Tuesday, 13 May 2025
SPECIAL

‘บิ๊กป้อม’ ย้ำ!! พรรคพลังประชารัฐ เบอร์ 37 เท่านั้น แนะ!! อย่าเชื่อพวกแอบแฝงหาเสียง แต่บอกให้กาเบอร์อื่น

(25 เม.ย.66) ที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ให้สัมภาษณ์กรณีมีการหาเสียงโดยใช้วิธีใต้ดินเชิญชวนเลือกพรรคพลังประชารัฐ แต่บอกให้กาเบอร์พรรคอื่น จะมีวิธีอะไรที่จะทำให้ประชาชนเลือกถูกต้อง ว่า ไม่มีวิธีอื่นแล้ว ก็อย่าไปเชื่อ พรรคพปชร. เบอร์ 37 อยู่แล้ว สื่อมวลชนก็ช่วยออกข่าวพรรคพปชร. เบอร์ 37 ไม่ใช่เบอร์ที่เขาว่า 

ผู้สื่อข่าวถามว่าพรรคพปชร. มีกำหนดการลงพื้นที่หาเสียงในพื้นที่ภาคใต้ จ.สงขลา และจ.นครศรีธรรมราช ระหว่างวันที่ 28-29 เม.ย.นี้ จะเดินทางไปด้วยหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ก็คงจะต้องไป

‘เส้นด้าย’ แจง!! เสียพนันออนไลน์แค่ 1 ล้าน ส่วนอีก 20 กว่าล้านเสียให้คาสิโนในต่างประเทศ

‘เส้นด้าย สอดอ สไตล์’ บอก เสียเงินพนันออนไลน์แค่ล้านเดียว ที่เหลือเสียที่คาสิโน หลังเคยไลฟ์เสียพนันออนไลน์ 25 ล้าน แจงภาพถ่ายร่วม ‘แทนไท-นอท’ เป็นคลาสอบรมคริปโตที่ดูไบ ด้าน ตร.ไซเบอร์แจ้งข้อหาเล่นพนัน

(25 เม.ย.66) ที่กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโยโลยี (บช.สอท.) น.ส.พิมพ์ลดา แววไธสง หรือ เส้นด้าย สอดอ style ยูทูบเบอร์ดัง เปิดเผยภายหลังเข้าให้ปากคำกับตำรวจ บช.สอท.กรณีการไลฟ์เล่าประสบการณ์เสียพนันออนไลน์ 25 ล้านบาทภายในเวลา 3 เดือน 

น.ส.พิมพ์ลดากล่าวว่า ตนมาให้ปากคำกับตำรวจในฐานะพยาน โดยยอมรับว่าตัวเองได้เล่นพนันออนไลน์จริงๆ มีเพียงเว็บไซต์ใหญ่เว็บเดียว แต่เปิดเผยไม่ได้ว่าเป็นเว็บใด เนื่องจากเป็นข้อมูลที่พูดคุยกับตำรวจไปแล้ว อย่างไรก็ตาม เงินส่วนมากที่เสียไปนั้น เป็นการเล่นพนันที่คาสิโนในต่างประเทศร่วมๆ 20 กว่าล้านบาท แต่ที่เสียให้เว็บพนันนั้น เป็นเพียง 1 ล้านกว่าบาท พร้อมยืนยันว่าตนเองไม่เคยชี้ชวนให้ใครมาเล่นพนัน เพียงแต่เตือนสติว่าอย่าเข้ามาวงการนี้ ถือเป็นประสบการณ์ความล้มเหลวของตัวเอง
น.ส.พิมพ์ลดา กล่าวว่า ตำรวจได้แจ้งข้อหาตน ฐานเล่นการพนันในราชอาณาจักร เบื้องต้นให้การรับสารภาพ 

ส่วนกรณีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษหรือดีเอสไอ จะซักถามในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างนายแทนไท ณรงค์กูล และ นายพันธ์ธวัช นาควิสุทธิ์ หรือ นอท สองนักธุรกิจชื่อดังนั้น ตนไม่มีความกังวล เพราะภาพถ่ายร่วมกันที่ปรากฎไปนั้น เป็นคลาสอบรมเรื่องเงินดิจิตัล ที่เคยถูกส่งไปเรียนที่เมืองดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ ในช่วงเวลาสั้นๆ โดยตนเพียงเคยยืมเงินนายพันธ์ธวัช เพียง 300 บาท ซื้อผ้าโพกหัวไปเท่านั้น จนทุกวันนี้ก็ยังไม่ได้คืน 

เธอยืนยันว่าตัวเองไม่ได้ทำธุรกิจสีเทา เพียงแต่ทำอินฟลูเอนเซอร์และเปิดธุรกิจบริษัทขายของเท่านั้น ซึ่งเงินที่นำไปเล่นพนัน ก็เป็นเงินที่ได้จากการทำธุรกิจ สามารถตรวจสอบเส้นทางการเงินย้อนหลังได้ แต่ดีเอสไอจะเรียกสอบปากคำเมื่อใดนั้นต้องรอเจ้าหน้าที่แจ้งอีกครั้ง

6 พรรคใหญ่ฉายนโยบายสุขภาพคนไทย ประสานเสียงไม่เอาบุหรี่ไฟฟ้าและกัญชาเสรี

เมื่อช่วงสายวันที่ 25 เมษายน 2566 ณ ห้องฟอร์จูน ชั้น 3 โรงแรมแกรนด์ฟอร์จูน กรุงเทพฯ,  มูลนิธิสื่อเพื่อสุขภาวะ (มสส.) และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) จัดประชุมโฟกัส กรุ๊ป หัวข้อ

“สื่อมวลชนพบพรรคการเมือง : ถามหา นโยบายสร้างเสริมสุขภาพคนไทย” โดยเชิญตัวแทนจาก 6 พรรคการเมืองสำคัญเข้าร่วมประชุมฯ มี นายวิเชษฐ์  พิชัยรัตน์  สื่อมวลชนอาวุโส เป็นผู้ดำเนินรายการ
ตัวแทนจากพรรคการเมือง ได้กล่าวสรุปประเด็นสำคัญของนโยบายพรรค เริ่มจากนพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยจะยกระดับนโยบายโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคที่พรรคไทยรักไทยทำไว้เมื่อ 22ปีที่แล้ว ซึ่งหากได้กลับมาเป็นรัฐบาลในสมัยหน้า พรรคฯจะดำเนินโครงการนี้ต่อ พร้อมกับการปฏิรูปงบประมาณทั้งระบบ ควบคู่กับการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาช่วยในการบริหารจัดการโครงการฯอย่างมีประสิทธิภาพ โดยจะโอนมอบภารกิจในการเป็นหน่วยงานรับประกันด้านสุขภาพของประชาชนให้กับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) แทนที่โรงพยาบาลเหมือนในอดีต

ทั้งนี้ ยังจะเพิ่มงบประมาณในโครงการเป็น 1.6-1.7 แสนล้านบาทต่อปี เพื่อให้สปสช.ดำเนินโครงการอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ประชาชนไม่ว่าจะอยู่ในพื้นที่ใดได้รับบริการด้านสุขภาพอย่างทั่วถึง สามารถเลือกแพทย์และโรงพยาบาลได้ตามที่ตัวเองต้องการ นอกจากนี้ ยังจะให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดเก็บข้อมูลและประวัติการรักษาพยาบาลของคนไข้ไว้ในระบบคลาวด์ เพื่อเชื่อมต่อข้อมูลระหว่างกัน ซึ่งจะทำให้การเรียกหาข้อมูลของคนไข้ทำได้อย่างสะดวกไม่ว่าจะอยู่ในพื้นที่ไหน


"ต่อไปการนัดหมายคุณหมอ ไม่ต้องต่อคิวยาวเหมือนในอดีต คนไข้สามารถเลือกโรงพยาบาลที่ต้องการได้ตามใจ จะเลือกที่ใกล้บ้าน หรือใกล้ใจก็ได้ แม้แต่การเจาะเลือด ต่อไปก็ไม่ต้องไปรอตั้งแต่เช้า รวมถึงการรับยาที่สามารถจะนำใบสั่งยาจากแพทย์ เพื่อไปรับยาได้จากร้านยาใกล้บ้าน ภายใต้การดูแลของเภสัชกร"

น.พ.สุรพงษ์ ย้ำว่า พรรคเพื่อไทยยังมีแนวคิดในการฉีดวัคซีนป้องโรคต่างๆ ให้กับคนไทย โดยเฉพาะเพื่อป้องกันโรคมะเร็งปากมดลูกแก่เด็กหญิงอายุ 9-11 ปี และมะเร็งตับสำหรับผู้ชาย


ด้าน พล.ต.นพ.เหรียญทอง แน่นหนา พรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวว่า ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ดำเนินนโยบายด้านสุขภาพให้กับประชาชนมาอย่างต่อเนื่อง และจะดำเนินการต่อไปทันทีที่ได้กลับมาเป็นรัฐบาล ตามแผนยุทธศาสตร์แห่งชาติ 20ปี (2565-2574) ทั้งนี้รัฐบาลได้ให้การสนับสนุนแนวทางการทำงานของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.)


