Friday, 6 June 2025
SPECIAL

นราธิวาส - พัฒนาการจังหวัดนราธิวาส ติดตามผลการดำเนินงานโครงการพัฒนาพื้นที่ต้นแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิตตามหลักทฤษฎีใหม่ ประยุกต์สู่ “โคก หนอง นา โมเดล”

นายอับดุลนัสเซอร์ หะมิ  พัฒนาการอำเภอรือเสาะ จังหวัดนราธิวาส เปิดเผยว่า นายอนันต์  แสงชาตรี พัฒนาการจังหวัดนราธิวาส พร้อมด้วยนางสาวณัฐชยา  ศรีดำ  ผู้อำนวยการกลุ่มงานยุทธศาสตร์การพัฒนาชุมชน  สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดนราธิวาส  ติดตามผลการดำเนินงานโครงการพัฒนาพื้นที่ต้นแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิตตามหลักทฤษฎีใหม่ ประยุกต์สู่ “โคก หนอง นา โมเดล” และโครงการพัฒนาหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียง กิจกรรมการพัฒนาศูนย์เรียนรู้ทฤษฎีใหม่รูปแบบ “โคก หนอง นา โมเดล”  เพื่อสร้าง ปรับปรุง และพัฒนาพื้นที่ให้เป็นแหล่งเรียนรู้ให้กับประชาชนในรูปแบบ “โคก หนอง นา โมเดล” ณ  พื้นที่อำเภอรือเสาะ  จังหวัดนราธิวาส

ก่อนลงพื้นที่ได้มีการประชุมชี้แจงกับเจ้าหน้าที่พัฒนาชุมชน จำนวน 7 คน, นักพัฒนาพื้นที่ต้นแบบ(นพต.) จำนวน 14 คน,นักพฒนารัฐบาลดิจิตอล(นพร.) จำนวน 5 คน ซึ่งอำเภอรือเสาะมีผู้สนใจเข้าร่วมโครงการจำนวนมาก รวม 56 แปลง มีขนาดทั้งขนาดพื้นที่ 1 ไร่ 3 ไร่ 5 ไร่และ 15 ไร่ ซึ่งทุกรายที่เข้าร่วมโครงการฯ ต้องการพัฒนาพื้นที่ให้เป็นประโยชน์ เป็นศูนย์เรียนรู้ของหมู่บ้าน และที่สำคัญคือ การได้ทำงานสนองพระราชดำริ โครงการทฤษฎีใหม่ ของในหลวง เป็นความภาคภูมิใจของตนเองและครอบครัว สามารถสร้างความสุขทั้งใจได้

นายอนันต์  แสงชาตรี  พัฒนาการจังหวัดนราธิวาส  กล่าวว่า  จังหวัดนราธิวาสได้รับการจัดสรรงบประมาณเพื่อดำเนินงานโครงการพัฒนาพื้นที่ต้นแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิตตามหลักทฤษฎีใหม่ ประยุกต์สู่ “โคก หนอง นา โมเดล” ในพื้นที่ 11 อำเภอของจังหวัด 39 ตำบล 74 ครัวเรือน และดำเนินงานโครงการพัฒนาหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียง  กิจกรรมการพัฒนาศูนย์เรียนรู้ทฤษฎีใหม่รูปแบบ “โคก หนอง นา โมเดล” ในพื้นที่ 13 อำเภอของจังหวัด 66 ตำบล  213  หมู่บ้าน  ซึ่งในการติดตามผลการดำเนินงานในครั้งนี้เพื่อติดตามความก้าวหน้าการดำเนินงาน  ปัญหา อุปสรรคและข้อเสนอแนะต่าง ๆ ในระดับพื้นที่ และลงพื้นที่เยี่ยมเยือนแปลงครัวเรือนเป้าหมายที่กำลังดำเนินการขุดปรับพื้นที่ตามโครงการฯ 

สำหรับการลงพื้นที่เยี่ยมเยือนครัวเรือนเป้าหมายในการดำเนินงานในวันนี้  ได้ลงพื้นที่แปลงของนายอาบ๊ะ  ดาระแม หมู่ที่1 บ้านสะแนะ และนายมูฮำหมัดรุสลัน บือราเฮง หมู่ที่ 7 บ้านตือโละ ตำบลเรียง อำเภอรือเสาะ จังหวัดนราธิวาส


ภาพ/ข่าว.แวดาโอ๊ะ หะไร จ.นราธิวาส

อยุธยา – เทศบาลนครพระนครศรีอยุธยา ปล่อยขบวนรถพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อ ในพื้นที่เกาะเมือง เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับพี่น้องประชาชน

วันที่ 24 เมษายน ที่วัดศาลาปูนวรวิหาร นายศรัณย์ สุขเกษม ปลัดเทศบาลนครพระนครศรีอยุธยา รักษาการนายกเทศมนตรีเทศบาลนครพระนครศรีอยุธยา ว่าที่ร้อยตรีสมทรง สรรพโกศลกุล อดีตนายกเทศมนตรีเทศบาลนครพระนครศรีอยุธยา นายกฤษณ์ เถี่ยนมิตรภาพ อดีตรองนายกเทศมนตรีเทศบาลนครพระนครศรีอยุธยา ในนามตัวแทนจิตอาสาชาวจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ร่วมกัน ทำพิธีปล่อยขบวนรถ พ่นน้ำยาฆ่าเชื้อ ป้องกันโรคโควิด-19 โดยมีพระครูอนุกูลศาสนกิจ เจ้าคณะอำเภอพระนครศรีิยุธยา เจ้าอาวาสวัดศาลาปูนวรวิหาร มาเป็นองค์ประธานเทน้ำยาฆ่าเชื้อเพืื่อความเป็นศิริมงคลให้กับคณะทีมงานด้วย

นายศรัณย์ สุขเกษม ปลัดเทศบาลนครพระนครศรีอยุธยา รักษาการนายกเทศมนตรีเทศบาลนครพระนครศรีอยุธยา กล่าวว่า การดำเนินการครั้งนี้เพื่อเป็นสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยทางเทศบาลนครพระนครศรีอยุธยาได้สั่งซื้อรถพ่นน้ำฆ่าเชื้อจำนวน 6 คัน พร้อมทั้งได้มีการดัดแปลงรถดับเพลิงเก่าขนาดความจุขนาด 12,000 ลิตร มาใช้งานพ่นน้ำยาเชื้อฆ่าในครั้งนี้ และได้ระดมเจ้าหน้าที่เทศกิจ เข้าพื้นที่พ่นฆ่าเชื้อโควิด-19 เพื่อป้องกันการแพร่ระบาด ขอให้พี่น้องประชาชนสบายใจกับแผนดำเนินของเทศบาลนครพระนครศรีอยุธยา โดยจะออกพ่นยาฆ่าเชื้อในวันจันทร์วันพุธและวันศุกร์จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย

ว่าที่ร้อยตรีสมทรง สรรพโกศลกุล อดีตนายกเทศมนตรีเทศบาลนคร กล่าวว่า ตนเองในฐานะตัวแทนจิตอาสาชาวจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เห็นความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนจึงได้ประสานงานกับเทศบาลนครพระนครศรีอยุธยาให้เร่งเข้ามาดูแลความเดือดร้อนของพี่น้องชาวจังหวัดพระนครศรีอยุธยาโดยเฉพาะในเกาะเมืองพระนครศรีอยุธยาที่เป็นพื้นที่เศรษฐกิจ ต้องดูแล ให้มีความปลอดภัยและห่างไกลจากโรคโควิดและ ได้ประสานกับทางวัดศาลาปูน โดยพระครูอนุกูลศาสนกิจ ในการอนุเคราะห์อาคารโรงเรียนเก่าของวัดศาลาปูนให้เป็นศูนย์พักฟื้น ผู้ป่วยโควิด-19 ที่เป็นพระสงฆ์หรือผู้สูงอายุ มาพักรักษาตัวด้วย


ภาพ/ข่าว  สุจินดา อุ่นขาว  รายงานจากอยุธยา

ลพบุรี – ทหารรบพิเศษ ระดมช่วยบริจาคโลหิตให้กับสภากาชาดไทยในยามวิกฤติ

กรมรบพิเศษที่ 3 รักษาพระองค์ นำกำลังพลจิตอาสา ร่วมใจบริจาคโลหิต แก้วิกฤต COVID-19 เพื่อเป็นโลหิตสำรองในห้วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ระลอกใหม่

จากวิกฤติของการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ระลอกใหม่ เดือนเมษายนที่ผ่านมา พบผู้ติดเชื้อในประเทศไทยเพิ่มสูงขึ้น ทำให้ปริมาณโลหิตสำรองของสภากาชาดไทยลดลง อีกทั้งสถานการณ์ของการแพร่ระบาดของไวรัสทำให้ประชาชนไม่สะดวกในการไปบริจาคโลหิต ส่งผลกระทบทำให้ปริมาณโลหิตสำรองไม่เพียงพอต่อความต้องการของโรงพยาบาลทั่วประเทศ

ด้าน พ.อ.อินทนนท์  รัตนกาฬ ผู้บังคับการกรมรบพิเศษที่ 3 รักษาพระองค์ ค่ายเอราวัณ จังหวัดลพบุรี ได้จัดกำลังพลจิตอาสา เราทำความดีด้วยหัวใจ ของหน่วยที่มีสุขภาพแข็งแรง ไม่เข้าข่ายผู้มีความเสี่ยงติดเชื้อไวรัส “COVID-19” จำนวน 10 นาย สนับสนุนการดำเนินงานของสภากาชาดไทย ตามนโยบายของกองทัพบก ในโครงการ " กองทัพไทย ร่วมใจบริจาคโลหิต แก้วิกฤต COVID-19 ” ณ  สำนักงานภาคบริการโลหิตแห่งชาติ ที่ 2 จังหวัดลพบุรี เพื่อบรรเทาความเดือนร้อน ของระบบโลหิตสำรอง ในการรักษาผู้ป่วยในสถานการณ์ปัจจุบัน ให้มีเพียงพอในการรักษาผู้ป่วย ซึ่งความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องระดมโลหิตเข้าสู่ระบบให้เร็วที่สุด อีกทั้งยังเป็นการปฏิบัติตามนโยบาย ของผู้บัญชาการทหารบก ที่ให้กำลังพลของกองทัพบกทุกนาย ต้องดูแลห่วงใยและให้ความช่วยเหลือประชาชนได้ในทุกโอกาส

โดยมีจำนวนโลหิตที่ได้รวม ทั้งสิ้น 4,500 ซีซี ซึ่งการบริจาคโลหิตในครั้งนี้ ถือเป็นไปตามมาตรการที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดอย่างเคร่งครัด มีการคัดกรองและเฝ้าระวังการแพร่ระบาด ของเชื้อไวรัส COVID -19 ในสถานที่รับบริจาคโลหิต เพื่อป้องกันการถ่ายทอดโรคติดเชื้อ COVID-19 ทางโลหิต และเพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วยที่ต้องรับโลหิตจากการรักษาพยาบาล

ซึ่งสำนักงานภาคบริการโลหิตแห่งชาติ ที่ 2 จังหวัดลพบุรี ได้เปิดรับบริจาคโลหิตทุกวัน โดยไม่เว้นวันหยุดราชการ สำหรับโลหิตที่ได้ จะถูกนำไปใช้เป็นโลหิตสำรอง เพื่อส่งต่อโลหิตที่ปลอดภัย สำหรับใช้ดูแลรักษาผู้ป่วย ในโรงพยาลต่างๆ ในพื้นที่จังหวัดลพบุรี และจังหวัดใกล้เคียง ในพื้นที่รับผิดชอบ รวม 8 จังหวัด ของสำนักงานภาคบริการโลหิตแห่งชาติ ที่ 2 ในโอกาสต่อไป


