Tuesday, 13 May 2025
SPECIAL

เปิด 5 นโยบายพลิกอีสาน จาก ‘พรรคพลังประชารัฐ’

เปิด 5 นโยบายพลิกอีสาน จาก ‘พรรคพลังประชารัฐ’ เป้าหมายเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต 25 ล้านประชากรถิ่น
ผ่านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานขนานใหญ่ ตั้งแต่ ‘รถไฟ-ถนน-นิคม-อาชีวะ-ท่าเรือบก’

1. สร้างรถไฟทางคู่ ‘บึงกาฬ-อู่ตะเภา’ ระยะทาง 480 กิโลเมตร : เป็นโครงการทางรถไฟคู่ที่เริ่มต้นโดยผ่าน ‘บึงกาฬ-อุดรธานี-สกลนคร-กาฬสินธุ์-ร้อยเอ็ด-บุรีรัมย์-สุรินทร์-นครราชสีมา-สระแก้ว-ปราจีนบุรี-ฉะเชิงเทรา-ชลบุรี-ระยอง และระหว่างทางยังเชื่อมต่อกับจังหวัดคู่สัมพันธ์อย่าง หนองคาย, ขอนแก่น, ชัยภูมิ, นครพนม, มุกดาหาร, อำนาจเจริญ และ อุบลราชธานี อีกด้วย

2. พัฒนาทางหลวงพิเศษ 8 ช่องจราจร ขนานตลอดแนวทางรถไฟ : โดยเปลี่ยนแผ่นดินที่แห้งแล้งเป็นเส้นทางคมนาคมขนส่งทางรางทันสมัย

3. เนรมิตนิคมอุตสาหกรรม ขนาด 2 หมื่นไร่ กระจายทั่วอีสาน อย่างน้อย 6 แห่ง : เพื่อสอดรับกับอุตสาหกรรมเป้าหมายแห่งอนาคต อาทิ…

- อุตสาหกรรมอาหาร / แปรรูปสินค้าเกษตรพร้อมรับประทาน / Lab ฆ่าเชื้อสินค้าเกษตร
- อุตสาหกรรมเทคโนโลยี
- อุตสาหกรรมนวัตกรรม
- อุตสาหกรรมพลังงาน
- อุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า
- อุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์
- อุตสาหกรรมปิโตรเคมี
- อุตสาหกรรมแขนพลหุ่นยนต์ AI

หากเสร็จสมบูรณ์ จะช่วยดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติได้ราว 4.5 ล้านล้านบาท พร้อมช่วยสร้างการจ้างงานได้กว่า 3 ล้านตำแหน่ง

4. ก่อสร้างวิทยาลัยอาชีวะ 12 แห่ง : เป้าหมายเพื่อป้อนให้นิคมอุตสาหกรรมใกล้บ้านตามแผนนิคมฯ 2 หมื่นไร่ (ตามข้อ 3) โดยในวิทยาลัยแห่งนี้จะทำการจัดสรรหลักสูตรการศึกษาพัฒนาทักษะแรงงานให้ตรงกับความต้องการต่อสังคมนานาชาติ ไม่ว่าจะเป็น สาขาคอมพิวเตอร์ / สาขาโปรแกรมเมอร์ AI / สาขาวิศวกรรมหุนยนต์ และสาขาเทคโนโลยี รถยนต์ไฟฟ้า

‘เพื่อไทย’ ชูนโยบาย ‘คมนาคมไทย’

‘เพื่อไทย’ ชูนโยบาย ‘คมนาคมไทย’ ปรับราคาค่าโดยสารให้ถูกลง ยกระดับการเดินทางให้รวดเร็ว และเข้าถึงง่าย เพื่ออำนวยสะดวกสบายแก่ประชาชนทุกคน พร้อมผลักดันทันที หากได้เป็นรัฐบาล โดยมีนโยบาย ดังนี้

รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย
ยกระดับคมนาคมในต่างจังหวัด
ยกระดับรถไฟโดยสารทั่วประเทศ
ยกระดับการขนส่งโลจิสติกส์สินค้า
ยกระดับสนามบินสุวรรณภูมิให้ติดอันดับ 1 ใน 10 ของโลก

‘พท.’ ชูนโยบายเชิงรุก เร่งเจรจาการค้า ตอบโจทย์เศรษฐกิจ หวังขยายฐานตลาดสินค้าไทยสู่เวทีโลก สร้างเม็ดเงินให้ชาติ

(28 เม.ย. 66) พรรคเพื่อไทยให้ความสำคัญด้านต่างประเทศที่จะเชื่อมไทยเชื่อมโลก เปิดตลาดสินค้าเกษตรใหม่ ๆ เร่งเจรจาการค้า กอบกู้เกียรติภูมิประเทศในเวทีโลก เพื่อให้ประชาชนได้ประโยชน์อย่างแท้จริง

นายนพดล ปัทมะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และผู้สมัคร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงนโยบายต่างประเทศของพรรคเพื่อไทยในการเลือกตั้งครั้งนี้ว่า จะเป็นนโยบายเชิงรุกที่ตอบโจทย์เศรษฐกิจ ให้เป็นการต่างประเทศที่กินได้ เกิดประโยชน์ตกถึงมือประชาชน

ถ้าพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล จะมีแนวนโยบายดังนี้
1.) ฟื้นฟูบทบาทของไทยในเวทีโลก บนพื้นฐานของกฎบัตรสหประชาชาติ กฎหมายระหว่างประเทศและปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน

2.) กำหนดท่าทีของประเทศอย่างสมดุลในพลวัติภูมิรัฐศาสตร์โลก โดยไทยจะเป็นผู้ส่งเสริมสันติภาพ และความรุ่งเรืองอย่างแข็งขันในประชาคมโลก เพื่อผลประโยชน์ร่วมกันของทุกฝ่าย

3.) ปกป้องผลประโยชน์ของคนไทย และธุรกิจไทยในต่างประเทศอย่างเข้มแข็ง

4.) หนังสือเดินทางไทยแข็งแรง เดินทางง่ายได้ทั่วโลก เร่งเจรจายกเว้นวีซ่าให้พาสปอร์ตไทย

5.) นโยบายต่างประเทศที่กินได้ เชื่อมโลกเชื่อมไทย เปิดตลาด เพิ่มรายได้จากการค้าชายแดน เร่งเจรจาข้อตกลงทางการค้า FTA กับอียูและอังกฤษ ผลักดัน soft power ทางการทูตไทย และพลัง soft power ด้านอื่น ๆ ของไทย

หลายพรรคมีหวั่น!! เหตุ ‘ลุงตู่’ เริ่มดึงกระแส แม้นายหัวผู้ไม่เคยแพ้ ก็ยังแอบปาดเหงื่อ

หาเสียงกันมาแล้ว 20 กว่าวัน และก็เหลือเวลาอีกเพียง 20 กว่าวัน จะถึงวันพิพากษาของประชาชนในการลงคะแนนเลือกตั้งว่าจะกาให้ใครเป็นผู้แทนของเขาไปทำหน้าที่ในสภา

กล่าวถึง 4 เขตเลือกตั้งของจังหวัดตรัง ที่อาจจะกล่าวได้ว่าเป็นเมืองหลวงของประชาธิปัตย์ ซึ่งมี ‘นายหัวชวน’ ชวน หลีกภัย เป็นเสาหลักอยู่ และไม่เคยแพ้การเลือกตั้งมาก่อนนับตั้งแต่ปี 2512 เป็นต้นมานั้น ก็น่าติดตาม เพราะเมื่อช่วงการเลือกตั้งปี 2562 ประชาธิปัตย์ ก็เคยได้เพลี่ยงพล้ำให้กับพรรคพลังประชารัฐไป 1 ที่นั่งกับ ‘นิพันธ์ ศิริธร’ ซึ่งได้รับเลือกตั้งในเขต 1 ตรัง อย่างพลิกสายตาคอการเมือง

