Wednesday, 14 May 2025
SPECIAL

'พี่ยุทธ' ยอมใจ!! 'ชัยวุฒิ' ที่สุดแห่งตัวตึงการเมืองไทยช่วงนี้ ยก!! มือฟาดตัวจริงแห่ง พปชร. ไม่หวั่นแม้ทัวร์รอลงทุกซีน

'สรยุทธ' เอ่ยถึงตัวตึง 'ชัยวุฒิ' รองหัวหน้าพรรค (พปชร.) โพสต์คลิปสวนกระแส ชวนลูกชายกินไข่ต้ม ลั่น!! อร่อยดี มีประโยชน์ อาหารที่ไม่มีชนชั้น อยู่อย่างพอเพียง ปอกไข่ต้มกินข้าวคลุกน้ำปลา 

(24 เม.ย.66) สรยุทธ สุทัศนะจินดา ผู้ประกาศข่าว รายการ กรรมกรข่าว คุยนอกจอก โชว์ปอกไข่ต้มกินข้าวคลุกน้ำปลา จากประเด็นร้อน ที่ทำเอา 'คนการเมือง-อินฟูลเอนเซอร์' ฟาดกันเดือด! จากหนังสือวิชาภาษาไทย ป.5 ให้ข้อคิดเรื่องคุณค่าชีวิต ผ่านเรื่อง 'ด.ญ.ใยบัว' กินข้าวคลุกน้ำปลา กับไข่ต้มครึ่งซีก 

โดยในระหว่างการปอกไข่ นายสรยุทธ์ได้กล่าวถึง  นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรค (พปชร.) ที่ช่วงนี้สามารถหยิบประเด็นสาธารณะมาโพสต์ ได้อย่างไม่กลัวกระแสวิพากษ์วิจารณ์ ทั้งๆ ที่รู้ว่าต้องโดนกระแสสังคม พร้อมกันนี้ยังได้วิเคราะห์อีกด้วยว่า นายชัยวุฒิเปรียบเหมือนตัวตึงในวงการการเมืองช่วงนี้ พร้อมยังได้เปรียบเทียบกับพรรครวมไทยสร้างชาติว่ายังไม่มีใครจัดจ้านได้เท่าชัยวุฒิช่วงนี้แล้ว ที่กล้าไม่กลัว หยิบยกประเด็นคุณค่าของจิตใจสวนกระแสดราม่าในสังคม 

นอกจากนี้ นายสรยุทธ์ ยังได้กล่าวว่าถึงประเด็นพอเพียงตามแบบการเรียนการสอน "ใจความสำคัญของคำว่าพอเพียง คือการประมาณตนอย่างพอดี อยู่ที่คุณค่าของจิตใจ" แต่ประเด็นของเรื่องไม่ใช่ความพอเพียงแต่อยู่ที่เรื่อง โภชนาการที่เด็กคนหนึ่งจะได้รับจากการกินไข่แค่ครึ่งซีกกับน้ำปลา

การเลือกตั้งกับค่าไฟแพง (2) เหตุใด ‘คสช.’ ไม่ใช้ ม.44 จัดการ ปม ‘ไฟฟ้าสำรอง’ ที่แม้ไม่ได้ดึงพลังงานมาใช้ แต่รัฐก็ต้องจ่ายค่ากระแสไฟฟ้า

 

ยิ่งใกล้วันเลือกตั้ง พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ผู้เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ก็ถูกโจมตีเรื่องค่าไฟฟ้าแพงเป็นอย่างหนัก โดยถูกกล่าวหาว่าเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มทุนพลังงานไฟฟ้า ทั้งๆ ที่ทุกวันนี้ในสภาวะอากาศร้อนขนาดนี้บ้านเรายังคงมีไฟฟ้าใช้อย่างไม่ขาดแคลน ด้วยเพราะมาตรการจัดการสำรองกระแสไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพ ทำให้ประเทศไทยมีความมั่นคงแข็งแกร่งทางพลังงานไฟฟ้า ซึ่งประเด็นที่นักการเมืองและนักเคลื่อนไหวมากมายหลายคนมักจะหยิบยกขึ้นมาพูดคือ โรงงานไฟฟ้าสำหรับผลิตไฟฟ้าของกลุ่มทุนพลังงานไฟฟ้าบางโรงนั้นไม่ได้ผลิตไฟฟ้าเลย แต่ก็ต้องจ่ายค่าไฟฟ้าให้ด้วย แน่นอนสถานการณ์ที่กระแสไฟฟ้าพอใช้โรงงานที่ผลิตกระแสไฟฟ้าสำรองจึงไม่ต้องเดินเครื่องทำงาน เพราะไม่มีความจำเป็น หากแต่กระแสไฟฟ้าไม่เพียงพอต่อการใช้งานแล้วโรงงานเหล่านั้นถึงจะเดินเครื่องจักรผลิตไฟฟ้า แต่โรงงานเหล่านั้นสร้างขึ้นโดยผู้ประกอบการด้านพลังงานไฟฟ้าที่ได้รับอนุญาต มีการลงทุนในการสร้างโรงไฟฟ้าแต่ละแห่งมากมายมหาศาล ซึ่งเป็นต้นทุนที่ผู้ประกอบการด้านพลังงานไฟฟ้าต้องจ่ายเอง ไม่ใช้เงินงบประมาณของรัฐแต่อย่างใด คนที่พูดนั้นไม่ได้รับผิดชอบต้องการลงทุนมูลค่ามหาศาลเหล่านี้เลย แถมยังเจตนาจงใจที่จะไม่พูดถึงอีกด้วย 

เราท่านในฐานะเจ้าของสิทธิในการเลือกตั้งอันมีค่าในการเลือกตั้งครั้งนี้ ก่อนการใช้สิทธิกาบัตรลงคะแนนจึงต้องคิด ทบทวน และพิจารณาโดยใช้สติและปัญญาอย่างรอบคอบด้วยเหตุและผลที่ถูกต้องและแท้จริงประกอบ ผู้เขียนได้เคยเสนอบทความเรื่อง ‘การเลือกตั้งกับค่าไฟแพง “สำรองไฟฟ้าเกินความจำเป็น” วาทกรรมฮิตใช้โจมตีรัฐบาล โดยไม่คำนึงถึงความเสียหาย หากสำรองไฟฟ้าไว้ไม่เพียงพอ’ https://thestatestimes.com/post/2023042021 ซึ่งผู้อ่านสามารถใช้เพื่อประกอบการพินิจพิจารณาให้รอบด้านและถูกต้องได้ 

อีกเรื่องหนึ่งที่ถูกนำมาเชื่อมโยงกันก็คือ แล้วทำไมรัฐบาลคสช. โดย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช. จึงไม่นำ ม.44 มาใช้ในกรณีนี้ หากเราท่านได้ย้อนไปดูถึงการใช้ ม.44 ของรัฐบาลคสช. นั้น ส่วนใหญ่มาก ๆ จะใช้เป็นคำสั่งในทางปกครองเพื่อให้สามารถบังคับใช้ได้อย่างรวดเร็วแทนที่กระบวนการปกติซึ่งมีความล่าช้า ด้วยกระบวนการปกติมีระบบระเบียนขั้นตอนต่าง ๆ มากมาย การบริหารบ้านเมืองเพื่อให้เกิดความถูกต้องโปร่งใส ลดการทุจริตโกงกิน แก้ปัญหาความล่าช้าในการแก้ปัญหาอันเป็นความทุกข์ยากเดือดร้อนของประชาชนให้รวดเร็วขึ้น ต่างจากการใช้กฎหมายพิเศษลักษณะนี้ในอดีต อาทิ ม.17 (จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ จอมพลถนอม กิตติขจร และศาสตราจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์) ม. 21 และ ม.27 (พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่) ซึ่งมักจะถูกนำมาใช้ในการแก้ปัญหาสังคมและอาชญากรรม เช่น ใช้ประหารชีวิตผู้กระทำผิดคดีอุกฉกรรจ์ สะเทือนขวัญ ต่อประชาชน ฯลฯ ซึ่งการใช้ ม.44 แตกต่างไปโดยสิ้นเชิงดังที่ได้กล่าวมา ด้วยไม่มีใครที่บาดเจ็บล้มตายด้วย ม.44 ของรัฐบาลคสช.เลย