ภาพ/ข่าว  กฤษณ์  สนใจ

ตราด – คุมเข้มชายแดนหาดเล็ก สกัดโควิด-19 จากต่างด้าวลักลอบเข้าเมือง

ข่าว ที่ชายแดนไทยกัมพูชาบ้านหาดเล็ก ต.หาดเล็ก อ.คลองใหญ่ จ.ตราด จุดผ่านแดนถาวรบ้านหาดเล็ก เจ้าหน้าที่ทั้งฝ่ายทหารหน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธิน 182 บ้านหาดเล็ก ด่านตรวจคนเข้าเมืองคลองใหญ่ ด่านศุลกากรคลองใหญ่ เจ้าหน้าที่สาธารณสุข ร่วมกันตรวจเข้มการผ่านเข้าออกของรถขนส่งสินค้าที่อนุโลมให้ขนส่งสินค้าผ่านเข้าออกชายแดนได้ อีกทั้งยังจัดกำลังทหารออกทการลาดตระเวนตามแนวชายแดนเส้นทางธรรมชาติชายแดนไทยกัมพูชาด้านเขาบรรทัดต.หาดเล็ก ต.คลองใหญ่ อ.คลองใหญ่ จ.ตราดด้วย

ทั้งนี้ด้วยผู้บัญชาการกองกําลังหน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธิน 182 สั่งคุมเข้มตลอดแนวชายแดน ในการสกัดแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าประเทศหวังป้องกันโควิด-19 ที่กลับมาระบาดในประเทศเพื่อนบ้าน จากสถานการณ์โควิด-19 ในปัจจุบันประเทศไทยมาเริ่มมียอดผู้ป่วยรายวันสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ทางการไทยได้เพิ่มมาตรการเข้มงวดบริเวณด่านชายแดนบ้านหาดเล็กเนื่องจากเกรงว่าจะมีแรงงานต่างด้าวลักลอบหนีเข้าประเทศไทย และทำให้เกิดการแพร่เชื้อโควิด-19 ในประเทศ ส่งผลให้เกิดการระบาดระลอกที่ 3 ที่กําลังมีความรุนแรงมากกว่าเดิม โดย น.ต.ปรัชญ แสงแก้ว ผบ.ฉก.นย.182 บ้านหาดเล็ก เปิดเผยว่า ได้สั่งการกําลังพลและให้ทุกหน่วยขึ้นตรงกองกำลังหน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธิน 182 ให้เพิ่มมาตรการและการวางกำลัง จุดตรวจ/จุดสกัด ตลอดแนวชายแดนฝั่งเขากวดขันสกัดกั้น การลักลอบนำยาเสพติดและลักลอบขนแรงงานต่างด้าวตามช่องทางธรรมชาติ จากฝั่งประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาในประเทศไทยอย่างต่อเนื่องตลอดทุกวันในการเดินราดตะเวรตามเทือกเขา จากนั้นตามด่านชายแดนจุดเข้าออกก็ได้ร่วมกันตรวจเข้มงวดยิ่งกว่าเก่าเพื่อเป็นการควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศตามชายแดนหาดเล็ก

โดยแฉล้ม อิ่มอุไร เจ้าหน้าที่ควบคุมดูแลการตรวจโรคโควิด-19 เพื่อความปลอดภัยของคนขับรถส่งสินค้าเข้าออก พร้อมด้วย พ.ต.อ.เบญจพล รอดสวาสดิ์ ผกก.ต.ม.จว.จ.ตราด ได้ตรวจคันหนังสือเดินทางเข้าออกระหว่างชายแดนร่วมกับด่านศุลกากร ทหาร ตํารวจ และหน่วยควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลต่อไป/ภาพ/ข่าว วิเชียร ม่วงสี ผู้สื่อข่าวภูมิภาค จ.ตราด

นนทบุรี – อดีตตำรวจจราจร ป่วยเป็นโรคเครียด ผันตัวเป็นพ่อค้าก๋วยเตี๋ยวกัญชา สร้างรายได้เลี้ยงครอบครัว

หลังจากสถานการณ์การแพร่เชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 หรือโควิด-19 หลากหลายอาชีพประสบปัญหาทางด้านเศรษฐกิจ ดต.ฐนกร สวนหอม อายุ 54 ปี อดีตตำรวจจราจร สน.พญาไท หลังจากขอเกษียญราชการก่อนอายุราชการ ผันตัวเองมาเป็นพ่อค้าขายก๋วยเตี๋ยวเนื้อ ย่านดุสิต ขื่อร้านเนื้อตุ๋นกัญ โอชา โดยคว้าโอกาสหลังรัฐบาลปลดล็อคพืชกัญชา ให้นำมาเป็นส่วนผสมในอาหารได้ จึงได้คิดค้นก๋วยเตี๊ยวเนื้อรสเด็ด ผสมใบกัญชา เรียกลูกค้าได้อย่างมากมาย ถือเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการทำมาหากิน ในยุคที่เศรษฐกิจฝืดเคืองได้เป็นอย่างดี

ดต.ฐนกร สวนหอม เจ้าของร้าน เปิดเผยว่า เพิ่งเปิดร้านขายก๋วยเตี๋ยวมาได้ประมาณ 1 เดือน หลังมีการประกาศคลายล็อคพืชกัญชา จึงไดผันตัวเองมาเป็นพ่อค้าขายก๋วยเตี๋ยวเพื่อหาเลี้ยงครอบครัว โดยที่ร้านจะขายเฉพาะเมนูเนื้อวัวอย่างเดียว มีทั้งก๋วยเตี๋ยวเนื้อผสมกัญชา โดยใช้เนื้อวัวสด ตับ หัวใจ เอ็นตุ๋น เนื้อตุ๋น ขอบกระด้ง สไบนาง และลูกชิ้น นอกจากนี้ยังมีเนื้อโคขุนย่างไว้ทานเล่น คู่กับน้ำชากัญชา ราคาไม่แพงก๋วยเตี๋ยวชามละ 60 บาท พิเศษ 80 บาท เกาเหลา ชามละ 80 บาท ข้าวเปล่า 10 บาท เนื้อปิ้งไม้ละ 10 บาท และน้ำชากัญชาขวดละ 25 บาท เปิดขายทุกวันตั้งแต่เวลา 09.00 น.ถึง 21.00 น. ร้านเนื้อตุ๋นกัญ โอชา ตั้งอยู่เลขที่ 105 ถนนนครไชยศรี แขวงถนนนครไชยศรี เขตดุสิต กทม. ใกล้โรงหนังจันทิมาเก่า

ดต.ฐนกร กล่าวเพิ่มเติมว่า สาเหตุที่มาเปิดร้านก๋วยเตี๋ยวผสมกัญชา เริ่มจากตนเองป่วยเป็นโรคเครียด รักษาด้วยแพทย์แผนไทยใช้น้ำมันกัญชา หลังเออร์รี่ออกจากราชการจุงคิดประกอบอาชีพ และคิดว่าจะทำอาหารที่มีส่วนผสมกัญชาเพื่อช่วยให้คนได้คลายเครียดด้วย จึงได้ไปค้นหาในอินเตอร์เน็ตและได้ติดต่อขอซื้อใบกัญชาที่ถูกต้องจากแหล่งที่ได้รับอนุญาตมาเป็นส่วนผสมในก๋วยเตี๋ยว และทำน้ำชากัญชา ผลตอบรับจากลูกค้าดีมากให้ความสนใจเข้ามาลองชิมแน่นร้านทุกวัน ใครที่อยากทดลองชิมก๋วยเตี๋ยวกัญชาสามารถเดินทางมาที่ร้านได้ข้างซอยโรงหนังจันทิมาเก่า หรือโทร.จองโต๊ะได้ที่เบอร์ 0992863344 และ 0854946665 เปิดขายทุกวันไม่มีวันหยุด จากผลตอบรับของลูกค้าเป็นอย่างดี ดต.ฐนกร เล็งขยายสาขาเพิ่มอีกหนึ่งแห่งในพื้นที่ จ.นนทบุรี

นราธิวาส – ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 48 เดินทางตรวจเยี่ยมกำลังพล ที่ปฏิบัติหน้าที่เฝ้าป้องกันชายแดนไทย-มาเลเซีย ที่ชายแดนอำเภอสุไหงโก-ลก

พันเอกเอกพล เลขนอก ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 48  เดินทางไปตรวจเยี่ยม พบปะ พูดคุย และให้กำลังใจ พร้อมสอบถามปัญหาข้อขัดข้องเกี่ยวกับความเป็นอยู่ของกำลังพล ร้อย.ทพ.4802 ฉก.ทพ.48 ซึ่งสนับสนุน ฉก.นราธิวาส 30 ขึ้นควบคุมยุทธการกับ ร้อยป้องกันชายแดนที่ 3 ทำการลาดตระเวนเฝ้าตรวจและควบคุมจุดท่าข้ามต่าง ๆ ในพื้นที่เพื่อแสดงกำลัง กดดัน และสกัดกั้นการลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย ทั้งแรงงานต่างด้าวและคนไทยที่เดินทางมาจากฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน ตามช่องทางธรรมชาติ

พร้อมกับชี้แจงข้อมูลข่าวสาร และประชาสัมพันธ์ ให้คำแนะนำการป้องกันและควบคุมโรคไววัส โควิด-19  พร้อมแจ้งเตือน ข่าวความเคลื่อนไหวของกลุ่ม ผู้ก่อการร้ายที่หลบหนีเข้ามาในห่วงที่ประเทศมาเลเชียผลักดันแรงงานต่างชาติออกนอกประเทศจากกรณีที่ทางการมาเลเซีย ขีดเส้นตายให้ชาวต่างชาติที่อยู่ในประเทศมาเลเซีย ที่ขาดวีซ่าหรืออยู่แบบผิดกฎหมาย ต้องเดินทางออกจากประเทศมาเลเซียให้หมด เนื่องจากเป็นมาตรการการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19  ของประเทศมาเลเซีย ณ. บ.ตือระ ม.2 ต.ปาเสมัส อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส บริเวณพิกัด RG 30692 68168  ผลการปฏิบัติ เป็นด้วยความเรียบร้อย


ภาพ/ข่าว  แวดาโอ๊ะ หะไร  จ.นราธิวาส

ชลบุรี - รมว.สุชาติ ลุยเปิดโครงการแรงงาน ‘เราสู้ด้วยกัน’ ตรวจโควิด-19 เชิงรุก เพื่อผู้ประกันตนฟรี

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดโครงการแรงงาน เราสู้ด้วยกัน บูรณาการตรวจคัดกรองโควิด-19 เพื่อผู้ประกันตน มาตรา 33,39,40 ในพื้นที่สีแดง เพิ่มช่องทางหรือทางเลือกเพื่อบริการผู้ประกันตนให้ได้รับการตรวจอย่างรวดเร็ว ลดความแออัดหรือรอคิวนาน และไม่เสียค่าใช้จ่าย โดยเปิดบริการตรวจตั้งแต่วันที่ 24 -30 เมษายนนี้ เริ่มรับบัตรคิวเวลา 06.00 น. เริ่มตรวจเวลา 08.00 น.วันละ 200 คน โดยให้ผู้ประกันตนนำบัตรประจำตัวประชาชนและสำเนาบัตรประจำตัวประชาชน จำนวน 3 ฉบับ พร้อมเซ็นต์รับรองสำเนาถูกต้องมาด้วย ณ โรงพยาบาลวิภาราม อมตะนคร จังหวัดชลบุรี

เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2564 เวลา 10.00 น.นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานเปิดโครงการแรงงาน เราสู้ด้วยกัน บูรณาการตรวจคัดกรองโควิด-19 เพื่อผู้ประกันตน ณ โรงพยาบาลวิภาราม อมตะนคร จังหวัดชลบุรี โดยมี นายสุรชัย ชัยตระกูลทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน นายสุเทพ ชิตยวงษ์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พล.ต.ต. นันทชาติ ศุภมงคล ประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี นายรณเทพ อนุวัฒน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดชลบุรี นายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงาน นายภัครธรณ์ เทียนไชย ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี นายธวัชชัย ศรีทอง รองผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี  นายทศพล กฤตวงศ์วิมาน เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม นาวาตรี วิทวัส กู้ประเสริฐ ประกันสังคมจังหวัดชลบุรี นายแพทย์ธนู ลอบันดิส ผู้อำนวยการโรงพยาบาลวิภาราม อมตะนคร พร้อมด้วยผู้บริหารกระทรวงแรงงาน ผู้บริหารสำนักงานประกันสังคม เข้าร่วมในครั้งนี้ด้วย

นายสุชาติ กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีความห่วงใยผู้ประกันตนจากกรณีการแพร่ระบาดของโควิด -19  จึงกำชับกระทรวงแรงงาน บูรณาการร่วมกับมหาดไทย และ สปสช. เพิ่มช่องทางหรือทางเลือกเพื่อบริการผู้ประกันตนให้ได้รับการตรวจอย่างรวดเร็ว ลดความแออัดหรือรอคิวนาน ในวันนี้ผมในฐานะ รมว.แรงงาน และคณะหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงได้ลงพื้นที่เป็นประธานเปิดโครงการแรงงาน เราสู้ด้วยกัน ตรวจคัดกรองโควิด-19 เพื่อผู้ประกันตนในจังหวัดชลบุรี ซึ่งเป็นโครงการประสานความร่วมมือ ระหว่างกระทรวงแรงงาน โดยสำนักงานประกันสังคมจังหวัดชลบุรี ร่วมกับ สปสช.เขต 6 สาธารณสุขจังหวัดชลบุรี และโรงพยาบาลวิภาราม อมตะนคร จังหวัดชลบุรี เพื่อเป็นหน่วยบริการตรวจคัดกรองโควิด-19 ในจังหวัดพื้นที่สีแดงหรือพื้นที่ควบคุมสูงสุด ลดความแออัดและอำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกันตนตามมาตรา 33,39 และ 40 ที่อยู่ในพื้นที่ จ.ชลบุรี โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

นายสุชาติ ยังกล่าวต่อว่า ในการตรวจคัดกรองผู้ประกันตนกลุ่มเสี่ยง ในพื้นที่จังหวัดชลบุรี เริ่มเปิดให้บริการ ตั้งแต่วันนี้ (24 เม.ย.64) จนถึงวันที่ 30 เมษายน 2564 ณ โรงพยาบาลวิภาราม อมตะนคร โดยสามารถให้บริการตรวจคัดกรองฯได้วันละ 200 คน ทั้งนี้ ผู้ประกันตนตามมาตรา 33,  39 และ 40 ที่มีความเสี่ยงสูงตามหลักเกณฑ์ของ สปสช. สามารถเดินทางมาที่โรงพยาบาลวิภาราม อมตะนคร เพื่อเข้ารับการตรวจได้ โดยเริ่มรับบัตรคิวตรวจ เวลา 06.00 น. และโรงพยาบาลจะเริ่มให้บริการตรวจในเวลา 08.00 น. ทั้งนี้ ขอให้ผู้ประกันตน เตรียมบัตรประจำตัวประชาชน และสำเนาบัตรประจำตัวประชาชน จำนวน 3 ฉบับ พร้อมเซ็นต์รับรองสำเนาถูกต้อง เพื่อความรวดเร็วในการเข้ารับบริการ ซึ่งทางโรงพยาบาลจะทำการสอบสวนโรค และคัดกรอง หากเข้าหลักเกณฑ์ จะได้เข้ารับการตรวจ โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด

ทั้งนี้ โครงการดังกล่าว เป็นการดูแลผู้ประกันตนที่ติดเชื้อโควิด-19 ให้ได้รับการตรวจรักษาอย่างรวดเร็ว และเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนนโยบายรัฐบาลในการลดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ของประเทศอีกทางหนึ่งด้วย


ภาพ/ข่าว  นิราช / นันทพล ทิพย์ศรี ก012 ชลบุรี

AQ (Adversity Quotient) ช่วยให้คุณปรับตัวได้เร็ว เมื่อโลกถูก Disruptions

AQ (Adversity Quotient) ช่วยให้คุณปรับตัวได้เร็ว เมื่อโลกถูก Disruptions คนที่รอดคือคนที่ปรับตัวได้เร็ว สามารถฟันฝ่าอุปสรรคและไปต่อได้ IQ และ EQ ไม่เพียงพอต่อการรับมือกับสถานการณ์ปัจจุบันอีกต่อไป

AQ (Adversity Quotient) คือ ความสามารถในการฟันฝ่าปัญหาอุปสรรค ความฉลาดในการแก้ไขปัญหา มีความยืดหยุ่น สามารถปรับตัวในการเผชิญปัญหาได้ดี และมีความพยายามหาหนทางแก้ไขปัญหาอย่างไม่ท้อถอย การเอาชนะอุปสรรคเพื่อบรรลุเป้าหมายในที่สุด

ความสามารถในการตอบสนองต่อปัญหาอุปสรรคนั้น มีทั้งความอดทนต่อความเจ็บปวด ทั้งด้านความยากลำบากทางกาย ความอดกลั้นทางด้านจิตใจ และจิตวิญญาณ ที่สามารถเผชิญและเอาชนะเพื่อบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ เมื่อต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วและไม่มีความแน่นอน

ด้วยคุณสมบัติของ AQ จะช่วยให้ทุกคนมีศักยภาพในการดำเนินต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง

สตอลต์ (Paul G.Stoltz, Ph.D.) เป็นผู้เสนอแนวความคิด และแนวทางพัฒนาศักยภาพด้าน เอคิว (AQ) ขึ้น และปรับใช้กับวงการการศึกษา

ความเข้าใจแนวความคิดด้านเอคิว (AQ) ทำให้เข้าใจถึงวิธีที่บุคคลตอบสนองต่ออุปสรรคหรือสิ่งท้าทายตลอดทุกแง่มุมของชีวิต เปรียบได้กับการไต่เขา มีบันได 3 ขั้น ได้แก่

ขั้นที่หนึ่ง คือ การจินตนาการความเป็นไปได้ที่ดีกว่าที่คาดหมายว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต ( Dream the Dream )

ขั้นที่สอง คือ แปลงสิ่งที่จินตนาการให้เป็นวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน ( Making the Dream the Vision )

ขั้นที่สาม คือ การคงสภาพวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนนั้นจนกว่าจะดำเนินการจนบรรลุเป้าหมาย ( Sustaining the Vision )

อย่าลืมว่าหัวใจของเอคิว (AQ) คือดำเนินต่อไปไม่หยุดยั้ง ไม่ท้อถอย ดังเช่น โธมัส เอดิสัน ใช้เวลาถึง 20 ปี ทำการทดลองผลิตแบตเตอรีต้นแบบ ที่เบาทนทาน ด้วยการทดลองห้าหมื่นกว่าครั้ง มีผู้สงสัยว่าเขาอดทนทำเช่นนั้นได้อย่างไร เขาตอบว่า การทดลองทั้งห้าหมื่นครั้งทำให้เขาเรียนรู้ความล้มเหลว

ตั้งห้าหมื่นกว่าแบบ เป็นเหตุให้เขาประสบความสำเร็จดังกล่าวได้ จะเห็นได้ถึงทัศนคติที่เปี่ยมไปด้วยพลังของความอดทน ความพยายาม ไม่ท้อถอย ปรับตัวเพื่อรับมือต่ออุปสรรคนับครั้งไม่ถ้วน จนบรรลุเป้าหมาย

เทคนิคการสร้าง AQ ง่ายๆ ต้องมี Mindset อย่างไร?

“มองปัญหาให้เป็นโอกาส” คีย์สำคัญของการพัฒนา AQ

CORE

C = CONTROL สามารถควบคุมสถานการณ์ และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้

O = OWNERSHIPS ความเป็นเจ้าของปัญหาอยู่ที่ตัวเรา

R = REACH คิดว่าปัญหาทุกประเภทมีทางแก้ไข ไม่ใช่หมดหนทางแล้ว

E = ENDURANCE มีความอดทน ทนทานต่อปัญหาต่างๆ มองโลกในแง่ดี ไม่วู่วาม

มาถึงตอนนี้คงจะเห็นได้แล้วว่า เอคิว (AQ) นั้น มีประโยชน์ต่อสังคมโลกอย่างไร

และหากเด็กได้รับการพัฒนาความคิดดังกล่าว จะเป็นประโยชน์ต่อเด็กและสังคมอย่างมาก จึงไม่น่าแปลกใจที่รัฐบาลประเทศสิงคโปร์ให้ความสำคัญต่อสิ่งนี้มาก นอกจากนี้ ได้มีการศึกษาถึง อานิสงค์แห่งการคงไว้ซึ่งเอคิว (AQ) ใน 3 ลักษณะคือ

1.) ทำให้บุคคลนั้นมีความคล่องตัวอยู่เสมอ ไม่เหี่ยวเฉา กระตือรือร้นตลอดเวลา การฝึกสมองอยู่ตลอดเวลาทำให้เซลล์สมองพัฒนาการเชื่อมโยงเซลล์ประสาทตลอดเวลา ทำให้มีความคิดความจำที่ดีอยู่ตลอด

2.) เป็นคนมองโลกในแง่ดีเสมอ มาติน เซลิกมาน (Martin Seligman) ได้ศึกษาตัวแทนประกันชีวิตเป็นเวลา 5 ปี พบว่าผู้มองโลกในแง่ดี มีผลงานขายประกันสูงกว่าผู้มองโลกในแง่ร้าย ถึงร้อยละ 88

3.) งานวิจัยด้านระบบจิตประสาทภูมิคุ้มกัน (Psycho- neuroimmunology) พบว่า วิธีการตอบสนองต่ออุปสรรค มีความสัมพันธ์ทางตรงกับ สุขภาพกายและสุขภาพจิต ผู้ที่มีจิตใจต่อสู้อย่างไม่ย่อท้อ ทำให้มีภูมิคุ้มกันต่อความเจ็บป่วยดีขึ้น

ในอดีตที่ผ่านมา โลกของเรา ประเทศไทยของเรา ก็เคยผ่านวิกฤติมานับครั้งไม่ถ้วน เช่น สงครามโลก ภัยแล้ง โรคระบาด ทุกครั้งก็จะมีคนล้มหายตายจาก และทุกครั้งก็จะมีคนที่รอด ในครั้งนี้ โรคระบาดระลอกที่ 3 เราจะเป็นฝ่ายไหน ระหว่าง รอดกับไม่รอด

อย่างไรก็ตาม ธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต จะมีสัญชาตญาณในการเอาตัวรอดเป็นทุนเดิม และคุณก็คือสิ่งมีชีวิต คุณเลือกได้ว่าจะต่อสู้ชีวิตเพื่อไปต่อ หรือจะพออยู่เพียงเท่านี้

เขียนโดย อ.นิธิมา กุญชร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาบุคลากร โปรเฟสชั่นนอล เทรนเนอร์

#Talktonitima


อ้างอิงข้อมูล

https://www.stou.ac.th/study/sumrit/11-58(500)/page3-11-58(500).html

https://www.novabizz.com/NovaAce/Learning/Quatient_AQ.htm

การคมนาคมในสวิตเซอร์แลนด์ (Switzerland) : ใช้ชีวิตด้วยการเดินทาง ที่มีเวลาและระเบียบเป็นสิ่งสำคัญ ทำให้...ชื่นชอบสวิตเซอร์แลนด์

ถ้าพูดถึงเรื่องการเดินทางในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ก็น่าจะเป็นรถยนต์ส่วนตัว และรถสาธารณะหรือรถประจำทางที่เป็นส่วนประกอบสำคัญที่สุด ส่วนทางน้ำคือการใช้เรือและเรือข้ามฟากก็พอมีบ้าง แต่อาจเทียบเป็นเปอร์เซนต์แล้วได้ค่อนข้างน้อย จักรยาน หรือ ebike ก็เช่นกัน รถยนต์น่าจะมีเปอร์เซนต์สูงที่สุดแล้ว