ยิ่งในสถานการณ์ความไม่ลงตัวของประชาธิปัตย์หนนี้ ตรังก็อาจจะถูกท้าทายยิ่งจากคู่แข่ง ภายหลังประชาธิปัตย์แยกเป็น 3 ก๊วน ได้แก่ ‘ชวน- สาทิตย์-สมชาย’ ขณะที่ฟาก ‘รทสช.’ ของลุงตู่ ก็น่าดูชม เพราะเดินไปทิศทางใดก็มีกระแส ส่วนภูมิใจไทยก็จ้องจะปักธงอยู่เหมือนกัน

ว่าแล้วมาทวนในส่วนของ ‘ชวน’ กันหน่อย โดยความหมายก็ไม่พ้น นายหัวชวน หลีกภัย อดีต ส.ส.12 สมัย ซึ่งไม่เคยสอบตก เป็นทั้งอดีตนายกรัฐมนตรี อดีตประธานรัฐสภา อดีตรัฐมนตรีอีกหลายกระทรวง แต่คราวนี้เชื่อว่านายหัวชวนคงกระอักกระอ่วนใจกับคนใกล้ชิดที่ต้องพลัดพรากจากกันไปอยู่ พรรครวมไทยสร้างชาติอย่าง ‘สมบูรณ์ อุทัยเวียนกุล’ เขต 4 ตรัง จนถึงขั้นชวนประกาศว่าเขตนี้ ไม่ช่วยคนแต่ช่วยพรรคกันเลยทีเดียว

ด้าน ‘สาทิตย์’ หรือ สาทิตย์ วงศ์หนองเตย อดีต ส.ส.หลายสมัย อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ก็ถือเป็นศิษย์รักของนายหัวชวน อีกทั้งยังเป็นคนตัวเล็กใจกล้า ที่เป็นมือขวาเคียงข้าง ‘ลุงกำนัน’ ในยุค กปปส.ด้วย ลำบากใจแท้!!

ปิดท้ายกับ ‘สมชาย’ หมายถึง สมชาย โล่สถาพรพิพิธ อดีต ส.ส.หลายสมัย ที่จำต้องผลัดบ่าให้ ‘สุณัฐชา โล่สถาพรพิพิธ’ ลูกสาวลงสมัครแทน ด้วยเหตุผลทางการเมืองที่ว่า ‘สมชาย’ กับ ‘สาทิตย์’ อยู่พรรคเดียวกัน ร้องเพลงเดียวกัน แค่ร้องคนละคีย์กันอยู่ นั่นก็เพราะสมชายกับวงศ์หนองเตย ระหองระแหงกันมาตั้งแต่ศึกเลือกตั้งนายกฯ อบจ.แล้ว แถมคราวนี้ สมชาย หันไปสนับสนุน ‘ทวี สุระบาล’ จากพรรคพลังประชารัฐแทน 

ฉะนั้นในการเลือกตั้งทั่วไป ปี 2566 ที่จะถึงนี้ จังหวัดตรัง ซึ่งมี 4 เขต เหมือนเขตเลือกตั้งในปี 2550 จะมีพรรคใหญ่ที่น่าจับตามองในสายตาประชาชนชาวภาคใต้ 4 พรรคใหญ่เท่านั้น ได้แก่...

พรรคภูมิใจไทย โดยนายพิพัฒน์ และ ดร.นาที รัชกิจประการ ซึ่งคาดหวังชนะ 19 เขตเลือกตั้งทั่วภาคใต้ โดยมี จ.ตรัง เป็นอีกหนึ่งหมุดที่พรรคภูมิใจไทย หมายมั่นปั้นมือปักธง และได้ส่งผู้สมัครครบ 4 เขต ได้แก่ เขต 1 นพ.รักษ์  บุญเจริญ / เขต 2 นางโชติกา รักเมือง / เขต 3 เรือเอกพัฒน์พงษ์ คงผลาญ และเขต 4 นายดิษฐ์ธนิน ภาคย์อิชณน์  

พรรคพลังประชารัฐ โดยนายทวี สุระบาล เป็นพี่ใหญ่ ได้ส่ง เขต 1 นายกิตติพงษ์ ผลประยูร / เขต 2 นายทวี สุระบาล / เขต 3 พ.ต.ท.ณัฐพงษ์ ใจสมุทร / เขต 4.พล.ต.ต.บรรลือ ชูเวทย์ ซึ่งปัจจุบัน จ.ตรัง เขต 1 มีนายนิพันธ์ ศิริธร เป็น ส.ส.พลังประชารัฐ อยู่แล้ว จึงต้องการรักษาเก้าอี้ ส.ส.เขต 1นี้ไว้ให้ได้ แม้นิพันธ์จะไม่ได้ลง ส.ส.เขตแล้วก็ตาม

พรรคประชาธิปัตย์ ส่งครบ 4เขต ได้แก่เขต 1 นพ.ตุลกานต์ มักคุ้น / เขต 2 นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย / เขต 3 น.ส.สุณัฐชา โล่สถาพรพิพิธ และเขต 4 นายกาญจน์ ตั้งปอง  

พรรครวมไทยสร้างชาติ มีตัวเด่นอยู่ที่เขต 3 ‘อำนวย นวลทอง’ อดีตนักศึกษากิจกรรมตัวยง ที่สนใจการเมืองมาตั้งแต่สมัยเรียน และมุ่งมั่นเข้าสู่วิถีการเมือง อดีตสมาชิกสภาเขตพญาไท อดีตประธานสภาเขตพญาไท 2 สมัย คนใกล้ชิด ดร.พิจิตต รัตตกุล อดีตผู้ว่าฯ กทม. และ เขต 4 สมบูรณ์ อุทัยเวียนกุล อดีต ส.ส.ประชาธิปัตย์ที่ถูกคัดออก เพราะถูกคนในพรรคประชาธิปัตย์มองข้าม แต่นายชวนยังเห็นคุณค่า โดยพรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่งมีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีนั้น ก็เตรียมลงพื้นที่ตรังเรียกแขกในวันเสาร์ที่ 29 เมษายนนี้ด้วย 

กล่าวโดยสรุปสำหรับสนามเมืองตรัง เขต 1 จะเป็นการแข่งกันมันส์หยด เมื่อ พลังประชารัฐ ส่ง กิตติพงษ์ ผลประยูร ลงพื้นที่ก่อนผู้สมัครคนอื่นมีความได้เปรียบในการจัดตั้งคะแนนเสียง ส่วนเจ้าถิ่นประชาธิปัตย์ ส่ง นพ.ตุลกานต์ มักคุ้น ลูกรักประชาธิปัตย์สาย ‘ชวน หลีกภัย’ ลงสมัครใช้ฐานคะแนนเสียงเดิมเพื่อหวังชัยชนะกลับคืนมา
พรรคภูมิใจไทย นพ.รักษ์ บุญเจริญ เปิดตัวหลังคนอื่น แต่กระแสตอบรับดีมาก มีกระแสพรรคฯ ‘พูดแล้วทำ’ มาหนุน ทั้งประวัติส่วนตัวขาวสะอาด เป็นหมอชาวบ้านติดดิน จึงได้คนวงการสาธารณสุขหนุนนำ  

