนร่วมในกิจกรรมที่ผิดกฎหมายที่นั่น"

"ก่อนปิดเทอมที่ผ่านมา ลูกชายชวนเพื่อนมาเที่ยวเมืองไทย แต่เขาบอกว่าอ่านข่าวมีทุนจีนสีเทา มีการจับไปเรียกค่าไถ่เอย เลยไม่กล้ามา เลยบอกลูกชายให้ไปบอกเพื่อนเข้าไว้"

"เรื่องจับเรียกค่าส่วนใหญ่ ไม่เกี่ยวกับไทย เพราะจะเป็นคนจีนจับคนจีนไปเรียกค่าไถ่ โดยเหยื่อจะเป็นนักศึกษาจีนที่มาเรียนในไทยหรือพวกนักธุรกิจจีนที่มาทำธุรกิจที่ไทย และพวกนี้เขาจะรู้กันเองว่าคนไหนรวย ยังไม่มีนักท่องเที่ยวที่เป็นเหยื่อในคดีพวกนี้ แต่นั่นแหละการมาไทยจึงเป็นสิ่งที่ต้องระวัง"

"จริงๆ เรื่องการจับเรียกค่าไถ่นี่ ฟิลิปปินส์หนักกว่าที่ไทยเยอะ และเป็นคนท้องถิ่นเองที่มุ่งจับคนจีนไปเรียกค่าไถ่ เพราะเข้าใจว่าคนจีนรวยทั้งนั้น อย่างลูกชายที่ไปเป็นล่ามแปลให้นักธุรกิจจีน เขาก็ลงทุนในฟิลิปปินส์เหมือนกัน เขาบอกที่นั่นอย่างเมืองของพวกมาเฟีย ตกดึกออกข้างนอกไม่ได้ อยู่ที่นั่นต้องจ้างบอดี้การ์ด เขาบอกเมืองไทยปลอดภัยกว่าเยอะ"

อย่างไรก็ตาม จากกรณีดังกล่าวที่เริ่มแพร่กระจายไปสู่คนจีนมากขึ้น จนเริ่มไม่กล้ามาท่องเที่ยวอาเซียน ซึ่งรวมถึงประเทศไทยด้วยนั้น คงเป็นภารกิจสำคัญที่รัฐบาล หน่วยงานด้านการท่องเที่ยว คงต้องรีบไหวตัว ประชาสัมพันธ์ถึงความเชื่อมั่นของไทย และถ้าส่วนไหนที่ทำให้เกิดความกังวล เช่น กลุ่มผู้มีอิทธิพลต่างๆ ก็ควรต้องเร่งสะสางให้สิ้น

เปิดปมสังหาร ‘สารวัตรหนุ่มอนาคตไกล’ หลังปฏิเสธ ‘กำนันนก’ ไม่จัดหาตำแหน่งให้หลานชาย ฉีกหน้ากลางงานเลี้ยงโชว์บารมี

(7 ก.ย. 66) รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับ นายประวีณ จันทร์คล้าย หรือ ‘กำนันนก’ ผู้มีอิทธิพลใน จังหวัดนครปฐม นั้น จากแนวทางสืบสวนพบเป็นคนกว้างขวางในพื้นที่ สนิทสนมใกล้ชิดกับอดีตนักการเมืองใหญ่ระดับประเทศ รู้จักตำรวจใหญ่ นักการเมืองท้องถิ่นในพื้นที่มากมาย จึงมักนัดพบดื่มสังสรรค์กันที่บ้านพักกันประจำ ประกอบมีแผนการจะฝากฝังหลานชายที่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของ พ.ต.ต.ศิวกร สายบัว สว.ส.ทล.1 กก.2 บก.ทล. ให้ได้ย้ายตำแหน่งหน้าที่ จึงวางแผนนัดหมายให้ พ.ต.ต.ศิวกร มาร่วมสังสรรค์ที่บ้านพักในวันนี้เพื่อจะโชว์บารมีว่าตนเองรู้จักผู้หลักผู้ใหญ่หลายคน คล้ายกับบีบให้ พ.ต.ต.ศิวกร ยอมทำตาม

ที่เกิดเหตุอยู่บริเวณลานอเนกประสงค์หน้าบ้าน มีการจัดโต๊ะนั่งรับประทานอาหาร จำนวน 2 โต๊ะ โดยโต๊ะกลมเป็นสำหรับผู้หลักผู้ใหญ่นั่ง มี นายประวีณ จันทร์คล้าย หรือ ‘กำนันนก’ นั่งเป็นประธานหัวโต๊ะ พร้อมด้วย พ.ต.อ.ภาณุทัต เหลืองสัจจกุล ผกก.สส.ภ.จว.นครปฐม, พ.ต.อ.วชิรา ยาวไทยสง ผกก.กก.2 บก.ทล., พ.ต.อ.กฤษฎาพร จงอักษร. ผกก.สน.พญาไท, พ.ต.ท.วศิน พันปี รอง ผกก.2 บก.ทล., พ.ต.ต.ณรงค์ พิทักษ์ฉนวน สว.ฝอ.กก.2 บก.ทล., พ.ต.ต.ศิวกร สายบัว สว.ทล.1 กก.1 บก.ทล., ด.ต.ชนาณัฐ วุฒิยากร ผบ.หมู่ บก.ทล. โดยมี จ.ส.ต.พิสิฐ ชิวปรีชา ผบ.หมู่ ส.ทล.1 กก.2 บก.ทล. และ จ.ส.ต.เมทิศกร พันศ์สีจันทร์ ผบ.หมู่ ส.ทล.1 กก.2 บก.ทล. คอยบริการผสมเครื่องดื่มให้ ส่วนโต๊ะอีกโต๊ะหนึ่งจะเป็นโต๊ะยาวเรียงต่อกัน มีเจ้าหน้าที่ตำรวจ จาก กก.2 ทล., เจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่จากโรงพักใกล้เคียง รวมถึง นายธนัญชัย มือปืน และกลุ่มลูกน้องของ นายปวีณ คนอื่นๆ นั่งอยู่ ซึ่งงานดังกล่าวเริ่มขึ้นตั้งแต่เวลา 20.00 น.

