Tuesday, 13 May 2025
SPECIAL

‘เพื่อไทย’ ปล่อยโปสเตอร์นโยบายพรรค ผ่านพยัญชนะ ‘ก-ฮ’ ตอกย้ำ!! พท. คำนึงถึงคุณภาพชีวิตของคนไทยทุกกลุ่ม

เมื่อวันที่ 26 เม.ย.66 เพจพรรคเพื่อไทย โพสต์โปสเตอร์นโยบายเริ่มต้นด้วยพยัญชนะ ก-ฮ สร้างความฮือฮาในโลกโซเชียลมีเดียเป็นอย่างมาก โดยภาพดังกล่าวระบุว่า..

ภาพดังกล่าวได้ออกแบบให้คล้ายโปสเตอร์สื่อการสอนพยัญชนะภาษาไทย จำนวน 44 ตัว เรียงลำดับตั้งแต่ ก.ไก่ ไปจนถึง ฮ-นกฮูก แต่ปรับคำขยายความให้เป็นนโยบายของพรรคเพื่อไทยแทน เพื่อสร้างการจดจำใหม่ เช่น ตัวอักษร ก.เกษตรกร พักหนี้ 3 ปี, ง.เงิน ดิจิทัล 10,000 บาท , ฑ.บัณฑิต เงินเดือนเริ่ม 25,000 บาท, ร.รถไฟ ความเร็วสูง รวมทั้ง อ.อากาศสะอาด เป็นต้น เพื่อเป็นการตอกย้ำว่าพรรคเพื่อไทย คำนึงถึงคุณภาพชีวิตที่ดีของคนไทยทุกกลุ่ม นโยบายต่างๆ จึงมีความครอบคลุมทุกความต้องการของพี่น้องประชาชนทุกคน โดยที่พยัญชนะในโปสเตอร์ดังกล่าว เป็นเพียงส่วนหนึ่งของนโยบายเท่านั้น ยังมีอีกหลากหลายนโยบายดีๆ ที่พร้อมดำเนินการทันทีหลังแลนด์สไลด์

'พิธา' กร้าว!! ขับเคลื่อน 300 นโยบายก้าวไกล '100 วันแรก - 1 ปีแรก - สมัยแรก' เห็นผล!!

'พิธา' เสนอโรดแมปรัฐบาลก้าวไกล เตรียมรื้องบ 250,000 ล้านทำสวัสดิการประชาชน พร้อมเสนอกฎหมาย 45 ฉบับ ทันทีที่เปิดสภา

(27 เม.ย.66) นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล แถลงแผนงานรัฐบาลก้าวไกลในการขับเคลื่อนนโยบายทั้ง 300 นโยบายของพรรคก้าวไกล โดยพิธากล่าวว่าพรรคก้าวไกลได้วางกรอบเวลาในการขับเคลื่อนนโยบายหลักที่สามารถผลักดันได้ใน 100 วันแรก 1 ปีแรก และสมัยแรก ภายใต้กรอบ ‘การเมืองดี ปากท้องดี มีอนาคต’

สำหรับแผนงาน 100 วันแรกในการสร้าง ‘การเมืองดี’ พิธาประกาศว่าพรรคก้าวไกลสามารถใช้อำนาจของฝ่ายบริหาร นับหนึ่งรัฐธรรมนูญใหม่ทันที ด้วยการเสนอทำประชามติภายใน 100 วันแรก ให้มี สสร. ที่มาจากการเลือกตั้งโดยประชาชนทั้งหมด นอกจากนี้ พิธายังเตรียมเสนอให้ ครม. นำกฎหมายสมรสเท่าเทียมขึ้นมาพิจารณาต่อ ทบทวนการดำเนินคดีการเมืองและเสนอกฎหมายนิรโทษกรรมคดีการเมืองทั้งหมดในฐานะกฎหมายของ ครม. รวมทั้งออกและยกเลิกกฎ ประกาศกระทรวงต่างๆ เพื่อปฏิวัติระบบราชการให้โปร่งใส และปลดล็อกกฎของมหาดไทยที่ฉุดรั้งความอิสระขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

ส่วน ‘ปากท้องดี’ พิธาประกาศว่าใน 100 วันแรก พรรคก้าวไกลจะกระตุ้นเศรษฐกิจและแก้ปัญหาปากท้องทันทีด้วยการทำนโยบายหวยใบเสร็จ เพิ่มกำลังซื้อครั้งใหญ่ กระตุ้นเศรษฐกิจรายย่อยให้คึกคักได้ตลอดปี นอกจากนี้ พรรคก้าวไกลมีแผนจะดึงดูดการค้าและการลงทุนโดยการใช้กองทุนเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน (Competitiveness Fund) ซึ่งมีเหลืออยู่ประมาณ 10,000 ล้านบาท สนับสนุนการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายที่สร้างเทคโนโลยีให้เกิดขึ้นในประเทศไทย เปลี่ยนสูตรการจัดสรรก๊าซธรรมชาติทันที เพื่อลดค่าไฟ 70 สตางค์ภายใน 1 ปี และขึ้นค่าแรงขั้นต่ำทันที 450 บาท พร้อมทั้งมีมาตรการช่วยเหลือ SME รัฐช่วย SME จ่ายประกันสังคม 6 เดือน ค่าแรงหักภาษีได้ 2 เท่า 2 ปี

อีกส่วนของนโยบายเศรษฐกิจที่ทำได้เลยใน 100 วันแรก คือการปลดล็อกกฎกระทรวงและนโยบายของรัฐบาลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นทำ ‘สุราก้าวหน้า’ ด้วยการปลดล็อกกฎกระทรวงการคลัง ออกมติ ครม. ที่ปลดล็อกการออกโฉนดที่ดินให้นิคมสหกรณ์และนิคมสร้างตนเอง 6.5 ล้านไร่ ทันที และ เปิดเสรีโซลาร์เซลล์ (Net Metering) เพื่อให้ ‘หลังคาสร้างรายได้’ ให้คนไทยทั้งประเทศสามารถผลิตไฟฟ้าได้เองบนหลังคาบ้าน

สุดท้าย ‘มีอนาคต’ สิ่งที่ทำได้ใน 100 วันแรก คือ ‘ปฏิวัติการศึกษา’ กฎโรงเรียนต้องไม่ขัดหลักสิทธิมนุษยชน ครูละเมิดสิทธิพักใบประกอบทันที และเลิกให้ครูนอนเวร ‘คืนศักดิ์ศรีประเทศไทยในเวทีโลก’ ด้วยการกระชับความสัมพันธ์กับกลุ่มประเทศในอาเซียน ไม่ว่าจะเป็นอินโดนีเซีย สิงคโปร์ มาเลเซีย และเวียดนาม เพื่อสร้างความเป็นปึกแผ่นระหว่างกลุ่มประเทศอาเซียน และสร้างอำนาจต่อรองในการรักษาความสัมพันธ์ที่สมดุลกับประเทศนอกกลุ่ม และให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมปฏิบัติต่อผู้ลี้ภัยทางการเมืองด้วยความเคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ‘คืนสุขภาพดี ทั้งกาย-ใจ’ เซ็นงบเสริมสร้างสุขภาพและป้องกันโรค (PP) ปลดล็อกงบประมาณในการป้องกันเชื้อ HIV ที่รัฐมนตรีสาธารณสุขในรัฐบาลประยุทธ์ไม่ยอมเซ็น เพิ่มตรวจสุขภาพจิตในการตรวจสุขภาพประจำปีได้ เริ่มการบริจาคอวัยวะเชิงรุก และปราบฝุ่น PM2.5 กำหนดมาตรฐานห้ามนำเข้าสินค้าเกษตรที่เกี่ยวข้องกับการเผาทันที

ส่วนแผนงาน 1 ปีแรก พรรคก้าวไกลเตรียมทำ 2 ส่วน คือการยื่นเสนอกฎหมายและรื้องบประมาณ 2567 พิธากล่าวว่าพรรคก้าวไกลมีกฎหมายอยู่ในมือแล้ว 45 ฉบับที่พร้อมเสนอทันทีที่สภาฯ เปิด เป็นกฎหมายการเมือง 11 ฉบับ สิทธิเสรีภาพประชาชน 8 ฉบับ ปฏิรูประบบราชการ 6 ฉบับ ปฏิรูปที่ดิน 8 ฉบับ บริการสาธารณะ 8 ฉบับ แรงงาน 2 ฉบับ เศรษฐกิจ 4 ฉบับ และสิ่งแวดล้อม 2 ฉบับ