ยิ่งไปกว่านั้นเขต 1 จะเป็นสนามเลือกตั้งที่มีการแข่งขันดุเด็ดเผ็ดมันส์แน่ เพราะผู้สมัครทั้ง 3 คนไม่เคยเป็น ส.ส.มาก่อน มี นพ.รักษ์ คนเดียวที่เล่นการเมืองท้องถิ่น อดีตรองนายกเทศบาลนครตรัง ส่วนนายกิตติพงษ์ อดีตข้าราชการกรมที่ดิน ส่วนหมอตุลกานต์ มักคุ้น หมอโรงพยาบาลตรัง เขตนี่อย่ากระพริบเชียว

เขต 2 คู่นี้คือมวยคู่เอกของรายการในนัดนี้ เมื่อนายทวี สุระบาล ผู้ช่วยรัฐมนตรีและอดีต ส.ส.หลายสมัยหวนคืนสังเวียนขอทวงแชมป์จาก ส.ส.สาทิตย์ วงศ์หนองเตย พรรคประชาธิปัตย์ ทวี ทำการบ้านลงพื้นที่มาหลายปี ไปทุกงาน เสียงตอบรับกระแสนิยม มาฝั่งทวีได้ยินทุกหมู่บ้านคราวนี้ อีกทั้งนักการเมืองท้องถิ่นก็หนุนช่วยทวี ที่สำคัญสมชายก็เป็นอีกหัวเรี่ยวหัวแรงช่วยทวีออกหน้าออกตาตั้งแต่ก่อนสมัครแล้ว

ส่วนดาวสภา คนตัวเล็กฝีปากกล้า ‘สาทิตย์ วงศ์หนองเตย’ กลับมาลงพื้นที่เดินพบปะชาวบ้าน ‘เคาะประตู’ สไตล์ประชาธิปัตย์ เขตนี้เริ่มต้นทวี เป็นรองสาทิตย์ แต่ไม่มากนัก เวลาผ่านไปหายใจรดต้นคอสาทิตย์แล้ว

‘เพื่อไทย’ เตรียมเดินสายปราศรัยภาคอีสาน 2 วัน 4 จังหวัด มุ่งทำคะแนนโค้งสุดท้าย แม้โพลสำรวจจะการันตีความนิยม

(28 เม.ย. 66) ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผอ.ครอบครัวเพื่อไทย แถลงถึงการลงพื้นที่ภาคอีสานของพรรคเพื่อไทย ในวันที่ 29-30 เม.ย.นี้ ว่า นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกฯ พรรคเพื่อไทย และประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย รวมทั้งแกนนำพรรคเพื่อไทย จะลงพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ, สุรินทร์, มหาสารคาม และบุรีรัมย์

โดยจะเริ่มเวทีปราศรัยที่ อ.กันทรลักษ์ และ อ.เมือง จากนั้นไปที่ อ.อุทุมพรพิสัย เสร็จจาก จ.ศรีสะเกษ 3 เวทีในช่วงบ่าย ในช่วงเย็นจะไปเปิดเวทีปราศรัยที่ อ.ท่าตูม จ.สุรินทร์ จากนั้นวันที่ 30 เม.ย.จะเริ่มเปิดเวทีปราศรัยที่ อ.พยัคฆภูมิพิสัย จ.มหาสารคาม จากนั้นไปต่อที่ อ.ละหานทราย และ อ.สตึก จ.บุรีรัมย์

‘ชาติพัฒนากล้า’ ร่วมหารือนักธุรกิจรุ่นใหม่ ชู ‘โคราชโนมิกส์’ หวังยกระดับโคราชและภาคอีสานสู่ระเบียงเศรษฐกิจ

(28 เม.ย. 66) นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานพรรคชาติพัฒนากล้า (ชพก.) พร้อมด้วย นายเทวัญ ลิปตพัลลภ ผู้สมัคร ส.ส.เขต 1 เบอร์ 5 พรรคชาติพัฒนากล้า ได้พบปะกับกลุ่มนักธุรกิจรุ่นใหม่ของโคราช เพื่อนำเสนอนโยบายของพรรคชาติพัฒนากล้า ‘งานดี มีเงิน ของไม่แพง’ โดยเฉพาะของจังหวัดนครราชสีมา มีนโยบาย ‘โคราชโนมิกส์’ ซึ่งเป็นนโยบายเฉพาะในการพัฒนาโคราชและภาคอีสาน เอาเศรษฐกิจยุคทองกลับมา ประกอบด้วยนโยบาย 5 ด้าน คือ

1.) นโยบายการสร้างภาคอีสานให้เป็นระเบียงเศรษฐกิจใหม่ของโคราช
2.) นโยบายการสร้างระบบคมนาคมที่เข้มแข็งและทันสมัย
3.) นโยบายการสร้างให้โคราชอีสานเป็นดินแดนแห่งเมืองท่องเที่ยวที่เป็นอินเตอร์
4.) นโยบายโคราชอีสานเป็นเมืองผลิตอาหารให้กับโลก
5.) นโยบายการแก้ไขปัญหาที่พี่น้องประชาชนประสบมาก ๆ คือ น้ำท่วม น้ำแล้ง และน้ำประปาไม่เพียงพอ หรือนโยบายโคราชเมืองน้ำไม่ท่วม น้ำไม่แล้ง ประปาเพียงพอ

‘จุรินทร์’ เตรียมปราศรัยใหญ่ จ.สุราษฎร์ฯ-พังงา 29-30 เม.ย.นี้ มั่นใจ!! ‘ปชป.’ รักษาแชมป์เก่าได้ ครองเก้าอี้ ส.ส.ยกจังหวัด

(28 เม.ย. 66) นางดรุณวรรณ ชาญพิพัฒนชัย ทีมโฆษกประจำศูนย์เลือกตั้งพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวว่า ในวันที่ 29 เม.ย.- 30 เม.ย. 66 นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมแกนนำพรรคฯ เตรียมล่องใต้ ลงพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี และจังหวัดพังงา เพื่อพบปะกับพี่น้องประชาชนพร้อมเปิดเวทีปราศรัย 3 เวที โดยจะเริ่มต้นกิจกรรมตั้งแต่ในช่วงเย็นที่ 29 เม.ย.เปิดเวทีปราศรัยบริเวณข้างโรงแรมวังใต้ ตำบลตลาด อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี และในวันที่ 30 เม.ย.ช่วงเย็ นจะมีปราศรัยที่ อำเภอเมือง จังหวัดพังงา และช่วงค่ำไปปราศรัยที่อำเภอท้ายเหมือง จังหวัดพังงา บริเวณศาลเจ้าเล่งสั้นเก้ง (ศาลเจ้าท้ายเหมือง)

‘พุทธิพงษ์’ มั่นใจ!! นโยบาย ภท. ตอบโจทย์คนทุกกลุ่ม อ้อน!! ขอ ปชช. เชื่อใจ เพราะภูมิใจไทย ‘พูดแล้วทำ’ 

(28 เม.ย.66) นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ ผอ.การเลือกตั้งกทม. พรรคภูมิใจไทย (ภท.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า…

นโยบายดี ๆ ที่ตอบโจทย์ประชาชนทุกกลุ่ม เพราะพรรคภูมิใจไทยเข้าใจ ว่าปัญหาที่เกิดขึ้นกับประชาขนในแต่ละพื้นที่คืออะไร ผมและทีมงานจึงพร้อมที่จะผลักดันทุกนโยบายให้เกิดขึ้นโดยเร็วที่สุด 