นอกจากนี้ พรรคฯจะขับเคลื่อนนโยบายด้านสุขภาพภายใต้กรอบแนวคิดที่จะยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง ควบคู่กับการสร้างเครือข่ายชุมชนเข้มแข็ง เพื่อให้คนไทยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ในภาพแวดล้อมทั้งทางด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมที่ดีกว่าเดิม ทั้งนี้ สื่อมวลชนถือว่าเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญต่อการเผยแพร่องค์ความรู้ด้านการแพทย์และสาธารณสุขไปสู่ประชาชนได้เป็นอย่างดี


"ต่อไปพรรคจะสร้างสถานพยาบาลนำร่อง ที่จะให้บริการทางการแพทย์และสาธารณสุขครบวงจร เริ่มจากเมืองใหญ่ๆ เช่น กรุงเทพมหานคร โดยทำให้ครบทั้ง 50 เขต จากนั้นจะขยายไปจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศต่อไป" น.พ.เหรียญทอง ย้ำ


นายนิกร จำนง พรรคชาติไทยพัฒนา ซึ่งเป็นตัวแทนจากพรรคการเมืองเพียงคนเดียวที่ไม่ใช่นายแพทย์ แต่มีบทบาทสำคัญต่อการกำหนดนโยบายของพรรค กล่าวว่า ในสมัยที่ตนเป็น รมช.คมนาคม เคยมีนโยบายประมูลเลขทะเบียนรถสวย เพื่อนำมาตั้งเป็นกองทุน ตามแนวคิดของสสส. เพื่อนำรายได้มาใช้ในการรักษาผู้ป่วยและรณรงค์การเกิดอุบัติเหตุตามท้องถนน ซึ่งหากได้เป็นรัฐบาล ก็จะดำเนินโครงการในลักษณะเช่นนี้ต่อไป ทั้งนี้ ในอดีต พรรคได้ดำเนินงานร่วมกับ สสส.มาโดยตลอด เช่น โครงการรณรงค์ "ให้เหล้าเท่ากับแช่ง" เป็นต้น ซึ่งประสบความสำเร็จเป็นที่น่าพอใจ เชื่อว่าในอนาคต พรรคก็พร้อมจะทำงานร่วมกันต่อไป


"แนวคิดของพรรค คือ เน้นการป้องกันสุขภาพมากกว่าจะเน้นการรักษา เนื่องจากใช้งบประมาณที่ต่ำกว่า เพราะแต่ละปีรัฐบาลจะต้องใช้งบฯในส่วนนี้มากถึงปีละ 5 แสนล้านบาท แต่จากนี้ไป พรรคฯจะเสนอนโยบาย "สุขภาพดีมีเงินคืน" เพื่อกระตุ้นให้คนไทยหันมาใส่ใจในสุขภาพมากขึ้น" นายนิกร กล่าว


นพ.เธียรชัย สุวรรณเพ็ญ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า พรรคไม่เน้นสร้างนโยบายสาธารณสุขอย่างเป็นทางการ หรือมีรายละเอียดมากเกินไป เพราะมีประสบการณ์ที่ว่า "พูดแล้วไม่ทำ หรือทำไม่ได้" จะกลายเป็นความเสียหายตามมาได้ เนื่องจากอาจมีปัจจัยความไม่แน่นอนแทรกซ้อนขึ้นมาได้ แต่จะเน้นการทำงานที่มีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด โดยเฉพาะการตรวจสอบเพื่อป้องกันความเสี่ยงตั้งแต่ต้นทาง เช่น การตรวจสอบฮอร์โมนในกลุ่มคุณแม่ตั้งครรภ์ เพื่อป้องกันปัญหาความพิการในเด็กแรกเกิด การตรวจสอบกลุ่มคนที่มีประวัติและความเสี่ยงของโรคมะเร็ง โดยเฉพาะกลุ่มคนที่ครอบครัวเคยมีประวัติการป่วยมาก่อน นอกจากนี้ ยังมีนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมที่อาจจะเป็นต้นเหตุของปัญหาด้านสุขภาพ รวมถึงการใช้นโยบายด้านภาษีเพื่อดูแลสุขภาพของคนไทย ซึ่งที่ผ่านมา รัฐบาลได้ดำเนินการจัดเก็บภาษีความหวานมาบ้างแล้ว


ส่วน ร.อ.ดร.นพ.พิชาญศักดิ์ บุญมาศ ร.น. พรรคพลังประชารัฐ ระบุว่า พรรคฯเป็นแกนนำรัฐบาลมาตลอด 4 ปี และพร้อมจะดำเนินนโยบาย "คนไทยแข็งแกร่ง  ประเทศไทยแข็งแรง ก้าวสู่มหาอำนาจด้านสุขภาพ" ด้วยการทำให้เกิดการแพทย์ทั่วถึงและเท่าเทียม การปฏิรูปโครงสร้างการบริหารจัดการและนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ในการดำเนินงาน โดยเฉพาะการนำระบบเทเลเมดิคัล เฮลท์ มาใช้ในการตรวจรักษาผู้ป่วยเป็นต้น
ขณะที่ นพ.วาโย อัศวรุ่งเรือง พรรคก้าวไกล ย้ำว่า พรรคมองเห็นปัญหา 2 ประเด็นคือ ปัญหาเรื่องงบประมาณด้านสาธารณสุขที่ยังน้อยเกินไป และปัญหาด้านบุคคลากรทางการแพทย์ต้องทำงานหนักชั่วโมงการทำงานของหมอและพยาบาลที่มีมากเกินไป ส่งผลกระทบต่อปัญหาด้านสุขภาพและจิตใจอย่างมาก จนอาจกระทบต่อการปฏิบัติงานได้ ดังนั้น จึงมีแนวคิดที่ลดชั่วโมงการทำงานจากเดิม 87 ชม.ต่อสัปดาห์ เหลือเพียง 60 ชม.ต่อสัปดาห์ พร้อมกับลดสัดส่วนในการดูแลผู้ป่วยของแพทย์ในโรงพยาบาลของรัฐที่มี 1:200 คน ให้เหลือน้อยลง แม้จะไม่เท่ากับแพทย์ในโรงพยาบาลเอกชนที่มีราว 1:20 ถึง 40 คนก็ตาม ทั้งนี้ เพื่อป้องกันปัญหาแพทย์ย้ายไปทำงานกับโรงพยาบาลเอกชน

รองหัวหน้า ‘ชทพ.’ ลุยช่วย ‘ปู้ ประวิทย์’ หาเสียง ชูนโยบาย ‘ว้าวไทยแลนด์’ อ้อน!! ขออาสาพัฒนาอยุธยา

รองหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา เดินตลาดเสนา ช่วย ปู้-ประวิทย์ เจ้าตัวลั่น พร้อมพัฒนาอยุธยา ขอปักธง

(24 เม.ย. 66) ที่จ. พระนครศรีอยุธยา นายกนก วงษ์ตระหง่าน และ นายสันติ กีระนันทน์ รองหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ลงพื้นที่ตลาดเสนาอำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพื่อช่วย นายประวิทย์ สุวรรณสัญญา ผู้สมัครพรรคชาติไทยพัฒนา พระนครศรีอยุธยา เขต 5 เบอร์ 12 หาเสียง ด้วยการเดินแจกแผ่นพับแนะนำตัว พบปะพี่น้องประชาชน ที่มาจับจ่ายใช้สอยในตลาดรวมถึงพ่อค้าแม่ค้า เพื่อขอคะแนนเสียงให้เลือกนายประวิทย์ เบอร์12 และพรรคชาติไทยพัฒนา เบอร์ 18

นายประวิทย์ กล่าวว่า พรรคชาติไทยพัฒนามาแนะนำนโยบายว้าวไทยแลนด์ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้ลงพื้นที่มารับฟังปัญหา จากพี่น้องประชาชนแล้ว ก็ได้นำเสนอเพื่อปรับเป็นนโยบายพรรค โดยเฉพาะปัญหาเศรษฐกิจ ที่หลายคนเห็นว่าเศรษฐกิจในพื้นที่อยุธยาเขตห้านี้ยังไม่โตเท่ากับจังหวัดสุพรรณบุรี เพิ่งถือเป็นเมืองหลวงของพรรคชาติไทยพัฒนา ตนจึงมีความตั้งใจอยากจะเข้ามาพัฒนาพื้นที่เขต 5 อยุธยา ให้เหมือนกับจังหวัดสุพรรณบุรีเพื่อพลิกฟื้นเศรษฐกิจในพื้นที่นี้ จึงอยากขอคะแนนให้พรรคชาติไทยพัฒนาได้ปักธง

‘สืบสวนนครบาล’ ทลาย ‘แก๊งคนจีน’ หลอกขายทองเก๊ให้คนรวย สารภาพได้แรงบันดาลใจต้มตุ๋นจากซีรีส์ดัง เสียหายกว่า 10 ล้าน

(25 เม.ย. 66) พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น./ หัวหน้า PCT ชุดที่ 5 นำทีมเจ้าหน้าที่ ชุดลาดตระเวนออนไลน์ บก.สส.บช.น.แถลงผลการสืบสวนติดตามจับกุมชาวจีน 6 ราย ได้แก่ Mr.Zhong Xiaocong อายุ 44 ปี, Mr.Li Xiaoyuan อายุ 45 ปี Mr.Zeng NanJing อายุ 54 ปี, Mr.Yang Cuiyuan อายุ 51 ปี, Mr.Zhu Zhihua อายุ 48 ปี และ Mr.Guo Xianyu อายุ 49 ปี ในข้อหา “ร่วมกันพยายามลักทรัพย์โดยใช้กลอุบาย และซ่องโจร” ที่หน้าสถานีรถไฟหัวลำโพง แขวงรองเมือง เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร

พร้อมตรวจยึดของกลางกว่า 7 รายการ อาทิ ทองคำ (ปลอม) ลักษณะเป็นก้อน 179 ก้อน, ทองคำ (ปลอม) ลักษณะเป็นรูปปั้นเทวรูป 10 ชิ้น, ทองคำ (แท้) ลักษณะเป็นแผ่นบาง 2x1 ซม. 8 แผ่น สมุดสมาคมคนจีนในประเทศไทย 46 เล่ม บัตร ATM 24 ใบ โทรศัพท์มือถือ12 เครื่อง อุปกรณ์เลื่อยตัดทอง 1 ชุด