การใช้ ม.44 โดยรัฐบาลคสช.ที่เกี่ยวข้องกับภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมมีน้อยเรื่องน้อยรายมากในกรณีที่มีผลกระทบสร้างความเดือดร้อนแกประชาชนจริง ๆ อย่างเช่นกรณีการใช้ ม.44 ในการปิดเหมืองทองคำชาตรีที่ดำเนินกิจการโดยบริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) ด้วยเหตุผลว่าทางเหมืองทองคำชาตรีสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ทำให้ชาวบ้านได้รับผลกระทบต่าง ๆ หลายด้าน แต่ว่าตั้งแต่ปี พ.ศ. 2550 ถึง พ.ศ. 2559 ได้ถูกเรียกร้องจากประชาชนในพื้นที่สัมปทานเหมืองล้วนได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะการสร้างปัญหามลพิษปัญหาสุขภาพ และปัญหาสิ่งแวดล้อม มีการเคลื่อนไหวคัดค้านจากประชาชนในพื้นที่และหยุดกิจการเหมือง จากปัญหาร้องเรียนจากชาวบ้านซึ่งเพิ่มมากขึ้นทุกปี เนื่องจากมลพิษจากเหมือง ที่ให้เกิดปัญหาสุขภาพและสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสารพิษปนเปื้อนที่มากับดิน น้ำ และอากาศ รวมถึงยังมีสภาวะเครียดที่เกิดขึ้นจากเสียงของอุตสาหกรรม และกลายเป็นข้อพิพาทต่อมาอีกหลายปี

ถ้าการทำรัฐประหารแล้วกลุ่มทุนผูกขาดประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งมีแต่กลุ่ม SM ที่ผูกขาดแทบทุกธุรกิจ การที่รัฐบาลคสช.ไม่ได้ยกเลิกสัญญาการผลิตกระแสไฟฟ้าสำรอง โดยใช้ ม.44 ถือเป็นการใช้กฎหมายพิเศษอย่างถูกต้อง เหมะสม ไม่ลุแก่อำนาจ ด้วยการใช้กระบวนการทางศาลปกติ ซึ่งเรื่องนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ตีความมานานแล้วว่า สัญญาระหว่างรัฐกับเอกชนในลักษณะเช่นนี้ไม่สามารถยกเลิกได้ และถ้าหากรัฐบาลคสช.ใช้ ม.44 กับเอกชนในทางธุรกิจ จะทำให้นานาชาติไม่ยอมรับประเทศไทย และไม่มีบริษัทต่างชาติใดเข้ามาลงทุนเลย ด้วยประเทศล้มละลายทางความน่าเชื่อถือ ดังเช่นประเทศเพื่อนบ้าน เพราะเพียงแค่รัฐบาลคสช.ใช้ ม.44 ยกเลิกการทำเหมืองทองชาตรี โดย บมจ.อัคครา ชั่วคราว เพื่อให้ปรับปรุงเรื่องสิ่งแวดล้อม ก็มีสารพัดกลุ่มทั้งไทยและฝรั่งร้อง คัดค้าน ต่อต้าน กันจนระงม หรือ ถ้า รัฐบาลคสช.ใช้ ม.44 ยกเลิกสัมปทานขุดน้ำมันในอ่าวไทย กับเชฟรอน จากสหรัฐอเมริกา จะเกิดอะไรขึ้น นั้นจึงเป็นเหตุผลที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีของรัฐบาลคสช. ไม่นำ ม.44 มาบังคับใช้ในภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม

คะแนนเสียงของเราท่านจะมีค่ามากที่สุดในอีกประมาณ 20 วันเท่านั้น ทุกคะแนนเสียงจะสามารถกำหนดอนาคตและความเป็นไปของชาติบ้านเมืองได้ทั้งสิ้น ใช้คะแนนของท่านสร้างประโยชน์แก่ชาติบ้านเมือง ด้วยการเลือกพรรคการเมืองและนักการที่ดีที่สุด ไม่ทุจริตโกงกิน ไม่สร้างปัญหา ให้กับชาติบ้านเมืองในอนาคต 

 

‘จุรินทร์’ ผนึกตระกูล ‘อดิเรกสาร’ มั่นใจปักธงสระบุรี ลั่น!! ไม่ได้เป็นรัฐบาลไม่ตาย ขอทำหน้าที่สุดความสามารถ

‘จุรินทร์’ ผนึก ‘อดิเรกสาร’ มั่นใจปักธงสระบุรี ได้แน่ ลั่นถ้าประชาธิปัตย์ไม่ได้เป็นรัฐบาลไม่ตายหรอก ขอทำหน้าที่อย่างสุดชีวิต
.
(24 เม.ย.66) ที่ จ.สระบุรี นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) นำทีมประชาธิปัตย์ เบอร์ 26 เดินทางพบกับนายปองพล อดิเรกสาร อดีตนักการเมืองคนดัง ที่ส่งลูกชาย นายปรพล อดิเรกสาร ลงสมัคร ส.ส.เขต 1 พรรคประชาธิปัตย์ โดยจ.สระบุรี พรรคส่งผู้สมัครครบทั้ง 4 เขตเลือกตั้ง เขต 1 นายปรพล อดิเรกสาร เบอร์ 1 เขต 2 นายสมพงษ์ ภูพานเพชร เบอร์ 2 เขต 3 น.ส.เบญจวรรณ ใสแก้ว เบอร์ 4 เขต 4 นายนันทวัชร กี่สง่า เบอร์ 5

นายจุรินทร์ กล่าวถึงการผนึกกำลังกับตระกูลอดิเรกสารว่า จะทำให้พรรคมีโอกาสปักธงได้ ซึ่งจ.สระบุรีเป็นพื้นที่ดั้งเดิมของพรรคประชาธิปัตย์อยู่แล้ว และครั้งนี้ตระกูลอดิเรกสารให้เกียรติมาร่วมงานกับเรา ยิ่งทำให้ประชาธิปัตย์สระบุรีเข้มแข็งขึ้น เป็นการรวมพลังคูณสองยกกำลังสอง ทำให้เรามีโอกาสปักธงสระบุรีเหมือนที่เคยปักธงมาแล้วหลายครั้งในอดีต

ส่วนที่นายชวน หลีกภัย อดีตหัวหน้าพรรค พูดถึงพรรคประชาธิปัตย์พร้อมเป็นทั้งฝ่ายค้าน และรัฐบาลนั้น พรรคควรประกาศจุดยืนหรือไม่ นายจุรินทร์ กล่าวว่า ประชาธิปัตย์พร้อมเป็นทุกอย่าง เราได้พิสูจน์มาตลอดระยะเวลายาวนาน ถ้าเราเป็นรัฐบาล จะทำให้พรรคมีโอกาสนำนโยบายที่หาเสียงไว้ไปปฏิบัติให้เกิดผลเป็นจริงได้ชัดเจน แต่ถ้าไม่ได้เป็นรัฐบาลก็ไม่เป็นไร ประชาธิปัตย์ก็ไม่ตาย อย่างไรก็ยังอยู่ได้ และทำหน้าที่ได้อย่างสุดชีวิต สุดความสามารถ เลือกมาให้เยอะๆ ไม่ว่าจะทำหน้าที่อะไร เราก็ไม่ทำให้บ้านเมืองเสียหาย มีแต่ทำประโยชน์ให้กับบ้านเมือง

