Wednesday, 14 May 2025
SPECIAL

‘ช่อ พรรณิการ์’ ปลื้ม!! คะแนนนิยม ‘ก้าวไกล’ เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ขอบคุณ ‘หัวคะแนนธรรมชาติ’ ที่ลงติ๊กต๊อกโพสต์คลิป เพิ่มกระแสให้พรรค

(22 เม.ย.66) บนเวทีปราศรัยใหญ่พรรคก้าวไกล ‘รัฐบาลก้าวไกล ประเทศไทยไม่เหมือนเดิม’ ณ สามย่านมิตรทาวน์ กทม. ช่อ พรรณิการ์ วานิช ผู้ช่วยหาเสียงพรรคก้าวไกลขึ้นปราศรัยคนแรกขึ้นปราศรัยถึงคะแนนนิยมที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดของพรรคก้าวไกลว่าเกิดจากหัวคะแนนธรรมชาติ คือประชาชนผู้สนับสนุนพรรคทุกคน อ้อนขอช่วยดันคะแนนพรรคก้าวไกลให้สูงกว่าวันพรรคอนาคตใหม่ที่โดนยุบให้ได้ภายใน 22 วัน

พรรณิการ์ เริ่มต้นด้วยการกล่าวว่า ย้อนกลับไป 3-4 เดือนก่อน ทุกคนยังเป็นห่วงพรรคก้าวไกลว่าไม่มีป้ายหาเสียง ไม่ค่อยเห็นการรณรงค์หาเสียงของผู้สมัคร นั่นเพราะพรรคก้าวไกลทุนน้อย ทำให้ต้องทุ่มทรัพยากรหาเสียงกันในช่วงสุดท้ายของการเลือกตั้ง และเงินทุนในการหาเสียงเลือกตั้งทั้งหมดของพรรคก้าวไกลมาจากการทอดผ้าป่าของประชาชน

“ถ้าพรรคก้าวไกลไม่ขอเงินจากประชาชน จะให้ไปขอเงินจากทุนผูกขาด พ่อค้ายาเสพติด หรือนายพลคนไหน” พรรณิการ์กล่าว

พรรณิการ์กล่าวต่อว่า พรรคก้าวไกลได้รับเงินบริจาคจากประชาชนกว่า 12.5 ล้านบาท ในเวลาเพียงแค่ 1 เดือน พรรคก้าวไกลกำลังทำให้เห็นว่าการเมืองของประชาชน ออกเงินโดยประชาชน ไม่เกรงใจใครนอกจากประชาชนเป็นไปได้จริง

ส่วนเรื่องคะแนนนิยมพรรคก้าวไกลที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องนั้น พรรณิการ์บอกว่า 3 เดือนที่แล้ว มีแต่คนบอกว่าภายใต้ระบบเลือกตั้งนี้พรรคก้าวไกลเป็นไปไม่ได้ แต่ในวันนี้โพลสำนักต่างๆ คะแนนนิยมของพรรคก้าวไกลเพิ่มสูงขึ้นมาก ไม่ว่าจะเป็นเนชั่นโพลพรรคก้าวไกลมีคะแนนนิยม 23.5%, มติชน-เดลินิวส์โพลจัดอันดับให้นายกอันดับหนึ่งในใจประชาชนคือ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์

พรรณิการ์กล่าวว่า เฉลี่ยแล้วทุกโพลพรรคก้าวไกลมีคะแนนเฉลี่ย 21% ในวันนี้พรรคก้าวไกลมาไกลกว่าพรรคอนาคตใหม่ เพราะวันที่พรรคอนาคตใหม่ชนะการเลือกตั้งมีคะแนนนิยมในโพล 17%

“พวกเขายุบพรรคเรา พวกเขาตัดสิทธิ์ธนาธร ปิยบุตร พรรณิการ์ เพื่อที่จะได้พรรคก้าวไกลที่เติบโตทะลุเพดานยิ่งกว่าสมัยอนาคตใหม่ พวกเรายิ่งทุบยิ่งหวาน ยิ่งทุบยิ่งโต ยิ่งกระทืบจมดิน ยิ่งเติบโต เป็นต้นไม้ที่เราปลูกร่วมกันคือพรรคก้าวไกล” พรรณิการ์กล่าว

‘ประเดิมชัย’ ลงพื้นที่สุเหร่าดอนสะแก เนื่องในวันอีฎิ้ลฟิตริ นโยบายเพียบ!! สร้างรพ.ใกล้บ้าน-ปัญหาระบายน้ำ-จราจร-จัดระเบียบที่อยู่อาศัย

(22 เม.ย.66) ที่มัสยิดฮี่ดาย่าตุ้ลอิสลาม (ดอนสะแก) นายประเดิมชัย บุญช่วยเหลือ ผู้สมัคร ส.ส.พรรคภูมิใจไทย(ภท.) หมายเลข 8 เขต 5 ห้วยขวาง วังทองหลาง (ยกเว้นแขวคลองเจ้าคุณสิงห์) ลงพื้นที่หาเสียงพบปะพี่น้องประชาชนคนไทยมุสลิม ที่มัสยิดฮี่ดาย่าตุ้ลอิสลาม (ดอนสะแก)เขตวังทองหลาง ได้รับความสนใจและได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่น

นายประเดิมชัย กล่าวว่า วันนี้ได้มาลงพื้นที่สุเหร่าดอนสะแก เนื่องในวันอีฎิ้ลฟิตริ หรืออีดิลฟิตรี พร้อมกันนี้ได้แนะนำตัวและนำเสนอนโยบายกับพี่น้องชาวมุสลิม ในการอาสามาผลักดันสร้างโรงพยาบาลรัฐใกล้บ้าน ชุมชน ซึ่งได้รับการร้องเรียนและเรียกร้องจากประชาชนในพื้นที่มาโดยตลอด ซึ่งการผลักดันให้เกิดโรงพยาบาลรัฐแห่งใหม่จะเป็นการช่วยรองรับผู้ป่วยและการดูแลรักษาประชาชนในพื้นที่ทั้งเขตวังทองหลาง และห้วยขวาง รวมทั้ง 3 เขตใกล้กัน ได้แก่ เขตจตุจักร ลาดพร้าว บางกะปิ ซึ่งจะเป็นการแก้ไขปัญหาไม่ต้องเดินทางไกล ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทาง นอกจากนี้ยังได้นำเสนอการแก้ไขปัญหาการระบายน้ำคู คลอง และหมู่บ้าน ให้เกิดประสิทธิภาพ และการแก้ไขปัญหาจุดอ่อนน้ำท่วมทั้งเขตวังทองหลางและห้วยขวาง รวมถึงการแก้ไขปัญหาการจราจรในพื้นที่ ทั้งการจัดระบบจัดหาที่จอดรถ ในตรอก ซอก ซอย เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาจอดรถกีดขวางทางสาธารณะ ซึ่งหลายจุดไม่มีที่จอดรถทำให้เกิดปัญหากระทบการจราจรในปัจจุบัน

นายประเดิมชัย กล่าวว่า นอกจากนี้ยังมีเรื่องการจัดระเบียบที่อยู่อาศัย ประเภทคอนโดต่างๆ ค่อนข้างมาก เนื่องจากมีภาคเอกชนและนายทุนมากวาดซื้อ และก่อสร้าง และเปิดให้เช่าอยู่อาศัยแบบรายวันในปัจจุบัน ซึ่งพบว่าลูกค้าคอนโดส่วนใหญ่จะเป็นชาวต่างชาติ ซึ่งพฤติกรรมการอยู่อาศัย และวัฒนธรรมการดำรงชีวิตก็จะไม่เหมือนคนไทยทำให้เกิดความเดือดร้อน ส่งเสียงดัง เข้าออกสร้างเหตุรำคาญใจ พบว่าก็มีปัญหากระทบกระทั่งกับเพื่อนบ้านและคนไทยบ่อยครั้ง ซึ่งตรงนี้ตนมองว่าควรหากได้รับโอกาสจากพี่น้องประชาชน จะนำปัญหาดังกล่าวไปผลักดันและประชุมร่วมกับหน่วยงานเพื่อจัดระเบียบ กำกับดูแลการพักอาศัยและบังคับใช้ข้อกฎหมายเกี่ยวกับโรงแรมและที่พักอาศัยเชิงพาณิชย์ให้เข้มงวด จริงจัง