คดีนี้ ชุดลาดตระเวนออนไลน์ของ บก.สส.บช.น.ได้รับแจ้งจากผู้เสียหายชาวจีน สัญชาติไทย รายหนึ่ง ได้ถูกกลุ่มมิจฉาชีพชาวจีน ต้มตุ๋น หลอกขายทองคำ ซึ่งกลุ่มมิจฉาชีพทำทีว่า มีทองคำแท้จำนวนมาก ขุดเจอที่พระนครศรีอยุธยา นำมาขายให้กับผู้เสียหายในราคาถูก ซึ่งผู้เสียหายรายนี้หลงเชื่อ และเสียเงินให้กับกลุ่มมิจฉาชีพรายนี้ไปกว่า 500,000 บาท หลังจากกลุ่มมิจฉาชีพได้เงินแล้ว ก็ได้หายเข้ากลีบเมฆ ไม่สามารถติดต่อได้

ต่อมา พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ได้ตระเวนเปิดแฟ้มคดี ที่กลุ่มมิจฉาชีพกลุ่มนี้เคยตระเวนหลอกลวงเหล่าผู้เสียหาย พบว่าลักษณะการก่อเหตุมีความแยบยลอย่างมืออาชีพ และมีลักษณะการทำงานเรียกได้ว่าเป็นระดับ ‘องค์กร’ ซึ่งเริ่มต้นจากกลุ่มคนร้ายจะหาลายแทงของเหยื่อโดยการ ‘กางโพย’ คือสมุดรายชื่อตระกูลคนจีนในประเทศไทย ตั้งแต่เจ้าสัวตระกูลดัง จากนั้นจะไล่สืบประวัติและติดตามบุคคลเหล่านั้นกระทั่งได้ข้อมูลเบื้องต้น แล้วเริ่มเข้าสู่กระบวนการต้มตุ๋นด้วยการโทรศัพท์ไปพูดคุย โดยอ้างข้อมูลต่าง ๆ ที่ได้จากการไล่สืบประวัติมา จึงทำให้เหยื่อติดกับดัก หลงเชื่อ

ต่อมาเข้าสู่กระบวนการ ‘นัดพบ’ ซึ่งเมื่อสามารถนัดพบกับเหยื่อได้แล้ว จะมีการใช้จิตวิทยาด้วย ‘การแสดง’ โดยกลุ่มมิจฉาชีพจะนำทองคำ (ปลอม) ซึ่งมีลักษณะเป็นก้อนจำนวนมากมาโชว์ให้เหยื่อดู และแสร้งนำเลื่อยมาหั่นให้เป็นชิ้นเล็ก เพื่อนำให้เหยื่อเอาไปตรวจสอบ ซึ่งแท้จริงแล้วมีเพียงชิ้นเล็กเท่านั้นที่เป็นทองแท้ ซึ่งเมื่อเหยื่อนำทองชิ้นเล็กเหล่านั้นไปตรวจสอบกับร้านทอง ก็จะพบว่าเป็นทองคำแท้ ทำให้หลงเชื่อกลุ่มมิจฉาชีพอย่างสนิทใจ ทำให้เหยื่อยอมนำเงินมามอบให้กับกลุ่มมิจฉาชีพ จากนั้นมิจฉาชีพกลุ่มนี้ก็จะหายเข้ากลีบเมฆทันที

เมื่อประมวลเรื่องราวการก่อคดีแก๊งคนร้ายกลุ่มนี้ พล.ต.ต.ธีรเดช รายงานให้ พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น., พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. ทราบพร้อมสั่งการให้นำกำลังเจ้าหน้าที่ บก.สส.บช.น. ลงพื้นที่สืบสวนด้วยวิธีการดักหน้า โดยได้พบกับเหยื่ออีกรายหนึ่ง ซึ่งกำลังจะถูกกลุ่มมิจฉาชีพกลุ่มนี้หลอกลวง ได้นำกำลังเข้าไปวางแผนและเปิดปฏิบัติการซ้อนแผน ‘ขอดเกล็ด’ โดยจัดฉากทำทีให้เหยื่อหลงเชื่อและนัดพบกับกลุ่มมิจฉาชีพกลุ่มนี้

ต่อมาวันที่ 24 เม.ย.ที่ผ่านมา กลุ่มมิจฉาชีพ 2 คน ได้ปรากฏตัว ณ จุดนัดพบ บริเวณหน้าสถานีรถไฟหัวลำโพง พล.ต.ต.ธีรเดชฯ จึงได้นำกำลังเข้าจับกุมตัวคนร้ายทั้งสองรายคือ Mr.Zhong Xiaocong อายุ 44 ปี และ Mr.Li Xiaoyuan อายุ 45 ปี และจากการตรวจค้นพบ ทองคำ (ปลอม) ลักษณะเป็นก้อน จำนวน 17 ก้อน, ใบเลื่อย 1 ปื้น

ซึ่งจากการซักถามและตรวจสอบเบื้องต้น พบว่ายังมีผู้ร่วมขบวนการอีก 4 ราย ซึ่งอยู่ ณ เซฟลับ ซึ่งเป็นห้องพักที่โรงแรมหรูย่านรัชดากว่า 4 ห้อง จึงนำกำลังเจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้น โดยจับกุมตัวผู้ร่วมขบวนการได้อีก 4 ราย พร้อมตรวจค้นห้องพักทั้ง 4 ห้องพบ ทองคำปลอมอีกกว่า 172 ชิ้น และหลักฐานอย่างอื่นที่ใช้ก่อเหตุอีก

เมื่อสอบสวน ผู้ต้องหาทั้ง 6 ราย ให้การปฏิเสธ โดยให้การว่า กลุ่มตนนั้นมาจากมณฑลเจียงซี ประเทศจีน เคยทำงานเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์อยู่ที่ประเทศอินโดนีเซีย ก่อนที่จะมาตระเวนหลอกลวงในประเทศไทย โดยยอมรับอีกว่าการสั่งซื้อทองปลอมนั้น นำเข้ามาจากมณฑลเจียงซี  ประเทศจีน สั่งมาทางพัสดุเข้ามาในประเทศไทย โดยยอมรับว่ากลุ่มของตนชื่นชอบการต้มตุ๋น ซึ่งได้แรงบันดาลใจจากซีรีส์ดังในต่างประเทศ ส่วนเรื่องคดีนั้น ขอไปต่อสู้ในชั้นศาล

‘สกลธี’ เผย ‘พปชร.’ ตั้งเป้าเพิ่มพื้นที่สีเขียวใน กทม. หนุน ประชาชนออกกำลังกาย ลดโรค-สร้างสุขภาพที่ดี

( 25 เม.ย. 66) นายสกลธี ภัททิยกุล กรรมการบริหาร และหัวหน้าทีมผู้สมัคร ส.ส.กทม.พรรคพลังประชารัฐ ลงพื้นที่สวนเสรีไทย เขตบึงกุ่ม กรุงเทพฯ ร่วมกับ ‘อ้น’ น.ส.ณิรินทร์ เงินยวง ผู้สมัครรับเลือกตั้ง เขต 15 (คันนายาว-บึงกุ่ม) หมายเลข 8 เพื่อพบปะประชาชน โดย น.ส.ณิรินทร์ กล่าวว่า สวนเสรีไทยนี้ เป็นหนึ่งในสวนตัวอย่างของ กทม.ที่ไม่ต้องมีขนาดใหญ่มาก แต่เข้าถึงง่าย ใกล้กับหมู่บ้าน แหล่งชุมชน ผู้สูงอายุสามารถเดินออกกำลังรอบสวนได้ มีความปลอดภัยเพราะมี รปภ.ดูแลตลอด ตนจึงอยากให้มีการสร้างสวนแบบนี้เพิ่มขึ้นอีกหลาย ๆ แห่งใน กทม.

นายสกลธี กล่าวว่า เป็นนโยบายของพรรคพลังประชารัฐที่ต้องการเพิ่มพื้นที่สีเขียวใน กทม.โดยเฉพาะการสร้างสวนขนาดเล็ก ที่ประชาชนสามารถเดินถึงได้ภายใน 15 นาที แต่งบประมาณของท้องถิ่นอย่างเดียวไม่สามารถทำได้ พรรคพลังประชารัฐจึงจะตั้งกองทุนประชารัฐ 3 แสนล้านบาทขึ้น เพื่อมาช่วยท้องถิ่นพัฒนาพื้นที่ ซึ่งเป็นนโยบายสำคัญของพรรค

‘นิพนธ์’ ขึ้นเวทีดีเบต ชู อัดฉีดเงิน 1 ล้านล้าน แก้วิกฤต ศก. มั่นใจ!! ‘ปชป.’ คว้าเก้าอี้ภาคใต้ไม่ต่ำกว่า 40 ที่นั่งแน่นอน

นิพนธ์ ชู นโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ อัดฉีดเงินเข้าระบบฯ ทันที 1 ล้านล้านบาท ยกช่วงวิกฤตโควิด จุรินทร์ นั่งพาณิชย์ฯ โชว์ฝีมือเร่งส่งออกกว่า 10 ล้านล้านบาท ชี้ ปัญหาชายแดนใต้ต้องจบที่การพูดคุยเจรจา ย้ำ นโยบายสวัสดิการปัจจุบันล้วนมาจากประชาธิปัตย์

เมื่อวันที่ 24 เม.ย.66 บนเวที BIG DEBATE ซึ่งจัดโดยช่อง 7HD และเทโร เอ็นเทอร์เทนเม้นท์ ในรายการ วันเลือกตั้ง 66 #วาระคนไทย BIG DEBATE ตามติดสนามเลือกตั้งภาคใต้