“เราจะเป็นอะไรนั้นเราก็ทำหน้าที่เต็มที่ อันนี้คือยี่ห้อประชาธิปัตย์ เป็นหลักประกันที่คนไทยทั้งประเทศไว้วางใจ มั่นใจได้ ไม่ใช่ว่าเป็นฝ่ายค้านหมดแรง เลิก ไปนอนรอว่าเมื่อไหร่เป็นรัฐบาล ประชาธิปัตย์ไม่ได้เป็นอย่างนั้น เราพิสูจน์แล้วมายาวนาน แต่ขณะนี้เรารณรงค์ว่า ถ้าประชาชนให้เสียงเรามากพอ เราก็พร้อมจัดตั้งรัฐบาล และหัวหน้าพรรคก็พร้อมเป็นนายกฯ แต่ถ้าไม่ได้เป็นรัฐบาลก็ไม่เป็นไร ประชาธิปัตย์ก็ไม่ตายหรอก ยังไงก็ยังอยู่ได้ และทำหน้าที่ได้อย่างสุดชีวิตสุดความสามารถ” นายจุรินทร์กล่าว

สำหรับในโค้งสุดท้ายของการหาเสียง จะมีแกนนำสำคัญของพรรคขึ้นเวทีปราศรัยด้วยกันหรือไม่ นายจุรินทร์ กล่าวว่า ไม่จำเป็นต้องขึ้นเวทีเดียวกัน เราเปิด 3 ทัพ บุก 3 ทัพแบบดาวกระจาย ไม่จำเป็นต้องมากระจุกรวมอยู่ที่เดียว ทุกคนทำหน้าที่ของตัวเอง การมากระจุก บางทีอาจเป็นจุดอ่อนก็ได้

เที่ยวนี้ประชาธิปัตย์เป็นเอกภาพ เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันที่สุด คนทั้งประเทศจะเห็นว่าสู้ยิบตา ทำหน้าที่เต็มที่ นโยบายชัดเจน และทำได้ไวทำได้จริง ตกผลึกรับผิดชอบต่อบ้านเมือง ไม่เป็นภาระไปขึ้นภาษี หรือไปกู้เงินมาเพื่อทำนโยบายลด แลก แจก แถม อย่างไรก็ตาม เวทีปราศรัยใหญ่วันสุดท้ายก่อนถึงวันเลือกตั้งจะจัดในวันที่ 12 พ.ค.ในกรุงเทพฯ และอีกหลายจังหวัดที่มีความพร้อม

จากนั้นนายจุรินทร์และคณะ พร้อมด้วยนายปองพล ได้ร่วมกันเดินพบปะประชาชนที่ตลาดในอำเภอเมือง สระบุรี โดยบรรยากาศคึกคัก ประชาชนให้การต้อนรับเต็มที่ ทั้งมอบดอกไม้ ขอลายเซ็น และถ่ายรูปเป็นที่ระลึก


ที่มา : https://www.khaosod.co.th/election-2023/news_7628760

'ไพบูลย์' เตือน!! โพลชี้นำ เจตนาไม่บริสุทธิ์ โน้มน้าวใจคนลงคะแนน ระวังผิดกฎหมาย

(24 เม.ย.66) นายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ และผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ กล่าวว่าตามที่ได้ปรากฏมีสํานักโพลที่ไปสํารวจความคิดเห็นของประชาชน ในการเลือกตั้งหลายสํานัก ได้ออกมาเผยแพร่ข้อมูลผลสํารวจ ของสํานักตนเองนั้น มีบางสํานักปรากฏข้อมูลในการเปิดเผยผลสํารวจความคิดเห็นของประชาชน ที่น่าจะไม่สอดรับกับความเป็นจริงในคะแนนนิยมของผู้สมัคร ส.ส.หรือพรรคการเมือง 

ดังนั้น ในฐานะนักกฎหมายผมจึงเป็นห่วงว่าสํานักโพลเหล่านั้น อาจจะมีปัญหาข้อกฎหมายตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2561 มาตรา 72 ซึ่งบัญญัติว่า การสํารวจความคิดเห็นของประชาชน โดยมีเจตนาไม่สุจริต มีลักษณะเป็นการชี้นํา หรือมีผลต่อการตัดสินใจในการลงคะแนนเลือก หรือลงคะแนนไม่เลือกผู้สมัครผู้ใดจะกระทํามิได้ และยังเข้าข่ายฝ่าฝืนมาตรา 73 อนุห้า หลอกลวงบังคับขู่เข็ญใช้อิทธิพลคุกคามใส่ร้ายด้วยความเท็จ หรือจูงใจให้เข้าใจผิด ในคะแนนนิยมของผู้สมัครหรือพรรคการเมือง 

ทั้งนี้ตามมาตรา 72 และมาตรา 73 อนุห้า กฎหมายห้ามมิให้ผู้ใด ซึ่งรวมถึงสํานักโพลต่างๆ แล้วก็รวมถึงผู้ที่นํามาเผยแพร่ต่อ ได้กระทําการอย่างหนึ่งอย่างใด เพื่อจูงใจให้เข้าใจผิดในคะแนนนิยม ของผู้สมัครหรือพรรคการเมือง ดังนั้นหากสํานัก ใด ฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ. ศ. 2561 มาตรา 73 อนุห้า ก็จะมีบทลงโทษซึ่งกําหนดไว้ในมาตรา 159 ต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่ 1 ปี ถึง 10 ปี ตั้งแต่ 2 หมื่นบาทถึง 2 แสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง ของผู้นั้นมีกําหนด 20 ปี 

ดังนั้น ผมจึงขอแจ้งข้อห่วงใย มายังสํานักโพลและผู้ที่นําผลโพลของ สํานักต่างที่อาจจะมีปัญหาดังที่ผมกล่าวมาข้างต้นไปเผยแพรต้องให้ความระมัดระวังในข้อกฎหมายในเรื่องดังกล่าวกันอย่างมากๆ เพราะเชื่อว่าจะมีผู้มีสิทธิเลือกตั้งไปยื่นคําร้องขอให้ กกต. ตรวจสอบสํานักโพลที่กล่าวมาข้างต้น และอาจจะรวมถึงผู้ที่นําไปเผยแพร่ต่อผู้ที่มีสิทธิเลือกตั้งสามารถยื่นคําร้องได้จนถึง 30 วัน หลังจากวันเลือกตั้งแล้วก็อาจจะทําให้ สํานักโพลหรือผู้ที่นําไปเผยแพร่ ผลสํารวจที่มีปัญหาดังกล่าวนั้น อาจจะมีปัญหาทางกฎหมายก็ได้ด้วยความเป็นห่วงในข้อกฎหมาย ในฐานะนักกฎหมาย จึงขอนําเสนอข้อกฎหมายตามที่ได้กล่าวมาข้างต้น

‘ศิธา’ วิเคราะห์ ‘อุ๊งอิ๊ง’ หลัง ‘ท่าที-คำตอบ’ ไม่เคลียร์ ปม ‘เพื่อไทย’ ไม่อยาก หรือ ไม่ร่วม รัฐบาลกับ 2 ลุง

