Wednesday, 14 May 2025
SPECIAL

‘ชูวิทย์’ แฉหมดเปลือก เปิดตัวเลข ‘ซื้อเสียง’ สะท้านทุกภูมิภาค เผย ใช้ อสม.เป็น ‘ตัวกลาง’ ชี้!! รอบนี้หนักสุดในประวัติศาสตร์

(24 เม.ย. 66) นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์’ หัวข้อ ‘เลือกตั้งประเทศไทย 2566’ โดยมีเนื้อหาดังนี้…

“การเลือกตั้งครั้งนี้ มีการจ่ายเงินซื้อเสียงมากที่สุดในประวัติศาสตร์”

โดยใช้ อสม. (อาสาสมัครหมู่บ้าน) เป็น ‘ตัวกลาง’ ในการประสานงานกับชาวบ้าน ทั้งจดชื่อ แนะนำ แจ้งวิธีการจ่าย จำนวนเงิน ชวนให้ไปฟังปราศรัย พบปะผู้สมัคร ไปจนถึงการลงคะแนนในวันเลือกตั้ง

สรุปการจ่ายได้ดังนี้

1.) มัดจำด้วยวิธีการทยอยจ่าย เช่น 300 - 500 บาทต่อคน และอีกส่วนก่อนวันเลือกตั้ง

2.) จ่ายเพื่อให้มาร่วมฟังนโยบายแบบวงย่อย ได้คนละ 100 - 300 บาท

3.) จ่ายเพื่อให้ไปฟังปราศรัยใหญ่ 300 - 500 บาท เป็นการเกณฑ์คนมาฟังเพื่อแสดงให้ดูกำลังของพรรค และ ส.ส.

4.) การเช็คจำนวนคนที่ลงคะแนน เนื่องจากในแต่ละหน่วยเลือกตั้งมีจำนวนคนไม่มาก เงินที่จ่ายให้ชาวบ้านจึงเบี้ยวยาก

5.) การให้ไม่ได้หมายความว่าจะได้แน่นอน เพราะคู่แข่งขันอาจให้มากกว่า เช่น ตั้งเป้าให้ 1,000 ต่อหัว แต่ไปเจอคู่แข่งให้ 1,500 หรือเกทับกลับไป 2,000 ก็มี

ชาวบ้านจึงรับเงินฟรีแต่ไม่กา ไปกาให้อีกฝั่ง อย่างนี้ไม่ผิด ไปว่าชาวบ้านไม่ได้

ราคาดังกล่าวเป็นราคาในภาคอีสาน เหนือ ส่วนภาคกลางที่มีการต่อสู้หนัก ราคาไหลไปสูงกว่านั้น ไฮไลต์อยู่ที่ภาคใต้ ราคาเฉลี่ย 2,000 ต่อหัวอย่างต่ำ โดยที่จ่ายสูงสุด คือ จังหวัดภูเก็ตราคาอยู่ที่ หัวละ 3,000 บาท ในขณะนี้

ชาวบ้านมองการเลือกตั้งคือการเทศกาลจ่าย เงินสะพัด เป็นการคืนกำไรที่โกงกลับมาให้ หรือเป็นการจ่ายเพื่อลงทุนในการเป็น ส.ส.การเมืองไทยจึงเปรียบเสมือนธุรกิจ ที่ต้องใช้เงินจ่ายค่า ‘สัมปทาน’ ในการผ่านเข้าไปสู่ระบบ ส.ส.ตามขั้นตอน

หากพรรคกลายเป็นตัวแปรหลังคะแนนออก การจับคู่เจรจาตำแหน่งเจ้ากระทรวงจะมีกำลังเพิ่มเป็นโบนัสชิ้นใหญ่ พรรคการเมืองกลับคำได้หมด ไม่สนที่ปราศรัยไว้ตอนหาเสียง เพราะต้องเสียสัตย์เพื่อชาติ ต่อรองเอากระทรวงที่มีโครงการมาก มีงบมาก เช่น กระทรวงมหาดไทย กระทรวงคมนาคม ส่วนพรรคเล็กได้ ส.ส.ไม่มาก ได้กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงอุดมศึกษาฯ

โดยเฉลี่ย มี ส.ส. ในมือ 7 คนได้รัฐมนตรี 1 ตำแหน่ง แต่ขึ้นอยู่กับพรรค และการต่อรองเป็นหลัก

อย่างพรรคภูมิใจไทยที่ได้ทั้งกระทรวงมหาดไทย และกระทรวงคมนาคมในช่วงรัฐบาลอภิสิทธิ์เมื่อปี 2552 เพราะเนวินยอมหัก ‘นายเก่าทักษิณ’ ให้อภิสิทธิ์ได้เป็นนายกฯ กระทรวงทำเงินจึงตกอยู่กับพรรคภูมิใจไทยหมด

จนกระทั่งเมื่อ 4 ปีที่แล้ว รัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ยังอ่อนประสบการณ์เจรจาจัดตั้งรัฐบาล ห่วงแต่จะเป็นนายกฯ และเน้นเอาเฉพาะกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง และเศรษฐกิจ จึงเสียกระทรวงคมนาคมไปให้พรรคภูมิใจไทย กระทรวงสาธารณสุขก็จะเอา เพราะต้องผลักดันนโยบายกัญชาเสรี

สงครามยังไม่จบ!! 'ลุงตู่' ไม่ถอดใจ ก้มหน้าก้มตาเก็บปาร์ตี้ลิสต์อีสาน

ส่องแนวรบพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) วันนี้ ส่วนใหญ่ยังสู้สุดตัว แต่หลายคนในกทม.เริ่มแอบออกอาการถอดใจ...ก็อยากจะบอกว่า...สงครามยังไม่จบอย่าเพิ่งนับศพทหาร...

การเลือกตั้งยังไม่ถึงเจ็ดวันสุดท้ายอย่าเพิ่งถอดใจ...แบบว่า “เลือกความสงบจบที่ลูงตู่” เวอร์ชั่นใหม่อาจเกิดขึ้นก็ได้ แม้วันนี้เจ้าของวลีดังกล่าวคือ พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ ต้องไปทำหน้าที่ตอกเสาเข็มอยู่ที่พรรคภูมิใจไทยเสียแล้วก็ตาม...

ตัวเลขเฉลี่ยที่โพลสำนักต่างๆ ระบุจำนวนที่นั่งของพรรครทสช...ในสนามกทม.อยู่ที่ 3-4 ที่นั่ง จากทั้งหมด 33 เก้าอี้...เล็ก เลียบด่วน ก็เห็นด้วยกับตัวเลขนี้

ในขณะที่ตัวเลขรวมทั้งประเทศของพรรครทสช.นั้น ดูจาก 3 โพล ก็ยังบอกอาการที่ไม่ชัดเจนนักว่าสุดท้ายจะเป็นอย่างไร...ซึ่ง เล็ก เลียบด่วน ใคร่ขอยกตัวเลขคะแนนปาร์ตี้ลิสต์ 16 ที่นั่ง ที่คาดว่าพรรค รทสช.จะได้ ไปรวมกับ ส.ส.เขต ที่แต่ละโพลสำรวจไว้จะออกเป็นจำนวน ส.ส.ทั้งหมดดังนี้...

