Saturday, 7 June 2025
SPECIAL

???? LOCK LENS GURU  เปิดตัว ‘กูรู’ ทั้ง 5 ท่าน ในสัปดาห์แรก !! 

???? LOCK LENS GURU  เปิดตัว ‘กูรู’ ทั้ง 5 ท่าน ในสัปดาห์แรก !! 
???? เริ่ม วันจันทร์ที่ 26 เมษายน - วันศุกร์ที่ 30 เมษายน  
???? ทุกเช้า 8 โมงตรง   
???? มาร่วมเจาะลึกประเด็นที่น่าสนใจ ไปกับ ‘กูรู’ ตัวจริง พร้อมกัน เร็วๆนี้

????EP.1 วันจันทร์ที่ 26 เมษายน 
???? GURU : ดร.พีรภัทร  ฝอยทอง 
ทนายความและที่ปรึกษากฎหมาย  
▶️ หัวข้อ  : ก๊อป MV : ‘แรงบันดาลใจ’ หรือ ‘หรือลอกเลียนแบบ’

????EP.2 วันอังคารที่ 27 เมษายน
???? GURU : อ.ระวีวรรณ  ทรัพย์อินทร์  
อาจารย์ประจำหลักสูตรการจัดการมรดกวัฒนธรรมและอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ (BMCI) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
▶️ หัวข้อ  : I Care a Lot เมื่อห่วง...แต่หวังฮุบ มิจฉาชีพในคราบนักธุรกิจ

????EP.3 วันพุธที่ 28 เมษายน
???? GURU : อ.ศรัณย์ ดั่นสถิตย์  
อาจารย์ประจำหลักสูตรการจัดการโลจิสติกส์ คณะวิทยาการจัดการมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตศรีราชา
▶️ หัวข้อ : ภาวะโลกร้อน กับการบุกเบิกเส้นทางเดินเรือสายใหม่ของจีน  

????EP.4 วันพฤหัสบดีที่ 29 เมษายน
???? GURU : กภ.คณิต คล้ายแจ้ง  
นักกายภาพ ภาควิชาเวชศาสตร์ฟื้นฟู โรงพยาบาลศิริราช
▶️ หัวข้อ : ปลดล็อก!! ‘นิ้วล็อก’ 

????EP.5 วันศุกร์ที่ 30 เมษายน
???? GURU : อ.อาทิตยา ทรัพย์สินวิวัฒน์ 
อาจารย์ประจำสาขานวัตกรรมการสื่อสาร วิทยาลัยนวัตกรรมสื่อสารสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
▶️ หัวข้อ : Soft Power ไทย ... อะไรดี ???

???? ดำเนินรายการโดย เจ  THE STATES TIMES

???? ช่องทางรับชม LIVE 
Facebook: THE STATES TIMES
YouTube: THE STATES TIMES
 

กักตัว 14 วัน ทำไรดี ?

‘อยู่อย่างคนเหงาเหงา..อยู่กับความเดียวดาย..แม้ใครจะมองว่าทุกข์..แต่ฉันกลับสุขใจ’

ขอยกเพลง ‘อยู่อย่างเหงา ๆ’ ของ สิงโต นำโชค ให้เป็นบทเพลงที่แทนความในใจของเราได้ดีที่สุดในตอนนี้

ก่อนหน้านี้เราก็เคยอยู่อย่างคนเหงา ๆ ตามเนื้อเพลงจริง ๆ ในช่วงที่ไวรัสระบาดรอบสอง เดือนมกราคม 2564 เราไปเที่ยวเกาะกูดกับเพื่อน ๆ จังหวัดตราด ซึ่งตอนนั้นจังหวัดตราด ถือเป็นพื้นที่สีแดง พอเรากลับมาจากท่องเที่ยวเสร็จ ที่ทำงานของเราสั่งให้กักตัว 14 วัน นั่นเป็นการกักตัวครั้งแรกของเราเลย แต่เป็นการกักตัวที่ยังไม่ได้เตรียมความพร้อม เตรียมข้าวของ เตรียมใจ อะไรทั้งสิ้น อารมณ์แบบเที่ยววันนี้ พรุ่งนี้กักตัว

ตอนที่ทำงานประกาศให้ Work from home เพื่อกักตัว 14 วัน เรามีความคิดชั่ววูบนึง ว่ากักตัวก็ดีสิ ได้อยู่ห้อง อยู่บ้าน ไม่ต้องไปไหน ได้ใช้ชีวิตแบบ Slow Life ตามหนังที่เคยดู หรือตามมายาคติที่หลายๆ คนเคยบอก เราจะได้ลองทำมันในช่วงนี้แหละ

แต่ทำไมพอได้ลองกักตัวอยู่จริงถึงยิ่งเหงากันนะ ?

อย่างแรกเลย พอเราได้อยู่ห้อง และแน่ใจแล้วว่าจะต้องอยู่ห้องแน่ ๆ ไปอีก 14 วัน ไม่ต้องไปไหน ไม่ต้องรีบ ไม่ต้องแต่งตัว ความขี้เกียจก็จะเข้ามาครอบงำเราทันที อย่างเรา ช่วงกักตัวคือเป็นคนที่ใช้เตียงนอนได้คุ้มค่ามาก เราสามารถอยู่บนเตียงนอนได้ทั้งวัน นั่ง นอน เล่นเกม คอลกับเพื่อน ลุกออกจากเตียงแค่ไปห้องครัว และเข้าห้องน้ำเท่านั้น

อย่างที่สอง เราใช้ชีวิตเดิม ๆ ตื่นมาในห้องเดิม เตียงเดิม หมอนเดิม กิจวัตรเหมือนเดิม ทุกอย่างมันเดิมไปหมด พอถึงจังหวะนี้ เริ่มก็คิดถึงข้างนอก ยิ่งนั่งดูรูปที่เพิ่งไปเที่ยวมา ก็ยิ่งอยากเผชิญโลกอีกครั้ง ร้านสะดวกซื้อในซอยก็ยังดี

และอย่างที่สามที่เราคิดออกในตอนนี้ มันเป็นเพราะว่าเราไม่ได้เลือกเองว่าเราจะอยู่ตรงนี้ มันเป็นสภาพความจำยอมที่ต้องอยู่ เพื่อไม่แพร่เชื้อให้คนอื่น และให้คนอื่นมาแพร่เชื้อให้เรา เปรียบไปตอนเด็ก ๆ ที่เรารู้อยู่แล้วว่าเดี๋ยวเราต้องล้างจาน แต่พอแม่มากระตุ้นก่อนเวลาที่เราจะทำ เราจะไม่อยากทำเสียเฉย ๆ อารมณ์ประมาณว่า ถ้าอยากทำเดี๋ยวทำเอง ไม่ต้องบอก!

การกักตัวสำหรับเรา พอเข้าวันที่ 5 - 6 มันรู้สึกเฉื่อยมาก เวลาแต่ละวันกว่าจะผ่านไปคือนานมาก นอกจากทำงานที่ได้มอบหมายจากที่ทำงาน ในแต่ละวันเราไม่ได้อะไรเลย เราแค่ทำตัวเดิม ๆ อยู่กับกิจวัตรเดิม ๆ

จนมีวันนึง ที่เรานอนอยู่บนเตียงนิ่ง ๆ เราไม่มีอะไรทำเลย ไม่มีอารมณ์อยากเล่นโทรศัพท์ เล่นเกม ดูซีรีส์เลยแม้แต่นิด สิ่งที่เรานอกจากนอนมองเพดานห้อง แล้วเราก็ได้ตั้งคำถามกับตัวเอง แล้วทำไมเราถึงต้องใช้ชีวิตให้มันไม่สนุกด้วย

เราอยากใช้ชีวิตให้มันสนุกแล้วล่ะ

สิ่งแรกที่เราทำ คือทำความสะอาด และจัดห้องใหม่ ยกโต๊ะ ตู้ เตียง ย้ายที่ตามที่ใจเราอยาก ล้างแอร์ รวมไปถึงเปลี่ยนสีหลอดไฟ ทีแรกคิดว่าแค่หาอะไรทำฆ่าเวลา แต่พอจัดเสร็จมันกลายเป็นว่าเราได้เปลี่ยนบรรยากาศ เราได้ใช้พื้นที่ห้องในทุกมุมแล้ว จากปกติเราทำทุกอย่างอยู่บนเตียงนอน เราก็ได้โอกาสออกจากเตียงมานั่งโซฟา ดูโทรทัศน์ ออกไประเบียงรดน้ำต้นไม้ เลี้ยงปลาหน้าห้อง เรียกได้ว่าได้คราวใช้พื้นที่ห้องอย่างคุ้มค่าเสียที

พอจัดห้องเสร็จ สงสัยวิญญาณแม่บ้านเข้าสิง เราอยากทำอาหาร! เราเริ่มจากสั่งวัตถุดิบออนไลน์มาส่งที่คอนโด คิดว่าถึงคราวแล้วที่เราจะได้โชว์สกิลแม่ศรีเรือน พอทำจริง ๆ อาหารของเรากลายเป็นเมนูลดน้ำหนักได้ดีทีเดียว เพราะเราทำอะไรไม่อร่อยเลย นอกจากเมนูไข่ สุกี้ และบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป แต่ไม่รู้ทำไมเราก็ยังคงทำอาหารทานเองอยู่ทุกมื้อ อาจจะเพราะเราสนุก อ๋อ โอเค งั้นเอาสนุกก่อนแล้วกัน ความอร่อยค่อยพัฒนาตามมา

อีกอย่างที่เราทำเป็นประจำ คือ ร้องเพลง มีดนตรีในหัวใจ เราร้องหมดทุกแนว สากล ไทยสากล ลูกทุ่ง เพื่อชีวิต เราอินได้กับทุกเพลง เพลงไหนเศร้ามาก เรานั่งร้องไห้ เพลงไหนสนุกหน่อย เราเต้นเหมือนโคโยตี้เลย ร้องด้วยเสียงเพี้ยน ๆ ของเราเนี่ยแหละ โครตจะมีความสุข

อย่างเรา เราเป็นคนที่มีความสุขได้ง่ายมาก สถานการณ์โรคระบาดจึงมีผลกับเราน้อย เราไม่ชอบให้ตัวเองไม่มีความสุขด้วย เราเป็นคนที่มีความเชื่อว่าความทุกข์จะต้องอยู่กับเราไม่นาน หรือมีท่าทีว่าจะนาน ก็เป็นเราเนี่ยแหละที่จะทำให้มันหายไปเอง กักตัวเราก็จะสู้ เราจะอยู่รอด อย่างน้อยก็รอดจากความเครียด

ช่วงกักตัวถือเป็นโอกาสสำหรับเราที่ได้เรียนรู้ที่จะอยู่กับตัวเอง เราได้พูดคุยกับตัวเองมากขึ้น เรารู้ว่าเราต้องการอะไร ไม่ต้องการอะไร เรามีเป้าหมายในชีวิตใหม่ ได้รู้วิธีทำให้ตัวอย่างมีความสุข เราได้ทำเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เราเคยอยากทำแต่พลัดวันไปเรื่อย ๆ จนหมด

เราแชร์วิธีการกักตัวให้มีความสุขฉบับของเรา มาเล่าให้ผู้อ่านฟังนะคะ เผื่อผู้อ่านจะลองนำวิธีของเราไปใช้ดู จริงอยู่ที่เราได้ทำหลาย ๆ อย่างในช่วงกักตัว แต่ให้เลือกได้ เราก็อยากทำทุกอย่างเองแบบอิสระ ไม่ต้องมีสถานการณ์โรคระบาดมาเป็นข้อกำหนดอยู่ดีแหละเนอะ แล้วผู้อ่านคิดว่ายังไงคะ ?


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

การดูแลตัวเองให้ดีที่สุดในวิกฤติโควิด-19 เพื่อไม่ให้กระทบคนในครอบครัว แม้กระทั่ง การกระทบทางด้านจิตใจ...

ในสถานการณ์เดียวกัน สำหรับคนที่อยู่กับครอบครัวแบบเราแล้วมันเกิดขึ้น 2 แบบ ขอเล่าแบบแรกและย้อนไปตอนล็อกดาวน์เมื่อปี 2563 ก่อน น่าจะเริ่มตั้งแต่ช่วงเดือนมีนาคม เมษายน ซึ่งตอนนั้นการอาศัยอยู่เป็นครอบครัวของเรา เป็นการอาศัยอยู่แบบเป็นบ้าน 2 ชั้น 3 ห้องนอนปกติ และไม่ใช่เรื่องยากเท่าไหร่ เพราะเราค่อนข้างมีพื้นที่ส่วนตัวมาก นอกจากห้องนอนที่แยกกันอยู่แล้ว พื้นที่จับจ่ายใช้สอยก็ค่อนข้างมีพอเช่นกันที่จะเว้นระยะห่างกัน บวกกับปกติครอบครัวเราจะไม่ค่อยเจอหน้ากันเท่าไหร่

ซึ่งบอกไว้ก่อนว่าครอบครัวเราเป็นคนสนุกสนานมาก และมีเสียงหัวเราะเวลาที่ได้อยู่ด้วยกันเสมอ แต่เป็นเพราะว่าทุกคนต่างมีหน้าที่ของตัวเองที่ต้องทำ เวลาเลยไม่ค่อยตรงกัน เราก็จะเป็นประเภทที่ค่อนข้างติดห้องนอนอยู่แล้ว และอยู่ในช่วงที่เราเองเรียนจบใหม่ ก็ถือว่าได้รับผลกระทบเต็ม ๆ จากการว่างงาน ทำให้ต้องอยู่บ้านเรื่อยเปื่อยไปอีกยาว ๆ ครอบครัวเรามีกัน 4 คน

ในตอนนั่นนอกจากแม่ก็เหลือพ่อคนเดียว ที่ยังคงต้องไปทำงานอยู่ แต่ช่วงเวลาในการทำงานสั้นลง บริษัทของพ่อไม่ได้มีการประกาศปิด ไม่รู้ว่ามันดีหรือไม่ดีที่พ่อไม่ได้หยุดงานและยังต้องเจอความเสี่ยงมากแค่ไหน แต่คงยังต้องทำมาหากินกันต่อไป เพราะเราก็เลือกไม่ได้แต่สถานการณ์นั้นก็ทำให้เราผ่านมันมาได้ อาจจะด้วยเราก็ไม่ได้ปรับเปลี่ยนอะไรมากไปจากเดิมจากการเป็นอยู่ แต่ก็ถือว่าทุกคนในครอบครัวปลอดภัยก็เพียงพอ

จากนั้นที่สถานการณ์เริ่มดีขึ้นเรื่อย ๆ ส่วนเราก็ได้เริ่มทำงานแล้วในช่วงเดือนกรกฎาคม ขอเล่าต่อในแบบที่ 2 แบบที่ครอบครัวเราได้ย้ายจากบ้านที่เคยอยู่ มาอยู่คอนโด 1 ห้องนอน ตอนนี้เราอยู่กัน 3 คน เนื่องจากน้องชาย 1 สมาชิกของเราต้องไปอยู่หอเนื่องจากมหาวิทยาลัยไกลจากบ้าน ดูทุกอย่างจะลงตัวขึ้น พ่อ แม่ และเราไปทำงานปกติ แต่สิ่งที่ยังคงปฏิบัติอยู่เสมอ คือการสวมหน้ากากตลอด พกเจลแอลกอฮอล์ ล้างมือ หรือแม้กระทั่งใส่ถุงมือในการไปซื้อของ ยิ่งต้องออกข้างนอกไปทำงาน เดินทาง