อีกส่วนคืองบประมาณ พรรคก้าวไกลเตรียมรื้องบประมาณ 2567 ใหม่ ลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นในระบบราชการและเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษี ซึ่งจะทำให้ได้งบประมาณใหม่ 250,000 ล้านบาท งบประมาณส่วนนี้ พรรคก้าวไกลจะนำไปจัดสรรเป็นโครงการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกองทุนพิสูจน์สิทธิ์และปลดหนี้เกษตรกร ทำ boxset ของขวัญแรกเกิดเด็กทุกคนทันที คนละ 3,000 บาท เงินเลี้ยงดูเด็กเล็ก 1,200 บาท/เดือน รวมทั้งเริ่มการเพิ่มเบี้ยยังชีพผู้สูงวัยและคนพิการปีแรกขยับจาก 600 บาท เป็น 1,200 บาท และจะขยับขึ้นต่อเนื่องเป็นขั้นบันไดให้ถึงคนละ 3,000 บาท/เดือน ภายในปีที่ 4 นอกจากนี้จะจัดสรรงบประมาณไปในอีกหลายภาคส่วนเพื่อตอบโจทย์เศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงขนส่งสาธารณะ ลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา สนับสนุนค่าเดินทาง-ค่าตรวจในการตรวจสุขภาพประจำปี และเศรษฐกิจสร้างสรรค์

‘ฟิล์ม รัฐภูมิ’ ส่งกำลังใจถึง ‘ป๊อป นิธิ’ หลังเจอดรามา ภรรยาคนดังช่วยหาเสียง ชี้ เลือกคนทำงานอย่ามองแค่กระแส มั่นใจ!! ประชาชนดูออก

(27 เม.ย.66) นายรัฐภูมิ โตคงทรัพย์ ผู้สมัครส.ส.กทม. เขต 22 เขตสวนหลวง เบอร์ 1 พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวถึงกระแสวิจารณ์กรณีที่ภรรยาของน.ต.นิธิ บุญยรัตกลิน ผู้สมัคร ส.ส.กทม.เขต 31 ทวีวัฒนา ตลิ่งชัน เบอร์ 1 พรรคพปชร. ซึ่งเป็นนักแสดง มาช่วยหาเสียง จนเกิดเป็นประเด็นดรามา ว่า ประเด็นที่ น.ส.ปานวาด เหมมณี มาช่วยหาเสียง มองว่าการเมืองตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันเปลี่ยนแปลงกันได้ คนที่เคยไปร่วมชุมนุม เมื่อถึงช่วงเวลาหนึ่งที่สถานการณ์เปลี่ยนไปและคนที่คิดว่าดีกลับไม่ดีอย่างที่ตั้งใจไว้ เราก็ลบรูปทิ้งแล้วก็เชียร์พรรคการเมืองใหม่ที่คิดว่าเป็นกระแสนิยม ทุกสิ่งบนโลกใบนี้ล้วนแล้วแต่มีผลกระทบทั้งสิ้น และตนเติบโตมาในยุคที่การชุมนุมประท้วงสร้างผลกระทบให้คนจำนวนมาก ทหารเข้ามายึดอำนาจ แต่จุดเด่นของพรรคพปชร.คือการก้าวข้ามความขัดแย้ง จึงไม่โทษและไม่ตำหนิใครแต่จะเดินหน้าทำหน้าที่ต่อไป

‘อดีตแกนนำ 3 นิ้ว’ ช่วยผู้สมัคร ส.ส.นนทบุรี รทสช. หาเสียง ลั่น!! ชอบผลงาน-ช่วยเหลือชาวบ้าน เป็นกระบอกเสียงแทน ปชช.

(27 เม.ย. 66) ดร.ปุ๊ก วิภาวัลย์ วรวรรณปรีชา ผู้สมัคร ส.ส.นนทบุรี เขต 1 พรรครวมไทยสร้างชาติ โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กว่า ทีมงานช่วยหาเสียงของปุ๊ก มีทั้งฝ่ายอนุรักษ์นิยม คนเสื้อแดง และแกนนำม็อบ 3 นิ้ว โดยทุกคนเคารพในการตัดสินใจ และเดินหน้าตามแนวทางของปุ๊กและพรรค

พวกเราต้องการพัฒนาให้เมืองนนท์ของเราดีขึ้น ลดความขัดแย้ง ช่วยกันรวมไทยสร้างชาติอย่างแท้จริง

อบอุ่นทุกครั้งที่ลงพื้นที่ ยิ่งเจอพลังเงียบ ยิ่งมั่นใจ

บัตรสีม่วง กาเบอร์ 2 ให้ปุ๊ก วิภาวัลย์ เป็น ส.ส. เขต 1 นนทบุรี (อำเภอเมืองเฉพาะตำบลบางกระสอ ตำบลท่าทราย ตำบลบางเขน)

บัตรสีเขียว กาเบอร์ 22 พรรครวมไทยสร้างชาติ ให้ลุงตู่อยู่ต่อ 14 พ.ค.นี้ เลือกพรรครวมไทยสร้างชาติ ทั้ง 2 ใบ

#ทุกสีเลือกได้
#สาวนนท์ทำได้จริง
#รวมไทยสร้างชาติ

‘ดร.อานนท์’ เผย!! เคยถูกทูตยุโรปเรียกพบ ให้ช่วยสะกดคนไทยยกเลิก 112 กระจ่าง!! 'พรรค-กลุ่มล้มเจ้า' ทำงานเพราะมีใบสั่งอริราชศัตรูนอกประเทศ

ไม่นานมานี้ ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ คณาจารย์สถาบันทิศทางไทย ไขความกระจ่างถึงประเด็น ม.112 ที่ทำไมถึงมีกลุ่มคนและพรรคการเมืองอยากให้ยกเลิก หรือแม้แต่แก้ไข ซึ่งเป็นการดึงฟ้าต่ำ ทำหินแตก แยกแผ่นดิน ไว้ว่า…

“มีความพยายามของต่างชาติในการที่จะยกเลิก ม.112 ผมย้ำนะครับ ความพยายามของต่างชาติ เพราะมีวันหนึ่งผมถูกรับเชิญจากเอกอัครราชทูตของประเทศยุโรปประเทศหนึ่ง (ขอไม่เอ่ยนาม) ไปพูดคุย พอไปถึงเขาก็บอกว่า...เขาต้องการให้ประเทศไทยยกเลิก ม.112 ผมก็ตกใจ ย้อนกลับถามทันทีว่า นี่มันเป็นกิจการภายในประเทศไทยนะ คุณกำลังทำผิดมารยาททางการทูต เข้ามาแทรกแซงกิจการภายในประเทศเรา ซึ่งไม่สมควร 

"จากนั้นผมก็ถามว่า แล้วสิ่งที่ต้องการให้ผมคือทำอะไร เขาบอกว่า เขาต้องการให้ผมไปพูดโน้มน้าวคนในสังคมไทยให้ยกเลิก ม.112...นี่คือเอกอัครราชทูตประเทศหนึ่ง ขอไม่เอ่ยชื่อว่าประเทศไหน ผมก็บอกว่าโอเคงั้นผมจะไปออกข่าวในหนังสือพิมพ์แล้วบอกว่าวันนี้มาพบเอกอัครราชทูตประเทศนั้นประเทศนี้ ที่บอกว่าต้องการให้ไทยยกเลิก ม.112 และให้ผมพูดโน้มน้าวให้คนไทยเห็นด้วย...เขาบอกว่า ไม่ได้อย่าไปพูด เป็นความลับที่คุยกันอยู่ระหว่างเรา 2 คน 

"นี่คือจุดเริ่มต้น ที่ทำผมเลยทราบว่า ที่พรรคการเมืองบางพรรคต้องการดึงฟ้าต่ำ ทำหินแตก แยกแผ่นดิน มันไม่ใช่แค่เพียงเขาอยากทำ แต่เขารับงานจากอริราชศัตรูนอกประเทศต่างประเทศมา มันคือ ‘คนขายชาติ’ 