กระทั่งผ่านไป 1 ชั่วโมง เวลาประมาณ 21.00 น. ขณะที่ผู้คนกำลังดื่มกินกันตามปกตินั้น นายประวีณ หรือ ‘กำนันนก’ ก็ได้เริ่มเปิดฉากพูดคุยกับ พ.ต.ต.ศิวกร เกี่ยวกับเรื่องที่ต้องการให้ช่วยสับเปลี่ยนตำแหน่ง จ.ส.ต.พิสิฐ หลานชาย ซึ่งเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของ พ.ต.ต.ศิวกร จากสายตรวจรถวิทยุ มาเป็นสายตรวจจักรยานยนต์ แต่ทาง พ.ต.ต.ศิวกร ได้ตอบปฏิเสธไปอ้างว่าต้องรอให้เจ้าหน้าที่ที่ประจำหน้าที่นั้นเกษียณก่อน ทำให้นายประวีณ ไม่พอใจและรู้สึกเสียหน้า ก่อนนายประวีณ จะพูดขึ้นมาในลักษณะไม่พอใจ ว่า “ขอมันคนเดียว มันเป็นหลานผม” แต่ทาง พ.ต.ต.ศิวกร ก็ยังแสดงทีท่าปฏิเสธอยู่ ยิ่งทำให้นายปวีณ ไม่พอใจหนักขึ้นก่อนจะลุกขึ้นยืน และ ตบโต๊ะ พร้อมย้ายไปนั่งอีกโต๊ะหนึ่งที่ลูกน้องของตัวเองนั่งอยู่

ระหว่างนั้น พ.ต.ต.ศิวกร และ จ.ส.ต.พิสิฐ เห็นท่าไม่ดีจึงลุกเข้าไปขอโทษนายประวีณ แต่นายประวีณ ก็ทำท่าทีไม่สนใจ พร้อมพูดไล่ให้ พ.ต.ต.ศิวกร กลับไป พ.ต.ต.ศิวกร จึงกลับมานั่งที่โต๊ะเดิม ส่วน จ.ส.ต.พิสิฐ นั้นนั่งคุยกับนายประวีณ อยู่อีกครู่หนึ่งก่อนจะเดินกลับมาที่โต๊ะ แล้วไหว้อำลา จากนั้นจึงเดินออกจากโต๊ะไปที่ลานจอดรถเพื่อกลับบ้าน

ให้หลังจากนั้นไม่นานประมาณ 5 นาที นายธนัญชัย มือปืน ก็ลุกขึ้นจากโต๊ะแล้วเดินเข้าไปยืนทางด้านข้างของ พ.ต.ต.ศิวกร ห่างประมาณ 1 เมตร ก่อนชักอาวุธปืนออกมากระหน่ำยิงใส่ พ.ต.ต.ศิวกร จำนวนหลายนัด จน พ.ต.ต.ศิวกร ล้มฟุบไป ขณะเดียวกันกระสุนยังถูก พ.ต.ท.วศิน ที่นั่งอยู่ติดกับ พ.ต.ต.ศิวกร ผู้ตาย ได้รับบาดเจ็บไปด้วยอีกราย หลังเกิดเหตุกลุ่มเพื่อนตำรวจจึงเร่งช่วยกันพาตัว พ.ต.ต.ศิวกร และ พ.ต.ท.วศิน นำส่งโรงพยาบาลนครปฐม ก่อนที่ พ.ต.ต.ศิวกร จะเสียชีวิตในเวลาต่อมา ส่วนตัว นายธนัญชัย อาศัยจังหวะชุลมุนหลบหนีไป

ทั้งนี้ ล่าสุด ‘กำนันนก’ ได้เข้ามอบตัวแล้ว

ผบ.ตร.สั่งด่วนให้ ผบช.ก. นำชุดหนุมานประสาน ภ.7 ไล่ล่าคนร้ายอุกอาจยิงสารวัตรทางหลวงดับ หากขัดขืนใช้มาตรการขั้นเด็ดขาด พร้อมสั่งปูพรมกวาดล้างอิทธิพลในพื้นที่ ขยายผลดำเนินการผู้เกี่ยวข้องทุกราย

วันนี้ (7 ก.ย.66 ) พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า  “กรณีเหตุคนร้ายอุกอาจเหิมเกริม ยิงตำรวจทางหลวง พ.ต.ต.ศิวกร สายบัว สว.ส.ทล.1 กก.2 บก.ทล. เสียชีวิต และ  พ.ต.ท.วศิน พันปี รอง ผกก.2 บก.ทล. บาดเจ็บสาหัส เหตุเกิดในพื้นที่ ต.ตาก้อง อ.เมือง จ.นครปฐม เมื่อคืนที่ผ่านมา พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร.ได้รับทราบแล้ว สั่งการด่วนให้ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. พร้อมชุดหนุมาน และ พล.ต.ท.ธนายุตม์ วุฒิจรัสธำรงค์ ผบช.ภ.7 เร่งรัดออกหมายจับคนร้ายที่ก่อเหตุ ซึ่งตำรวจรู้ตัวแล้ว พร้อมไล่ล่าติดตามจับกุมมาดำเนินคดีให้ได้โดยเร็ว หากขัดขืนพร้อมจะใช้มาตรการเด็ดขาดดำเนินการ