ซึ่งการย้ายมาอยู่คอนโดจะแตกต่างจากการอยู่บ้านแบบแต่ก่อน เพราะต้องมีการใช้ลิฟท์ส่วนรวม หรือการแสกนนิ้ว และอีกอย่างหลาย ก็ยิ่งค่อนข้างจะเป็นระเบียบและเข้มงวดกับตัวเองมาก กลับมาบ้านทุกคนจะต้องไปอาบน้ำก่อนเลยอันดับแรก พอได้ออกมาข้างนอกหรือมาทำงานเราเลยอยากดูแลตัวเองให้ดีที่สุด เพราะจากเหตุการณ์ที่ผ่าน เราอาจจะไม่ได้เล่าในมุมมองส่วนตัวมากเท่าไหร่ เพราะเราก็เครียดมากจากสถานการณ์โควิด-19 จะเสพข่าวทุกวันว่ามีใครติดเพิ่ม บอกตามตรงว่าเราโกรธโควิดมาก แต่ขอหยุดเล่าถึงความโกรธไว้แค่ตรงนี้

เพราะว่าไม่นานหลังจากนั้น มันกลับมาให้โกรธอีกครั้งจนได้ โอยยยย อยากจะกรี้ดดัง ๆ ๆ แต่คอนโดห้ามเสียงดัง... จากที่โควิด-19 กลับมาระบาดหนักอีกครั้งอีกครั้งในช่วงเดือนธันวา หรือระลอก 2 นี่จะเป็นเรื่องที่เรารู้สึกแย่มาก “ถ้าเราอยู่บ้านเหมือนเดิมก็คงดี” (บ้านก่อนจะย้ายมาคอนโด) นี่เป็นคำที่เราบอกกับพ่อและแม่ออกไปหลังจากที่แม่บอกว่าให้น้องกลับมาอยู่บ้านก่อน เพราะแม่เป็นห่วงทุกคนโดยเฉพาะพ่อที่เป็นเสาหลักของครอบครัว

ตอนนั้นเราไม่ได้ตั้งใจที่จะสื่อไปแบบนั้น เรานึกแค่ว่า จะอยู่กันยังไง ก็ต้องอึดอัด ถ้าเราอยู่บ้านแบบที่เคยอยู่ อย่างที่บอกข้างต้นว่า มีพื้นที่ส่วนตัว และก็ค่อนข้างกว้างแบบเดิมคงดีกว่า ต่างจากคอนโดที่ค่อนข้างหลีกเลี่ยงหรือเว้นระยะห่างได้ยาก และยังต้องมีการใช้พื้นที่ส่วนรวมร่วมกันหลายอย่าง ซึ่งมันแย่มากหลังจากที่ได้พิมพ์ไป (เนื่องจากเหตุผลที่เราย้ายมาอยู่คอนโดก็มาจากปัจจัยที่เราต้องการลดภาระลงด้วย) แต่เรากลับทำให้ครอบครัวรู้สึกแย่...นึกแค่ว่าถ้าอยู่ห้องแยกกันเหมือนเดิมก็คงดีกว่า ซึ่งเป็นความคิดที่เห็นแก่ตัวมาก จนเราไม่ได้สังเกตเลยว่าตอนช่วงสถานการณ์เริ่มกลับมาปกติ และการที่เราได้ย้ายบ้านมาบ้านใหม่ นอกจากวันอาทิตย์หรือวันหยุดของครอบครัวแล้ว เราได้เจอหน้ากันทุกวัน และได้พูดคุยกันมากขึ้นกว่าเดิมในวันจัทร์-ศุกร์ ซึ่งมันไม่เหมือนเดิม มันดีกว่าเดิม และความสนุกในครอบครัวมันก็ยิ่งทวีคูณมากกว่าเดิมอีก

จากนั้นเราได้คิดทบทวนหลายอย่างว่าทำไมเราถึงโทษสิ่งนั้น ทั้งที่เราไม่ได้นึกคิดเลยว่า การที่ทุกคนในครอบครัวเราอยู่ร่วมกันได้ มันเริ่มจากที่ทุกคนในครอบเรารักกัน และช่วยดูแล รับผิดชอบตัวเองได้ดีมาก ๆ ขนาดเราไปทำงานทุกวันยังนึกเสมอเลยว่า อย่าติดนะ เรากลัวนะ อย่าเป็นนะ ห้ามเป็นนะ ถ้าเป็นไม่ได้นะ มีคนที่บ้านอีกนะ แล้วความกลัวมันทำให้เราระมัดระวังตลอด เราเลยเชื่อว่าทุกคนในบ้านคิดเหมือนเรา ทุกคนเลยปฏิบัติ ดูแลตัวเองมาตลอด เพื่อกลับไปถึงที่บ้านอย่างปลอดภัย และทุกคนในบ้านก็ปลอดภัยด้วยเป็นสิ่งสำคัญที่สุดจนถึงทุกวันนี้

ก่อนนั้นเราเคยถามแม่ว่า ทำไมแม่คอยบอกตลอดว่า ไม่อยากให้พ่อติดโควิด หรือดูเป็นห่วงพ่อมาก แม่ตอบว่าเป็นห่วงทุกคนมากเท่ากัน ส่วนตัวแม่เอง ก็บอกตัวกับตัวเอง ดูแลตัวเองอยู่แล้ว และส่วนที่บอกกับพ่อบ่อย ๆ เพราะไม่อยากให้พ่อเป็นอะไรไปรวมถึงแม่เอง เพราะไม่อย่างงั้นใครจะอยู่ดูแลลูก เป็นคำพูดสั้น ๆ ที่เข้าใจได้อย่างลึกซึ้ง นี่คือสิ่งที่ทำให้เราได้เรียนรู้และเป็นบทเรียนที่มีค่าที่สุด

ถ้าเรายิ่งดูแลตัวเองดีเท่าไหร่ เราก็ยิ่งดูแลคนที่เรารักได้ดีมากขึ้นเท่านั้น อาจจะเป็นที่มาของคำว่า ก่อนจะดูแลคนอื่น ดูแลตัวเองให้ดีก่อน อาจจะฟังดูฮาร์ดคอร์ หรือแปลก ๆ ไปหน่อย แต่ก็พอที่จะใช้ได้กับเหตุการณ์ที่เป็นแบบนี้ เพราะสุดท้ายมันมีเหตุผลที่ดีกว่าอยู่เบื้องหลังเสมอ


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

กักตัว 14 วัน เปลี่ยนความวิตกกังวล เป็นการพัฒนาตัวเอง

เชคอาการกันหน่อย ! คนรอบข้างใครยังไม่ติดเชื้อโควิด-19 บ้าง ที่ถามแบบนี้ไม่ได้บอกว่าโควิด-19 เป็นเทรนด์ฮิตที่ทุกคนจะต้องพบเจอ แต่จากสภาพปัจจุบันที่ผู้ติดเชื้อรายวันในบ้านเราเพิ่มขึ้นวันละไม่ต่ำกว่า 1,000 คน ทำให้อดหลอนไม่ได้จริง ๆ

“ฉันติดหรือยัง?”

“เพื่อนฉันติดฉันต้องกักตัวไหม?”

“กักตัวต้องทำยังไง?”

“กักตัวแล้วรายได้หายไปเท่าไหร่?”

สารพัดสาระเพความคิดที่เข้ามา จนหลายคนบ่น จะเป็นโรคประสาทก่อนโรคโควิด-19

แต่หากได้สัมผัสใกล้ชิดผู้ติดเชื้อโควิด-19 แล้วจริงๆ! และต้องกักตัว 14 วันขึ้นมา

14 วันแห่งความวิตกกังวลจะทำให้เป็น 14 วันแห่งความแข็งแกร่งได้อย่างไร ?

เมื่อรู้ว่าตัวเองต้องกักตัว 14 วัน ตั้งสติให้มั่น แล้วทำตามข้อแนะนำของกระทรวงสาธารณสุขทันที 10 ข้อที่ต้องทำ ไปดูกัน !

1.) อยู่ที่บ้าน โดยจำกัดคนเยี่ยม และรายงานตัวต่อกรมควบคุมโรค โทร 1422

2.) สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา

3.) แยกขยะติดเชื้อออกจากขยะทั่วไป เช่น กระดาษชำระ หน้ากากอนามัย

4.) ปิดฝาชักโครกทุกครั้งเมื่อกดล้าง เพื่อลดการฟุ้งกระจายของไวรัส

5.) ล้างมือด้วยน้ำและสบู่ หรือแอลกอฮอล์เจล

6.) เปิดหน้าต่างเพื่อให้อากาศภายในบ้านถ่ายเท

7.) งดรับประทานอาหารร่วมกับผู้อื่น แยกของใช้ส่วนตัว

8.) ยืนให้ห่างจากผู้อื่นในระยะที่มากกว่า 4 เมตร

9.) ล้างจานด้วยน้ำยาล้างจานก่อนใช้เสมอ

10.) ไม่ควรใช้รถโดยสารสาธารณะ และไม่จำเป็นไม่ควรออกจากบ้าน

ทั้งนี้ก็อย่าลืมไปตรวจเชื้อซ้ำ !!! 2 - 3 รอบให้ชัวร์ด้วย

ขั้นตอน 10 ข้อนี้ เขียนเตือนในที่ๆเห็นได้ชัด และปฏิบัติอย่างเคร่งครัดแบบมีวินัย เมื่อจัดการระเบียบสิ่งต้องทำได้แล้ว แล้ว 14 วันนี้ จะปล่อยเวลาให้ผ่านไปทำไม ? แน่นอนว่าความวิตกกังวลกับโรคและอยู่กับตัวเองมาเกินไปจะทำให้เกิดความทุกข์ทางในแน่นอน ระหว่างนี้ลองปรับวิธีคิด มองเรื่องวิกฤตให้เป็นโอกาส

โอกาส ! ที่จะได้จัดของในบ้านส่วนที่รกให้เป็นระเบียบ

โอกาส ! ที่จะมีเวลาออกกำลังกาย หลังจากที่ผัดวันประกันพรุ่งนี้ เพราะข้ออ้างไม่มีเวลา (ตอนนี้มีเวลาแล้ว)

โอกาส ! ได้ทบทวนเรื่องราวในชีวิตห้วงเวลาที่ผ่านมา โอกาสแบบนี้ไม่ได้หาได้ง่ายๆ เพราะโลกที่หมุนเร็วและการทำงานที่อัดแน่นในทุกๆวัน การทบทวนสิ่งที่ผ่านมาอาจจะแทบไม่ได้ทำเลย

โอกาส ! ลองทำสิ่งที่อยากทำมานาน แต่ไม่ได้ทำสักที

โอกาส ! พัฒนาทักษะ เพิ่มความรู้ให้กับตัวเอง จากการเรียนรู้ในโลกออนไลน์ ติดตามข่าวสารบ้านเมือง

ทั้งหมดนี้ ย่อสั้นๆ คือ 14 วันกักตัว คือโอกาสในการอยู่กับตัวเอง ได้มองเห็นตัวเองจริง ๆ

ในขณะที่จังหวะของโลก หมุนไปอย่างรวดเร็ว ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีผลต่อจังหวะชีวิตของมนุษย์ผู้กระหายในสิ่งต่างๆเร็วขึ้นเช่นกัน กับความคาดหวังว่าจะทำให้ชีวิตเราดีขึ้น อาทิ งาน เงิน และความสำเร็จ

การได้กลับมาอยู่กับตัวเอง ! ในจังหวะปกติ ไม่ช้าไม่เร็ว อาจทำให้เราพบคำตอบว่า ความสุขของเราในจังหวะชีวิตในแบบของเราก็เป็นได้

กักตัว 14 วัน ไม่ใช่เรื่องน่ายินดี แต่ก็ไม่ควรทำให้ชีวิตในช่วงนี้ต้องระทม

.

ข้อมูลอ้างอิง

ขอบคุณที่มา 10 วิธี อยู่ในบ้านต้าน COVID-19 เมื่อกักตัว 14 วัน (thaihealth.or.th)


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit
คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

คอร์รัปชั่น...ไหมครับท่าน ตอนที่ 4 งบการเงิน และรายงานการสอบบัญชี เครื่องมือเบื้องต้นในการแกะรอยการทุจริต

เกริ่นไว้ในสามตอนที่แล้วว่า การแก้ปัญหาการทุจริตใช่ว่าจะหมดหวังเลยเสียทีเดียว เพราะมีเครื่องมือจำนวนหนึ่งในการตรวจหาความผิดปกติที่เป็นต้นตอของการกระทำการทุจริตได้

สรรสาระ ประชาธรรม ตอนนี้ อยากให้บุคลากรในหน่วยงาน ประชาชน และผู้ที่รับผิดชอบเกี่ยวข้องในหลายระดับในการดำเนินการภาครัฐให้ความสำคัญกับเครื่องมือเบื้องต้นที่จะช่วยตรวจสอบการดำเนินการ ส่งสัญญาณปัญหาการดำเนินการก่อนเกิดความเสียหายร้ายแรง เครื่องมือที่ว่านั้น คือ งบการเงิน และรายงานการสอบบัญชี

งบการเงิน หรืออาจเรียกว่า รายงานการเงิน นั้น ตามมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 1 ตามประกาศสภาวิชาชีพบัญชีที่ 25/2563 ลงวันที่ 29 กรกฎาคม 2563 นั้น ระบุความหมายของงบการเงินว่า

ข้อ 9 งบการเงินเป็นการนำเสนอฐานะการเงินและผลการดำเนินงานการเงินของกิจการอย่างมีแบบแผน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับฐานะการเงิน ผลการดำเนินงาน และกระแสเงินสดของกิจการ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจเชิงเศรษฐกิจของผู้ใช้งบการเงินกลุ่มต่าง ๆ นอกจากนี้ งบการเงินยังแสดงถึงผลการบริหารงานของฝ่ายบริหารซึ่งได้รับมอบหมายให้ดูแลทรัพยากรของกิจการ เพื่อที่จะบรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าว งบการเงินให้ข้อมูลทุกข้อดังต่อไปนี้เกี่ยวกับกิจการ
1) สินทรัพย์
2) หนี้สิน
3) ส่วนของเจ้าของ
4) รายได้และค่าใช้จ่าย รวมถึงผลกำไรและขาดทุน
5) เงินทุนที่ได้รับจากผู้เป็นเจ้าของและการจัดสรรส่วนทุนให้ผู้เป็นเจ้าของในฐานะที่เป็นเจ้าของ และ
6) กระแสเงินสด
ข้อมูลเหล่านี้และข้อมูลอื่นที่เปิดเผยในหมายเหตุประกอบงบการเงินช่วยผู้ใช้งบการเงิน ในการคาดการณ์เกี่ยวกับจังหวะเวลาและความแน่นอนที่กิจการจะก่อให้เกิดกระแสเงินสดในอนาคตของกิจการ (ประกาศสภาวิชาชีพบัญชีที่ 25/2563 ลงวันที่ 29 กรกฎาคม 2563)