>> ซูเปอร์โพล 51 ที่นั่ง (35+16)
>> เนชั่น โพล 37 ที่นั่ง (21+16)
>> โพลความมั่นคง 69 ที่นั่ง  (53+16)

ดูจาก 3 โพลก็ต้องบอกว่า...โพลใครก็โพลใคร...'เล็ก เลียบด่วน' ก็แอบทำโพลตัวเองแปะข้างฝาไว้เหมือนกันว่า นาทีนี้พรรคลุงตู่คะแนนอยู่ที่ประมาณ 56 ที่นั่ง ส.ส.เขต 40 บัญชีรายชื่อ 16 ในจำนวนนี้ ส.ส.เขต 40 คน นี้คาดหมายว่าจะมาจากภาคอีสานเพียงคนเดียวคือ ถ้าไม่จากจังหวัดเลยของครอบครัวเร่งสมบูรณ์สุข ก็อาจจะเป็น กำนันประนอม โพธิ์คำ เขตวังน้ำเขียว โคราช...

น่าเสียดายที่ 20 จังหวัด 133 เขตในดินแดนที่ราบสูง พรรครวมไทยสร้างชาติไม่สามารถดึงอดีตส.ส.เกรดเอมาร่วมทัพได้ ที่พอมีลุ้นอยู่บ้างก็กลายเป็นผู้สมัครที่มาจาก ส.จ.และนักธุรกิจ เช่นที่ เขต 1, เขต 2 อุดรธานี เขต 4 สกลนคร ดังนั้นวันนี้ 24 เม.ย.2566 จึงไม่แปลกที่ 'ลุงตู่' จะนำคณะชุดใหญ่ไฟกระพริบลุยพบปะประชาชน 2-3 จุด...ที่อุดรฯ เมืองหลวงของคนเสื้อแดง  

‘ปชป.’ หนุนปลดล็อก ‘เซ็กซ์ ทอย’ ดันเป็นสินค้าควบคุมพิเศษ หวังแก้ปัญหาอาชญากรรมทางเพศ-สร้างเม็ดเงินจากอุตสาหกรรม

(24 เม.ย. 66) น.ส.รัชดา ธนาดิเรก กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) และผู้สมัคร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ เปิดเผยว่า ปัจจุบันประเทศไทยกำหนดให้ ‘เซ็กซ์ ทอย’ (Sex Toy) หรืออุปกรณ์เพิ่มความสุขทางเพศ เป็นสินค้าต้องห้าม เป็นสิ่งที่ถูกมองว่าเข้าข่ายลามกอนาจาร เป็นอันตรายต่อสังคมและศีลธรรม รวมถึงถูกตีความเป็นวัตถุผิดกฎหมายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 287 และถูกจัดให้เป็นวัตถุที่เป็นของต้องห้ามตามความหมายในพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ศุลกากร พ.ศ.2560

แต่เนื่องจาก ยังมีผู้ที่ต้องการสินค้าดังกล่าว จึงเกิดการลับลอบซื้อขายสินค้าชนิดนี้ ซึ่งไม่เพียงทำให้ภาครัฐต้องสูญเสียรายได้จากการจัดเก็บภาษีสินค้า แต่ยังนำไปสู่ปัญหาการทุจริตของเจ้าหน้าที่รัฐบางส่วนที่ฉวยโอกาสเรียกรับสินบน ทำให้ไม่สามารถควบคุมคุณภาพและความปลอดภัยของสินค้าดังกล่าว เพราะเซ็กซ์ทอยที่มีจำหน่ายกันอยู่นั้นไม่มีความปลอดภัย เกิดปัญหาไฟฟ้าลัดวงจร หรือผู้ใช้เกิดการติดเชื้อ

“ที่จริงเซ็กซ์ทอยเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการผ่อนคลายอารมณ์ ลดความเครียด หรือใช้ในการกระตุ้นความรู้สึกทางเพศ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้ผู้ที่มีปัญหาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ รวมถึงเป็นสิ่งที่ช่วยลดการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ได้เช่นกัน โดยเซ็กซ์ทอยมีรูปร่างแตกต่างกันไปตามวิธีการใช้งาน อาทิ ไวเบรเตอร์ ตุ๊กตายาง ดิลโด นอกจากนี้ เซ็กซ์ทอยยังมีประโยชน์ด้านสังคม เพราะสินค้าประเภทนี้จะสามารถลดการค้าบริการ และปัญหาการหย่าร้างจากความต้องการทางเพศที่ไม่สมดุล ที่สำคัญจะมีส่วนช่วยลดอัตราการก่ออาชญากรรมทางเพศ ซึ่งในประเทศไทย สถิติคดีการล่วงละเมิดทางเพศและคดีอาชญากรรมทางเพศ เฉลี่ย 5 ปี ของคดีข่มขืนเฉพาะที่มีการแจ้งความ เกิดคดีข่มขืนปีละประมาณ 4,000 คดี จับคนร้ายได้ 2,400 คดี แต่เมื่อมีการทำวิจัย กลับได้ข้อสรุปว่า มีคดีข่มขืนที่ไม่ได้แจ้งความประมาณร้อยละ 87 ซึ่งหมายความว่า 1 ปี อาจมีการก่อคดีข่มขืนในไทยมากถึง 30,000 คดี” น.ส.รัชดา กล่าว

เปิดตัวขุนพล ‘พรรคใหญ่’ ชิงชัยเก้าอี้ ส.ส. นครพนม ใครได้หมายเลขไหน? อย่าจำผิด!!

สำหรับ 4 เขตของจังหวัดนครพนม ตามการแบ่งเขตของ กกต. มีดังนี้ 

>>เขต 1 อำเภอศรีสงคราม อำเภอนาหว้า อำเภอบ้านแพง อำเภอนาทม

>>เขต 2 อำเภอเมืองนครพนม (เฉพาะเทศบาลเมืองนครพนม, ตำบลท่าค้อ, ตำบลนาราชควาย,  ตำบลหนองญาติ และตำบลอาจสามารถ) อำเภอท่าอุเทน อำเภอโพนสวรรค์

>>เขต 3 อำเภอเมืองนครพนม (เฉพาะตำบลขามเฒ่า, ตำบลคำเตย, ตำบลนาทราย, ตำบลดงขวาง, ตำบลบ้านกลาง และตำบลโพธิ์ตาก) อำเภอธาตุพนม อำเภอเรณูนคร

>>เขต 4 อำเภอเมืองนครพนม (เฉพาะตำบลกุรุคุ, ตำบลบ้านผึ้ง และตำบลวังตามัว) อำเภอนาแก อำเภอปลาปาก อำเภอวังยาง