ผบ.ตร.ยังได้สั่งการเพิ่มเติม ให้ ผบช.ภ.7 และ ผบช.ก ปูพรมระดมกวาดล้างอิทธิพลในพื้นที่ เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่รับไม่ได้ คนร้ายไม่เกรงกลัวกฎหมาย โดยให้เน้นตรวจค้นอาวุธปืน ยาเสพติด สิ่งผิดกฎหมายอื่นๆ รวมทั้งการขยายผลดำเนินการกับผู้เกี่ยวข้องทุกราย"

‘นิวัติไชย’ ยัน!! ป.ป.ช.ชี้มูล 15 ผู้ถูกกล่าวหา ‘คดีบอส’ จริง พบ ‘สมยศ-เนตร’ โดนด้วย ส่วน ‘เพิ่มพูน’ ผิดวินัยไม่ร้ายแรง

(6 ก.ย. 66) นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ยืนยันข้อเท็จจริงว่า ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดผู้ถูกกล่าวหาในคดีกลับคำสั่งไม่ฟ้องนายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือ ‘บอส’ ในข้อหาขับรถยนต์ชน ‘ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ’ เสียชีวิตเมื่อปี 2555 เนื่องจากมีการเปลี่ยนพยานหลักฐานด้านความเร็วของรถไปแล้วจริง เมื่อวันที่ 5 ก.ย. 2566

นายนิวัติไชย ยอมรับว่า ผู้ถูกกล่าวหาที่ถูกชี้มูลความผิดนั้นจำรายละเอียดทั้งหมดไม่ได้ ต้องรอให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.รับรองรายงานการประชุม ก่อนจะแถลงข่าวกับสื่อมวลชนต่อไป อย่างไรก็ดี ในส่วนของผู้ถูกกล่าวหาหลัก เช่น พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง อดีต ผบ.ตร. และนายเนตร นาคสุข อดีตรองอัยการสูงสุด (อสส.) โดนชี้มูลความผิดไปทั้งหมด

ส่วน พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ อดีตผู้ช่วย ผบ.ตร. ที่ถูกกล่าวหาในคดีนี้เมื่อครั้งยศ พล.ต.ท. ถูกที่ประชุมชี้มูลความผิดด้วยเช่นกัน แต่เป็นความผิดวินัยไม่ร้ายแรง และส่งเรื่องให้ต้นสังกัดไปดำเนินการทางวินัยแล้ว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คดีนี้มีผู้ถูกกล่าวหาทั้งหมด 15 ราย ได้แก่ ทั้งอดีตข้าราชการตำรวจชั้นผู้ใหญ่ที่เกษียณอายุราชการไปแล้ว และยังรับราชการอยู่ พนักงานสอบสวน พนักงานอัยการ นักการเมือง เป็นต้น

ด่วน!! ออกหมายจับ ‘อิทธิพล คุณปลื้ม’ หลังเบี้ยวนัดศาล คดีอนุมัติสร้างคอนโดหรู บริเวณเชิงเขาพระตำหนัก เมืองพัทยา

(6 ก.ย. 66) นายโกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวถึงกรณีศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 2 จังหวัดระยอง ได้ออกหมายจับ นายอิทธิพล คุณปลื้ม อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกเมืองพัทยา ในความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่มิชอบฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 กรณีพิจารณาออกใบอนุญาตก่อสร้างอาคาร ลงวันที่ 10 กันยายน 2551 ให้แก่บริษัท บาลี ฮาย จำกัด เพื่อก่อสร้างอาคารโครงการวอเตอร์ฟรอนท์ฯ บริเวณเชิงเขาพระตำหนัก เมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี ไม่ถูกต้องตามกฎหมายว่า…

เรื่องดังกล่าวได้ทราบจาก นายคำนึง วงษ์ทวีทรัพย์ อธิบดีอัยการ สำนักงานคดีปราบปรามการทุจริตภาค 2 ว่าพนักงานอัยการสำนักงานคดีปราบปรามการทุจริตภาค 2 ได้นัดให้ ป.ป.ช. นำตัวนายอิทธิพลมาพบพนักงานอัยการ เพื่อยื่นฟ้องคดีเมื่อวันที่ 4 ก.ย.ที่ผ่านมา แต่นายอิทธิพลไม่เดินทางมาตามนัด พนักงานอัยการจึงแจ้งให้ ป.ป.ช.ผู้ร้องไปดำเนินการขอศาลออกหมายจับ และศาลออกหมายจับเมื่อวันที่ 5 ก.ย. พนักงานอัยการมีหน้าที่ประสานให้นำตัวผู้ต้องหามาส่งฟ้องตามกฎหมายต่อไป

“คดีนี้ ป.ป.ช.ส่งเรื่องให้อัยการเมื่อวันที่ 3 ส.ค. อัยการสูงสุดพิจารณาสั่งฟ้อง 30 ส.ค. คดีอยู่ที่อัยการไม่ถึงเดือน” นายโกศลวัฒน์ กล่าว

ตำรวจไซเบอร์ ตามรวบเอเย่นต์รับซื้อบัญชีม้า ตุ๋นเหยื่อสูญเงินกว่า 2.5 ล้าน

กองบังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 1 จับกุมเอเย่นต์รับซื้อบัญชีม้า ในขบวนการแอบอ้างเป็นหญิงสาวหน้าตาดี เข้ามาตีสนิทผ่านโลกออนไลน์ ลวงเหยื่อลงทุนเทรดเงินดิจิทัล ผลตอบแทนสูงร้อยละ 50 สูญเงินรวมกว่า 2.5 ล้านบาท