"และนี่คือ คนต่างชาติที่เข้ามาแทรกแซงกิจการภายในประเทศเราอย่างชัดเจน สังเกตไหมว่า พอตั้งธงบอกว่า 'ยกเลิก' แต่ไม่ประสบความสำเร็จก็เปลี่ยนมา 'แก้ไข' ไอ้แก้ไขก็จะแก้แบบบ้าๆ บอๆ บอกให้ไม่เป็นกฎหมายอาญา แต่ให้เป็นแพ่ง และให้เสียค่าปรับเอา...แบบนี้คนมีเงิน ก็คิดจะด่าใครก็ได้ตามใจ มันไม่ถูก...จะฟ้องผมกับคุณหมอวรงค์ 24,062,475 ล้าน ฐานหมิ่นประมาท แต่พอดูหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์เสียค่าปรับแค่ 3 แสน อ้าว!! แล้วคุณเรียกเรามา 24 ล้าน ตกลงเขาคิดว่าตัวเขาสำคัญกว่าสถาบันพระมหากษัตริย์ แสดงว่าพรรคการเมืองพวกนี้เลวสุดๆ"

‘สรยุทธ’ เล่าอดีตเคยคุยกับ ‘ผอ.กอล์ฟ’ คดีฆ่าชิงทองลพบุรี ปี 63 เจ้าตัวบอก “ติดคุก 10 ปี เดี๋ยวก็ออก” ก่อนศาลสั่งประหารแขนขาตก

(27 เม.ย.66) จากกรณีศาลนัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดีฆ่าชิงทองในห้างสรรพสินค้าปี 63 หมายเลขดำที่ อ.300/2564 ที่พนักงานอัยการคดีอาญา 6 และบริษัท ออโรร่า ดีไซน์ และผู้เสียหายอีก 10 ราย ร่วมกันเป็นโจทก์ฟ้องนายประสิทธิชัย เขาแก้ว หรือกอล์ฟ อายุ 41 ปี อดีตผู้อำนวยการโรงเรียนประถมแห่งหนึ่งใน จ.สิงห์บุรี เป็นจำเลยในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นฯ, พยายามฆ่าผู้อื่นฯ, ชิงทรัพย์ในเวลากลางคืนฯ และความผิดเกี่ยวกับอาวุธปืน กรณีเมื่อวันที่ 9 ม.ค.2563 จำเลยได้ก่อเหตุใช้อาวุธปืนฆ่าชิงทรัพย์ร้านทองออโรร่าในห้างสรรพสินค้าโรบินสัน จ.ลพบุรี เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บ

ทั้งนี้คำพิพากษาศาลเห็นว่า พฤติการณ์ของจำเลยกระทำอย่างอุกอาจ ในห้างสรรพสินค้าอันเป็นที่สาธารณะ กระทำต่อผู้บริสุทธิ์มีคนตายบาดเจ็บหลายคน รวมถึงคนที่ไม่เกี่ยวข้องด้วย อันเป็นพฤติการณ์อุกอาจโหดเหี้ยมอันตรายร้ายแรงผิดมนุษย์ จำเลยเป็นถึงผอ.โรงเรียนควรมีจิตสำนึกที่ดี ให้สมกับมีอาชีพเป็นครู ควรประพฤติตัวให้เป็นเยี่ยงอย่าง กลับกระทำอย่างอุกฉกรรจ์ ที่จำเลยขอปรานีให้ลดโทษจึงไม่มีสมควร ที่ร่างลงโทษประหารชีวิต ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยพิพากษายืน

ขณะที่ สรยุทธ สุทัศนะจินดา อ่านข่าวดังกล่าวในรายการเรื่องเล่าเช้านี้ ซึ่งตอนหนึ่งเผยว่า อยากเล่าให้ฟัง ตอนที่ผมเข้าไปติดคุกในเรือนจำ มีโอกาสเจอ อดีตผอ.กอล์ฟ เข้ามา เจ้าหน้าที่ต้องควบคุมตัวเข้มข้นเลยตอนเข้ามาใหม่ๆ ยังไม่มีการดำเนินคดี ยังไม่มีการพิพากษา เจ้าตัวจะต้องมีผู้ต้องขังด้วยกันคอยประกบ คอยดูแลแต่ดูจะไม่มีอาการเครียด

‘สุวัจน์’ ควง ‘เทวัญ’ ลงพื้นที่ โว ชพก. มีไม้เด็ดปลุกใจคนโคราช เตรียมปราศรัยใหญ่ 28 เม.ย. นี้ มั่นใจ!! นโยบายอยู่ในใจแน่นอน

เมื่อวันที่ 26 เม.ย.66 นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานพรรคชาติพัฒนากล้า (ชพก.) ลงพื้นที่พบปะประชาชนและช่วยนายเทวัญ ลิปตพัลลภ ผู้สมัคร ส.ส.เขต 1 เบอร์ 5 พรรคชพก. ที่ตลาดประปาและตลาดแม่กิมเฮง อ.เมืองนครราชสีมา ก่อนให้สัมภาษณ์ว่า พ่อค้าแม่ค้าส่วนใหญ่กล่าวตรงกันคืออยากให้เศรษฐกิจดี อยากให้คนมาจับจ่ายซื้อสินค้ามากๆ และบ่นเรื่องค่าไฟ จึงบอกไปว่าให้จำเบอร์ 5 ประหยัดไฟ คิดว่าตอนนี้อะไรที่ช่วยลดภาระประชาชนได้ต้องรีบทำ โดยเฉพาะค่าไฟซึ่งเป็นต้นทุนของทุกชีวิต เป็นต้นทุนสินค้า หากค่าไฟค่าน้ำมันถูก สินค้าทุกอย่างก็ลดลง เป็นนโยบายที่ทุกพรรคเห็นตรงกัน ต้องแก้ไขเรื่องค่าไฟ ซึ่งพรรคชาติพัฒนากล้าให้ความสำคัญกับประเด็นนี้

‘ศิลัมพา’ ซัด ‘พท.’ ชี้แจงนโยบายแจกเงินดิจิทัลไม่เคลียร์ ชี้!! ทำ ปชช.สับสน โว ‘คนละครึ่ง’ ของ ‘บิ๊กตู่’ ยังเข้าใจง่ายกว่า

(26 เม.ย. 66) น.ส.ศิลัมพา เลิศนุวัฒน์ ผู้สมัคร ส.ส.พรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวถึงนโยบายแจกเงินดิจิทัลของพรรคเพื่อไทย หลังจากการลงพื้นที่จนถึงขณะนี้ว่า ชาวบ้านยังคงสับสนกับนโยบายแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาทของพรรคเพื่อไทย ว่าตกลงแล้วจะแจกเป็นรูปแบบใดกันแน่ เพราะการอธิบายของแกนนำพรรคเพื่อไทยแต่ละคน ก็พูดไม่เหมือนกัน และชาวบ้านบอกว่าเข้าใจยาก

รวมถึงกรณีล่าสุด ที่นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ออกมาอธิบาย เกี่ยวกับ การนำเงินดิจิทัล ไปเปลี่ยนเป็นเงินสดของร้านค้าต่าง ๆ โดยอธิบายว่า พรรคเพื่อไทย ตั้งเงื่อนไขเอาไว้ว่า คนที่จะขึ้นเงินได้จะต้องเป็นร้านค้าในระบบภาษีเท่านั้น ถ้าเป็นร้านค้าที่ไม่อยู่ในระบบภาษีก็ขึ้นเงินไม่ได้ ซึ่งเมื่อข่าวออกไปร้านค้ารายย่อยในพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นร้านขายของชำ ร้านขายอาหารตามสั่ง ร้านข้าวแกงต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ทำไมเงื่อนไขยุ่งยาก และถ้าเป็นแบบนี้คงจะไม่เข้าร่วมโครงการแน่ ๆ และเมื่อเปรียบเทียบกับโครงการคนละครึ่งของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ ยังเข้าใจง่ายกว่าและมีประโยชน์กว่าชัดเจน