‘ปชป.’ เปิดเวทีปราศรัยใหญ่ กทม.ครั้งที่ 2 อ้อน ปชช.กาเบอร์ 26 ด้าน ‘ชวน’ ลั่น!! ต้องมีศักดิ์ศรี พร้อมเป็นได้ทั้ง ‘ฝ่ายค้าน-รัฐบาล’

เมื่อวันที่ 23 เม.ย. 66 ที่ลานอนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช วงเวียนใหญ่ พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) เปิดปราศรัยใหญ่ครั้งที่ 2 ใน กทม.ให้กับผู้สมัคร ส.ส.ทั้ง 33 เขต

นายชวน หลีกภัย อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ปราศรัยว่า เราอย่าไปคิดว่าเข้าไปในสภาฯ แล้วจะเป็นรัฐบาลอย่างเดียว ถ้าเราไม่สามารถร่วมรัฐบาลหรือเป็นรัฐบาลได้ ก็ต้องพร้อมเป็นฝ่ายค้าน ไม่ใช่ว่าพระมาชวนเป็นรัฐบาลก็ไปร่วมเป็นกับพระ โจรมาชวนร่วมรัฐบาลก็ร่วมกับโจรไม่ใช่อย่างนั้น ต้องมีเกียรติมีศักดิ์ศรีดำรงตนอยู่ในกระบวนการประชาธิปไตย

นายชวน กล่าว่า มีคนดีอยู่ในพรรคการเมืองทุกพรรค ไม่ไปประณามใคร แต่ก็มีคนร้ายอยู่ทั่ว ๆ ไป เราในฐานะประชาชนในระบบนี้มีสิทธิเลือกรัฐบาลที่ดี โดยเลือกคนดีเข้าไปเป็นผู้แทน เพราะระบบนี้ผู้แทนเสียงข้างมากได้ตั้งรัฐบาล ถ้าผู้แทนเสียงข้างมากมาจากการโกง ซื้อเสียง ทุจริต เราก็จะได้รัฐบาลโกง รัฐบาลทุจริต เป็นสูตรว่ามาอย่างไรต้องไปอย่างนั้น เห็นเหตุผลที่ไม่มีทางเป็นอย่างอื่นได้เลย เราจึงต้องช่วยกันรณรงค์ และขอให้ประชาชนเชื่อมั่นพรรคที่เป็นหลัก ยึดมั่นในความถูกต้อง ไม่เช่นนั้นเราไม่อยู่มาได้ทุกวันนี้ 77 ปี

‘พิธา-อภิสิทธิ์’ ลั่น!! พร้อมดันกระทรวงเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ปลดล็อก 'เสรีภาพ-สวัสดิการ-สนับสนุน' งานครีเอทีฟ

‘พิธา-อภิสิทธิ์’ ชู ‘6 เปลี่ยน’ รัฐบาลก้าวไกลดันเศรษฐกิจสร้างสรรค์ทุกมิติ เปลี่ยนกระทรวงวัฒนธรรมเป็นกระทรวงเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ปลดล็อกเสรีภาพ-สวัสดิการ-การสนับสนุน ศิลปินหลายแวดวงร่วมแลกเปลี่ยน

(23 เม.ย.66) พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และอภิสิทธิ์ ไล่สัตรูไกล ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เปิดเวที 'Future of Creative Economy เปิดอนาคตเศรษฐกิจสร้างสรรค์' ที่ชั้น 5 Creative Space สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ บางรัก

พิธา กล่าวว่า ตนเคยมีประสบการณ์สั้นๆ ในวงการเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ลองทำมาแล้วหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น งานดนตรี งานโฆษณา งานภาพยนตร์ หรืองานเขียนหนังสือ พบว่าเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของไทยมีศักยภาพที่จะเติบโตได้กว่านี้อีกมาก คนไทยมีความคิดสร้างสรรค์สูงมาก แต่มีบางสิ่งที่เป็นข้อจำกัดทำให้ศักยภาพเหล่านั้นไม่ถูกปลดปล่อยอย่างเต็มที่ ทั้งเรื่องสวัสดิการของคนทำงานในกองถ่าย การสนับสนุนจากรัฐ และสิทธิเสรีภาพของผู้ผลิตผลงาน

“งบประมาณของประเทศกว่า 3.3 ล้านล้านบาท มีคำว่าซอฟต์พาวเวอร์อยู่ในงบประมาณเพียง 80 ล้านบาทเท่านั้น จากงบกระทรวงวัฒนธรรม 7,000 ล้านบาท มีเพียง 150 ล้านบาทเท่านั้นที่มีไว้สำหรับศิลปะร่วมสมัย สรุปว่าประเทศไทยเต็มไปด้วยคนที่ทำงานสร้างสรรค์ แต่ขาด 3 ส. ได้แก่ เสรีภาพ, สวัสดิการ และสนับสนุน การสร้างพลังเศรษฐกิจสร้างสรรค์ได้จริงๆ เราจึงต้องการพรรคการเมืองที่กล้าคิดนอกกรอบและเข้ามาทำเรื่องนี้อย่างจริงจัง” พิธากล่าว

จากนั้น อภิสิทธิ์ ไล่สัตรูไกล ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ และเป็นหนึ่งในทีมเศรษฐกิจพรรคก้าวไกลได้ร่วม อภิปราย พร้อมยกแนวทาง 6 เปลี่ยนเพื่อเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของไทย

1. เปลี่ยนกระทรวง ‘วัฒนธรรม’ เป็นกระทรวง ‘เศรษฐกิจสร้างสรรค์’ ยกระดับเศรษฐกิจสร้างสรรค์เป็นนโยบายระดับชาติ การปรับกลไกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อทำงานตอบโจทย์ของประเทศ
2. สร้างสวัสดิการแรงงานสร้างสรรค์ก้าวหน้า รัฐบาลสมทบเงินประกันสังคม และให้สิทธิเสรีภาพในการจัดตั้งสหภาพแรงงานสร้างสรรค์
3. ตั้งกองทุนสร้างสรรค์เพื่อเปิดโอกาสในการทำงานใหม่ๆ ส่งเสริมและอุดหนุนส่งผลงานเข้าประกวด และมีทุนกู้ยืมเพื่อทดลองทำผลงาน รวมถึงมีแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำเพื่อประกอบธุรกิจตั้งต้น
4. คุ้มครองเสรีภาพในการแสดงออก แก้ไข พ.ร.บ.เซ็นเซอร์, พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์, และกฎหมายปิดกั้นสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกอื่นๆ รวมถึงทลายทุนผูกขาดในอุตสาหกรรมและผลักดันให้ขอใบอนุญาตได้รวดเร็วและเป็นธรรม
5. ลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน เพิ่มพื้นที่สร้างสรรค์ในระดับจังหวัด เปิดโอกาสให้ทำสิ่งที่รัก สิ่งที่ชอบในทุกพื้นที่ การสร้างห้องทดลองในการทดสอบรับรองมาตรฐานคุณภาพและเพิ่มศักยภาพของการผลิตสินค้าท้องถิ่น
6. เลือกตั้งผู้ว่าฯ ทุกจังหวัด ให้ได้คนที่เข้าใจวัฒนธรรมท้องถิ่นแต่ละที่จริงๆ ได้พัฒนาศักยภาพของบ้านเกิดตัวเอง