สืบเนื่องจากเมื่อเดือนธันวาคม 2565 ที่ผ่านมา มีประชาชนซึ่งตกเป็นผู้เสียหาย จากการถูกกลุ่มขบวนการ Hybrid Scam หลอกให้รักแล้วลงทุน ใช้โปรไฟล์หญิงสาวหน้าตาดี เข้ามาทักทายตีสนิทผ่านทางเฟสบุ๊ค จากนั้นได้มีการพูดคุยติดต่อกันทางแอปพลิเคชั่น ไลน์ และได้เริ่มชักชวนให้ผู้เสียหายลงทุนเทรด ซื้อขายเงินสกุลดิจิทัล USDT ซึ่งมีผลตอบแทนสูงถึงร้อยละ 50 ของเงินลงทุน เมื่อผู้เสียหายสนใจ คนร้ายได้ส่งแพลตฟอร์ม Bidget-coins เพื่อให้ผู้เสียหายสมัครสมาชิกเข้าไปลงทุน ซึ่งในช่วงแรกสามารถทำกำไรและเบิกถอนเงินได้ตามปกติ จนกระทั่งผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินเข้าบัญชีคนร้าย จำนวน 7 ครั้ง รวมเป็นเงินกว่า 2,588,000 บาท ต่อมาไม่สามารถถอนเงินออกมาได้ โดยคนร้ายใช้ข้ออ้างต่างๆ เช่น ต้องชำระค่าภาษีหรือค่าธรรมเนียม หรือ ต้องเพิ่มการลงทุนให้มากขึ้น จึงจะถอนเงินได้ เมื่อผู้เสียหายรู้ตัวว่าถูกหลอกจึงได้มาร้องทุกข์กับ กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พล.ต.ต.ชัชปัณฑกาณฑ์ คล้ายคลึง ผบก.สอท.1 จึงได้สั่งการให้ทำการสืบสวนสอบสวนและติดตามจับกุมกลุ่มคนร้ายมาดำเนินคดีให้ได้โดยเร็ว จนกระทั่งต่อมาชุดสืบสวน กก.4 บก.สอท.1  สามารถจับกุมขบวนการนี้ไว้ได้ ซึ่งได้ให้การรับสารภาพและซัดทอดว่า นายธานุศักดิ์ฯ หรือเกมส์ (ขอสงวนนามสกุล) เป็นผู้ว่าจ้างให้เปิดบัญชี จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานและขออนุมัติศาลอาญาออกหมายจับผู้ต้องหานี้ไว้

ต่อมาวันที่ 5 กันยายน 2566 พล.ต.ต.ชัชปัณฑกาณฑ์ คล้ายคลึง ผบก.สอท.1 พ.ต.อ.ทำนุรัฐ คงมั่น รอง ผบก.สอท.1 พร้อมกำลังฝ่ายสืบสวน กก.4 บก.สอท.1 นำกำลังเข้าจับกุมตัว นายธานุศักดิ์ หรือ เกมส์ (สงวนนามสกุล) อายุ 21 ปี ผู้ต้องหา ซึ่งทำหน้าที่ชักชวนและว่าจ้างให้เปิดบัญชี เพื่อรวบรวมบัญชีม้าไปส่งให้นายทุนใหญ่อีกทอดหนึ่ง ได้ที่ บริเวณบ้านเอื้ออาทร ซอยรังสิตนครนายก 24 ต.ประชาธิปัตย์ อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี ในความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่น , นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน” นอกจากนี้จากการตรวจสอบประวัติยังพบว่า ผู้ต้องหามีประวัติพัวพันกับยาเสพติดก่อนหน้านี้เคยถูกจับกุมตัวมาแล้วหลายครั้ง

พล.ต.ต.ชัชปัณฑกานต์ฯ กล่าวว่า “จากการจับกุมบัญชีม้าก่อนหน้านี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รวบรวมพยานหลักฐาน และขยายผลจนทราบว่า นายธานุศักดิ์ ทำหน้าที่ชักชวนคอยหาบัญชีม้าให้กับกลุ่มมิจฉาชีพโดยว่าจ้างให้เปิดบัญชีธนาคาร และลงทะเบียนซิมการ์ดโทรศัพท์ (บัญชีม้า ซิมม้า) โดยให้ค่าตอบแทนบัญชีละ 700 บาท ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจจะได้ขยายผลไปยังนายทุนผู้อยู่เบื้องหลังต่อไป”

พล.ต.ต.ชัชปัณฑกานต์ฯ ผบก.สอท.1 ได้ฝากเตือนไปยังพี่น้องประชาชนว่าอย่าได้หลงเชื่อหรือตกเป็นเหยื่อ โดยไม่ควรรับแอดเพื่อนในสื่อสังคมออนไลน์ที่ไม่รู้จัก หากจะรับขอให้ตรวจสอบข้อมูลในบัญชีให้ดี และหากมีการชักชวนลงทุนในสกุลเงินดิจิทัล ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นมิจฉาชีพ และควรตรวจสอบความน่าเชื่อถือของการลงทุนอีกด้วย หากมีข้อสงสัยสามารถปรึกษาสอบถาม สายด่วน ตำรวจไซเบอร์ 1441 ได้ทันที

ปส. ลุยกวาดล้าง จับกุม 13 เครือข่ายยาเสพติด จับกุมผู้ต้องหา 26 คน ยึดยาบ้า 17.27 ล้านเม็ด, ไอซ์ 1,470 กก. และคีตามีน 90 กก. รถยนต์ 20 คัน อาวุธปืนสั้น 1 กระบอก