ทำไมงบการเงินจึงมีส่วนช่วยในการตรวจจับ ส่งสัญญาณ หรือ แกะรอยการทุจริต นั่นเป็นเพราะว่า อนาคตของผู้ที่เกี่ยวข้องกับการจัดทำงบการเงิน การตรวจสอบงบการเงิน ต้องรับผิดชอบ และรับผิดหากการจัดทำงบการเงินหรือรับรองงบการเงินโดยมิชอบนั่นเอง

ดังนั้น เมื่อผู้บริหารกล้าที่จะกระทำการทุจริต จึงไม่ง่ายนักที่จะดำเนินการเว้นเสียแต่ว่าในทุกองคาพายพก็พร้อมกระทำการทุจริต แต่ถึงกระนั้น งบการเงินก็ยังเป็นร่องรอยที่สำคัญในการแกะรอยการทุจริตได้

เครื่องมือนี้จะเป็นประโยชน์หากผู้ที่เกี่ยวข้องใส่ใจ ผู้ที่มีอำนาจตรวจสอบ กำกับดูแลเอาใจใส่ ในการทำหน้าที่ เพราะมีการรองรับหรือแนวทางให้พิจารณา นั่นคือ

ข้อ 20 ในกรณีที่กิจการไม่ปฏิบัติตามที่มาตรฐานการรายงานทางการเงินกำหนด ตามที่ระบุไว้ในย่อหน้าที่ 19 กิจการต้องเปิดเผยข้อมูลทุกข้อดังต่อไปนี้
20.1 ข้อสรุปของฝ่ายบริหารที่ว่า งบการเงินได้แสดงฐานะการเงิน ผลการดำเนินงานและกระแสเงินสดโดยถูกต้องตามที่ควร
20.2 ข้อความที่แสดงว่ากิจการได้ปฏิบัติตามมาตรฐานการรายงานทางการเงินที่มีการถือปฏิบัติยกเว้นเรื่องที่กิจการจำต้องไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดในมาตรฐานการรายงานทางการเงิน เพื่อให้งบการเงินแสดงข้อมูลถูกต้องตามที่ควร
20.3 ชื่อของมาตรฐานการรายงานทางการเงินฉบับที่กิจการไม่ปฏิบัติตาม ลักษณะของการไม่ถือปฏิบัติรวมถึงการปฏิบัติที่มาตรฐานการรายงานทางการเงินกำหนด สำหรับการไม่ปฏิบัติตาม เหตุผลที่หากปฏิบัติตามมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ดังกล่าวแล้วจะทำให้เกิดความเข้าใจผิดอย่างมากในสถานการณ์ต่างๆ จนเป็นเหตุให้งบการเงินขัดแย้งกับวัตถุประสงค์ที่กำหนดในกรอบแนวคิดสำหรับการรายงานทางการเงิน และวิธีปฏิบัติที่กิจการเลือกใช้ และ
20.4 ผลกระทบทางการเงินของการไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานการรายงานทางการเงินที่มีต่อรายการแต่ละรายการในงบการเงินของกิจการ หากกิจการถือปฏิบัติตามข้อกำหนดของมาตรฐานการรายงานทางการเงินสำหรับแต่ละงวดที่มีการนำเสนอนั้น
21 กรณีที่กิจการไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดของมาตรฐานการรายงานทางการเงินเรื่องใดในงวดก่อนแล้วส่งผลต่อจำนวนเงินที่รับรู้ในงบการเงินงวดบัญชีปัจจุบัน กิจการต้องเปิดเผยข้อมูลตามที่กำหนดในย่อหน้าที่ 20.3 และ 20.4 
22 ตัวอย่างของการใช้ข้อกำหนดในย่อหน้าที่ 21 ได้แก่ กิจการไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดของมาตรฐานการรายงานทางการเงินในงวดก่อนในการวัดมูลค่าสินทรัพย์หรือหนี้สิน ซึ่งส่งผลกระทบต่อการวัดการเปลี่ยนแปลงมูลค่าสินทรัพย์และหนี้สินที่รับรู้ในงบการเงินงวดปัจจุบัน (ประกาศสภาวิชาชีพบัญชีที่ 25/2563 ลงวันที่ 29 กรกฎาคม 2563)

จะเห็นได้ว่า มาตรฐานการบัญชีฉบับที่ 1 นั้นเน้นเรื่องการเปิดเผยข้อมูล และความโปร่งใส สอดคล้องกับปรัชญาการบัญชีที่ต้องมีความรับผิด (Accountability) ยิ่งไปกว่านั้น มาตรฐานการบัญชีฉบับที่ 1 มีหลักการที่สำคัญ และไม่อ่อนข้อหรือต้องตีความทางกฎหมายแบบนิติบริกร กล่าวคือ ตรงไปตรงมา ซึ่งมีหลักฐานชัดเจนในข้อ 18 นั่นคือ

ข้อ 18 การเปิดเผยนโยบายการบัญชี การเปิดเผยข้อมูลในหมายเหตุประกอบงบการเงิน หรือการจัดทำคำอธิบายเกี่ยวกับนโยบายการบัญชีที่ไม่เหมาะสมที่กิจการใช้ไม่ทำให้นโยบายการบัญชีนั้นเหมาะสมขึ้นมาได้ (ประกาศสภาวิชาชีพบัญชีที่ 25/2563 ลงวันที่ 29 กรกฎาคม 2563)


กรณีศึกษา
มหาวิทยาลัยชื่อดังของรัฐแห่งหนึ่งนั้น สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ไม่แสดงความคิดเห็นในงบการเงิน ของมหาวิทยาลัยนั้น ถึงสองปีต่อเนื่องกัน คือ ปีงบประมาณ 2557 และปีงบประมาณ 2558 โดยที่สาระสำคัญ คือ

“1.3 มหาวิทยาลัยมิได้จัดส่งงบการเงินของหน่วยงานย่อยให้ตรวจสอบ 3 หน่วยงาน มีสินทรัพย์รวมจำนวน 529.33 ล้านบาท หนี้สินรวมจำนวน 89.83 ล้านบาท และส่วนของทุนรวมจำนวน 387.13 ล้านบาท รายได้รวมจำนวน 293.18 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายรวมจำนวน 240.87 ล้านบาท ทำให้ไม่สามารถตรวจสอบได้ว่ารายการที่แสดงในงบการเงินว่าถูกต้องหรือไม่ (สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน รายงานของผู้สอบบัญชีและงบการเงิน มหาวิทยาลัย XXX สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2557)”


ข้อที่มีความสำคัญยิ่ง คือ

“2. ตามหมายเหตุประกอบงบการเงินหมายเหตุ 3 หมายเหตุ 6 และหมายเหตุ 10 เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด เงินลงทุนระยะสั้น และเงินลงทุนระยะยาว จำนวน 3,999.19 ล้านบาท จำนวน 3,580.84 ล้านบาท และจำนวน 5,149.17 ล้านบาท ตามลำดับ

2.1 บัญชีเงินฝากธนาคารที่แสดงไว้ในรายละเอียดที่ผู้บริหารรับรอง รวมจำนวน 446 บัญชี รวมเป็นเงิน 2,741.24 ล้านบาท จากการสอบยันยอดเงินฝากธนาคารจากสถาบันการเงินไม่ปรากฏยอดเงินฝากดังกล่าว

2.2 ตามหนังสือยืนยันยอดเงินฝากธนาคารของสถาบันการเงิน พบบัญชีเงินฝากธนาคารที่ไม่ได้ระบุไว้ในรายละเอียดที่ผู้บริหารรับรอง รวมจำนวน 313 บัญชี เป็นเงินจำนวน 270.58 ล้านบาท

2.3 ยอดคงเหลือบัญชีเงินฝากธนาคารตามหนังสือยืนยันยอดของสถาบันการเงิน และตามรายละเอียดที่ผู้บริหารรับรองแสดงยอดไม่ตรงกัน รวม 71 บัญชี ผลต่างรวม 142.83 ล้านบาท
ตามข้อ 2.1-2.3 มหาวิทยาลัย XXX มิได้ชี้แจง หรือแสดงหลักฐานยืนยันว่าบัญชีเหล่านี้เป็นของมหาวิทยาลัยหรือไม่ (สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน รายงานของผู้สอบบัญชีและงบการเงิน มหาวิทยาลัย XXX สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2557)”

จะเห็นได้ว่า งบการเงิน และรายงานการสอบบัญชี ได้ส่งสัญญาณแล้วว่ามหาวิทยาลัยแห่งนี้กำลังมีปัญหายิ่งยวด กระทบกับความน่าเชื่อถือ กระทบกับความโปร่งใสของการบริหารงาน ซึ่งผู้บริหารมหาวิทยาลัย สภามหาวิทยาลัย และรัฐมนตรีที่กำกับดูแล ต้องให้ความสำคัญ อย่างไรก็ตาม เมื่อตามไปดูรายงานการสอบบัญชีในปีงบประมาณ 2558 พบว่า

“1.2 มหาวิทยาลัยมิได้จัดส่งงบการเงินของหน่วยงานย่อยให้ตรวจสอบ จำนวน 8 หน่วยงาน มีสินทรัพย์รวมจำนวน 1,607.64 ล้านบาท หนี้สินรวมจำนวน 294.08 ล้านบาท และส่วนของทุนรวมจำนวน 1,242.88 ล้านบาท รายได้รวมจำนวน 706.19 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายรวมจำนวน 635.51 ล้านบาท ทำให้ไม่สามารถตรวสอบได้ว่ารายการที่แสดงในงบการเงินว่าถูกต้องหรือไม่ (สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน รายงานของผู้สอบบัญชีและงบการเงิน มหาวิทยาลัย XXX สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2558)”

เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าจะพบว่า ทั้งจำนวนหน่วยงานที่เพิ่มขึ้น จาก 3 เป็น 8 หน่วยงานและสินทรัพย์ หนี้สิน ส่วนของทุน รายได้รวม และค่าใช้จ่ายรวมเพิ่มขึ้นทั้งหมด สะท้อนความหละหลวม ไม่ใส่ใจ และไม่เอาใจใส่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและมหาวิทยาลัยโดยแท้ ยิ่งไปกว่านั้น

“2. ตามหมายเหตุประกอบงบการเงินหมายเหตุ 3 หมายเหตุ 4 และหมายเหตุ 8 เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด เงินลงทุนระยะสั้น และเงินลงทุนระยะยาว จำนวน 4,650.62 ล้านบาท จำนวน 3,326.81 ล้านบาท และจำนวน 5,225.74 ล้านบาทตามลำดับ
2.1 บัญชีเงินฝากที่แสดงไว้ในรายละเอียดที่ผู้บริหารรับรอง รวมจำนวน 669 บัญชี รวมเป็นเงิน 3,854.71 ล้านบาท จากการสอบยันยอดเงินฝากธนาคารจากสถาบันการเงินไม่ปรากฏยอดเงินฝากดังกล่าว
2.2 ตามหนังสือยืนยันยอดเงินฝากธนาคารของสถาบันการเงิน พบบัญชีเงินฝากธนาคารที่ไม่ได้ระบุไว้ในรายละเอียดที่ผู้บริหารรับรอง รวมจำนวน 312 บัญชี เป็นเงินจำนวน 276.78 ล้านบาท
2.3 ยอดคงเหลือบัญชีเงินฝากธนาคารตามหนังสือยืนยันยอดของสถาบันการเงิน และตามรายละเอียดที่ผู้บริหารรับรองแสดงยอดไม่ตรงกัน รวม 25 บัญชี ผลต่างรวม 181.84 ล้านบาท
ตามข้อ 2.1-2.3 มหาวิทยาลัย XXX มิได้ชี้แจง หรือแสดงหลักฐานยืนยันว่าบัญชีเหล่านี้เป็นของมหาวิทยาลัยหรือไม่ อย่างไร (สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน รายงานของผู้สอบบัญชีและงบการเงิน มหาวิทยาลัย XXX สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2558)”

เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าจะพบว่า ทั้งจำนวนยอดเงินฝากที่ไม่ปรากฏเพิ่มขึ้น และจำนวนบัญชีที่ไม่ปรากฏเพิ่มขึ้น และทุกรายการใน 2.1-2.3 เพิ่มขึ้นอย่างน่าใจหาย สะท้อนความหละหลวม ไม่ใส่ใจ และไม่เอาใจใส่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและมหาวิทยาลัยโดยแท้ ยิ่งไปกว่านั้น

จากการสอบทานการรายงานสภามหาวิทยาลัยแห่งนั้น พบว่า ผู้บริหารมิได้รายงานการสอบบัญชีและงบการเงินต่อสภามหาวิทยาลัยมากกว่า 5 ปี ทั้งที่ตามพระราชบัญญัติของมหาวิทยาลัยแห่งนั้นกำหนดให้ผู้บริหารต้องรายงานสภามหาวิทยาลัยภายใน 90 วันหลังจากสิ้นปีงบประมาณ และสภามหาวิทยาลัยต้องรายงานรัฐมนตรี นอกจากนั้น กฎหมายกำหนดให้เปิดเผยงบการเงินไว้ในรายงานประจำปีของมหาวิทยาลัย ซึ่งไม่ปรากฏว่ามหาวิทยาลัยได้ดำเนินการ

นี่คือประโยชน์ของงบการเงิน และรายงานการสอบบัญชี ในฐานะเครื่องมือเบื้องต้นที่จะช่วยในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต งบการเงินและรายงานผู้สอบบัญชีได้ทำหน้าที่ในฐานการส่งสัญญาณครบถ้วนแล้ว ที่เหลือคือ คนที่มีหน้าที่ต้องทำหน้าที่ของตนเอง โดยคำนึงถึงประโยชน์ของมหาวิทยาลัยเป็นสำคัญ ไม่ใช่ประโยชน์ของผู้บริหารเป็นสำคัญ

จากกรณีศึกษา จะพบว่า หากหน่วยงานรัฐให้ความสำคัญกับเครื่องมือในฐานะการตรวจสอบเพื่อความโปร่งใส และประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ หน่วยงานของรัฐก็จะน่าเชื่อถือและมีประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ ที่สำคัญ คือ การช่วยลดทอนการกระทำทุจริตและประพฤติมิชอบได้ในระดับหนึ่ง


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit
คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

Nansen passports : หนังสือเดินทาง Nansen หนังสือเดินทางสำหรับผู้อพยพลี้ภัย และคนไร้สัญชาติแบบแรกของโลก

"Nansen passports" เล่มนี้ออกโดยรัฐบาลฝรั่งเศส

เรื่องราวบางอย่างไม่ได้เป็นเรื่องที่อยู่ ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาให้เราได้รู้ได้เห็น เช่นเดียวกับเรื่องของ "Nansen passports" ขณะที่ผู้เขียนกำลังอ่านข้อมูลเพื่อจะหาเรื่องราวต่าง ๆ มาเขียนอยู่นั้นก็บังเอิญไปเข้ากับเจอคำว่า "Nansen passports" เมื่อได้ไล่เรียงอ่านดูจึงพบว่า "Nansen passports" เป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก โดยส่วนตัวผู้เขียนเองก็ไม่เคยได้รู้ได้ยินเรื่องราวนี้มาก่อนทั้ง ๆ ที่เล่าเรียนรัฐศาสตร์มาก ทั้งอ่านเรื่องราวทางประวัติศาสตร์มากพอสมควร เลยต้องขอนำเขียนเล่าใน Weekly Column ของ The States Times เพื่อให้ท่านผู้อ่านได้ทราบพอสังเขป 