‘ปชป.’ ปราศรัยวงเวียนใหญ่ ประกาศยุทธศาสตร์ 20 วันสุดท้ายก่อนเลือกตั้ง ชูนโยบาย ‘4 ทำ 3 ไม่’ มั่นใจ!! แลนด์สไลด์ไม่มีอยู่จริง

(23 เม.ย.66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) บัตรสีเขียว เบอร์ 26 จัดเวทีปราศรัยใหญ่ที่บริเวณลานพระบรมราชานุสาวรีย์พระเจ้าตากสินมหาราช วงเวียนใหญ่ กรุงเทพมหานคร โดยมีแกนนำพรรค เข้าร่วมการปราศรัยเป็นจำนวนมาก ตั้งแต่ นายชวน หลีกภัย อดีตหัวหน้าพรรค และอดีตประธานรัฐสภา นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรค นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน เลขาธิการพรรค นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรค น.ส.วทันยา บุนนาค ประธานคณะทำงานนวัตกรรมการเมือง กทม. ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ประธานคณะทำงานนโยบาย กทม. พร้อมด้วยแกนนำและผู้สมัคร ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ ทั้ง 33 เขต เข้าร่วมเวทีอย่างคับคั่ง โดยมี นางดรุณวรรณ ชาญพิพัฒนชัย รองโฆษกพรรค เป็นพิธีกร

สำหรับบรรยากาศรอบบริเวณลานพระบรมราชานุสาวรีย์พระเจ้าตากสินมหาราช วงเวียนใหญ่ มีพี่น้องประชาชนชาวกรุงเทพฯ ทั้งจากฝั่งพระนครและฝั่งธนบุรี รวมถึงบรรดาแฟนคลับ และผู้สนับสนุนพรรคเดินทางร่วมรับฟังปราศรัยอย่างหนาแน่นคับคั่งเต็มพื้นที่

นายองอาจ ขึ้นเวทีเป็นคนแรก เริ่มปราศรัยว่า เหลือเวลาอีก 20 วันจะถึงวันเลือกตั้ง มีคนจากทั่วสารทิศบอกกับพวกเราว่า การเลือกตั้งปี 2562 จะไม่ได้เลือกประชาธิปัตย์ แต่การเลือกตั้งครั้งนี้พี่น้องประชาชนจะเลือกพรรคประชาธิปัตย์ เบอร์ 26

“จากการเดินสายหาเสียงทั่วประเทศ พี่น้องจากทั่วสารทิศบอกว่า คราวนี้ประชาธิปัตย์นอนมา ขอให้นอนมาดีๆ อย่าให้มีพระนำหน้า แล้วขอให้มีพี่น้องประชาชนนำหน้าพวกเราเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎร” นายองอาจ กล่าว

ขณะที่ นายจุรินทร์ ขึ้นปราศรัยประกาศยุทธศาสตร์ใน 20 วันสุดท้ายก่อนถึงวันเลือกตั้ง “4 ทำ 3 ไม่” มั่นใจแลนด์สไลด์ไม่มีอยู่จริง และขอให้พี่น้องประชาชนเลือกพรรคการเมืองที่เป็นสถาบันทางการเมือง

สำหรับยุทธศาสตร์ 4 ทำ คือ 1.ประชาธิปัตย์จะทำประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ให้มีความเข้มแข็งยั่งยืนต่อไป และสนับสนุนให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยยิ่งขึ้น เพื่อเดินหน้าไปสู่ประชาธิปไตยเต็มใบ โดยไม่หมวด 1 และหมวด 2 ที่ว่าด้วยสถาบันพระมหากษัตริย์ 2.ผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ต้องมีเงื่อนไข 2 ข้อ 

1 ต้องได้รับเสียงข้างมากในที่ประชุมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภารวมกัน เกิน 376 เสียงจาก 750 เสียง 

2 ต้องมีเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนด้วย เพื่อให้นายกรัฐมนตรีคนใหม่มีเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร เพราะถ้าได้เป็นนายกรัฐมนตรีจากที่ประชุม 2 สภา แต่มีเสียงน้อยในสภาผู้แทนราษฎร ก็จะทำให้เป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย สุดท้ายก็จะบริหาร ประเทศไม่รอด

3.นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมเป็นนายกรัฐมนตรี และ 4.ประชาธิปัตย์จะจัดการกับปัญหายาเสพติดที่คุกคามสังคมไทยให้สิ้นซากโดยเร็วที่สุด ด้วยยุทธศาสตร์ตาต่อตาฟันต่อฟัน และประชาธิปัตย์สนับสนุนกัญชาทางการแพทย์แต่ไม่เอากัญชาเสรี

'ดร.หิมาลัย' จวก 'นักข่าวต่างชาติ' ไร้มารยาท ยิงคำถามยั่วยุ 'บิ๊กตู่' ตอกกลับ!! แบบนี้คนไทยเรียก “สำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุล”

จากกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ซึ่งได้ลาราชการเพื่อลงพื้นที่ จ.เชียงใหม่ เพื่อขอเสียงสนับสนุนเลือกผู้สมัครของพรรค และเลือกพรรคเบอร์ 22 เมื่อ 21 เม.ย. 66 ที่ผ่านมา โดยช่วงหนึ่งมีกลุ่มนักข่าว ทราบภายหลังว่ามาจากสื่อต่างชาติ ได้พยายามถาม พล.อ.ประยุทธ์ว่า 8 ปี มีกระแสที่ต้องการให้นายกฯ ออกไป และยังสอบถามอีกว่าเลือกตั้งครั้งนี้มีกระแสข่าวว่านายกฯ ไม่ยอมให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ทำไม่ถึงไม่ยอมให้เกิดการเปลี่ยนแปลง พล.อ.ประยุทธ์ ปฏิเสธตอบคำถามดังกล่าว ก่อนเดินเลี่ยงไม่ตอบคำถาม
.
แต่กลุ่มนักข่าวต่างชาติดังกล่าว ยังไม่ยอมหยุด และวิ่งไล่ตาม ตะโกนโหวกเหวก ส่งเสียงดัง แบบไม่มีมารยาทแม้ว่าพลเอกประยุทธ์ได้พยายามเดินหลบแล้ว อาจมองได้ว่าเป็นการจงใจยั่วโมโห แถมยังถามย้ำ แบบจงใจให้เกิดปัญหา ด้วยคำถามว่า Many people said , it’s the time to change, this election is never change. Why you don’t let people have time to change? Prime Minister, Thai people wanna change, why don’t you let Thai people give a chance to chance in this country? 

