Wednesday, 21 May 2025
SPECIAL

'รัฐมนตรีเฉลิมชัย' พร้อมรับมือการอภิปรายไม่ไว้วางใจ มั่นใจตอบได้ทุกประเด็นหลังโชว์ผลงานปฎิรูปกระทรวงเกษตรฯภายใต้ 5 ยุทธศาสตร์คว้าแชมป์ ”คุณธรรมและความโปร่งใส” ประจำปี 2564 ของปปช. 

ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจถือเป็นการทำหน้าที่ของฝ่ายค้านในการตรวจสอบและถ่วงดุลรัฐบาลตามครรลองเสียงข้างมากข้างน้อยของระบบรัฐสภาในระบอบประชาธิปไตย ในส่วนของตนพร้อมชี้แจงทุกประเด็นทั้งเรื่องการบริหารราชการแผ่นดินและประเด็นการทุจริตประพฤติมิชอบรวมทั้งประเด็นอื่นๆที่มีการกล่าวหาหรือมีการตั้งข้อสงสัยเพื่อให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใช้ประกอบดุลยพินิจในการลงมติ ตนเชื่อว่าผลงานคือคำตอบที่ดีที่สุดโดยเฉพาะการบริหารราชการแผ่นดินด้วยคุณธรรมและความโปร่งใสของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งล่าสุด คณะกรรมการ ป.ป.ช. และคณะกรรมการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ ได้จัดทำการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (Integrity and Transparency Assessment : ITA) ประจำปีงบประมาณ 2564 ซึ่งได้กำหนดไว้ตามแผนแม่บท ภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ประเด็นการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ พบว่า หน่วยงานทั้ง23 หน่วยงาน ในสังกัด กระทรวงเกษตและสหกรณ์มีค่าITA อยู่ในระดับA โดยมีคะแนนภาพรวมทั้งสิ้น 92.67 คะแนน สูงกว่าเกณฑ์เฉลี่ยการประเมินภาพรวมทั่วประเทศที่มีค่าเฉลี่ย 81.25 คะแนน
ยิ่งกว่านั้นกระทรวงเกษตรฯ.ยังคว้าอับดับที่1 ของผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสประเภทที่5 (กองทุนและหน่วยงานของรัฐอื่น ๆ) ในระดับ AA มากถึง 3 หน่วยงานได้แก่กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร ได้คะแนนสูงสุดเป็นอันดับหนึ่ง 98.52 %ตามด้วยสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร97.22 %และองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย 96.1 %

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กล่าวต่อไปว่า ความก้าวหน้าพัฒนาของ23หน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นผลมาจากความมุ่งมั่นและการทำงานหนักของทุกคนในองค์กรอย่างต่อเนื่องโดยมุ่งเน้นการปฏิรูป 2 มิติคือการปฏิรูปการบริหารราชการและการปฏิรูปการบริการประชาชนด้วยความรวดเร็วมีประสิทธิภาพโปร่งใสและตรวจสอบได้ภายใต้“5 ยุทธศาสตร์การปฏิรูป” ซึ่งเป็นคานงัดสร้างจุดเปลี่ยนได้แก่
 1.ยุทธศาสตร์ตลาดนําการผลิต
 2. ยุทธศาสตร์เทคโนโลยีเกษตร 4.0 
3. ยุทธศาสตร์ “3’s” (Safety- Security-Sustainability- เกษตรปลอดภัย เกษตรมั่นคงและเกษตรยั่งยืน) 
4. ยุทธศาสตร์การบริหารเชิงรุกแบบบรู ณาการกับทุกภาคส่วน โดยเฉพาะโมเดล ”เกษตร-พาณิชย์ทันสมัย” 
 5. ยุทธศาสตร์เกษตรกรรมยั่งยืนตามแนวทางศาสตร์พระราชา
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะเร่งการดำเนินงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต และจะพัฒนาให้ดียิ่งขึ้นต่อไป

สำหรับผลคะแนนทั้ง 23 หน่วยงานของกระทรวงเกษตรฯ มีดังนี้ 
1. กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาการเกษตร 98.52 คะแนน ระดับ AA
2. สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร 97.22 คะแนน ระดับ AA
3. องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย 96.17 คะแนน ระดับ AA
4. สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง 94.71 คะแนน ระดับ A
5. การยางแห่งประเทศไทย 94.58 คะแนน ระดับ A
6. กรมพัฒนาที่ดิน 94.47 คะแนน ระดับ A
7. สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 93.86 คะแนน ระดับ A
8. กรมส่งเสริมสหกรณ์ 93.80 คะแนน ระดับ A
9. องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร 93.14 คะแนน ระดับ A
10.กรมชลประทาน 93.11 คะแนน ระดับ A
11.สำนักมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ 93.00 คะแนน ระดับ A
12.กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ 92.69 คะแนน ระดับ A
13.สำนักงานพิพิธภัณฑ์เกษตรเฉลิมพระเกียรติฯ 92.62 คะแนน ระดับ A
14.องค์การสะพานปลา 92.29 คะแนน ระดับ A
15.กรมฝนหลวงและการบินเกษตร 92.22 คะแนน ระด
16.กรมวิชาการเกษตร 92.07 คะแนน ระดับ A
17.กรมปศุสัตว์ 91.81 คะแนน ระดับ A
18.กรมส่งเสริมการเกษตร 90.60 คะแนน ระดับ A
19.สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม 90.22 ระดับ A
20.กรมประมง 90.21 คะแนน ระดับ A
21.กรมหม่อนไหม 89.09 คะแนน ระดับ A
22.กรมการข้าว 88.07 คะแนน ระดับ A
23.สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร 87.02 คะแนน ระดับ A 

คณะกรรมการ ป.ป.ช. และคณะกรรมการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ ได้จัดทำการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (Integrity and Transparency Assessment : ITA) โดยในปีนี้มีหน่วยงานภาครัฐเข้าร่วมการประเมินITA 8,300 หน่วยงาน มีประชาชนเข้ามาร่วมตอบแบบสอบถามจำนวน 1,331,588 ราย แบ่งเป็น เจ้าหน้าที่ของรัฐ 471,794 ราย และผู้รับบริการภาครัฐ 859,794 ราย ซึ่งเป็นการประเมินที่มีคนเข้าร่วมมากที่สุดในประเทศไทย โดยมีหน่วยงานทั่วประเทศที่ผ่านเกณฑ์ประเมินซึ่งต้องได้คะแนน85%ขึ้นไป 4,146 หน่วยงาน คิดเป็น 49.95%

ทั้งนี้ การให้คะแนนความโปร่งใสหน่วยงานนั้น สามารถแบ่งเป็นเกรดต่าง ๆ ได้ดังนี้ เกรด AA 95-100 คะแนน / เกรด A 85-94.99 คะแนน / เกรด B 75-84.99 คะแนน / เกรด C 65-74.99 คะแนน / เกรด D 55-64.99 คะแนน / เกรด F 0-54.99 คะแนน  

 โดยหน่วยงานที่ได้รับการประเมินแบ่งเป็น 8 ประเภท มีคะแนนเต็ม 100 คะแนได้แก่1.ประเภทหน่วยงานธุรการขององค์การศาล องค์กรอิสระ องค์กรอัยการ และหน่วยงานในสังกัดรัฐสภา 2.ประเภทส่วนราชการระดับกรม 3.ประเภทรัฐวิสาหกิจ 4.องค์การมหาชน5.กองทุนและหน่วยงานของรัฐ6.สถาบันอุดมศึกษา 7.จังหวัด (เฉพาะส่วนราชการส่วนภูมิภาคระดับจังหวัด) 8.องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ

โลกในยุคปัจจุบัน เป็นยุคที่คนหาเงินง่ายกว่าหาความสุข การเรียนรู้วิธีขจัดทุกข์เพื่อสร้างความสุขที่แท้จริง จึงเป็นศิลปะชีวิตที่จำเป็นทั้งในปัจจุบันและในโลกอนาคต

ไม่มียุคไหนที่จะมีความเจริญด้านเทคโนโลยีเพื่อบำรุงความสุขให้กับมนุษย์เท่ากับยุคนี้  ในทางกลับกันไม่มียุคไหนที่จะทำให้คนมีความทุกข์มากเท่ากับยุคนี้  เป็นเพราะอะไร? ในเมื่อโลกของเรามีพร้อมทุกอย่างเพื่อบำรุงความสุข แต่ทำไมคนเรายังไม่มีความสุขอยู่ดี เป็นเพราะอะไร?