“Fridtjof Nansen”

เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 สิ้นสุดลง เกิดมีความวุ่นวายที่สำคัญอันนำไปสู่วิกฤตการณ์ผู้อพยพลี้ภัยนับเรือนล้าน เนื่องจากรัฐบาลของหลายชาติถูกโค่นล้ม และพรมแดนของหลาย ๆ ประเทศก็ถูกขีดวาดขึ้นมาใหม่ โดยทั่วไปมักจะเป็นไปตามชาติพันธุ์ ทั้งยังเกิดสงครามกลางเมืองในอีกหลายประเทศ ผู้คนมากมายต้องอพยพหลบหนีออกจากบ้านเกิดเมืองนอน เพราะเกรงภัยสงคราม หรือการกดขี่ข่มเหง หรือความหวาดกลัวต่อภัยต่าง ๆ ทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม จากความวุ่นวายต่าง ๆ จึงส่งผลให้ผู้คนจำนวนมากไม่มีหนังสือเดินทาง หรือแม้แต่การที่ประเทศต่าง ๆ ก็ไม่ยอมออกหนังสือเดินทาง ทั้งยังขัดขวางการเดินทางระหว่างประเทศจำนวนมาก โดยมักจะดักจับหรือสกัดกั้นบรรดาผู้อพยพลี้ภัยทั้งหลาย และมีความมุ่งมั่นตั้งใจของบุคคลผู้หนึ่งที่จะแก้ไขปัญหานี้ นั่นก็คือ “Fridtjof Nansen”


Fridtjof Nansen นักสำรวจขั้วโลก นักการทูต และรัฐบุรุษ

Fridtjof Nansen ชาวนอร์เวย์ เกิดในปี พ.ศ. 2404 เป็นนักการทูต รัฐบุรุษและนักมนุษยนิยมที่มีความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์อย่างลึกซึ้ง ยังเป็นนักสัตววิทยา และสร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองในฐานะนักสำรวจขั้วโลก โดยในปี พ.ศ. 2436 (ค.ศ.1888) Nansen ได้นำทีมสำรวจชุดแรกข้าม Greenland ด้วยการเดินเท้า และอีกสี่ปีต่อมา Nansen ก็ได้เดินทางข้ามมหาสมุทร Arctic ได้สำเร็จ โดยการจงใจทำให้เรือที่ใช้ในการเดินทางกลายเป็นน้ำแข็ง เมื่อเลิกราจากการผจญภัยที่ต่อเนื่องยาวนานแล้ว Nansen ก็ได้สร้างชื่อเสียงใหม่ด้วยอาชีพนักการเมือง โดยเริ่มจากเป็นตัวแทนของนอร์เวย์ในการเจรจากรณีพิพาทกับสวีเดน และรับตำแหน่งเอกอัครราชทูตนอร์เวย์ประจำอังกฤษในเวลาต่อมา

องค์การสันนิบาตชาติ (The League of Nations)

ในช่วงปลายของสงครามโลกครั้งที่ 1 Nansen ได้ทุ่มเทในความพยายามเท่าที่มีอยู่ในการสร้างองค์กรที่จะส่งเสริมการสร้างสันติภาพระหว่างประเทศ จนกลายมาเป็นการประชุมสันติภาพ ณ กรุงปารีสในที่สุด และจากนั้นก็เกิดเป็น “องค์การสันนิบาตชาติ (The League of Nations)” ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2463 องค์การสันนิบาตแห่งชาติได้มอบภารกิจที่ยิ่งใหญ่และแสนหนักหนาสาหัสครั้งแรกให้กับ Nansen โดยแต่งตั้งให้เขาเป็นผู้บริหารระดับสูงในการรับผิดชอบต่อการส่งตัวเชลยศึกประมาณ 500,000 นายของกองทัพเยอรมัน และออสเตรีย - ฮังการี จากโซเวียตกลับประเทศ แม้ว่ารัฐบาลโซเวียตจะไม่ให้การยอมรับในองค์การสันนิบาตชาติ แต่ด้วยการเจรจาเป็นการส่วนตัวของ Nansen เดือนกันยายน พ.ศ. 2465 เขาได้รายงานต่อที่ประชุมขององค์การสันนิบาตว่า งานของเขาเสร็จสิ้น และเชลยศึก 427,886 นายได้รับการส่งตัวกลับประเทศภูมิลำเนา 

สำนักงานผู้ลี้ภัยระหว่างประเทศ Nansen (Nansen International Office for Refugees)

ในปี พ.ศ. 2463 เช่นกัน องค์การสันนิบาตชาติก็ได้มอบหมายให้ Nansen เป็นผู้ดูแลปัญหาหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่ยุ่งยากที่สุดคือ การหาทางในการจัดการกับผู้อพยพลี้ภัยที่พลัดถิ่นจากความขัดแย้งจำนวนมหาศาล ด้วยเหตุการณ์เร่งด่วนที่ทำให้เกิด "Nansen passports" คือประกาศในปี พ.ศ. 2464 โดยรัฐบาลใหม่ของสหภาพโซเวียตได้ทำการเพิกถอนสัญชาติของชาวรัสเซียที่อาศัยอยู่ในต่างประเทศ หมายถึงผู้ลี้ภัยชาวรัสเซียราว 800,000 คนซึ่งหลบหนีภัยอันเกิดจากสงครามกลางเมืองในรัสเซีย ทำให้ “สถานะทางกฎหมายของคนเหล่านี้มีความคลุมเครือ และส่วนใหญ่ไร้ซึ่งปัจจัยในการยังชีพ” "Nansen passports" เล่มแรกได้ออกโดย สำนักงานผู้ลี้ภัยระหว่างประเทศ Nansen (Nansen International Office for Refugees) ตามข้อตกลงระหว่างประเทศที่บรรลุในการประชุมระหว่างรัฐบาลต่าง ๆ ว่าด้วยใบรับรองตัวตนสำหรับผู้ลี้ภัยชาวรัสเซีย จัดทำโดย Nansen ในนครเจนีวา ตั้งแต่วันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2465 จนถึง 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2465 ซึ่งจะอนุญาตให้ผู้ลี้ภัยเดินทางและปกป้องพวกเขาจากการถูกเนรเทศ หนังสือเดินทางนั้นเรียบง่ายโดยมีลักษณะบ่งบอกตัวตนสัญชาติและเชื้อชาติของผู้ถือหนังสือเดินทาง แต่ก็ตอบสนองจุดประสงค์ได้ดี ผู้ถือครองสามารถย้ายไปมาระหว่างประเทศเพื่อหางานทำหรือสมาชิกในครอบครัวและไม่สามารถเนรเทศได้ “นี่เป็นครั้งแรกที่คนไร้สัญชาติมีตัวตนตามกฎหมาย” Annemarie Sammartino ได้เขียนใน The Impossible Border: Germany and the East, 1914-1922 จากบทบาทและความพยายามของ Fridtjof Nansen ในฐานะข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยของสันนิบาตชาติ

Nansen passports ออกโดยรัฐบาลสหราชอาณาจักร

สำนักงานผู้ลี้ภัยระหว่างประเทศ Nansen เป็นหน่วยงานที่สืบทอดภารกิจต่อจากหน่วยงานระหว่างประเทศแห่งแรกที่จัดการกับผู้ลี้ภัยคือ สำนักงานข้าหลวงใหญ่ด้านผู้อพยพลี้ภัย  (High Commission for Refugees Office) ซึ่งจัดตั้งขึ้นในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2464 โดยองค์การสันนิบาตชาติภายใต้การดูแลของ Fridtjof Nansen สำนักเลขาธิการสันนิบาตได้รับหน้าที่รับผิดชอบต่อผู้ลี้ภัยระหว่างประเทศและบุคคลไร้สัญชาติและกำกับสำนักงานผู้ลี้ภัยระหว่างประเทศ Nansen ให้ดำเนินความรับผิดชอบในขอบเขตของภารกิจนี้ ด้วยความขาดแคลนเงินทุนที่จำเป็นในการดำเนินงานของสำนักงานผู้ลี้ภัยระหว่างประเทศ Nansen อย่างต่อเนื่อง และเงินทุนในการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ลี้ภัย สำนักงานผู้ลี้ภัยระหว่างประเทศ Nansen จึงได้ระดมทุนบางส่วนผ่านการบริจาค แต่ส่วนใหญ่มาจากค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บจาก "Nansen passports" และจากรายได้ในการขายแสตมป์ในฝรั่งเศสและนอร์เวย์  "Nansen passports" มีตราประทับของสำนักงานผู้ลี้ภัยระหว่างประเทศ Nansen ทั้งยังเป็นวีซ่าซึ่งใช้เพื่อให้ผู้ลี้ภัยจากรัสเซียหรืออาร์เมเนียสามารถเดินทางได้ "Nansen passports" ได้รับการเก็บรักษาไว้ในจดหมายเหตุขององค์การสันนิบาตชาติ ซึ่งย้ายไปยังองค์การสหประชาชาติในปี พ.ศ. 2489 และจัดเก็บอยู่ที่สำนักงานสหประชาชาติในนครเจนีวา จดหมายเหตุดังกล่าวได้รับการจารึกไว้ในทะเบียน UNESCO Memory of the World ในปี พ.ศ. 2553 (ค.ศ. 2010) 

"Nansen passports" โดยปกติจะมีอายุไม่เกินหนึ่งปี โดยขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของหน่วยงานที่ออกใบรับรอง สามารถต่ออายุได้ แต่ไม่มีกำหนด เป็นการช่วยให้ผู้ถือ "Nansen passports" สามารถเดินทางไปยังประเทศที่สามเพื่อหางานทำ จุดประสงค์พื้นฐานคือเพื่อช่วยลดแรงกดดันต่อเมืองที่แออัดไปด้วยผู้อพยพลี้ภัย และยังมีการแจกจ่ายผู้ลี้ภัยชาวรัสเซียและอาร์เมเนีย “อย่างเท่าเทียมกัน” มากขึ้นในกลุ่มประเทศสมาชิกขององค์การสันนิบาตชาติ อย่างไรก็ตามไม่มีการให้การรับประกันเกี่ยวกับที่อยู่อาศัยหรือสิทธิในการหางานของผู้อพยพลี้ภัยที่ถือ "Nansen passports" ในปี พ.ศ. 2469 ประเทศสมาชิกขององค์การสันนิบาตชาติกว่า 20 ประเทศต่างเห็นพ้องต้องกันว่า ผู้อพยพลี้ภัยที่ถือ "Nansen passports" สามารถที่จะออกจากประเทศที่ออก "Nansen passports" และได้รับอนุญาตให้กลับเข้ามายังประเทศที่ออก “Nansen passports” ได้ ตัวอย่างเช่น หากฝรั่งเศสออก "Nansen passports" ให้กับผู้อพยพลี้ภัยชาวรัสเซีย เขาหรือเธอก็สามารถเดินทางไปยังเบลเยี่ยมด้วย "Nansen passports" และจะถูกส่งกลับไปยังฝรั่งเศสได้อีก

แสตมป์ที่ระลึกครบ 60 ปีที่ Fridtjof Nansen ได้รับรางวัล Nobel สาขาสันติภาพประจำปี พ.ศ. 2465

"Nansen passports" เป็นรูปแบบที่ถูกต้องในการระบุตัวตน โดย Michael Marrus นักประวัติศาสตร์ได้สรุปความสำคัญไว้ในการสำรวจอ้างอิงผู้อพยพลี้ภัยในยุโรปของศตวรรษที่ 20 ว่า “เป็นครั้งแรกที่มีการอนุญาตให้มีการกำหนดสถานะทางกฎหมายของบุคคลไร้สัญชาติผ่านข้อตกลงระหว่างประเทศที่เฉพาะเจาะจง” ในสาระสำคัญซึ่งเป็นรูปแบบใหม่ในการคุ้มครองระหว่างประเทศและเหนือกว่าอำนาจของรัฐ มีผู้อพยพลี้ภัยประมาณ 450,000 คนซึ่งต้องการเอกสารการเดินทางแต่ไม่สามารถขอหนังสือเดินทางได้จากหน่วยงานของรัฐในประเทศที่มีถิ่นฐานได้ใช้ "Nansen passports" ซึ่งออกให้ผู้อพยพลี้ภัยจนถึงปี พ.ศ. 2485 และได้รับการยอมรับโดยรัฐบาลถึง 52 ประเทศ ภายหลังการเสียชีวิตของ Nansen ในปี พ.ศ. 2473 สำนักงานผู้ลี้ภัยระหว่างประเทศ Nansen เป็นผู้ดำเนินการในเรื่อง "Nansen passports" ต่อ โดยอยู่ภายใต้องค์การสันนิบาตชาติ ณ จุดนั้น "Nansen passports" ไม่ได้หมายรวมเพียงแค่การอ้างอิงถึงการประชุมในปี พ.ศ. 2465 (ค.ศ. 1922) อีกต่อไป แต่ "Nansen passports" ถูกออกในนามของสันนิบาตชาติ แม้ว่าสำนักงานผู้ลี้ภัยระหว่างประเทศ Nansen จะปิดตัวลงในปี พ.ศ. 2481 หลังจากนั้นก็มีการออกหนังสือเดินทางใหม่โดยหน่วยงานใหม่คือ สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยภายใต้สันนิบาตชาติในกรุงลอนดอนจนถึงปี พ.ศ. 2485  ในปี พ.ศ. 2465 Nansen ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ เขาใช้เงินรางวัลในการพัฒนางานบรรเทาทุกข์ระหว่างประเทศ และต่อมาสำนักงานผู้ลี้ภัยระหว่างประเทศ Nansen ก็ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพในปี พ.ศ. 2481 (ค.ศ. 1938) จากความพยายามในการจัดทำและออก "Nansen passports" เพื่อช่วยเหลือผู้อพยพลี้ภัยและผู้ไร้สัญชาติจำนวนนับเรือนล้าน ทุกวันนี้ภารกิจของ Fridtjof Nansen ยังคงได้รับการสานต่อโดย สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (Office of the United Nations High Commissioner for Refugees : UNHCR) โดยทำหน้าที่ คุ้มครองผู้ลี้ภัย ชุมชนที่ถูกบังคับให้ย้ายถิ่น และบุคคลไร้รัฐ รวมถึงอนุเคราะห์ให้ผู้อพยพลี้ภัยได้รับการส่งกลับประเทศเดิมด้วยความสมัครใจ การเข้าอยู่ในท้องถิ่นอื่น ๆ (กรณีในประเทศ) หรือการอพยพไปตั้งรกรากใหม่ในประเทศที่สาม


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit
คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