นายนิพนธ์ บุญญามณี รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมกับผู้สมัคร ส.ส.ภาคใต้ จาก 8 พรรคการเมือง ที่มาประชันวิสัยทัศน์ แสดงจุดยืนและนำนโยบายมาประชันกัน ณ สวนสาธารณะเมืองสงขลา โดยนายนิพนธ์ บุญญามณี รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าวในเวที BIG DEBATE ว่า วันนี้ประชาธิปัตย์มีนโยบายเติมเงินในระบบเศรษฐกิจของประเทศ หลังจากที่เกิดวิกฤตโควิดมา 3 ปี สิ่งที่ประชาธิปัตย์ประกาศสร้างเงิน สร้างคน สร้างชาติ โดยการสร้างเงินนั่นคือ การที่ประชาธิปัตย์จะอัดฉีดเงิน 1 ล้านล้านบาท เข้าระบบเศรษฐกิจของประเทศ โดยอัดฉีดเงินเข้าในหมู่บ้าน ชุมชนละ 2 ล้านบาท

ตามด้วยนโยบายประกันรายได้ให้กับเกษตรกร ไม่ว่าจะเป็นยางพารา ปาล์ม ข้าว มันสำปะหลังและข้าวโพด ถ้าไม่มีนโยบายประกันรายได้ ถ้าราคายางลงมาเหลือ 30 บาท เกษตรกรก็จะได้เพียง 30 บาทเท่านั้น แต่ถ้ามีการประกันรายได้ เวลาน้ำยางเหลือ 30 บาท พี่น้องจะได้ส่วนต่างอีก 27 บาท รวมเป็น 57 บาท และราคาปาล์มก็เช่นกัน นี่คือการอัดฉีดเงินเข้าไปในระบบเศรษฐกิจ 

ช่วงวิกฤติที่ผ่านมา อย่างอื่นเสียหายหมด เครื่องจักรทุกตัวเสียหายหมด เหลืออยู่อย่างเดียวนั่นคือ การส่งออก ปี 2565 เรามีการส่งออกประมาณ 10 ล้านล้านบาท กระทรวงพาณิชย์ดูแลโดยท่านจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ สร้างเงินให้ทั้งประเทศ รวมถึงอัดฉีดให้มีเงินกองทุน เอสเอ็มอี ถ้ามีแต้มต่อ เราจะอัดฉีดเงินให้แก่ SME อีก 300,000 ล้านบาท นี่คือการเติมเงิน เติมเลือดเข้าไปสู่ระบบเศรษฐกิจ

ดังนั้น เรื่องสร้างเงินให้ประชาชนและประเทศ ประชาธิปัตย์ได้เตรียมไว้หมดแล้ว แม้กระทั่งการไปเจรจา FTA กับต่างประเทศ ซึ่งไม่เคยมีมาหลายสิบปี ประชาธิปัตย์ไปเปิดเวที ไปเปิดการเจรจากัน และเราจะเชื่อมโยงกับต่างประเทศอีก ราว 27-30 ประเทศ และจะสามารถขยายการส่งออกสินค้าอีกมาก เพราะฉะนั้น นี่คือการสร้างเงินให้กับประเทศ และหากส่งออกมากเท่าไหร่ เราก็จะเก็บภาษีคืนมาได้มากเท่านั้น ประชาธิปัตย์จึงคิดนโยบายเรื่องของการเติมเงินเข้าไปในระบบเศรษฐกิจขึ้น

นายนิพนธ์ ยังกล่าวอีกว่า ซึ่งทีมเศรษฐกิจของพรรคประชาธิปัตย์ที่ผ่านมา จะทำหาดใหญ่ให้เป็นศูนย์กลางทางการเงินในระดับนานาชาติ และเราจะมีกฏหมายพิเศษที่จะเปิดโอกาสให้สถาบันการเงินมาอยู่ที่หาดใหญ่ ทำเหมือนกับสิงคโปร์ ฮ่องกง และลาบวนของมาเลเซีย

สำหรับการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น ประชาธิปัตย์ประกาศชัดเจนว่า ปัญหาใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ วันนี้ถึงเวลาที่จะต้องทำสันติภาพให้เกิดขึ้นให้ได้ เพื่อนำไปสู่สันติสุขในจังหวัดชายแดนใต้ คำว่า ‘สันติภาพ’ คือ บัดนี้เราต้องเลิกราฆ่าฟันกัน หยุดเหตุการณ์ที่จะทำให้ถึงแก่ชีวิต เราสูญเสียชีวิตไปแล้ว 7,000 กว่าราย บาดเจ็บนับหมื่น งบประมาณจากปี 47 ที่มีการปล้นปืน จนถึงปัจจุบัน 500,000 กว่าล้านแล้ว เราถมไปเท่าไหร่ก็ไม่เต็ม เพราะปัญหาคือ เราต้องทำให้เกิดสันติภาพก่อน ถ้าเกิดสันติภาพ สันติสุขก็จะเกิด ประชาธิปัตย์จึงมีความมั่นใจว่า การพูดคุยกับกลุ่มคนที่เห็นต่างมันมีความจำเป็น ไม่มีสงครามไหนจะเอาชนะกันได้ด้วยอาวุธ

นอกจากการพูดคุยการเจรจากัน เพื่อหนทางสู่สันติภาพในจังหวัดชายแดนภาคใต้แล้ว เรามาแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง นั่นคือ การแก้ปัญหาความยากจนในพื้นที่ ประชาธิปัตย์คิดเรื่องนี้มาอย่างเป็นระบบ เราจัดการเรื่องการศึกษา เราใช้เวลาช่วงนี้จัดการศึกษา จนทุกจังหวัดในพื้นที่ชายแดนให้มีมหาวิทยาลัยหมดแล้ว บัดนี้ ปัญหาคือทำอย่างไร ให้ผู้ที่จบการศึกษา สามารถทำงานที่นี่ มีงานทำที่นี่ได้ โดยไม่ต้องทิ้งบ้านทิ้งเมือง หรือทิ้งพ่อแม่ไว้ข้างหลัง ดังนั้น จึงต้องสร้างงานให้เขาทำ นี่คือสิ่งที่ประชาธิปัตย์จะเดินหน้าสร้างอาชีพ

‘ดร.เอ๋ บุณณดา’ เลือดใหม่ พปชร.โต้วงดีเบตด้วยหลักการ ตอกหงายผู้แทนพรรคอื่น ด้วยนโยบายก้าวข้ามความขัดแย้ง

เมื่อวันที่ 24 เม.ย. 66 ในรายการ THE STANDARD NOW MINI DEBATE นำโดยพิธีกรรายการ ‘อ๊อฟ ชัยนนท์’ จัดวงดีเบต 4 นักการเมืองหญิง จากทั้ง 4 พรรคการเมือง ผ่าน ‘นโยบายสะท้อนจุดยืนพรรค’ ผู้สมัครร่วมดีเบตได้แก่ ดร.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย และรักษาการโฆษกพรรคเพื่อไทย, นางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล กรรมการบริหารพรรคก้าวไกล, ดร.มัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข อดีตกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ และผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ และ ดร.บุณณดา สุปิยพันธุ์ ผู้สมัคร ส.ส.กทม.(เขตบางพลัด-บางกอกน้อย) พรรคพลังประชารัฐ

เปิดรายการทางพิธีกรยิงคำถาม ถึงผลโพลของว่าที่นายกฯ ว่า พล.อ.ประวิตร หัวหน้า พลังประชารัฐ ยังไม่ติดอันดับ ทางด้าน ดร.เอ๋นั้นมีความหวั่นใจหรือไม่ ด้าน ดร.เอ๋ ได้กล่าวว่า “จากการลงพื้นที่ กระแสค่อนข้างจะแตกต่าง เพราะประชาชนมีความสนใจในเรื่องของบัตรประชารัฐ และความชื่นชอบในตัวของลุงป้อมที่ดูเป็นกลางและก้าวข้ามความขัดแย้งได้จริง”

อ๊อฟ ชัยนนท์ พิธีกรรายการถามถึงนโยบายส่งเสริม เกษตรกรครอบครัวละ 30,000 บาท ทาง ดร.เอ๋ ได้ชี้แจ้งว่า “อยากจะให้มองที่ประโยชน์ของประชาชนหรือเกษตรกรที่จะได้รับมากกว่า ซึ่งวงเงิน 30,000 บาทตรงนี้ สามารถช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรไทยได้ ซึ่งถ้าหากพลังประชารัฐได้เข้าไปเป็นรัฐบาล หรือ พล.อ.ประวิตร ได้เป็นนายกฯ นโยบายนี้สามารถทำทันทีและทำได้เลย สำหรับข้อกำหนดที่จะได้เงินตัวนี้ จะต้องเป็นเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนและเป็นเกษตรกรเท่านั้น”

ดร.เอ๋ ยังกล่าวอีกว่า “ทุกอย่างต้องมีเวลา ค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งหลังจากที่ผ่านมา ทางเรารู้แล้วว่าอะไรคือปัญหาเพราะมีประสบการณ์แล้ว”

จากประเด็นมาตรา 112 ด้าน ดร.เอ๋ ได้กล่าวว่า “จริง ๆ แล้วมาตรา 112 ไม่เคยทำร้ายใคร ในการพูดถึงควรที่จะตั้งคำถามอย่างไรให้สุภาพ ให้ถูกต้อง ไม่จาบจ้วงล่วงละเมิด สถาบันฯ โดยเฉพาะสถาบันฯไม่เคยทำร้ายใคร ทำไมต้องแก้กฎหมายมาตรา 112 อยากจะให้ดูข้อมูลจริงยอมรับความจริง ไม่ใช่พูดแต่ข้อมูลหลอกลวง ใส่ร้ายแต่เรื่องไม่ดี”