จุดเริ่มต้นของความทุกข์มาจากไหน? พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ว่า ต้นตอความทุกข์ของมนุษย์มาจาก “กิเลส” เช่น ความอยากมี อยากได้ อยากเป็น แม้นว่าคุณจะผ่านชีวิตมาเยอะก็ตาม รู้ว่าอะไรเป็นอะไร รู้ว่าไม่ควรไปยึดติด แต่เราถูกเกมกิเลส และโครงสร้างจิตหลอกอยู่ดี 

คุณลองนึกย้อนไป ในตอนเด็ก เมื่อเราได้ของสิ่งใดมายาก พอได้มาครอบครอง จิตเราก็จะค่อยๆ เข้าไปยึดติด ตอนคุณได้งานมาจากการแข่งขัน คุณชนะการแข่งขันได้งานทำ มีตำแหน่งที่ดี อำนาจก็ยิ่งเป็นตัวเร่งให้เราเข้าไปยึดติดกับตัวตน อยากได้บ้านอยากได้รถ พอคุณได้มาให้สังเกตว่าจิตคุณจะค่อยๆ เข้าไปยึดติด พอไปบ้านเพื่อนที่หลังใหญ่กว่า สวยกว่า แบบทันสมัยกว่า คุณก็เริ่มอยากได้บ้านอีก เห็นไหมคะว่า “ความอยากไม่มีที่สิ้นสุด” จะทำอย่างไรให้เราตามทันกิเลส และบริหารจัดการได้อย่างไร 

วิธีขจัดทุกข์เพิ่มสุข

1. ทุกข์จากความคาดหวัง เกมกิเลสสอนให้คุณคาดหวังกับทุกสิ่ง สอนให้คุณดิ้นรนหาสิ่งของต่างๆ มาเพื่อความสะดวกสบาย พอคุณได้มาครอบครอง จิตของคุณจะเข้าไปยึดว่านี้คือของฉัน จากนั้นคุณก็จะคาดหวังว่าจะต้องเป็นอย่างนั้น จะต้องเป็นอย่างนี้ พอไม่ได้อย่างที่คิด คุณก็รู้สึกผิดหวัง แต่ถ้าคุณไม่อยากใช้ชีวิตอย่างคนผิดหวังซ้ำๆ 

คุณลองคิดใหม่ ในขณะที่คุณตั้งเป้าหมายในชีวิต คุณมีความหวังได้ เพียงแต่ครั้งนี้ไม่ไปคาดหวัง เพียงแต่ทำให้ดีที่สุด ทำให้งานจบให้ได้ ทำให้สุดความสามารถได้แค่ไหนก็แค่นั้น 

2. ทุกข์จากการตีความ เกมกิเลสสอนให้เราประมวลผลและตีความ และส่วนใหญ่ก็จะตีความด้วยการคิดเอาเอง คิดโยงกับประสบการณ์เดิมแล้วก็คิดไปต่างๆ นา เรามองเห็นเรื่องที่เราได้พบเรื่องที่เราได้ฟังจากเหตุผลของเรา ซึ่งไม่ใช่ความจริงตรงหน้า ถ้าคุณต้องการรักษาใจคุณ ไม่อยากให้จิตใจขุ่นมัว ไม่อยากโกรธ เกลียด พยาบาทใครอีกแล้ว  

ลองฝึกคิดใหม่ ให้เป็นผู้ฟังในฐานะเป็นผู้สังเกตการณ์ แค่รับรู้สิ่งที่อยู่ตรงหน้าว่าสิ่งใดกำลังเกิดขึ้นบ้าง ใช้วิธีมองแบบกล้องวิดีโอเห็นอะไรบ้างในจอภาพในตอนนี้ ก็ให้ดูแค่นั้น ห้ามไปตีความว่าเป็นอย่างนั้นว่าเป็นอย่างนี้

3. ทุกข์เกิดจากความอยากและไม่อยาก เกมของกิเลสกระตุ้นทางหู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ ให้คุณรู้สึกอยากได้ อยากมี อยากเป็น ไม่เพียงแค่นั้น เกมของกิเลสยังเล่นงานคุณอีกด้าน คือบางเรื่องคุณไม่อยากให้เกิดแต่ดันเกิด บางคนคุณไม่อยากให้เข้ามาในชีวิตแต่ดันเข้ามา หน้าที่บางอย่างคุณไม่อยากทำ แต่สถานการณ์บังคับให้คุณต้องรับผิดชอบ ไม่ว่าจะเป็นความอยากและความไม่อยาก ก็ทำคุณเกิดความทุกทั้งนั้น ถ้าคุณไม่อยากใช้ชีวิตแบบร้อนรนจิตใจรุ่มร้อนด้วยกิเลสกำลังเผาใจ 

คุณลองคิดใหม่ เลิกมองในสิ่งที่ขาด หันกลับมาอยู่กับสิ่งที่มี และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด พัฒนาต่อยอดกับสิ่งที่คุณมี อยู่กับธรรมชาติ ออกแบบชีวิตให้เรียบง่าย สงบเย็นๆ สบายๆ

โลกในยุคปัจจุบัน เป็นยุคที่คนหาเงินหาง่ายกว่าหาความสุข การเรียนรู้วิธีขจัดทุกข์เพื่อสร้างความสุขที่แท้จริง จึงเป็นศิลปะชีวิตที่จำเป็นทั้งในปัจจุบันและในโลกอนาคต ผู้เขียนเชื่อว่าความสุขของคนเราไม่เหมือนกัน ความต้องการและรสนิยมแตกต่างกันไป แต่ความสุขที่แท้จริงจุดเริ่มต้นเกิดขึ้นจากภายในจิตใจของเราก่อนเสมอ ก่อนให้ผู้อื่น จงให้ตัวเราเองก่อน ให้ในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าให้สิ่งที่ปรนเปรอกิเลสให้เติบโตนะคะ แต่จงเลือกทำในเรื่องที่ขัดเกลาให้จิตของเราสงบเย็นลง สติจะปรากฏตัวเมื่อจิตสงบ และสิ่งเดียวที่จะแก้ปัญหาความรุนแรงที่เกิดขึ้นในชีวิต  คือ “ สติ”

.
เขียนโดย: อ.นิธิมา กุญชร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาบุคลากร โปรเฟสชั่นนอล เทรนเนอร์
#Talktonitima


อ้างอิง
https://th.search.yahoo.com/search?fr=mcafee&type=E211TH1468G0&p=%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%82%E0%B9%81%E0%B8%97%E0%B9%89%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%98%E0%B8%A7%E0%B8%88%E0%B8%99
https://mdk-shop.com/%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%82%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B9%81%E0%B8%97%E0%B9%89%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%AA%E0%B8%B4/
https://www.youtube.com/watch?v=ODgaJnU-ZRU
 

เบื้องหลัง 'พญามังกร' ความยิ่งใหญ่ของจีนยุคใหม่ ใต้ระบอบพรรคคอมมิวนิสต์ จนบางประเทศ 'ต้องเร่งขัดขา' I LOCK LENS GURU EP.43

LOCK LENS GURU รายการที่จะพาทุกคนมาเจาะลึกประเด็นที่น่าสนใจ ไปกับ 'กูรู' ตัวจริง

???? พับกับ กูรู ‘คุณสรวง สิทธิสมาน’
นักเรียนไทยในเซี่ยงไฮ้ ที่ผ่านประสบการณ์ใช้ชีวิตในประเทศจีนมานานกว่า 5 ปี

???? ดำเนินรายการโดย เจ THE STATES TIMES

???? ช่องทางรับชม LIVE 
YouTube: THE STATES TIMES

ติดตามผลงานเพิ่มเติมได้ที่ : https://thestatestimes.com/post/2021080707

.

.

.


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
- ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
- รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
- สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
- แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

สิงคโปร์ ยืนหนึ่ง!! ประเทศที่ ‘พร้อมใช้ยานยนต์อัตโนมัติมากที่สุด’

ช่วงนี้ท่านผู้อ่านน่าจะได้ข่าวเกี่ยวกับการทดลองและทดสอบรถยนต์อัตโนมัติในหลายประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นข่าวที่มาจากประเทศในแถบตะวันตก แต่กลับมีประเทศที่มีความพร้อมในการใช้รถยนต์อัตโนมัติมากที่สุดและอยู่ในภูมิภาคอาเซียน นั่นคือประเทศ “สิงคโปร์”

บริษัท KMPG ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาระดับโลกได้เริ่มศึกษาดัชนีชี้วัดความพร้อมในการใช้รถยนต์ไร้คนในแต่ละประเทศ (Autonomous Vehicles Readiness Index : AVRI) ตั้งแต่ปี 2018 โดยดัชนี AVRI มีการประเมินด้วย 28 หัวข้อชี้วัด ภายใต้ 4 ด้านหลัก คือ นโยบายและกฎหมาย เทคโนโลยีและนวัตกรรม โครงสร้างพื้นฐาน และการยอมรับของผู้บริโภค และการจัดอันดับล่าสุดในปี 2020 สิงคโปร์ได้ถูกจัดอันดับให้เป็นประเทศที่มีความพร้อมในการใช้รถยนต์ไร้คนขับมากที่สุด เบียดเนเธอร์แลนด์ที่เคยอยู่ที่หนึ่งมาสองปีติดกัน

หากมาพิจารณาในรายละเอียด สิงคโปร์ได้คะแนนอันดับหนึ่งในด้านนโยบายและกฎหมาย และการยอมรับของผู้บริโภค โดยสิงคโปร์ได้เริ่มต้นจากการจัดตั้ง Committee on Autonomous Road Transport for Singapore (CARTS) ในปี 2014 เพื่อกำหนดแนวทางและเป้าหมายในการปรับใช้รถยนต์ไร้คนขับ