ที่มา : https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_3938188

'พปชร.' มาเหนือเมฆ ชู 'อีสานประชารัฐ' มีโอกาสทำ 'แลนด์สไลด์' สะดุด

(22 เม.ย.66) นับถอยหลังเหลืออีกเพียงไม่กี่วัน ก็จะเข้าสู่ช่วงของการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ และยิ่งนับวันยิ่งเกิดการแข่งขันที่รุนแรงแน่นอนว่าพื้นที่ภาคอีสาน ถือเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ ที่ทุกพรรคหมายมั่นปั้นมือ จะต้องบุกปักธงให้สำเร็จ เพราะเคยมีคำกล่าวที่ว่า หากพรรคใดคว้าชัย ได้ ส.ส.อีสานมากที่สุด หรือกวาดหมดยกภาคได้ ก็แทบจะการันตีได้ทันที ว่าจะเป็นพรรคอันดับ 1 มีโอกาสเป็นพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาลค่อนข้างสูง เพราะเป็นพื้นที่ที่มีจำนวน ส.ส. มากที่สุดถึง 133 คน จาก 20 จังหวัด 

ก่อนหน้านี้ พรรคเพื่อไทย เป็นพรรคที่มีฐานเสียงและจำนวน ส.ส.ภาคอีสานมากที่สุดในการเลือกตั้งแทบทุกครั้ง ครั้งก่อนเมื่อการเลือกตั้งปี 2562 กวาดไปถึง 84 ที่นั่ง ตามมาด้วยอันดับสองพรรคภูมิใจไทย 16 ที่นั่ง

และพลันที่พรรคเพื่อไทยประกาศจะชนะเลือกตั้งครั้งนี้ แบบแลนด์สไลด์ นั่นก็เพราะความมั่นใจว่าจะสามารถกวดที่นั่งในภาคอีสานแบบถล่มทลายเช่นเดิม

แต่ทว่า ในการเลือกตั้งครั้งนี้ การจะกวาดที่นั่งเป็นกอบเป็นกำเหมือนที่ผ่านมา คงไม่ง่ายนัก เพราะพรรคคู่แข็งอย่างภูมิใจไทยมีฐานเสียงที่แข็งแกร่งในพื้นที่อีสานใต้ นั่นยังไม่นับรวมคู่แข่งที่มาจากฟากเดียวกัน อย่างเช่น พรรคก้าวไกล และพรรคไทยสร้างไทย ที่สมาชิกพรรคส่วนใหญ่ล้วนเคยอยู่กับพรรคเพื่อไทยมาก่อน

ขณะที่อีกหนึ่งพรรคที่จะมองข้ามไม่ได้ นั่นก็คือ 'พรรคพลังประชารัฐ' ภายใต้การนำของพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค ที่หมายมั่นปั้นมือจะได้จำนวน ส.ส.ไม่น้อยกว่าการเลือกตั้งในปี 2562 ที่ชนะการเลือกตั้งเข้ามาเป็นอันดับ 3 ด้วยจำนวน 11 ที่นั่ง แม้ว่าขณะนี้กระแสของพรรค อาจจะไม่แรงเท่าเลือกตั้งครั้งก่อน แต่จากผลงานของพลเอกประวิตร ในเรื่องบริหารจัดการน้ำ ทำให้ภาคอีสานมีน้ำกินน้ำใช้ไม่ขาด ตามคำประกาศที่ว่า “มีเราไม่มีแล้ง” ก็ช่วยให้ฐานเสียงของพรรคฯ เพิ่มขึ้นไม่น้อยเช่นกัน

ไม่เพียงเท่านั้น ล่าสุด พรรคพลังประชารัฐ ได้ประกาศนโยบาย “อีสานประชารัฐ” เตรียมผุดโปรเจ็กยักษ์ เพื่อพี่น้องชาวอีสานอีกหลายโครงการ ยิ่งสะท้อนให้เห็นว่า พรรคพลังประชารัฐ ให้ความสำคัญกับพื้นที่นี้อย่างมาก และพร้อมจะพัฒนาพื้นที่ภาคอีสาน เพื่อให้พี่น้องประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

โครงการพัฒนาภาคอีสาน ที่ทางพรรควางไว้นั้น ประกอบด้วย ด้วยรถไฟทางคู่ บึงกาฬ-อู่ตะเภา เป็นการพัฒนาพื้นที่ 24 จังหวัดภาคอีสานและภาคตะวันออก สอดรับโครงการอีอีซี ระยะทาง 480 กม. ซึ่งได้สำรวจเส้นทางเรียบร้อยแล้ว พร้อมทั้งจะสร้างทางหลวงพิเศษ 8 ช่องจราจร ตลอดแนวเส้นทางรถไฟ และจะสร้างนิคมอุตสาหกรรม ขนาด 20,000 ไร่ 6 แห่ง รองรับกว่า 6,000 โรงงาน 

นอกจากนี้ จะสร้างวิทยาลัยอาชีวะใกล้นิคมอุตสาหกรรม นิคมฯ ละ 2 แห่ง รวม 12 แห่ง เพื่อเตรียมแรงงานที่มีทักษะและคุณภาพรองรับอุตสาหกรรมที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และยังมีโครงการพัฒนาท่าเรือบก ซึ่งจะเป็นพื้นที่รองรับผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากนิคมอุตสาหกรรมที่จัดตั้งขึ้น ก่อนที่จะมีการขนส่งไปยังท่าเรือน้ำลึกที่ภาคตะวันออก 

‘ดร.พงศ์ธร’ ชำแหละ!! นโยบาย ‘เพื่อไทยโทเคน’ ชี้!! ทฤษฎีอาจทำได้ แต่ทาง กม.ยังมีข้อจำกัด

เมื่อวันที่ 21 เม.ย.66 ผู้ใช้ติ๊กต๊อก บัญชี ‘PhongThon’ โดย ‘ดร.พงศ์ธร ธาราไชย’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โปรเจค แพลนนิ่ง เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) (PPS) ได้ออกมาวิเคราะห์นโยบายชูโรง ‘เพื่อไทย Digital Currency’ ของพรรคเพื่อไทย โดยกล่าวว่า...
.
“ตาม White Paper (เอกสารนำเสนอข้อมูล) ของพรรคเพื่อไทย ที่ออกมา ได้บอกว่าออกเงินมา 10,000 บาท ประชากร 50 ล้านคน เท่ากับว่าจะมีเงินโทเคนอยู่ในระบบทั้งสิ้น 5 แสนล้านโทเคน ซึ่ง 5 แสนล้านโทเคน ก็จะมี Asset Backed (หลักทรัพย์) เป็น 'เงินบาท' หมายความว่า 1 โทเคน ก็มีค่าเท่ากับ 1 บาท 
.
ทว่า เหรียญโทเคนไม่ใช่เงิน ซึ่งมันจะสามารถโปรแกรมได้เลยว่าให้ไปใช้บริเวณใด ในระยะเวลาที่กำหนดได้บ้าง โดยเบื้องต้นโปรแกรมได้กำหนดระยะเวลาใช้งานที่ 1 ม.ค.67 - 31 มิ.ย.67 และใช้ได้ในพื้นที่จำกัดรัศมี 4 กิโลเมตร ตามที่อยู่บัตรประชาชน รวมถึงกำหนดการใช้ซื้อสินค้าได้บางประเภท”

ดร.พงศ์ธร ได้เสริมว่า “โดยทฤษฎีแล้ว รัฐบาลจะได้เงินจากภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งในเอกสารข้อมูลของเพื่อไทยได้บอกไว้ว่า จะเกิดสิ่งที่เรียกว่า Multiplier (ผลทวีคูณ) ถึง 6 เท่า ซึ่งถ้าเอา 6 ไปคูณเงิน 5 แสนล้านออกมา ก็จะทำให้มีมูลค่ามวลรวมของประเทศเพิ่ม 3 ล้านล้านบาท และถ้าไปเทียบกับค่ามวลรวมของไทยจากปี 2565 ที่ 17.4 ล้านบาทแล้ว ตามทฤษฎีจะทำให้มี GDP เพิ่มขึ้น เต็มที่ถึง 17%