พร้อมทั้งสุภาพสตรีท่านนึงใน กลุ่มนักข่าวต่างชาตินี้ ถามเป็นภาษาไทยใจความว่าเหมือนกับคำถามภาษาอังกฤษซ้ำ อีกครั้งว่า “คนไทยต้องการ การเปลี่ยนแปลง, มีคนอยากให้ท่านออก ทำไมไม่ยอมให้เกิดการเปลี่ยนแปลง”

อย่างไรก็ดี ด้วยวุฒิภาวะ ของพล.อ.ประยุทธ์ ที่มีมากพอ จึงไม่ได้ตอบโต้ หรือทำให้เรื่องบานปลาย เดินหลีกเลี่ยง และเพียงแต่ตอบกลับไปเบาๆ ว่า “Election” เท่านั้น

ต่อเรื่องนี้ ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ผู้ประสานงานพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้แสดงทรรศนะว่า ในฐานะที่ตนเองอยู่ในเหตุการณ์ในขณะนั้นด้วย โดยส่วนตัวมองว่า การถามคำถามดังกล่าว เป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง เนื่องจากพลเอกประยุทธ์ อยู่ระหว่างการลงพื้นที่เพื่อช่วยหาเสียงตามแนวทางของการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย แต่คำถามของกลุ่มนักข่าวต่างชาติ กลุ่มนี้ เหมือนคนที่ไม่ยอมเข้าใจ หรือ ไม่รู้ว่าบริบทของประเทศไทยในขณะนี้ว่ากำลังจะมีการเลือกตั้ง ทั้งๆ ที่ได้ยุบสภา และ ขณะนี้อยู่ในระหว่างหาเสียงเลือกตั้ง ซึ่งคนไทย จะตัดสินใจกันเองได้ ในวันเลือกตั้งที่ 14 พ.ค. นี้ ซึ่งการถามแบบนี้ ถือว่า กลุ่มนักข่าวต่างชาติ ถามคำถามที่ ด้อยค่าตัวเอง แบบคนไม่มีความรู้

‘บิ๊กตู่’ เตรียมนำทัพ รทสช. บุกอุดรฯ ตั้งเวทีปราศรัย 24 เม.ย. นี้ ก่อนลงใต้หาเสียง 29-30 เม.ย. จัดว่าตารางแน่น!!

(23 เม.ย.66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับความเคลื่อนไหวของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ในฐานะประธานคณะกรรมการกำหนดแนวทางและยุทธศาสตร์พรรค และแคนดิเดตนายกฯ พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) หลังจากช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ใช้เวลาลงพื้นที่หาเสียงติดต่อกัน ทั้งที่ จ.กรุงเทพมหานคร, จ.เชียงใหม่, จ.พิษณุโลก, จ.อุตรดิตถ์ และ จ.แพร่

ขณะที่วันที่ 24 เม.ย.นี้ พล.อ.ประยุทธ์ มีกำหนดเดินทางลงพื้นที่หาเสียงที่ จ.อุดรธานี โดยทันทีที่เดินทางถึง พล.อ.ประยุทธ์ จะเข้ากราบสักการะหลวงปู่แก้ว วัดอัมพวันวิทยาราม อ.กุดจับ เพื่อความสิริมงคล จากนั้นเดินทางไปเวทีปราศรัยจุดแรกที่หอประชุม อ.กุดจับ จากนั้นช่วงบ่ายจะเดินทางไปปราศรัยจุดที่ 2 ที่สวนสาธารณะหนองไผ่ ต.หนองเม็ก อ.หนองห่าน และปราศัยจุดที่ 3 ที่ห้องสยามมนตรา โรงแรมสยามแกรนด์ อ.เมือง และจะเดินทางไปยังสนามบินนานาชาติอุดรธานี โดยจะมีประชาชนเดินทางมาให้กำลังใจก่อนเดินทางกลับ กทม.ทั้งนี้ จ.อุดรธานี ถือเป็นฐานเสียงสำคัญพรรคเพื่อไทย (พท.)

ขณะที่ช่วงระหว่างวันที่ 29 - 30 เม.ย.ที่จะถึงนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จะลงพื้นที่หาเสียงภาคใต้ โดยช่วงเช้าวันที่ 29 เม.ย. ลงพื้นที่ จ.ตรัง ช่วงบ่ายปราศรัยที่ จ.พัทลุง และพักค้างคืนที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา จากนั้นวันที่ 30 เม.ย.ช่วงเช้า ลงพื้นที่หาเสียงที่ จ.สตูล ช่วงบ่าย จ.สงขลา และในช่วงเย็นปราศรัยที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา


ที่มา : https://www.naewna.com/politic/726200

‘สืบนครบาล’ เผย รวบแล้ว ‘แก๊งอุ้มขแมร์’ ค้นบ้านขู่กรรโชกเงิน 3.1 ลบ. ชี้ ใช้วิธีแอบอ้างเป็น กอ.รมน.-เจ้าหน้าที่กองปราบ

(23 เม.ย.66) เพจ ‘สืบนครบาล’ โพสต์คลิปวิดีโอ ความยาว 51 วินาที เผยให้เห็นชายกลุ่มหนึ่ง เดินอยู่ในบ้านหลังหนึ่ง โดยแต่งตัวคล้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งพบว่าหนึ่งในกลุ่มคนที่แต่งกายคล้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจเดินถือถุงกระดาษที่ภายในบรรจุเงินกว่า 3 ล้านบาทออกมาจากบ้านด้วย

โดยได้ระบุข้อความว่า “คลิปวงจรปิด…มัดตัว! กองปราบเก๊ กับ กอ.รมน.ปลอม ร่วมกรรโชกเงินจำนวน 3.1 ล้านบาท

สืบนครบาล สืบ บก.น.4 และ สน.หัวหมาก ร่วมกันจับกุมผู้ต้องหากรรโชกเงินจำนวน 3.1 ล้านบาท นำส่ง สน.หัวหมาก ดำเนินคดี

ผบช.น. สั่งประสานหน่วยงานที่ถูกแอบอ้างขยายผลถึงที่สุด”

อย่างไรก็ตาม ล่าสุดในวันเดียวกันนี้ ทางเพจสืบนครบาล ได้รายงานเพิ่มเติมว่าสามารถจับตัวกลุ่มผู้ก่อเหตุได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยได้ระบุข้อความว่า

“สืบนครบาล ร่วม สืบ บก.น. 4 และ สืบ สน.หัวหมาก รวบ “แก๊งอุ้มขแมร์” แอบอ้างเป็น กอ.รมน. และกองปราบ ค้นบ้านกรรโชกเงิน 3.1 ล้านบาท