ต่อมาในปี 2016 รัฐบาลได้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีนันยางจัดตั้ง Centre of Excellence for Testing and Research of AVs-NTU (CETRAN) เพื่อเป็นศูนย์ทดสอบและให้การรับรองรถยนต์อัตโนมัติ ได้มีการออกแบบสนามทดสอบโดยจำลองสภาพถนนในสิงคโปร์ รวมถึงจำลองสถานการณ์สภาพฝนตกและน้ำท่วมขังเพื่อให้การทดสอบใกล้เคียงกับสภาพความเป็นจริงมากที่สุด

ในปี 2019 องค์การขนส่งทางบกของสิงคโปร์ (Land Transport Authority : LTA) ได้ออกมาตรฐานรถยนต์ไร้คนขับ ที่เรียกว่า Technical Reference 68 (TR68) เพื่อกำหนดเป็นแนวทางการพัฒนายานยนต์อัตโนมัติ โดยครอบคลุมถึงพฤติกรรมโดยทั่วไปของยานพาหนะ มาตรฐานความปลอดภัย ความปลอดภัยทางด้านไซเบอร์ และมาตรฐานรูปแบบข้อมูล จากการออกมาตรฐานนี้ส่งผลดีต่อภาคธุรกิจเพราะเป็นการลดความเสี่ยงว่าเทคโนโลยีที่ตนเองลงทุนศึกษาค้นคว้าไปนั้นจะไม่ถูกกำหนดเป็นมาตรฐานในการใช้งานจริง

และความพร้อมในการใช้รถยนต์ไร้คนขับนั้นต้องมีพื้นฐานมาจากการใช้รถยนต์ไฟฟ้า ดังนั้นทางรัฐบาลสิงคโปร์ได้มีการกำหนดนโยบายส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้า โดยกำหนดให้ยกเลิกใช้รถยนต์ที่มีเครื่องยนต์สันดาปภายในหรือรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงภายในปี 2040 และมีนโยบายส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้าโดยผู้ที่ซื้อรถยนต์ไฟฟ้าภายในปี 2023 รัฐบาลสนับสนุนส่วนลดสูงสุดถึงคันละ 20,000 ดอลลาร์สิงคโปร์หรือราว 489,000 บาท ซึ่งเป็นส่วนลดประมาณ 11% ของมูลค่ารถ นอกจากนั้นยังให้ส่วนลดภาษีการใช้ถนนสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า และมีนโยบายขยายจุดชาร์จไฟจาก 1,600 จุดเป็น 28,000 จุดภายในปี 2030

ส่วนการทดสอบวิ่งนั้นในขณะนี้มาถึงขั้นตอนการทดสอบวิ่งบนถนนสาธารณะ โดยในปี 2021 ได้เริ่มใช้รถเมล์อัตโนมัติให้บริการในสองเส้นทางในฝั่งตะวันตกของประเทศ และมีเป้าหมายจะวิ่งทดสอบในเส้นทางฝั่งตะวันตกทั้งหมด สาเหตุที่เลือกทดสอบในฝั่งตะวันตกนั้นเนื่องจากเป็นเขตเมืองใหม่ซึ่งมีประชาการอาศัยอยู่หนาแน่นน้อยกว่าและสภาพการจราจรที่คล่องตัวกว่าทางฝั่งตะวันออกของประเทศ

ในส่วนการยอมรับของผู้ใช้งานเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จต่อการปรับใช้รถยนต์อัตโนมัติ ซึ่งสิงคโปร์ถูกจัดเป็นผู้นำในด้านนี้ โดยมีสาหตุมาจากการทดสอบวิ่งในหลายพื้นที่ส่งผลให้ประชาชนคุ้นชินกับรถยนต์อัตโนมัติ และชาวสิงคโปร์เองมีความคุ้นเคยกับการใช้งานระบบ ICT และมีทักษะสูงทางด้านดิจิตอล นอกจากนั้นชาวสิงคโปร์ยังนิยมการใช้งานแอปพลิเคชันเรียกรถยนต์ ซึ่งเป็นพื้นฐานในการเข้าถึงรถยนต์อัตโนมัติสาธารณะตามความต้องการ

จากตัวอย่างของประเทศสิงคโปร์ สามารถนำมาเป็นกรณีศึกษาที่ดีของแนวทางการปรับใช้รถยนต์อัตโนมัติ เริ่มจากมีหน่วยงานที่ชัดเจนในการวางแผนและติดตามผลการดำเนินงาน การกำหนดนโยบายการส่งเสริมที่ชัดเจนทั้งในด้านงบประมาณสำหรับการวิจัย การกำหนดมาตรฐานต่าง ๆ เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ภาคธุรกิจ รวมถึงการส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้าซึ่งเป็นพื้นฐานของรถยนต์อัตโนมัติ และการพัฒนาทักษะทางด้านดิจิตอลของประชาชนในประเทศซึ่งจะส่งผลต่อการยอมรับการใช้รถยนต์อัตโนมัติ


ขอบคุณข้อมูลที่มา
https://home.kpmg/xx/en/home/insights/2020/06/autonomous-vehicles-readiness-index.html
https://www.lta.gov.sg/content/ltagov/en/newsroom/2019/1/2/joint-media-release-by-the-land-transport-authority-lta-enterprise-singapore-standards-development-organisation-singapo.html
https://www.straitstimes.com/singapore/transport/singapore-budget-2020-push-to-promote-evs-in-move-to-phase-out-petrol-and-diesel
https://www.lta.gov.sg/content/ltagov/en/newsroom/2020/2/news-releases/Supporting_cleaner_and_greener_vehicles.html
https://techwireasia.com/2019/03/how-the-ltas-tr68-fuelled-singapores-autonomous-vehicle-agenda/
https://www.straitstimes.com/singapore/transport/pay-to-ride-on-driverless-buses-in-two-areas-until-april-30
https://www.lta.gov.sg/content/ltagov/en/industry_innovations/technologies/autonomous_vehicles.html


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

"ปฏิรูปตำรวจ" อย่างไรให้เห็นผลจริง? ไม่ใช่เป็นเพียงวาทกรรมและกระแส

กรณีผู้กำกับดังในจังหวัดนครสวรรค์ ทำการทารุณข่มขู่ เพื่อรีดเงินจากพ่อค้ายาเสพติด จนผู้ต้องหาเสียชีวิตบน สน.นั้น กลายมาเป็นประเด็นร้อนที่ทำให้คนพูดถึงการปฏิรูปตำรวจกันอีกครั้ง

แต่การ "ปฏิรูป" ที่ว่า มักจะไม่มีคำตอบว่าจะปฏิรูปเรื่องอะไร เพราะหลายคนที่พูด ก็ไม่รู้ว่าปัญหาที่แท้จริงอยู่ตรงไหนของระบบ บ้างก็แยกไม่ออกระหว่าง "ปัญหาตัวบุคคล" กับ "ปัญหาเชิงระบบ" บางเรื่องระบบไม่ได้มีปัญหา แต่เป็นเรื่องตัวบุคคลที่ไม่ดี

แต่หากมีบุคคลไม่ดีในระบบเยอะ ๆ ก็ย่อมเชื่อได้ว่าเพราะระบบมีปัญหาในการตรวจสอบควบคุม จนคนไม่ดีย่ามใจและทำสิ่งไม่ดี เพราะไม่เกรงกลัวต่อการตรวจสอบ

ทั้งนี้การปฏิรูปตำรวจมีการศึกษาวิจัยจากนักวิชาการและภาคประชาสังคมเป็นระยะเวลายาวนานและมีงานวิจัยหลายชิ้นมาก แต่หากจะให้สรุปใจความสำคัญสั้น ๆ พอสังเขป คงแบ่งได้เป็นประเด็นหลัก ดังนี้

1.) ขอบเขตอำนาจหน้าที่ของตำรวจ
2.) โครงสร้างองค์กรที่ตำรวจสังกัด
3.) การได้มาซึ่งบุคลากรตำรวจในหน่วยต่าง ๆ
4.) โครงสร้างค่าตอบแทนและสวัสดิการตำรวจ

โดยข้อ 3-4 เป็นเรื่องที่มีรายละเอียดปลีกย่อย แต่การจะได้มาซึ่งข้อ 3-4 จำเป็นจะต้องวิเคราะห์ลงไปในประเด็นที่ 1-2 ซึ่งเป็นหัวใจหลักของระบบการตรวจสอบตำรวจเสียก่อน

ขอบเขตอำนาจหน้าที่ของตำรวจ

สิ่งที่ทำให้ตำรวจมีการทุจริต คอร์รัปชัน ใช้อำนาจโดยมิชอบที่สุด คือ การที่ตำรวจ "มีอำนาจมากเกินไป" ทั้งการจับกุม, สืบสวน, สอบสวน และทำสำนวนส่งอัยการ

ซึ่งเปิดช่องให้ตำรวจที่ไม่ดี ใช้อำนาจในการต่อรองหรือกดดันผู้ต้องสงสัยให้สินบนเพื่อให้หลุดคดี หรือแม้แต่ใช้อำนาจในการยัดข้อหาให้กับใครก็ได้ เพราะทำได้ทั้งการจับกุม สืบสวน สอบสวน และเขียนสำนวนส่งอัยการ