อ๊อฟ ชัยนนท์ พิธีกรรายการถามถึงการชูนโยบายการก้าวข้ามความขัดแย้ง ของทางพรรคพลังประชารัฐ ว่าเป็นได้จริงหรือไม่ ดร.เอ๋ ได้กล่าวว่า ถ้าจากประสบการณ์ที่ผ่านมาของ พล.อ.ประวิตร ด้านการบริหารทั้งกองทัพและการบริหารประเทศ ท่านสามารถรวบรวมคนเก่งมารวมตัวกันได้ เจรจาไกล่เกลี่ย ประนีประนอม เพื่อให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้ เพียงแต่ยังมีวาทกรรมที่แบ่งฝ่าย ว่าฝ่ายนี้คือเผด็จการ ฝ่ายนี้คือประชาธิปไตย อยากให้เลิกเรียกพรรคพลังประชารัฐว่า พรรคเผด็จการ เพราะถ้าไม่เกิดความขัดแย้งที่รุนแรง ก็ไม่มีใครอยากให้เกิดรัฐประหาร เพราะคนทำรัฐประหารก็ไม่อยากทำเหมือนกัน”

‘ถาวร’ ปักธง ‘3ป.’ ยุทธศาสตร์พิทักษ์ชาติ ‘ปกป้องสถาบันฯ-ปราบโกง-ปฏิรูปประเทศ’

 (23 เม.ย.66) จากรายการ ‘ถลกข่าว ถลกคน’ รายการเกาะติด-เจาะลึกการเลือกตั้ง 2566 โดยสำนักข่าวออนไลน์ THE STATES TIMES ร่วมกับ TV Direct ช่อง 76 (จานดาวเทียม PSI) ได้เชิญ นายถาวร เสนเนียม ประธานพรรคไทยภักดี มาฉายภาพสถานการณ์การเมืองไทยในปัจจุบัน จุดยืนของพรรคไทยภักดี พรรคการเมืองที่ภักดีต่อประเทศไทยและสถาบันพระมหากษัตริย์ พร้อมทั้งล้วงไปถึงนโยบายการเลือกตั้งของพรรค ผ่านยุทธศาสตร์ 3 ป. ดังนี้ว่า...

ในการเลือกตั้ง 2566 พรรคไทยภักดี มุ่งมั่นที่จะทำการเมืองภายใต้ยุทธศาสตร์ 3 ป. ซึ่งมีความชัดเจนต่อการนำพาประเทศไทยไปสู่การเป็นประเทศที่ประสบความสำเร็จทั้งเสถียรภาพการเมือง เศรษฐกิจ และความสามัคคีของคนในชาติ โดย…

>> ป. ที่ 1 ได้แก่ ‘ปกป้องสถาบัน’
ไทยภักดี ต้องการให้คนไทยกลับมาสู่โลกของความเป็นจริง ซึ่งก่อนอื่น ผมอยากจะพูดถึงนิยามคำว่าที่ตอนนี้นำมาล้างสมองเด็กไทยกันมาก นั่นก็คือคำว่า ‘ล้าสมัย’ ที่หลุดมาจากบางพรรคและบางบุคคล ผมมองว่านี่เป็นเรื่อง ‘เส็งเคร็ง’ เพราะนักการเมือง นักวิชาการพวกนี้ กำลังใช้เด็กเป็นเครื่องมือ เพื่อนำไปสู่การล้มล้างการปกครอง ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข 

โดยกรรมวิธีที่คนเหล่านี้ทำ คือ เลือกที่จะรับเอาประวัติศาสตร์โง่ๆ ของคนยุโรปในบางประเทศมาทั้งดุ้น แล้วมาถอดแบบสอดใส่ให้กับประเทศไทย แล้วบอกว่าประเทศไทยล้าสมัย ใส่ลงไปในหัวเด็กๆ เยาวชนรุ่นใหม่ ซึ่งพวกคุณนั่นแหละล้าสมัย เพราะคุณไม่รู้จัก Apply สิ่งที่ดีในเมืองไทยให้ไปกับยุคสมัย แต่เลือกที่จะกระทำที่กระทบต่อความมั่นคงของชาติแทน

เพราะฉะนั้น จึงเป็นที่มาของพรรคไทยภักดีในส่วนของ ป.แรก ที่ต้องการจะเข้ามาชัดเจนในการปกป้องสถาบัน ซึ่งอันที่จริงก็ถือเป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคน มายึดโยงเป็นนโยบายสำคัญของไทยภักดี อันจะเกี่ยวเนื่องกับการต่อต้านการล้มมาตรา 112 ซึ่งไม่ได้สร้างความเดือดร้อนแก่ใคร แต่กลับเป็นเครื่องมือชิ้นใหญ่ที่กำลังพาเด็กไทยเดินหลงทางบ้าง เดินไปเข้าคุกบ้าง เป็นการมุ่งร้ายต่อเด็ก โดยผู้ใหญ่ที่คุมเกมอยู่ข้างหลังทั้งสิ้น 

>> ป. ที่ 2. ได้แก่ ‘ปราบโกง’
ถ้าหากเราดูย้อนหลังไปสัก 10 ปี ช่วงปี 2557 อันดับการทุจริตของประเทศไทยอยู่ในลำดับที่ 98 ของโลก จาก 180 ประเทศไทย แต่เราก็ตกลงไปอันดับที่ 110 และก็มีกระเตื้องขึ้นมาเล็กน้อย จากการที่คอร์รัปชันทุจริตงอกเงย ในทุกๆ งบประมาณจะถูกเจียดเปอร์เซ็นต์ไปจากนักการเมืองโกง จาก 3 ล้านล้านเศษ ก็กินไปประมาณ 3 แสนล้านบาทบ้าง จี้ไปตรงไหนก็มีแต่โกงทุกหย่อมหญ้าบ้าง ในโครงการของรัฐบาล มีการโกงกินกันตั้งแต่ 10-20% ซึ่งเงินพวกนี้ เป็นส่วนแบ่งที่นักการเมืองกับพ่อค้าจับมือกันไปจ้างข้าราชการให้ทุจริต นักการเมืองได้ไปเต็มๆ ส่วนคนติดคุกคือ ข้าราชการประจำ นี่คือวิกฤต

สาเหตุหลักๆ ที่เกิดเหตุนี้ เพราะไม่เคยปฏิรูปประเทศไทยอย่างจริงจัง การบังคับใช้กฎหมายต่ำ และระบบอุปถัมภ์ยังไม่มีวันถูกปฏิรูป เราจึงต้องเข้ามาจัดการจุดนี้ ต้องแก้ความผิดคดีทุจริตให้ไม่มีอายุความในทุกๆ เรื่อง / นักการเมือง ต้องยื่นรายได้ โดยมีการตรวจสอบอาชีพ กำไร ขาดทุน เพื่อเช็กถึงความสุจริต ถ้าเจอว่าโกง ก็ยึดทรัพย์สินเข้ารัฐให้หมด / ต้องบังคับใช้สัญญาคุณธรรม รัฐมนตรีห้ามนิ่งเฉย นายกรัฐมนตรีห้ามนิ่งเฉย ห้วงเวลาของการพิจารณาคดีที่ยืดเยื้อต้องไม่มี ผิดต้องเอาความได้เร็วและฉับไว เพื่อให้ประชาชนไม่มองเห็นการโกงเป็นเรื่องปกติ โดยสิ่งเหล่านี้ทำได้ด้วยการแก้กฎหมายให้เป็นรูปธรรม และไทยภักดีจะผลักดันการปราบโกงในลักษณะนี้ให้ถึงที่สุด รวมถึงผลักดันทางสังคม เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนทัศนคติให้หยุดโกงตั้งแต่เด็ก แบบที่ประเทศจีนทำได้มาแล้ว

>> สุดท้ายกับ ป ที่ 3. ได้แก่ ‘ปฏิรูป-ปฏิวัติ’
เดิมทีแนวทางการปฏิรูปประเทศ ภายหลัง คสช.ยึดอำนาจแล้วเสร็จนั้น เต็มไปด้วยแนวคิด แต่เป็นแนวคิดที่ถูกเก็บไว้ในคอมพิวเตอร์บ้าง เอกสารบ้าง รัฐธรรมนูญบ้าง แต่ยังไม่เกิดการนำมาใช้จริง ซึ่งหลายเรื่องเป็นกุศโลบายที่เหล่ามวลมหาประชาชนต้องนำเลือดเนื้อไปเสียสละ เพื่อหวังได้เห็นการเปลี่ยนแปลง 

ยกตัวอย่างเรื่องความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศอย่างยั่งยืน เราจะต้องผลักดันให้เกษตรกรยืนตระหง่านโดยไม่พึ่งพาทุนผูกขาด เช่น การพึ่งพาเรื่องพลังงาน สนับสนุนให้เกษตรกรปลูก ‘หญ้าเนเปียร์’ เพื่อนำมาผลิตแก๊ส หรือแม้แต่นำมาพัฒนาเป็นพลังงานไปปั่นเป็นกระแสไฟฟ้าได้ ซึ่งเป็นแนวคิดในการใช้สินค้าการเกษตร พัฒนาพลังงานสะอาด ก้าวข้ามฟอสซิล

‘ช่อ’ นำทีม ‘ผู้สมัครก้าวไกล’ บุกหาเสียงโคราช แจง!! แก้ 112 เพื่อไม่ให้เป็นเครื่องมือทางการเมือง

เมื่อวันที่ 24 เม.ย.66 น.ส.พรรณิการ์ วานิช ผู้ช่วยหาเสียงพรรคก้าวไกล ลงพื้นที่หาเสียงกับผู้สมัคร ส.ส.นครราชสีมา 4 เขต เริ่มจากตลาดเช้าปักธงชัย กับนายชรินทร์ ทำดี ผู้สมัคร ส.ส.นครราชสีมา เขต 12 (เบอร์ 7) ต่อด้วยการเดินหาเสียงกับข้าราชการท้องถิ่นสำนักงานเทศบาลนครนครราชสีมา กับนายฉัตร สุภัทรวณิชย์ ผู้สมัคร ส.ส. เขต 1 (เบอร์ 3) ซึ่งได้รับเสียงตอบรับอย่างดี มีข้าราชการมาขอถ่ายรูปด้วยเป็นจำนวนมาก โดย น.ส.พรรณิการ์ ระบุว่า นโยบายของพรรคก้าวไกล คือการเพิ่มงบประมาณ และอำนาจให้กับท้องถิ่น เพื่อให้แต่ละพื้นที่ดูแลบำบัดแก้ไขปัญหาของประชาชนได้รวดเร็ว ไม่ต้องรอราชการส่วนกลาง เทศบาลก็จะสามารถทำงานได้คล่องตัวขึ้น