‘บิ๊กป้อม’ โชว์ผลงาน ‘แก้น้ำแล้ง’ ชี้ ทำมา 3-4 ปี ไม่เคยมีประกาศภัยแล้ง ปชช.เชียร์ให้เป็นนายกฯ บอกอย่างอารมณ์ดี “ต้องเลือก พูดเฉยๆ ไม่ได้เป็น”

(22 เม.ย.66) ที่สถานีรถไฟปากช่อง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ให้สัมภาษณ์ระหว่างโดยสารรถไฟไป จ.นครราชสีมา ถึงการบริหารจัดการน้ำ มีเราไม่มีแล้งว่า วันนี้มีพื้นที่แห้งแล้งหรือไม่ วันนี้ไม่มีแล้ง อย่างเขื่อนลำตะคลองวันนี้ปริมาณน้ำ 70% ตนทำมา 3-4 ปี ไม่มีแล้งสักวัน ไม่มีการประกาศภัยแล้งในประเทศเลย

"อันนี้เป็นผลงานของผม ผมเป็นคนทำในนามรัฐบาล ที่ทำงานร่วมกับหน่วยงานต่างๆ " พล.อ.ประวิตร กล่าว

เมื่อถามว่า ตลอดเส้นทางมีประชาชนมาให้กำลังใจจำนวนมากรู้สึกอย่างไร พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า “ก็รู้สึกดี”

เมื่อถามว่า มีคนเชียร์ให้เป็นนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร กล่าวอย่างอารมณ์ดีว่า "คุณก็เลือกสิ ถ้าเลือกก็ได้ ถ้าไม่เลือกก็ไม่ได้ พูดเฉยๆ ไม่ได้เป็นหรอก จะไปเป็นได้อย่างไร"

‘พุทธิพงษ์’ ชูนโยบายติด ‘โซล่ารูฟ’ ฟรี ช่วยลดภาระปชช. มั่นใจ!! ตอบโจทย์ แก้ปัญหาค่าไฟแพงในระยะยาว

‘พุทธิพงษ์’ ย้ำ ภูมิใจไทย เน้นลดรายจ่ายให้ประชาชน ชู นโยบายติด โซล่ารูฟ ฟรี ยัน ประชาชนต้องไม่จ่ายค่าไฟเกินจริง พร้อมผลักดันทำได้ทันที ลดค่าไฟถึง 450 บาทต่อหลัง มั่นใจ ตอบโจทย์แก้ปัญหาค่าไฟระยะยาว 

(22 เม.ย.66) นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ ผอ.การเลือกตั้งกทม. พรรคภูมิใจไทย (ภท.) กล่าวว่า จากสภาพอากาศที่ร้อนมาก พี่น้องประชาชนต้องหาตัวช่วยโดยการเปิดพัดลม เปิดแอร์ ช่วยลดอุณหภูมิ สิ่งทีตามมาคือค่าไฟฟ้าที่สูงขึ้น จึงเป็นเรื่องนี้ต้องเร่งแก้ไข เพื่อคนไทยไม่เจอกับปัญหาค่าไฟฟ้าแพงเกินจริง มีแต่ขึ้น ไม่มีลง ซึ่งการนำพลังงานทดแทนมาช่วยเป็นเรื่องจำเป็น และทำได้ทันที โดยโซล่าเซลล์ หรือ โซล่ารูฟ ใช้แสงอาทิตย์ให้เป็นประโยชน์ นำมาติดตั้งให้ทุกครัวเรือน สามารถลดค่าไฟฟ้าให้ประชาชนได้ถึงเดือนละ 450 บาท โดยภาครัฐลงมือติดตั้งให้ฟรี  ลดภาระให้ประชาชน สิ่งที่ภาครัฐจะได้ คือ การลดกำลังผลิตไฟฟ้าจากโรงงานถ่านหิน ประหยัดการซื้อไฟฟ้า และเมื่อประชาชนใช้โซล่ามากขึ้น นำพลังงานสะอาดมาทดแทน ทำให้รัฐบาลสามารถนำปริมาณคาร์บอนเครดิตของทั้งประเทศ ไปทำเป็นรายได้กลับเข้าประเทศได้อีกด้วย 

'ธรรมนัส' เหน็บ 'เศรษฐา' มีอำนาจตัดสินใจจับมือใครหรือ?  เตือน!! ไมค์จ่อปากอย่าพูดเอามันส์ ออกตัวแรงระวังจะเสียคน

(22 เม.ย.66) ที่ จ.นครราชสีมา ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ผู้สมัคร ส.ส.พะเยา ในฐานะประธานยุทธศาสตร์เลือกตั้งภาคเหนือ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.)ให้สัมภาษณ์ถึงภาพรวมการเลือกตั้งในภาคเหนือ ว่า เรามียุทธศาสตร์ และอยากปักหมุดทุกจังหวัด อย่างน้อยขอให้ได้ทุกจังหวัด 1-2 เขตส่วน จ.พะเยา มั่นใจอยู่แล้วว่าจะยกจังหวัด และน่าจะได้ที่ จ.แม่ฮ่องสอน ในเดือน พ.ค.นี้จะลงพื้นที่หาเสียงที่ จ.แม่ฮ่องสอน ส่วนที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรค พปชร. กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ลงพื้นที่หาเสียงที่ภาคใต้ในปลายเดือน เม.ย.นี้ พร้อมกับพรรคพปชร.มีแผนปราศรัยใหญ่ที่ จ.สงขลาในวันที่ 28 เม.ย. จากนั้นวันที่ 29 เม.ย.จะไปปราศรัยใหญ่ที่ จ.นครศรีธรรมราช 

ผู้สื่อข่าวถามว่า การลงพื้นที่ภาคใต้พร้อมกันจะเป็นอะไรหรือไม่ ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า เป็นเรื่องการเมือง อย่าไปมองเป็นประเด็นอื่น ซึ่งเราทำแผนไว้นานแล้ว เมื่อถามว่าหนักใจหรือไม่ที่จะต้องแข่งกับคนของพรรค พปชร.ที่ออกไป ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า น้ำเก่าออกไป เรามีน้ำใหม่ที่มีคุณภาพกว่า มีความมั่นใจว่าเราจะชนะ และจะได้เพิ่มอีกหลายจังหวัด เช่น จ.พังงา ที่ไม่เคยมีส.ส. มั่นใจว่าจะปักหมุดได้ ส่วนจ.นครศรีธรรมราช หลับตามองเห็นแล้ว เขต 1 ของนายรงค์ บุญสวยขวัญ กรรมการบริหารพรรคและผู้สมัคร ส.ส. พล.อ.ประวิตร สั่งระดมสรรพกำลังเข้าไปช่วย และตนเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนให้อีกทาง เชื่อว่าผ่านแน่นอน ส่วนเขต 2 ของนางสุภาพ ขุนศรี ผู้สมัคร ส.ส.ก็ผ่าน ส่วนเขต 5 นายสุธรรม จริตงาม ผู้สมัคร ส.ส. ถือว่าเป็นเต็งหนึ่ง รวมถึงเขต 3 ของนายสัณหพจน์ สุขศรีเมือง ผู้สมัคร ส.ส. ดังนั้นเราไม่แพ้ใครแน่นอน หลังจากหาเสียงที่ภาคใต้แล้ว วันที่ 30 เม.ย.จะไปปราศรัยใหญ่ที่ จ.ขอนแก่น จากนั้นวันที่ 1 พ.ค.จะไปปราศรัยที่ จ.ร้อยเอ็ด 

เมื่อถามว่า มีโพลออกมาว่า พปชร.จะได้ 70 ที่นั่ง ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า เกรดเอบวก รวมกันได้เกือบ 100 ที่นั่งแล้ว ดังนั้น ถามว่าพปชร.ในเรื่องของ ส.ส.แบบแบ่งเขตนั้นเรามีความมั่นใจ ส่วนใหญ่พื้นที่เลือกตั้งที่ได้ตอนปี 62 เกือบจะทุกจังหวัด เราสามารถรักษาพื้นที่ได้ ถึงแม้คนที่เป็น ส.ส.เก่าจะย้ายไปพรรคอื่น แต่เราก็หาคนใหม่มาลง เรามั่นใจว่าจะยึดพื้นที่ได้ 