เมื่อวันที่ 5 ก.ย.66 เวลา 10.00 น. พล.ต.อ.ชินภัทร สารสิน รอง ผบ.ตร./ผอ.ศอ.ปส.ตร.,พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ศอ.ปส.ตร., พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผบช.ปส., พล.ต.ต.พลัฏฐ์ วิเศษสิงห์ ผบก.สกส., พล.ต.ต.สมกิต พุ่มวารี ผบก.ขส., พล.ต.ต.พรศักดิ์  สุรสิทธิ์ ผบก.ปส.4 และ พล.ต.ต.ธรรัชน์ สอนกล้า ผบก.ปส.2 พร้อมด้วย เจ้าหน้าที่ ป.ป.ส. และ กอ.รมน. ร่วมแถลงผลการจับกุมเครือข่ายยาเสพติดตามนโยบายของ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร.ให้กวาดล้างจับกุมเครือข่ายยาเสพติดรายใหญ่และรายย่อยให้หมดสิ้นโดยเร็ว ล่าสุดตำรวจ ปส.(NSB) ได้จับกุมขบวนการค้า  ยาเสพติด 13 เครือข่ายยาเสพติด จับกุมผู้ต้องหา 26 คน ยึดยาบ้า 17.27 ล้านเม็ด, ไอซ์ 1,320 กก. และคีตามีน 90 กก. รถยนต์ 20 คัน อาวุธปืนสั้น 1 กระบอก

โดยรายแรก ตำรวจ ปส.3 ได้สืบสวนทราบว่า นายแสง ซึ่งเป็นคนในพื้นที่ อ.แม่สาย จ.เชียงราย ใช้แอปพลิเคชันไลน์ชื่อ “โอปอ” จะทำการลักลอบลำเลียงยาเสพติดไอซ์ และคีตามีน จำนวนมาก โดยซุกซ่อนมากับรถยนต์กระบะ ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นวีโก้ สีดำ ทะเบียน ฒธ 52xx กรุงเทพมหานคร จากพื้นที่ อ.แม่สาย จ.เชียงราย ลำเลียงเข้าสู่พื้นที่ตอนในของประเทศ จึงได้เฝ้าติดตาม จนกระทั่งเมื่อวันที่ 10 ส.ค.66 เวลาประมาณ 18.30 น. ตำรวจชุดสืบสวนเข้าทำการตรวจสอบในพื้นที่ ถนนหมายเลข 1 บ้านสันทรายปู่ยี่ หมู่ 4 ต.โป่งผา อ.แม่สาย จ.เชียงราย พบรถยนต์เป้าหมายจอดอยู่บริเวณไหล่ทาง จึงได้เข้าทำ การตรวจสอบไม่พบบุคคลแสดงตัวเป็นเจ้าของรถยนต์ ตรวจค้นเบื้องต้น พบว่าภายในรถกระบะบรรทุกมีแม็กไลน์เนอร์ ซึ่งมีลักษณะได้รับการติดตั้งใหม่ พบรอยเชื่อมของกระบะบรรทุกมีระดับความสูงของกระบะผิดปกติ จึงตรวจสอบโดยละเอียด พบไอซ์ 22 กิโลกรัม และคีตามีน 50 กิโลกรัม ซุกซ่อนอยู่ภายในช่องลับดัดแปลงสำหรับซุกซ่อนยาเสพติดใต้กระบะบรรทุกของรถยนต์คันดังกล่าว เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมทำการตรวจยึดของกลางทั้งหมด  ส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมาย เพื่อขยายผลติดตามออกหมายจับบุคคล ในเครือข่ายและยึดทรัพย์สินตามประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ.2564 ต่อไป

รายที่ 2 ตำรวจ ปส.3 ได้สืบสวนทราบว่า นายสุรพงษ์ ซึ่งมีพฤติการณ์รับจ้างลำเลียงยาเสพติดจากเครือข่าย กลุ่มชาติพันธุ์ม้ง ในพื้นที่ อ.ภูซาง และ อ.เชียงคำ จ.พะเยา โดยใช้วิธีการซุกซ่อนไปกับพืชผลทางการเกษตรและสินค้าอื่น ๆ เพื่ออำพรางการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ ส่งให้กับกลุ่มเครือข่ายในพื้นที่ จ.พระนครศรีอยุธยา และปริมณฑล โดยใช้รถบรรทุก 6 ล้อ ยี่ห้ออีซูซุ สีขาวเทาน้ำเงิน ทะเบียน 70-86xx ลำปาง ในการลำเลียงยาเสพติด ตำรวจชุดสืบสวนจึงได้เฝ้าติดตาม กระทั่งวันที่ 14 ส.ค.66 เวลาประมาณ 03.00 น. ตำรวจ ปส.3 พบรถเป้าหมาย ขับมาจากทาง อ.เชียงคำ จ.พะเยา มุ่งหน้าไปทาง อ.เมือง จ.พะเยา สังเกตมีผ้าใบคลุมส่วนท้าย และใช้ถนนเส้นทางรองเพื่อหลบเลี่ยงด่านตรวจ ต่อมาเวลาประมาณ 10.30 น. ของวันเดียวกัน พบรถยนต์เป้าหมายได้ขับไปจอดที่บริเวณร้านอาหารแห่งหนึ่ง บนถนนสายเอเชีย อ.บางระกำ จ.พิษณุโลก จึงได้แสดงตัวและขอทำการตรวจค้น พบกระดาษแข็งมัดอัดเป็นก้อนอยู่เต็มภายในกระบะบรรทุก พบช่องลับมีถุงพลาสติก สีดำบรรจุกระดาษแข็งปิดไว้ สอบถามนายสุรพงษ์ รับสารภาพว่า มียาเสพติดซุกซ่อนอยู่ จึงควบคุมตัวนายสุรพงษ์ พร้อมรถบรรทุก 6 ล้อ ไปที่ด่านตรวจ พยุหะคีรี ต.ย่านมัทรี อ.พยุหะคีรี จ.นครสวรรค์ ตรวจค้นโดยละเอียดพบยาบ้าจำนวน 30 กระสอบ ประมาณ 6,000,000 เม็ด ทำการตรวจยึดของกลางทั้งหมด ส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมาย เพื่อขยายผลติดตามออกหมายจับบุคคล ในเครือข่ายและยึดทรัพย์สินตามประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ.2564 ต่อไป