หลังจากนั้น น.ส.พรรณิการ์ ได้เดินตลาดสระครก ตลาดไนท์บ้านเกาะ ตลาด RN yard ต่อด้วยตลาดเซฟวัน กับนายศุภชาติ รุจิพรวศิน ผู้สมัคร ส.ส.นครราชสีมา เขต 2 (เบอร์ 1) และนายศุทธสิทธิ์ พจน์ฐศักดิ์ ผู้สมัคร ส.ส.นครราชสีมา เขต 3 (เบอร์ 11) ซึ่งตลาดเซฟวันเป็นตลาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในเมืองโคราช ตลอดการเดินมีประชาชนเข้ามาขอถ่ายรูปทักทายอย่างคึกคัก ส่วนใหญ่ระบุว่า พร้อมกาให้ก้าวไกลทั้งบ้าน

‘กรณ์’ ขึ้นเวทีดีเบตสงขลา ลั่น!! ขอแก้ปัญหาทุนผูกขาด หากทำได้ ระบบเศรษฐกิจสร้างสรรค์เกิด คนไทยจะลืมตาอ้าปาก

‘กรณ์’ ขึ้นเวทีดีเบตสงขลา ลั่น!! คนไทยจะลืมตาอ้าปากได้ ต้องรื้อระบบทุนผูกขาด หยุดการเมืองสกปรก แนะปรับทัศนคติผู้นำ เปลี่ยนความไม่สงบสามจังหวัดชายแดนใต้ เป็นพื้นที่สร้างสรรค์ ให้โอกาสประชาชนร่ำรวย เชื่อ!! ชาวสงขลาเปิดทางให้ลูกชาวบ้านเป็นผู้แทน 

เมื่อวันที่ 24 เม.ย.66 นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า ขึ้นเวทีดีเบต ที่จังหวัดสงขลา ณ สวนสาธารณะ เมืองสงขลา โดยกล่าวว่า วันนี้ตนขอมาให้คำตอบสั้น ๆ ชัด ๆ ว่าเราจะช่วยให้พี่น้องชาวใต้และคนไทยทั้งประเทศลืมตาอ้าปากได้ ต้องรื้อระบบทุนผูกขาดที่เป็นต้นตอทำให้ประชาชนทั้งประเทศไม่สามารถที่จะแข่งขันได้ ไม่มีโอกาสที่จะก้าวหน้าในชีวิต และเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้สินค้า ค่าครองชีพของพี่น้องสูงขึ้น สร้างความเดือดร้อนให้พี่น้องคนไทยตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา และถามว่าเรื่องทุนผูกขาดเราจะแก้ได้อย่างไรจึงจะแก้ได้ เป็นโอกาสและเป็นสิทธิของพี่น้องประชาชน ในวันที่ 14 พฤษภาคมนี้

‘ปิยบุตร’ ช่วย ‘ภัณฑิล’ หาเสียงคลองเตย ปชช. ตอบรับดี ลั่น!! กระแส ‘ก้าวไกล’ ยังเพิ่มได้อีก มั่นใจ!! สู้บ้านใหญ่ได้

‘ปิยบุตร’ ลงพื้นที่ช่วยผู้สมัครคลองเตย หาเสียง ลั่น กระแสก้าวไกลยังเพิ่มได้อีก มั่นใจ สู้บ้านใหญ่ได้ เมิน นักร้อง ปมครอบงำพรรค เหน็บหมดยุคขี้แพ้ชวนตี
.
(24 เม.ย.66) นายปิยบุตร แสงกนกกุล ในฐานะผู้ช่วยหาเสียงของพรรคก้าวไกล ลงพื้นที่ตลาดนัด แฟลต12 เขตคลองเตย เขตวัฒนา ช่วยนายภัณฑิล น่วมเจิม ผู้สมัครส.ส.กทม. พรรคก้าวไกล เบอร์ 2 ซึ่งได้รับเสียงตอบรับจากประชาชนเป็นอย่างดี

นายปิยบุตร กล่าวถึงความั่นใจในเชตพื้นที่คลองเตย ว่า หากเปรียบเทียบคะแนนเมื่อปี 62 พรรคอนาคตใหม่แพ้ไปนิดเดียว ส่วนรอบนี้ที่เป็นพรรคก้าวไกล เชื่อว่ากระแสดีเบตของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค และแกนนำหลายคนที่ตระเวนออกเวทีดีเบตทุกเวที ผู้ช่วยหาเสียงนายธนาธร น.ส.พรรณิการ์ และตนช่วยหาเสียงแบบดาวกระจายทั่วประเทศ ทำให้มีกระแสสูงมากกว่าปี 62

การเลือกตั้งครั้งนี้ไม่ได้มีแค่นิวโหวตเตอร์ ที่เป็นเยาวชนคนรุ่นใหม่ แต่มีประชาชนหลากหลายช่วงวัยสนับสนุนพรรคก้าวไกลมากขึ้น ดังนั้นการเลือกตั้งครั้งนี้น่าจะมีลุ้นทุกเขต สำหรับการแข่งขันในเขตวัฒนา-คลองเตย กับเจ้าของพื้นที่เดิมอย่างนางกรณิศ ผู้สมัครพรรคภูมิใจไทย ประเมินจากการเลือกตั้งครั้งก่อน ประชาชนเลือกเพราะต้องการให้พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรี จึงเฉือนชนะไปนิดเดียว

“รอบนี้กระแสเปลี่ยน ประชาชนอยากเปลี่ยนนายกฯ เปลี่ยนขั้วรัฐบาล เปลี่ยนโครงสร้างประเทศไทยให้ยุติธรรมเสมอภาคเท่าเทียมกันเชื่อว่าพรรคก้าวไกลจะมีโอกาสในเขตวัฒนา-คลองเตย”

นายปิยบุตร กล่าวต่อว่า ส่วนผลสำรวจของซูเปอร์โพล ที่พรรคก้าวไกลได้คะแนนเพิ่มขึ้นในฐานะนักวิเคราะห์ มองว่าคะแนนจะเพิ่มขึ้นได้อีกเรื่อยๆ สวนทางกับกระแสของแต่ละพรรคที่เริ่มหยุด กลยุทธ์พรรคก้าวไกลจะส่งผู้ช่วยหาเสียงปราศรัยในพื้นที่ต่าง ๆ โดยวันนี้นายธนาธรลงพื้นที่ภาคใต้กระแสตอบรับดีมาก ทั้งที่หลายคนเชื่อว่าพื้นที่ภาคใต้มักจะเป็นคนอนุรักษ์นิยม พรรคก้าวไกลน่าจะไม่มีคะแนน

ส่วนน.ส.พรรณิการ์ ไปภาคอีสานโดยเฉพาะจ.ขอนแก่น พรรคก้าวไกลน่าจะได้ลุ้น ทั้งเขต 1-4 ขณะที่ตนสัปดาห์นี้จะประจำพื้นที่กทม.และปริมณฑล ด้านนายพิธา และน.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ตระเวนดีเบต เป็นการแบ่งหน้าที่กันทำ พรรคก้าวไกลนิยมปราศรัยเวทีย่อย เพราะเราต้องไปหาประชาชนในพื้นที่ให้ใกล้ที่สุด ไม่รบกวนพี่น้องประชาชนให้เดินทางมาที่เวทีปราศรัย

“ส่วนการสู้กับกระสุนและบ้านใหญ่ในพื้นที่ต่าง ๆ ขณะนี้กระแสพรรคก้าวไกลกระจายไปทั่ว เป็นหน้าที่ของผู้สมัครที่จะต้องเดินทางไปเก็บกระแสให้เปลี่ยนมาเป็นคะแนน เชื่อว่ากระแสจะสู้กระสุนได้ ความคิดและดุมการณ์ของพรรคก้าวไกลที่ชัดเจนอย่างตรงไปตรงมาจะทำให้สู้กับบ้านใหญ่ได้”

เมื่อถามว่า ขณะนี้มีกระแสว่านายธนาธร และนายปิยบุตร ทำงานเกินหน้าที่เข้าข่ายครอบงำพรรค นายปิยบุตร กล่าวว่า นักร้องก็ต้องทำหน้าที่คอยร้องสกัด ตนอยากให้การเลือกตั้งแข่งขันอย่างตรงไปตรงมา ชนะก็คือชนะแพ้ก็ต้องยอมรับความพ่ายแพ้ ควรหมดประเพณีนิยม “เตะสกัดขัดขา”ผ่านการร้องเรียนยุบพรรคตัดสิทธิ

หากทำเช่นนี้บ่อยๆก็เหมือนกับขี้แพ้ชวนตี ต่อให้ร้องเรียนมาก็ไม่เป็นไรยืนยันว่าผม นายธนาธร และน.ส.พรรนิกา ทราบดีว่าเป็นได้แค่ผู้ช่วยหาเสียงและกองเชียร์ ไม่ใช่โค้ชไปสั่งสอน พรรคก้าวไกลจ้างมาให้ช่วยหาเสียงเท่านั้น ก่อนจะมาปราศรัยก็ต้องเปิดสมุดนโยบายหาเสียงต้องไม่เกินเลย ส่วนพรรคจะตัดสินใจวางหมากวางเกมอย่างไรก็เป็นเรื่องของพรรค หากเลือกตั้งเสร็จจะเลือกร่วมรัฐบาลหรือไม่ก็เป็นเรื่องของพรรคที่ต้องคิดอ่าน