เมื่อไม่นานนี้ นายศิธา ทิวารี แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคไทยสร้างไทย ได้ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ ‘ปิดไมค์ถาม’ ทางช่อง PPTV HD 36 โดยในหลาย ๆ มุมจากศิธาได้ ‘อ่านใจอุ๊งอิ๊ง ซึ่งสะท้อนออกมา ว่าอาจจะไม่อยากเล่นการเมือง ไม่อยากนั่งเก้าอี้นายกฯ แต่ทั้งหมดมีความจำเป็นให้ต้องลงมาในสนามนี้ รวมถึงปมคาใจ เหตุใด ‘อุ๊งอิ๊ง’ ตอบไม่ชัดว่าจะ 'ร่วม' หรือ ‘ไม่ร่วม’ รัฐบาลกับ 2 ลุง โดยเนื้อหาได้ระบุว่า…

โดยส่วนตัวนั้น ตนไม่ได้มีความขัดแย้งอะไรกับเพื่อไทยเลย ตนมีความคิดว่า ตอนที่คุณหญิงสุดารัตน์ออกมา แกไม่ได้ผิด ไม่ได้เกี่ยวกับคนแดนไกล ไม่ได้เกี่ยวตระกูลชินวัตร ไม่ได้เกี่ยวเลย แต่ว่ามันเกี่ยวกับเรื่องของผู้บริหารข้างในที่อาจจะมีความขัดแย้งกัน และพอไปด้วยกันไม่ได้ ก็อาจจะต้องเลือกฝั่งใดฝั่งหนึ่ง ซึ่งเอาจริง ๆ ความเชื่อส่วนตัวของตนเชื่อว่า ถ้าคุณหญิงสุดารัตน์ยังอยู่เพื่อไทย คุณอุ๊งอิ๊งคงไม่ต้องมาเล่นการเมือง เพราะตนเชื่อว่า คุณหญิงสุดารัตน์สามารถเอาอยู่ สามารถจะดึงคะแนนได้ 

อย่างไรก็ตาม การที่คุณอุ๊งอิ๊งมีคุณพ่อเป็นนักการเมือง เป็นไอดอลของใครหลาย ๆ คน สมัยที่ไทยรักไทยเป็นรัฐบาล และตอนนี้ก็ยังคงอยู่ในหัวใจของประชาชน คุณอุ๊งอิ๊งก็คงซึมซับตรงนี้มา และอยากให้นโยบายต่าง ๆ สำเร็จ แต่ถามว่าอยากเข้ามาไหม? ตนเชื่อว่า ถ้าเป็นครอบครัวระดับมหาเศรษฐีขนาดนี้ ที่ต้องถูกแยกจากคุณพ่อและคุณอาไปอย่างไม่เป็นธรรม ครอบครัวไม่สามารถอยู่พร้อมหน้ากันได้ ความเชื่อของตนคิดว่า คุณอุ๊งอิ๊ง คงไม่ได้อยากเข้าการเมืองเลย

เมื่อถามถึงเรื่องการทุจริต นายศิธา กล่าวว่า คนไทยรับไม่ได้ หากนักการเมืองเข้ามาทุจริต อย่าว่าแต่เป็นแสน ๆ ล้านเลย แค่ล้านเดียวเขาก็รับไม่ได้ ตรงนี้ ถ้าเกิดคนยังคิดว่าอดีตนายกฯ ทักษิณ, อดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ มีความผิดจริง ทุจริตจริง เห็นชัดเจน และมีกระบวนการตัดสินที่เป็นธรรม จะแลนด์สไลด์ไหม จะชนะถล่มทลายไหม ตั้งแต่การเลือกตั้งปี 44 จนกระทั่งการเลือกตั้งปี 66 ที่กำลังจะเกิดขึ้น จะครบ 22 ปี มีพรรคการเมืองไหน เคยชนะพรรคการเมืองที่อดีตนายกฯ ทักษิณ สนับสนุนบ้าง ไม่ได้สนับสนุนแบบครอบงำนะ ตนหมายถึงในหลาย ๆ อย่างก็ยึดหลักจากที่เขาทำมา จนกระทั่งได้คะแนนชนะเป็นที่หนึ่งมาตลอด

‘อนุทิน’ ชูนโยบายการท่องเที่ยว-ประกันชีวิต-คมนาคม ชี้!! กระแสดีขึ้น รับ!! คลายกังวลประชาชนไม่เลือก ‘ภท.’

( 24 เม.ย.66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่บริเวณสนามกีฬากลางจังหวัดพังงา อ.เมือง จ.พังงา มีการปราศรัยของทางพรรคภูมิใจไทย (ภท.) มีประชาชนเข้าร่วมจำนวนกว่า 3,000 คน โดยเริ่มจากการขึ้นเวทีแนะนำตัวของ นายพงศกร เกตุประภากร ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดพังงา ผู้สมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย และนายเลิศศักดิ์ ปนกลิ่น นายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดพังงา ผู้สมัคร ส.ส.แบ่งบัญชีรายชื่อ พรรคพรรคภูมิใจไทย ขึ้นเวทีแนะนำตัว ต่อด้วย นายอรรถพล ไตรศรี ผู้สมัคร ส.ส.เขต 1 จ.พังงา เบอร์ 8 พรรคภูมิใจไทย และ นายอำนาจ ดำรงค์พิทยากุล ผู้สมัคร ส.ส.เขต 2 จ.พังงา เบอร์ 1 พรรคภูมิใจไทย ขึ้นปราศรัยบนเวที ต่อมาแกนนำพรรคภูมิใจไทย อย่าง นายสรอรรถ กลิ่นประทุม อดีต ส.ส.ราชบุรี สลับกับแกนนำคนอื่นๆ ขึ้นปราศรัย
.
จากนั้น นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ร่วมกับแกนนำพรรค ขึ้นเวทีปราศรัย ในการพัฒนาเศรษฐกิจ ด้านการท่องเที่ยว การประกันชีวิต สิทธิการฟอกไต โรงพยาบาล อุปกรณ์การแพทย์ การกระจายการรักษายังโรงพยาบาลชุมชน และการคมนาคม
.
นอกจากนี้ นายอนุทิน กล่าวว่า กระแสพรรคภูมิใจไทยขณะนี้ดีขึ้นตามลำดับ โดยเฉพาะที่ตนเองลงพื้นที่บ่อยขึ้น เนื่องจากแต่ละครั้งที่ลงพื้นที่ได้รับการตอบรับดีขึ้นเรื่อยๆ ความกังวลนั้นคือกังวลว่าพี่น้องประชาชนไม่เลือก แต่ที่ผ่านมาค่อยเบาใจ และหายความกังวลมากขึ้น


ที่มา : https://www.naewna.com/politic/726385

‘โรม’ โต้!! วาทกรรม ‘เลือกตั้งอย่างมียุทธศาสตร์’ ไม่มีจริง วอนประชาชนใช้สิทธิ์อย่างมีความหวัง - ไร้ความกลัว

เมื่อวานนี้ (23 เม.ย.66) นายรังสิมันต์ โรม ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อและโฆษกพรรคก้าวไกล โพสต์คลิปวิดีโอลงแอปพลิเคชัน Tiktok ส่วนตัว ชี้แจงกรณีข่าวลือที่ส่งต่อกันว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ให้เลือกอย่างมียุทธศาสตร์ จนเกิดวาทกรรมต่างๆ เช่น เลือกก้าวไกลได้ประยุทธ์

นายรังสิมันต์ กล่าวว่า มีคนสอบถามเข้ามาจำนวนมากว่าการเลือกตั้งในวันที่ 14 พฤษภาคมนี้ ควรจะเลือกแบบมียุทธศาสตร์หรือไม่ เพราะกลัวว่าหากฝั่งประชาธิปไตยแพ้ สุดท้ายฝั่งตรงข้ามที่เป็นขั้วอำนาจเดิม จะกลับมามีอำนาจอีก ก่อนอื่นตนต้องบอกก่อนว่า การเลือกตั้งอย่างมียุทธศาสตร์ที่ใช้กัน เอาเข้าจริงแล้วเป็นการเลือกตั้งที่เป็นประชาธิปไตยจริงหรือไม่ 