สวิสเป็นประเทศที่ค่อนข้างเล็กจากเหนือจรดใต้ห่างกันเพียง 220 กิโลเมตร และจากตะวันออกถึงตะวันตก 348 กิโลเมตร เท่านั้น และมีประชากรเพียง 8.723.277 ล้านคน ในปี 2020 วันนี้เลยอยากเล่าไปถึงเมื่อสมัย 20 ปีที่แล้ว ตอนที่ผู้เขียนพึ่งมาอยู่สวิสใหม่ ๆ มีรถยนต์บนท้องถนนไม่มากเท่ากับทุกวันนี้ เทียบปี 2000 กับ 2020 มีรถยนต์เพิ่มขึ้นประมาณ 31 % เลยนะ แถมโมเดลของรถก็ค่อนข้างเปลี่ยนไป สมัยก่อนเราจะเห็นแต่รถคันเล็ก ๆ เป็นรถเพื่อการใช้งานโดยเฉพาะ แต่เดี๋ยวนี้เราจะเห็นรถคันใหญ่ ๆ แบบในอเมริกาเยอะขึ้น บริบทของสังคมเริ่มเปลี่ยนไป รถยนต์ไม่ใช่เพื่อการใช้งานเพียงอย่างเดียวแต่เป็นการบอกสถานะทางสังคมไปด้วย ซึ่งแน่นอนไม่ใช่ทั้งหมดเป็นเพียงบางส่วนเท่านั้น คนสวิสนิยมซื้อรถมือสองมากกว่าผ่อนไฟแนนซ์ อย่างที่บอกคือเพื่อใช้งานอ่ะเนอะ รถใหม่ก็อาจเป็นพวกคนชอบเล่นรถจริง ๆ หรือแบบคนฐานะดีมาก ๆ แต่คนประเภทนี้ก็จะเปลี่ยนบ่อย ๆ ไม่รอให้ราคาตกมากก็ไปเทิร์นคันใหม่ ประหนึ่งว่าผ่อนไม่เคยหมดคัน

ด้านรถโดยสารก็จะมีรถไฟ และรถบัส การรถไฟของสวิสมีบริการรถไฟโดยสาร 5,000 ขบวนโดยประมาณ ซึ่งครอบคลุมระยะทาง 274,000 กิโลเมตรต่อวันเชียวนะ ผู้เขียนก็เป็นคนหนึ่งที่เดินทางโดยรถบัสและรถไฟไปทำงานในเมืองซูริคทุกวัน จากประตูบ้านถึงหน้าออฟฟิศใช้เวลา 1 ชั่วโมงพอดิบพอดี อาจแลดูเหมือนนานแต่จริง ๆ ไม่นานเลยนะ จากบ้านขึ้นรถบัสเพื่อไปสถานีรถไฟ มีเวลาเปลี่ยนรถ 5 นาที ขึ้นรถไฟไปลงสถานีหลักที่ซูริค จากนั้นต่อรถไฟอีกขบวนไปที่ทำงาน บนรถไฟภาพที่เห็นจนชินตาคือจะเห็นคนนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ฟรีที่แจกตามสถานีรถไฟนั่นแหล่ะ บางคนก็ใส่หูฟัง ฟังเพลง บางคนเอาโน๊ตบุ้คขึ้นมานั่งทำงาน บรรยากาศจะเงียบสงบมาก แต่พอถึงเวลาลงเมื่อไหร่ละก็ เดินแทบจะชนกันเลยล่ะ

ในซูริค ช่วงเร่งด่วนคือเช้ากับเย็น ผู้คนจะเดินกันขวักไขว่และเดินค่อนข้างเร็วไม่เหมือนบ้านเรา ที่รู้เพราะเวลาครอบครัวมาเยี่ยม หรือเพื่อน ๆ มาหาจากเมืองไทยจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ทำไมเดินเร็วจัง จริง ๆคือไม่เคยสังเกตตัวเองเลย

บางขบวนรถไฟก็จะมีโบกี้เด็กด้วยนะ มีซไลเดอร์ของเล่นสำหรับเด็ก ทำให้การเดินทางไม่น่าเบื่อสำหรับผู้โดยสารตัวน้อย การเดินทางที่สวิสตรงต่อเวลามาก สามารถกะเวลาได้แบบเป๊ะ ๆ เลย ปี ๆ นึงจะมีการล่าช้าอยู่ไม่กี่ครั้งหรอก ไม่ว่าเราจะอยู่ตรงไหนก็จะมีรถประจำทางเสมอทำให้เราเดินทางไปไหนมาไหนค่อนข้างสะดวก

จริง ๆ ผู้เขียนก็ขับรถเป็นมีใบขับขี่แต่แทบจะไม่ได้แตะรถเลย เพราะรถโดยสารมันสะดวกมาก ถ้าเทียบเรื่องค่าใช้จ่ายก็น่าจะไม่ได้แตกต่างกันมาก เพราะรถส่วนตัวจะมีค่าภาษีรถ ภาษีถนน และอื่น ๆ อีก การขับรถบนไฮเวย์ก็จะเสียค่าสติ๊กเกอร์แปะรถต่อปีคือ 40 สวิสฟรังค์เท่านั้น ซึ่งถูกมากถ้าเทียบกับประเทศใกล้เคียง

ผู้คนค่อนข้างรักษากฎจราจรเคร่งครัดเพราะปรับจริงยึดใบขับขี่จริง จะเห็นก็มีแต่จักรยานที่ไม่ค่อยรักษากฎเท่าไหร่ โดยเฉพาะในเมือง เช่นในซูริค จักรยานจะขี่แบบเย้ยฟ้าท้าดินมาก ผ่าไฟแดงบ้างอะไรบ้างเป็นเรื่องที่เห็นกันชินตา และถ้าจะไม่พูดถึง ebike นี่ไม่ได้เลยนะ ช่วงหลายปีมานี้คือมาแรงมาก เป็นจักรยานที่มีแบตเตอรี่ การปั่นอีไบค์ ก็เหมือนการปั่นจักรยานทั่วไปนั่นแหละ เป็นเครื่องทุ่นแรงเพราะสภาพภูมิประเทศของสวิสที่มีภูเขาน้อยใหญ่ บางครั้งขี่ขึ้นเนินมันก็ง่ายขึ้นอ่ะเนอะถ้ามีมอเตอร์ส่งแรงได้ แถมบางทีเร็วมากด้วยนะ ซึ่งคนสวิสชอบขี่จักยาน ไม่ว่าจะเป็น ebike mountainbike (จักรยานเสือภูเขา), Rennrad (จักรยานเสือหมอบ)

อีกหนึ่งการเดินทางที่จะไม่พูดถึงคงไม่ได้คือทางเรือ เนื่องจากสวิสมีทะเลสาบเยอะ และหน้าร้อนผู้คนก็ชอบที่จะนั่งเรือเล่น อย่างเช่นตัวผู้เขียนเองจะชอบนั่งเรือเล่นจากสถานที่หนึ่งไปสถานที่หนึ่ง และนั่งรถไฟกลับ หรือกลับกัน อาจนั่งรถไฟไปและนั่งเรือกลับ ซึ่งวิวที่นี่มันว๊าวมากขอบอก !! การได้เดินทางและชมบรรยากาศมันเป็นการพักผ่อนอีกรูปแบบหนึ่งของคนสวิสเลยทีเดียว บนเรือก็คล้าย ๆ กับรถไฟ มีชั้นหนึ่งกับชั้นสอง ถ้าเราซื้อตั๋วชั้นสองแต่ไปนั่งชั้นหนึ่งก็มีสิทธิ์ที่จะโดนค่าปรับที่แสนจะแพงด้วยนะเออ เพราะฉะนั้นสังเกตหมายเลขไว้ให้ดี ส่วนเรือข้ามฟากก็มีได้เลือกใช้ แต่รู้สึกว่าไม่ได้เยอะมาก และเรือก็เป็นเรือเล็ก ๆ ที่จุรถได้ไม่เยอะมาก ทุกอย่างเป็นเวลาและเป็นระเบียบ และนี่ก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่ผู้เขียนชื่นชอบในสวิตเซอร์แลนด์

ถ้าต้องโดนกักตัวอยู่บ้าน 14 วัน เหล่าคนดังจะทำอะไร ‘ทิพย์...ทิพย์’ กันบ้าง?

ก่อนอื่น มิได้แช่งใครให้ต้องกักตัวนะครับ แฮ่! แต่อย่างที่ทราบกันดี ช่วงเวลานี้ ข้าศึก เอ้ย! พี่โควิด บุกกระหน่ำทำแฮททริคไปแล้ว 3 รอบ เล่นเอาประเทศไทย คนไทย ป่วนสุดอะไรสุด ณ ขณะนี้

จึงเป็นที่มาของการขอความร่วมมือจากทางการให้ ‘อยู่กับบ้าน’ หรือเรียกทางการสักหน่อย คือการกักตัวเอง อยู่กับที่ ไม่เคลื่อนตัวไปไหน จะเป็นการช่วยกันในยามนี้ ได้ดีที่สุด

เวลากักตัวอยู่บ้าน ถ้าทำงานไปด้วย เราเรียก ‘เวิร์ค ฟอร์ม โฮม’ บางคนจมอยู่หน้าจอดูซีรี่ย์ อันนี้เรียก ‘เน็ตฟลิกซ์ ฟอร์ม โฮม’ หรือบางคนจิ้มๆ ๆ ๆ ซื้อของบนมือถือ อันนี้เรียก ‘โชปี๊ ฟอร์ม โฮม’ (หรือใครจะเถียงว่า เป็นอาการ ‘ลาซาด้า ฟอร์ม โฮม’ อันนั้นก็สุดแท้)

เวลานี้ ไม่ว่าใคร ล้วนแต่ต้องกักตัวเองให้ปลอดภัย จะปลอดภัยกับตัวเอง หรือจะปลอดภัยกับคนอื่น ยังไงก็ควรต้องทำ แต่ไหน ๆ ก็เบื่อ ๆ เครียด ๆ กับบรรยากาศการระบาดของโควิด แถมยังต้องอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน งั้นเรามาลองตั้งโจทย์สนุก ๆ กันดีกว่า

ช่วงนี้ไปไหนไม่ได้ เห็นหลายคนใช้วิธีไปแบบทิพย์..ทิพย์ ถ้างั้นสมมตินะครับสมมติ ถ้าเหล่าคนดังระดับประเทศ ต้องโดนกักตัวอยู่บ้าน 14 วัน คิดว่าพวกเขา (น่าจะ) ทำอะไร ‘แบบทิพย์...ทิพย์’ กันบ้าง?

พริษฐ์ ชีวารักษ์ & ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล: สำหรับเพื่อนรักสายสามนิ้วคู่นี้ ตอนนี้ไม่ได้แค่กักตัว 14 วัน แต่ถูกควบคุมตัวมาเป็นเดือนแล้วล่ะ แฮ่! ทางเราขอแนะนำว่า ให้คุณเพนกวิน และคุณรุ้ง ลองทำกิจกรรม ‘ม็อบทิพย์’ เพื่อสร้างสีสันในยามกักตัว แก้เหงา หรือจะเพิ่มเอาอีกออพชั่นหนึ่ง ด้วยกิจกรรม ‘อิ่มทิพย์’ เพราะทราบข่าวว่า ทั้งสองท่านอดอาหารกันอยู่ Fighting!

ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ : ช่วงนี้ไม่ค่อยเห็นคุณเอก –ธนาธร ตามหน้าสื่อเสียเท่าไร ไม่แน่ใจกำลังกักตัวอยู่หรือเปล่า หรือว่ากำลังเตรียมโปรเจ็คต์ใหญ่ อันนี้ก็ไม่ทราบได้ แต่เอาเป็นว่า แนะนำกิจกรรมทิพย์ให้คุณเอกนิสนึง เป็น ‘วัคซีนทิพย์’ เพราะที่ผ่านมา คุณเอกเป็นหัวหอกด้านการวิพากษ์วิจารณ์การจัดหาวัคซีนของรัฐบาลมาตลอด ๆ ทั้งมาช้า มาน้อย มาได้ มาเสีย โอย...สารพัด คงต้องจัด ‘วัคซีนทิพย์’ ให้ไปเพื่อความฟิน อ๊อ! แต่ไม่แนะนำลูกพรรคก้าวไกล อาทิ คุณวิโรจน์ ลักขณาอดิศร นะครับ ท่านนี้ก้าวไกล ก้าวไว ก้าวก่อน ไปฉีดวัคซีนเรียบโร้ยยย แฮ่ะ ๆ

อนุทิน ชาญวีรกูล: อีกท่านที่แนะนำให้ลองกิจกรรม ‘วัคซีนทิพย์’ เพราะที่ผ่านมา ชุลมุนวุ่นวายกับการจัดหาวัคซีนมาตลอด ได้จินตนาการถึง ‘วัคซีนทิพย์’ เอาที่แบบมาสารพัดยี่ห้อไปเลย เผื่อ ส.ส.ฝ่ายค้านได้ฉีดกันให้ครบถ้วน จะไม่มีประโยคแทงม้าตัวเดียว เพราะงานนี้แทงม้าทั้งคอก เอาที่สบายใจกันไป

ปิยบุตร แสงกนกกุล : จารย์ครับ ทางเราขอแนะนำ ‘กฎหมายทิพย์’ เพราะอย่างที่แควน ๆ เอ้ย! แฟน ๆ ที่ติดตามผลงานอาจารย์ทราบดี อาจารย์ค่อนข้างหมกมุ่น เอ้ย! ใช้คำว่า อาจารย์ค่อนข้างแม่นยำเรื่องกฎหมายมากมาย และอาจารย์ก็อยากแก้กฎหมายนู่นนี่นั่นมากมายเช่นเดียวกัน ดังนั้น แนะนำกิจกรรม ‘กฎหมายทิพย์’ ในช่วงกักตัวอยู่บ้าน อาจารย์เขียนเลยครับ เขียนกฎหมายทิพย์กันให้หนำใจ

ทักษิณ ชินวัตร: สำหรับท่านนี้อาจจะอยู่นอกเมือง เอ้ย! เมืองนอก มาอย่างยาวนานนนนน แต่นี่เป็นเรื่องสมมตินะครับสมมติ สมติถ้าคุณโทนี่จะต้องกักตัวอยู่เฉย ๆ 14 วัน ทางเราก็ขอแนะนำ ‘เมืองไทยทิพย์’ ออกเสียงคล้าย ๆ อุทัยทิพย์ กินชื่นใจดับร้อน แต่สำหรับ ‘เมืองไทยทิพย์’ อันนี้เป็นกิจกรรมให้คุณโทนี่มโนถึงเมืองไทย ให้ชื่นใจคลายเหงา แฮ่! อยากไปเที่ยวไหน จัดเลยขอรับ!

พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา: ปิดท้ายที่ ‘ลุงตู่’ นายกรัฐมนตรีประเทศไทย ในโลกความจริงลุงตู่มีภารกิจมากมาย คงยากที่จะได้กักตัว แต่สมมติถ้าได้กักตัว แนะนำกจิกรรม ‘สเปซทิพย์’ ชื่อแปลกหู ดูอินเตอร์ หรือจะเรียกเป็นไทยว่า ‘อวกาศทิพย์’ ก็ได้เช่นกัน ไม่มีที่ไหนจะสงบเงียบและสบายใจไปกว่าอวกาศอีกแล้ว จินตนาการเลยครับ ว่าได้ท่องไปในท่องอวกาศ ล่องลอยยยยย ล่องไปในอ๊าววะกาด! แนะนำให้โทรปรึกษาอีลอน มัสก์ เสียก่อนก็ได้ ถ้าไม่มั่นใจเรื่องการเดินทาง แฮ่!

ย้ำ! สมมตินะครับสมมติ ดังนั้น ขอจบแต่เพียงเท่านี้ ก่อนที่จะได้ไปประกอบกิจกรรม ‘ตะรางทิพย์’ ที่ไหนสักแห่ง แฮ่! ขออนุญาตบ้ายบาย สู้ตายนะพี่น้องชาวไทย เราจะผ่านโควิดไปด้วยกัน ปู๊น ๆ!!


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

เชียงใหม่ - โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ ผ่าคลอดผู้ป่วยโควิด-19 ปลอดภัยทั้งแม่ลูก

โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ผ่าคลอดหญิงตั้งครรภ์ติดเชื้อโควิด-19 อายุ 33 ปี วันนี้ (23 เมษายน 2564) เวลา 15.00น. เบื้องต้นเป็นทารกเพศหญิง ปลอดภัยทั้งแม่และลูก

ผศ.นพ.นเรนทร์ โชติรสนิรมิต ผู้อำนวยการ โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ เปิดเผยว่า “ รพ.มหาราชนครเชียงใหม่ ได้รับการประสานว่ามีผู้ป่วยหญิงที่ครบกำหนดคลอด 39 สัปดาห์ อายุ 33 ปี มีอาการปวดท้องรุนแรงจากการที่มดลูกหดตัวเริ่มจะมีอาการใกล้คลอด ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่าผู้ป่วยรายนี้มีการติดเชื้อโควิด-19 ทำให้ทางโรงพยาบาลต้องวางแแผนการดูแลรักษาและเตรียมการผ่าตัดคลอดอย่างเร่งด่วนตั้งแต่กระบวนการรับผู้ป่วยจากจุดรับเข้าด้วยแคปซูลเคลื่อนย้ายผู้ป่วยติดเชื้อความดันลบสำหรับป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อระหว่างการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย จนถึงห้องผ่าตัดเพื่อให้มีประสิทธิภาพและมีความปลอดภัยอย่างสูงสุด ทันทีที่ทราบทางรพ.มหาราชนครเชียงใหม่ได้ประสานทีมสหวิชาชีพแพทย์และเตรียมความพร้อมร่วมทีมสูตินรีเวชวิทยา ทีมวิสัญญีแพทย์ และทีมกุมารแพทย์ โดยมีรศ.นพ.กิตติภัต เจริญขวัญ หัวหน้าภาควิชาสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา ,ผศ.พญ.ฌานิกา โกษารัตน์ ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ และรศ.พญ.นุชนารถ บุญจึงมงคล หัวหน้าภาควิสัญญีวิทยา และทีมอื่นๆที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งปิดกั้นพื้นที่ภายในโรงพยาบาลเพื่อให้เกิดความปลอดภัยที่สุดสำหรับผู้ป่วยในทันที

ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ กล่าวเพิ่มเติมว่า “การผ่าตัดครั้งนี้วิสัญญีแพทย์ได้ใช้เทคนิคการฉีดยาชาเข้าสันหลังหรือการบล็อกหลัง วิธีนี้ไม่ทำให้เกิดการแพร่กระจายเชื้อ ปลอดภัยทั้งผู้ป่วย ลูก และบุคลากรที่ให้การดูแล ทีมแพทย์สูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา ได้ทำการผ่าคลอดทารกเพศหญิงในเวลา15.00น. แม่และทารกปลอดภัย ซึ่งทีมกุมารแพทย์ได้เข้าไปดูแลเด็กตั้งแต่แรกคลอดและเคลื่อนย้ายมายัง cohort ward หรือหอผู้ป่วยแยกโรคโดยมีการติดตามอาการอย่างใกล้ชิด ซึ่งโอกาสที่เด็กติดเชื้อจากในครรภ์มีน้อยมาก ส่วนแม่เข้ารับการรักษาต่อที่ห้องแยกความดันลบสำหรับผู้ป่วยติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ ณ ตึกโรคปอด อาคารนิมมาน ชุติมา รพ.มหาราชนครเชียงใหม่ ต่อไป”

การผ่าตัดหญิงตั้งครรภ์ป่วยโควิด-19 ในครั้งเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและปลอดภัยทั้งแม่ เด็ก และบุคลากรทางการแพทย์ ภายหลังการผ่าตัดโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ได้ทำความสะอาดพื้นที่บริเวณห้องผ่าตัดและจุดเคลื่อนย้ายผู้ป่วยทุกจุด บุคลากรทางการแพทย์ได้ตั้งใจทำงานกันอย่างเต็มที่เพื่อบริการประชาชนให้เกิดความปลอดภัยสูงสุด และเราจะฝ่าวิกฤตนี้ไปด้วยกัน


ภาพ/ข่าว  นภาพร  เชียงใหม่

ประจวบคีรีขันธ์ – เสริมเตียงผู้ป่วยโควิด-19 อบจ.ประจวบฯ มอบเครื่องพีซีอาร์หาเชื้อโควิด

วันที่ 24 เมษายน นายแพทย์สุริยะ คูหะรัตน์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) ประจวบคีรีขันธ์ เปิดเผยว่า ขณะนี้มีผู้ป่วยติดเชื้อสะสม 941 ราย อยู่ระหว่างรักษา 790 ราย รักษาหายแล้ว 150 ราย มีผู้ป่วยโควิดติดเชื้อรายใหม่ในจังหวัด 44 ราย เป็นการระบาดจากการร่วมดื่มกินและชมคอนเสริ์ตที่มายาผับ อ.หัวหินเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 64 และ คลัสเตอร์จากผับ ร้านคาราโอเกะใน อ.หัวหิน และ อ.เมืองประจวบฯ ล่าสุดพบผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง 15 ราย อาการปานกลาง 25 ราย มีผู้ป่วยเข้ารับการักษามากที่สุดที่ รพ.หัวหิน จำนวน 501 ราย รพ.ปราณบุรี 152 ราย รพ.ประจวบคีรีขันธ์ 91 ราย สำหรับ จ.ประจวบคีรีขันธ์จะรับผู้ป่วยติดเชื้อได้ 1,100 เตียง และเตรียมเตียงไว้ที่ รพ.หัวหินอีก 300 เตียง รพ.บางสะพาน 50 เตียง แม้ว่าแนวโน้มผู้ติดเชื้อเริ่มลดลง มีคนไข้บางส่วนรักษาหายเพิ่มขึ้นทำให้เตียงผู้ป่วยยังพอใช้ แต่ในอนาคตหากมีปัญหาหรือ มีความจำเป็นได้วางแผนจัดทำโรงพยาบาลสนามที่โรงแรมสวนสน 1 จำนวน 216 เตียง และโรงแรม 51 แฟชั่น จำนวน 70 เตียงในพื้นที่ อ.หัวหิน

ขณะนี้จังหวัดประจวบฯได้รับการจัดสรรวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของบริษัทซิโนแวค 12,160 โด๊สเพื่อบริการฉีดให้แก่บุคลากรด้านสาธารณสุขเป็นลำดับแรกให้ครบ 100 % ตามข้อสั่งการของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมต.กระทรวงสาธารณสุข จากนั้นจะฉีดให้ อสม. เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด่านหน้าหน่วยงานอื่นๆ ผู้ที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง 7 กลุ่มโรค ที่ผ่านมาพบผู้ที่มีอาการไม่พึงประสงค์หลังฉีดวัคซีน 24 ราย โดยมีอาการเพียงเล็กน้อย เช่น ผื่นขึ้น ปวดเมื่อย คลื่นไส้ ส่วนอีก 1 ราย มีอาการคลื่นไส้หลังฉีดวัคซีนไป 10 นาที แพทย์ได้ให้ยาแก้คลื่นไส้ เมื่อพ้นระยะเวลาเฝ้าดูอาการ 30 นาที ได้ให้กลับไปสังเกตอาการ แต่ต่อมาภายใน 1-2 ชม.พบว่าผู้รับวัคซีนรายดังกล่าวมีอาการชาที่แขนและขาด้านซ้าย แพทย์จึงทำการเอ็กซเรย์พบว่าปกติ ผลตรวจเลือดปกติ แต่ให้ยาละลายลิ่มเลือด อาการชาจึงทุเลาไม่มีอาการอ่อนแรงแต่อย่างใด

