‘ถาวร’ ปักธง ‘3ป.’ ยุทธศาสตร์พิทักษ์ชาติ ‘ปกป้องสถาบันฯ-ปราบโกง-ปฏิรูปประเทศ’

 (23 เม.ย.66) จากรายการ ‘ถลกข่าว ถลกคน’ รายการเกาะติด-เจาะลึกการเลือกตั้ง 2566 โดยสำนักข่าวออนไลน์ THE STATES TIMES ร่วมกับ TV Direct ช่อง 76 (จานดาวเทียม PSI) ได้เชิญ นายถาวร เสนเนียม ประธานพรรคไทยภักดี มาฉายภาพสถานการณ์การเมืองไทยในปัจจุบัน จุดยืนของพรรคไทยภักดี พรรคการเมืองที่ภักดีต่อประเทศไทยและสถาบันพระมหากษัตริย์ พร้อมทั้งล้วงไปถึงนโยบายการเลือกตั้งของพรรค ผ่านยุทธศาสตร์ 3 ป. ดังนี้ว่า...

ในการเลือกตั้ง 2566 พรรคไทยภักดี มุ่งมั่นที่จะทำการเมืองภายใต้ยุทธศาสตร์ 3 ป. ซึ่งมีความชัดเจนต่อการนำพาประเทศไทยไปสู่การเป็นประเทศที่ประสบความสำเร็จทั้งเสถียรภาพการเมือง เศรษฐกิจ และความสามัคคีของคนในชาติ โดย…

>> ป. ที่ 1 ได้แก่ ‘ปกป้องสถาบัน’
ไทยภักดี ต้องการให้คนไทยกลับมาสู่โลกของความเป็นจริง ซึ่งก่อนอื่น ผมอยากจะพูดถึงนิยามคำว่าที่ตอนนี้นำมาล้างสมองเด็กไทยกันมาก นั่นก็คือคำว่า ‘ล้าสมัย’ ที่หลุดมาจากบางพรรคและบางบุคคล ผมมองว่านี่เป็นเรื่อง ‘เส็งเคร็ง’ เพราะนักการเมือง นักวิชาการพวกนี้ กำลังใช้เด็กเป็นเครื่องมือ เพื่อนำไปสู่การล้มล้างการปกครอง ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข 

โดยกรรมวิธีที่คนเหล่านี้ทำ คือ เลือกที่จะรับเอาประวัติศาสตร์โง่ๆ ของคนยุโรปในบางประเทศมาทั้งดุ้น แล้วมาถอดแบบสอดใส่ให้กับประเทศไทย แล้วบอกว่าประเทศไทยล้าสมัย ใส่ลงไปในหัวเด็กๆ เยาวชนรุ่นใหม่ ซึ่งพวกคุณนั่นแหละล้าสมัย เพราะคุณไม่รู้จัก Apply สิ่งที่ดีในเมืองไทยให้ไปกับยุคสมัย แต่เลือกที่จะกระทำที่กระทบต่อความมั่นคงของชาติแทน

เพราะฉะนั้น จึงเป็นที่มาของพรรคไทยภักดีในส่วนของ ป.แรก ที่ต้องการจะเข้ามาชัดเจนในการปกป้องสถาบัน ซึ่งอันที่จริงก็ถือเป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคน มายึดโยงเป็นนโยบายสำคัญของไทยภักดี อันจะเกี่ยวเนื่องกับการต่อต้านการล้มมาตรา 112 ซึ่งไม่ได้สร้างความเดือดร้อนแก่ใคร แต่กลับเป็นเครื่องมือชิ้นใหญ่ที่กำลังพาเด็กไทยเดินหลงทางบ้าง เดินไปเข้าคุกบ้าง เป็นการมุ่งร้ายต่อเด็ก โดยผู้ใหญ่ที่คุมเกมอยู่ข้างหลังทั้งสิ้น 

>> ป. ที่ 2. ได้แก่ ‘ปราบโกง’
ถ้าหากเราดูย้อนหลังไปสัก 10 ปี ช่วงปี 2557 อันดับการทุจริตของประเทศไทยอยู่ในลำดับที่ 98 ของโลก จาก 180 ประเทศไทย แต่เราก็ตกลงไปอันดับที่ 110 และก็มีกระเตื้องขึ้นมาเล็กน้อย จากการที่คอร์รัปชันทุจริตงอกเงย ในทุกๆ งบประมาณจะถูกเจียดเปอร์เซ็นต์ไปจากนักการเมืองโกง จาก 3 ล้านล้านเศษ ก็กินไปประมาณ 3 แสนล้านบาทบ้าง จี้ไปตรงไหนก็มีแต่โกงทุกหย่อมหญ้าบ้าง ในโครงการของรัฐบาล มีการโกงกินกันตั้งแต่ 10-20% ซึ่งเงินพวกนี้ เป็นส่วนแบ่งที่นักการเมืองกับพ่อค้าจับมือกันไปจ้างข้าราชการให้ทุจริต นักการเมืองได้ไปเต็มๆ ส่วนคนติดคุกคือ ข้าราชการประจำ นี่คือวิกฤต