ที่มา : https://www.khaosod.co.th/election-2023/news_7628822

‘ตร.ไซเบอร์’ ทลาย ‘แก๊งจีน’ ลวงส่งของเก็บเงินปลายทาง พบเหยื่อโผล่ทั่วไทย เงินหมุนเวียน 20 ล้านบาท

ตร.ไซเบอร์ทลาย"แก๊งจีน"ตีเนียนส่งของเก็บเงินปลายทาง พบเหยื่อโผล่ทั่วไทย บุกค้นโกดังสินค้าย่านบางนาพบพัสดุนับหมื่นชิ้น เร่งขยายผลล่านายทุนจีนตัวการใหญ่ เผยเงินหมุนเวียนกว่า 20 ล้าน
.
(24 เม.ย.66) พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. พล.ต.ต.วิวัฒน์ คำชำนาญ รอง ผบช.สอท.พล.ต.ต.ณัฐกร ประภายนต์ ผบก.สอท 2 พ.ต.อ.จักรกฤช ศรีโรจ นากูร ผกก.2 บก.สอท.2  นำกำลัง บก.สอท. 2 ปิดล้อมตรวจค้น 3 จุด ในพื้นที่บางนา หลังได้รับการร้องเรียนจากประชาชนจำนวนมากว่าได้รับความเดือดร้อนจากการที่มีพัสดุเก็บเงินปลายทางมาส่ง ทำให้หลงเชื่อว่าอาจจะมีบุคคลในครอบครัวหรือเพื่อนร่วมงานเป็นคนสั่งก่อนชำระเงินให้ไป ทำให้เดือดร้อนและเกิดความเสียหาย มีผู้หลงเชื่อชำระเงินไปเป็นจำนวนมาก

โดยจุดที่น่าสนใจเป็นการเข้าตรวจค้นโกดัง เก็บของ รับของ 2 แห่ง ภายในซอยบางนาตราด 17 แขวงบางนาเหนือ เขตบางนา กทม. ซึ่งลักษณะเป็นโกดังให้เช่า โดยโกดังแห่งแรกเป็นโกดังเก็บพัสดุสินค้า จากการตรวจสอบพบพัสดุสินค้าหลายรายการ ภายในบรรจุสินค้าหลายรายการ อาทิ เครื่องสำอาง,รองเท้า, เสื้อผ้า อุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น  นอกจากนี้ยังพบกล่องพัสดุเปล่าที่เตรียมแพ็กของสุ่มส่งลูกค้า  และสติกเกอร์รายชื่อที่อยู่ของเหยื่อที่ถูกทำลายเป็นจำนวนมาก  อีกทั้งตรวจค้นในสำนักงานพบคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีรายชื่อของผู้รับถูกบันทึกไว้อย่างละเอียดในระบบคอมพ์พิวเตอร์ และยังมีสินค้าตีกลับอีกนับหมื่นรายการ

โกดังที่สองเป็นโกดังสำหรับแพคพัสดุที่รอทำการส่ง พบชั้นวางกล่องพัสดุที่ถูกตีกลับ และกระสอบใส่กล่องพัสดุที่ถูกตีกลับกว่าหมื่นกล่อง  รวมทั้งบาร์โค้ดที่ใช้สำหรับส่งของพัสดุ  นอกจากนี้ทั้งสองจุดสามารถควบคุมตัวผูู้ดูแล คือ น.ส.สุรีพร อายุ 30 ปี ตามหมายจับศาลจังหวัดนนทบุรี ที่ จ. 225 /2566 ลงวันที่ 24 เม.ย.ในความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน,นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน และคุมตัวนายตู่ อายุ 27 ปีพนักงานแพ็กของ

เบื้องต้นทั้งสองอ้างว่าไม่รู้ไม่เห็นว่าเป็นพฤติกรรมการหลอกลวงส่งของเก็บเงินปลายทาง ทั้งในส่วนบาร์โค้ด รายชื่อลูกค้า และโลโก้บริษัทส่งของต่างๆ อ้างเพียงถูกจ้างมาแพ็กของติดชื่อส่งพัสดุยังผู้รับ ได้ค่าจ้างเดือนละ  15,000 บาท ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ทั้งในส่วนรายชื่อ หรือพัสดุ โดยเจ้าของกิจการ ซึ่งเป็นคนจีนจัดหามาให้เพียงแค่ทำตามคำสั่งเท่านั้น แต่ให้ข้อมูลว่าสินค้าทั้งหมดนำเข้ามาจากจีน แต่ไม่ทราบวิธีการนำเข้า จากนั้นจะนำชื่อที่อยู่ของผู้รับ จากระบบคอมพิวเตอร์ปริ้นท์ลงกระดาษแปะหน้ากล่อง ก่อนจะนำไปส่งต่อยังบริษัทรับส่งพัสดุ เพื่อนำส่งไปตามที่อยู่ที่ระบุหน้ากล่อง ซึ่งทั้งหมดจะถูกเก็บเงินปลายทางยังผู้รับทุกวัน โดยแต่ละวันจะส่งวันละหลายร้อยกล่อง ที่ผ่านมาก็ถูกตีกลับเกินครึ่ง และหากสินค้าที่ถูกตีกลับมาจะนำลอกชื่อหน้ากล่องออก แปะข้อมูลของอีกคนเข้าไปแทนจากนั้นดำเนินการส่งใหม่อีกรอบ ทำซ้ำๆ วนไปแบบนี้เป็นวงจรปกติ สำหรับรายชื่อของผู้รับไม่ทราบว่าเจ้าของซึ่งเป็นคนจีนนำมาจากไหน แต่จะมีเข้ามาในระบบเรื่อยๆ

พล.ต.ท.วรวัฒน์ กล่าวว่า ตามนโยบายของพล.ต.อ. ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. พล.ต.อ. ต่อศักดิ์ สุขวิมล รองผบ.ตร. ที่เน้นย้ำสั่งการให้ปราบปรามอาชญากรรมทางออนไลน์ หลังสถิติการรับแจ้งความทางออนไลน์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติพบว่า มีประชาชนตกเป็นเหยื่อจากการสั่งสินค้าทางออนไลน์สูงเป็นอันดับหนึ่ง ขณะเดียวกันทาง บก.สอท.2 ได้รับแจ้งจากผู้เสียหายจำนวนมากว่าได้สั่งซื้อสินค้าผ่านเพจเฟชบุ๊ก Wdecd-US แต่ได้รับสินค้าที่ไม่ตรงตามที่สั่ง และกรณีที่ผู้เสียหายได้รับสินค้า ที่ไม่ได้สั่งซื้อ โดยเรียกเก็บเงินปลายทางกับผู้เสียหาย จึงได้แจ้งความไว้ผ่านระบบแจ้งความออนไลน์ หลังรับเรื่องได้ทำการสืบสวนจนทราบว่ากลุ่มผู้ต้องหามีลักษณะเป็นขบวนการ จึงรวบรวมหลักฐานเพื่อออกหมายค้นและหมายจับ

‘ธนาธร’ อ้อน!! กาก้าวไกล ได้การเมืองโปร่งใสไร้ทุจริต พร้อมพลิกความเจริญสู่ชีวิตคนไทยให้ดีขึ้นมหาศาล

(24 เม.ย.66) นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้าและผู้ช่วยหาเสียงพรรคก้าวไกล ร่วมกิจกรรมช่วยหาเสียงผู้สมัคร ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคก้าวไกล โดยเริ่มต้นตั้งแต่ช่วงเช้าที่ตลาดสดเทศบาลนครนครศรีธรรมราช พร้อมเปิดปราศรัยขนาดย่อมที่หน้าตลาด ช่วยหาเสียงให้กับ ปกรณ์ อารีกุล ผู้สมัคร ส.ส.นครศรีธรรมราช เขต 1 (เบอร์ 3) และ พสุธน โมคคัลลา กลับนุ้ย ผู้สมัคร ส.ส.นครศรีธรรมราช เขต 2 (เบอร์ 2)

ก่อนเดินทางต่อไปยัง อ.ปากพนัง เปิดปราศรัยขนาดย่อมที่หน้าท่าเรือข้ามฟากปากพนังฝั่งซ้าย ก่อนนั่งเรือข้ามฟากไปเดินหาเสียงแจกแผ่นพับที่ตลาดเทศบาลเมืองปากพนัง พร้อมกับ ชนิศา ชูเมือง ผู้สมัคร ส.ส.นครศรีธรรมราช เขต 3 (เบอร์ 4)

หลังจากนั้น เดินทางเข้าสู่ อ.ทุ่งสง พบปะประชาชนที่ศูนย์ประสานงานพรรคก้าวไกล เขต 6 นครศรีธรรมราช ร่วมกับ ปิยวัฒน์ สิริพันธ์พงศ์ ผู้สมัคร ส.ส.นครศรีธรรมราช เขต 6 (เบอร์ 8) ก่อนขึ้นรถแห่ไปตามถนนเส้นหลักของ อ.ทุ่งสง เดินทางต่อไปยัง อ.ทุ่งใหญ่ ช่วยหาเสียงให้กับ พุฒิพงศ์ ลุ่ยจิ๋ว ผู้สมัคร ส.ส.นครศรีธรรมราช เขต 7 (เบอร์ 5) ขึ้นรถแห่ไปตาม อ.ทุ่งใหญ่ และเปิดเวทีปราศรัยที่สนามกีฬาตำบลบางรูป

โดยระหว่างการหาเสียงวันนี้ มีประชาชนชาวนครศรีธรรมราชที่ให้ความสนใจเดินเข้ามาฟังการปราศรัยอย่างหนาแน่นในทุกจุด รวมทั้งได้เข้ามาพบปะพูดคุย ขอถ่ายภาพร่วมกัน และนำสิ่งของทั้งของฝากและของทาน เช่น สะตอ ขนมทองหยิบ-ทองหยอด ส้ม น้ำเต้าหู้ ของเล่น มาทำเป็นพวงมาลัยมอบให้จำนวนมาก