ในครั้งหนึ่งของการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. มีคำพูดว่า “ไม่เลือกเราเขามาแน่” สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้สังคมอยู่ภายใต้ความกลัว และท้ายที่สุดการเลือกตั้งครั้งนั้น โดยส่วนตัวคิดว่าไม่สามารถสะท้อนถึงความต้องการของประชาชนที่อยากจะเห็นการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นการเลือกตั้งที่ดีคือ “การเลือกตั้งอย่างมีความหวัง” ที่มีความฝันอยากให้เป็นไปได้

หากเราย้อนกลับไปตอนปี 2562 การเลือกตั้งของพรรคอนาคตใหม่ ไม่มีใครรู้ว่าสุดท้ายพรรคอนาคตใหม่จะชนะได้กี่เขตเลือกตั้ง ซึ่งสุดท้ายพรรคที่ไม่มีประสบการณ์อย่างอนาคตใหม่ ก็สามารถชนะเลือกตั้งได้กว่า 30 เขต สิ่งที่ตนอยากจะเสนอกับทุกคนคือมันไม่มีการเลือกตั้งอย่างมียุทธศาสตร์ มีแต่การเลือกตั้งที่อยากจะเห็นว่าใครเป็นตัวแทน อยากได้รัฐบาลแบบไหน ซึ่งการเลือกตั้งที่ดีควรจะเป็นแบบนี้

สุดท้าย หากอยากนำเสนอกันเรื่องการเลือกตั้งอย่างมียุทธศาสตร์ ตนอยากจะบอกว่า ยุทธศาสตร์ที่หวังจะเห็นคือ ประเทศไทยต่อไปข้างหน้าควรจะเป็นอย่างไร อนาคตควรจะเป็นแบบไหน เพราะหากสุดท้ายยังเป็นแบบเดิม คนไทยจะได้อะไร ดังนั้น 14 พฤษภาคม ขอให้กาก้าวไกลทั้งสองใบ อย่าให้ใครมาสร้างความกลัว

‘ธรรมนัส’ โต้ ‘ชาญชัย’ ปม 130 บิ๊กเนมไม่ถูกตัดสิทธิ์เลือกตั้ง ชี้!! เป็นเรื่องเข้าใจผิด ลั่น!! “ไม่ใช่ทั้ง 130 ท่าน ที่จะถือหุ้นสื่อ”

‘ธรรมนัส’ โต้ ‘ชาญชัย’ ข้องใจ 130 บิ๊กเนมไม่ถูกตัดสิทธิ์ลต. ยัน ‘บิ๊กป้อม-ตนเอง ไม่ได้ถือหุ้น  ไล่ดูกม. ให้ชัด เหน็บ ไฟไหม้แค่เขต2 นครนายกฯ เท่านั้น

(24 เม.ย.66) ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ผู้สมัครส.พะเยา พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) และประธานยุทธศาสตร์การเลือกตั้งภาคเหนือ กล่าวตอบโต้กรณีที่นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ ผู้สมัคร ส.ส.นครนายก เขต 2 พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ตั้งข้อสังเกตกรณีที่ถูกกกต.ประจำเขตเลือกตั้งที่2นครนายก ตัดสิทธิ์ลงสมัครส.ส.เพียงคนเดียว จากการถือครองหุ้น เข้าข่ายตามลักษณะต้องห้ามของการเป็นผู้สมัคร ส.ส. โดยพาดพิงว่านักการเมืองทั้งหมด 130 คน มีผู้สมัคร ส.ส.ระดับบิ๊กเนม รวมถึงพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯในฐานะหัวพรรค พปชร. และร.อ.ธรรมนัส ยังเดินหาเสียงได้อีก ทำไมไม่ถูกตัดสิทธิ์ 

ซึ่งเป็นเรื่องที่ประหลาด ว่า นายชาญชัย คงเข้าใจคลาดเคลื่อนว่าบุคคลอื่นถือหุ้นสื่อด้วย จึงขอชี้แจงว่า พล.อ.ประวิตร และตนไม่ได้ถือหุ้นสื่อ จึงไม่เป็นความจริงตามที่นายชาญชัย เข้าใจผิด ส่วนรายชื่อ 130 คน ที่ทางตลาดหลักทรัพย์ฯแจ้งมานั้น บอกว่าเป็นผู้มีหุ้นในตลาดหลักทรัพย์เท่านั้น ไม่ได้หมายความว่า ทั้ง 130 คนจะถือหุ้นสื่อแต่อย่างใด

“อยากฝากไปบอกคุณชาญชัย ว่า ให้กลับไปดูบทบัญญัติบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 98(3) คือเป็นเจ้าของ หรือ ผู้ถือหุ้นกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใดๆโดยข้อกฎหมายดังกล่าวเป็นบทบัญญัติห้ามเด็ดขาด และเหตุการณ์ไม่ได้ถึงขั้นไฟไหม้สำเพ็ง แต่ไหม้เฉพาะนครนายก เขต 2 เท่านั้น” ร.อ.ธรรมนัส กล่าว


ที่มา : https://www.matichon.co.th/politics/news_3941106

‘ช่อ’ ช่วย ‘ฉัตร’ ลุยหาเสียงโคราช ชี้!! เมืองใหญ่เหลื่อมล้ำ ลั่น!! กา ‘ก้าวไกล’ ชาวโคราช ไม่ต้องดิ้นรนไปทำงานในเมือง

ช่อ ลุยโคราช ช่วยผู้สมัครหาเสียง ลั่นไม่ใช่เมืองเล็ก แต่เหลื่อมล้ำสูง ขอ ก้าวไกลขจัดความเจ็บปวด

( 24 เม.ย.66) นางสาวพรรณิการ์ วานิช หรือช่อ ผู้ช่วยหาเสียงพรรคก้าวไกล (กก.) ลงพื้นที่ช่วย นายฉัตร สุภัทรวณิชย์ ผู้สมัคร ส.ส.เขต 1 พื้นที่ ต.ในเมือง ต.หนองไผ่ล้อม และ ต.โพธิ์กลาง อ.เมือง เบอร์ 3 หาเสียงที่สำนักงานเทศบาลนคร (ทน.) นครราชสีมา นำออกเดินพบปะทักทายพร้อมแนะนำผู้สมัครรวมทั้งชี้แจงนโยบายพรรคเน้นการกระจายอำนาจและเพิ่มบุคลากร รวมทั้งงบประมาณให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) จึงโดนใจผู้ปฏิบัติงานทำให้ได้รับความสนใจจากเจ้าหน้าที่ พนักงาน ทน.นครราชสีมา รวมทั้งพี่น้องประชาชนที่มาติดต่อราชการโดยขอเซลฟี่กันอย่างคึกคัก

น.ส.พรรณิการ์เปิดเผยว่า เป็นครั้งที่ 2 ในรอบเดือน ที่มาช่วยผู้สมัครหาเสียงในพื้นที่ จ.นครราชสีมา ซึ่งเป็นเมืองใหญ่และมีเยาวชนคนรุ่นใหม่มากที่สุดในภูมิภาค โดยเฉพาะเขต 1, 2, 3 พี่น้องประชาชนมีความตื่นตัวทางการเมืองและเข้าถึงสื่อออนไลน์ค่อนข้างมาก นโยบายสร้างคน สร้างงาน สร้างรายได้และลดความเหลื่อมล้ำ เราคาดหวังสูงที่จะได้ ส.ส.ทั้ง 3 เขต ช่วงเข้าสู่โค้งสุดท้ายเน้นกิจกรรมเดินตลาด แหล่งชุมชนและขึ้นรถแห่ให้มากที่สุด

ทั้งนี้ โคราชไม่ใช่เมืองเล็ก เป็นเมืองมหานครแต่มีปมเจ็บปวด ทำไมงานดี เศรษฐกิจดีๆ มีไม่มาก พอหลายคนต้องไปทำงานที่อื่น ที่สำคัญโคราชไม่เคยมีพรรคการเมืองใดครองได้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด ผลัดกันไปมา ขอให้กาก้าวไกล โคราชจะไม่เหมือนเดิมอย่างแน่นอน


ที่มา : https://www.matichon.co.th/politics/news_3941106

‘จิ๊บ ศศิกานต์’ ชูนโยบาย พัฒนา ศก.-ท่องเที่ยวฝั่งธนฯ กระจายความเจริญ-การจ้างงาน ยกระดับคุณภาพชีวิต ปชช.