ในขณะที่ชาวบ้านทั่วไป บอกว่า หากเปรียบเทียบการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาทของพรรคเพื่อไทย กับบัตรลุงตู่หรือบัตรสวัสดิการรัฐ ที่จะให้เงิน 1,000 บาทนั้น แม้ตัวเลขของพรรคเพื่อไทยจะดูเยอะกว่า แต่ก็ดูยุ่งยากซับซ้อนและไม่แน่ใจว่าจะทำได้จริงหรือไม่ ในขณะที่บัตรลุงตู่นั้น ชาวบ้านเห็นแล้วว่าใช้ได้ง่ายและได้จริง ยิ่งเพิ่มเงินเป็น 1,000 บาททุกเดือน ยิ่งดีกว่าเดิมและมั่นใจมากขึ้น

อีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่ชาวบ้านวิจารณ์โครงการนี้ หลังจากที่ได้อ่านข่าวที่รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทยออกมาอธิบายนั้น ชาวบ้านบอกว่า ถ้าร้านค้าย่อยที่ไม่ได้อยู่ในระบบภาษีจะไม่สามารถขึ้นเงินได้ ก็เท่ากับว่าเงินทั้งหมดปลายทางจะไปอยู่ที่นายทุนใหญ่หรือเจ้าสัว อย่างที่พรรคเพื่อไทยชอบหยิบมาโจมตีโครงการต่าง ๆ ของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์มาตลอดนั่นเอง

น.ส.ศิลัมพา ย้ำว่า นอกจากความสับสนที่ทำให้ชาวบ้านไม่เข้าใจ และร้านค้าทั่วไปที่เป็นร้านเล็ก ๆ ไม่ต้องการเข้าร่วมแล้ว ในส่วนของเงินที่จะนำมาใช้ในโครงการนี้อีกกว่า 5.6 แสนล้านนั้น ทางแกนนำพรรคเพื่อไทย ก็ยังไม่สามารถตอบได้อย่างชัดเจนว่าจะหาเงินมาจากแหล่งใด เพียงแต่บอกลอย ๆ ว่า หาเงินได้แน่นอนเท่านั้น เช่นนี้แล้วจะให้เชื่อได้อย่างไรว่านโยบายที่พรรคเพื่อไทยนำมาหาเสียงนั้น จะสามารถทำให้เกิดขึ้นได้จริง ซึ่งชาวบ้านส่วนใหญ่มองว่า เป็นนโยบายขายฝันที่นำมาใช้เพื่อหวังคะแนนเสียงให้ชนะการเลือกตั้งเท่านั้น

ปราศรัย ‘ก้าวไกล’ ทำพิษ!! ห้าแยกลาดพร้าวอ่วม หลังย้ายจากหน้าห้าง ลงฟุตพาท แฟนส้มรุกล้ำถนน

พรรคก้าวไกล เปิดเวทีปราศรัยหน้าห้าง ด้านวัยรุ่นสายส้มแห่มาฟัง จนต้องย้ายเวทีลงฟุตพาท หลังเจ้าหน้าที่ห้างให้ย้ายสถานที่ เหตุเข้าใจผิดคิดว่าเป็นม็อบ ทำการจราจรในย่านห้าแยกลาดพร้าวสาหัส

(26 เม.ย.66) ช่วงเย็นวันนี้ นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ได้โพสต์ภาพและข้อความผ่านเฟซบุ๊ก 'สรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมกรข่าว' ระบุถึงการตั้งเวทีปราศรัยของพรรคก้าวไกลที่หน้าเซ็นทรัลลาดพร้าวว่า...

การตั้งเวทีพรรคก้าวไกลในครั้งนี้มีอุปสรรคเล็กน้อย โดยเจ้าหน้าที่ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลลาดพร้าว ได้เข้ามาเจรจาให้ใช้เสียงไม่รบกวนผู้อื่น เพราะเข้าใจว่าเป็นการชุมนุม ซึ่งเจ้าหน้าที่ไม่อนุญาตให้ใช้พื้นที่ตรงลานหน้าห้าง เนื่องจากเป็นพื้นที่ส่วนบุคคล และไม่มีการขอใช้ล่วงหน้า แต่ทีมงานพรรคได้เข้าเจรจา และตกลงกันได้ ทำให้ย้ายเวทีจากลานหน้าห้าง เป็นฟุตพาทข้างป้ายรถเมล์ ซึ่งเป็นพื้นที่สาธารณะแทน

ผู้สมัครบางคนถูกถอดสายน้ำเกลือแล้ว  ลุ้น!! ‘สุนทร’ ชิงกันเข้าวินกับ ‘น้องบีท’

แม้ชื่อของ เชาวศิลป์ บุญประเสริฐ (รองโข่ง) จะปรากฏเป็นกระแสอยู่ระยะหนึ่งกับการลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส.เขต 8 นครศรีธรรมราช (ฉวาง-นาบอน-ช้างกลาง-พิปูน) ในนามพรรคเพื่อไทย และก็ต้องยอมรับความจริงว่า กระแสพอใช้ได้ จนโพลบางสำนักยกให้อยู่อันดับ 1 เมื่อบวกกับกระแสเพื่อไทยทั่วประเทศ ยิ่งส่งแรงบวกให้รองโข่งมากขึ้น

แต่ก็ต้องเข้าใจตรงกันนะว่า ภาคใต้ไม่ใช่ฐานที่มั่นของเพื่อไทย แม้ ‘สมศักดิ์ เทพสุทิน’ จะลงไปคลุกอยู่ในพื้นที่นครศรีธรรมราชหลายครั้ง แต่ไม่น่าจะช่วยอะไรก็ได้มากนัก แต่คะแนนพรรคคงมีทุกเขต

แต่เมื่อเวลาเปลี่ยน สถานการณ์เปลี่ยน การเมืองก็เปลี่ยน ฝ่ายคู่แข่งงัดกลยุทธ์ ขุดวิชาขึ้นมาใช้ น่าจะทำให้กระแสเสียงของรองโข่งแผ่วลงไปบ้าง เมื่อกระสุนไม่พอ กระแสก็ไม่เกิด ซึ่งต้องยอมรับความจริงว่า การออกเดินพบปะพี่น้องประชาชนในเขตเลือกตั้งแบบ ‘หามรุ่งหามค่ำ’ และค่ำไหนนอนนั้น (นอนวัด) ของ ‘สุนทร รักษ์รงค์’ ผู้สมัครจากพรรคพลังประชารัฐ คู่ไปกับการตั้งวงพูดคุยแลกเปลี่ยนในสไตล์ที่ถนัด ยิ่งทำให้กระแสเสียงของสุนทรค่อยๆ ขยับตัวมาดีขึ้น พูดได้ว่าน่าจะอยู่อันดับ 1 แล้วเวลานี้

ด้วยเหตุผลหลายประการ ทั้งความพร้อมของพรรค และตัวผู้สมัคร สุนทร บุกหนักทั้งงานจัดตั้งแกน งานด้านสื่อ และโครงการสุนทรนอนวัด 21-25 เมษายน ที่เดินเท้าขอคะแนนถึงบ้านตอนกลางวัน ถึงเวลากลางคืนจัดเวทีเสวนาที่วัด เพื่อรับฟังปัญหา ความต้องการของชาวบ้าน และรับฟังความคิดเห็น เพื่อนำไปเสนอพรรคเพื่อทำนโยบายเชิงพื้นที่ 

ถ้าสุนทรใช้วิชาที่ถนัดแบบเต็มแม๊ก เดินเท้าทุกชุมชน เพื่อขอคะแนนเสียง เปิดเวทีย่อย-เวทีใหญ่ ให้ครบทั้ง 5 อำเภอ 

พรรคภูมิใจไทย มุกดาวรรณ ม้าตีนต้นเริ่มแผ่ว น่าจะมีปัญหาเรื่องท่อน้ำเลี้ยงร่างกายขาดน้ำเกลือ ย่อมอ่อนเพลียเป็นธรรมดา

กล่าวสำหรับเขตนี้ ก็ไม่ควรมองข้าม ‘น้องบีท’ ปุณณ์สิริ บุณยเกียรติ จากประชาธิปัตย์ ลูกสาวชินวรณ์ ก็เชื่อว่า ชิณวรณ์จะต้องออกแรงหนัก เพื่อดันน้องบีทให้แจ้งเกิดทางการเมือง โดย ‘แทน-ชัยชนะ เดชเดโช’ ในฐานะเคยเป็น ส.ส.เขตนี้มาก่อนก็ต้องจับมือ ‘ชิณวรณ์’ ช่วยน้องบีทอีกแรง เพื่อเดินไปสู่เป้าหมายที่ใหญ่กว่า แต่ต้องแก้ให้ได้กับกระแสไม่เอาประชาธิปัตย์ ไม่เอาการสืบทอดสู่ทายาท เพื่อเป้าหมายที่ใหญ่กว่า 