“ขอให้ประชาชนเชื่อมั่นในวัคซีนโควิด-19 ที่มีประโยชน์ในการช่วยลดความรุนแรงของอาการป่วยได้หากติดเชื้อ โดยขอให้มาลงทะเบียนแจ้งความประสงค์ในการรับวัคซีนได้ที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล หรือโรงพยาบาลของรัฐทั้ง 8 อำเภอ ส่วนประชาชนที่มีจิตศรัทธาสามารถบริจาคสิ่งของสนับสนุนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่และช่วยเหลือผู้ป่วยโควิด-19 ที่พักรักษาตัวในโรงพยาบาลและโรงพยาบาลสนามได้ที่โรงพยาบาลของรัฐทั้ง 8 อำเภอและโรงพยาบาลสนามทุกแห่ง โดยสิ่งของที่ต้องการมากในขณะนี้ เช่น อาหารแห้ง น้ำดื่ม แอลกอฮอล์ หน้ากากอนามัย และชุดพีพีอี” นพ.สุริยะ กล่าว

ที่ชั้น 4 อาคารผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลประจวบคีรีขันธ์ นายสราวุธ ลิ้มอรุณรักษ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ประจวบฯ และ นายแพทย์พงษ์พจน์ ธีรานันตชัย ผู้อำนวยการโรงพยาบาลประจวบฯ ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงการส่งมอบครุภัณฑ์วิทยาศาสตร์การแพทย์ “เครื่องตรวจวินิจฉัยทางอณูชีวโมเลกุล พร้อมอุปกรณ์หาสารพันธุกรรมโควิด-19” มูลค่า 5,000,000 บาท โดยมี นายยุทธชัย ปริยวาที เลขานุการนายก อบจ. นายพสิษฐ์ รักวัฒนศิริกุล เลขานุการนายก อบจ. นางจันทิสา แดงโชติ รองปลัด อบจ. นางดวงใจ เสมแก้ว รองปลัด อบจ. สมาชิกสภา อบจ.ประจวบฯ นายแพทย์อภิวัฒน์ บัณฑิตย์ชาติ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาล และคณะกรรมการบริหารโรงพยาบาล ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนาม ทั้งนี้ โรงพยาบาลประจวบคีรีขันธ์ ได้เปิดห้องปฏิบัติการตรวจวินิจฉัยทางอณูชีวโมเลกุล ซึ่งใช้สำหรับการตรวจหาสารพันธุกรรมของไวรัสด้วยวิธี Real-time RT PCR ช่วยในการวินิจฉัยโรคโควิด-19 ที่ชั้น 3 อาคารอนุสรณ์ 36 ปี โรงพยาบาลประจวบฯ ตั้งแต่วันที่ 5 พฤษภาคม 63 เป็นต้นมา โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณจาก อบจ.ประจวบฯ จำนวน 5 ล้านบาท ในการจัดหาเครื่องมืออุปกรณ์ทางการแพทย์และระบบในห้องปฏิบัติการได้รับการรับรองมาตรฐานจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ สามารถรองรับการตรวจได้สูงสุด 280 ตัวอย่างต่อวัน ที่ผ่านมามีการตรวจเชื้อสะสม 11,612 ตัวอย่าง


ภาพ/ข่าว  นายนิพล ทองเก่า ผู้อำนวยการศูนย์ข่าวสยามโฟกัสไทม์ / 4เหล่าทัพ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์

Self Home Quarantine​: กักตัวกับบ้าน​ มายาคติแห่งอิสรภาพ​ แต่บาปไปตกกับคนรอบตัว

ช่วงนี้เห็นกระแสบ่นถึง​ 'อิสรภาพ'​ ที่สูญหายจากการถูกกักตัวใน​ State​ Quarantine​ รูปแบบต่าง ๆ​ จากบรรดาผู้ติดเขื้อโควิด-19 ทั้งที่ต้องกักตัวในโรงพยาบาลทั่วไปหรือแม้แต่โรงพยาบาลสนามที่ต้องเปิดเพิ่มกันแทบทุกจังหวัด​

แต่ที่ทำให้ขุ่นมัวประสาทตานิดหน่อย​ คือ​ บางคนที่ต้องกักตัวดันชอบออกมาแชร์​ แอร์ไม่มี​ อาหารสุนัข​ไม่รับประทาน​ บริการไม่​ First​ Class

เฮ้ย!! รู้ไหมว่า​ ไอ้สิ่งที่ตัวคุณเป็นอยู่เนี่ย​ มองในเชิงกายภาพ​แล้ว​ มัน​เหมือน​'​ระเบิดเคลื่อนที่'​ ที่มีความอันตรายสูง​ จนคนเขาอี๋กันอยู่นะเว้ยเฮ้ย

อยากได้อิสรภาพ​ในวันที่ตัวเองติดโควิด-19 จนทำตัวเหมือนตนเองไม่รู้เดียงสา​ เล่นไฮโล​ โชว์ก้น​ เซลฟี่กันเพลิดเพลินในที่กักกัน​ โดยมิได้สำเหนียกว่าตนเองอยู่ในสถานะอะไร​ (ผู้ป่วย)​ ก็อย่าทะลึ่งการ์ดตกกันดิฟระ!!

14​ วันในการกักตัว​ของผู้ติดเชื้อ​ มันน่าอึดอัด​ มันไม่อิสระ​ มันไม่สามารถทำอะไรตามใจนึกได้ อันนี้เข้าใจดี แต่มันไม่มีวิธีไหน​ดีสุดเท่ากับการยึดมั่นในวินัยที่ตัวผู้ติดเชื้อต้องแบกรับ​นะฮิ...

เพราะหัวใจของการควบคุมโควิด-19 ในกลุ่มคนที่ติดเชื้อแล้ว​ มันมีความหมาย​ ต่อทั้งตัวคุณเอง​ ว่า​ 14​ วันนี้จะรุนแรงจนแดดิ้นดับ​ หรือจะได้กลับไปสู่อ้อมอกครอบครัว​ หรือสังคมหรรษาที่จากมา

เอาล่ะ!! ที่ว่ามาทั้งหมด​ ขอจบในกรณีผู้ที่ติดเชื้อ​แล้วต้องถูกเฝ้าดูอาการ...

แต่เนื่องจากโรคนี้ 80% มักไม่มีอาการหรือมีอาการเพียงเล็กน้อย ทำให้ยากที่จะรู้ ครั้นจะจับคนมาสวนจมูกตรวจเชื้อ​ ก็ดูจะสิ้นเปลืองทรัพยากรมาก และถึงผลการตรวจจะบอกว่า Negative หรือไม่พบเชื้อ ก็ยังไม่อาจไว้ใจได้ และต้องกักตัว 14 วันอยู่ดี

มันก็เลยเป็นที่มาของ​คนอีกกลุ่มที่เรียกว่า 'กลุ่มเสี่ยง'​ ซึ่งต้องมีการกักตัว 14 วัน​ แบบ 'เฝ้าระวัง'​ เพื่อดูความเคลื่อนไหวของโรค

อย่างไรซะ​ การกักตัว 14 วันแบบเฝ้าระวังของกลุ่มเสี่ยง ก็มีรูปแบบให้เลือกอยู่​ 2​ แนวทาง​ได้แก่...

1.)​ การกักตัวแบบ​ State Quarntine ซึ่งจะสร้างความมั่นใจให้กับสังคมได้มากกว่า​ เพราะไม่ว่าคุณจะเป็นหรือไม่เป็น​ คนรอบข้างจะไม่เจอผลกระทบ แต่ก็มีราคาที่ต้องจ่ายในระดับหนึ่ง​ รวมถึง ราคาแห่งเสรีภาพที่ผู้ถูกกักต้องสูญเสียไปใน

สถานที่กักตัวที่เป็น State Quarantine นั้น ๆ​ เพราะต้องกักตัวในห้องเดี่ยว ไม่เอาไปนอนรวมกันกับห้องสองคนสามคน​ ที่หากมี 1 คนติดเชื้อคนที่เหลือก็จะติดเชื้อไปด้วย

กลุ่มเสี่ยงที่กลับจากต่างประเทศ หรือกลับจากเมืองและแหล่งเสี่ยงหนักมาก​ จึงมักถูกดูแลกักตัว 14 วันโดยรัฐก่อนกลับสู่ชุมชน หากเสี่ยงน้อยก็สามารถให้กลับบ้านไปกักตัวเองที่บ้านได้ แต่ต้องมีระบบการติดตามเยี่ยมหรือเฝ้าระวังจากคนในชุมชน​ (ส่วนใครที่มีเชื้อจะต้องมาแจ้งเพื่อแยกกักตัวจากทางบ้านโดยอัตโนมัติ​ ห้ามปิดบัง​ เพราะมีความผิด)​

2.) การกักตนเองที่บ้านหรือ Self Home Quarantine เป็นอิสรภาพที่หลายคนที่ผ่านพ้นพื้นที่เสี่ยงมามักแสวงหา​ เพราะมันก็คือการกลับมาบ้านของ​ตนเอง​ ซึ่งสะดวกและมีความสุขในมุมผู้ถูกตีตราให้กักตัว

แต่ทราบหรือไม่ว่า​ ในความเป็นจริงแล้ว​ การกักตัวที่บ้านก็ต้องมีวินัย และต้องเป็นคนพอมีอันจะกินด้วยถึงจะทำให้การกักตัวมีประสิทธิภาพ

ฟังแล้วแปลก ๆ​ และทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ?

เพราะปัจจัยทางสังคมและเศรษฐกิจของคนแต่ละคนไม่เหมือนกัน

เคยมีแพทย์อินเดียท่านหนึ่งได้เสนอบทความว่า Home quarantine is priviledge หรือ​ การกักตัวที่บ้านนั้น​ เหมาะแก่​ กลุ่มอภิสิทธิ์ชน ที่สุด​ หมายความว่า เขาต้องมีบ้านหลังใหญ่พอ มีห้องนอนมากพอ มีคนดูแลส่งข้าวส่งน้ำ มีเงินออมที่ไม่ต้องทำงาน 14 วัน​ก็มีข้าวกิน เป็นต้น

ซึ่งชีวิตคนส่วนใหญ่​ มันก็มักจะสวนทางกับสิ่งที่เขาว่ามาทั้งนั้น​ และนั่นก็ยากที่จะทำให้การกักตัวเป็นไปอย่างมีประสิทธิผล

ในประเทศไทย​เอง​ ก็สะท้อนปัญหาด้านความพร้อมของการกักตัวที่บ้านได้ชัด​ โดยผ่านประสบการณ์​ของ​ นพ.สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ​ ผู้อำนวยการ​ โรงพยาบาล​ จะนะ จังหวัดสงขลา​ ทึ่เคยแชร์ให้ฟังว่า...

"ผมมีประสบการณ์ตรงเกี่ยวกับเรื่องนี้​ โดยผู้ใหญ่บ้านโทรมาปรึกษาว่า มีคนกลับจากมาเลเซีย และเขาเข้าใจว่าต้องกักตัวเอง 14 วัน

"แต่บังเอิญบ้านเขาเล็กมาก แถมดันอยู่เป็นครอบครัวใหญ่ ญาติพี่น้องก็ยากจน ไม่รู้จะทำอย่างไร ให้มากักตัวที่โรงพยาบาลได้ไหม ?