โดยเมื่อวันที่ 11 เม.ย. 66 เวลาประมาณ 12.30 น. ขณะที่ผู้เสียหายได้พักอาศัยอยู่ที่บ้านพักที่เกิดเหตุ ได้มีชายจำนวน 4 คน แอบอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่กอ.รมน. และเจ้าหน้าตำรวจกองปราบ มาขอทำการตรวจค้นบ้านหลังที่เกิดเหตุ และได้แจ้งแก่ผู้เสียหายว่าได้กระทำความผิดฐาน ยักยอก ต่อมาได้เรียกรับเงินจากผู้เสียหายเป็นจำนวนเงิน 3,100,000 บาท หลังจากนั้นได้หลบหนีไป

จนกระทั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจทำการพิสูจน์ทราบตัวบุคคลที่ร่วมกันก่อเหตุและทำการจับกุมผู้ต้องหา 3 ราย ได้แก่ นาย นายยะฝาด (สงวนนามสกุล) อายุ 59 ปี, นาย ธนพัฒน์ (สงวนนามสกุล) อายุ 26 ปี, และ นาย ธนมงคล (สงวนนามสกุล) อายุ 38 ปี พร้อมของกลางเป็นทองคำรูปพรรณน้ำหนักรวม 9 บาท และเงินสด 250,000 บาท โดยในชั้นจับกุม ผู้ต้องหาทั้ง 3 คนให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา”


ที่มา : https://mgronline.com/onlinesection/detail/9660000037453

‘รถหาเสียง’ ผู้สมัคร ส.ส. ‘ก้าวไกล’ นครปฐม เสียหลักพุ่งตกคลอง!! หลังมีรถตัดหน้ากะทันหัน โชคดี คนขับปลอดภัย

(23 เม.ย.66) ที่ จ.นครปฐม นายสาโรจน์ จุ้ยเจริญ ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) เขต 5 นครปฐม พรรคก้าวไกล เปิดเผยกับ ‘มติชน’ ว่าได้รับแจ้งจาก นางพีรยา หรือ เจ๊แต๋ว อายุ 62 ปี คนขับรถประชาสัมพันธ์พรรคก้าวไกลและผู้สมัคร ส.ส.ของตนว่าเกิดอุบัติเหตุรถกระบะที่ใช้เป็นรถประชาสัมพันธ์เสียหลักตกลงไปในคลองชลประทานบางปลา-ลำพญา ต.บางระกำ อ.บางเลน จ.นครปฐม ได้รับความเสียหาย จึงได้ประสานทีมงานเข้าไปช่วยดูแล เบื้องต้นทราบว่ารถยนต์ได้รับความเสียหาย น้ำเข้ารถและเครื่องยนต์ ส่วนคนขับปลอดภัย

ด้านนางพีรยา หรือเจ๊แต๋ว กล่าวว่า ขับรถคันดังกล่าวตั้งแต่วันที่ 10 เมษายน ใช้เส้นทางเลียบคลองชลประทานบางปลา-บางระกำ จากบ้านเพื่อไปประชาสัมพันธ์หาเสียงให้พรรคก้าวไกลและนายสาโรจน์เป็นประจำ ซึ่งวันนี้เป็นวันอาทิตย์มีตลาดนัดเช้าที่วัดกลางบางพระจึงออกเช้ากว่าปกติ โดยใช้เส้นทางเลียบคลองชลประทาน

นางพีรยากล่าวว่า เมื่อมาถึงซอยลำพญา ซอย 6 ต.บางระกำ อ.บางเลน มีรถกระบะสีดำสภาพเก่าวิ่งพุ่งออกมาจากซอยกะทันหัน จึงตกใจเบรกอย่างแรงทำให้รถเสียหลักตกลงข้างทางไถลลงคลองชลประทานที่มีน้ำเต็มคลอง ขณะนั้นตกใจมากประตูเปิดไม่ออก หมุนกระจกลงอย่างเร็วแล้วรีบปีนออกทั้งที่น้ำก็พุ่งเข้ารถ โชคดีที่เป็นรถรุ่นเก่า เป็นระบบกระจกหมุนมือ ถ้าเป็นไฟฟ้าคงสบายไปแล้ว

นางพีรยากล่าวอีกว่า เมื่อออกจากรถได้รีบขึ้นมาบนคันคลอง มีชาวบ้านที่กลับจากนาผ่านมาบอกว่าโชคดีนะที่วันนี้น้ำเต็มคลอง ปกติน้ำไม่ค่อยมี หากตกลงไปตอนน้ำแห้งคงอันตรายมาก เพราะคลองนี้ลึก 2 เมตรกว่า และช่วยเรียกชาวบ้านมาช่วยกันนำรถขึ้นมา

“คิดว่าเป็นเรื่องอุบัติเหตุมากกว่า เขาอาจไม่เห็นเรา หรือรีบ ทำให้ออกมาแบบไม่ทันระวัง ส่วนเราก็เกรงว่าจะชนจึงเบรกอย่างแรงทำให้เสียหลัก ตอนนั้นตกใจมาก ช่างมัน ฟาดเคราะห์ รีบซ่อมรถออกทำงานต่อ” เจ๊แต๋ว กล่าว


ที่มา : https://www.matichon.co.th/politics/news_3939626

‘ณัฐชา’ ยัน ‘ก้าวไกล’ ไม่ปรับกลยุทธ์หาเสียงช่วงโค้งสุดท้าย เน้นลงพื้นที่เข้าถึง ปชช. โว!! คะแนนนิยมดีทั้งออนไลน์-ออนกราวด์

(23 เม.ย.66) นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ผู้สมัครส.ส. พรรคก้าวไกล (ก.ก.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีพรรคก้าวไกล จะปรับกลยุทธ์หาเสียงในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง ทั้งในพื้นที่ที่กระแสตอบรับดี และพื้นที่ที่กระแสยังเป็นรองหรือไม่ ว่า ตนเชื่อว่าในหลายพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นกระแสของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค ในฐานะแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี และกระแสของพรรคในวันนี้จนไปถึงช่วงโค้งสุดท้ายจะดีขึ้น ทำให้หลายๆ เขตได้รับชัยชนะ น่าจะไม่มีการปรับกลยุทธ์เพิ่มเติมใดๆ เพราะเราก็หวังเสียงสนับสนุนจากพี่น้องประชาชนอยู่แล้ว และนโยบายต่างๆ ของเราทั้ง 300 นโยบายเราก็ประกาศให้ประชาชนทราบหมดแล้ว สิ่งที่เราทำวันนี้ไปจนถึงโค้งสุดท้ายคือ เดินทางไปทำความเข้าใจกับพี่น้องประชาชนถึงเรื่องราวทั้งหมดที่เราอยากจะทำ ความตั้งใจที่เราบอกกับประชาชนไปแล้วว่า เราจะเข้าไปทำงานอย่างตรงไปตรงมา