ตำรวจในหลายประเทศอย่างสหรัฐอเมริกา มีหน้าที่ในการจับกุมเท่านั้น ในขณะที่การสืบสวน (Investigation) สอบสวน (Inquiry) เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่สืบสวนสอบสวนที่ขึ้นตรงสำนักงานอัยการบ้าง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นบ้าง ต่อผู้ว่าการรัฐบ้าง ต่อรัฐบาลกลางบ้าง ก่อนจะทำสำนวนให้อัยการพิจารณาและยื่นฟ้องต่อศาล

การแยกอำนาจเช่นนี้ เพราะเขาเข้าใจความจริงว่า ตำรวจทุกประเทศใกล้ชิดกับพื้นที่ บุคคล (ทั้งดีและไม่ดี) ซึ่งอาจทำให้มีส่วนเกี่ยวหรือมีผลประโยชน์ร่วมกับบุคคลในพื้นที่

ดังนั้น จึงต้องให้หน่วยงานอื่นจากภายนอกมาทำคดี เพื่อให้เกิดความโปร่งใส และคานอำนาจ/ตรวจสอบไขว้กันไปมา ตำรวจจะไม่สามารถเป็นผู้จับกุม และใช้อำนาจข่มขู่ผู้ต้องหาให้รับสารภาพ หรือใช้อำนาจในการยัดข้อหา หรือเปิดช่องให้มีการติดสินบนหรือรีดส่วยจากผู้ทำผิดได้ หรือถึงทำก็ทำได้ยาก

และเพราะตำรวจมีหน้าที่แค่จับกุม แต่คนสืบสวนสอบสวน และสั่งฟ้องเป็นอีกหน่วยงาน หากจะยัดเงินเพื่อให้หลุดคดีก็ต้องยัดเงินทั้ง ตำรวจ สืบสวนสอบสวน อัยการ ศาล ซึ่งเป็นเรื่องที่ยุ่งยากมาก (ไม่ใช่ทำไม่ได้ แต่มันยุ่งยากและโอกาสถูกจับได้ เนื่องจากความขัดแย้งระหว่างหน่วยงานมีสูง)

โครงสร้างองค์กรที่ตำรวจสังกัด

นอกจากอำนาจหน้าที่ที่มีมากเกินไปแล้ว การที่ตำรวจทั้งประเทศขึ้นตรงต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทำให้ไม่มีการตรวจสอบไขว้กันเองระหว่างหน่วยงานด้วย

ในขณะที่ตำรวจในหลายประเทศขึ้นตรงต่อการปกครองส่วนท้องถิ่น เช่น ในสหรัฐอเมริกา หากประชาชนมีข้อสงสัยในการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจในท้องที่หรือในระดับรัฐ เจ้าหน้าที่ตำรวจจากรัฐบาลกลางหรือ FBI ก็จะเป็นผู้เข้าไปดำเนินการสอบสวน เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและตรวจสอบกันระหว่างตำรวจท้องถิ่นกับตำรวจส่วนกลาง 

และเพราะทั้งสองหน่วยไม่ได้ขึ้นตรงต่อผู้มีอำนาจคนเดียวกัน จึงไม่ต้องเกรงใจหรือกลัวว่าจะมีใครมาสั่งอีกฝ่ายได้ ทุกหน่วยงานล้วนแต่ทำงานตรวจสอบกันเอง ตั้งแต่ตำรวจท้องที่ เจ้าหน้าที่สิบสวนสอบสวน/นักสืบ อัยการ ศาล ตำรวจรัฐบาลกลาง (FBI)

นอกจากนี้การที่ตำรวจขึ้นตรงต่อท้องถิ่น ซึ่งสัมพันธ์กับอำนาจของผู้ว่าการรัฐหรือผู้ว่าราชการจังหวัดที่มาจากการเลือกตั้ง 

หากมีเรื่องฉ้อฉลในวงการตำรวจในระดับเมืองหรือรัฐ ย่อมทำให้ผู้ว่าฯ เสื่อมความนิยม และอาจทำให้แพ้การเลือกตั้ง กลับกันผู้ว่าฯ เองก็ต้องพยายามเอาใจประชาชนที่อยากให้มีการดำเนินการตรวจสอบให้โปร่งใส 

จึงเป็นที่มาว่า 'เสียงของประชาชน' จะช่วยให้การคานอำนาจและตรวจสอบการทำงานของตำรวจที่ขึ้นตรงกับการปกครองส่วนท้องถิ่น 

การกระจายอำนาจตำรวจลงไปยังส่วนภูมิภาค ให้ขึ้นตรงต่อผู้ว่าราชการจังหวัด หรือ ผู้ว่าการตำรวจภูมิภาค แล้วใช้วิธีการตรวจสอบไขว้กันระหว่างตำรวจต่างภูมิภาคที่มีศักดิ์และอำนาจเท่ากัน จะช่วยทำให้อำนาจในองค์กรตำรวจถูกแบ่งออกเป็นหลายส่วน และเมื่อมีปัญหาก็ให้ตรวจสอบไขว้กันเอง

Andrew Mark Cuomo ผู้ว่าการรัฐ New York แถลงการณ์ร่วมกับตำรวจประจำรัฐนิวยอร์ค (N.Y.P.D)

เพราะธรรมชาติของมนุษย์ คือ หากไม่มีกฎเกณฑ์และระบบตรวจสอบคานอำนาจที่ชัดเจน จะทำให้คนลุแก่อำนาจ และไม่กลัวการกระทำผิด 

แม้แต่ประเทศที่เราเชื่อกันว่าระบบตำรวจถูกออกแบบมาดีประมาณหนึ่งแล้วก็ตาม ก็ยังพบเห็นความฉาวโฉ่ได้อยู่ไม่เว้นแต่ละวันไม่ว่าจะการทุจริต ยัดข้อหา กระทำรุนแรง และอื่น ๆ 

ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการมีระบบที่ดี ไม่ได้แปลว่าจะไม่มีการฉ้อฉลหรือทุจริต แต่ระบบที่มีการคานอำนาจกันระหว่างหน่วยงานจะช่วยลดการลุแก่อำนาจของบุคคลที่มีอำนาจ และช่วยทำให้บุคคลที่ไม่ดีนั้นถูกเปิดโปงได้ง่ายกว่าการรวมอำนาจหน้าที่ไว้ที่บุคคลหรือหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งเสมอ

นี่คือหัวใจเบื้องต้นในการปฏิรูปตำรวจที่ต้องเข้าใจกันให้ถูกต้องเสียก่อน มิฉะนั้นแล้วจะเป็นการวนเวียนอยู่กับวาทกรรม “ปฏิรูป” โดยไม่เข้าใจปัญหาที่ต้องการจะปฏิรูป ไปจนถึงการหลงทิศหลงทางไปถกในรายละเอียดปลีกย่อยที่เป็นส่วนประกอบมากกว่าจะเข้าใจแก่นกลางของปัญหาอย่างแท้จริง


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก???? https://lin.ee/vfTXud9

โอกาสในการพัฒนาประเทศ ตอนที่ 1 : การประเมิน ผลลัพธ์ทางสังคม และผลตอบแทนทางสังคมจากการลงทุน

หลายปีที่ผ่านมา มีงานหนึ่งที่ผู้เขียนชื่นชอบเป็นการส่วนตัว นั่นคือ การประกันคุณภาพ การประเมินผลกระทบ รวมไปถึงการประเมินผลลัพธ์ทางสังคม และผลตอบแทนทางสังคมจากการลงทุน โดยผู้เขียนยึดหลักการง่าย ๆ ที่ครูของผู้เขียนเล่าให้ฟังว่า การประกันคุณภาพนั้น แท้ที่จริงคือ “การทำให้ดีกว่าเดิม” พูดง่าย ๆ คือ ก่อให้เกิดการพัฒนา ยิ่งถ้าคนในองค์กรร่วมมือร่วมใจด้วยหลักง่าย ๆ องค์กรนั้นก็พร้อมที่จะก้าวกระโดด และรับมือกับการเปลี่ยนแปลงได้เสมอ ส่วนการประเมินผลกระทบนั้น มีตั้งแต่แบบง่ายจนไปถึงแบบยาก มีทั้งที่ระบุเป็นเงื่อนไขตามกฎหมาย ไปจนถึงหลักการปฏิบัติของธุรกิจทั่วไป กิจการเพื่อสังคม และองค์กรไม่แสวงหากำไร

ในประเทศไทย เรารับวัฒนธรรมการประกันคุณภาพมาหลายแขนง เช่น การประกันคุณภาพ (Quality Assurance-QA) หลักการของ Malcolm Baldrige ที่ใช้รางวัลเป็นแรงผลักดันการพัฒนาและนำมาใช้กับระบบราชการ การบริหารราชการ และการบริหารสถาบันการศึกษาของรัฐและในกำกับของรัฐ ในทางธุรกิจก็อยู่ในรูปแบบของ ISO ซึ่งย่อมาจาก (International Organization for Standardization) คือ องค์การระหว่างประเทศว่าด้วยการมาตรฐาน เป็นองค์กรที่ออกมาตรฐานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ และอุตสาหกรรม ส่วนมาตรฐานที่องค์กรนี้ออกมา เช่น ISO 9000 และ ISO 14000 ซึ่งก็เป็นมาตรฐานที่ว่าด้วยระบบบริหารคุณภาพและระบบบริหารสิ่งแวดล้อม เป็นต้น