รายที่ 3 ตำรวจ บก.สกส. ร่วมกับ บก.ขส.บช.ปส. ได้สืบสวนขยายผลจากการจับกุมนายสือ กับพวก พร้อมของกลางยาบ้า 4,000,000 เม็ด เมื่อวันที่ 13 พ.ค.66 ที่ผ่านมา ในพื้นที่ อ.บางปะหัน จ.พระนครศรีอยุธยา  จากการสืบสวนขยายผลเพิ่มเติม พบว่ายังมีกลุ่มลักลอบลำเลียงยาเสพติดเป็นชาติพันธุ์ม้ง ชื่อนายสัตยา กับพวก ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับกลุ่มผู้ต้องหาที่ถูกจับกุม มีพฤติการณ์รับจ้างกลุ่มนายทุนยาเสพติดลำเลียง ยาเสพติดจากพื้นที่ จ.เชียงราย ส่งให้กับลูกค้าของผู้ว่าจ้าง ในพื้นที่ภาคกลางเช่นเดียวกัน จนกระทั่งเมื่อวันที่ 14 ส.ค.66 เวลาประมาณ 10.30 น. สามารถจับกุมนายสัตยา เป็นผู้ขับขี่รถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล ยี่ห้อ TOYOTA สีเทา ทะเบียน บร 74XX กำแพงเพชร ซึ่งใช้ในการลำเลียงยาเสพติด ได้ที่รีสอร์ตแห่งหนึ่ง ในพื้นที่ ต.บ้านใหม่สุขเกษม อ.กงไกรลาศ จ.สุโขทัย พร้อมของกลางยาบ้า 1,000,000 เม็ด และ ไอซ์ 200 กิโลกรัม ซุกซ่อนอยู่บริเวณท้ายกระบะและภายในห้องโดยสารด้านหลัง ต่อมา เวลา 10.40 น. สามารถจับกุมนายวิวัฒน์ และนางดี พร้อมรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล ยี่ห้อ ISUZU สีน้ำเงิน หมายเลขทะเบียน บฉ 74XX ตาก ซึ่งใช้ในการขับขี่นำทาง/ สำรวจเส้นทาง/คุ้มกัน ที่รีสอร์ตแห่งหนึ่ง ในพื้นที่ ต.มะตูม อ.พรหมพิราม จ.พิษณุโลก ตำรวจชุดจับกุมทำการตรวจยึดของกลางทั้งหมด ส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมาย เพื่อขยายผลติดตามออกหมายจับบุคคล ในเครือข่ายและยึดทรัพย์สินตามประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ.2564 ต่อไป

รายที่ 4 ตำรวจ บก.สกส. ได้สืบสวนทราบว่า นายจิตวัต มีพฤติการณ์ในการลักลอบลำเลียงยาเสพติดจาก จ.เชียงใหม่ มาส่งให้กับลูกค้าของผู้ว่าจ้างในเขตพื้นที่ภาคกลาง จนกระทั่งวันที่ 18 ส.ค.66  เวลาประมาณ 02.45 น. พบรถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน ยี่ห้อ CHEVROLET สีเทา ทะเบียน 1ฒบ 76XX กทม. จอดรถทิ้งไว้ข้างทางบริเวณถนนในหมู่บ้าน ม.7 ต.กลางดง อ.ทุ่งเสลี่ยม จ.สุโขทัย ไม่พบผู้ขับขี่และผู้โดยสาร จากการตรวจค้น พบยาบ้า 1,900,000 เม็ด ซุกซ่อนอยู่บริเวณภายในห้องโดยสารด้านหลังผู้ขับขี่ ต่อมา เวลา 16.30 น. ของวันเดียวกัน สามารถติดตามจับกุมนายจิตวัต ได้ที่บริเวณ ริมคลอง ต.กลางดง อ.ทุ่งเสลี่ยม จ.สุโขทัย และสามารถยึดรถยนต์ ISUZU สีขาว หมายเลขทะเบียน กฉ 31XX อุทัยธานี ได้ที่บริเวณบ้านแห่งหนึ่ง ม.8 ต.บางปะมุง อ.โกรกพระ จ.นครสวรรค์ ซึ่งรถยนต์คันดังกล่าวได้หลบหนีการจับกุม ของเจ้าหน้าที่ระหว่างทำการจับกุม ตำรวจชุดจับกุมทำการตรวจยึดของกลางทั้งหมด ส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีและขยายผลติดตามออกหมายจับบุคคลในเครือข่ายและยึดทรัพย์สินตามประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ.2564 ต่อไป