การปราศรัยวันนี้ ธนาธรได้กล่าวถึงเหตุผลที่พรรคก้าวไกลเสนอคำขวัญ ‘กาก้าวไกลประเทศไทยไม่เหมือนเดิม’ ว่าเพราะเราต้องการตอบโจทย์ที่ประชาชนคนไทยจำนวนมากหมดหวังไปแล้ว ไม่เชื่อว่าการเลือกตั้งจะทำให้ประเทศไทยเปลี่ยนไปได้ แต่เราเชื่อว่าประเทศไทยดีกว่านี้ได้ ลูกหลานควรได้รับโอกาสเติบโตมาในสังคมที่ดีกว่านี้ และวิธีการทำงานของเราแตกต่างจากคนอื่น เพราะพรรคก้าวไกลไม่เคยคิดว่าจะแก้ปัญหาแบบขอไปที การทำแบบนั้นไม่สามารถพาประเทศไทยไปไกลกว่านี้ได้ แต่ต้องแก้ปัญหาที่ต้นตอ

เช่น เรื่องของ ส.ป.ก. ซึ่งที่ตำบลบางรูปแห่งนี้ ที่ที่เรายืนอยู่ตรงนี้ เป็นที่ดิน ส.ป.ก. เช่นกัน วันนี้ ส.ป.ก. ไม่สอดคล้องกับสภาพสังคมที่เป็นเมืองในปัจจุบันแล้ว แต่ ส.ป.ก. ยังคงกักขังคนให้มีทางเลือกแค่ทางเดียวคือการทำการเกษตร ไม่ให้ทำห้องพัก ร้านกาแฟ และกิจการอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเกษตร และวิธีการแก้ปัญหาของพรรคก้าวไกล ซึ่งแตกต่างจากพรรคอื่น คือการทำให้ ส.ป.ก. เป็นโฉนด ทราบมาว่ามีร่างกฎหมายแล้ว พร้อมนำเสนอเข้าสู่สภาฯ ไม่ว่าพรรคก้าวไกลจะเป็นฝ่ายค้านหรือฝ่ายรัฐบาล ใน 30 วันแรกหลังเปิดสภาฯ พรรคก้าวไกลบอกว่ายื่นร่างกฎหมายฉบับนี้เข้าสู่สภาฯ แน่นอน

การแก้ปัญหายางพาราก็เช่นกัน ตั้งแต่อนาคตใหม่ถึงก้าวไกล ไม่เคยสัญญาว่าจะให้ราคายางเท่าไร แจกเงินแจกง่าย สร้างงานสร้างยาก แต่อยากให้ประเทศเติบโตอย่างยั่งยืนต้องสร้างงาน ในระยะสั้นต้องอัดฉีดเงินแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า แต่ระยะยาวต้องสร้างอุตสาหกรรมยางพาราในประเทศไทยให้ได้ วันนี้มาเลเซียเลิกปลูกยางไปแล้ว ซื้อน้ำยางข้นผ่านด่านสะเดาบ้านเราเอาไปแปรรูปที่มาเลเซีย แปรรูปจนเกิดมูลค่าเพิ่มสูงกว่า ปล่อยให้คนไทยเป็นคนปลูกยาง ภูมิใจได้แค่ว่าเป็นผู้ส่งออกยางเยอะที่สุด แต่เครื่องจักรพื้นฐานที่สุดในการแปรรูปยางยังผลิตในประเทศไทยไม่ได้เลย

ธนาธรกล่าวต่อไป ว่าตนมองไม่ออกเลยว่าทำไมการแก้ปัญหาราคายางพาราแบบนี้ถึงจะทำไม่ได้ จะแก้ปัญหายางพาราต้องทำแบบนี้ สร้างอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับการแปรรูปยางพารา เป็นรองเท้านักเรียน สนามเด็กเล่น อุปกรณ์การเรียนการสอน วัสดุกันกระแทกในอุตสาหกรรมการบิน ยานยนต์ ฯลฯ แปรรูปที่นี่ เกิดมูลค่าเพิ่มที่นี่ แล้วส่งออกไปขายต่างประเทศ นี่คือการแก้ปัญหาที่ต้นตอ และเป็นวิธีการทำงานแบบพรรคก้าวไกล

แต่ขณะเดียวกัน ก็มีคนปรามาสพรรคก้าวไกลมากมายว่าเป็นพวกสุดโต่ง เร็วเกินไป ไม่มีประสบการณ์ แต่สี่ปีที่ผ่านมาพรรคก้าวไกลไม่ใช่หรือที่ทำผลงานในสภาได้โดดเด่นที่สุด ยกตัวอย่างเมื่อไม่กี่เดือนที่แล้ว จากการอภิปรายเปิดโปงรัฐมนตรีคนหนึ่งว่ามีผลประโยชน์ทับซ้อน จนเกิดคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ นี่คือผลงานของ ส.ส. พรรคก้าวไกลที่เปิดโปงและปกป้องผลประโยชน์ของประชาชนได้หลายพันล้านบาท

‘กรณ์’ ลุยหาเสียงสงขลา ยกกรณีลดค่าไฟ 2 สตางค์ ช่วยปชช. ไม่ได้ ชี้!! เลือก ‘ชพก.’ การเมืองเปลี่ยน ยัน!! ต้องยกเลิกเก็บเอฟที

สงขลาแตก พ่อค้าประชาชน แห่ต้อนรับ กรณ์- จูรี และ 4 ผู้สมัคร ส.ส. เชียร์สุดใจให้ได้เป็นผู้แทน ชื่นชมนโยบายยกเลิกแบล็กลิสต์ต่อชีวิตคนตัวเล็ก ‘กรณ์’ สวน มติ กกพ.ลดค่าไฟ 2 สตางค์ ลดให้ประชาชนด่า ยันต้องยกเลิกเก็บเอฟที ช่วยประชาชนได้จริง 

(24 เมษายน) นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า ลงพื้นที่ อ.หาดใหญ่  จ.สงขลา หาเสียงช่วย 2 สมัคร ส.ส. สงขลา นายจูรี นุ่มแก้ว เขต 2 เบอร์ 8 และทนายอาร์ม นายพงศธร สุวรรณรักษา.เขต 9 เบอร์ 8 ในช่วงโค้งสุดท้าย ณ บริเวณใจกลางเมืองหาดใหญ่ และตลาดกิมหยง โดยได้พบกับพ่อค้าแม่ค้าและนักธุรกิจเป็นจำนวนมาก โดยประชาชนชาวหาดใหญ่มีความคาดหวังว่าจะได้ผู้แทนหน้าใหม่ ที่เข้าใจบริบทของการค้า การลงทุนและการพัฒนาเมือง เพื่อพัฒนาหาดใหญ่เป็นเมืองการค้าที่สำคัญ 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีกลุ่มนักธุรกิจหาดใหญ่ได้เข้ามาทักทาย นายกรณ์ และชื่นชมนโยบายของพรรคชาติพัฒนากล้า โดยเฉพาะยกเลิกแบล็กลิสต์เพราะถือเป็นการต่อลมหายใจธุรกิจท่องเที่ยวโดยเฉพาะ ผู้ประกอบการหลายรายขาดสภาพคล่องหนักในช่วงโควิด รวมถึงนโยบายการลดค่าไฟ และค่าน้ำมันที่นายกรณ์ ออกมาต่อสู้เพื่อประชาชนมาโดยตลอดอีกด้วย

นายกรณ์ กล่าวถึงกรณี บอร์ด กกพ.ไฟเขียวลดค่าไฟ 7 สต. เหลือ 4.70 บาทต่อหน่วย โดยชาวบ้านได้ลดค่าไฟจากงวดแรก 2 สตางค์ ใช้ทันบิลเดือนพฤษภาคมนี้ว่า  มติในครั้งนี้เกิดจากที่พรรคชาติพัฒนากล้า ได้ริเริ่มกดดันให้ลดค่าไฟ หลังทราบว่า กกพ.มีมติจะขึ้นค่าไฟในช่วงเดือนพฤษภาคม ซึ่งเป็นช่วงที่ร้อนมาก แต่การลดค่าไฟเพียงแค่ 2 สตางค์ไม่มีผลต่อการแก้ปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน  ตนได้เสนอไปแล้วว่าให้เว้นการเก็บค่าเอฟทีในช่วง 3 เดือน ซึ่งเป็นช่วงร้อนจัด ซึ่งกฟผ.เองก็สามารถแบกรับภาระตรงนี้ได้ไม่มีปัญหาอะไร รัฐบาลเองก็สามารถเข้าไปช่วยบริหารจัดการภาระหนี้สินของ กฟผ. ได้ แต่การประกาศลดค่าไฟเพียงแค่ 2 สตางค์ท่ามกลางความเดือดร้อนของประชาชนที่ต้องเผชิญกับสินค้าราคาแพง ค่าครองชีพสูงขึ้น 

นายกรณ์ กล่าวว่า นอกจากนี้ยังไม่มีเหตุผลใด ๆ ที่จะต้องปรับราคาค่าไฟด้วย ทั้งการนำเข้าก๊าซ LNG ที่นำมาเป็นเชื้อเพลิงผลิตกระไฟฟ้า ก็ลดลง ค่าเงินบาทก็มีเสถียรภาพ ทำไมถึงลดค่าไฟให้กับประชาชนมากกว่านี้ไม่ได้ ขอให้คิดตามว่า ถ้าสมมุติค่าไฟ 2,500 บาท เท่ากับใช้ไฟฟ้า 500 หน่วย ลด 2 สตางค์ เท่ากับลดราคาไป 10 บาท ถามว่าทำอะไรได้ ลดให้ถูกด่าเปล่า ถ้าเทียบกับข้อเสนอของเราว่าควรงดเก็บค่าเอฟที จะสามารถประหยัดได้ถึง 500 บาทต่อเดือนมันมีผลต่อค่าครองชีพ 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top