(24 เม.ย.66) จิ๊บ ศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ ผู้สมัคร ส.ส.กทม. บางแค-ภาษีเจริญ พรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวว่าเศรษฐกิจของชาวฝั่งธนบุรีถือว่ามีครบทุกอย่างและมีศักยภาพ พร้อมที่พัฒนาต่อยอดในอนาคต เพื่อเชื่อมโยงกับฝั่งพระนครและจังหวัดปริมณฑล ซึ่งตนอยากยกระดับฝั่งธน เพื่อกทม. จะได้ไม่กระจุกความเจริญ อยู่แต่ CBD (Central Business District เช่น พวกสาทร สีลม แหล่งศูนย์กลางเศรษฐกิจ) ตนมองว่าเมื่อการคมนาคมดีขึ้น ความเจริญต่าง ๆ จะตามมา 

จิ๊บ ศศิกานต์ ยังกล่าวอีกว่าฝั่งธนฯ มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง เป็นเสน่ห์ที่ฝั่งพระนครไม่มี คือ การผสมผสานอย่างลงตัวระหว่าง ความเจริญทางเศรษฐกิจ วิถีชุมชนที่งดงาม และความสดชื่นของธรรมชาติ ถ้าเราสามารถพัฒนาให้เศรษฐกิจของฝั่งธนฯ สามารถยืนได้ด้วยตัวเอง จิ๊บคิดว่านี่คือพื้นที่ศักยภาพสูงแห่งใหม่ของประเทศไทย ทั้งในด้านเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว   

ซึ่งตนขอตั้งคำถามนั่นคือ โลกหลังโควิด-19 ได้เปลี่ยนวิธีการทำธุรกิจ และวิถีการดำเนินชีวิตของคนในเกือบทุกมิติ ถึงเวลาแล้ว ที่คนฝั่งธนฯ จะสามารถทำงานที่บ้านได้ โดยได้รับค่าแรง ค่าจ้างดี ๆ ตนมองว่านี่ถึงเวลาแล้วที่คนเก่ง ๆ ฝั่งธนฯ จะไม่ต้องไปทำงานในฝั่งพระนคร ที่แย่งกันกิน แย่งกันทำงาน และมีค่าครองชีพสูงเกินไป

Green Area ของฝั่งธน จะต้องมีการพัฒนาให้มากขึ้น คลองต้องสะอาดขึ้น พัฒนาให้มีเศรษฐกิจหมุนเวียนมากขึ้น พื้นที่สีเขียวจะต้องมีการดูแลให้มากขึ้น ใต้สะพานสูง จะถูกนำมาใช้ประโยชน์มากขึ้น (ตอนนี้บางแห่งมีแสงสว่างดีมาก ทำให้คนมาออกกำลังกายตอนกลางคืนได้ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัย)

“เด็กๆ ในฝั่งธนฯ จะต้องเติบโตแบบมีคุณภาพชีวิตที่ดี เพื่อเป็นกำลังสำคัญให้กับประเทศชาติต่อไป” จิ๊บ ศศิกานต์ กล่าวทิ้งท้าย

‘ลุงหนู’ ลุยหาเสียง อ้อนขอคะแนนชาวภูเก็ต ชูนโยบายยกระดับภูเก็ตสู่เมืองสุขภาพระดับโลก 

(24 เม.ย.66) ที่ยิมเนเซียม บริเวณสะพานหิน อ.เมือง จ.ภูเก็ต นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) พร้อมด้วยผู้บริหาร และแกนนำพรรค นายสรอรรถ กลิ่นประทุม ประธานที่ปรึกษาพรรค และผู้สมัครบัญชีรายชื่อ นายศุภชัย ใจสมุทร นายทะเบียนพรรค และผู้สมัครบัญชีรายชื่อ นางนาที รัชกิจประการ เหรัญญิกพรรค และน.ส.มนัญญา ไทยเศรษฐ์ ได้ลงพื้นที่ช่วยผู้สมัครหาเสียง ได้แก่ เขตเลือกตั้งที่ 1 นายนิพนธ์ เอกวานิช เบอร์ 3 เขตเลือกตั้งที่ 2 นายวงศกร ชนะกิจ เบอร์ 5 และเขตเลือกตั้งที่ 3 นายวิวัฒน์ จินดาพล เบอร์ 9

โดย นายอนุทิน กล่าวว่า การเลือกตั้งปี 62 ไม่มีใครคิดว่าพรรคภูมิใจไทยจะมีส.ส. จากภาคใต้ได้กว่า 10 ที่นั่ง แต่ที่สุดแล้วมันก็เกิดขึ้น เพราะความไว้วางใจจากพี่น้องประชาชน ตรงส่วนนี้ตระหนักอยู่ในหัวคิดของพรรคภูมิใจไทยตลอดเวลาว่าจะต้องตอบแทนความไว้เนื้อเชื่อใจที่ประชาชนมอบให้ ที่ผ่านมา เราพัฒนาถนนหนทางให้ประชาชนเดินทางได้สะดวกรวดเร็วขึ้น ไปจนถึงขยายบริการด้านสาธารณสุข ล่าสุดเราประสบความสำเร็จในการผลักดันสะพานเชื่อมพัทลุง-สงขลา และสะพานข้ามเกาะลันตา จ.กระบี่ อนาคต เราจะเดินหน้าโครงการแลนด์บริดจ์ เชื่อมต่ออ่าวไทยกับทะเลอันดามัน ผ่านจังหวัดชุมพร-ระนอง 

นายอนุทิน กล่าวว่า สำหรับ จ.ภูเก็ต ท่านพิสูจน์ศักยภาพของท่านมาแล้ว จากการเป็นเมืองท่องเที่ยวระดับโลก แต่เราจะเพิ่มโอกาสให้พวกท่านมากขึ้นด้วยการพัฒนาให้เป็นศูนย์กลางด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ หรือ Medical Hub หลายชาติกำลังเข้าสังคมผู้สูงวัย เขาต้องมองภูเก็ตในฐานะเป้าหมายของเขา 

‘ปชป.’ ชู นโยบายกระตุ้น ศก. อัดฉีดเงิน 1 ล้านล้านบาท ยัน!! แก้จนได้โดยไม่ต้องแจกแบบสุดโต่ง ไม่เพิ่มหนี้รัฐฯ 

(24 เม.ย. 66) ที่พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ทีมเศรษฐกิจพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งนำโดยนายพิสิฐ ลี้อาธรรม ประธานคณะกรรมการนโยบายพรรคประชาธิปัตย์, ม.ร.ว.ศศิพฤนท์ จันทรทัต และนายเกียรติ สิทธีอมร ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ และทีมนโยบายพรรคฯ ร่วมกันแถลงนโยบายของพรรคประชาธิปัตย์ในการกระตุ้นเศรษฐกิจไทยโดยไม่เพิ่มหนี้สาธารณะ