รายที่ 5 ตำรวจ บก.สกส. ได้สืบสวนทราบว่า นายชาญชัย และนายบุญหลา ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทกัน กับพวก มีพฤติการณ์ร่วมกันลักลอบลำเลียงยาเสพติดจากพื้นที่ทางภาคเหนือ นำมาส่งให้กับลูกค้าของผู้ว่าจ้าง ในพื้นที่ภาคกลาง จนกระทั่ง วันที่ 18 ส.ค.66 เวลาประมาณ 17.00 น. สามารถจับกุมนายชาญชัย พร้อมของกลางยาบ้า 6,000,000 เม็ด ซุกซ่อนอยู่ภายในกระบะบรรทุกด้านหลังรถบรรทุก ยี่ห้อ HINO สีขาว ทะเบียน 70-73XX อุบลราชธานี ซึ่งใช้ในการซุกซ่อนและลำเลียง ยาเสพติด และสามารถขยายผลจับกุมนายบุญหลา เป็นผู้ขับขี่รถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล ยี่ห้อ TOYOTA สีเทา ทะเบียน ผธ 81XX อุบลราชธานี ซึ่งใช้ในการคุ้มกัน/สำรวจเส้นทาง ได้ที่บริเวณด่านตรวจยาเสพติดพยุหะคีรี อ.พยุหะคีรี จ.นครสวรรค์ และขยายผลจับกุมนายโจ ขับรถยนต์ HONDA สีขาว ทะเบียน 3กพ 45XX กทม. ซึ่งใช้ในการมารับของกลางยาเสพติด มีนายธนพนธ์ นั่งมาด้วย  และน.ส.ภาณุมาศ ขับขี่รถยนต์ TOYOTA สีดำ ทะเบียน 3ขถ 61XX กรุงเทพมหานคร ซึ่งใช้ในการมารับของกลางยาเสพติด มีนายเสกสรร และนายภูมินันท์ นั่งมาด้วย ได้ที่บริเวณทางคู่ขนาน ถ.พหลโยธินขาออก ต.ลำไทร อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมทำการตรวจยึดของกลางทั้งหมด ส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมาย เพื่อขยายผลติดตามออกหมายจับบุคคล ในเครือข่ายและยึดทรัพย์สินตามประมวลกฎหมาย ยาเสพติด พ.ศ.2564 ต่อไป

รายที่ 6 ตำรวจ ปส.4 ได้ทำการสืบสวนขยายผลกลุ่มเครือข่ายนักค้ายาเสพติด กระทั่งทราบว่าวันที่ 13 ส.ค.66 จะมีการลักลอบลำเลียงยาเสพติดจากพื้นที่ภาคกลางไปยังพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยใช้รถกระบะแบบมีตู้ทึบด้านหลัง ยี่ห้ออีซูซุ ทะเบียน 2ฒห 2xxx กทม. ซุกซ่อนยาเสพติด ตำรวจชุดจับกุมจึงได้เฝ้าติดตาม จนพบว่ามีการนัดส่งมอบยาเสพติด ด้านหลังตลาดไอยรา จ.ปทุมธานี จากการเฝ้าสังเกตการณ์พบมีผู้ชาย 3 คน ช่วยกันยกกล่องลังโฟมสีขาวจากรถบรรทุก ทะเบียน 70-xxxx ลำปาง ไปใส่รถกระบะแบบตู้ทึบด้านหลัง ยี่ห้ออีซูซุ ทะเบียน 2ฒห 2xxx กทม. หลังจากนั้น ได้ขับมุ่งหน้าออกไปทางถนนคลองหลวง ต.คลองสอง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี และจอดส่งนายศิรากร ที่บริเวณปาก ซ.เทศบาล 3 ต.คลองสอง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี และมีรถยนต์เก๋ง ยี่ห้อฮอนด้า ทะเบียน 9กล xxxx กทม. ขับมารับ ต่อมารถยนต์กระบะตู้ทึบยี่ห้ออีซูซุ ทะเบียน 2ฒห 2xxx กรุงเทพมหานคร ซึ่งมีนายอนุชาติ เป็นคนขับ และนายนคเรศ นั่งโดยสารมาด้วย ได้ขับเข้าไปจอด หน้าธนาคารกรุงเทพ อ.คลองหลวง  จ.ปทุมธานี ตำรวจชุดจับกุม จึงได้แสดงตัวขอตรวจสอบสิ่งของหลังรถคันดังกล่าว ผลการตรวจค้นพบไอซ์ 500 กิโลกรัม บรรจุอยู่ในถุงชาสีเขียวภายในกระสอบสีขาวในกล่องลังโฟม สีขาว และได้ติดตามจับกุมนายศิรากร ได้ที่บริเวณร้านค้าในพื้นที่  อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมทำการตรวจยึดของกลางทั้งหมด

‘สืบสวนภาค 9’ ปฏิบัติการจับกุม ‘บ่าว ศรีชุมพวง’ มือปืนรับจ้างบัญชีดำ พบ ‘ปืน-กระสุน’ ในบ้านพักเพียบ

(4 ก.ย. 66) มีรายงานว่าเมื่อเวลา 13.00 น. เมื่อ 3 กันยายน ตำรวจชุดสืบสวนภาค 9 ร่วมกับชุดสืบสวนภาค 8 นำโดย พ.ต.อ.ศักดา เจริญกุล รอง ผบก.สส.ภ.9, พ.ต.อ.สมพงษ์ สุวรรณวงศ์ รอง ผบก.สส.ภ.9  พ.ต.อ.ธนวัต เส้งสุย ผกก.สส. 3 ภ.9 พ.ต.อ.กองทัพ เสนาทิพย์ ผกก.ปพ.สส.ภ.9 สนธิกำลังตำรวจชุดสืบสวนทั้งจากภาค 9 และภาค 8 พร้อมอาวุธครบมือ