ความจริงที่คนไทยต้องทำใจ!! หาก 'สหรัฐฯ' และ 'โซรอส' ยังไม่หยุด ความพยายามแทรกแซงการเลือกตั้งของไทยจะไม่สูญสิ้น

ความพยายามในการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองของชาติตะวันตกทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น โดยเฉพาะก่อนการเลือกตั้งในประเทศไทยที่กำลังจะมีขึ้น กลุ่มฝ่ายค้านที่พยายามเข้ามามีอำนาจทางการเมือง และอ้างสารพัดเหตุว่า กองทัพซึ่งเป็นองค์กรที่ทรงพลังที่สุดของไทยยุ่งเกี่ยวกับการเมืองไทย โดยมี NGO นักเคลื่อนไหว พรรคการเมือง และนักการเมือง ได้รับเงินทุนสนับสนุนและการสนับสนุนทางการเมืองอย่างเต็มที่จาก วอชิงตัน ลอนดอน บรัสเซลส์ และองค์กรชาติตะวันตก รวมถึงมูลนิธิที่มีชื่อเสียงที่สุดของGeorge Soros นั่นก็คือ มูลนิธิ Open Society (OSF)

หนึ่งในผู้เคลื่อนไหวแถวหน้าดังกล่าว คือ Human Rights Watch (HRW) ซึ่งเคยเผยแพร่รายงานประณามการเลือกตั้งในปี พ.ศ. 2562 ว่าบ่อนทำลาย ‘สิทธิในการลงคะแนนเสียง’ เพื่อทำความเข้าใจกับโฆษณาชวนเชื่อที่ได้รับทุนสนับสนุนจาก Soros ที่เผยแพร่โดย HRW ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจว่าทำไมประเทศไทยจึงตกเป็นเป้าหมายของการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองตั้งแต่แรก

ทำไมต้องประเทศไทย? ราชอาณาจักรไทยในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางที่สำคัญของภูมิภาคทั้งในด้านเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของอาเซียน และยังคงเป็นเพียงชาติในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพียงชาติเดียวที่รอดพ้นจากการตกเป็นอาณานิคมของชาติตะวันตก

ในขณะที่นักวิเคราะห์บางคนยังคงยึดติดกับการเหมารวมในยุคสงครามเย็นเกี่ยวกับบทบาทของไทยในสงครามที่นำโดยสหรัฐฯ แต่ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ไทยได้หันเหออกจากวอชิงตันเป็นอย่างมาก

โดยเฉพาะอย่างยิ่งกองทัพของไทยได้เริ่มเปลี่ยนอาวุธของอเมริกาที่มีอายุมากแล้วด้วยอาวุธของจีน รัสเซีย และยุโรป ซึ่งรวมถึงทุกอย่างตั้งแต่อาวุธขนาดเล็กไปจนถึงเฮลิคอปเตอร์ขนส่ง Mi-17 ของรัสเซีย เครื่องบินรบของยุโรป รถถังหลักของจีน และเรือบรรทุกบุคลากรติดอาวุธ (APCs) และแม้แต่เรือและเรือดำน้ำที่สร้างโดยจีน ทั้งไทยยังได้เป็นหุ้นส่วนหลักในโครงการ One Belt, One Road (OBOR) ของจีนอีกด้วย และเส้นทางรถไฟความเร็วสูงเชื่อมทั้งสองประเทศกำลังอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง

ในขณะที่ประเทศไทย โดยความจำเป็น ยังคงต้องรักษาความสัมพันธ์กับชาติตะวันตกและพันธมิตรของชาติตะวันตกอย่างเช่น ญี่ปุ่น ซึ่งที่สุดแล้วไทยสามารถรักษาสมดุลของความสัมพันธ์เหล่านี้เป็นอย่างดี แม้จะมีแรงกดดันมากมายมหาศาลให้ไทยต้องเลือกข้างฝ่ายก็ตามที ด้วยเหตุผลทั้งหมดนี้และอื่น ๆ อีกมากมาย สหรัฐฯ ได้มีส่วนร่วมในความพยายามเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองในประเทศไทยมาอย่างยาวนาน โดยเริ่มต้นอย่างน้อยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2544 ที่ ทักษิณ ชินวัตร มหาเศรษฐี และอดีตที่ปรึกษาของ Carlyle Group ก้าวขึ้นสู่อำนาจทางการเมือง

ภายในปี พ.ศ. 2544 เป็นที่ชัดเจนอยู่แล้วว่า การผงาดขึ้นของจีนในระดับภูมิภาคและระดับโลกนั้นใกล้เข้ามาทุกที และกระบวนการปิดล้อมและโดดเดี่ยวปักกิ่งได้กลายเป็นสิ่งสำคัญสำหรับนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ การให้ผู้รับมอบหมายอย่าง ทักษิณ ชินวัตร เข้าสู่อำนาจทางการเมืองในไทยมีเป้าหมายเพื่อสร้างแนวร่วมที่เป็นหนึ่งเดียวของพันธมิตรของสหรัฐฯ ที่รายรอบจีน

Soros กับประเทศไทย จากบทความของ Jean Perier นักวิเคราะห์ภูมิรัฐศาสตร์เรื่อง ‘หลังจาก สูบเลือดไทยจนแห้งแล้ว Soros ก็เข้าสู่กระบวนการสังหาร’ นำเสนอเรื่องราวโดยละเอียดของวิกฤตการเงินในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ปี พ.ศ. 2540 และบทบาทในการเก็งกำไรทางการเงินของ Soros เริ่มจากขั้นแรก เร่งรัดกดดันด้วยกลยุทธทางการเงินต่าง ๆ แล้วจึงหาประโยชน์จากความเสียหายของไทย วิกฤตการณ์ดังกล่าวยังสร้างโอกาสในการโค่นล้มทางการเมืองของรัฐบาลไทยด้วยฝีมือของชาติตะวันตกอีกด้วย

การขึ้นสู่อำนาจของทักษิณหลังจากหายนะทางการเงินนั้นหมายถึงการสร้างประเทศไทยขึ้นใหม่ตามการออกแบบของวอชิงตัน ทักษิณรวบรวมอำนาจทางการเมืองอย่างรวดเร็ว พยายามสร้างพรรคการเมืองพรรคเดียวภายใต้การควบคุมของเขาและผู้สนับสนุนชาติตะวันตก

นอกจากนี้ เขายังได้ดำเนินการในหลากหลายขั้นตอนเพื่อเปลี่ยนแปลงไทยให้เป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิดของสหรัฐฯ รวมทั้งการส่งทหารไทยเข้าร่วมการรุกรานอิรักของสหรัฐฯ ในปี พ.ศ. 2546 เชิญชวนให้ CIA ของสหรัฐฯ ใช้ดินแดนของไทยเป็นฐานปฏิบัติการ การแปรรูป ปตท. กลุ่มบริษัทน้ำมันและก๊าซ อันเป็นรัฐวิสาหกิจของชาติ และพยายามที่จะผ่านข้อตกลงการค้าเสรีสหรัฐฯ-ไทย แต่ไม่ได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา

นอกจากนี้ เขายังหลงระเริงไปกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนและการใช้อำนาจโดยมิชอบอย่างมากมาย ซึ่งในที่สุดทำให้มีเหตุผลในการโค่นเขาออกจากอำนาจด้วยการรัฐประหารในปี พ.ศ. 2549 ในขณะที่ผู้สนับสนุนทักษิณ รวมถึงสื่อตะวันตก อ้างว่า ข้อกล่าวหาการคอร์รัปชันของเขา เกิดจากแรงจูงใจทางการเมือง จาก Wikileaks ซึ่งเปิดเผยว่า สถานทูตสหรัฐฯ ส่งข้อมูลกลับไปยังกระทรวงการต่างประเทศว่า มีการผ่านกฎหมายที่เกี่ยวกับภาษีในวันเดียวกับที่เขาขายหุ้นบริษัทของเขาให้กับกลุ่มทุนของสิงคโปร์โดยปลอดภาษี