ทั้งนี้ ม.ร.ว.ศศิพฤนท์ กล่าวว่า ยุทธศาสตร์ของพรรคประชาธิปัตย์ ‘สร้างเงิน สร้างคน สร้างชาติ’ จะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านกลไกการอัดฉีด 1 ล้านล้านบาทเข้าระบบ โดยไม่มีการแจกเงินแบบสุดโต่ง ไม่เพิ่มหนี้สาธารณะ ไม่รีดภาษีจากผู้มีรายได้น้อย แต่จะทำให้จีดีพีเติบโตได้ไม่น้อยกว่า 5% และช่วยแก้ปัญหาความยากจน โดยสิ่งที่จะต้องทำทันที คือ การปรับโครงสร้างตลาดเงินตลาดทุน โดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และตลาดหลักทรัพย์ จะต้องสร้างกติกาให้ผู้ที่มีฐานะปานกลางและบริษัทรายย่อย สามารถระดมทุนผ่านไอพีโอในตลาดหลักทรัพย์ง่ายขึ้น โดยไม่จำกัดขนาด ฐานะการเงิน หรือผลประกอบการ ซึ่งจะทำให้บริษัทเหล่านั้นขยายใหญ่ขึ้น มีรายได้เพิ่ม เสียภาษีได้มากขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มงบประมาณในการดูแลกลุ่มฐานราก

ม.ร.ว.ศศิพฤนท์ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ เราสนับสนุนจัดตั้งธนาคารที่มีลักษณะเป็นไมโครไฟแนนซ์ เพื่อนำเงินทุนหมุนเวียนเข้าสู่กลุ่มฐานรากและธุรกิจเอสเอ็มอีทั่วประเทศ โดยธนาคารนี้สามารถดำเนินการผ่านไปรษณีย์ไทยมาเป็นสาขาของธนาคารดังกล่าว เพราะไปรษณีย์ไทยมีสำนักงานที่ครอบคลุมพื้นที่ต่างๆทั่วประเทศอยู่แล้ว รวมถึงจะต้องสนับสนุนการระดมทุนขนาดใหญ่เพื่อเป็นกองทุนสำหรับการก่อสร้างบรรดาโครงสร้างพื้นฐาน โดยเราสามารถโน้มน้าวหรือเชิญชวนผู้เงินฝากในระบบสถาบันการเงิน ที่ปัจจุบันมีกว่า 18 ล้านล้านบาท โดยเอามาเพียง 1.2 ล้านล้านบาท เปลี่ยนจากเงินฝากมาเป็นการลงทุนในการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ อีกทั้ง ควรกระจายการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานไปตามพื้นที่ต่างๆของประเทศ เพื่อกระจายความเจริญ และจะทำให้แรงงานทำงานในพื้นที่ตัวเองได้ ไม่ต้องย้ายถิ่น

ม.ร.ว.ศศิพฤนท์ กล่าวว่า ส่วนการแก้หนี้สินเกษตรกร จะส่งเสริมเกษตรกรให้ความรู้และมีคุณภาพ จนสามารถกลายเป็นนักธุรกิจ หรือที่เรียกว่านักธุรกิจเกษตร รวมถึงต้องเพิ่มพื้นที่ชลประทานให้ครอบคลุมมากขึ้น และเรามีนโยบายจัดตั้งธนาคารหมู่บ้านและชุมชน แห่งละ 2 ล้านบาท นำไปปล่อยกู้ในกับคนในชุมชนเพื่อนำไปทำทุนค้าขาย โดยไม่ต้องมีหลักประกัน กู้ในอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่า

ด้านนายพิสิฐ กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์เสนอให้เพิ่มอายุการเกษียณ ทั้งภาครัฐและเอกชนไปอีก 5 ปี ต่อไปแรงงานจะลดน้อยลง เนื่องจากโครงสร้างประชากรต่อจากนี้จะมีผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น จึงต้องให้ผู้สูงอายุได้มีงานทำ แต่ผู้สูงอายุต้องให้มีการตรวจสุขภาพเพราะต้องมีสุขภาพที่สมบูรณ์ และทำงานตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญและที่ปรึกษาหรือไกด์ นอกจากนี้ต้องปรับแก้ระบบประกันสังคมให้ยืดหยุ่นขึ้น แก้โครงสร้างให้เป็นระบบคล้ายกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) หรือกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ผู้ประกันตนสามารถเลือกบำเหน็จหรือบำนาญ สนับสนุนให้ไรเดอร์เข้าสู่ระบบประกันสังคมตามมาตรา 33 ได้ พร้อมแก้มาตรา 39 ให้ยืดหยุ่นมากขึ้นไม่เสียสิทธิ์ที่ได้จากมาตรา 33 โดยต้องทำให้ครอบคลุมทั่วถึง เพื่อเราจะได้ไม่ต้องไปพึ่งพาแรงงานต่างประเทศมากเกินไป

“ขณะนี้ ทุกพรรคยองรับว่าต้องดูแลผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น เพราะเราจะปล่อยให้มีคนจนกลุ่มใหม่เกิดขึ้นไม่ได้ คนที่้สูงอายุน่าสงสารเพราะกฎหมายบีบบังคับไม่ให้เขาทำงาน ต้องออกจากงาน จึงเป็นสิ่งที่น่ากลัวมากทำให้คนไม่มีงานทำ ซึ่งประชาธิปัตย์เราคิดเรื่องนี้ว่าจะต้องแก้ไขโดยด่วน ดังนั้นหากประชาธิปัตย์มีโอกาสได้เข้าไปบริหารประเทศ เราจะปรับอายุการเกษียณในทุกกลุ่มอีก 5 ปี อย่างน้อย เพื่อยืดอายุการทำงาน เพราะเชื่อว่าผู้สูงอายุมีประสบการณ์ มีความรู้ มีความสามารถอยู่ หากปล่อยให้ออกจากงานก็น่าเสียดาย เชื่อว่าผู้สูงอายุอยากทำงานมากกว่าแบมือขอเงินไม่กี่พันบาทจากรัฐ ซึ่งประชาธิปัตย์จะมีการเพิ่มเงินให้ผู้สูงอายุด้วย แต่เราจะไม่ประกาศตัวเลข เพราะเราไม่ต้องการไปแข่งกับใคร บางพรรคอาจจะประกาศ 3 พัน 5 พัน 8 พัน หรือหนึ่งหมื่นก็ได้ ซึ่งเป็นการแข่งขันกันแบบไม่มีสาระ แต่ประชาธิปัตย์จะดูตามความเป็นจริงว่า อนาคตข้างหน้าเราจะช่วยผู้สูงอายุปีต่อปีต่อเนื่องได้อย่างไร” นายพิสิฐ กล่าว

ส่วนข้อกังวลในเรื่องการตั้งธนาคารชุมชนและหมู่บ้าน จะเกิดปัญหาเหมือนกองทุนหมู่บ้านที่มีบางแห่งพบความไม่โปร่งใส และอาจสร้างหนี้เสียได้ นายพิสิฐ กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์เสนอให้มีธนาคารชุมชนและหมู่บ้าน เพื่อให้ชุมชนและหมู่บ้านตัดสินใจเองได้ แต่จะอยู่ในระบบการควบคุมตรวจสอบได้ โดยให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และธนาคารออมสินในชุมชนไปเข้าเป็นเหมือนพี่เลี้ยงกำกับดูแลให้ดำเนินงานตามพ.ร.บ.สถาบันการเงิน จึงเชื่อว่า จะไม่เกิดปัญหาเหมือนโครงการในอดีต