สาเหตุหลักๆ ที่เกิดเหตุนี้ เพราะไม่เคยปฏิรูปประเทศไทยอย่างจริงจัง การบังคับใช้กฎหมายต่ำ และระบบอุปถัมภ์ยังไม่มีวันถูกปฏิรูป เราจึงต้องเข้ามาจัดการจุดนี้ ต้องแก้ความผิดคดีทุจริตให้ไม่มีอายุความในทุกๆ เรื่อง / นักการเมือง ต้องยื่นรายได้ โดยมีการตรวจสอบอาชีพ กำไร ขาดทุน เพื่อเช็กถึงความสุจริต ถ้าเจอว่าโกง ก็ยึดทรัพย์สินเข้ารัฐให้หมด / ต้องบังคับใช้สัญญาคุณธรรม รัฐมนตรีห้ามนิ่งเฉย นายกรัฐมนตรีห้ามนิ่งเฉย ห้วงเวลาของการพิจารณาคดีที่ยืดเยื้อต้องไม่มี ผิดต้องเอาความได้เร็วและฉับไว เพื่อให้ประชาชนไม่มองเห็นการโกงเป็นเรื่องปกติ โดยสิ่งเหล่านี้ทำได้ด้วยการแก้กฎหมายให้เป็นรูปธรรม และไทยภักดีจะผลักดันการปราบโกงในลักษณะนี้ให้ถึงที่สุด รวมถึงผลักดันทางสังคม เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนทัศนคติให้หยุดโกงตั้งแต่เด็ก แบบที่ประเทศจีนทำได้มาแล้ว

>> สุดท้ายกับ ป ที่ 3. ได้แก่ ‘ปฏิรูป-ปฏิวัติ’
เดิมทีแนวทางการปฏิรูปประเทศ ภายหลัง คสช.ยึดอำนาจแล้วเสร็จนั้น เต็มไปด้วยแนวคิด แต่เป็นแนวคิดที่ถูกเก็บไว้ในคอมพิวเตอร์บ้าง เอกสารบ้าง รัฐธรรมนูญบ้าง แต่ยังไม่เกิดการนำมาใช้จริง ซึ่งหลายเรื่องเป็นกุศโลบายที่เหล่ามวลมหาประชาชนต้องนำเลือดเนื้อไปเสียสละ เพื่อหวังได้เห็นการเปลี่ยนแปลง 

ยกตัวอย่างเรื่องความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศอย่างยั่งยืน เราจะต้องผลักดันให้เกษตรกรยืนตระหง่านโดยไม่พึ่งพาทุนผูกขาด เช่น การพึ่งพาเรื่องพลังงาน สนับสนุนให้เกษตรกรปลูก ‘หญ้าเนเปียร์’ เพื่อนำมาผลิตแก๊ส หรือแม้แต่นำมาพัฒนาเป็นพลังงานไปปั่นเป็นกระแสไฟฟ้าได้ ซึ่งเป็นแนวคิดในการใช้สินค้าการเกษตร พัฒนาพลังงานสะอาด ก้าวข้ามฟอสซิล

นอกจากนี้ เราขอชัดเจนกับเศรษฐกิจบนพื้นฐานแห่งความเป็นจริง ซึ่งเบื้องต้นเราจะไม่ขอเดินตามประชานิยมแบบลดแลกแจกถม คิดอะไรไม่ออก ก็เอาเงินเตี่ย แจกลูกเตี่ย แต่เราจะใช้สิ่งที่เกิดขึ้นจากภาคการเกษตร มาทำให้เกิดการแบ่งปันรายได้แก่เกษตรกร เช่น ปลูกหญ้าเนเปียร์ ซึ่งสามารถนำไปพัฒนาเป็นพลังงานและขายทอดสู่รัฐได้ต่อไป เป็นต้น 

นายถาวร กล่าวทิ้งท้ายอีกด้วยว่า “พรรคการเมืองในระยะหลัง เป็นพรรคการเมืองที่เป็นลูกจ้างของทุนสามานย์ ทุนทุจริต ที่ชอบกระทำความผิดย่ำยีพี่น้องประชาชน ซึ่งขณะนี้เพื่อชัยชนะในบางจังหวัดก็เริ่มต้นซื้อเสียงที่ 1,500 บาทแล้ว ตรงนี้ผิดกฎหมาย แต่ กกต.ก็กำลังเอาหูไปนา เอาตาไปไร่ ตาบอด ระวังเถอะ ผมเคยเอาเข้าคุกมาแล้ว อย่าละเว้นให้ผมจับได้ ผมไม่เอาไว้นะ”

นี่คือการเมืองที่ชัดเจนที่สุด จากพรรคการเมืองที่ภักดีต่อประเทศไทย...ไทยภักดี