ลองคิดเล่น ๆ ว่า ในประเทศไทยหากไม่ใช่อุตสาหกรรมหรือองค์กรที่ใช้มาตรฐาน ISO หรือมาตรฐานอื่นของต่างประเทศที่มีผู้ประเมินเป็นคนนอกและเป็นอิสระ โดยเฉพาะระบบราชการและสถาบันการศึกษา ที่ใช้หลักการที่ดัดแปลงมานั้น ทำให้เกิดปัญหาในเชิงผลลัพธ์ แม้ว่าผลผลิตของหน่วยราชการและสถาบันการศึกษาจะเป็นไปตามเกณฑ์และสะท้อนว่ามีมาตรฐานสูงก็ตาม

ปัญหาที่เกิดขึ้น มาจากการบริหารจัดการการประเมิน และการมุ่งผลผลิต (Output) มากกว่าผลลัพธ์ (Outcome) ทั้งสิ้น

ในขณะที่หน่วยงานที่อยู่ในรูปแบบ “องค์การมหาชน” ที่แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ องค์การมหาชนที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ. 2542 และองค์การมหาชนที่จัดตั้งตามกฎหมายเฉพาะนั้น มีพันธกิจในการประเมินผลกระทบจากการดำเนินงาน ซึ่งหลายแห่งใช้การประเมินผลลัพธ์ทางสังคม และ/หรือ ผลตอบแทนทางสังคมจากลงทุน ในขณะที่บางหน่วยงานใช้การประเมินทั่วไปในการประเมินผลกระทบจากการดำเนินงาน ซึ่งขึ้นอยู่กับผู้ประเมิน ทั้งองค์ความรู้และความเชี่ยวชาญของผู้ประเมิน และความเป็นอิสระของผู้ประเมิน

อย่างไรก็ตาม บทความนี้จะชี้ให้เห็นว่า การประเมินผลลัพธ์ทางสังคม สร้างประโยชน์ให้ประเทศมากกว่า โดยเฉพาะความคุ้มค่าในการลงทุนเพื่อสังคม 

ตัวอย่างที่ผู้อ่านอาจทราบเป็นระยะคือ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหลายแห่งมักสร้างประติมากรรมเสาไฟฟ้า โดยมีผู้รับจ้างเป็นเครือข่ายคล้าย ๆ กัน ลักษณะการจัดซื้อจัดจ้างคล้าย ๆ กัน และผลผลิตที่เป็นเสาไฟประติมากรรมแตกต่างกันตามรูปแบบที่หน่วยงานชื่นชอบ คำถามคือ ผลลัพธ์ของการลงทุนดังกล่าวคือ “แสงสว่าง” ซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐานที่หน่วยงานที่ให้บริการสาธารณะพึงสังวรณ์ ในขณะที่ ผลลัพธ์ดังกล่าวถูกไปผนวกกับ “ความสวยงาม” ทำให้มีต้นทุนการดำเนินการที่สูง ใช้งบประมาณต่อเนื่อง และแลกมาด้วยพื้นที่ที่ต้องรอ “แสงสว่าง” 

กรณีนี้น่าคิดอย่างยิ่งว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการจัดสรรและตรวจสอบงบประมาณนั้น ไม่ได้นำหลักการผลลัพธ์ไปใช้เพียงแต่ดูผลผลิตเท่านั้น

อีกตัวอย่างหนึ่งคือ การที่หน่วยงานสร้างมายาคติ โดยเฉพาะอคติเรื่องการกัดเซาะชายฝั่ง เพื่อสร้างกำแพงกันคลื่น เพื่อ “ความสวยงาม” มากกว่า การสร้างผลลัพธ์เรื่องการแก้ปัญหาการกัดเซาะแบบใช้ “ปัญญา” ทำให้เราเห็นโครงการกำแพงกันคลื่นที่สร้างใหม่ สร้างซ้ำ สร้างได้ต่อเนื่องบนพื้นที่เดิม และมี “มือที่มองไม่เห็น” ได้ประโยชน์จากเรื่องดังกล่าว

อีกตัวอย่างหนึ่งคือ การปลูกป่า โดยการกล่าวอ้างเทศกาลต่าง ๆ และนับผลผลิตต้นไม้ที่ปลูก ไร่ที่ดำเนินการ มากกว่า “ป่าที่ควรจะได้เพิ่ม” หากย้อนกลับไปดูจึงจะเห็นว่า งบประมาณที่สูญเสียไปนั้นมีทั้งตั้งใจให้เป็น และแหล่งสร้างงบประมาณให้ “มือที่มองไม่เห็น” ดังกล่าว

ปัญหาทั้งหมดคือ การไม่ใส่ใจผลลัพธ์ และการไม่ใช้เครื่องมือ ในกระบวนการจัดสรรและตรวจสอบอย่างเพียงพอ

ในประเทศไทยผู้ที่ศึกษาเรื่องการประเมินผลลัพธ์ทางสังคม และผลตอบแทนทางสังคมจากการลงทุนมาอย่างยาวนานต่อเนื่องคนหนึ่ง คือ คุณสฤณี อาชวานันทกุล และคณะ ด้วยความมุ่งหวังอย่างแรงกล้าที่จะเห็นประเทศไทยพัฒนาในทางที่ถูกที่ควร นั่นคือ มีเครื่องมือ และใช้เครื่องมืออย่างถูกต้องในการบริหารหน่วยงานโดยเฉพาะหน่วยงานราชการและสถาบันที่หน่วยงานราชการกำกับดูแล

การใช้ผลลัพธ์ทางสังคมในฐานะเครื่องมือการบริหารจัดการงบประมาณนั้น เป็นการสะท้อนความคุ้มค่าของเงินที่เสียไปกับประโยชน์ที่ได้มาจากการใช้งบประมาณดังกล่าว หลายหน่วยงานถูกตั้งคำถามว่า หน่วยงานนั้น ๆ โดยเฉพาะองค์การมหาชน สร้างคุณูปการใดแก่ประเทศ การตั้งคำถามดังกล่าวไม่ได้เป็นการจับผิด หากแต่เป็นการให้ระลึกว่าการใช้เงินต้องมีความคุ้มค่า โปร่งใส และตรวจสอบได้

ยิ่งไปกว่านั้น การประเมินผลตอบแทนทางสังคมจากการลงทุน (Social Return on Investment-SROI) ซึ่งมีกระบวนการที่ยุ่งยากมากกว่านั้น มีประโยชน์ในการตอบคำถามสังคมในเรื่องการใช้เงินโดยเฉพาะงบประมาณของรัฐถึงความคุ้มค่าดังกล่าว 

สำหรับการประเมินผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม กลุ่มนี้มีทั้ง การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (Environmental Impact Assessment-EIA) การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมสำหรับโครงการ กิจการหรือการดำเนินการที่อาจมีผลกระทบต่อ ทรัพยากรธรรมชาติ คุณภาพสิ่งแวดล้อม สุขภาพ อนามัย คุณภาพชีวิตของประชาชนในชุมชนอย่างรุนแรง (Environmental Health Impact Assessment-EHIA) ซึ่งอยู่ในรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม และ การประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ (Strategic Environmental Assessment-SEA) ซึ่งการประเมินทั้งสามถูกกำหนดในกฎหมายหลักและกฎหมายรองแล้วแต่ประเภท เครื่องมือเหล่านี้ ในระยะหลังมักจะถูกใช้เพื่อสร้างความชอบธรรมให้แก่เจ้าของโครงการ ไม่ว่าจะเป็นรัฐหรือเอกชน เพราะปัญหาเรื่องความไม่เป็นมืออาชีพ และเป็นอิสระ

จะเห็นได้ว่า ประเทศไทยมีเครื่องมือจำนวนมากในการพัฒนาประเทศ ทั้งการพัฒนาหน่วยงานนั้น ๆ ให้มีมาตรฐานและพัฒนาอย่างยั่งยืน การสร้างความมั่นใจในเรื่องการใช้เงิน/งบประมาณอย่างคุ้มค่า การคุ้มครองประโยชน์ของประชาชนจากการดำเนินโครงการรัฐหรือเอกชนที่อาจส่งผลเสียต่อประชาชน ชุมชน สังคม และทรัพยากร หากแต่การใช้เครื่องมือดังกล่าวยังไม่ได้พัฒนาจนกระทั่งเกิดความเป็นอิสระอย่างแท้จริง สร้างความเชื่อมั่น เชื่อใจให้กับประชาชน รวมไปถึงใช้ความรู้ที่ถูกต้องในการพัฒนาประประเทศ