นัตจินหน่อง ผู้มีเมียแก่คราวแม่

คำว่า คนพม่าไม่นิยมมีเมียแก่ เพราะพอใครที่มีเมียอายุมากกว่าตนมักจะโดนแซวว่ามีเมียแก่แบบนัตจินหน่อง แล้วนัตจินหน่องคือใครนะหรือครับ นัตจินหน่อง หรือออกเสียงให้ถูกคือ นะฉิ่นเหน่าง์ หรือตามพงศาวดารไทยเรียกเขาว่า นักสาง เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าตองอูเมงยีสีหตู ผู้เป็นพระอนุชาของพระเจ้าบุเรงนองนั่นเอง นัดจินหน่องหรือนะฉิ่นเหน่าง์นั้นเป็นที่เลื่องลือในพม่าว่าเป็นมีความสามารถหลายด้าน เขามีทักษะในการขี่ม้าตั้งแต่อายุยังน้อย เขาเก่งในการใช้ดาบและหอก และเขายังเล่นพิณได้ดี การกวีสูงอย่างยิ่ง รวมถึงมีความรอบรู้ในพระไตรปิฎกเป็นอย่างมาก และได้เป็นกษัตริย์ตองอูต่อจากพระราชบิดาต่อมา

นัตจินหน่องได้อภิเษกกับพระนางราชธาตุกัลยา (Yaza Datu Kalayar) หลังจากที่พระสวามีคนแรกคือ มังกะยอชะวา (Mingyi Swa) หรือคนไทยเรารู้จักในชื่อมังสามเกียดหรือพระมหาอุปราชา ราชบุตรของพระเจ้านันทบุเรงสิ้นพระชนม์ โดยพระนางมีอายุห่างกับนัตจินหน่องถึง 20 ปี กล่าวคือ นัตจินหน่องประสูติเมื่อปี 1579 แต่พระนางประสูติเมื่อ 1559 เส้นทางรักของทั้งคู่ไม่ได้สวยหรู เรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยอุปสรรค เพราะแม้นัตจินหน่องจะรักใคร่ชอบพอพระนางราชธาตุกัลยา แต่ทางพระเจ้าตองอูก็ไม่ได้สมยอมให้นัตจินหน่องอภิเษกกับนาง จนนัตจินหน่องคิดไปว่าสาเหตุที่ตนไม่ได้อภิเษกกับพระนางราชธาตุกัลยาเสียที เป็นเพราะพระเจ้านันทบุเรง ที่เป็นผู้ขัดขวางและนั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้นัตจินหน่องวางยาพระเจ้านันทบุเรง  

แต่ทว่าเมื่อหลังจากพระเจ้านันทบุเรงสวรรคตไปแล้ว นัตจินหน่องก็ยังไม่ได้พระบรมราชานุญาตให้อภิเษกกับพระนางราชธาตุกัลยาอยู่ดี  ต้องรอถึง 3 ปีกว่าจะได้อภิเษก แม้ความรักจะมีอุปสรรคและอายุห่างกัน 20 ปีก็ตาม แต่นัตจินหน่องก็รักพระนางราชธาตุกัลยามาก ในพงศาวดารข้างพม่าได้กล่าวว่าพระนางราชธาตุกัลยานั้นมีรูปโฉมงดงามมาก งามขนาดนัตจินหน่องได้นิพนธ์บทกวีถึงความงามของพระนางกันเลยทีเดียว แต่ทั้งคู่ก็ครองรักกันได้เพียงแค่ 7 เดือนเท่านั้นพระนางราชธาตุกัลยาก็สวรรคตทำให้นัตจินหน่องเสียใจเป็นอย่างมาก

แม้เส้นทางรบของนัตจินหน่องจะเป็นเรื่องราว เป็นตำนานที่หาอ่านได้จากอินเตอร์เนตโดยทั่วไปแต่ชีวิตรักของพระเจ้าตองอูผู้นี้มีการแปลออกมาเป็นภาษาไทยน้อยมาก แต่ในฝั่งคนพม่าถ้ามีใครถูกล้อว่าเป็นนัตจินหน่องเหรอ นั่นหมายถึง คนนั้นมีเมียแก่กว่าตัวเองมาก ๆ นั่นเอง ซึ่งคำนี้คนเมียนมาร์ก็ไม่ชอบเอาเสียด้วยดังนั้น ทราบกันแล้วอย่าไปล้อใครที่เขามีแฟนหรือภรรยาแก่กว่าด้วยคำนี้นะครับ


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit
คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

โทเคนดิจิทัล ทางเลือกใหม่ของการลงทุนในยุคดิจิทัล

วันก่อนมีประเด็นร้อนในกรุ๊ปฝากร้านของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง เมื่อศิษย์เก่าท่านหนึ่งประกาศขายที่ของที่บ้านพร้อมบังกะโลบนเกาะมูลค่ารวมประมาณ 350 ล้านบาท ต่อมามีศิษย์เก่าอีกท่านเสนอไอเดียชวนคนในกรุ๊ปที่มีอยู่เกือบ ๆ สองแสนคนมาลงขันซื้อเกาะกัน โดยลงหุ้นกันคนละ 3,500 บาท แค่แสนคนก็ได้เป็นเจ้าของเกาะดังกล่าวแล้ว

ปรากฏว่ามีมีคนสนใจไอเดียดังกล่าวจำนวนมาก และอยากร่วมหุ้นด้วย โดยขอลง 1 หุ้นบ้าง 10 หุ้นบ้าง หรือ 100 หุ้นก็มี แต่สุดท้ายโปรเจคดังกล่าวก็ต้องพับไป เพราะมีประเด็นว่าที่ดินที่ประกาศขายอาจมีส่วนที่ทับซ้อนกับพื้นที่ของอุทยานแห่งชาติ

แม้ว่าโปรเจคจะล่มไปแล้ว แต่ก็มีประเด็นที่น่าสนใจ ที่ผมอยากให้ลองจินตนาการต่อว่า ถ้าเกิดโปรเจคดังกล่าวสามารถไปต่อได้ เราจะใช้วิธีการไหนในการระดมทุนคนจำนวนมาก ๆ แบบนี้กันดี

บางท่านอาจจะเสนอให้ตั้งเป็นบริษัทแล้วขายหุ้นให้ทุกคนที่อยากลงทุนเลย อ่านดูแล้วเหมือนง่าย แต่ลองคิดภาพตามดูนะครับ

ถ้าโปรเจคนี้สำเร็จแล้วมีคนลงขันซื้อหุ้นหลายหมื่นคน ทุกปีเราต้องเชิญผู้ถือหุ้นมาร่วมประชุมสามัญประจำปี แค่หาสถานที่จัดการประชุมก็ยากแล้ว แต่ที่ยากกว่าคือการเชิญคนมาประชุมให้ครบองค์ประชุม แค่ประชุมนิติบุคคลของคอนโดหรือหมู่บ้าน ยังยากเลย แล้วนี่ต้องเชิญคนมาร่วมประชุมเป็นหมื่นคน จะยากและวุ่นวายขนาดไหน

แล้วแบบนี้เราจะระดมทุนกันอย่างไรดี ถ้าเกิดมีโปรเจคที่น่าสนใจ และคนอยากร่วมลงทุนเป็นหมื่น ๆ แสน ๆ คน

ความจริงผมได้ไปเกริ่นไว้ในกรุ๊ปดังกล่าวก่อนที่โปรเจคจะล่มไปแล้วว่า โปรเจคระดมทุนเพื่อเข้าไปลงทุนในอสังหาริมทรัพย์แบบนี้ เราสามารถระดมทุนโดยการออกเหรียญหรือโทเคนดิจิทัลเพื่อไปลงทุนได้ แถมผู้ลงทุนยังได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายอีกด้วย

เนื่องจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) พึ่งมีการปรับปรุงหลักเกณฑ์เพื่อกำกับดูแลการออกเสนอขายโทเคนดิจิทัลที่อ้างอิงหรือมีกระแสรายรับจากอสังหาริมทรัพย์ (real estate-backed ICO) และเริ่มมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2564 ที่ผ่านมานี้เอง

แล้วไอ้เจ้าโทเคนดิจิทัลที่ผมกล่าวถึงนั้นคืออะไร มันเหมือนหรือคล้ายกับบิตคอยน์ (Bitcoin) ที่คนพูดถึงกันเยอะ ๆ หรือไม่ ลองติดตามอ่านกันดูนะครับ

ก่อนอื่น ผมต้องปูพื้นให้ทุกท่านเข้าใจเสียก่อนว่าตามกฎหมายในประเทศไทยของเราแบ่งสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset) ออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่

1.) คริปโทเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) หรือ สกุลเงินดิจิทัลที่เราสามารถใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนสินค้าหรือบริการ ไม่ต่างจากเงินจริง ๆ หากผู้ใช้ทั้งสองฝ่ายตกลงยอมรับกัน ซึ่งสกุลเงินดิจิทัลในโลกเราปัจจุบันนี้มีหลายพันสกุลแล้ว แต่ที่หลายคนรู้จักกันดี ก็เช่น บิตคอยน์ (Bitcoin) อีเธอร์เลียม (Ethereum)

2.) โทเคนดิจิทัล (Digital Token) หรือ หน่วยข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อกำหนดสิทธิของบุคคลในการร่วมลงทุน (Investment Token) หรือสิทธิในการได้มาซึ่งสินค้า บริการ หรือ สิทธิอื่น ๆ (Utility Token) ตามที่ผู้ออกโทเคนได้ตกลงไว้ ซึ่งการเสนอขายโทเคนนั้นจะทำโดยกระบวนที่เรียกว่า “Initial Coin Offering” หรือ ICO

ดังนั้น โทเคนดิจิทัลนั้นจึงไม่เหมือนกับบิตคอยน์เสียทีเดียว เพราะ บิตคอยน์เป็นเพียงสกุลเงินหนึ่งในโลกดิจิทัล มูลค่าของบิตคอยน์จะขึ้นอยู่กับอุปสงค์อุปทานเป็นหลัก แต่โทเคนดิจิทัลที่ใช้เพื่อใช้ในการร่วมลงทุนนั้น มูลค่าของโทเคนจะขึ้นอยู่กับมูลค่าของทรัพย์สินหรือกิจการที่เข้าไปลงทุน

ถ้าจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพมากขึ้น การออกโทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุน (Investment Token) จะคล้ายกับการตั้งกองทุนรวมเพื่อเข้าไปลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ ต่างกันที่ ผู้ที่ลงทุนในกองทุนรวมจะได้รับเอกสารแสดงสิทธิในหน่วยลงทุนมาเป็นหลักฐานว่าตนเป็นผู้ถือหน่วยลงทุนในกองทุนดังกล่าว แต่ผู้ที่ลงทุนในโทเคนดิจิทัลก็จะได้รับ โทเคน (Token) หรือ เหรียญ (Coin) มาเป็นหลักฐานว่าตนได้เข้าร่วมลงทุนในโปรเจคนั้น ๆ ด้วย

การที่ออกโทเคนดิจิทัลเพื่อเข้าไปลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ จึงเป็นโทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุนประเภทหนึ่ง ที่ต้องถูกกำกับดูแลโดยสำนักงาน ก.ล.ต. ซึ่งอย่างน้อยก็จะทำให้ผู้ลงทุนมั่นใจได้ว่าโทเคนดิจิทัลที่เสนอขายนั้นมีการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์จริง ผู้ออกโทเคนดิจิทัลไม่ใช่พวกต้มตุ๋น หรือ เป็นขบวนการแชร์ลูกโซ่

แต่สำนักงาน ก.ล.ต. ก็ไม่ได้มีหน้าที่รับรองว่าโทเคนดิจิทัลนั้นจะมีกำไรนะครับ อันนั้นเป็นเรื่องที่ผู้ลงทุนจะต้องศึกษารายละเอียดเองว่าการลงทุนดังกล่าวมีแนวโน้มว่าจะดีหรือไม่ หรือมีความเสี่ยงอะไรบ้าง

เช่น ถ้าผมจะซื้อโทเคนดิจิทัลที่ไปลงทุนในธุรกิจโรงแรม ผมก็ต้องศึกษาก่อนว่าโรงแรมที่จะเข้าไปลงทุนนั้นมีกี่ห้อง ราคาค่าห้องเฉลี่ยต่อคืนเท่าไหร่ อัตราการเข้าพักที่ผ่านมาเป็นอย่างไร ความเสี่ยงของธุรกิจโรงแรมคืออะไร เป็นต้น เพราะมูลค่าของโทเคนดิจิทัลที่ผมจะซื้อนั้นจะผันแปรตามกำไรจากธุรกิจโรงแรมดังกล่าว

สมมุติถ้าผมซื้อมาโทเคนละ 100 บาท แล้วปีต่อมาเกิดวิกฤตโควิด แปลว่าโรงแรมก็จะไม่มีรายได้เลย ราคาโทเคนที่ผมซื้อมาอาจจะตกเหลือเพียง 50 บาทก็ได้ แต่ถ้าเกิดโควิดหมดไป นักท่องเที่ยวที่กลับมาเที่ยวได้ตามปกติ โทเคนนั้นก็อาจจะกลับมาราคา 100 บาทตามเดิมหรือมากกว่าเดิมก็ได้ขึ้นอยู่กับผลประกอบการในปีนั้น ๆ ว่าจะจ่ายเงินปันผลให้ผู้ลงทุนเท่าไหร่

นอกจากนี้ ตามเกณฑ์ของสำนักงาน ก.ล.ต. ยังกำหนดให้ผู้ที่เสนอขายโทเคนดิจิทัล (Issuer) ต้องโอนกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ที่ลงทุนนั้นให้กับทรัสตี (Trustee) หรือ ผู้ดูแลผลประโยชน์ด้วย

ซึ่งทรัสตีนั้นจะทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลประโยชน์ให้กับนักลงทุนที่ถือโทเคนทุกคน ไม่ว่าจะเป็นการติดตามดูแลให้ผู้ออกเสนอขายโทเคนบริหารจัดการทรัพย์สินให้ดีเหมือนที่ได้ระบุไว้ในโครงการตอนเสนอขาย หรือคอยดูว่าผู้ออกเสนอขายโทเคนมีการดำเนินการใด ๆ ที่มีผลประโยชน์ทับซ้อนหรือไม่ รวมทั้งคอยเข้าประชุมติดตามผลการดำเนินงานแทนผู้ถือโทเคนทุกคนอีกด้วย

แต่ไม่ใช่อสังหาริมทรัพย์ทุกประเภทจะนำมาระดมทุนเสนอขายเป็นโทเคนดิจิทัลได้นะครับ

เนื่องจากหลักเกณฑ์ของสำนักงาน ก.ล.ต. กำหนดว่าทรัพย์สินที่จะเสนอขายได้นั้นจะต้องเป็น อสังหาริมทรัพย์ หรือ หุ้นของนิติบุคคลเฉพาะกิจ (SPV) ที่ถือครองอสังริมทรัพย์ไม่น้อยกว่าร้อยละ 75 ของสิทธิออกเสียงใน SPV นั้น หรือ สิทธิการเช่าในอสังหาริมทรัพย์

โดยทรัพย์สินดังกล่าวจะต้องสร้างเสร็จแล้ว 100% ไม่ใช่สร้าง ๆ อยู่จะมาขอระดมทุนออกโทเคนแบบนี้ไม่ได้ และเงื่อนไขอีกข้อก็คือ การลงทุนนั้นจะต้องลงทุนไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของทั้งโครงการ หรือ การลงทุนนั้นต้องมีมูลค่าไม่น้อยกว่า 500 ล้านบาท