'องอาจ' ชี้ 'ประชาธิปัตย์' มุ่งพัฒนารัฐสวัสดิการระยะยาว ไม่ขอหว่านเงินให้เกิดความพึงพอใจ แล้วก็เลิกรากันไป

(24 เม.ย.66) จากรายการ ‘ถลกข่าว ถลกคน’ รายการเกาะติด-เจาะลึกการเลือกตั้ง 2566 โดยสำนักข่าวออนไลน์ THE STATES TIMES ร่วมกับ TV Direct ช่อง 76 (จานดาวเทียม PSI) ได้เชิญนายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ มาพูดคุยเกี่ยวกับข้อซักถามความเห็นในเรื่องนโยบายเชิงประชานิยมที่หลายพรรคการเมืองกำลังเร่งออกมาผลักดันเพื่อเรียกคะแนนเสียงนั้น นายองอาจ มองว่า "การสัญญาว่าจะแจกของพรรคการเมืองที่มีการหาเสียงตามลักษณะที่เป็นอยู่นี้นั้น ไม่ใช่องค์ประกอบสำคัญที่จะทำให้เกิดเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตอย่างยั่งยืนกับพี่น้องประชาชน 

"อย่างไรก็ตาม พรรคประชาธิปัตย์ ก็มองว่า สวัสดิการยังคงมีความจำเป็นในชีวิต ที่ประชาชนควรจะได้ควรจะมี เพียงแต่เงินที่จะนำมาใช้ในเชิงของการกระตุ้นเศรษฐกิจ ต้องไม่ใช่การเอาเงินไปหว่านให้เกิดความพึงพอใจ จากนั้นก็เลิกรากันไป

นายองอาจ กล่าวต่ออีกว่า "ประชานิยมที่ดี จำเป็นต้องออกแบบมาเพื่อให้ประชาชนมีกิน มีใช้อย่างยั่งยืน และสามารถลดความเหลื่อมล้ำทางสังคมได้ ยกตัวอย่าง...ทำไม? เด็กที่อยู่ในชนบทถึงไม่สามารถมีความรู้ได้เท่าเด็กในเมือง? นั่นก็เพราะว่าในพื้นที่ชนบทเหล่านั้น ยังไม่มีอินเทอร์เน็ตที่เข้าไปอย่างทั่วถึง เป็นต้น"

เกี่ยวกับข้อซักถามในเรื่องของการทุจริต นายองอาจ ได้กล่าวว่า "นี่คือหัวใจและเป็นเงื่อนไขหลักของการร่วมรัฐบาล ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ยึดถือหลักซื่อสัตย์สุจริต

"ยกตัวอย่าง 4 ปีที่ผ่านมา สังเกตได้ว่าการดำเนินงานของพรรคในบทบาทของการเป็นรัฐบาลนั้น ไม่มีการประท้วงจากเกษตรกร ทั้งเรื่องข้าว เรื่องยาง เรื่องปาล์ม เรื่องมันสำปะหลัง ทั้งจากหน่วยงานภาครัฐ และภาคเกษตรกรเลย"

สมาคมทนายฯ จี้ ‘ส.ว.’ เคารพเจตนารมณ์ประชาชน ชี้ ควรยกมือโหวตนายกฯ จากพรรคที่ได้ ส.ส. มากที่สุด

(24 เม.ย.66) นายนรินท์พงศ์ จินาภักดิ์ นายกสมาคมทนายความแห่งประเทศไทย ออกแถลงการณ์สมาคมทนายความแห่งประเทศไทย ความว่า ประเทศไทยยังคงสุ่มเสี่ยงที่จะเกิดวิกฤตทางการเมืองอีกครั้ง อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากรัฐธรรมนูญ 2560 ที่ถูกออกแบบโดยเผด็จการที่มีเจตนาต้องการสืบทอดอำนาจ ได้เขียนกำหนดไว้ในมาตรา 272 ให้ ส.ว. มีสิทธิออกเสียงเลือกนายกรัฐมนตรี ซึ่งผลการลงมติของ ส.ว. จะนำไปสู่วิกฤตได้ ดังนี้

(1) กรณี ส.ว. งดออกเสียงให้กับผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อให้เป็นนายกรัฐมนตรีจากพรรคการเมืองเสียงข้างมาก แต่รวบรวมเสียงได้ไม่ถึง 376 เสียง ซึ่งจะทำให้ผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อได้รับเสียงน้อยกว่ากึ่งหนึ่งของสมาชิกทั้ง 2 สภา จึงเป็นนายกรัฐมนตรีเพื่อจัดตั้งรัฐบาลของประชาชนไม่ได้ ผลที่จะเกิดขึ้นคือรัฐบาลของพลเอกประยุทธ์จะเป็นรัฐบาลรักษาการต่อไป

(2) กรณี ส.ว. ออกเสียงให้กับผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อจากพรรคการเมืองเสียงข้างน้อย ซึ่งแม้จะทำให้ผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อได้เป็นนายกรัฐมนตรี แต่อาจจะจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้ เพราะพรรคเสียงข้างมากไม่เอาด้วย ผลที่จะเกิดขึ้นคือ รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จะเป็นรัฐบาลรักษาการต่อไปโดยไม่มีที่สิ้นสุด เพราะรัฐธรรมนูญไม่ได้กำหนดเวลาในการจัดตั้งรัฐบาลไว้

‘อุ้ม อัชญา’ ผู้สมัคร กทม.ของ ‘ภท.’ ชูนโยบาย ‘กล้อง CCTV’ ตรวจจับรถที่ไม่หยุดให้คนข้ามถนน เพิ่มความปลอดภัยให้ ปชช.

(24 เม.ย. 66) น.ส.อัชญา จุลชาต หรือ ‘อุ้ม’ ผู้สมัคร ส.ส.กทม.เขต 32 บางกอกใหญ่ บางกอกน้อย ภาษีเจริญ ตลิ่งชัน ธนบุรี เบอร์ 7 พรรคภูมิใจไทย ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘อุ้ม อัชญา จุลชาต’ บอกเล่าประสบการณ์ที่พบเจอขณะลงพื้นที่ ว่าตนได้เข้าช่วยเหลือและปฐมพยาบาลเบื้องต้นแก่ผู้ประสบอุบัติเหตุ ถูกรถชนขณะกำลังข้ามถนนบริเวณทางม้าลาย โดยระบุว่า…

“ขณะที่อุ้มกำลังลงพื้นที่ อุ้มได้เจออุบัติเหตุรถชนคนที่กำลังข้ามถนนบริเวณทางม้าลายใกล้ ๆ MRT สถานีอิสรภาพ อุ้มและทีมงานเลยรีบเข้าไปให้ความช่วยเหลือด้วยการปฐมพยาบาลเบื้องต้น และช่วยติดต่อประสานงานเจ้าหน้าที่มาให้ความช่วยเหลือ

ซึ่งพรรคภูมิใจไทย มีนโยบายการเชื่อมกล้อง CCTV บริเวณทางม้าลาย เพื่อยกระดับความปลอดภัยให้กับพ่อแม่พี่น้องประชาชน (ไว้ตรวจจับรถที่ไม่หยุดให้คนข้าม ทำให้เกิดอุบัติเหตุ แล้วนำข้อมูลมาปรับคะแนนจราจรของผู้ขับ) และจากมุมมองของคนพื้นที่อย่างอุ้ม การเชื่อมต่อกล้อง CCTV บริเวณทางม้าลาย ถือเป็นอีกหนึ่งนโยบายสำหรับกลุ่มกรุงเทพฯ ฝั่งธน ที่ตอบโจทย์ความต้องการและแก้ไขปัญหาของประชาชน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top