ขอให้ประชาชนมั่นใจ เชื่อใจ และเราขอสัญญาว่า ภูมิใจไทย พูดแล้วทำ 

เลือกพรรคภูมิใจไทย ❎7️⃣ กาเบอร์ 7 #พูดแล้วทำ พร้อมลงมือทำงานทันที

ทั้งนี้ยังได้แนบคลิปวิดีโอที่สะท้อนเสียงจากประชาชนถึงปัญหาที่สังคมไทยกำลังเผชิญและต้องรีบแก้ไข เช่น ปัญหาค้าขายที่ยากลำบาก เนื่องจากประชาชนไม่ควักเงินออกมาใช้จ่ายเนื่องจากต้องประหยัดเงิน ทำให้พ่อค้าแม่ขายมีรายได้น้อยลง ปัญหาเรื่องราคาสินค้าที่ปรับสูงขึ้น แม้จะปรับขึ้นเพียง 1-2 บาท แต่ราคาที่ปรับขึ้นนั้นเกิดขึ้นกับสินค้าทุกชนิดที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตของพี่น้องประชาชน ปัญหาเรื่องฝุ่น PM 2.5 และควันจากจราจร ปัญหาเรื่องค่าตั๋วโดยสารรถสาธารณะที่พุ่งสูง ทำให้เกิดค่าใช้จ่ายต่อวันเพิ่มขึ้น ปัญหาแก๊สขึ้นราคา เป็นต้น

นอกจากนี้ พรรคภูมิใจไทยได้ชูนโยบายสำคัญๆ ได้แก่ พักหนี้ 3 ปี หยุดต้นปลดดอก ซึ่งเป็นนโยบายที่ประชาชนให้การตอบรับดี โดยมองว่า เป็นผลดีต่อผู้หาเช้ากินค่ำ สามารถจัดสรรบริหารรายได้ที่มีอยู่ได้มากยิ่งขึ้น 

ฟรีกองทุนประกันชีวิต 60 ปีขึ้นไป เสียชีวิตรับ 100,000 กู้ได้ 20,000 ไม่ต้องมีคนค้ำประกัน เป็นนโยบายที่ประชาชนมองว่าเป็นประโยชน์ น่าสนใจ

‘ชาวพระโขนง’ ขอบคุณ ‘มณีรัตน์’ ผู้สมัครส.ส.ภูมิใจไทย  ช่วยประสาน อปพร.-เข้าช่วยเหลือ หลังเกิดเหตุไฟไหม้ 

เมื่อไม่นานมานี้ ได้เกิดเหตุเพลิงไหม้บ้านเรือน ไม่มีเลขที่จำนวน 6 หลัง ภายในซอยปุณณวิถี 48 ถ.สุขุมวิท 101 แขวงบางจาก เขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร ซึ่งนางสาวมณีรัตน์ ลิมป์รัตนกาญจน์ ผู้สมัคร ส.ส. จากพรรคภูมิใจไทย ได้ให้การช่วยเหลือและประสาน อปพร. ในพื้นที่ทันทีหลังจากเกิดเหตุ 

จากคำบอกเล่าของชาวบ้าน ช่วงเวลาแปปเดียวไฟลุกลามไหม้หมด ไฟฟ้าก็ดับ ตรงนี้มืดหมด ตกน้ำราดในขณะที่ขาก็ปวด เมื่อทราบข่าวเหตุเพลิงไหม้ สิ่งแรกที่ทำ นางสาวมณีรัตน์ ลิมป์รัตนกาญจน์ กล่าวว่า “โชคดีที่ว่าทีมอาสาของเราหนึ่งในนั้นเป็น อปพร. ทางทีมเราก็ลงพื้นที่เข้าไปช่วยเลย และทำการประสานทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมกับดูแลพี่น้องประชาชนที่อยู่อาศัยตรงนั้น ไม่ให้เขาตื่นตระหนกมากจนเกินไป หลังจากเกิดเหตุการณ์นี้เรามาตรวจสอบพบว่า 6-7 หลังคาเรือนที่ไฟไหม้ เป็นบ้านที่ไม่มีเลขที่ ต้องไปจั้มไฟ เลยเป็นสาเหตุที่เกิดไฟฟ้าลัดวงจร พื้นที่ไม่มีโฉนด หรือเป็นพื้นที่รกร้างแล้วชาวบ้านมาสร้างบ้านกันอยู่เอง เกิดจากการที่เขาไม่มีที่อยู่อาศัย เป็นหน้าที่ของทางรัฐบาลที่ต้องดูแลปรับปรุงพื้นที่พัฒนาและก็สร้างบ้านเพื่อตอบรับสิ่งเหล่านี้ให้แก่พี่น้องประชาชนที่ไม่มีที่อยู่อาศัย”

สำหรับแนวทางแก้ไขปัญหา นางสาวมณีรัตน์ ลิมป์รัตนกาญจน์ กล่าวว่า “เบื้องต้น คือ 1) จัดหาที่อยู่อาศัยที่เหมาะสม 2) ส่งเสริมความรู้เรื่องไฟฟ้าแก่ชุมชน สอนให้เด็กมีองค์ความรู้เรื่องนี้ในการป้องกันเบื้องต้นไม่ให้เกิดไฟไหม้ขึ้น 3) จัดทีมอาสาเฝ้าระวังของแต่ละชุมชน ซึ่งสมัยก่อนเคยมีและทุกวันนี้ก็ยังทำอยู่ 

‘ไบรท์ ชินวัตร’ เผย เหตุผลช่วย ‘ดร.ปุ๊ก รทสช.’ นนทบุรี หาเสียง ยัน!! ผู้สมัครทำงานจริง วอน ฝ่ายประชาธิปไตยเปิดใจให้กว้าง

เมื่อวันที่ 27 เม.ย. 66 นายชินวัตร จันทร์กระจ่าง หรือ ‘ไบรท์ ชินวัตร’ แกนนำม็อบราษฎรเมืองนนท์ โพสต์เฟซบุ๊ก เปิดเผยเหตุผลในการช่วยหาเสียงให้ ดร.ปุ๊ก วิภาวัลย์ วรวรรณปรีชา ผู้สมัคร ส.ส.นนทบุรี เขต 1 พรรครวมไทยสร้างชาติ ว่า…

“ผมยืนยันครับ ว่าเป็นภาพที่ผมช่วย ‘ดร.ปุ๊ก วิภาวัลย์ วรวรรณปรีชา’ หาเสียงจริง ๆ ครับ แต่ผมยังคงยืนยันอุดมการณ์ในการเรียกร้องประชาธิปไตยในหัวใจผมดั่งเดิม

สาเหตุที่ผมต้องมาช่วยผู้สมัครท่านนี้หาเสียง อยากให้พี่น้องได้ทราบว่า ในช่วงการระบาดของโรคโควิดที่ผ่านมา ในพื้นที่จังหวัดนนทบุรี และจังหวัดใกล้เคียง มีพี่น้องเดือดร้อนเป็นจำนวนมาก บางคนต้องสูญเสียพ่อแม่และคนรักในครอบครัว ผมจึงเปิดศูนย์อำนวยการเพื่อประสานความช่วยเหลือผู้ป่วยที่ติดเชื้อโควิดในช่วงนั้น เพราะพี่น้องไม่มีเตียงรักษาโรค

มีผู้หญิงคนนี้ คือ ดร.วิภาวัลย์ วรวรรณปรีชา ที่เป็นคนแรกอาสาเข้ามาที่จะสนับสนุน ผลักดันหาเตียงรักษาโรคให้เพียงพอต่อจำนวนที่พี่น้องประสานมายังผม ไม่ต่ำกว่า 2,000 คน พี่น้องในพื้นที่ลำบาก มีผู้หญิงคนนี้ที่ยื่นมือมาช่วยนำสิ่งของต่าง ๆ มามอบให้กับผม เพื่อนำไปแจกจ่ายให้กับพี่น้องเพื่อบรรเทาความทุกข์ร้อน