นอกจากนี้ ในการเสนอขายโทเคนดิจิทัล สำนักงาน ก.ล.ต. มีข้อกำหนดว่าผู้ลงทุนรายย่อยจะลงทุนได้ไม่เกิน 300,000 บาทต่อการเสนอขายในครั้งนั้นเท่านั้น ต่างจากการลงทุนในกอง REIT ที่ผู้ลงทุนรายย่อยจะลงทุนเท่าไหร่ก็ได้ครับ

เป็นอย่างไรบ้างครับสำหรับข้อมูลเบื้องต้นสำหรับการลงทุนในโทเคนดิจิทัลที่อ้างอิงหรือมีกระแสรายรับจากอสังหาริมทรัพย์ (real estate-backed ICO) ที่จะเป็นสินทรัพย์ลงทุนรูปแบบใหม่ในยุคดิจิทัล ซึ่งตอนนี้ผมก็แอบทราบมาว่ามีบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์บางแห่งกำลังเตรียมการเพื่อยื่นขออนุมัติจากสำนักงาน ก.ล.ต. เพื่อเสนอขายโทเคนดิจิทัลประเภทนี้ให้ได้ภายในปีนี้

แม้ว่าโปรเจคซื้อเกาะจะไม่สำเร็จ แต่ก็ถือว่าหลายคนน่าจะได้ประโยชน์จากการเรียนรู้เรื่องการระดมทุนและลงทุนในยุคดิจิทัลกันไม่มากก็น้อย ก่อนที่ประเทศไทยของเราจะเริ่มมีโทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุนออกให้มาซื้อขายกันจริง ๆ


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit
คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

เมื่อ “ร้านโชห่วย” ออกมาช่วยในยามวิกฤติ

อินเดียตอนนี้ถือว่าอยู่ในช่วงวิกฤติและน่าเป็นห่วงอย่างมาก เพราะมีจำนวนผู้ติดเชื้อจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 รายวันทำสถิติสูงที่สุดในโลกโดยในวันพุธที่ 21 เมษายน 2564 ที่ผ่านมามีผู้ติดเชื้อสูงถึงเกือบ 3 แสนรายหรือจำนวน 294,290 รายภายใน 24 ชั่วโมง ทำให้มีจำนวนผู้ติดเชื้อสะสมอยู่ที่ 15,609,004 รายมากเป็นอันดับสองรองจากสหรัฐอเมริกา และมีจำนวนผู้เสียชีวิตภายใน 1 วันในวันดังกล่าวสูงถึง 2,020 คนซึ่งสูงที่สุดในโลก ทำให้มียอดผู้เสียชีวิตสะสมสูงถึง 182,570 ราย โดยแพทย์และผู้เชี่ยวชาญออกมาระบุว่าสาเหตุที่ COVID-19 กลับมาแพร่ระบาดอย่างรุนแรงอีกครั้งก็เนื่องมาจากการผ่อนปรนมาตรการป้องกันโรคต่าง ๆ ทำให้ประชาชนการ์ดตก และล่าสุดที่น่าจะเป็นสาเหตุสำคัญของการแพร่ระบาดใหญ่ในครั้งนี้ก็คือ การจัดพิธีศักดิ์สิทธิ์ในเทศกาลกุมภเมลา ที่มีผู้แสวงบุญที่นับถือศาสนาฮินดูจำนวนมากกว่า 3 ล้านคนแห่ร่วมพิธีอาบน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่แม่น้ำคงคาตามความเชื่อและความศรัทธาโดยไม่สนใจเรื่องการแพร่ระบาดของ COVID-19 เลย

ผลจากการแพร่ระบาดอย่างรุนแรงในระลอกใหม่นี้ทำให้รัฐบาลอินเดียต้องออกมาตรการล็อกดาวน์ในเมืองใหญ่เพื่อสกัดการแพร่ระบาดโดยให้แต่ละรัฐบริหารจัดการกันเอง เริ่มจากรัฐมหาราษฏระซึ่งมีมุมไบเป็นเมืองหลวง ได้กำหนดช่วงเวลาเคอร์ฟิวไว้ระหว่างเวลา 21.00 น. จนถึง 5.00 น. ของอีกวันหนึ่ง และอนุญาตให้ร้านโชห่วยที่ขายสินค้าจำเป็นแก่การดำรงชีวิตเปิดได้แค่วันละ 4 ชั่วโมง ระหว่างเวลา 7.00-11.00 น. เท่านั้น แต่บริการจัดส่งสินค้าจากร้านค้าต่าง ๆ สามารถทำได้ระหว่างเวลา 7.00-20.00 น. เท่านั้น จนถึงวันที่ 1 พฤษภาคม 2564 หลังจากนั้น กรุงนิวเดลีเมืองหลวงของอินเดียก็ได้ออกมาตรการล็อกดาวน์เช่นกันเป็นเวลา 1 สัปดาห์ในช่วงวันที่ 19-26 เมษายน 2564 ซี่งมาตรการล็อกดาวน์ของกรุงนิวเดลีมีการบังคับให้ธุรกิจที่ไม่จำเป็นต่อการใช้ชีวิตของประชาชนต้องปิดบริการทั้งหมด โดยในช่วงเคอร์ฟิว แพลตฟอร์ม eCommerce จะได้รับอนุญาตให้ส่งสินค้าได้เฉพาะสินค้าจำเป็นเช่น อาหาร ยารักษาโรค และอุปกรณ์ทางการแพทย์เท่านั้น จนถึงขณะนี้ รัฐต่าง ๆ ในประเทศอินเดียก็ทะยอยประกาศล็อกดาวน์ตามรัฐมหาราษฎระกันแล้ว

การประกาศล็อกดาวน์ของรัฐต่าง ๆ ในประเทศอินเดียจริง ๆ แล้วน่าจะส่งผลดีต่อบริษัท eCommerce ต่าง ๆ โดยเฉพาะบริษัทที่ดำเนินธุรกิจ Online Grocery Supermarket ที่น่าจะตอบโจทย์ได้ดีที่สุดเพราะผู้บริโภคสามารถสั่งซื้อผ่านระบบออนไลน์ได้สะดวก แต่ปรากฏว่าหลังจากมีการประกาศล็อกดาวน์ บริษัทออนไลน์เหล่านี้กลับประสบปัญหาเป็นอย่างมากในเรื่องของการจัดส่งสินค้า เพราะแม้ว่าผู้บริโภคจะมีความสะดวกในการสั่งซื้อสินค้าผ่านระบบออนไลน์ แต่บริษัทกลับมีปัญหาด้านการจัดส่งสินค้าให้กับผู้บริโภคเนื่องจากไม่มีกำลังคนและยานพาหนะเพียงพอในการจัดส่งและยังประสบกับปัญหาเรื่องช่วงเวลาในการจัดส่งด้วย ซึ่งปรากฏการณ์นี้แม้แต่ร้านค้าปลีกออนไลน์ชื่อดังอย่าง Amazon Fresh ซึ่งเป็น Online Grocery Supermarket ที่จำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคจำเป็นก็ประสบปัญหาเช่นกัน โดยไม่สามารถจัดส่งสินค้าให้ผู้ซื้อที่สั่งซื้อผ่านระบบออนไลน์ได้ตามปกติ ทำให้เกิดความล่าช้าในการจัดส่งสินค้าไปหลายวัน ซึ่งสำหรับสินค้าอุปโภคบริโภคจำเป็นแล้ว ผู้บริโภคไม่สามารถรอคอยได้นานหลายวันขนาดนั้น เลยทำให้หน้าเพจสั่งซื้อสินค้าของ Amazon Fresh ต้องถึงกับมีข้อความขึ้นแจ้งลูกค้าไว้เลย เช่น “ตารางเวลาจัดส่งของเราเต็มแล้ว” หรือ “เรากำลังเร่งเพิ่มขีดความสามารถในการจัดส่งให้ดีขึ้น” หรือ “กรุณากลับมาตรวจสอบอีกครั้ง” เป็นต้น หรืออย่างบริษัท BigBasket ซึ่งเป็นบริษัท Online Grocery Supermarket ชื่อดังอีกบริษัทหนึ่งก็มีข้อความแจ้งถึงลูกค้าบนหน้า Home Page ของบริษัทฯ เช่นกันว่า “การจัดส่งสินค้าให้ลูกค้าอาจจะล่าช้าเนื่องจากมาตรการจำกัดการเคลื่อนที่อันเป็นผลมาจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ระลอกใหม่”

เมื่อสถานการณ์วิกฤติขนาดนี้ ก็เลยทำให้บริษัทผู้จำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภครายใหญ่ของอินเดียตอนนี้หันมาให้ความสำคัญกับการเติมสต๊อคสินค้าหรือสินค้าคงคลังให้กับร้านโชห่วยหรือ Kirana มากกว่าที่จะไปเพิ่มไว้กับบริษัท eCommerce ซึ่งปรากฏว่าในช่วงหลังที่การแพร่ระบาดของ COVID-19 หนักหนาสาหัสขึ้นในประเทศอินเดียทำให้บริษัทที่จำหน่ายสินค้าออนไลน์หรือบริษัท eCommerce ต่าง ๆ ประสบปัญหากับความล่าช้าในการจัดส่งสินค้าที่มีการซื้อผ่านแพลตฟอร์มอิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ ตามที่ได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้แล้ว โดยบริษัทผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคยักษ์ใหญ่ของอินเดียต่างออกมาแสดงความคิดเห็นในทิศทางเดียวกันว่าตอนนี้ผู้บริโภคชาวอินเดียได้หันมาซื้อสินค้าจำเป็นจากร้านโชห่วยมากยิ่งขึ้นหลังจากมีการแพร่ระบาดของ COVID-19 รอบใหม่ที่รุนแรงขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากความล่าช้าในการจัดส่งสินค้าที่สั่งซื้อผ่านระบบออนไลน์ ทำให้บริษัทยักษ์ใหญ่ต่าง ๆ ต้องกลับลำหันมาให้ความสำคัญกับร้านโชห่วยมากขึ้นด้วยการเติมสินค้าคงคลังให้กับร้านโชห่วยก่อนร้านค้าปลีกประเภทอื่นโดยเฉพาะร้านค้าปลีกสมัยใหม่และร้านค้าปลีกออนไลน์ 

ตอนนี้บริษัทต่าง ๆ ต้องหันมาพึ่ง “ร้านโชห่วย” เป็นหลัก ด้วยการจัดส่งสินค้าไปเพิ่มไว้ในสต๊อคของร้านโชห่วยแทบจะตลอดเวลา โดยทุกบริษัทหันมาให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการรอบเวลาในการจัดส่งสินค้าให้ร้านโชห่วยมากที่สุดด้วยการจัดส่งสินค้าด้วยจำนวนรอบที่ถี่มากขึ้นเพื่อไม่ให้สินค้าขาดตลาดในช่วงเคอร์ฟิว ทั้งนี้ สินค้าที่เป็นที่ต้องการมากจะเป็นสินค้าจำเป็นประเภทอาหารสำเร็จรูปและเครื่องดื่มในบรรจุภัณฑ์ต่างๆ (Packaged Food) และสินค้าเกี่ยวกับสุขอนามัย (Hygiene Products) ซึ่งบริษัทต่างๆจะไม่ยอมให้ขาดตลาดอย่างเด็ดขาด ทั้งนี้ ผู้บริหารของบริษัทยักษ์ใหญ่ต่าง ๆ ก็ออกมาสื่อสารกับผู้บริโภคว่าไม่ต้องวิตกกังวลว่าสินค้าจะขาดตลาดและไม่จำเป็นต้องมีการกักตุนสินค้าแต่ประการใด เนื่องจากบริษัทต่าง ๆ ตอนนี้ให้ความสำคัญกับการเติมสต๊อคสินค้าให้กับร้านโชห่วยใกล้บ้านของผู้บริโภคเป็นอันดับแรกอยู่แล้ว 

น่าสนใจว่าทำไมบริษัทยักษ์ใหญ่ทางด้านสินค้าอุปโภคบริโภคในอินเดียถึงหันมาสนใจ “ร้านโชห่วย” หรือ “Kirana” ในภาวะวิกฤติเช่นนี้ คำตอบก็คือ ในปัจจุบันทั้งประเทศอินเดียจะมีร้านโชห่วยที่เรียกกันว่า Kirana มากถึง 12 ล้านร้านกระจายอยู่ทั่วทุกหัวมุมถนนในประเทศอินเดียและกลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตของคนอินเดียไปแล้ว โดยคนอินเดียหรือคนที่อยู่อาศัยในประเทศอินเดียจะต้องพึ่งพาซื้อหาสินค้าจำเป็นจากร้านโชห่วยเหล่านี้กันเป็นกิจวัตรประจำวันเพราะเป็นร้านใกล้บ้าน มีสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นทุกอย่างทั้งอาหารและของใช้ต่าง ๆ โดยส่วนใหญ่ผู้บริโภคก็มักจะเป็นลูกค้าขาประจำของแต่ละร้านอยู่แล้วด้วย เพราะฉะนั้นการที่บริษัทผู้จำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคยักษ์ใหญ่เลือกที่จะหันกลับมาใช้ช่องทางของร้านโชห่วยในการกระจายหรือจัดส่งสินค้าให้กับผู้บริโภคในช่วงวิกฤติ COVID-19 จึงถือว่าเป็นแนวทางที่ชาญฉลาดมากด้วยการใช้ประโยชน์จากสิ่งที่มีอยู่แล้ว นั่นคือ เครือข่ายของร้านโชห่วยใกล้บ้านผู้บริโภคที่กระจายตัวอยู่ทั่วประเทศอินเดีย 

สำหรับอุตสาหกรรมค้าปลีกของอินเดียถือเป็นอุตสาหกรรมที่มีมูลค่ามหาศาล ยอดขายรวมของอุตสาหกรรมค้าปลีกอินเดียในปี 2019 สูงกว่า 790,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งมากกว่า GDP ของประเทศไทยในปี 2020 ที่มีมูลค่าประมาณ 527,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และคาดว่าในปี 2024 ยอดขายของอุตสาหกรรมค้าปลีกของอินเดียจะเพิ่มขึ้นเป็น 1.4 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ เลยทีเดียว แต่ที่น่าสนใจมากกว่านั้นก็คือ ที่ผ่านมารัฐบาลอินเดียพยายามปกป้องอุตสาหกรรมค้าปลีกเป็นอย่างมากเนื่องจากในอุตสาหกรรมค้าปลีกของอินเดียจะประกอบไปด้วยผู้ค้าปลีกรายย่อยที่เป็นธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิม (Traditional Retailers หรือ Unorganized Retailers) จำนวนมหาศาลซึ่งก็คือ ร้านโชห่วยหรือ Kirana นั่นเอง ทำให้รัฐบาลอินเดียต้องออกกฏระเบียบต่างๆเพื่อกีดกันบริษัทค้าปลีกต่างชาติไม่ให้เข้าไปเปิดหรือขยายธุรกิจค้าปลีกในประเทศอินเดียมาโดยตลอด ด้วยเกรงว่าจะไปกระทบกับร้านโชห่วยที่มีอยู่ทั่วประเทศอินเดียนั่นเอง