ปฏิบัติการจู่โจมเข้าจับกุม นายนิพนธ์ ศรีชุมพวง อายุ 41 ปี หรือบ่าว มือปืนรับจ้าง และผู้ต้องหาลำดับที่ 186 ตามปฏิบัติหมายจับหรือแบล็คลิสต์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และตามหมายจับของศาลจังหวัดนาทวี ที่ จ.22/2561 ลง 12 ก.พ.61 ในข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน, ร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืน ที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครองและร่วมกันพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยไม่มีเหตุจำเป็นและเร่งด่วนตามควรแก่พฤติการณ์

ขณะกบดานอยู่ที่บ้านพักในสวนยางพารา พื้นที่บ้านน้ำนิ่ง ต.บ้านลำนาว อ.บางขัน จ.นครศรีธรรมราช และสามารถรวบตัวเอาไว้ได้โดยไม่ได้ต่อสู้หรือขัดขืน

จากการตรวจค้นในบ้านพักพบของกลางเป็นยาบ้าเปียกน้ำจำนวนหนึ่ง และอาวุธปืน 4 กระบอก พร้อมเครื่องกระสุน ประกอบด้วย, อาวุธปืนพกสั้น แบบออโตเมติก ขนาด .45 จำนวน 1 กระบอก พร้อมกระสุนปืน .45 จำนวน 27 นัด, อาวุธปืนสงคราม คาร์บิน 1 กระบอก พร้อมกระสุนปืน .30 คาร์ไบน์ จำนวน 21 นัด, อาวุธปืนลูกซองยาวเดี่ยว 1 กระบอกพร้อมกระสุนปืนลูกซอง, อาวุธปืนลูกกรดยาว .22 จำนวน 2 กระบอก พร้อมกระสุนปืน .22 จำนวน 30 นัด

โดยเฉพาะอาวุธปืนคาร์บินนั้น ต้องสงสัยว่าเคยถูกใช้ก่อเหตุมาแล้วในพื้นที่ อ.สะเดา จ.สงขลา เมื่อปี 2560 ซึ่งคนร้ายใช้อาวุธปืนคาร์บินในการก่อเหตุ และเป็นคดีที่นายนิพนธ์ ร่วมก่อเหตุและถูกออกหมายจับ เจ้าหน้าที่ได้ส่งไปตรวจพิสูจน์ที่ศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 9 เพื่อดูว่าตรงกับปลอกกระสุนปืนที่ใช้ก่อเหตุในคดีนี้หรือไม่

เบื้องต้นได้แจ้งข้อหาตามหมายจับ 3 ข้อหา คือร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน, ร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครอง, และร่วมกันพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยไม่มีเหตุจำเป็นและเร่งด่วนตามควรแก่พฤติการณ์ คุมตัวส่งพนักงานสอบ สภ.สะเดา จ.สงขลา พื้นที่เกิดเหตุที่เคยก่อเหตุและถูกออกหมายเพื่อดำเนินคดี

สำหรับประวัติของ นายนิพนธ์ ศรีชุมพวง อายุ 41 ปี หรือบ่าว เป็นหนึ่งในมือปืนรับจ้าง หนึ่งในคดีดังที่เคยก่อเหตุคือ รับงานฆ่านายอาคม พรมโสภา อายุ 56 ปี หัวหน้าฝ่ายผลิตของโรงงานหาดใหญ่รับเบอร์ เสียชีวิตในบ้านพัก ซึ่งเปิดเป็นร้านขายชำ ที่ ต.ปริก อ.สะเดา จ.สงขลา โดยใช้อาวุธปืนคาร์บินยิงถล่มจนตายคาบ้าน เหตุเกิดเมื่อคืนวันที่ 18 ธันวาคม 2560

คดีนี้มีผู้ถูกออกหมายจับทั้งหมด 5 คน และจับกุมได้แล้ว 3 คน มีนายน้อย สัจจมาตย์ อายุ 52 ปี ชาว อ.สะเดา ผู้จ้างวาน นายอาดัม หมัดเลียด อายุ 54 ปี ชาว อ.สะเดา จ.สงขลา คนดูต้นทาง และนายสมใจ แก้วแหร้ อายุ 53 ปี ชาว อ.สิงหนคร จ.สงขลา คนจัดหามือปืนและจัดหาอาวุธปืนคาร์บิน และหลบหนีอีก 2 คน คือนายกมลชัย หรือบรรณ สูงศักดิ์ อายุ 54 ปี ชาว อ.หาดใหญ่ คนจัดหารถยนต์เก๋งที่ใช้ในการก่อเหตุ และนายนิพนธ์ หรือบ่าว ศรีชุมพวง อายุ 35 ปี ชาว อ.ชะอวด จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นมือปืนที่เป็นผู้ลงมือสังหาร

พล.ต.ท.รณศิลป์ กล่าวว่า ส่วนสาเหตุมาจากความขัดแย้งเกี่ยวกับเงินกู้นอกระบบและธุรกิจมืด ระหว่างนายน้อย ผู้จ้างวาน กับนายอาคม ผู้ตาย จึงได้ว่าจ้างทีมมือปืนทั้งหมดมายิงนายอาคม ในราคา 2 แสนบาท มีการวางแผนการทำงานอย่างเป็นขั้นตอน ทั้งขณะลงมือก่อเหตุและการหลบหนี โดยส่งคนไปเฝ้าจับตา นายอาคม ก่อนที่จะประสานทีมมือปืนขับรถเก่งมายิงถล่มจนเสียชีวิต รวมทั้งการเปลี่ยนรถอีกคันมารับตัวมือปืนหนีไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top