ผู้เขียนเห็นว่า กรณีเช่นนี้ การให้หน่วยงานที่ที่กำหนดงบประมาณและตรวจสอบการใช้งบประมาณควรเป็นผู้สะท้อนเสียงการใช้เครื่องมือที่จำเป็นในการสร้างผลลัพธ์ที่ดีให้กับสังคม การใช้เครื่องมือที่จำเป็นในการคุ้มครองสิทธิของคนตัวเล็ก และการที่ทุกภาคส่วนเห็นคุณค่าของการพัฒนาที่ยั่งยืนมากกว่าการกอบโกยของกลุ่มผลประโยชน์และการกระจายผลประโยชน์ที่บิดเบี้ยว และเป็นต้นทุนที่ขวางโอกาสการพัฒนาประเทศ


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

12 สงครามที่ ‘แพงที่สุด’ ในประวัติศาสตร์สหรัฐอเมริกา

ภาพการอพยพหนีตายออกกรุงคาบูล นครหลวงของอัฟกานิสถานอย่างสับสนวุ่นวายของพลเมืองหลาย ๆ ประเทศ ปรากฏให้เห็นแก่
ชาวโลก เป็นการแสดงถึงความล้มเหลวของรัฐบาลอเมริกันในการทำสงครามครั้งนี้ ด้วยงบประมาณสองล้านล้านเหรียญ (ราวหกสิบ
หกล้านล้านบาท เท่ากับงบประมาณแผ่นดินของประเทศไทยในขณะนี้ราว 21 ปี) จากภาษีของคนอเมริกัน ที่ใช้ในการส่งกองกำลัง และตั้งฐานทัพ การปฏิบัติการร่วมกับพันธมิตร ตลอดจนการฝึกและติดอาวุธให้กับกองทัพอัฟกันตลอด 20 ปี ประสบกับความล้มเหลวภายในเวลาหนึ่งสัปดาห์

แต่สงครามครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่รัฐบาลอเมริกันนำภาษีของอเมริกันชนมาใช้จ่ายมากที่สุดในการทำสงครามใหญ่ทั้งหมด 12 ครั้ง นับตั้งแต่การก่อร่างสร้างประเทศสหรัฐอเมริกาขึ้นมา

มีหลายปัจจัยที่ส่งผลต่อค่าใช้จ่ายในการทำสงคราม จากการศึกษาพิจารณาว่า 12 สงครามที่แพงที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐฯ จากรายงานปี 2010 โดย Congressional Research Service เรื่อง "Costs of Major U. S. Wars" (ซึ่งต่อมามีการประมาณการเปรียบเทียบเป็นมูลค่าของเงินในปี 2019) มีรายละเอียดดังนี้

>> 12.) สงครามปี 1812
- ค่าใช้จ่ายในการทำสงครามของสหรัฐฯ : 1.78 พันล้านดอลลาร์ (ราว 5.874 หมื่นล้านบาท) 
- ระยะเวลา : 2 ปี 8 เดือน 
- ทหารอเมริกันเสียชีวิต : 15,000 นาย 

สหรัฐอเมริกาที่เพิ่งตั้งขึ้นใหม่มีข้อพิพาทกับจักรวรรดิอังกฤษในต้นศตวรรษที่ 19 สหรัฐอเมริกาอ้างว่า อังกฤษกำลังพยายามกีดกันการค้า และบังคับให้ลูกเรือของสหรัฐฯ เข้าประจำการในราชนาวีอังกฤษ ความคับข้องใจที่เกี่ยวข้องกับสงครามของอังกฤษกับฝรั่งเศส สหรัฐอเมริกายังมีความทะเยอทะยานที่จะขยายไปสู่แคนาดาที่อังกฤษควบคุม สหรัฐฯ ไม่ประสบความสำเร็จในการบุกแคนาดา และพ่ายแพ้ในด้านอื่น ๆ รวมถึงกองทัพอังกฤษสามารถยึดและเผากรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ได้

ถึงกระนั้น สหรัฐฯ ก็ยังทนต่อการระดมยิงของกองทัพเรืออังกฤษที่ฐานทัพในเมืองบัลติมอร์ และสามารถเอาชนะอังกฤษในนิวออร์ลีนส์ได้ สนธิสัญญาเกนต์ยุติสงครามที่ยาวนานเกือบสามปี โดยที่สหรัฐฯ รักษาอำนาจอธิปไตยของตนไว้ได้ แต่ถูกขัดขวางไม่ให้ขยายประเทศไปสู่แคนาดาทางเหนือ สงครามครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกในห้าครั้งที่สหรัฐอเมริกาประกาศสงคราม

สงครามปี 1812 ใช้งบประมาณไป 1.78 พันล้านดอลลาร์ ชาวอเมริกันประมาณ 15,000 คนเสียชีวิตในสงครามจากการรบและโรคภัยในสนามรบ

>> 11.) สงครามเม็กซิกัน-อเมริกัน 
- ค่าใช้จ่ายในการทำสงครามของสหรัฐฯ : 2.72 พันล้านดอลลาร์ (ราว 8.976 หมื่นล้านบาท) 
- ระยะเวลา : 1 ปี 9 เดือน 
- ทหารอเมริกันเสียชีวิต : 13,283 นาย 

สงครามเม็กซิกัน-อเมริกันระหว่างปี ค.ศ. 1846 ถึงต้นปี ค.ศ. 1848 มีมูลค่า 2.72 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ประเด็นแห่งความขัดแย้งคือ เท็กซัส ซึ่งได้รับเอกราชจากเม็กซิโกเมื่อสิบปี (ก่อนสงครามฯ) เท็กซัสยังไม่ได้รวมเข้ากับสหรัฐอเมริกา เพราะการรวมเข้าด้วยกันจะทำให้เสียสมดุลระหว่างรัฐทาสและรัฐอิสระที่จัดตั้งขึ้นโดยข้อตกลงการประนีประนอมมิสซูรีในปี ค.ศ. 1820 การปะทะกันตามแนวริโอแกรนด์ทำให้เกิดการปะทะกัน เช่น การรบที่ปาโลอัลโต ซึ่งสหรัฐอเมริกาได้ชัยชนะ สงครามสิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2391 โดยมีสนธิสัญญากัวดาลูเป-อีดัลโก ข้อตกลงดังกล่าวทำให้ริโอแกรนด์เป็นพรมแดนทางใต้ของเท็กซัส และสหรัฐฯ ได้ที่ดินในแคลิฟอร์เนีย ยูทาห์ เนวาดา แอริโซนา และนิวเม็กซิโกในปัจจุบัน

>> 10.) การปฏิวัติอเมริกา (สงครามประกาศอิสรภาพ) 
- ค่าใช้จ่ายในการทำสงครามของสหรัฐฯ : 2.75 พันล้านดอลลาร์ (ราว 9.075 หมื่นล้านบาท) 
- ระยะเวลา : 8 ปี 5 เดือน 
- ทหารอเมริกันเสียชีวิต : 4,435 นาย 

สงครามประกาศอิสรภาพเกินเวลาแปดปีเศษ ทำให้ชาวอาณานิคมอเมริกาหมดค่าใช้จ่ายในการทำสงครามไป 2.75 พันล้านดอลลาร์และทหารอีกราว 4,400 ชีวิต ในขณะที่สงครามเริ่มต้นจากการประท้วงต่อต้านการเก็บภาษีที่ไม่เป็นธรรม มันจบลงด้วยการที่อาณานิคมและพันธมิตรสามารถเอาชนะจักรวรรดิอังกฤษ ซึ่งบรรดาผู้ก่อประเทศใหม่ปฏิเสธโครงสร้างทางสังคมและการเมืองของยุโรปเพื่อสนับสนุนสาธารณรัฐ สนธิสัญญาปารีสยุติสงครามในปี 1783 โดยยอมรับอย่างเป็นทางการว่าสหรัฐฯ เป็นประเทศเอกราชและก่อตั้งพรมแดนขึ้น

>> 9.) สงครามสเปน-อเมริกา
- ค่าใช้จ่ายในการทำสงครามของสหรัฐฯ : 10.33 พันล้านดอลลาร์ (ราว 3.4089 แสนล้านบาท) 
- ระยะเวลา : 4 เดือน 
- ทหารอเมริกันเสียชีวิต : 2,446 นาย 

สงครามครั้งนี้ถูกมองว่าเป็นสงครามสื่อครั้งแรก สื่อมวลชนมีส่วนในการเติมไฟให้กับการมีส่วนร่วมของอเมริกาในการแสวงหาอิสรภาพจากสเปนของคิวบา เมื่อเรือรบยูเอสเอส เมน ซึ่งถูกส่งไปยังกรุงฮาวานาเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของชาวอเมริกัน เกิดระเบิดขึ้นอย่างกะทันหันในปี 1898 เสียงเรียกร้องให้สหรัฐฯ แทรกแซงเพิ่มขึ้น สภาคองเกรสประกาศสงครามอย่างเป็นทางการภายใต้บริบทของลัทธิมอนโร ซึ่งห้ามการแทรกแซงของยุโรปในซีกโลกตะวันตก กองกำลังของสหรัฐฯ เข้าบดขยี้กองกำลังของสเปนทั่วโลก และสหรัฐฯ ได้เกาะกวม เปอร์โตริโก และฟิลิปปินส์ในมหาสมุทรแปซิฟิก อันเป็นผลมาจากสงคราม ทำให้สหรัฐอเมริกากลายเป็นมหาอำนาจระดับโลก