และด้วยมาตรการกีดกันธุรกิจค้าปลีกต่างชาตินี่เองที่ทำให้ธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ (Modern Trade หรือ Organized Retailers) ในประเทศอินเดียมีสัดส่วนน้อยมาก อย่างในปี 2011 ที่รัฐบาลอินเดียเริ่มเปิดเสรีธุรกิจค้าปลีกเพิ่มเติมอย่างจริงจัง ปรากฏว่าธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ในอินเดียขณะนั้นมีสัดส่วนอยู่แค่เพียง 5% เท่านั้น ในขณะที่ธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมที่เป็นร้านโชห่วยมีสัดส่วนสูงถึง 95% แต่หลังจากมีการเปิดเสรีธุรกิจค้าปลีกเพิ่มเติมในปี 2011 แล้ว ปรากฏว่าจนถึงปี 2015 ธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ในอินเดียก็มีสัดส่วนเพิ่มมากขึ้นเป็น 8% และธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมลดลงไปเล็กน้อยเหลืออยู่ 92% แต่ก็ยังคงมีสัดส่วนสูงมากเมื่อเทียบกับประเทศต่าง ๆ และในปี 2019 ธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 9% ในขณะที่ธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมมีสัดส่วนลดลงไปเหลือ 88% แต่ที่เพิ่มเติมขึ้นมาก็คือ ธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่แบบออนไลน์ (Organized Online Retailers) ที่เข้ามามีสัดส่วน 3% ทำให้โครงสร้างธุรกิจค้าปลีกในประเทศอินเดียประกอบไปด้วยธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่รวมกันมีสัดส่วนเป็น 12% ในขณะที่ธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมหรือร้านโชห่วยมีสัดส่วนลดลงเหลือ 88% และล่าสุดได้มีการคาดการณ์กันว่าในปี 2024 ธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ในอินเดียจะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 25% ประกอบด้วยธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่แบบมีสถานที่จัดจำหน่ายสินค้า 18% กับธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่แบบออนไลน์ 7% ในขณะที่ธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมจะมีสัดส่วนลดลงเหลือประมาณ 75% 

เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่าธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมหรือร้านโชห่วยในอินเดียมีแนวโน้มที่จะหดตัวลงเรื่อย ๆ ในขณะที่ธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่กลับขยายตัวอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่แบบออนไลน์ที่เติบโตอย่างรวดเร็วและมาแรงมาก แถมยังมีบทบาทอย่างสำคัญในสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ตั้งแต่ปีที่แล้ว แต่มาถึงวันนี้ปรากฏว่าธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่แบบออนไลน์ก็ไปไม่รอดเหมือนกันเมื่อรัฐบาลประกาศล็อกดาวน์ด้วยการกำหนดเคอร์ฟิวและจำกัดการเคลื่อนที่ของประชาชน ทำให้ส่งผลกระทบต่อการจัดส่งสินค้าที่มีการสั่งซื้อผ่านระบบออนไลน์เพราะไม่สามารถจัดการส่งสินค้าได้ตามปกติ และในที่สุดบริษัทผู้ผลิต/ผู้จำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคจำเป็นก็ต้องหันกลับมาใช้บริการ “ร้านโชห่วย” อยู่ดี ก็ถือว่าอินเดียยังโชคดีที่มีเครือข่ายร้านโชห่วยใกล้บ้านผู้บริโภคอยู่ทั่วประเทศ วิกฤติการณ์ครั้งนี้ “ร้านโชห่วย”ก็เลยกลายเป็น “พระเอก” ขี่ม้าขาวมาช่วยได้ในที่สุดแม้ว่าจะเป็นแค่ช่วงเวลาวิกฤติก็ตาม


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit
คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

Land Bridge กับพิธีการศุลกากร

การส่งสินค้าระหว่างประเทศ นอกจากจะต้องพิจารณาถึงเส้นทาง ระยะเวลา หรือรูปแบบการเดินทาง ยังมีเรื่องของกฎระเบียบทางพิธีศุลกากรเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ในตอนนี้จึงขอมาเล่ากรณีศึกษาการเลือกใช้เส้นทางการขนส่งที่มีผลมาจากพิธีทางศุลกากร

จากเดิมการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศไอร์แลนด์และยุโรป ใช้วิธีการขนส่งทางรถบรรทุก แล้วรถบรรทุกขึ้นเรือเฟอร์รี่ที่กรุงดับลิน เมืองหลวงของไอร์แลนด์ เพื่อข้ามฝากมายังเมือง Holyhead ของอังกฤษ ต่อจากนั้นรถบรรทุกก็วิ่งลอดอุโมงค์ข้ามช่องแคบอังกฤษเพื่อไปยังทางตอนเหนือของฝรั่งเศส ซึ่งเรียกเส้นทางนี้ว่า UK Land Bridge


คาดการณ์กันว่ามีรถบรรทุกใช้เส้นทางนี้ถึงปีละ 150,000 คัน เนื่องจากใช้ระยะเวลาในการเดินทางไม่เกิน 20 ชั่วโมง  หากเทียบกับการที่รถบรรทุกขึ้นเรือเฟอร์รี่แล้วลงที่ท่าเรือในเรือที่ยุโรป (Roll-on/roll-off : RoRo) ที่ใช้ระยะเวลาประมาณ 40 ชั่วโมง หรือการขนสินค้าขึ้นลงที่ท่าเรือตามวิธีปกติ (Lift-on/lift-off : LoLo) ที่ใช้ระยะขนส่งนานถึง 60 ชั่วโมง  นอกจากนั้นการขนส่งด้วยรถบรรทุกเส้นทางนี้ยังสามารถแวะรับส่งสินค้าระหว่างทางในอังกฤษได้ตามข้อตกลงของประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรป

แต่เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2564 ถึงกำหนดที่สหราชอาณาจักรสิ้นสุดสถานภาพการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป อย่างเป็นทางการ สินค้าที่นำเข้า-ส่งออก และผ่านแดนไปยังยุโรป ต้องผ่านพิธีศุลกากรซึ่งต่างจากเดิมสามารถวิ่งผ่านได้เลย เนื่องจากเป็นไปตามข้อตกลงทางศุลกากรของกลุ่มประเทศสหภาพยุโรป ส่งผลให้การเลือกใช้เส้นทางนี้ต้องพบกับการขั้นตอนการตรวจสอบ ระยะเวลาและค่าใช้จ่ายการขนส่งที่เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะบริเวณด่านชายแดนที่อุโมงค์ข้ามช่องแคบอังกฤษ จุดเชื่อมต่อที่สำคัญระหว่างอังกฤษกับยุโรปที่คาดการณ์ว่าน่าจะมีรถบรรทุกรอตรวจสอบมากถึง 7,000 คัน และอาจส่งผลให้เกิดความล่าช้าได้มากถึง 48 ชั่วโมง

ดังนั้นผู้ประกอบการจึงจำเป็นต้องเลือกเส้นทางที่มีความเสี่ยงต่อความล่าช้าน้อยกว่า ถึงแม้จะใช้ระยะเวลาในการขนส่งที่นานกว่าก็ตาม ผู้นำเข้าส่งออกของไอร์แลนด์จึงเลือกใช้วิธีการขนส่งตรงไปยังทวีปยุโรปแทน ส่งผลให้รถบรรทุกที่ใช้เส้นทาง UK Land Bridge ลดลงถึง 50% และเที่ยวเรือที่วิ่งตรงระหว่างไอร์แลนด์กับยุโรปเพิ่มขึ้นจาก 12 เที่ยวเป็น 42 เที่ยวต่อสัปดาห์

จากเรื่องที่เล่ามาจะเห็นได้ว่าผู้ประกอบการให้ความสำคัญกับความเสี่ยงต่อความล่าช้าในการขนส่งมากกว่าความเร็ว เพราะถึงแม้ระยะเวลาการขนส่งจะนานขึ้นก็สามารถปรับแผนการสั่งซื้อสินค้า การวางแผนสินค้าคงคลังได้ใหม่ แต่หากระยะเวลาขนส่งไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้จะส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่อยู่ในโซ่อุปทาน และขั้นตอนการผ่านพิธีศุลกากรก็เป็นสาเหตุสำคัญที่ก่อให้เกิดความล่าช้าในการขนส่ง

สำหรับประสิทธิภาพด้านการดำเนินงานพิธีศุลกากร ทางธนาคารโลก (World Bank) ได้มีการประเมินไว้เป็นหัวข้อหนึ่งใน Logistics Performance Index (LPI) และในปี 2018 ประเทศไทยถูกจัดอันดับอยู่ที่ลำดับ 36 จาก 160 ประเทศทั่วโลก ถ้าเทียบกับสิงคโปร์ที่ถูกจัดอันดับในลำดับที่ 6  ประเทศไทยยังต้องพัฒนาประสิทธิภาพในด้านนี้หากต้องการส่วนแบ่งเรือขนสินค้าที่แล่นผ่านช่องแคบมะละกาให้มาผ่านแลนด์บริดจ์ที่กำลังศึกษากันอยู่  

ข้อมูลอ้างอิง
https://www.instituteforgovernment.org.uk/explainers/trade-uk-landbridge
https://www.thejournal.ie/less-landbridge-mroe-action-how-irish-trade-changes-5356884-Mar2021/
https://lpi.worldbank.org/international/global?sort=asc&order=Customs#datatable 


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit
คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

เสียง (เพรียก) แห่งสายน้ำปัตตานี... ตอนที่ 5

พายเรือผ่านพ้นช่วงต้นน้ำจนถึงช่วงกลางของสายน้ำกันแล้ว ครึ่งหลังเป็นการล่องจากท้ายเขื่อนบางลางเพื่อไปจบที่ตัวเมืองปัตตานีซึ่งตั้งอยู่บริเวณปากอ่าวไทย ยังมีเวลาคายักกันแบบไม่ต้องรีบร้อนอีกหลายวัน ระหว่างทางได้พบเจอทั้งเรื่องราวประทับใจ และเหตุการณ์ไม่สบอารมณ์นัก ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกของการเดินทางและของชีวิตนั่นแหละ 

ความแรงและการไหลของน้ำขึ้นอยู่กับการเปิดประตูน้ำของเขื่อน ในช่วงที่มีการผลิตกระแสไฟฟ้าก็ต้องปล่อยน้ำเพื่อให้เครื่องจักรกลทำงาน ปกติแล้วมีการเปิดปิดน้ำวันละรอบ ระดับน้ำเปลี่ยนแปลงขึ้นลงทุกวัน 

สายน้ำ และเด็ก ๆ เป็นของคู่กันเสมอ ภาพชินตาพบเห็นเวลาบ่ายเสาร์อาทิตย์ คือโขยงเด็กน้อยวัยประถมถึงมัธยมต้นทั้งชายและหญิงลงมากระโดดน้ำ ดำผุดดำว่าย หยอกล้อเล่นกัน เสาร์อาทิตย์เด็ก ๆ ยังคงต้องไปเรียนหลักศาสนาอิสลาม ชั้นเรียนเลิกแล้วก็พากันไปเล่นต่อ ชนบทแบบนี้ไม่มีห้างสรรพสินค้าหรือสวนสนุก จึงอาศัยหลังบ้านเป็นสนามเด็กเล่น เมื่อเจอชายต่างถิ่นแปลกหน้าสองคนพายเรือผ่าน จึงตะโกนทักทายแบบกล้า ๆ กลัว ๆ ขณะเดียวกันก็ใส ๆ และเป็นมิตร บางคนชักชวนให้เล่นน้ำกับพวกเขา หรือเด็กผู้ชายบางคนก็ขออนุญาติขึ้นมานั่งบนเรือ ล่องไปด้วยกันจนถึงท้ายหมู่บ้านก็ลาแล้วกระโดดลงน้ำว่ายขึ้นฝั่งกันไป เด็ก ๆ มักตะโกนบอกให้เดินทางปลอดภัยบ้าง โชคดีบ้าง เป็นความรู้สึกดีและน่าประทับใจมาก


“อีกันมูเด๊ะ” นั่นคือคำบอกเล่าจากปากผู้เฒ่าผู้อาศัยอยู่ริมน้ำแต่อ้อนออกท่านหนึ่ง และอันที่จริงนี่เป็นคำสามัญภาษามลายูท้องถิ่นซึ่งคนรุ่นตั้งแต่อายุเลย 50 ปีขึ้นไปคุ้นเคยกันดี หมายความว่าการอพยพขึ้นสู่ต้นน้ำของปลาเพื่อหาที่ซึ่งอาหารอุดมสมบูรณ์และสภาพแวดล้อมเหมาะสมต่อการวางไข่และการอพยพกลับลงมาของตัวอ่อนมายังปลายน้ำเพื่อเติบโตและสืบเผ่าพันธุ์ วงจรซึ่งเกิดขึ้นมาเนิ่นนาน จวบจนกระทั่งเมื่อระบบนิเวศเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ ทำให้บรรดาปลาแม่น้ำทั้งหลายต้องปรับตัวแบบ “นิวนอร์มอล” พวกที่ปรับตัวไม่ได้ก็ค่อย ๆ ลดจำนวนลงจนในที่สุดสูญพันธุ์ไปนั่นเอง ผู้เฒ่าเล่าว่าสมัยแกยังเด็กปริมาณลูกปลาเคยล่องกลับลงมาเยอะมากขนาดเอาผ้าช้อนเล่นก็ติดผ้ามาแล้ว เป็นช่วงที่ฝูงนกบินว่อนเหนือแม่น้ำโฉบจับปลากกันทั้งวัน อาหารการกินเคยอุดมสมบูรณ์ขนาดนั้น

ปัจจัยซึ่งนำการเปลี่ยนแปลงสู่ระบบนิเวศสายน้ำปัตตานีอย่างแน่นอนที่สุดกว่าสิ่งอื่นใด คือเขื่อนบางลางนั่นเอง พูดแบบนี้เหมือนเขื่อนเป็นผู้ร้ายเลยใช่ไหม ถ้าจะว่าใช่ก็ถูก จะว่าไม่ใช่ก็ต้องมองอีกมุมล่ะ ท้ายที่สุดแล้วอาจจะต้องมาชั่งน้ำหนักระหว่างข้อดีหรือประโยชน์กับข้อเสียหรือผลกระทบเชิงลบที่เกิดขึ้นจากการสร้างเขื่อนว่าอย่างไหนมากกว่ากัน และ “คุ้มค่า” แค่ไหน อย่างเขื่อนบางลางนั้นสร้างขึ้นด้วยวัตถุประสงค์หลักคือผลิตกระแสไฟฟ้าและการประมงในทะเลสาบเหนือเขื่อน โดยหน่วยงานภาครัฐนำพันธุ์ปลาต่างถิ่นอย่างปลาบึกมาปล่อย ทว่า คุ้มกันไหม แค่เมื่อต้องแลกสิ่งที่ได้มากับอิกันมูเด๊ะ