"ผมก็ตอบไปว่า หากป่วยติดเชื้อ มากักที่โรงพยาบาลได้ แต่หากเป็นการเฝ้าระวังเช่นนี้ ก็ต้องให้ผู้ใหญ่เป็นธุระในการจัดการ ซึ่งจะใช้โรงเรียน ใช้กุฏิร้าง ได้ไหม ผู้ใหญ่ต้องปรึกษากันเองในหมู่บ้าน"

จากตัวอย่างนี้​ ลองนึกภาพดูว่า​ ถ้าคุณเกิดติด​เชื้อโควิด-19​ ในช่วงเฝ้าระวังขึ้นมาบนพื้นฐานครอบครัวราว ๆ​ นี้ โอกาสที่คนในครอบครัวจะติดจากคุณ​ จะเกิดขึ้นได้หรือไม่ ? ยิ่งถ้าคนในบ้านเกิดมีผู้สูงอายุอยู่ด้วยจะเป็นอย่างไร ? เพราะหากย้อนดูข้อมูลจากกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขแล้ว​ จะพบว่า​ ที่ผ่านมากลุ่มผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 เป็นผู้ป่วยที่มีอายุมาก คิดเป็นค่าเฉลี่ยประมาณ 50% ของคนสูงอายุที่เกิน 70 ปี ขึ้นไป​ทั้งสิ้น

ฉะนั้นหากมองภาพความเป็นจริงของสังคมไทย​ หรืออาจจะสังคมอื่น ๆ​ คนที่มีศักยภาพพอที่จะกักตัวได้แบบไม่สร้างภาระหรือนำโรคไปแพร่ให้คนในครอบครัวได้​ 'มันน้อย'​ ก่อนหน้านี้คนเขียนก็เจอกับตัวมาแล้ว​ เพราะบ้านเพื่อนติดกันทั้งบ้าน​จากการกักตัว​เอง​แบบเฝ้าระวัง แต่มีข้อจำกัดของการใช้พื้นที่ร่วมในบ้านและวินัยที่ต่ำ​ จนคนในบ้านร่วม​ 5​ ชีวิตตั้งแต่เด็กยันแก่​ ติดโควิดกันถ้วนหน้า​

อย่าปล่อยให้พวกเขาต้องมาเจ็บและเสียชีวิตจากโควิด-19 เพียงเพราะคำว่าอิสรภาพโง่ ๆ​ ที่มักนำพาวินัยต่ำ ๆ​ มาสู่ตน​ ภายใต้การการ์ดตก​ของตัวเอง...ว่าแล้วโบกหัวตัวเอง​ 10​ ที​ ปฏิบัติด่วน!!

อ่ะ​!! บ่นไปเยอะ​ เอาเป็นว่าใครที่อยู่คนเดียว การกักตัวเฝ้าระวัง 14 วันที่บ้านไม่ใช่เรื่องยาก แต่หากใครต้องอยู่บ้านกับครอบครัวที่อยู่กันหลายชีวิต​ อยากให้เคร่งครัดกับวินัยตามนี้...

1.) ที่วัดอุณหภูมิร่างกาย ที่ปกติแล้วอุณหภูมิในร่างกายไม่ควรเกิน 37.5 องศาเซลเซียส ซึ่งข้อนี้ใครกักตัว 14 วันที่บ้าน และอยู่บ้านคนเดียวก็ต้องมีไว้ เพื่อเช็กอาการของตัวเองเป็นระยะ ๆ

2.) ล้างมือด้วยสบู่ หรือเจลแอลกอฮอล์บ่อยๆ อยู่คนเดียวก็ต้องปฏิบัติข้อนี้เช่นกัน

3.) หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ชิดกับคนในบ้าน มีระยะห่าง 1-2 เมตร โดยเฉพาะผู้สูงอายุ และคนในบ้านที่มีโรคประจำตัว

4.) แยกห้องนอน เป็นห้องพักที่โปร่ง อากาศถ่ายเท แสงแดดเข้าถึง

5.) แยกห้องน้ำ หากแยกไม่ได้ ให้ใช้เป็นคนสุดท้าย ทำความสะอาดทันที ปิดฝาก่อนชักโครกทุกครั้ง จุดเสี่ยงที่สำคัญคือ โถส้วม อ่างล้างมือ ก๊อกน้ำ ลูกบิดประตู

6.) แยกของใช้ส่วนตัว จาน ชาม แก้วน้ำ เสื้อผ้า ผ้าห่ม ผ้าเช็ดตัว และแยกทำความสะอาด

7.) แยกรับประทานอาหาร ตักแบ่งมาต่างหาก ล้างด้วยน้ำยาล้างจาน ผึ่งแห้ง ตากแดด

8.) แยกขยะที่มีสารคัดหลั่ง น้ำมูก น้ำลาย เช่นหน้ากากอนามัย ทิชชู เพราะเป็นขยะติดเชื้อ ใส่ถุงขยะ 2 ชั้น ราดด้วยสารฟอกขาว มัดปากถุงให้แน่นก่อนนำไปทิ้ง กรณีนี้สำคัญมากรวมถึงคนที่กักตัว 14 วันที่บ้าน ที่กักตัวอยู่คนเดียวก็ต้องทำด้วยเช่นกัน เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อออกไปสู่คนอื่น

9.) สวมหน้ากากอนามัย โดยเฉพาะเมื่อต้องพบปะคนอื่น และต้องอยู่ห่างกัน 1 - 2 เมตร

10.) ทั้งคนที่กักตัว 14 วันที่บ้านคนเดียว และอยู่บ้าน ก็ต้องงดกิจกรรมนอกบ้าน หยุดงาน หยุดเรียน งดใช้รถสาธารณะ

นอกจากนี้คนในครอบครัวเองก็ต้องระมัดระวังตัวเองด้วย โดยต้องล้างมือบ่อยๆ ระวังจุดเสี่ยงสัมผัสต่างๆ แยกใช้สิ่งของร่วมกัน

ส่วนพวกที่อยู่คอนโด แม้อยู่คนเดียว ก็ต้องเน้นเรื่องการแยกขยะฆ่าเชื้อ ใส่ถุงขยะ 2 ชั้น มัดปากถุงให้แน่นก่อนทิ้ง งดใช้บริการของส่วนกลาง เช่น สระว่ายน้ำ, ฟิตเนส

ส่วนการเริ่มนับวันกักตัวจำนวน 14 วันที่บ้าน​ จะต้องนับจากวันไหนนั้น ขอให้เริ่มนับจากวันที่เจอผู้ติดเชื้อโควิดวันสุดท้าย เช่น หากเจอเพื่อนที่เป็นโควิดวันที่ 1 เมษายน ซึ่งยังไม่แสดงอาการ จนกระทั่งยืนยันว่าพบเชื้อวันที่ 4 เมษายน ก็ให้นับตั้งแต่วันที่เจอคือ 1 เมษายน​ และต่อไปอีก 14 วันเลย

อย่างไรเสียคนที่ยอมกักตัวเองอย่างมีวินัย ยอมทิ้งอิสรภาพบางประการ​ พร้อมทำตัวเหมือนคนไข้คนหนึ่งที่เต็มไปด้วยความรับผิดชอบและเชื่อฟังตามแพทย์แนะนำ​ ควรได้รับความชื่นชม ไม่ไปรังเกียจเขา

เพราะเขาจะเป็น​ 'ฮีโร่'​ ได้​ทันที​ หากวินัยในช่วง 14 วันนั้น ส่งผลต่ออนาคตที่ภาคส่วนด้านสาธารณสุขควบคุมต่อได้โดยง่าย

.

ข้อมูลอ้างอิง:

https://www.thairath.co.th/lifestyle/life/2068084

https://www.chanahospital.go.th/content/

https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/873235


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit
คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

ศรีสะเกษ - ผวาโควิด-19 สั่งกักตัว 11 พระโยม เดินทางจากจังหวัดเสี่ยง เพื่อมาทำบุญฉลองศาลาวัด

เมื่อวันที่ 23 เม.ย.64 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่วัดบ้านก้านเหลือง ต.หมากเขียบ อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ พ.ต.อ.เทพพิทักษ์ แสงกล้า ผกก.สภ.เมืองศรีสะเกษ พร้อมด้วย ตัวแทนนายอำเภอเมืองศรีสะเกษ ตัวแทนสาธารณสุข อ.เมืองศรีสะเกษ กำนัน ต.หมากเขียบ ผู้ใหญ่บ้านก้านเหลือง ได้เข้าไปพบกับ นางสุวรรณี เบญจะขันธ์ อายุ 62 ปี อยู่บ้านเลขที่ 5/2 หมู่ 8 ต.เทพารักษ์ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ และคณะ ที่เดินทางมาจาก จ.สมุทรปราการ รวมทั้งสิ้น 11 คน โดยมีพระ 1 รูปด้วย ทั้งนี้เนื่องจากว่า นางสุวรรณีเดินทางมาจากกลุ่มจังหวัดสมุทรปราการ พื้นที่เสี่ยงควบคุมสูงสุด 18 จังหวัด ทำให้นางสุวรรณีและคณะ ไม่พอใจ ทั้งนี้เนื่องจากว่าก่อนที่จะเดินทางเข้ามาที่จังหวัดศรีสะเกษ ได้ประสานงานกับผู้ใหญ่บ้านคนหนึ่งแล้ว แจ้งว่าสามารถเดินทางเข้ามาได้ แต่จะต้องมีจำนวนไม่เกิน 50 คน

นางสุวรรณี เบญจะขันธ์ อายุ 62 ปี อยู่บ้านเลขที่ 5/2 หมู่ 8 ต.เทพารักษ์ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ กล่าวว่า ตนกับคณะที่เดินทางมาครั้งนี้ ได้จัดเตรียมพานบายศรี รวมทั้งวัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ ในการทำบุญ รวมมูลค่าแล้วประมาณ 100,000 บาท เพื่อมาทำบุญถวายศาลาวัด  ซึ่งพวกตนได้ระดมเงินกันก่อสร้างเป็นเงินทั้งสิ้นกว่า 2,000,000 บาทเศษ เพื่อถวายให้กับวัดบ้านก้านเหลือง และบูชาองค์พระพิฆเนศ ขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้นมาด้วยเงินจำนวนประมาณ 100,000 บาท โดยพวกตนเห็นว่าอยู่ในช่วงของการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 จึงได้มีการเลื่อนการจัดงานมาแล้ว 2 - 3 ครั้ง ซึ่งก่อนที่จะเดินทางมาในครั้งนี้ ตนได้ประสานงานกับผู้ใหญ่บ้านก้านเหลือง เพื่อจะเดินทางมาทำพิธีถวายศาลาวัดในครั้งนี้ และได้ทราบว่าอนุญาตให้เข้ามาได้ โดยจะต้องมีจำนวนคนเข้ามาไม่เกิน 50 คน ตนจึงได้ลดจำนวนคนลง เหลือเพียง 10 คน และพระ 1 รูป แต่เมื่อมาถึงวัดบ้านก้านเหลือง เพื่อทำบุญก็ปรากฏว่าไม่ได้รับอนุญาตให้ทำพิธีทั้งหมด ตนได้ขออนุญาตว่าขอนำพานพายศรีและเครื่องบูชาขึ้นไปไว้ที่บริเวณลานด้านหน้าพระพิฆเนศ แต่ทางราชการไม่ยินยอม ทำให้ตนและคณะเสียค่าใช้จ่ายไปร่วม 200,000 บาท และสั่งให้พวกตนกักตัว 14 วัน ที่วัดแห่งนี้ ทำให้พวกตนได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก เนื่องจากว่าเป็นห่วงครอบครัวที่อยู่ จังหวัดสมุทรปราการ ไม่คิดว่าจะต้องมาเจอกับเหตุการณ์แบบนี้