>> 8.2.) สงครามกลางเมืองอเมริกา (ฝ่ายสหพันธ์หรือฝ่ายใต้)
- ค่าใช้จ่ายในการทำสงครามของสหรัฐฯ : 22.99 พันล้านดอลลาร์ (ราว 7.5867 แสนล้านบาท) 
- ระยะเวลา : 4 ปี 
- ทหารอเมริกันเสียชีวิต : 750,000 คน (รวมทั้งฝ่ายเหนือและฝ่ายใต้) 

สงครามกลางเมืองคร่าชีวิตชาวอเมริกัน 750,000 คน ทั้งฝ่ายเหนือและฝ่ายใต้ มากกว่าความขัดแย้งใด ๆ ในสหรัฐอเมริกา สงครามครั้งนี้ส่วนใหญ่สู้รบในประเด็นเรื่องความเป็นทาสและสิทธิของรัฐฯ และส่วนใหญ่เกิดขึ้นในรัฐภาคใต้ ความขัดแย้งเริ่มต้นขึ้นหลังจากเซาท์แคโรไลนาแยกตัวจากสหภาพในปี 1861 สงครามได้ทำให้พื้นที่ทางใต้ส่วนใหญ่ทั้งภูมิภาคเสียหายไปหลายปี นอกจากการต่อสู้ที่มีเป็นที่รู้จักอย่าง Antietam, Bull Run และ Gettysburg ยังมีสงครามกองโจรตามรัฐชายแดนและพื้นที่ความขัดแย้งที่เกี่ยวข้องกับประชาชนพลเรือน สงครามกลางเมืองยุติระบบการเพาะปลูกและสถาบันทาสในภาคใต้ หยุดยั้งความพยายามในการแยกตัวของรัฐทางใต้ของสหรัฐอเมริกาอีกด้วย

>> 8.1.) สงครามกลางเมืองอเมริกา (ฝ่ายสหภาพหรือฝ่ายเหนือ)
- ค่าใช้จ่ายในการทำสงครามของสหรัฐฯ : 68.17 พันล้านดอลลาร์ (ราว 2.2496 ล้านล้านบาท) 
- ระยะเวลา : 4 ปี 
- ทหารอเมริกันเสียชีวิต : 750,000 นาย (รวมทั้งฝ่ายเหนือและฝ่ายใต้) 

เป็นเวลาหลายทศวรรษที่ตัวเลขผู้เสียชีวิตในสงครามกลางเมืองที่ได้รับการยอมรับมาอย่างยาวนานมีประมาณ 620,000 นาย แต่ผลการศึกษาที่ตีพิมพ์ในปี 2011 โดยนักประวัติศาสตร์ เจ. เดวิด แฮคเกอร์ ได้เพิ่มจำนวนขึ้นเป็น 750,000 นาย ซึ่งสูงที่สุดเมื่อเทียบกับความขัดแย้งใด ๆ ในสหรัฐอเมริกา สงครามซึ่งเริ่มขึ้นในปี 1861 ซึ่งสู้รบในปัญหาการเป็นทาสและสิทธิของรัฐฯ จบลงด้วยการยอมแพ้ของ พลเอก Robert E. Lee ต่อ พลเอก Ulysses S. Grant ที่ คฤหาสน์ Appomattox Court มลรัฐเวอร์จิเนียในอีกสี่ปีต่อมา สงครามเพื่อให้สหรัฐอเมริกากลับมาเป็นเป็นหนึ่งเดียวและเลิกทาสได้ทำให้ฝ่ายสหภาพ (ฝ่ายเหนือ) หมดงบประมาณไป 68.17 พันล้านดอลลาร์

>> 7.) สงครามอ่าวเปอร์เซีย
- ค่าใช้จ่ายในการทำสงครามของสหรัฐฯ : 116.6 พันล้านดอลลาร์ (ราว 3.8478 ล้านล้านบาท) 
- ระยะเวลา : 7 เดือน 
- ทหารอเมริกันเสียชีวิต : 383 นาย 

สงครามอ่าวเปอร์เซีย หนึ่งในความขัดแย้งที่สั้นที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐฯ มีมูลค่า 116.6 พันล้านดอลลาร์ หรือราว 0.3% ของ GDP สหรัฐฯ ในปี 1991 ความตึงเครียดเพิ่มขึ้นในตะวันออกกลางเมื่อผู้นำเผด็จการอิรัก ซัดดัม ฮุสเซน บุกคูเวตในเดือนสิงหาคม 1990 แม้จะมีการเรียกร้องจากสหรัฐฯ ให้อิรักถอนตัว แต่ฮุสเซนผู้นำอิรักปฏิเสธ ไม่กี่เดือนต่อมากองกำลังพันธมิตรขนาดใหญ่ที่นำโดยสหรัฐฯ ซึ่งรวมถึงพันธมิตรนาโต้และประเทศในตะวันออกกลาง เช่น อียิปต์และซาอุดิอาระเบีย ได้เริ่มปฏิบัติการพายุทะเลทราย การบุกกินเวลาเพียง 42 วันและจบลงด้วยความหายนะของอิรักในเดือนกุมภาพันธ์ 1991 ฮุสเซนตกลงที่จะยอมรับอำนาจอธิปไตยของคูเวตและทำลายคลังอาวุธที่มีอำนาจทำลายล้างสูง เช่น อาวุธนิวเคลียร์ ชีวภาพ และเคมี

อย่างไรก็ตาม ฮุสเซนยังคงอยู่ในอำนาจ ถือเป็นความขัดแย้งขนาดใหญ่ครั้งแรกหลังจากสงครามเย็น ในขณะนั้นสงครามอ่าวเปอร์เซียได้รับการประกาศให้เป็นความสำเร็จของกองกำลังพันธมิตรนานาชาติ (สงครามครั้งนี้ มีประเทศในตะวันออกกลางร่วมออกค่าใช้จ่ายด้วย อาทิ ซาอุดิอาระเบีย)

>> 6.) สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
- ค่าใช้จ่ายในการทำสงครามของสหรัฐฯ : 381.8 พันล้านดอลลาร์ (ราว 12.5994 ล้านล้านบาท) 
- ระยะเวลา : 1 ปี 7 เดือน 
- ทหารอเมริกันเสียชีวิต : 116,516 นาย 

สงครามปะทุขึ้นในยุโรปในปี 1914 แต่สหรัฐฯ ยังคงความเป็นกลางต่อมาอีกสามปี ครั้งนั้นสถาบันการเงินของอเมริกาพากันเจริญรุ่งโรจน์ โดยการให้กู้ยืมเงินแก่คู่สงคราม ส่วนใหญ่เป็นฝรั่งเศสและสหราชอาณาจักร อย่างไรก็ตามสหรัฐอเมริกาค่อย ๆ ถูกดึงเข้าสู่ความขัดแย้ง ส่วนใหญ่สาเหตุเพราะเยอรมนีใช้การทำสงครามใต้น้ำแบบไม่จำกัดกับเรือทุกลำที่มุ่งหน้าไปยังประเทศต่าง ๆ ที่ตนกำลังสู้รบอยู่ เมื่อหน่วยข่าวกรองของอังกฤษเปิดเผยการสื่อสารจากนักการทูตเยอรมันถึงทูตเม็กซิกันที่เสนอให้เป็นพันธมิตรระหว่างสองประเทศหากสหรัฐฯ เข้าสู่สงครามกับเยอรมนี สหรัฐอเมริกาจึงต้องดำเนินการประกาศสงครามกับเยอรมนีเมื่อวันที่ 2 เมษายน 1917 สงครามโลกครั้งที่ 1 สิ้นสุดลงในอีก 19 เดือนต่อมา มีทหารอเมริกันเสียชีวิตมากกว่า 116,000 นาย ในท้ายที่สุด ความขัดแย้งนี้ทำให้สหรัฐอเมริกาเสียงบประมาณในการทำสงครามถึง 381.8 พันล้านดอลลาร์

>> 5.) สงครามเกาหลี
- ค่าใช้จ่ายในการทำสงครามของสหรัฐฯ : 389.81 พันล้านดอลลาร์ (ราว 12.86373 ล้านล้านบาท) 
- ระยะเวลา : 3 ปี 1 เดือน 
- ทหารอเมริกันเสียชีวิต : 36,574 นาย 

ในเดือนมิถุนายน 1950 กองทัพเกาหลีเหนือซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสหภาพโซเวียตได้ข้ามเส้นขนานที่ 38 ที่แบ่งเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ เป็นการเริ่มสงครามเกาหลี ด้วยความหวาดกลัวต่อการแพร่กระจายของลัทธิคอมมิวนิสต์ ประธานาธิบดีแฮร์รี ทรูแมนซึ่งได้รับการสนับสนุนจากคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติให้ขับไล่กองกำลังเกาหลีเหนือออกจากเกาหลีใต้ อย่างไรก็ตาม พลเอกดักลาส แมคอาเธอร์ได้ไล่ตามทหารเกาหลีเหนือไปยังแม่น้ำยาลู ซึ่งเป็นพรมแดนทางเหนือระหว่างจีนกับคาบสมุทรเกาหลี ชาวจีนตีความการกระทำของพลเอกแมคอาเธอร์ว่าเป็นการทำสงคราม และเข้าร่วมสู่ความขัดแย้ง โดยผลักดันกองทหารของสหประชาชาติลงมาทางตอนใต้ของคาบสมุทร สงครามสิ้นสุดลงในที่สุดหลังจากดไวท์ ไอเซนฮาวร์ ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี และขู่ว่าจะใช้อาวุธนิวเคลียร์ หากชาวเกาหลีเหนือหรือจีนไม่เคารพเส้นขนานที่ 38 ซึ่งเป็นเขตแดนระหว่างสองประเทศในท้ายที่สุด สงครามเกาหลีมีมูลค่า 389.81 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีทหารอเมริกันเสียชีวิตประมาณ 36,000 คน