นายณัฐชา กล่าวต่อว่า เราไม่ได้มองเรื่องของการประกาศจุดยืนต่อพี่น้องประชาชนได้รับทราบ แต่เราประกาศทั้งหมดไปตั้งแต่ต้นแล้ว ไม่ว่าจะเป็นนโยบาย เงื่อนไขที่เราประกาศว่าจะร่วมหรือไม่ร่วมกับใคร แนวทางของผู้สนับสนุนพรรคเรา สามารถรับได้ในสิ่งไหนบ้าง เราก็ได้ประกาศไปตั้งแต่เริ่มต้น รวมถึงการประกาศแคนดิเดตนายกฯ จนถึงวันนี้สิ่งที่เราเดินหน้าทำอยู่ คือเรื่องที่เราพูดออกไปหมดแล้ว เหลือเพียงแค่เราทำความเข้าใจกับประชาชนมากขึ้นๆ ในทุกๆ วัน จนเข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้งเท่านั้นเอง ไม่มีการปรับกลยุทธ์ ไม่มีการเพิ่มเติมเงื่อนไขต่างๆ เพราะสิ่งที่เราได้สื่อสารกับประชาชน เราได้ทำกันอย่างตรงไปตรงมาตั้งแต่แรก

เมื่อถามว่า กรณีโพลมติชน-เดลินิวส์ ที่กำลังเปิดโหวตครั้งที่ 2 ระหว่างวันที่ 22-28 เมษายนนี้ สำหรับพรรคก้าวไกล จะปรับกลยุทธ์การหาเสียงโค้งสุดท้ายอย่างไร นายณัฐชา กล่าวว่า ยังยืนยันคำตอบเดิม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของผลโพลก็ดี หรือคะแนนนิยมในพื้นที่ต่างๆเองก็ดีทั้งในออนไลน์ และออนกราวด์ เรามีแต่เดินหน้าบอกเรื่องราวต่างๆ เพิ่มมากขึ้น ที่เป็นสิ่งที่เราได้บอกกล่าวไปตั้งแต่วันแรก ฉะนั้นไม่ว่าจะทำโพลกี่ครั้ง คะแนนนิยมของเราที่เพิ่มขึ้น มีการรับรู้ มีจำนวนประชาชนที่เข้าใจเพิ่มมากขึ้น บางคนอาจยังเข้าใจนโยบาย หรือแนวทางการทำงานของพรรคที่คลาดเคลื่อน ตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงโค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง คือการทำความเข้าใจ พูดคุยกับพี่น้องประชาชน


ที่มา : https://www.matichon.co.th/election66/news_3939532

‘กรณ์’ ซัด!! ลดค่าไฟแค่ 2 สตางค์ น้อยจนน่าเกลียด ชี้!! ต้องยกเลิกค่าเอฟที 3 เดือนสุดร้อนเพื่อประชาชน

หัวหน้า ชพก. จวก ลดค่าไฟแค่ 2 สตางค์ อย่าอ้างว่าช่วย ยันต้องยกเลิกค่าเอฟที 3 เดือนสุดร้อน เพื่อประชาชน อีกแก้ปัญหาแบบขอไปที ลั่นต้องเลือกพรรคชนกับทุนผูกขาด

(23 เม.ย.66) จากกรณีมีข่าวว่า คณะอนุกรรมการค่าไฟฟ้าอัตโนมัติ (เอฟที) มีมติเห็นชอบตามที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เสนอขอรับภาระยืดหนี้การชำระค่าไฟฟ้าวงเงิน 130,000 ล้านบาท แทนประชาชนจาก 5 งวด ที่มีการเรียกเก็บค่าเอฟทีทุก 4 เดือน หรือ 20 เดือน จากงวดละ 27,000 ล้านบาท เป็น 6 งวด หรือ 24 เดือน เป็นเหลือเพียงงวดละ 22,000 ล้านบาท จึงทำให้ค่าไฟฟ้าเฉลี่ยงวดที่ 2 ของปีนี้ (พ.ค.- ส.ค.) ลดลง 7 สตางค์ ต่อหน่วย จากเดิมที่ประกาศจัดเก็บ 4.77 บาท เหลือเพียง 4.70 บาทต่อหน่วย

นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าวว่า จากกระแสค่าไฟแพงที่ตนออกมาเรียกร้องเมื่อเดือนมีนาคม จนตอนนี้ปัญหาค่าไฟแพง กลายเป็นประเด็นรุนแรงทั่วโซเชียล จนคณะนุกรรมการเอฟทีชงบอร์ด กกพ. ให้ลดค่าไฟ แต่ตัวเลขที่ลดมันน้อยจนน่าเกลียด

รทสช. ดึง 6 แกนนำ ชู!! นโยบาย 'ทำแล้ว ทำอยู่ ทำต่อ' ผ่านคลิปสั้น  ส่งไม้ต่อ 'ผู้สมัคร ส.ส.' ช่วยบอกต่อ ปชช. เน้นเข้าใจง่าย เห็นภาพ  

(23 เม.ย.66) นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) และในฐานะหัวหน้าคณะกรรมการจัดกำหนดการหาเสียงและการปราศรัย เปิดเผยว่า รทสช.เตรียมเผยแพร่คลิปนโยบาย เพื่อให้ผู้สมัคร ส.ส.นำไปเผยแพร่บอกต่อประชาชนทั้งประเทศว่า 'ทำแล้ว ทำอยู่ ทำต่อ' ตามสโลแกน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ในฐานะแคนดิเดตพรรค ผ่านแล้วนำ 6 คน โดยมีนายสุพัฒนพงษ์ พันธุ์มีเชาว์ ที่ปรึกษาทีมเศรษฐกิจพรรค, ม.ล.ชโยทิต กฤดากร หัวหน้าทีมเศรษฐกิจพรรค, พล.ต.นพ.เหรียญทอง แน่นหนา ประธานคณะกรรมการด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิต, นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์, นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และตน  

นายธนกร กล่าวว่า ตนชี้แจงเรื่องโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ที่จะต่อยอดเป็นบัตรสวัสดิการแห่งรัฐพลัสให้ประชาชนคนละ 1,000 บาท สามารถใช้บัตรนี้ไปกู้เงินฉุกเฉินได้อีก 10,000 บาท / โครงการคนละครึ่งที่ทำมา 5 เฟส พรรครวมไทยสร้างชาติจะมาทำต่อโครงการคนละครึ่งภาคสอง โครงการ 'เราเที่ยวด้วยกัน' ปี 2565 มีนักท่องเที่ยวเข้ามาถึง 11ล้านคน และปี 2566 เราตั้งเป้า 27.5 ล้านคน ซึ่งจะมีเงินเข้าประเทศถึง 2.3 ล้านล้านบาท โครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) มีการลงทุนถึง 2.2 ล้านล้านบาท และมีการจ้างงานถึง 100,000 อัตรา เป็นการหาเงินของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ทุกนโยบาย 'ทำแล้ว ทำอยู่ ทำต่อ' ทำสำเร็จมาแล้ว เหล่านี้ทำให้เราแตกต่างจากพรรคการเมือง