เมื่อถามว่าแสดงว่าโพลที่ออกมาไม่ใช่ตัวเลขที่ พรรค พปชร.คาดการณ์ ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า หลายสำนักที่คาดการณ์ตัวเลข พปชร.กับพรรคที่เคยร่วมรัฐบาลกันมา จะได้สูสี ถ้าเราจะเป็นรองคงเป็นรองพรรคเพื่อไทย อละพรรคภูมิใจไทย หรือจะอาจจะสูสีกับพรรคภูมิใจไทย ส่วนกับพรรคอื่นเราอาจจะได้มากกว่า 

‘จุรินทร์’ ช่วย ‘หมอโนเกีย’ เบอร์ 3 บุกตลาดคลองลัดมะยม  ปลื้ม!! ผลโพลดีขึ้น ฝากปชช. เลือก’ปชป.’ ทั้งประเทศ

(22 เม.ย.66) นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมด้วย นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมด้วย ดร.รัชดา ธนาดิเรก นางดรุณวรรณ ชาญพิพัฒนชัย รองโฆษกพรรค ร่วมกันลงพื้นที่ ตลาดน้ำคลองลัดมะยม ขอคะแนนเสียงให้กับ น.พ.พลวิทย์ เจริญพงศ์ ผู้สมัคร ส.ส. กทม. เขตตลิ่งชัน-ทวีวัฒนา หมายเลข 3 

ซึ่งบรรยากาศการลงพื้นที่ในวันนี้เป็นไปอย่างคึกคัก บรรดาพ่อค้าแม่ค้ามอบดอกไม้ พี่น้องประชาชนเข้ามาพูดคุยให้กำลังใจ และขอเซลฟี่ร่วมกันเพื่อเป็นที่ระลึกพร้อมกับบอกว่าตัวจริงหล่อกว่าในภาพ นอกจากนี้มีนักท่องเที่ยวต่างประเทศเมื่อทราบว่านายจุรินทร์ เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ก็เข้ามาขอถ่ายรูปด้วยเช่นกัน 

นายจุรินทร์ ให้กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า เสียงตอบรับหลังจากการลงพื้นที่วันนี้ถือว่าดีมาก เขตตลิ่งชัน–ทวีวัฒนา พรรคส่งนักการเมืองรุ่นใหม่ ที่มีคุณสมบัติพร้อมเป็นผู้แทนราษฎรได้ หากได้รับการสนับสนุนจากพี่น้องในเขตนี้ โดยเลือกเบอร์ 3 นพ.พลวิทย์ หรือ หมอโนเกีย เพื่อให้เป็นนักการเมืองรุ่นใหม่ที่จะไปประดับสภา และเป็นหน้าตาให้กับพี่น้องเขตตลิ่งชัน – ทวีวัฒนาได้อีกคนหนึ่ง นอกจากการที่ได้ ดร.รัชดา ธนาดิเรก และนายชนินทร์ รุ่งแสง ที่ปัจจุบันไปลงในเขตบางพลัด - บางกอกน้อย 

“ตอนนี้เราเดินรณรงค์หาเสียงในเขตกรุงเทพมหานคร ได้เสียงตอบรับดี พี่น้องชาว กทม. ต้อนรับประชาธิปัตย์ดีขึ้นมากเป็นลำดับ เราเชื่อว่าเที่ยวนี้พี่น้องชาว กทม. จะช่วยสนับสนุนให้ประชาธิปัตย์ ทั้งในเขตฝั่งธนและเขตพระนคร” นายจุรินทร์กล่าว พร้อมกับแสดงความมั่นใจว่าในการเลือกตั้งครั้งนี้ พี่น้องชาว กทม. จะไม่ทิ้งพวกเราและจะสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ เพราะมีหลายคนเดินเข้ามาพบและมาขอโทษที่เลือกตั้งคราวที่แล้วไม่ได้ลงคะแนนให้ แต่เที่ยวนี้จะลงคะแนนให้ประชาธิปัตย์แน่นอน 

นอกจากนี้นายจุรินทร์ ได้กล่าวอีกว่า เราสู้ทุกเขต ทั้ง 33 เขต ซึ่งผู้สมัครของพรรคมีศักยภาพทุกคน เรามีนโยบายที่ชัดเจนสำหรับพี่น้องชาว กทม. และอยู่บนพื้นฐานของความรับผิดชอบในฐานะที่เราเป็นสถาบันทางการเมืองที่อยู่คู่กับชาว กทม. มายาวนาน จึงไม่มีนโยบายลด แลก แจก แถม ไม่ว่าจะเป็นนโยบายอินเทอร์เน็ตฟรี 1 แสนจุดทั่ว กทม. นโยบายเรียนฟรีถึงปริญญาตรี ในสาขาที่ตลาดต้องการ นโยบายธนาคารหมู่บ้าน/ชุมชน 2 ล้านบาท นโยบายรักษาฟรี และตรวจสุขภาพฟรีด้วยบัตรประชาชนใบเดียว เป็นต้น 

สำหรับที่ผู้สื่อข่าวถามถึงผลโพลที่พรรคประชาธิปัตย์มีคะแนนนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นายจุรินทร์ กล่าวว่า เราได้ติดตามผลสำรวจทั้งหมด ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่จะมีผลสำรวจที่แตกต่างกันออกไป แต่ถ้าดูโดยรวมตนไม่อยากให้ดูภาพลวงตา เพราะการเลือกตั้งเที่ยวนี้เป็นการเลือกตั้งโดยการใช้บัตร 2 ใบ ซึ่งบัตรสีม่วงเป็นการลงคะแนนเลือก ส.ส. เขต ที่แต่ละเขตก็มีเบอร์แตกต่างกัน ส่วนบัตรสีเขียว เป็นการลงคะแนนให้พรรค ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ เบอร์ 26 และก็จะเป็นการเลือก ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อด้วย ดังนั้นถ้าไปดูคะแนนนิยมของพรรคประชาธิปัตย์ก็ถือว่าอยู่ในระดับดี ถึงดีมาก ทำให้มีความมั่นใจว่าสอดคล้องกับสิ่งที่เราได้ลงพื้นที่มาทั่วประเทศ และเสียงขานรับประชาธิปัตย์ก็ดีขึ้นเป็นลำดับด้วย ซึ่งยังมีเวลาอีกประมาณ 3 อาทิตย์ ที่ยังสามารถเพิ่มเติมความนิยมขึ้นมาได้อีกจากนโยบายที่อยู่บนพื้นฐานความรับผิดชอบ ไม่สร้างภาระหนี้หรือภาษีให้ตกอยู่กับคนไทย 

3 คู่หยุดโลก!! รับฝีปากประชันศึกดีเบต

วันที่ 22 เม.ย.66 นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์ประเทศไทยต้องมาก่อน ตอน "ต้องทันกัน" โดยเสนอให้สื่อสำนักใหญ่จัดดีเบตการเมืองสามคู่หยุดโลก เริ่มด้วยคู่ “ประวิตรปะทะประยุทธ์” มันส์แน่นอน จากนั้นเป็นคู่ “สุดารัตน์ประลองกึ๋นอุ๊งอิ๊ง” แล้วตบท้ายด้วยคู่ “เศรษฐาโชว์มุมมองเศรษฐกิจกับพิธา” เชื่อว่าสื่อไหนทำได้รับรองถนนโล่ง ผู้ชมหน้าจอถล่มทลาย

นายจตุพร กล่าวถึง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ออกจดหมายฉบับที่ 10 ที่มีเนื้อหาสำคัญทิ่มแทง กระชวก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ชนิดตีความเนื้อหาในจดหมายสะท้อนถึงตัดขาดความเป็นพี่น้องชายชาติทหารอย่างสิ้นเยื่อใยต่อกัน