ผมยืนยันว่า ไม่มีนักการเมืองคนไหนเลย ที่จะเป็นความหวังและเป็นที่พึ่งของประชาชนในพื้นที่นนทบุรีเขต 1 ผมจึงจำเป็นจริง ๆ ที่จะต้องสนับสนุน ดร.วิภาวัลย์ วรวรรณปรีชา ผู้สมัครหมายเลข 2 เขต 1 นนทบุรี ตำบลบางกระสอ, ตำบลบางเขน และตำบลท่าทราย

ผมมีความหวังและความฝันอยากเห็นนักการเมืองแบบนี้ที่ทำเพื่อประชาชน ส่วนสำหรับคุณประยุทธ์ จันทร์โอชา จะอยู่ต่อหรือไม่อยู่ต่อ ก็เป็นเรื่องของเขาไม่เกี่ยวกับผม

ผมยืนยันยังไงก็แล้วแต่ ผมจะต้องสนับสนุนผู้สมัครหมายเลข 2 ผู้นี้ให้เข้าสภาฯ ให้จงได้

ขอบคุณพี่น้องในเขตพื้นที่นนทบุรีเขต 1 ที่เข้าใจผม และผมต้องขอโทษหากทำให้พี่น้องท่านใดไม่พอใจ ทุกคนย่อมมีเหตุผลแต่ละพื้นที่ความเดือดร้อนปัญหาต่าง ๆ ย่อมแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

การที่พี่น้องหลายคนเข้ามาต่อว่าด่าทอผมเสีย ๆ หาย ๆ ผมเชื่อว่ามันจะทำให้ผมเข้มแข็งขึ้น และอยากฝากบอกทุกท่านว่า ถ้าพวกเรารักประชาธิปไตยจริงควรเปิดใจให้กว้างสักนิด และรับฟังให้รอบด้าน มิใช่เอาแต่อารมณ์ตัวเอง แล้วด่าคนอื่นว่าเป็นอย่างที่คุณคิด

สถานภาพใหม่ ‘พิธา’ คนโกหก-ไม่ทำชั่ว ‘ไม่มี้’ ซวย 'โร้ดแม็ปรัฐบาลก้าวไกล' กร่อยกลางทาง

เลียบการเมือง การเลือกตั้งสุดสัปดาห์ 'เล็ก เลียบด่วน' ไม่ขอพูดพล่ามทำเพลง ขอชี้เปรี้ยงไปที่กรณี พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลเลยว่า...น่าเสียใจและน่าเสียดายที่จะต้องบอกว่าคำชี้แจงแถลงไขของ กรณีดรามางานศพพ่อ แม้จะจริงอยู่ส่วนหนึ่ง แต่ก็เป็นการ 'เลือกชี้แจง' ตอบไม่สะเด็ดน้ำว่าใช้เส้นสาย 'อภิสิทธิ์ชน' ขึ้นเครื่องบินเที่ยวพิเศษได้ยังไง? เพราะใคร?

และที่สำคัญไม่มีหลักฐานแม้แต่นิดเดียวว่าถูกคณะรัฐประหาร 19 กันยา 49 คุมตัวเป็นวัน และถูกอายัดบัญชีการทำธุรกรรม...งานนื้ทำให้การแถลงข่าวเรื่อง 'โร้ดแม็ปรัฐบาลก้าวไกล' ของเขา ที่มีบางเรื่องน่าสนใจกร่อยไปเลย..กร่อยไปท่ามกลางโซเชียลที่กระพือพุทธภาษิต...คนโกหกไม่ทำชั่วไม่มี...!!

อย่างไรก็ตาม ขณะที่หัวหน้าพรรคกำลังถูกกล่าวหาว่าสร้างดราม่าเรื่องผจญภัยรัฐประหาร...ก็ต้องยอมรับว่ากระแสพรรคก้าวไกลในหลายยังคงพื้นที่ร้อนแรง...ร้อนแรงจากเวทีดีเบต โพลของหลายสำนัก รวมทั้งหน่วยงานความมั่นคงเริ่มขยับปรับเปลี่ยนจำนวนที่นั่ง ส.ส.ของพรรคส้มกันบ้างแล้ว...แต่ถึงอย่างไร 'เล็ก  เลียบด่วน' ก็ยังฟันธงว่าในสนามต่างจังหวัด ว่ายากที่พรรคก้าวไกลจะแหกโค้งเบียดเข้าป้ายอย่างมีนัยสำคัญ...ยกเว้นสนาม กทม.ที่อาจจะมีเซอร์ไพรซ์ ถ้า 7 วันสุดท้ายพรรคเพื่อไทยยังไม่มีทีเด็ดทีขาด...

ส่องสนามเลือกตั้งตามภาคต่างๆ...เกิดปรากฏการณ์ประหลาดในภาคอีสานบางพื้นที่ และภาคใต้ในหลายพื้นที่...นั่นคือปรากฏการณ์ 'ทิ้งพรรค เอาเขต'...โดยเฉพาะที่นครศรีธรรมราช ที่กระแสลุงตู่มาแรงสุดๆ  ทำให้ผู้สมัครคู่แข่ง โดยเฉพาะพรรคเก่าแก่ต้องปรับกลยุทธ์บอกชาวบ้านว่า...คะแนนพรรคเลือกลุงตู่ เบอร์ 22 แต่คะแนนเขตขอให้เลือกพรรคกระผม พรรคดิฉัน...ทำเอาผู้สมัครพรรครทสช.ต้องรีบไปแก้เกมกันจ้าละหวั่น...

พูดถึงพรรครวมไทยสร้างชาติเสาร์-อาทิตย์นี้ 'ลุงตู่' จัดเต็ม ขนาดไปพักค้างที่สงขลา...และก่อนเลือกตั้ง 2 วันจะจัดหนักให้ที่นครศรีธรรมราชอีกครั้ง...แต่พื้นที่ที่ดูเหมือนจะร้อนรุ่มกลุ้มอุราก็คือภาคอีสาน  เหตุเพราะน้ำประปาหยุดไหลมานานแล้ว ผู้สมัครหลายคนเริ่มถอดใจ...หลายคนก็เริ่มรวมตัวฮึ่มๆ...จะยกพลขอคุยกับ 'หัวหน้า-เลขา' ให้รู้แล้วรู้รอด...ทราบแล้วเปลี่ยน..!!

‘พปชร.’ ชูนโยบาย ‘ปุ๋ยคนละครึ่ง’ พร้อมตั้งกองทุนปุ๋ยประชารัฐ ช่วยลดต้นทุนการเพาะปลูก เพิ่มรายได้ ยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกรไทย

(28 เม.ย.66) ที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) นายชาญกฤช เดชวิทักษ์ โฆษกคณะกรรมการยุทธศาสตร์การเลือกตั้งพรรคพปชร. กล่าวว่า มีนโยบายปุ๋ยคนละครึ่ง เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของเกษตรกร ให้ครอบคลุมเกษตรกร จำนวน 8 ล้านครัวเรือน สามารถซื้อปุ๋ยได้ในราคาถูก โดยรัฐบาลจะช่วยอุดหนุน 50 % และจะตั้งกองทุนปุ๋ยประชารัฐ เพื่อรักษาเสถียรภาพ ลดต้นทุนการเพาะปลูก ทำให้ได้ผลผลิตเพิ่มขึ้น สร้างรายได้ให้กับเกษตรกรอย่างยั่งยืน จึงขอฝากเลือกพรรคพปชร.และผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคทุกเขตทั่วทั้งประเทศ เพื่อก้าวข้ามความขัดแย้ง และพลิกฟื้นเศรษฐกิจ พลิกโฉมประเทศไทย เพื่อก้าวหน้าไปอย่างยั่งยืน  

“พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค ให้ความสำคัญกับเกษตรกรทุกกลุ่ม มีนโยบายด้านการเกษตรออกมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ และยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรไทยที่เป็นกระดูกสันหลังของชาติ ฉะนั้นเกษตรกรไทยจึงควรทำให้พืชผลทางการเกษตรมีศักยภาพในการแข่งขัน โดยรัฐบาลต้องเข้ามาช่วยดูแลให้เกษตรกรมีต้นทุนการเพาะปลูกที่ต่ำ อีกทั้ง จำหน่ายผลผลิตเกษตรให้ได้ในราคาสูง” 

‘รศ.ปวิน’ วิเคราะห์รอบด้านท่าที ‘เพื่อไทย’  ในวันที่คนไทยอยากหลุดจากเงารัฐประหาร 

‘รศ.ปวิน’ นักวิชาการมหาวิทยาลัยเกียวโต วิเคราะห์พรรคเพื่อไทย แบบเจาะลึกถึงใจ เปิดมุมมอง กลยุทธ์การเมืองของพรรคการเมืองต่างๆ แลนด์สไลด์มีโอกาสสำเร็จ แต่อุปสรรคใหญ่ก็อยู่ที่ส่วนแบ่งคะแนนเสียงในกลุ่มตลาดเดียวกันอย่างพรรคก้าวไกล ขณะที่พรรคน้องใหม่ อย่างรวมไทยสร้างชาติ และพลังประชารัฐ ก็ไม่น้อยหน้า พร้อมแย่งชิงพื้นที่ได้ตลอดเวลา

เมื่อไม่นานมานี้ ‘รศ.ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์’ นักวิชาการมหาวิทยาลัยเกียวโต ได้ให้สัมภาษณ์ถึงกลยุทธ์ของพรรคเพื่อไทย ผ่านช่อง YouTube ‘NailName’ โดย ‘เนม รติศา วิเชียรพิทยา’ มีสาระสำคัญดังนี้...

>> เมื่อถามถึงโอกาสแลนด์สไลด์ของพรรคเพื่อไทย รศ.ปวิน มองว่า โอกาสของพรรคเพื่อไทย ที่จะชนะการเลือกตั้ง 66 แบบแลนด์สไลด์นั้น มีความเป็นไปได้มาก ประการแรก เนื่องจากเทรนด์ในการเลือกพรรคการเมืองของคนไทย ในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา โดยมีคุณทักษิณ ชินวัตร อยู่เบื้องหลัง มักจะมีผลต่อชัยชนะทุกการเลือกตั้ง สังเกตได้ว่าไม่ว่าจะจะเป็นการเลือกตั้งใด ที่โยงกับทักษิณ พรรคนั้นๆ ก็จะยังชนะมาได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่วนหนึ่งก็คงเพราะนโยบายที่ค่อนข้างถูกจริตคนไทย

ประการต่อมา ตั้งแต่รัฐประหารปี 2557 ก็ต้องบอกตามตรงว่าประเทศไทยยังไม่หลุดออกจากระบอบเดิมเลยมาเป็นระยะเวลาเกือบ 9 ปี ซึ่งเป็น 9 ปีที่โดนครอบด้วยระบอบรัฐประหาร หรือมองอีกมุมก็คือ ระบอบทักษิณหายไปจากเมืองไทยถึง 9 ปีแล้ว และนั่นก็เริ่มสะท้อนให้เห็นว่าคนไทยทุกข์ระทมมาก ความรู้สึกของคนไทยหลายคน จึงโหยหาอยากจะก้าวออกจากระบอบการเมืองในปัจจุบัน และหวนกลับไปคว้าแนวทางการเมืองแบบของคุณทักษิณ นี่คือ 2 ประเด็นสำคัญ ที่จะทำให้พรรคเพื่อไทยได้คะแนนเสียงแบบแลนด์สไลด์

>> ขณะเดียวกันเมื่อถามถึงตัวแปรที่จะทำให้พรรคเพื่อไทยไม่แลนด์สไลด์ รศ.ปวิน ก็ได้ชี้ให้เห็น 2 ประเด็น

1.) เราไม่ควรประเมินค่า พรรคที่เกิดใหม่อย่าง รวมไทยสร้างชาติ และ พรรคพลังประชารัฐ ต่ำจนเกินไป เพราะถึงแม้รัฐบาลที่ผ่านมาจะทำความเจ็บช้ำใจให้กับคนไทยแค่ไหน แต่ก็จะยังมีคนไทยอีกส่วนหนึ่งที่พร้อมจะเลือกพรรคเหล่านี้ เนื่องจากคนกลุ่มนี้ยังมีความกลัวในระบอบทักษิณอยู่

2.) การเกิดขึ้นของพรรคก้าวไกล ที่ผันตัวมาจากพรรคอนาคตใหม่ ก็ถือเป็นอีกตัวแปรสำคัญในการดึงคะแนนเสียงของพรรคเพื่อไทยออกไป เหตุเพราะไม่มีพรรคไหนที่ชัดเจนเท่ากับพรรคก้าวไกล ซึ่งกำลังเดินตามตัวแปรที่หลายคนโหยหาการเปลี่ยนแปลงหลักของประเทศนี้ เช่น ความเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการเมือง และการแก้ไข ม.112 ซึ่งก้าวไกลมีความแน่วแน่และชัดเจนกว่าพรรคอื่นๆ 

>> เมื่อถามว่าการเลือกเพื่อไทยให้แลนด์สไลด์ เพื่อให้เป็นไปตามหลัก Strategic Vote รศ.ปวิน มองว่า แน่นอนว่าการเลือกพรรคเพื่อไทยพรรคเดียว ซึ่งนำมาสู่สโลแกน แลนด์สไลด์ นั้น จะนำไปสู่ความเด็ดขาดทางรัฐบาลแบบพรรคไทยรักไทยที่เคยทำได้มาก่อน (One Party) ซึ่งมันจะทำให้ง่ายต่อการแก้ไข หรือปรับเปลี่ยนในรัฐสภา แต่ถ้า Vote ตามใจ โหวตกระจาย เช่น ชอบก้าวไกล ก็โหวตก้าวไกล โดยไม่สนใจในพรรคเพื่อไทยที่ถือเป็น Strategic Vote ในเชิงของพรรคที่โอกาสได้คะแนนเสียงมากที่สุดในครั้งนี้นั้น ก็มีความเป็นไปได้ว่าต่อให้พรรคเพื่อไทยจะได้เสียงมากกว่าพรรคอื่น แต่มันก็จะนำไปสู่การสร้างรัฐบาลและพรรคผสม ซึ่งมันตั้งรัฐบาลได้ก็จริง แต่เสถียรภาพก็จะง่อนแง่น ฉะนั้น สิ่งที่พรรคเพื่อไทยพยายามขายตอนนี้ จึงเป็นการขายความเชื่อมั่นที่ One Party จะเหมาะต่อการขับเคลื่อนประเทศไทยไปข้างหน้าง่ายขึ้น เรียกว่าต่อให้ใจคุณจะอยู่กับพรรคก้าวไกลก็ตาม แต่ถ้าไม่เลือกเพื่อไทย มันก็จะเกิดผลกระทบต่อ Strategicเป็นต้น 