แม้ว่า สถานทูตสหรัฐฯ จะรับรู้ถึงการทุจริตของทักษิณ แต่ก็ยังคงสนับสนุนเขา และตั้งข้อสังเกตว่า การเคลื่อนไหวดังกล่าวจะทำให้กฎหมายการถือครองของชาวต่างชาติมีโอกาสที่จะเปิดเสรีมากขึ้น โดยอ้างว่า : “ข้อเท็จจริงที่ว่าข้อตกลงดังกล่าวมีโครงสร้างเพื่อให้ครอบคลุมข้อจำกัดของประเทศไทยในการลงทุนจากต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม ทำให้เกิดคำถามร้อนแรงเกี่ยวกับบรรยากาศการลงทุนในประเทศไทย และแสดงให้เห็นถึงข้อจำกัดของการเปิดเสรีจนถึงปัจจุบัน ผลลัพธ์ที่หวังว่าจะก้าวไปข้างหน้าคือการถกเถียงทางการเมืองภายในประเทศเกี่ยวกับประเด็นนโยบาย เช่น การถือครองสินทรัพย์โทรคมนาคมของต่างชาติอาจทำให้คนไทยบางส่วนเลิกกลัวการเปิดเสรีตลาด และโดยการต่ออายุข้อตกลงการค้าเสรีกับสหรัฐอเมริกา”

ตั้งแต่นั้นมา เนื่องจากทักษิณถูกดำเนินคดี และถูกตัดสินว่า มีความผิดในคดีทุจริตและถูกตัดสินจำคุก 2 ปี จึงทำให้เขาต้องหลบหนีตั้งแต่นั้นมาในฐานะผู้หลบหนีที่ซ่อนตัวในต่างประเทศ ทักษิณได้พยายามกลับคืนสู่อำนาจผ่านระบอบการปกครองแบบตัวแทนต่าง ๆ ที่ดำเนินการอย่างเปิดเผยโดยสมาชิกในครอบครัว รวมทั้งน้องเขยของเขา สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในช่วงสั้น ๆ ในปี พ.ศ. 2551 ก่อนที่จะถูกศาลพิพากษาถอดถอน และยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวของทักษิณ ซึ่งทำหน้าที่เป็น นายกรัฐมนตรีตั้งแต่ปี พ.ศ. 2554 - 2557 จนกระทั่งมีการรัฐประหารครั้งที่สองเพื่อโค่นเธอออกจากอำนาจเช่นเดียวกับพี่ชายของเธอ

Soros และพรรคพวก ให้การสนับสนุนการกลับมาของทักษิณ เมื่อพิจารณาถึงประโยชน์ที่จะได้จากทักษิณในฐานะพรรคพวกของสหรัฐฯ และความพยายามอย่างกระตือรือร้นของเขาในช่วงปี พ.ศ. 2544 - 2549 ที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นชาติพันธมิตรของสหรัฐฯ ที่มีการบูรณาการได้อย่างสมบูรณ์ จึงเห็นได้ชัดว่า เหตุใดสหรัฐฯ และพันธมิตรในยุโรป พยายามที่จะพาเขาและพรรคพวกกลับคืนสู่อำนาจ

อย่างไรก็ตาม มันได้กลายเป็นการต่อสู้ที่ยากเย็นแสนเข็ญมากขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะที่ยังสามารถโกงการเลือกตั้งผ่านการซื้อเสียงอย่างโจ่งแจ้งในต่างจังหวัด และการใช้การก่อการร้ายอย่างเป็นระบบเป็นประจำ ตัวทักษิณเองก็ผ่านความล้มเหลวทางการเมืองต่อเนื่อง และการถูกยึดทรัพย์สินโดยศาลไทย ขยับจากอันดับ 4 ที่ร่ำรวยที่สุดในประเทศไทยตกลงมาอยู่อันดับที่ 14 การประท้วงต่อต้านทักษิณที่มีคนเข้าร่วมอย่างมากมายมหาศาลในปี พ.ศ. 2557 ถือเป็นการต่อต้านทั่วประเทศอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนเพื่อไม่ให้เขากลับคืนสู่อำนาจ ซึ่งเป็นความรู้สึกที่มีแนวโน้มนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

แต่ถึงแม้เขาจะไม่สามารถกลับคืนสู่อำนาจได้ แต่ความสามารถของเขาในการสร้างความแตกแยก และความพยายามในการทำให้ประเทศไทยถอยหลัง รวมถึงการใช้ความรุนแรงมากขึ้น ก็เป็นการสนองตอบวัตถุประสงค์ของวอชิงตันและวอลล์สตรีทในการต่อต้านประเทศที่ไม่พึงประสงค์อย่างจีนได้

นับตั้งแต่ทักษิณถูกขับไล่ในปี พ.ศ. 2549 เขาและพรรคการเมืองฝ่ายค้าน กลุ่ม “สิทธิต่าง ๆ นักศึกษา  นักกิจกรรม และสื่อต่าง ๆ” ได้รับการสนับสนุนอย่างเปิดเผยจาก วอชิงตัน ลอนดอน และบรัสเซลส์ ผ่านการสนับสนุนทางการเมืองและการล็อบบี้โดยตรง และผ่านสหรัฐฯ และองค์กรพัฒนาเอกชนที่ได้รับทุนสนับสนุนจากสหราชอาณาจักร (องค์กรพัฒนาเอกชน) ซึ่งเกือบทั้งหมดได้รับทุนบางส่วนจากมูลนิธิ Open Society ของ Soros ด้วย

‘หมอวรงค์’ เปรียบ!! เรื่องสถาบันฯ หากไม่ ‘ศรัทธา’ ก็ควรต้อง ‘เคารพ’ อย่าเป็นแบบตะวันตก ‘ไม่ศรัทธา-ไม่เคารพ’ พระพุทธรูป แถมยังหมิ่น!!

เมื่อวันที่ 25 เม.ย. 66 ที่รอยัล พารากอน ฮอลล์ ชั้น 5 ศูนย์การค้าสยามพารากอน บนเวที ‘THE STANDARD DEBATE: เลือกตั้ง 66 ENDGAME เกมที่แพ้ไม่ได้’ ซึ่งจัดโดย THE STANDARD ที่มีตัวแทน 10 พรรคการเมืองร่วมประชันวิสัยทัศน์นั้น

ในช่วงหนึ่งของดีเบต ซึ่งดำเนินมาสู่ ‘Round 3 : The Last Stand ตอบชัด วัดจุดยืน’ กับคำถามที่ว่า...

“นพ.วรงค์ มีความคิดอย่างไร เมื่อคนรุ่นใหม่ก็มีสังคมในฝันแบบหนึ่งต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่ผู้ใหญ่ก็มีสังคมที่ยึดถืออีกแบบหนึ่ง และสองความคิดนี้กำลังปะทะกันอย่างรุนแรงในสังคม ภาพฝันของสังคมที่จะสามารถอยู่ร่วมกันได้ในแบบของคุณเป็นอย่างไร และการเสนอเพิ่มโทษ ม.112 จะทำให้ภาพฝันนั้นเป็นจริงได้อย่างไร”

นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม แกนนำกลุ่มไทยภักดี และหัวหน้าพรรคไทยภักดี ก็ได้ตอบว่า “จริงๆ แล้วผมว่า ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะฝัน เกี่ยวกับเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่อย่างไรก็ตาม ทุกคนต้องเคารพกฎหมาย นี่คือ ‘หัวใจหลัก’ นอกจากเคารพกฎหมายแล้ว ทุกคนต้องเคารพศรัทธาซึ่งกันและกัน ยกตัวอย่างเช่น องค์พระพุทธรูปของศาสนาพุทธ ที่ต่างชาติเขาอาจจะไม่ได้มีความเข้าใจ เขาก็นำมาล้อเล่น แต่คนไทยมีความรู้สึกว่าคุณกำลังละเมิดความศรัทธาของเรา ก็เหมือนกันกับความศรัทธาต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ผู้อยู่เบื้องสูง ที่อยู่คู่กับสังคมไทยมากว่า 700 ปี เราต้องเคารพซึ่งกันและกัน เพราะฉะนั้น วันนี้เราอยู่ร่วมกันในรูปแบบนี้ ภายใต้มิตินี้ ถ้าน้องๆ ทุกคนบอกว่าเคารพสถาบันฯ ต้องการให้สถาบันฯ มีความเข้มแข็ง ถ้าในเมื่อเรามีความรู้สึกจริงใจต่อสิ่งเหล่านี้ ผมว่าเราสามารถเจรจา พูดคุยกันได้ และมันเคารพซึ่งกันและกันได้”