เนื้อหาส่วนสำคัญของจดหมายฉบับที่ 10 นั้น พล.อ.ประวิตร เปิดเผยถึงการก้าวข้ามความขัดแย้ง โดยสนับสนุนให้แก้ รธน.และกฎหมายเลือกตั้งมาเป็นระบบบัตรสองใบ และ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ใช้ 100 หาร แต่ พล.อ.ประยุทธ์ คัดค้าน เชื่อตามความเห็น ส.ว. เพราะเกรงจะสู้พรรคเพื่อไทยไม่ได้ จึงยืนกรานให้ใช้แบบเดิมคือ บัตรเลือกตั้งใบเดียวและ ส.ส.บัญชีรายชื่อใช้ 500 หารจำนวนคะแนนเสียง พร้อมทั้งตอนท้ายของจดหมาย พล.อ.ประวิตร ยังให้ติดตามฉบับที่ 11 “ผมจะพูดถึงเรื่อง เป็นนายกต้องให้เกียรติสภาอย่างไร”

นายจตุพร กล่าวว่า ขอเสนอให้สื่อใหญ่ๆ จัดคู่ดีเบตระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์กับพล.อ.ประวิตร เพราะจดหมายของ พล.อ.ประวิตร ฉบับที่ 10 นั้นพุ่งเป้าโดยตรงใส่ พล.อ.ประยุทธ์ถึงกับกล่าวหาต่อต้านการแก้กฎหมายเลือกตั้งและ รธน.ที่เปลี่ยนจากบัตรใบเดียวมาเป็นบัตรสองใบและระบบปาตี้ลิสต์หาร 100 อีกทั้งจะมีจดหมายในฉบับที่ 11 เรื่องการเป็นนายกฯให้เกียรติสภาก็พุ่งชน พล.อ.ประยุทธ์ โดยตรงเพราะถูกข้อกล่าวหาว่า ไม่ให้เกียรติสภา

"ดังนั้น คู่นี้จะเป็นคู่มวยหยุดโลก ดีเบตระหว่าง พล.อ.ประวิตรกับ พล.อ.ประยุทธ์ มันต้องเกิดขึ้น พล.อ.ประวิตร จะเขียนจดหมายฝ่ายเดียวได้อย่างไร และ พล.อ.ประยุทธ์ จะตอบเป็นจดหมายทำไม มาดีเบตกันเลย พูดแบบไม่มีเวลาจำกัด เมื่อ พล.อ.ประวิตร แทงเข้าขั้วหัวใจ พล.อ.ประยุทธ์ แล้วยังสำทับอีกว่า จะแทงอีกครั้งหนึ่งในจดหมายที่ 11 ดังนั้น ไม่มีทางอื่นแล้ว คู่มวยหยุดโลกนี้ต้องเกิดขึ้นในเวทีดีเบต”

นายจตุพร ประเมินว่า การเขียนจดหมายพุ่งชนแบบกามิกาเซ่นั้นเป็นเพราะฐานคะแนนของ พปชร.และ รทสช. มาจากที่เดียวกัน อีกอย่างฝ่ายอนุรักษ์มีความเชื่อว่ามีเพียง พล.อ.ประยุทธ์ เท่านั้นที่จะหยุดทักษิณ ชินวัตร ได้ ยิ่งจะทำให้ พล.ประวิตร-พปชร. คะแนนเสียงหายไปจากจอเรดาร์

ดังนั้น ในการแข่งขันรอบแรกระหว่าง รทสช.กับ พปชร.ต้องชิงดำกันก่อน ว่าใครจะเป็นที่หนึ่งของสายอนุรักษ์ โดยไม่เกี่ยวกับพรรคภูมิใจไทย (ภท.) กับพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) แต่เป็นเรื่องของสองพลเอกชื่อ “ประวิตรปะทะประยุทธ์” เท่านั้น เพราะจดหมายฉบับที่ 10 พุ่งใส่ พล.อ.ประยุทธ์ เต็มๆ โดยไม่ต้องมีใครมาเสี้ยมหรือยุกันให้บาดหมางใดๆ

อีกอย่าง เห็นว่า เสียง ส.ว. 250 คน ย่อมอยู่กับ พล.อ.ประวิตรหรือ พล.อ.ประยุทธ์ เท่านั้น จึงต้องวัดดวลกันให้รู้ไปเลยใครจะได้ ส.ว.เสียงข้างมากมาครอง แล้วยังต้องช่วงชิงเสียงในตลาดฝ่ายอนุรักษ์ด้วยกันเพื่อแข่งกันตั้งรัฐบาล โดยวงประเมินทั่วไปในขณะนี้ เชื่อกันว่า พล.อ.ประวิตรจะชนะ พล.อ.ประยุทธ์ แต่ถ้ากระแสเป็นตามปกติแล้วเสียงจะมาเทให้พล.อ.ประยุทธ์ ดังนั้น พล.อ.ประวิตร จะปล่อยให้ พล.อ.ประยุทธ์ เดินหาเสียงแบบสบายตัวอีกไม่ได้ จึงต้องจ้วงแทง นับเป็นการเขียนจดหมายที่อ่านการเมืองได้ขาดและพุ่งเป้าได้ตรง
ส่วนการจับมือพรรคข้ามฟากกับพรรคเพื่อไทยร่วมตั้งรัฐบาลนั้น นายจตุพร กล่าวว่า พล.อ.ประวิตร จะเผยโฉมอีกไม่นาน เพียงจดหมายฉบับที่ 10 ก็เริ่มบอกเค้าลางให้เห็นบ้างแล้ว แต่จำเป็นต้องประกาศศึกกับพล.อ.ประยุทธ์ เพื่อก้าวข้ามความขัดแย้งกันก่อน

อีกทั้ง เห็นว่า การเมืองมันอำมหิตมาก ไม่มีพี่ ไม่มีน้อง เหมือนตามที่เพื่อไทยประกาศไม่มีพรรคพี่พรรคน้อง อีกสายอนุรักษ์นิยมก็เริ่มไม่มีพี่ไม่น้องแล้ว ดังนั้น การข้ามมาเอาคะแนนเสียงอีกฝั่งที่มีเพื่อไทย ก้าวไกล ครองเสียงอยู่ย่อมเป็นไปไม่ได้ จึงต้องเปิดศึกแย่งเสียงในฝั่งเดียวกันก่อน คือ ดีงคะแนนจาก รทสช.

“ศึกดวลดีเบตระหว่าง พล.อ.ประวิตรกับ พล.อ.ประยุทธ์ จะเป็นศึกที่น่าสนใจ และเป็นประโยชน์กับคนไทย เมื่อ พล.อ.ประวิตร ลงมือกระชวกขนาดนี้ แสดงถึงไร้ความเป็นพี่เป็นน้องกัน ไม่มีความเกรงใจหลงเหลืออยู่ เพราะจดมายฉบับ 10 มันคิดเป็นอื่นไปไม่ได้เลย นอกจากเปิดศึกชนกัน แล้วมีจดหมายฉบับ 11 มาตอกย้ำให้ชัดยิ่งขึ้น”

นายจตุพร ค่าดว่า ทางฝ่าย รทสช. ต้องรู้ตัวเช่นกันว่า กระบอกปืนจากมือ พล.อ.ประวิตร คนฝ่ายเดียวกันได้หันมายิงใส่ พล.อ.ประยุทธ์ จึงเป็นการชี้ชะตานายกฯ ภายใต้กติกา ส.ว. 250 คน เมื่อเป็นเดิมพันสูงชนิดทุ่มสุดตัว ก็ยอมกันไม่ได้ หลีกทางให้กันก็ไม่พ้น ดังนั้น จึงต้องให้คู่นี้มาดีเบตกันแล้ว

ส่วนการดีเบตคู่ที่สอง นายจตุพร เสนอจัดประลองกึ๋นระหว่างคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย กับอุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร แคนดิเดตนายกฯ เพื่อไทย เพราะคุหญิงสุดารัตน์ เคยเป็นแคนดิเดตนายกฯ เพื่อไทยมาก่อน ปัจจุบันอุ๊งอิ๊งก็เป็นแคนดิเดตนายกฯเพื่อไทยอยู่ ตนเชื่อว่า ดีเบตคู่นี้คนอยากฟังมาก

ยังมีอีกคู่คือ ระหว่างนายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกฯ เพื่อไทย กับนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกฯ พรรคก้าวไกล ซึ่งน่าสนใจ เพราะแนวคิดทางเศรษฐกิจในมุมต่างๆนั้นเป็นอย่างไร ส่วนนอกนั้น คงไม่ต้องดีเบตกันแล้ว เพราะแต่ละพรรคสร้างรังแต่พอตัวของตัวเองไปแล้ว คงไม่ได้ไปแข่งขันกับใคร แค่รักษาฐานเสียงให้ตัวเองรอดก็หนักหนาสาหัสแล้ว