>> อย่างไรก็ตาม เมื่อถามถึง Strategic Vote มีความจำเป็นกับประเทศไทยไหม รศ.ปวิน ย้ำชัดว่า ส่วนตัวผมไม่ซื้อ เพราะการมอบสิทธิของเราให้พรรคการเมืองหนึ่งไปแบบเบ็ดเสร็จ ผมไม่เชื่อว่าพรรคการเมืองนั้นๆ จะทำตามสิ่งที่เราต้องการ เช่น ถ้าผมอยากเห็นการแก้ไข 112 ผมก็อาจต้องโหวตให้ก้าวไกล เพราะผมไม่มั่นใจว่าอะไรจะการันตีว่า เพื่อไทยจะแก้ 112 ให้ เป็นต้น

นอกจากนี้ การให้อำนาจของประชาชนกับพรรคการเมืองใด พรรคการเมืองหนึ่ง โดยให้คุณค่าเขาสูงขนาดนั้น ซึ่งเราไม่แน่ใจว่าเขามีคุณค่าที่จะได้รับเสียงขนาดนั้นอย่างนั้นหรือไม่? มันเหมือนเราควรเอาไข่ทั้งหมดใส่ตะกร้าใบเดียวเช่นนั้นหรือ พูดง่ายๆ ก็คือ ผมไม่คิดว่ามันมีพรรคการเมืองแบบนั้น พรรคการเมืองแบบที่พร้อมตอบสนองเสียงของผู้คนในเมืองไทย จนนำไปสู่ความทุ่มเทที่จะต้องก้าวไปสู่ Strategic Vote 

แน่นอนว่า อาจจะมีบางมุมบอกกับผมว่า ถ้าไม่เลือกแบบ Strategic Vote ไม่เลือกเพื่อไทยให้แลนด์สไลด์ แล้วทหารจะกลับมานั้น ผมก็คงต้องถามกลับไปว่า แล้วถ้าเพื่อไทยแลนด์สไลด์เข้ามา จะแก้ปัญหาก่อนหน้าทั้งหมดได้หรือไม่ ปัญหาการจับตัวเยาวชน / ปัญหาการจับกุมเด็กอายุ 14 / ปัญหาการชุมนุมในที่สาธารณะ หรือปัญหาในการไม่มีสิทธิพูดเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์ จะหมดไปงั้นหรือ จะแก้ไขได้หรือ บางอย่างอาจจะได้ เช่น ปากท้อง ค่าไฟ เศรษฐกิจ แต่ผมถามนะว่า นี่คือ ปัญหาโดดเด่นของเมืองไทยจริงหรือเปล่า ซึ่งผมออกมานอกไทย ผมมองเห็น แล้วผมเชื่อว่าพรรคเพื่อไทยก็จะไม่แก้ปัญหาที่แท้จริงเหล่านั้น

>> เมื่อถามถึงท่าทีในการเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาของพรรคเพื่อไทยในช่วงที่ผ่านมา รศ.ปวิน วิเคราะห์ว่า การที่พรรคเพื่อไทยยังไม่แสดงออกถึงจุดยืนในการร่วมรัฐบาล หรือไม่พูดว่าจะจับมือ ไม่จับมือกับพรรคใด ทั้งที่เรื่องบางเรื่องมันไม่ต้องดูรายละเอียด จนถึงขั้นต้องไปอ้างเสียงประชาชนนั้น มันก็คือการสร้างช่องว่างเพื่อเอื้อต่อการดีลกันฉากหลังทางการเมือง ผมบอกเลยว่าการเมืองไทย ก็คือการเมืองไทย ต่อให้คนละขั้วแค่ไหน แต่เมื่อมาถึงจุดที่ Critical เขาก็พร้อมดีลกันหลังไมค์ แต่ที่ไม่ดีลทันที ก็เพราะอาจจะไม่เวิร์ก หรือทิศทางประชาชนเปลี่ยน พรรคก็ต้องปรับแนวทางมาโน้มเอียงฟากประชาชน เช่น กรณีเพื่อไทยไม่เคลียร์ว่าจะเอาประวิตรหรือไม่เอา? พอกระแสหนักเข้า เพื่อไทยก็ต้องแสดงจุดยืน เช่น ไม่จับมือโดยทันที ก็เท่านั้นเอง แต่หลังจากนั้นบอกไม่ได้ เพราะคนพูดมีหลายคน คนนึงในพรรคเพื่อไทยพูดแบบนึง อีกคนพูดแบบนึง มันก็เป็นเรื่องของการเผื่อเหลือเผื่อขาดในการดีล ซึ่งท้ายสุดมันก็เป็นการเมือง ไม่ใช่เรื่องที่ต้องไปประณามอะไร เป็นเทคนิคในการอยู่รอดของพรรคการเมือง

‘กรณ์’ ยกพล ‘ชพก.’ เยือนร้อยเอ็ด ช่วย ‘เอม อภัสรา’ หาเสียง เล็งหนุนหมอลำโกอินเตอร์ ดันเป็นซอฟต์พาวเวอร์ของไทย

(27 เม.ย. 66) นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า พร้อมด้วยนายปรีชญา ฉำมณี ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ และ 2 ผู้สมัคร ส.ส.จากจังหวัดมหาสารคาม ได้แก่ นางสาวนุจรีภรณ์ อินทะสร้อย ผู้สมัคร ส.ส.เขต 1 เบอร์ 5 และ นางสาวกมลวรรณ มณีศรี ผู้สมัคร ส.ส.เขต 3 เบอร์ 10 ลงพื้นที่จังหวัดร้อยเอ็ด เพื่อช่วย น.ส.ดนิตา มาบุญธรรม หรือ ‘เอม อภัสรา’ หมอลำซอฟต์พาวเวอร์อีสานชื่อดัง ผู้สมัคร ส.ส.เขต 1 เบอร์ 5 พรรคชาติพัฒนากล้า จังหวัดร้อยเอ็ด หาเสียงในบริเวณ ตลาดหนองแคน อำเภอเมือง เพื่อพบปะ พ่อค้าแม่ค้า พี่น้องประชาชน ที่ให้การต้อนรับและให้กำลังใจกันอย่างคึกคักและต่างแสดงความชื่นชมนโยบายของพรรคชาติพัฒนากล้า ที่เน้นแก้ปัญหาเศรษฐกิจปากท้อง นอกจากนี้ชาวบ้านยังถามถึงจุดยืนเกี่ยวกับเงื่อนไขของการร่วมรัฐบาล ซึ่งนายกรณ์ได้ยืนยันว่าพรรคชาติพัฒนากล้าจะไม่ร่วมกับรัฐบาลเสียงข้างน้อย พรรคที่มีเสียงข้างมากต้องมีสิทธิ์ได้ตั้งรัฐบาลก่อน

จากนั้น คณะของนายกรณ์ และ เอม อภัสรา ได้เข้าร่วมเสวนากับคณะหมอลำชื่อดัง ได้แก่ หมอลำรัญจวน ดวงเด่น หมอลำสาธิต ทองจันทร์ หมอลำพิมพ์ใจ เพชรพลาญชัย ในหัวข้อ ‘หมอลำสู่เวทีโลก’ ณ หอประชุมวิทยาลัยนาฏศิลป์จังหวัดร้อยเอ็ด โดยเอม อาภัสรา กล่าวว่า หมอลำถือเป็นศิลปวัฒนธรรมของชาวอีสาน ที่สามารถผลักดันให้เป็นซอฟต์พาวเวอร์ของประเทศไทยได้ เนื่องจากปัจจุบัน วัยรุ่นหันมานิยมดูหมอลำกันมากขึ้น ส่วนหนี่งมาจากการปรับตัวของหมอลำเพื่อให้เข้ากับยุคสมัย นอกจากนี้หมอลำ ยังช่วยกระจายรายได้ให้กับชุมชนในรูปแบบของ ช่างทำผม ช่างแต่งหน้า ช่างเย็บชุด คนทำพิธีประกอบฉาก คนแต่งเพลง หมอลำชื่อดังหนึ่งคนในอีสาน สามารถกระจายเม็ดเงินเศรษฐกิจให้คนในชุมชน