นพ.วรงค์ กล่าวต่ออีกว่า “แต่ในความเป็นจริง วันนี้เราต้องยอมรับว่า มีน้องๆ กลุ่มหนึ่งกระทำผิดกฎหมาย แม้แต่การไปทำโพล ผมไปอ่านบทความของการทำโพลมา ก็ได้เห็นคำถามชัดเจน ผมขออ่านให้ฟังเลยแล้วกัน ด้วยความบริสุทธิ์ใจ อย่างเช่นคำถามที่ถามว่า “คุณเห็นด้วยหรือไม่? ที่รัฐบาลอนุญาตให้พระมหากษัตริย์ใช้อำนาจได้ตามอัธยาศัย” นี่เป็นการทำโพลที่บิดเบือน เพราะสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ อยู่ภายใต้กฎหมาย แต่การทำโพลแบบนี้จงใจบิดเบือน เพื่อที่จะทำลายสถาบันฯ

‘ครูพรีมมี่’ หนุน การศึกษาออนไลน์แก่ผู้สูงวัย ใช้ต่อยอดวิชาชีพ สร้างรายได้เลี้ยงตัวเอง สอดคล้องนโยบายเรียนรู้ตลอดชีพ ของ ‘ภท.’

(26 เม.ย. 66) ที่ห้องเรียนศาลาอเนกประสงค์ริมน้ำ วัดทองบน นายนรเสฏฐ์ เธียรประสิทธิ์ หรือ ‘ครูพรีมมี่’ ผู้สมัคร ส.ส.เขต 3 ยานนาวา-บางคอแหลม เบอร์ 10 พรรคภูมิใจไทย ได้เข้าร่วมกิจกรรมจัดการเรียนการสอนกับกลุ่มนักเรียนผู้สูงวัย ในโรงเรียนผู้สูงอายุยานนาวา วัดทองบน ถนนพระราม 3 ซึ่งเป็นโรงเรียนที่รับรองโดยสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย เขตยานนาวา ตามหลักสูตรการศึกษาตลอดชีวิต

ครูพรีมมี่ได้ใช้เวลาช่วงเว้นว่างจากกิจกรรมนันทนาการให้ห้องเรียนรู้ เพื่อขอโอกาสแนะนำตัวและนำเสนอนโยบาย อันเป็นที่ถูกใจชาวสูงวัยเขตยานนาวาอย่างมาก เพราะครูพรีมมี่ อาศัยความเป็น ‘ครู’​ สอนหนังสือมาก่อน จึงสามารถเรียกร้องความสนใจของผู้ใหญ่ในห้องเรียนได้ไม่ยาก โดยเฉพาะเมื่อได้รับไมค์มา ครูพรีมมี่ก็เริ่มต้นด้วยประโยคที่คุ้นเคยทันทีว่า “หากพวกเรากำลังสบาย จงตบมือพลัน”​ ผู้สูงวัยทุกท่านก็พร้อมรับมุกโดยพร้อมเพรียง ตบมือเสียงดัง ๆ ตามด้วยเสียงหัวเราะด้วยความเป็นกันเอง ก่อนที่ครูพรีมมี่จะขอให้ทุกคนชูมือขึ้นทั้งสองข้างและถามไปว่า “ครูพรีมมี่เบอร์อะไร” แน่นอนว่าเหล่าผู้สูงวัยต่างประสานเสียงโดยพร้อมเพรียงกันว่า  “เบอร์10”

ครูพรีมมี่ได้แนะนำตัวเองว่า จบการศึกษาปริญาตรี BBA จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หลังจากนั้นได้ทำงานกับกลุ่มซีพี ที่กรุงปักกิ่ง และไปศึกษาต่อปริญญาโท MBA สาขาการเงิน ที่มหาวิทยาลัยปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน และได้เปิดโรงเรียนกวดวิชาภาษาอังกฤษให้กับคนจีน รวมทั้งได้เปิดคอร์สอบรมคุณครูสอนภาษาอังกฤษโรงเรียนอนุบาลที่ปักกิ่ง นับเป็นคนไทยคนแรกที่เข้าไปเปิดธุรกิจด้านการศึกษาในประเทศจีน ต่อมาบังเอิญว่ามีผู้บริหารกระทรวงการศึกษาธิการของไทยในขณะนั้น ได้ไปศึกษาดูงานที่สาธารณรัฐประชาชนจีน และได้มีโอกาสพบกับครูพรีมมี่ จึงได้เชิญชวนครูพรีมมี่กลับมาช่วยประเทศไทยด้านการศึกษา เพื่อพัฒนาหลักสูตรภาษาจีนในไทย

“ผมโตมากับครอบครัวการศึกษา ที่บ้านทำโรงเรียนอนุบาล ได้ถูกปลูกฝังมาตลอดว่าต้องช่วยเหลือสังคม สิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงสังคมได้ก็คือการศึกษา พอเรามาเห็น เราก็รู้สึกว่าสิ่งที่จะทำให้ประเทศไทยพัฒนาได้คือ การศึกษา วันนี้ยิ่งได้มาเห็นพี่ ๆ (ครูพรีมมี่อ้อนผู้สูงวัยขอเรียกพี่)​ ยังมาเรียนกันพร้อมหน้าแบบนี้ ก็ยิ่งทำให้เชื่อมั่นในความสำคัญของการเรียนรู้ตลอดชีวิต ซึ่งตรงกับนโยบายของพรรค

วันนี้รู้สึกประทับใจมากที่เข้ามาเห็นคุณครูกำลังสอนเรื่องภัยคุกคามด้านออนไลน์ ที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับชีวิตของทุกคนมากขึ้น ในขณะเดียวกันก็ได้ให้ความรู้เรื่องออนไลน์กับผู้สูงวัย ซึ่งเหมือนกับที่ผมตั้งใจมาสนับสนุนเรื่องการศึกษาเท่าเทียมอยู่แล้ว โดยสอดคล้องกับนโยบายพรรคภูมิใจไทย ที่ผลักดันการศึกษาตลอดชีพผ่านการเรียนการสอนแบบออนไลน์ ซึ่งจะพัฒนาหลักสูตรให้เข้มแข็งและตอบโจทย์กับทุกช่วงวัย โดยเฉพาะให้เหมาะกับผู้สูงวัยด้วย เพราะวัยนี้การเรียนแบบในห้องเรียนเพียงอย่างเดียวนั้น อาจจะไม่คล่องตัว เพราะวัยนี้แล้วอาจจะมีภาระ มีงานมีการติดพัน ต้องค้าต้องขาย ไม่สะดวกมาเรียน แต่เชื่อว่าทุกคนอยากได้โอกาสพัฒนาตนเอง ฉะนั้น ถ้ามีหลักสูตรออนไลน์ จึงจะทำให้เรียนที่ไหนก็ได้ เวลาใดก็ได้ จะทำธุระอะไรอยู่ก็สามารถเรียนรู้ด้วยตนเองได้ เพราะเป็นหลักสูตรออนดีมานด์ ขอเพียงแค่มีโทรศัพท์มือถือก็สามารถเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียม” ครูพรีมมี่ กล่าว

ความสำคัญคือ การสร้างหลักสูตร ไม่ได้มุ่งหมายเพียงให้มีแต่ความรู้​ แต่หวังผลให้นำไปใช้ปฏิบัติได้จริง ประกอบอาชีพ หรือสร้างอนาคตได้

“​นโยบายภูมิใจไทยตั้งเป้าหมายจะสร้างผู้ประกอบการนักธุรกิจออนไลน์ให้ได้ถึง 9 ล้านคนทั่วประเทศ ซึ่งผู้สูงวัยชาวยานนาวาจะเป็นส่วนหนึ่งในนี้ด้วย การเรียนให้ได้มีความรู้ขึ้นมาก็ดี แต่เราจะต้องคิดต่อไปว่า จะสอนจะอบรมอย่างไรให้ทุกคนนำไปใช้ได้จริง ยกตัวอย่าง สอนให้ทำอาหาร ทำของขายแล้ว อาจจะไม่พอ ต้องมีคอร์สอบรมสอนให้รู้จักขายสินค้า นำเสนอขายแบบอินฟลูเอนเซอร์ หรือจะเป็นยูทูบเบอร์ ต้องทำอย่างไร ลองคิดดูผู้สูงวัยบางท่านอาจจะไม่มีงานทำเพราะเกษียณแล้ว แต่อาจจะสามารถไปรีวิวสินค้า หรือ มีทักษะทำอาหารขนมเก่งอยู่แล้ว แต่อาจจะเรียนเพิ่มเรื่องขายของออนไลน์ เพื่อจะเพิ่มช่องทางการตลาดให้ได้”​ ครูพรีมมี่ กล่าว

เกิน 100 ที่นั่ง 'ฝันกลางวัน-ฝันทะลุแดด' ของพรรคก้าวไกล ในจังหวะลิเกเซผิดบท ถูกตีตราเป็น 'คนโกหก' ไม่ทำชั่ว...ไม่มี!!