"ผมว่า การดีเบตของสามคู่นี้ จะต้องมีคนดู เอาคู่ประวิตรกับประยุทธ์ มาเป็นแมตซ์หยุดโลก ตามด้วยคุณหญิงสุดารัตน์กับอุ๊งอิ๊ง จะเห็นมุมใหม่ แล้วเศรษฐากับพิธา จะเห็นหลักคิดวิธีคิดทางเศรษฐกิจเป็นอย่างไร ผมว่าเอาสามคู่นี้มันส์แน่”

ในสถานการณ์ทุกพรรคเร่งโหมหาเสียงนั้น นายจตุพร เล่าถึงศิลปะโกงเสียงของของนักการเมืองว่า ทุกยุคของการเลือกตั้ง ล้วนมีลูกเล่นแกมโกงเพื่อชิงคะแนนเสียงกันทั้งนั้น บางยุคกล่าวหาผู้สมัครซื้อเสียง เมื่อเขาไปแล้ว ตัวเองก็เจรจาซื้อเสียงเสียเอง บางครั้งนักการเมืองก็เขี้ยวลากดินคิดกระทั่งกล่าวหาบางพรรคใช้แบงก์ปลอมซื้อเสียง ถ้าไม่อยากติดคุกต้องนำมาแลกกับตัวเองในครึ่งราคา ดังนั้น จึงได้กำไรฟรีๆ ไปเท่าตัว อีกฝ่ายก็เจ๊งทันที แถมทุกชาวบ้านรุมด่าเอาอีก สิ่งเหล่านี้เป็นศิลปะทำลายทางการเมืองของพวกเขี้ยวลากดินที่เคยปฏิบัติชิงคะแนนเสียงกันมาแล้วทั้งสิ้น

ส่วน นายอิทธิพร บุญประคอง ประธาน กกต.จะไม่ให้คนทุจริตเลือกตั้งไปเป็น ส.ส. พร้อมขู่ไม่ยอมให้ผีหลุดไปหนุนจัดตั้งรัฐบาลนั้น นายจตุพร กล่าวว่า คนไทยคงไม่เชื่อตามที่พูดแน่ ซึ่งการพูดดังกล่าวแสดงถึงจะไม่รับรองให้เป็น ส.ส. ก่อน

อีกอย่างนโยบายของพรรคเพื่อไทย เฉพาะที่มารายได้ทำโครงการเงินดิจิทัลก็ไปไม่ถูกแล้ว แต่อาจมีเจตนาการซ่อนเร้นอะไรไว้ ซึ่งหวังว่า การวินิจฉัยของ กกต.จะมีความตรงไปตรงมา เรื่องที่ไม่รู้ ก็ไม่ควรใช้ความรู้สึกของ กกต.วินิจฉัย แต่ต้องฟังผู้ชำนาญการพิจารณา และควรให้ประชาชนได้รับรู้ก่อนจะมีการหย่อนบัตรเลือกตั้ง อีกทั้งต้องปฏิบัติกับทุกพรรคตรงไปตรงมาเหมือนกับปฏิบัติกับพรรคเพื่อไทยด้วย "เรื่องซื้อเสียง ผมว่า กกต.ไม่มีปัญญาจัดการอยู่แล้ว งบประมาณอนุญาตให้ใช้จ่ายเป็นเรื่องจอมปลอม เป็นการแต่งบัญชีหลอกกันทั้งนั้น มีแต่ กกต.เท่านั้นที่เชื่อเป็นจริง แต่นักการเมืองไม่มีใครเชื่อเลย จึงขอให้ กกต.ได้ทำหน้าที่อย่างสุจริต ให้การเลือกตั้งบริสุทธิ์ยุติธรรมสักครั้ง อย่างน้อยคนจะได้จำว่า ได้ทำหน้าที่อย่างสุจริต โปร่งใสจริงๆ ตามที่กฎหมายกำหนด หรือที่ได้กล่าวไว้กับประชาชน"

‘อนุทิน’ แจง!! ปมมีคนพาดพิงสมาชิกพรรคซื้อเสียง ลั่น!! พฤติกรรมน่ารังเกียจ คนในพรรคไม่ทำเรื่องเลวๆ 

‘อนุทิน’ ลั่น ไม่มีผู้สมัครพรรคซื้อเสียง ซัด เป็นสิ่งเลวมั่นใจลูกพรรคไม่ทำ      

(22 เม.ย.66) ที่พรรคภูมิใจไทย (ภท.) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุขในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ให้สัมภาษณ์กรณีคลิปซื้อเสียงที่ จ.หนองคาย ว่าคนในคลิปไม่ใช่ตัวแทนพรรค ซึ่งพรรคมีจดหมายของพรรคแจ้งไปยังผู้สมัครทุกคน ว่าพรรครังเกียจ และไม่สนับสนุนการเลือกตั้งที่ผิดกฎหมายทุกรูปแบบ ใครทำแบบนั้นถือว่าไม่หวังดีกับพรรค เชื่อไม่มีใครทำเลวๆ แบบนั้น คลิปทำขึ้นมาเองก็ได้ ช่วงที่พรรคถูกรังแกด้อยค่า แต่เราก็มีความหนักแน่น ผู้สมัครล้วนได้รับการปลูกฝังที่ที่ดีจากพรรคให้ปฏิบัติตามกฎหมาย จะไม่มีสิ่งนั้นเกิดขึ้นแน่นอน ทั้งนี้ นางจิดาภา สุนทรธนากุล ผู้สมัคร ส.ส.หนองคาย เขต 2 ของพรรค ท่านได้ปฏิเสธกับพรรค และแจ้งความดำเนินคดีแล้ว ซึ่งคนที่ทำอาจเป็นคู่แข่ง

‘ประวิตร’ เผย ไม่มีปัญหา ยินดีให้ ป.ป.ช. เปิดข้อมูลไต่สวน กรณีนาฬิกายืมเพื่อน จะได้รู้ความจริง ยันไม่ได้ไปเอาของใครมา

(22 เม.ย.66) ที่สถานีรังสิต พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ให้สัมภาษณ์กรณีที่ศาลปกครอง มีคำพิพากษาให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เปิดเผยข้อมูลการไต่สวนข้อเท็จจริงกรณีกล่าวหา พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริง ว่า “ผมอยากให้เปิดจะได้รู้ความจริง จะได้รู้ว่าเป็นอย่างไร อยากให้เปิดนานแล้ว ไม่มีปัญหาเลย ผมไม่ได้ไปเอาของใครมา ผมยืมเขามาก็คืนเขาแล้ว”

‘จุรินทร์-ชวน’ นำ ‘ปชป.’ ปราศรัยใหญ่ 23 เม.ย. นำไทยสู่ความสำเร็จ ‘องอาจ’ ลั่น!! ขอทุ่มเทเพื่อคนส่วนใหญ่ ไม่เอื้อตระกูลตัวเอง-พวกพ้อง

‘จุรินทร์-ชวน’ นำทัพปราศรัยใหญ่ ลานอนุสาวรีย์พระเจ้าตาก 23 เม.ย.นี้ ‘องอาจ’ ลั่นเวลาที่เหลือ ปชป. นำเสนอวิสัยทัศน์พาประเทศไปสู่ความสำเร็จ

(22 เม.ย.66) นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) ดูแลกทม. เปิดเผยว่าในวันอาทิตย์ที่ 23 เม.ย. นี้ ตั้งแต่เวลา 16.30 น. เป็นต้นไป พรรคประชาธิปัตย์จะเปิดปราศรัยใหญ่ที่วงเวียนใหญ่ ลานอนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช นำโดย นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคฯ นายชวน หลีกภัย อดีตประธานรัฐสภา และอดีตหัวหน้าพรรคฯ พร้อมขุนพลพรรคประชาธิปัตย์อีกคับคั่ง