พ.ต.อ.เทพพิทักษ์ แสงกล้า ผกก.สภ.เมืองศรีสะเกษ กล่าวว่า เรื่องนี้รัฐบาลได้ออก พ.ร.ก.ฉุกเฉินมาแล้ว และทาง ผวจ.ศรีสะเกษ ได้ออกคำสั่ง จ.ศรีสะเกษ ที่ 1658/2564 มีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 21 เม.ย.64 ที่ผ่านมา เพื่อให้ผู้ที่เดินทางเข้ามา จ.ศรีสะเกษ ที่เดินทางมาจาก 18 จังหวัดพื้นที่ความเสี่ยงสูง จะต้องมารายงานตัวกับเจ้าพนักงานผู้ควบคุมโรค คือ เจ้าหน้าที่สาธารณสุข รพ.สต.กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และจะต้องอยู่กักตัวเป็นเวลา 14 วัน ตามที่ทางคณะกรรมการ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อสม.หรือว่าตามที่ทางสาธารณสุขเป็นผู้สั่งการกักตัว โดยที่ไม่สามารถเดินทางไปที่ไหนได้ เราไม่สามารถละเว้นได้ เราเห็นใจประชาชนเป็นชาวพุทธมาทำบุญ แต่เนื่องจากว่าขณะนี้มีการประกาศเกี่ยวกับการแพร่เชื้อโควิด-19 ผวจ.ศรีสะเกษ ได้ออกคำสั่งไว้รองรับ เราจำเป็นต้องรักษากติกา เพื่อชาติบ้านเมือง เพื่อส่วนรวมเอาไว้ จึงต้องดำเนินการตามกฎหมาย โดยสถานที่กักตัวคือที่ศาลาวัดของวัดบ้านก้านเหลืองแห่งนี้ โดยมีคณะกรรมการทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องมาคอยควบคุมดูแล


ข่าว/ภาพ  บุญทัน ธุศรีวรรณ

บะหมี่สร้างชาติ !! รู้จัก​ Nongshim บะหมี่เบอร์​ 1​ สัญชาติเกาหลีใต้ สำเร็จบนความศรัทธา​ ที่แลกมาด้วยการตัดพี่ตัดน้อง

เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2021 มีการประกาศข่าวเศร้าของวงการนักธุรกิจเกาหลีใต้ว่า นายชิน ชุน-โฮ ผู้ก่อตั้งบริษัท Nongshim ที่เป็นเจ้าของแบรนด์บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปชื่อดัง ยอดขายอันดับ 1 ของเกาหลีใต้ Shin Ramyun ได้เสียชีวิตอย่างสงบในวัย 91 ปี ที่โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยโซล

ชิน ชุน-โฮ นับเป็นนักธุรกิจที่มีใจมุ่งมั่นที่จะทำในสิ่งที่เขาเชื่อมั่นศรัทธา และตลอดระยะเวลานานกว่า 50 ปี เขาอุทิศให้กับการสร้างแบรนด์บะหมี่ ให้กลายเป็นสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่างหนึ่งของเกาหลีใต้ได้สำเร็จ จนปัจจุบันมูลค่าตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของเกาหลีใต้ ก็เติบโตขึ้นอย่างมาก โดดเด่นแซงหน้าอาหารประจำชาติอย่างกิมจิ จนเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก

จุดเริ่มต้นของบริษัท Nongshim เกิดขึ้นจากธุรกิจครอบครัวช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และกลียุคในสงครามเกาหลี ที่ชาวเกาหลีมักเรียกว่าเป็นยุคสร้างชาติ ซึ่งก็ดูเหมือนไม่ต่างจากธุรกิจอื่นๆ​ ทั่วไปที่เริ่มขึ้นจากการช่วยเหลือกันของคนในครอบครัว แต่ไม่ใช่กับ ชิน ชุน-โฮ เพราะเขามีพี่ชายที่ชื่อว่า ชิน คยุก-โฮ

ครอบครัวชิน มีพี่น้องทั้งหมด 9 คน ชาย 4 หญิง 5 ชิน คยุก-โฮ เป็นพี่ชายคนโต ส่วนตัวเขา ชิน ชุน-โฮ เป็นน้องชายคนที่ 3 ต่อมาพี่ชายของเขาขอไปเสี่ยงโชคสร้างตัวในกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น และต่อสู้จนสามารถตั้งบริษัทผลิตหมากฝรั่ง และขนมหวานที่ชื่อว่า Lotte

หลังจากเปิดกิจการมั่นคงแล้ว พี่ชายคนโตของบ้าน เปิดบริษัทย่อยให้น้อง ๆ​ ในครอบครัวมาช่วยกันบริหารภายใต้ แบรนด์ Lotte อีกหลายสิบบริษัท และหนึ่งในนั้นคือ Nongshim ที่ ชิน ชุน-โฮ เป็นคนบริหาร และรับผิดชอบในการผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป และข้าวเกรียบกุ้งแบบญี่ปุ่นออกภายใต้แบรนด์ Lotte

แต่สิ่งที่ ชุน ชุก-โฮ เห็นต่างจากพี่ชายคือ เขามองเห็นโอกาสในธุรกิจบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปว่ามีโอกาสโตมากกว่านี้ และต้องการลงทุนสร้างฝ่ายวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างจริงจัง แต่พี่ชายของเขาไม่สนใจธุรกิจบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเท่าไหร่ และไม่ต้องการให้ใช้แบรนด์ Lotte กับผลิตภัณฑ์บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่ผลิตจากโรงงานของน้องชาย

เรื่องนี้สร้างความบาดหมางครั้งใหญ่ระหว่างพี่น้องตระกูลชิน เป็นเหตุให้​ ชิน ชุน-โฮ ยอมแตกหักกับพี่ชายแล้วแยกตัวออกมาตั้งบริษัทของตัวเอง ที่ชื่อ Nongshim ที่แปลว่า "หัวใจของเกษตรกร" โดยไม่มี Lotte พ่วงท้ายในปี 1978

ซึ่งชิน ชุน-โฮ ตั้งใจที่จะผลิตบะหมี่ ที่ราคาประหยัด ได้คุณค่าทางอาหาร เก็บได้นาน เหมาะสำหรับชาวเกาหลี ที่ต้องทำงานหนักในยุคสร้างชาติ ที่บางฤดูก็ขาดแคลนอาหาร บางวันกินอาหารได้ไม่ครบมื้อ และไม่มีเวลาปรุงอาหารสด อย่างน้อยก็มีบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปรสชาติดี แบบเกาหลีแท้ ๆ​ ติดบ้านไว้กินประทังชีวิตได้

ช่วงที่ ชิน ชุน-โฮ ออกมาสร้างแบรนด์เอง ในเกาหลีใต้มีบริษัทคู่แข่งที่เน้นผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปอยู่แล้ว หนึ่งในนั้นก็คือ Samyang ที่ก็เป็นแบรนด์ฮิตมากจนถึงวันนี้เช่นกัน

ดังนั้น การสร้างรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ และรูปแบบสินค้าให้เป็นที่จดจำได้ จึงเป็นเรื่องสำคัญมาก ซึ่ง​ ชิน ชุน-โฮ ได้ร่วมวงในทีมคิดค้นพัฒนารสชาติให้กับบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของ Nongshim แทบทุกตัว โดยเฉพาะรสชาติเรือธงของแบรนด์ Shin Ramyun บะหมี่รสเผ็ด ซุปแดงที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของบะหมี่สัญชาติเกาหลีใต้

และก่อนที่จะออกมาเป็น Shin Ramyun ชิน ชุน-โฮ ทดสอบพริกกว่า 20 ชนิด ลองแล้วลองอีกกว่าจะได้ ออกมาเป็นรสชาติอย่างที่ต้องการ แล้วตัดสินใจใช้ชื่อ Shin Ramyun ที่หลายคนเคยเข้าใจว่ามาจากนามสกุล "ชิน" ของเขา ซึ่งไม่ใช่ แต่มาจากตัวอักษรจีน ที่แปลว่า "เผ็ด"

พนักงานย้ำถามเขาหลายครั้งว่า เถ้าแก่ชินตั้งใจจะตั้งชื่อแบรนด์ว่า "Shin" หรือ เรียกตรง ๆ ว่าบะหมี่เผ็ดจริง ๆ​ หรือ ซึ่ง ชิน ชุน-โฮ ก็ยืนยัน และยังให้เขียนตัวอักษร Shin "辛" ตัวใหญ่ ๆ​ กลางซองสีแดงให้เด่นชัด ตอกย้ำรสชาติเผ็ดจัด ตามแบบที่คนเกาหลีชอบ และออกวางตลาดครั้งแรกในปี 1986 จนกลายเป็นสินค้าฮิตติดตลาด พาบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปจาก Nongshim กินส่วนแบ่งตลาดเป็นที่ 1 ของเกาหลีใต้ได้จนถึงวันนี้

หลังจากนั้น Nongshim ก็ได้แตกไลน์ออกบะหมี่มาอีกหลายรสชาติ เช่น บะหมี่ซุปซีฟู้ด Neoguri, บะหมี่แห้งซอสดำ Chapaghetti, บะหมี่ซุปกิมจิ Ansungtangmyun นอกจากนี้ Shin Ramyun ยังเคยได้รับการจัดอันดับให้เป็นสุดยอดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่ดีที่สุดในโลกของ New York Times มาแล้วด้วย

ปัจจุบัน Nongshim เปิดโรงงานทั้งในจีน, ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา ส่งออกบะหมี่ไปกว่า 100 ประเทศทั่วโลก ทำรายได้ถึง 1.8 พันล้านเหรียญในแต่ละปี

แต่น่าเสียดายที่ความสำเร็จของ Nongshim ไม่สามารถทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องตระกูลชิน กลับมาดีดังเดิมได้อีก ทั้ง​ ชิน คยุก-โฮ พี่ชายคนโต ผู้กุมบังเหียนกิจการ Lotte และ ชิน ชุน-โฮ ที่เติบใหญ่จากธุรกิจบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปไม่เคยคุยกันอีกเลยหลังจากที่แยกทางกันเดิน และด้วยบุคลิกของ ชิน ชุน-โฮ ที่เป็นคนเงียบ ๆ ไม่ชอบเข้าสังคมเหมือนพี่ชาย และทำแต่งาน ยิ่งทำให้ความสัมพันธ์ห่างเหินจนเกินที่จะประสานต่อกันได้

แม้ว่า ชิน คยุก-โฮ ผู้พี่จะจากไปแล้วเมื่อช่วงเดือนมกราคม 2020 ด้วยวัย 98 ปี ก็ไม่ปรากฏตัวชิน ชุน-โฮ ในงานศพพี่ชายของเขา เช่นเดียวกับงานศพของ ชิน ชุน-โฮ ก็ไม่มีตัวแทนจากครอบครัวของพี่ชายเช่นกัน

หลายครั้งที่การทำธุรกิจต้องแลกกับความสัมพันธ์ในครอบครัว แต่ในใจของ​ ชิน ชุน-โฮ ก็ไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น เขาจึงมักพร่ำสอนให้ลูก ๆ ทั้ง 4 คนของเขารักกันให้มาก ๆ และช่วยกันดูแลบริษัท Nongshim ต่อจากเขาด้วย​ โดยยึดมั่นในคุณภาพ และความซื่อสัตย์

และด้วยความเชื่อมั่น และศรัทธานี้เองที่เป็นส่วนหนึ่งที่ผลักดันให้บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของเกาหลีใต้พัฒนาจนกลายเป็นหนึ่งในสินค้าที่เป็นสัญลักษณ์ของประเทศ ที่คนทั้งโลกรู้จักทันทีที่ได้เห็น และติดใจที่ได้ลิ้มลอง

.

ข้อมูลอ้างอิง :

https://www.straitstimes.com/asia/east-asia/south-koreas-ramyeon-king-leaves-a-spicy-legacy

https://www.ajudaily.com/view/20200218104006727

https://scholarblogs.emory.edu/noodles/2018/06/30/the-role-of-korean-ramyeon-christina-ji-young-chang/

http://www.koreaherald.com/view.php?ud=20210328000167

https://www.nytimes.com/wirecutter/blog/best-instant-noodles/

https://www.statista.com/statistics/687374/south-korea-instant-noodle-brand-market-share/


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit
คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top