ต่อมาในช่วงเย็น นายกรณ์ ได้ขึ้นเวทีปราศรัย ณ สนามลานสาเกตุ สวนศรี (หอโหวด) โดยนายกรณ์ กล่าวว่า พิษภัยที่มีต่อบ้านเมืองของเราในยุคนี้สมัยนี้คือทุนผูกขาด  และว่าในการเลือกตั้งเมื่อ 4 ปีที่แล้วพี่น้องประชาชนจำนวนมาก ตัดสินใจว่าจะเลือกอยู่ฝ่ายไหน ตามความคิดทางการเมือง อารมณ์ ความรู้สึกตอนนั้นคือเลือกที่จะต่อสู้กับกลุ่มที่ประชาชนมองว่าเป็นเผด็จการ แต่วันนี้สิ่งที่ท้าทายและเป็นอุปสรรคต่อชีวิตความประชาชนมากที่สุดมันยังเป็นประเด็นการเมืองแบบนั้นหรือไม่ โดยส่วนตัวตนมองว่าเป็นเรื่องเก่าแล้ว วันนี้สาเหตุที่ของแพง ขายของลำบาก ลูกหลานไม่มีโอกาสมีงานดีทำ เป็นเพราะทุนผูกขาดเข้ามาครอบงำเศรษฐกิจ

‘จุรินทร์’ นำทัพปราศรัยใหญ่ ปลุกพลังเงียบ ที่สนาม 700 ปี เชียงใหม่  ปชช.แห่ต้อนรับ พร้อมบอกยังไงก็เลือก ‘ปชป.’ มั่นใจ!! ปักธงได้แน่

(27 เม.ย. 66) ที่จังหวัดเชียงใหม่ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) พร้อมด้วยนายนราพัฒน์ แก้วทอง รองหัวหน้าพรรคฯ ดูแลพื้นที่ภาคเหนือ เพื่อพบปะกับพี่น้องประชาชนใน 4 เขต เพื่อหาเสียงรณรงค์หาเสียงให้กับพรรคประชาธิปัตย์เบอร์ 26 และช่วยหาเสียงให้กับผู้สมัคร ส.ส.เชียงใหม่ ประกอบด้วย

เขต 1 นายจักรวาลธวัฒน์ วรรณาวงค์ เบอร์ 7
เขต 2 นายกัมปนาท ธิสา เบอร์ 7
เขต 3 นายวิชิต กลิ่นทอง เบอร์ 7
เขต 4 นางสาวจิตพลอย จิตจักรวาลทอง เบอร์ 7
เขต 5 ว่าที่ร้อยโทวิศธร เถาตระกูล เบอร์ 9
เขต 6 นายวิศิษฎ์ วัชรินทร์ เบอร์ 6
เขต 7 นายนิคม เชาว์กิตติโสภณ เบอร์ 5
เขต 8 นางพชรพร สุใจคำ เบอร์ 6
เขต 9 นายคูณธนา เบี้ยวบรรจง เบอร์ 7
เขต 10 ว่าที่ร้อยตรีธีรพงศ์ สุขสันต์นิรันดร์ เบอร์ 2

โดยนายจุรินทร์ ได้ร่วมเดินหาเสียงกับผู้สมัคร ส.ส.ประชาธิปัตย์ใน 4 ตลาด ตั้งแต่กาดแม่ คือ อ.ดอยสะเก็ด ตลาดสามแยก กาดสันป่าข่อย ที่ อ.สันทราย และกาดหลวง ตลาดต้นลำไย อ.เมือง พร้อมกับได้เดินทางไปสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ศาลกวนอู และศาลเจ้าปุงเถ่ากง ซึ่งเป็นศาลเจ้าที่เก่าแก่ที่สุดในจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งบรรรยากาศเดินพบปะทักทายพี่น้องประชาชนทั้ง 4 ตลาด เป็นไปอย่างอบอุ่น มีชาวเชียงใหม่มารอต้อนรับ พร้อมโบกมือทักทาย ขอถ่ายรูปเป็นที่ระลึกและมอบดอกไม้อย่างใกล้ชิด

จากนั้น นายจุรินทร์ และคณะได้เดินทางถึงสนามกีฬา 700 ปี ที่ อ.แม่ริม โดยมีพี่น้องประชาชนและแฟนคลับของพรรค เดินทางมารอฟังการปราศรัยจำนวนมาก พร้อมกับส่งเสียงเชียร์ “ประชาธิปัตย์สู้ ประชาธิปัตย์ ซาวหก (26)”

โดยนายจุรินทร์ ได้กล่าวแนะนำผู้สมัครทั้ง 10 เขต และปราศรัยช่วงว่า จากการที่ตนได้ตระเวนหาเสียงมาทั่วประเทศจนถึงวันนี้ พรรคประชาธิปัตย์ได้รับเสียงตอบรับจากทั่วประเทศดีขึ้นเป็นลำดับ ไม่ว่าจะเป็นกรุงเทพมหานคร ที่คราวที่แล้วไม่ได้ ส.ส.เลย แต่คราวนี้เชื่อว่าประชาธิปัตย์ปักธงในกรุงเทพฯ ได้อย่างแน่นอน ภาคเหนือคราวที่แล้วเราได้ 1 คน จาก 16 จังหวัด แต่เที่ยวนี้ไม่ใช่คนเดียว จะต้องได้มากกว่านี้เยอะ อย่างน้อยที่ จ.เชียงใหม่ ตนจึงต้องมาขอแรงสนับสนุนจากพี่น้องช่วยสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อให้ได้มีโอกาสปักธงในเชียงใหม่ และภาคเหนือ ด้วยการเลือกส.ส. ของพรรคทั้ง 10 คน และเลือกพรรคประชาธิปัตย์ เบอร์ ‘ซาวหก’ หรือ ‘เบอร์ 26’ ส่วนภาคอีสาน ภาคกลาง คราวนี้ก็เชื่อว่าจะได้อีกเยอะ ปักษ์ใต้คราวที่แล้วมี ส.ส. 50 คน เราได้ 22 คน เที่ยวนี้เราต้องได้ไม่ต่ำกว่า 40 คนบวก

นายจุรินทร์ ได้ย้ำจุดยืน ‘4 ทำ’ ‘3 ไม่’ พร้อมกล่าวว่า ที่พูดทั้งหมดนี้ ไม่ได้พูดจากความฝัน ไม่ได้พูดหลอกเอาคะแนนจากประชาชน แต่พูดจากความจริงที่เราทำ ถ้าเราเป็นแกนตั้งรัฐบาลอีก ทำไมเราจะทำไม่ได้

นายจุรินทร์ กล่าวถึงนโยบายที่เกี่ยวกับชาติพันธุ์ ว่า ประชาธิปัตย์มีเจตจำนงที่ต้องการสนับสนุนให้ชาติพันธุ์ที่เกิดเมืองไทยและมาอย่างถูกกฎหมาย ให้มีโอกาสได้สัญชาติไทย สำหรับพี่น้องชาวเชียงใหม่ ประชาธิปัตย์จะขับเคลื่อนให้ไปสู่ความร่ำรวยด้วยนโยบายเหนือเชื่อมโลก และเชียงใหม่เชื่อมโลก ด้วยการคมนาคม ด้วยการท่องเที่ยว ด้วยการค้าชายแดน และด้วยซอฟต์พาวเวอร์ อัตลักษณ์ วัฒนธรรมชาวเหนือที่จะทำรายได้ให้ประเทศ และภาคเหนือ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top