นายองอาจ กล่าวต่อว่า ในช่วงเวลาอีก 20 กว่าวันจะถึงวันเลือกตั้ง พรรคประชาธิปัตย์ จะได้นำเสนอวิสัยทัศน์การนำประเทศไทยให้เดินหน้าพัฒนาไปสู่ความสำเร็จที่ยั่งยืนด้วยการสร้างรายได้ให้ประชาชน สร้างรายได้ให้ประเทศ รวมถึงการพัฒนาคนเพื่อรองรับความก้าวหน้าของประเทศ และการทำให้ประเทศชาติเข้มแข็งด้วยประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามยุทธศาสตร์ “สร้างเงิน สร้างคน สร้างชาติ” 

‘บิ๊กป้อม’ เมิน ‘เศรษฐา’ ปิดประตูจับมือ ชี้!! ‘พปชร.’ ยังไม่จับมือใคร ย้ำ!! ก้าวข้ามความขัดแย้ง ขอทำให้คนไทยทุกคนอยู่ร่วมกันได้

‘บิ๊กป้อม’ เมิน ‘เศรษฐา’ ปิดประตูจับมือ ย้อน พปชร. ยังไม่แย้มจับใคร ลั่น อยากปักธงที่ 1 ของโคราช ย้ำ ก้าวข้ามขัดแย้ง ต้องทำให้ทุกฝ่ายร่วมกันได้ 

(22 เม.ย.66) ที่สถานีรังสิต พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ให้สัมภาษณ์ถึงการนำคณะกรรมการบริหารพรรค ปราศรัยหาเสียงจ.นครราชสีมา ว่า การนั่งรถไฟในวันนี้ เพื่อดูวิถีของประชาชน ตามที่ตนได้บอกเรื่องการพัฒนาภาคอีสาน ทั้งอุตสาหกรรมยานยนต์ และอุตสาหกรรมอื่น เพื่อช่วยทำงานในภาคอีสาน และให้เด็กอาชีวะมีงานทำในพื้นที่อุตสาหกรรม การมานั่งรถไฟครั้งนี้เพื่อดูระบบตามนโยบายโครงการอีสานประชารัฐ ของพรรคให้ได้ก่อน เพื่อทำให้หลายจังหวัดในภาคอีสานมีความเจริญ คนมีงานทำเป็นการสร้างงาน และถ้าทำได้จริงเชื่อมจะเชื่อมต่อไปที่ภาคตะวันออกและไปที่จังหวัดกาญจนบุรี ได้ 

ผู้สื่อข่าวถามว่าตั้งเป้าส.ส.นครราชสีมาไว้ อย่างไร พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องถามนายวิรัช รัตนเศรษฐ เป็นหัวหน้าทีมภาคอีสาน ตนไม่ได้เป็นหัวหน้าทีม เพราะหัวหน้าพรรคคงไม่ต้องมาดูในระดับพื้นที่ ขณะที่นายสันติ กล่าว แทรกว่า อยากได้ส.ส.ทั้ง 16 เขตเลือกตั้ง

เมื่อถามว่าพรรคพลังประชารัฐอยากปักธงเป็นอันดับหนึ่งในภาคอีสาน ใช่หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า “อยากสิครับ ไม่น่าถาม อยากได้ แต่ไม่รู้ว่าจะได้หรือเปล่า อยากให้พี่น้องชาวอีสานเลือกผม  เพื่อให้ได้ที่หนึ่ง เมื่อถามย้ำว่าหากได้ที่หนึ่งแล้วจะเป็นนายกฯ ใช่หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า เรื่องการเป็นนายกฯต้องไปเลือกกันในสภาฯ ไม่ใช่มาเลือกกันตรงนี้

‘บิ๊กป้อม’ นำทีม ‘พปชร.’ บวงสรวงรับพลังดาวพฤหัส ก่อนขึ้นรถไฟ มุ่งหน้าเปิดปราศรัยหาเสียง ‘เมืองย่าโม’

‘บิ๊กป้อม’ นําบวงสรวงรับพลังดาวพฤหัส ก่อนยกทัพหลวงขึ้นขบวนรถไฟ มุ่งหาเสียงเมืองย่าโม บอก “ไม่ร้อนเลย”

(22 เม.ย.66) ที่สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) พร้อมด้วยแกนนำพรรค นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะเลขาธิการพรรค นายวิรัช รัตนเศรษฐ รองหัวหน้าพรรค นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะรองหัวหน้าพรรค นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ในฐานะกรรมการบริหารพรรค ขึ้นรถไฟ ขบวนรถเร็ว 135 กรุงเทพมหานคร-อุบลราชธานี  ซึ่งเป็นขบวนรถไฟที่มีประชาชนทั่วไปร่วมโดยสารด้วย เดินทางไปปราศรัยหาเสียงจ.นครราชสีมา 

โดยพล.อ.ประวิตร สวมใส่เสื้อโปโลสีขาวทับด้วยเสื้อแจ็คเก็ตสีน้ำเงิน และใส่กางเกงยีนส์ มีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส อารมณ์ดี ซึ่งก่อนพล.อ.ประวิตร จะขึ้นรถไฟ ได้แวะทักทายประชาชนที่มาใช้บริการที่สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ รวมถึงมีแฟนคลับตะโกนให้กำลังใจว่า “ลุงป้อมสู้ๆ” และเมื่อพล.อ.ประวิตร ขึ้นมาถึงบริเวณชานชลา ได้เยี่ยมชมรางรถไฟ ก่อนจะเดินขึ้นขบวนรถไฟ และเดินสำรวจภายในขบวน พร้อมพูดคุยกับสื่อมวลชน

ผู้สื่อข่าวถามว่า ร้อนหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ไม่ร้อนเลย ขณะที่นายสันติ กล่าวว่า “สบายดีครับ”

'สันติ' จัดเต็ม!! ชูชุดนโยบายพลังประชารัฐแบบเต็มสูบ มั่น!! บัตรประชารัฐ 700 ผสาน 'อีสานประชารัฐ' พาเฮ!!

'สันติ' โชว์กึ๋น!! ยกนโยบายพลังประชารัฐ มุ่งมั่นแก้ปัญหาความยากจน ชู!! บัตรประชารัฐ 700 บาท พร้อมเผย 'อีสานประชารัฐ' เมกะโปรเจกต์หยุดแลนด์สไลด์ ช่วยประชาชนต้องอยู่ดี กินดี อย่างยั่งยืน

เรียกว่าเป็นอีกดีเบตเอาใจกองเชียร์ 2 ลุง (ป้อม-ตู่) แห่งพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กับ พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ที่มาแลกหมัดกันเอง ผ่านรายการ 'คมชัดลึก Debate แลกหมัดนโยบาย' เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2566

แน่นอนว่าทั้ง 2 พรรคนี้ ล้วนมีบุคลากรที่เคยอยู่ร่วมรัฐบาลเดียวกัน หากแต่ปัจจุบัน ต่างฝ่ายต่างก็เดินตามเส้นทางการเมืองของตนผ่านพรรคที่แตกต่าง เพียงแต่สิ่งที่น่าสนใจในวันนี้ คือ ในบางนโยบายอาจจะมีความเหมือนหรือคล้ายคลึงกัน จะแย่งฐานเสียงกันเองมากแค่ไหน? หรือไม่?

อย่างไรก็ตามจากดีเบตในครั้งนี้ ทาง THE STATES TIMES ได้ตามเกาะติดชุดนโยบายที่กำลังสร้างกระแสอย่างมากในช่วงนี้จาก 'พรรคพลังประชารัฐ' ที่ครั้งนี้ได้ นายสันติ พร้อมพัฒน์ เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ มาแสดงวิสัยทัศน์ ไว้ได้อย่างน่าสนใจ...