หลายเดือนก่อนเกิดน้ำท่วมใหญ่ตั้งแต่บริเวณเหนือเขื่อนไปจนถึงเมืองปัตตานี จากการปล่อยน้ำของเขื่อนบางลางโดยไม่มีการแจ้งข่าวเตือนล่วงหน้า ส่งผลทำให้ผู้คนต้องหนีกันจ้าละหวั่น บ้านเรือนจมน้ำได้รับความเสียหาย เรือกสวนถูกโดยเฉพาะอย่างยิ่งทุเรียนยืนต้นตาย ตลิ่งถูกกัดเซาะโดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงโค้งน้ำนั้นผืนดินบางแปลงหายไปเลยก็มี หรือไม่ต้นยางพาราริมน้ำบางแถวถูกน้ำเซาะจนล้มไปเลยก็มี นี่ยังไม่นับกระชังปลาบริเวณปลายน้ำของชาวบ้านหลายคนที่ถูกน้ำซัดเสียหายไปกันคนละหลักแสนบาท ทว่า กฟผ. ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ต้องรับผิดชอบโดยตรงต่อความเสียหายดูเหมือนจะยังคงนิ่งเฉย ไม่ได้ออกมาอธิบายใด ๆ ต่อประชาชนที่ได้รับผลกระทบรุนแรง ซึ่งนี่อาจกลายเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่เพิ่มการสะสมตัวของความขุ่นมัวอึมครึมที่มีมาก่อนหน้านี้อย่างยาวนานอยู่แล้วด้วยก็เป็นได้

นอกจากเขื่อนใหญ่แล้ว ยังมีฝายกั้นน้ำเพื่อการเกษตรอีกหลายแห่ง ส่วนใหญ่อยู่ช่วงปลายของสายน้ำ พายเรือผ่านช่วงนี้ให้ความรู้สึกคล้ายกับการพายเรือผ่านแม่น้ำปิงที่ต้องยกเรือข้ามฝายเป็นว่าเล่น 

สิ่งสามัญที่พบเห็นคือทหารและเจ้าหน้าที่รักษาความมั่นคงแห่งชาติประจำการตามจุดต่าง ๆ หรือออกลาดตระเวนทั้งทางบกและทางน้ำ พาหนะก็ตั้งแต่รถมอเตอร์ไซค์ รถยนต์ หรือกระทั่งรถถัง เจ้าหน้าที่ต้องใส่เสื้อเกราะกันกระสุน ในฐานะนักท่องเที่ยวซึ่งเป็นคนนอกพื้นที่มองว่ายังมีการระแวงระวังกันระหว่างคนท้องถิ่นและภาครัฐในระดับหนึ่ง ในมุมของชาวบ้านไม่แน่ใจว่าพวกเขาอึดอัดมากแค่ไหนเมื่อต้องโดนเรียกตรวจหรือสอบถามประหนึ่งเป็นผู้ต้องสงสัย ขณะเดียวกันก็ไม่รู้ว่าเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติการเองก็สะสมอาการเครียดจากการทำงานในพื้นที่แค่ไหนเช่นกัน

เดินทางกันหลายวัน ระหว่างทางได้รับน้ำใจไมตรีและความช่วยเหลือทั้งจากคนท้องถิ่นและเพื่อนที่อยู่ในเมือง ในที่สุด บ่ายแก่ของวันที่ 7 ของการเดินทางพวกเราก็ไปถึงเมืองปัตตานี มิตรสหายต่างพากันมารอต้อนรับประหนึ่งจะจัดมหรสพริมน้ำให้ แดดร่มลมตกวันนั้นเราร่วมสรุปทริปกันสั้น ๆ ส่วนตัวผมมองว่าประสบการณ์ครั้งนี้มีค่ามาก เพราะลดทอนความกลัว “สามจังหวัด” ในใจลงไปโดยสิ้นเชิง ได้เพื่อนใหม่อีกหลายคน และสำคัญที่สุดก็คือ แม่น้ำปัตตานีได้หยิบยื่นสารพัดสารพันให้แก่ผมมากกว่าที่ผมคาดไว้มากทีเดียว ประทับใจและขอบคุณมากครับ


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit
คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

จันทบุรี - ผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี ประชุมหารือฝ่ายความมั่นคง หาทางแก้ปัญหาผลกระทบกรณีการสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่ง ฝั่งจังหวัดไพลิน กัมพูชา ที่กระทบต่อกระแสน้ำและเขตแดน

วันนี้ ( 23 เม.ย.64 ) ที่ห้องประชุม ชุดควบคุมทหารพรานนาวิกโยธินที่ 4 อำเภอโป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี นายสุธี ทองแย้ม ผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี ได้ประชุมหารือแนวทางแก้ปัญหา ผลกระทบกรณีการสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่ง ฝั่งจังหวัดไพลิน กัมพูชา โดยมี พลเรือตรีปริญญาธรรม พูลพิทักษ์ธรรม รองผู้บัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด  นาวาเอกสมเกียรติ ม่วงมี ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินจันทบุรี พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม ซึ่งนาวาเอก ศราวุธ บุตรเสรีชัย หัวหน้าชุดควบคุมทหารพรานนาวิกโยธินที่ 3 ให้การต้อนรับและบรรยายสรุปสถานการณ์ในพื้นที่

โดยเบื้องต้นการหารือครั้งนี้เป็นการตรวจสอบและศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการที่ บริษัท โก ออฟ วิวล์ ฝั่งกัมพูชาได้มาสร้างสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่ติดแนวชายแดนและจากการประเมินตามผังการก่อสร้างนั้น ทางฝั่งกัมพูชาจะต้องสร้างผนังกั้นกันน้ำเซาะตลิ่งเพื่อความมั่นคงของโครงสร้าง ซึ่งจากประเมินหากมีการสร้างจริง พื้นที่ริมคลองฝั่งประเทศไทยจะได้รับผลกระทบอาจถูกกระแสน้ำกัดเซาะ ส่งผลกระทบต่อแนวเขตชายแดน การก่อสร้างโรงแรม โก ออฟ วิวล์ ฝั่งกัมพูชาเริ่มมีการก่อสร้างเมื่อปี 2561 ซึ่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง ทหาร ได้มีการเฝ้าติดตามอย่างต่อเนื่อง เพราะการสร้างสิ่งปลูกสร้างคิดแนวชายแดนนั้นยังมีบางจุดที่ผิดเงื่อนไข ซึ่งจากการที่คณะลงพื้นที่ตรวจสอบได้มีการหารือกับหัวหน้าหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อสรุปข้อมูลทำรายงานส่งคณะกรรมาธิการต่อไป


ภาพ/ข่าว จรัล บรรยงคเสนา  ผู้สื่อข่าว จ.จันทบุรี

นาย พรเทพ เขม้นเขตวิทย์ รายงานจากศูนย์ข่าวภาคตะวันออก

จันทบุรี - ตรวจคัดกรองเข้มกลุ่มเสี่ยงสัมผัสผู้ป่วย คลัสเตอร์งานเลี้ยงขึ้นบ้านใหม่ คลองนารายณ์ หลังพบผู้ติดเชื้อเป็นกลุ่มก้อน ขณะที่สถิติพบผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มอีก 7 คน

 

วันนี้ ( 23 เม.ย.64 ) ที่เทศบาลตำบลพลับพลานารายณ์ เจ้าหน้าที่สาธารณสุข แพทย์ พยาบาล ฝ่ายปกครอง กำนัน – ผู้ใหญ่บ้านได้นำลูกบ้านในพื้นที่ตำบลคลองนารายณ์ที่ไปร่วมงานเลี้ยงขึ้นบ้านใหม่ในพื้นที่ตำบลคลองนารายณ์แล้วพบการติดเชื้อเป็นกลุ่มก้อนรวม 16 คน จึงประชาสัมพันธ์เชิญชวนกลุ่มผู้สัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วยมาคัดกรองเพื่อป้องกัน ยับยั้งการแพร่ระบาดในพื้นที่ และได้รับความร่วมมืออย่างดีจากชาวบ้านในพื้นที่มาขอตรวจคัดกรองจนเกินจำนวนเป้าหมาย และต้องนัดหมายอีกรอบในวันจันทร์ที่ 26 เมษายน ขณะที่การคัดกรองเชิงรุกพื้นที่เสี่ยงการแพร่ระบาดจะมีการตรวจคัดกรองอย่างต่อเนื่องทั้งในโรงพยาบาลพระปกเกล้าทุกวัน หรือ ที่เทศบาลเมืองท่าช้างทุกวันอังคาร

ขณะที่ข้อมูลสถิติ วันนี้พบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น 7 ราย รวมสะสมจากคลัสเตอร์ใหม่ 103 ราย กำลังรักษา 93 ราย และ รักษาหายกลับบ้านแล้ว 10 ราย แยกเป็นอำเภอในคลัสเตอร์ใหม่พบผู้ติดเชื้อรวม 8 อำเภอ ยกเว้น อำเภอนายายอาม และ อำเภอแก่งหางแมว ที่ยังไม่มีผู้ติดเชื้อตัวเลขเป็น 0 อย่างไรก็ตามจังหวัดจันทบุรีได้เน้นย้ำประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของสาธารณะสุขอย่างเข้มข้น ใส่หน้ากาก 100 เปอร์เซ็นต์ ตั้งการ์ดป้องกันสูงสุด หากกังวลใจมีข้อสงสัยสามารถโทรสอบถามได้ที่สายด่วน Hotline กรมควบคุมโรค 1422 หรือ ที่สาธารณสุขจังหวัดจันทบุรี 039 328337 และ 082 – 2323850      


ภาพ/ข่าว จรัล บรรยงคเสนา  ผู้สื่อข่าว จ.จันทบุรี

นาย  พรเทพ เขม้นเขตวิทย์ รายงานจากศูนย์ข่าวภาคตะวันออก

สุโขทัย – สถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเป็น 65 รายต้องเปิดใช้โรงพยาบาลสนามขณะที่ผู้มีความเสี่ยงสูงทยอยออกมาตรวจเชื้อ ผู้ว่าฯสั่งใช้มาตรการเข้มพร้อมทำความสะอาดสถานที่เสี่ยง

วันนี้ (23 เม.ย.64) เวลา 13.30 น.นายวิรุฬ  พรรณเทวี ผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัย พร้อมด้วยนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดสุโขทัยและคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดสุโขทัยลงพื้นที่โรงพยาบาลสุโขทัยเพื่อตรวจเยี่ยมการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ของรถพระราชทานเก็บตัวอย่างชีวนิรภัยที่มีประชาชนที่มีความเสี่ยงสูงและสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยได้เดินทางมาขอตรวจหาเชื้อกันเป็นจำนวนมาก

สำหรับสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 ของสุโขทัยวันนี้พบมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นรวมเป็น 65 รายมีการแพร่กระจายสู่กลุ่มเครือญาติ และครอบครัว โดยผู้ป่วยได้กระจายเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลต่างๆ จังหวัดสุโขทัยจึงได้เปิดใช้โรงพยาบาลสนามที่ใช้อาคารชวนชม มหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ วิทยาเขตสุโขทัยเป็นที่ตั้ง เพื่อดูแลผู้ป่วยโควิด-19 ที่มีอาการไม่มาก มีหมอและพยาบาลคอยสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด

 ขณะที่ผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัยสั่งการให้ใช้มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดและควบคุมโรคโควิด 19 อย่างเคร่งครัด เน้นย้ำออกนอกบ้านต้องใส่หน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าตลอดเวลา พร้อมให้ทำความสะอาดใช้น้ำยาฆ่าเชื้อโรคในสถานที่มีความเสี่ยงเช่นสถานที่ราชการ ห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร ตลาดสด อีกด้วย


ภาพ/ข่าว  วิชัย  สิทธิพันธ์  / สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดสุโขทัย  

สระแก้ว – จนท.ชี้แจงผู้ค้าชาวกัมพูชามาแสดงอัตลักษณ์ หลังรัฐบาลประกาศขยายเวลา แสดงอัตลักษณ์แรงงาน 3 สัญชาติ

ผู้กำกับการตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดสระแก้ว พร้อมเจ้าหน้าที่ในสังกัดลงพื้นที่ตลาดโรงเกลือ เร่งประชาสัมพันธ์ให้พ่อค้าแม่ค้าชาวกัมพูชามาแสดงอัตลักษณ์ หลังรัฐบาลประกาศขยายเวลาแสดงอัตลักษณ์แรงงาน 3 สัญชาติออกไปเป็นวันที่ 16 มิ.ย.64 โดยไม่มีค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด ขณะที่จังหวัดสระแก้วมีแรงงานที่ขึ้นทะเบียนไว้แล้ว 2.6 หมื่นคนแต่มีมาแสดงอัตลักษณ์เพียง 50 เปอร์เซ็นเท่านั้น

เมื่อเวลา 10.00 น.ของวันที่ 23 เม.ย.64 ที่ ตลาดโรงเกลือ อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว พันตำรวจเอกรุ่ง ทองมนต์ ผู้กำกับการตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดสระแก้ว พร้อมเจ้าหน้าที่ในสังกัดจำนวนกว่า 20 นาย นำแผ่นพับเขียนข้อความขั้นตอนแสดงอัตลักษณ์ประชาสัมพันธ์ให้พ่อค้าแม่ค้าชาวกัมพูชา ไปทำการแสดงอัตลักษณ์ ที่ ด่านตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดสระแก้ว เนื่องจากรัฐบาลไทยได้มีมติขยายเวลาแสดงอัตลักษ์แรงงาน 3 สัญชาติออกไปเป็นวันที่ 16 มิ.ย.64 โดยไม่มีค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด ซึ่งการลงพื้นที่ในครั้งนี้ทำให้พ่อค้าแม่ค้าชาวกัมพูชาจำนวนมาก เข้าใจถึงความจำเป็นของการแสดงอัตลักษณ์ และพร้อมที่จะไปทำการแสดงอัตลักษณ์กับเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดสระแก้ว

ด้าน พันตำรวจเอกรุ่ง ทองมนต์ ผู้กำกับการตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดสระแก้ว กล่าวว่า วันนี้ทางเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดสระแก้ว ได้ลงพื้นที่ตลาดโรงเกลือ เพื่อเร่งประชาสัมพันธ์ เนื่องจาก ครม.มีมติขยายเวลาจัดเก็บอัตลักษณ์แรงงาน 3 สัญชาติออกไปเป็นวันที่ 16 มิ.ย.64 สำหรับในส่วนของจังหวัดสระแก้วมีแรงงานต่างชาติมาขึ้นทะเบียนไว้กับจัดหางานจังหวัดสระแก้วทั้งหมดจำนวน 26,000 คน ซึ่งตอนนี้มีมาแสดงอัตลักษณ์กับตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดสระแก้วเพียง 13,000 คนเท่านั้น ปัญหาที่เกิดขึ้นคือแรงงานส่วนใหญ่ไม่เข้าใจในขั้นตอนต่างๆรู้เพียงว่าเมื่อทำหนังสือกับจัดหางานจังหวัดแล้วก็เสร็จสิ้นสมบูรณ์ ซึ่งการลงพื้นที่ในครั้งนี้ทำให้รู้ปัญหาต่าง ๆ มากขึ้น

ผู้กำกับการตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดสระแก้ว กล่าวอีกว่า ส่วนที่กำลังมีกระแสข่าวเจ้าเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดสระแก้วเรียกรับเงินนั้น ขอยืนยันเลยว่าไม่มีอย่างแน่นอน หากมีหรือพบบุคคลที่แอบอ้างขอให้บันทึกภาพเก็บส่งให้เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดสระแก้วได้เลย ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดสระแก้วจะประสานเจ้าหน้าที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควบคุมตัวดำเนินคดีทันที


ภาพ/ข่าว  สมศักดิ์ สารการ / วีระยุทธ สารการ  /บูรพาทีวีออนไลน์ รายงาน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top