อีก 17 วันก็จะถึงวันเข้าคูหาชี้ชะตาประเทศไทยกันแล้ว...ต้องยอมรับว่าเกมบดขยี้กันเองในฝ่ายที่สถาปนาตัวเองว่าเป็นฝ่ายประชาธิปไตย อย่าง 'พรรคเพื่อไทย' กับ 'พรรคก้าวไกล' ช่างแหลมคมและออกอาการได้เสียกันเด่นชัด

พรรคเพื่อไทยนั้นเพิ่งจะโงหัวขึ้นจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจเติมเงินดิจิทัลหมื่นบาท...และพอจะเริ่มตั้งหลักปราศรัยเรื่องดีลลับไม่ลับกับพรรคพลังประชารัฐได้บ้าง...ถ้าเป็นการชกมวยก็ต้องบอกว่าขณะนี้เป็นยกที่ประคองตัวไม่ให้ถูกน็อกหรือถูกนับยาว...ซื้อเวลารอออกอาวุธยกต่อๆ ไป...

ต่างกับพรรคก้าวไกล...กำลังก้าวยาวๆ ห้าวเป้งกันทั้งพรรค อานิสงส์จากลูกขยัน บวกนโยบายที่ชัดเจนและเวทีดีเบตที่ช่วยเป็นลมใต้ปีกให้เรตติ้งขึ้นสูง ส่งให้โพลทุกสำนักชี้ว่า 'กำลังพุ่ง' ถึงขั้นหัวหน้าและเลขาธิการพรรคฟันธงว่าจะไปไกลกว่า 100 ที่นั่ง...

ยามนี้ 'ติ่งพรรคแดง' กับ 'ติ่งพรรคส้ม' จึงบี้เบียดกันทั้งบนดินและใต้ดิน...ติ่งส้มบอกว่า “เลือกเพื่อไทยได้ป้อม” ติ่งแดงบอกว่า.."เลือกก้าวไกลได้ตู่"

อย่างหลังนี่พยายามอธิบายว่า ถ้าเทคะแนนให้ ก้าวไกล มากๆ พรรคเพื่อไทย จะอดเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล   ฟากฝั่งลุงตู่จะจัดตั้งรัฐบาลสืบทอดอำนาจต่ออะไรประมาณนั้น...

ไม่ว่าจะอย่างไรต้องยอมรับในกระแสที่ร้อนแรงของพรรคก้าวไกล 'ชัยธวัช ตุลาธน' เลขาธิการพรรคถึงขั้นมั่นใจว่าจะได้ปาร์ตี้ลิสต์ในระดับ 30 ที่นั่ง นั่นแปลว่าต้องได้คะแนนดิบถึง 10 ล้านเสียง...ซึ่งอาจจะเป็นไปได้แต่ก็ยากมาก เพราะปี 2562 พรรคอนาคตใหม่หรือก้าวไกลในปัจจุบัน ขนาดมีส้มหล่นจากพรรคไทยรักษาชาติที่ถูกยุบได้คะแนนพรรค 6.3 ล้านเสียงเท่านั้น...

ย้อนไปปี 2562 พรรคอนาคตใหม่ได้ 81 ที่นั่ง แยกเป็นส.ส.เขต 31 ปาร์ตี้ลิสต์ 50 แต่ปัญหาสำคัญของพรรคก้าวไกลในรอบนี้ก็คือ กติกาการเลือกตั้งเป็นบัตรสองใบ (ร้อยหาร) จำนวน ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ลดจาก 150 เหลือ 100 คน จุดชี้ขาดสำคัญจึงอยู่ที่ส.ส.เขต 400 ที่นั่ง...

แม้ขณะนี้ก้าวไกลจะมีคะแนนพุ่ง แต่ก็พุ่งอยู่ในลำดับ 2-5 เป็นส่วนใหญ่ แต่การจะได้เป็น ส.ส.เขต จะต้องมาเป็นที่หนึ่งในเขตเท่านั้น ไอ้คะแนนที่สองที่สามที่สี่ที่ห้า...ได้มาก็ถูกทิ้งน้ำ...นี่คือความโหดร้ายของการเลือกตั้งแบบบัตรสองใบ

‘เพื่อไทย’ จัดติวกลยุทธ์หาเสียงให้ผู้สมัคร ส.ส.  แนะลงพื้นที่ต่อเนื่อง - รุกพื้นที่ออนไลน์มากขึ้น

(26 เม.ย.66) ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) พรรคเพื่อไทยได้จัดอบรมผู้สมัคร ส.ส.ทั่วประเทศ เพื่อปรับกลยุทธ์การหาเสียง นำโดยน.ส.แพทองธาร ชินวัตร แคนดิเดตนายกฯ และหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย (ผ่านระบบออนไลน์) นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรค นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรค นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน แกนนำพรรค และนางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด ประธานคณะกรรมการประสานงานด้านการเมืองพื้นที่ กทม.

น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า วันนี้มาให้กำลังใจ พร้อมขอขอบคุณที่ทุกคนยังอยู่กับพรรค เพื่อช่วยกันเปลี่ยนแปลงให้พี่น้องประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ขณะนี้โพลของพรรคพท.ดีมาก ก็ทำให้ทุกคนมีกำลังใจ แต่ก็ไม่อยากให้ประมาท เพราะอีกกว่า 20 วันอะไรก็เกิดขึ้นได้ จึงขอให้ทุกคนเร่งลงพื้นที่นำเสนอนโยบายกับพี่น้องประชาชน ไม่ต้องกังวลพรรคคู่แข่ง เนื่องจากเขาไม่มีศักยภาพเหมือนเรา จึงเล่นแต่ในโซเชียลมีเดีย ทำให้โพลบางสำนักขยับขึ้น ดังนั้น ในช่วงใกล้โค้งสุดท้าย ผู้สมัครทุกคนก็ต้องเน้นใช้โซเชียลสื่อสารกับพี่น้องประชาชนให้มากยิ่งขึ้น เพื่อทำให้ทุกคนรู้ว่า พรรคพท.มีศักยภาพเปลี่ยนแปลงคนทั้งประเทศได้

นพ.ชลน่าน กล่าวว่า จากโพลที่บางพรรคการเมืองขยับขึ้นนั้น มองว่าพรรคพท.มียุทธศาสตร์ที่ชนะได้คือ พื้นที่ เนื่องจากเราแข็งในพื้นที่กว่ามาก จึงขอให้ผู้สมัครทุกคนไม่ต้องกังวล แต่ก็ขอให้เพิ่มพื้นที่ในโซเชียลมีเดียให้มากขึ้น เพื่อสื่อสารนโยบายของพรรคกับพี่น้องประชาชน ตนดูแววตาผู้สมัครวันนี้แล้ว มีความมั่นใจมากว่าจะได้ผู้แทนเข้าสภาจำนวนมาก ขอให้ผู้สมัครทุกคนช่วยสังเกตการณ์การทุจริตเลือกตั้งด้วย เช่น การเก็บบัตรประชาชน รวมถึงการปลอมบัตรเลือกตั้ง หากพบเห็นขอให้แจ้งมาที่ส่วนกลางของพรรคอย่างเร่งด่วน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top