นายสันติ เปิดฉากในรายการว่า “หลายๆ ท่าน (2 พรรค) เคยอยู่ร่วมกัน แม้ตอนนี้ต้องแยกกันไปในทิศทางการเมืองของตน แต่สำหรับรวมไทยสร้างชาติ และท่านหัวหน้าพรรค พลเอกประยุทธ์ ก็เป็นที่เคารพรักของพี่น้องในพรรคพลังประชารัฐอย่างมาก แต่ว่าในเรื่องของการเมืองเป็นเรื่องของพี่น้องประชาชน ฉะนั้นในเมื่ออยู่คนละพรรคเราก็ขอมาช่วยกันรังสรรค์ นำเสนอนโยบายที่เป็นประโยชน์กับพี่น้องประชาชนเพื่อก้าวข้ามปัญหาต่างๆ

"อะไรที่สามารถสนับสนุนเพื่อช่วยเหลือ สร้างงาน สร้างอาชีพแก่พี่น้องประชาชนในบางส่วนที่เป็นกลุ่มเปราะบาง เราก็มีหน้าที่ที่จะต้องดูแล จุนเจือให้เขาสามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้ในอนาคต เพื่อให้พวกเขาได้ก้าวข้ามความยากจนให้ได้ ภายใต้นโยบายของแต่ละพรรค ที่มุ่งมั่นคิดถึงแต่ความอยู่ดีกินดีของประชาชน” 

เมื่อถูกถามว่า นโยบายของพรรค พปชร.ด้านใดที่กำลังมัดใจประชาชนได้ดีที่สุด? นายสันติ กล่าวถึงเรื่องบัตรสวัสดิการของพลังประชารัฐ ซึ่งมีรายละเอียดแตกต่างกันกับทางรวมไทยสร้างชาติ ว่า...

“จะพรรคไหนก็ตามแต่ หากมองเห็นว่าบัตรประชารัฐหรือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเป็นประโยชน์กับพี่น้องประชาชน เราก็ควรช่วยกันส่งเสริม ผมเองในฐานะที่อยู่กระทรวงการคลัง และเป็นประธานคณะกรรมการบัตรประชารัฐบัตรสวัสดิการแห่งรัฐมาก่อน มองเห็นมิติในเนื้อนโยบาย ระเบียบ และกฎเกณฑ์แบบรอบด้าน ซึ่งบัดนี้ได้ถูกพัฒนาและมีการปรับกฎเกณฑ์โดยพรรคพลังประชารัฐให้มีความทันสมัยขึ้น ดียิ่งขึ้น

"อย่างเช่น ค่าโดยสารในระบบขนส่งมวลชนของรัฐและเอกชนร่วม ซึ่งกำหนดไว้ให้ 750 บาทต่อเดือนมาตั้งแต่เมื่อวันที่ 1 เมษายน ที่ผ่านมานั้น ก็จะปรับขึ้นเป็น 1,500 บาท เพื่อให้พี่น้องประชาชนทั้งชาวต่างจังหวัดและชาวกรุงเทพฯ ได้ใช้บริการรถโดยสารหลากรูปแบบด้วยความเสมอภาค ทั้งรถตู้ รถไฟฟ้าบนดิน ใต้ดินหลากสี

"เช่นเดียวกันกับค่าครองชีพผู้ถือบัตรสวัสดิการ ที่เดิมจะอยู่ที่ 200-300 บาท ซึ่งไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพในยุคนี้แล้วนั้น ก็จะขยับเพิ่มเป็น 700 บาท โดยงบประมาณที่จะนำมาใช้เพื่อเพิ่มวงเงินในบัตรประชารัฐภายใต้พรรคพลังประชารัฐนั้น จะเป็นการนำมาจากงบประมาณในช่วง 3 เดือนสุดท้าย ของงบประมาณปี 2566 หลังจากได้รับเลือกตั้ง โดยจะมีผู้ได้รับสิทธิ์ ประมาณ 18 ล้านคน จากเดิมที่ปัจจุบันได้รับกันอยู่ราว 14.5 ล้านคน คาดว่าจะต้องใช้งบประมาณเดือนละ 1.2 หมื่นล้านบาท"

อย่างไรก็ตาม นายสันติ มองว่า พลังประชารัฐก็ไม่ได้มองว่าบัตรประชารัฐที่ถูกยกระดับเพื่อเติมให้แก่ประชาชนในกรอบ 22 ล้านคนบ้าง หรือ 14.5 ล้านคนบ้างนั้น จะถูกใช้เป็นกลไกเดียวในการช่วยเหลือปัญหาปากท้องประชาชน หากแต่ทางพรรคยังได้เตรียมแนวทางอื่นไว้อีกด้วย โดยเฉพาะแนวทางในการเร่งมอบเงินเพิ่มให้ในบัตรอีก 30,000 บาท แก่ผู้ที่ถือบัตรประชารัฐ ให้สามารถเอาไปเป็นเงินเพื่อสร้างงานสร้างอาชีพได้

"นอกเหนือจากการเพิ่มเงินให้ผู้ถือบัตรเป็น 700 บาทต่อเดือนเพื่อนำมาใช้จ่ายพยุงฐานะในครอบครัวให้สามารถมีความเป็นอยู่พอไปได้แล้วนั้น ทางพรรคพลังประชารัฐก็เตรียมทุนให้กับผู้ถือบัตรประชารัฐอีกคนละ 30,000 บาท ได้นำไปต่อยอด สร้างงาน สร้างอาชีพโดยนำทุนไปประกอบสัมมาอาชีพต่างๆ ได้ แต่เราไม่ได้ให้เปล่านะ เพราะเขาจะต้องมาฝึกอาชีพก่อน ไม่ว่าจะเป็นอาชีพขายก๋วยเตี๋ยว ขายอาหาร เปิดร้านของชำ เป็นเกษตรกร ปลูกพืชไร่ ปลูกผักปลูกผลไม้ อะไรต่างๆ เหล่านี้ พอเข้ามาฝึกแล้ว เราก็จะเติมทุนให้ เพื่อที่จะไปมีอาชีพ แล้วจะพ้นจากความยากจนต่อไป"

ไม่เพียงแค่นโยบายการเติมค่าครองชีพและต่อยอดอาชีพโดยพรรคพลังประชารัฐเท่านั้น นายสันติ ยังกล่าวถึงอีกแนวนโยบายสำคัญ ซึ่งถือเป็นไฮไลต์ที่จะช่วยพลิกความเป็นอยู่ของคนอีสานแบบขนานใหญ่ ผ่านโครงการเมกะโปรเจกต์แห่งภาคอีสานในชื่อ 'อีสานประชารัฐ' ผ่านเวทีแห่งนี้อีกด้วย

"สำหรับแรงผลักดันสำคัญของ 'อีสานประชารัฐ' นั้น ก่อนอื่นผมคงต้องเรียนแบบนี้ว่า โครงการดังกล่าวถูกคิดขึ้นมาจากท่านพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคของเรา หลังจากที่ท่านได้ลงไปทำงานดูแลเรื่องน้ำของทั่วประเทศ ไม่ว่าจะน้ำแล้ง หรือแม้แต่น้ำท่วมในภารเหนือ ภาคอีสาน ภาคใต้ ซึ่งท่านก็ไปแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำตลอดเวลา 4 ปีที่ผ่านมา รวมถึงการดูแลเรื่องที่ทำกินเรื่องที่ดิน ด้วยการนำที่ดินเสื่อมโทรมที่อยู่ในป่าสงวน มาทำเป็นเอกสารสิทธิให้พี่น้องประชาชนนำไปใช้เพาะปลูกเพื่อทำมาหากินหลายล้านไร่ โดยไม่ถูกส่วนราชการจับไปดำเนินคดี เหล่านี้เป็นแรงผลักดันที่ทำให้ท่านพลเอกประวัตร อยากเห็นโครงการที่จะช่วยพัฒนาโครงสร้างประเทศที่จะนำมาสู่ความยั่งยืนแก่ประชาชนและประเทศ

"อีสานประชารัฐ จึงเป็นโครงการที่ท่านต้องการพัฒนาให้พื้นที่ภาคอีสาน กลายเป็นพื้นที่สร้างอาชีพ สร้างงาน ให้คนถิ่น ได้ทำงานที่บ้านเกิด ซึ่งตนยังไม่เคยเห็นว่าพรรคไหนคิดในเรื่องของการพัฒนาภาคอีสานเพื่อให้พี่น้องประชาชนชาวภาคอีสานได้มีการสร้างงานสร้างอาชีพ ให้อยู่ดีกินดี เพิ่มทักษะความรู้ความสามารถแบบนี้ ยังไม่มีใครมีนโยบายเหล่านี้จริงๆ แต่พรรคพลังประชารัฐมีนโยบายเหล่านี้ นโยบายที่จะทำให้พี่น้องชาวอีสาน ได้สามารถประกอบสัมมาอาชีพได้อย่างเต็มที่ ทำจริง ทำทันที เพื่อคนอีสาน"


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top