ส่วน นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ชี้แจงนโยบายโคเงินล้าน โคล้านครอบครัว 'ทำมาแล้ว ทำอยู่ ทำต่อ' ซึ่งเป็นนโยบายที่ทำให้คนไทยหลุดพ้นจากความยากจนและสามารถจะเป็นคนรวยได้โดยวิธีง่ายๆ จากการเลี้ยงโค โดยให้กู้เงินจากกองทุนหมู่บ้านวงเงิน 50,000 บาท นำมาซื้อโคไปเลี้ยง จะมีเงินล้านในระยะเวลาเพียง 6 ปีเท่านั้น โดยโครงการนี้ รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ ได้อนุมัติ วงเงิน 5,000 ล้านบาท โดยรัฐอุดหนุนดอกเบี้ยทั้งหมด 4 ปี เป็นเงิน 600 ล้านบาท ให้กองทุนหมู่บ้านนำร่องโครงการนี้ 100,000 ครอบครัว โครงการนี้ ทำแล้ว ลองแล้ว สำเร็จแล้ว พรรครวมไทยสร้างชาติจะทำต่อจะทำให้พี่น้องพบกับความร่ำรวยไม่ขายฝัน

ขณะที่ พล.ต.นพ.เหรียญทอง แน่นหนา ประธานคณะกรรมการด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิต พรรครวมไทยสร้างชาติ จะพูดถึงนโยบายพรรครวมไทยสร้างชาติ ด้านสาธารณสุข จะมีการยกระดับในเมืองใหญ่ ประชากรหนาแน่น ในโครงการ หนึ่งเขต หนึ่งอำเภอ หนึ่งโรงพยาบาลเอกชนที่เป็นวิสาหกิจเพื่อสังคม โดยไม่สิ้นเปลืองงบประมาณแผ่นดินในการลงทุน โครงการนี้ผู้ป่วยทุกสิทธิ์ที่รักษาพยาบาลได้ประโยชน์ โดยเฉพาะผู้ป่วยบัตรทอง สำหรับการแก้ปัญหาด้านบริการสาธารณสุข ในพื้นที่เขตชนบทอำเภอต่างๆ ในจังหวัดที่มีประชากรไม่หนาแน่น มักประสบปัญหาเรื่องขีดความสามารถทางการแพทย์ ดังนั้นการใช้วิสาหกิจเพื่อสังคมไปเติมขีดความสามารถทางการแพทย์เฉพาะสาขา แต่ละโรงพยาบาลที่ขาดแคนตามสิ่งที่เกิดขึ้นจริง จะลด อุบัติการการเสียชีวิตของผู้ป่วยในพื้นที่ชนบทได้ กรณีสถานการณ์สังคมผู้สูงอายุซึ่งเกิดขึ้นแล้ว ดังนั้นการจัดตั้งเครือข่ายศูนย์ผู้สูงอายุคนพิการและกลุ่มเปราะบางทางสังคมประจำตำบลอำเภอจังหวัดยังเป็นเครือข่ายเป็นระบบสามารถปฏิบัติได้จริงอันนี้เป็นสิ่งแรกเดือนที่รวมไทยสร้างชาติจะทำ

ด้าน นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ชี้แจงนโยบายการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การให้ทุนการศึกษาเด็กยากจน ตั้งแต่ปี 2563 - 2566 วงเงิน 28,000 ล้านบาท ดูแลกลุ่มผู้สูงอายุ คนพิการ ที่มีที่พักอาศัยไม่เหมาะสม โดยเข้าไปซ่อมแซมให้ 180,000 ครัวเรือน หาที่อยู่อาศัยให้กับผู้มีรายได้น้อย ทั้งในเมืองและต่างจังหวัดเดือนละ 999 บาท มี 13,000 ครอบครัว ตั้งเป้าทำให้ครบ 100,000 หลัง ดูแลกลุ่มเด็กแรกเกิดได้รับเงินเดือนละ 600 บาทช่วยเหลือค่านม เรามีศูนย์ช่วยเหลือสังคมประจำตำบล และชุมชนทั่วประเทศ 7092 ศูนย์ บูรณาการกันทุกกระทรวงเป็นแอพแจ้งเหตุปักหมุดหยุดเหตุเริ่มดำเนินการ 1 เมษายนและจะขยายไปทั่วประเทศที่โรงพักทั้งหมด 1,483 โรง ร่วมกับศูนย์ชุมชนอีก 7,000 แห่งประชาชนดูแลบริหารเองไม่ได้ใช้งบประมาณแม้แต่บาทเดียว ซึ่งสามารถลดความรุนแรงในครอบครัวแก้ปัญหายาเสพติดรัฐบาล
 

‘วิรัช’ ปัด!! นโยบายแจกเงินเกษตร 3 หมื่นบาท ไม่ได้ปาดหน้า ‘พท.’  เมินโพล ‘พปชร. อีสาน’  ได้แค่ 2 เก้าอี้ โว!! แค่โคราชก็ 12 คนแล้ว

‘วิรัช’ ลั่น ไม่ได้ปาดหน้า ‘เพื่อไทย’ จ่อออกนโยบายแจกเงินเกษตรกร 30,000 บาท แจง เมินโพล ชี้ พปชร. อีสาน เหลือ 2 ที่นั่งโว โคราช 12 ที่แล้ว

(23 เม.ย.66) ที่จ.นครราชสีมา นายวิรัช รัตนเศรษฐ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงนโยบายแจก 3 หมื่นบาทให้เกษตรกร 8 ล้านราย ว่า ไม่ใช่นโยบายใหม่แต่เป็นเพียงการเพิ่มวงเงินให้กับเกษตรกร เป็นทุนในการทำนา ทำไร่ ยืนยันการออกมาในช่วงนี้ไม่ได้ต้องการมาตัดหน้านโยบาย 10,000 บาทของพรรคเพื่อไทย เพราะการจะออกก่อนหรือออกหลัง ไม่สำคัญ แต่ถ้าไม่มีตัวเลขที่ชัดเจน ไม่มีรายละเอียด มันก็ใช้ไม่ได้พร้อมตั้งคำถามถึงธนาคารแห่งประเทศไทยว่าทำอะไรอยู่ เพราะนโยบายเงินดิจิทัล 10,000 บาทออกมา 3 สัปดาห์แล้ว แต่ก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหวว่าเรื่องนี้สามารถทำได้หรือไม่ ขอให้ออกมาตอบให้สังคมว่า สามารถใช้ได้หรือไม่ได้ เพราะหากไปถามเพื่อไทย เดี๋ยวก็จะมีเงินสกุลใหม่ออกมาอีก แต่ขอไม่ประเมินว่านโยบายนี้จะไปรอดหรือไม่รอด 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top