>> 4.) สงครามเวียดนาม
- ค่าใช้จ่ายในการทำสงครามของสหรัฐฯ  : 843.63 พันล้านดอลลาร์ (ราว 27.83979 ล้านล้านบาท) 
- ระยะเวลา : 17 ปี 9 เดือน 
- ทหารอเมริกันเสียชีวิต : 58,220 นาย 

สงครามในเวียดนามมีมูลค่า 843.63 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ในปี 2019) หรือ 2.3% ของ GDP ของปี 1968 ในตอนท้ายของความขัดแย้ง มีการบันทึกชื่อของทหารที่เสียชีวิตมากกว่า 58,000 คนไว้ที่อนุสรณ์สถานทหารผ่านศึกเวียดนามในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. หลังจากเวียดนามเอาชนะฝรั่งเศสในปี 1954 สิ้นสุดยุคอาณานิคมที่โหดร้าย ตามสนธิสัญญา Geneva กำหนดให้มีการเลือกตั้งในภาคใต้ในปีต่อไป ด้วยความมุ่งมั่นที่จะไม่ปล่อยให้ลัทธิคอมมิวนิสต์แพร่ขยาย สหรัฐฯ ให้การสนับสนุน Ngo Dinh Diem นักการเมืองคาทอลิกเวียดนามที่มีการศึกษาด้วยภาษาฝรั่งเศสในเวียดนามใต้ ในปี 1965 สหรัฐฯ ส่งกองกำลังเข้าไปในเวียดนามใต้ Ngo Dinh Diem ก็ถูกลอบสังหาร และสหรัฐฯ สนับสนุนรัฐบาลเวียดนามใต้ที่นำโดยกองทัพ เวียดนามเหนือและเวียดกง ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากจีนและสหภาพโซเวียตใช้กลยุทธ์แบบกองโจรเพื่อโจมตีกองทหารและฐานทัพของสหรัฐฯ เป็นหลัก ในช่วงปลายทศวรรษ 1960 การสนับสนุนจากสาธารณชนในสงครามในสหรัฐฯ ลดลง และทหารอเมริกันถอนกำลังในปี 1973 และเวียดนามใต้ตกเป็นคอมมิวนิสต์เวียดนามเหนือในเดือนเมษายน 1975

>> 3.) สงครามอิรัก
- ค่าใช้จ่ายในการทำสงครามของสหรัฐฯ : 1.01 ล้านล้านดอลลาร์ (ราว 33.33 ล้านล้านบาท) 
- ระยะเวลา : 7 ปี 5 เดือน 
- ทหารอเมริกันเสียชีวิต : 4,410 นาย 

ความขัดแย้งในอิรักทำให้สหรัฐฯ เสียหายประมาณ 1 ล้านล้านดอลลาร์ ด้วยเชื่อว่าอิรักมีอาวุธที่มีอำนาจทำลายล้างสูง กองกำลังอเมริกันบุกอิรักในปี 2003 และโค่นล้ม ซัดดัม ฮุสเซน รัฐบาลสหรัฐฯ เชื่อว่า การเลือกตั้งในอิรัก เช่นเดียวกับการฝึกอบรมบุคลากรทางทหารเพื่อช่วยให้ภูมิภาคมีเสถียรภาพจะเป็นผลสำเร็จ ถึงกระนั้นประเทศอิรักก็ยังคงถูกทำลายด้วยความขัดแย้งและความหวาดกลัวจนทุกวันนี้

>> 2.) สงครามในอัฟกานิสถาน
- ค่าใช้จ่ายในการทำสงครามของสหรัฐฯ : 2.261 ล้านล้านดอลลาร์ (ราว 74.61 ล้านล้านบาท) 
- ระยะเวลา : 19 ปี 10 เดือน 1 สัปดาห์ 1 วัน 
- ทหารอเมริกันเสียชีวิต : 2,448 นาย 

สหรัฐอเมริกาได้เข้าไปพัวพันกับการต่อสู้อย่างต่อเนื่องในอัฟกานิสถานตั้งแต่ปี 2011 หลังจากการโจมตีของผู้ก่อการร้ายเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2001 สหรัฐอเมริกาได้บุกอัฟกานิสถานประเทศในเอเชียกลางเพื่อขับไล่กลุ่มตอลิบานที่ปกครอง ซึ่งให้การสนับสนุนอัลกออิดะห์ กลุ่มก่อการร้ายที่รับผิดชอบในการโจมตีของผู้ก่อการร้าย 9/11 พร้อมทั้งให้ที่หลบภัย ทว่าตลอดระยะเวลากว่า 17 ปีนับตั้งแต่สงครามเริ่มต้นขึ้น กองทัพสหรัฐฯ ยังไม่สามารถสถาปนาอัฟกานิสถานให้เป็นสถานที่ปลอดภัยและมั่นคงได้ สงครามในอัฟกานิสถานตอนนี้เป็นสงครามเดียวในประวัติศาสตร์การทหารของสหรัฐฯ ที่มีผู้บัญชาการสูงสุดสี่คนเป็นผู้นำในการทำสงคราม ตั้งแต่ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช ถึงบารัค โอบามา โดนัลด์ ทรัมป์ และตอนนี้คือ โจ ไบเดน ไม่มีใครสามารถหาวิธีทำให้สงครามที่ยืดเยื้อยุติลงได้ ประธานาธิบดี โจ ไบเดน ตัดสินใจถอนทหารอเมริกันออกจากอัฟกานิสถาน อันที่มาของการอพยพหลบหนีที่สับสนวุ่นวายของพลเมืองหลาย ๆ ประเทศ ซึ่งปรากฏให้เห็นแก่ชาวโลกในขณะนี้

>> 1.) สงครามโลกครั้งที่สอง 
- ค่าใช้จ่ายในการทำสงครามของสหรัฐฯ : 4.69 ล้านล้าน (ราว 154.77 ล้านล้านบาท) 
- ระยะเวลา : 3 ปี 9 เดือน 
- ทหารอเมริกันเสียชีวิต : 405,399 นาย 

สหรัฐอเมริกาใช้เงินมากกว่า 4 ล้านล้านดอลลาร์หรือ 36% ของ GDP เพื่อต่อสู้กับสงครามโลกครั้งที่สอง ทหารสหรัฐฯ มากกว่า 400,000 นาย ถูกสังหารในความขัดแย้งเพื่อเอาชนะนาซีเยอรมนี อิตาลี และจักรวรรดิญี่ปุ่น การมีส่วนร่วมของสหรัฐฯ เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 1939 หนึ่งวันหลังจากที่ญี่ปุ่นทิ้งระเบิดอ่าวเพิร์ล ฮาวาย อเมริกาประกาศสงครามกับเยอรมนีและอิตาลีอย่างเป็นทางการในอีกสามวันต่อมา หลังจากที่เยอรมนีและอิตาลีประกาศสงครามกับสหรัฐฯ หลังการยึดครองส่วนใหญ่ของยุโรป

เยอรมนีโจมตีสหภาพโซเวียต สหภาพโซเวียตเผชิญกับการบุกทางภาคพื้นดินจากเยอรมนี ก่อนที่สหรัฐฯ และพันธมิตรจะเปิดแนวรบด้านตะวันตกในปี 1944 สงครามยุโรปสิ้นสุดลงในเดือนพฤษภาคม 1945 และญี่ปุ่นยอมจำนนหลังจากที่สหรัฐฯ ทิ้งระเบิดปรมาณูที่เมืองฮิโรชิมา และเมืองนางาซากิในเดือนสิงหาคมปีเดียวกันนั้นเอง สงครามโลกครั้งที่สองทำให้สหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียตกลายเป็นมหาอำนาจที่ใหญ่ที่สุดในโลกและกลายเป็นคู่ขัดแย้งกันในสงครามเย็น

สงครามโลกครั้งที่ 2 ยังคงเป็นความขัดแย้งที่แพงที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกา โดยคิดเป็นเกือบ 36% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศของประเทศในปี 1945 หรือ 4.7 ล้านล้านดอลลาร์ตามค่าเงินดอลลาร์คงที่ที่ปรับอัตราเงินเฟ้อ สงครามในอัฟกานิสถานและอิรักจัดเป็นความขัดแย้งที่แพงที่สุดเป็นอันดับสองและสามในประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกาตามลำดับ สงครามในอัฟกานิสถานเป็นสงครามยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐฯ แม้ว่าจะไม่ใช่สงครามที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ก็ตาม

สงครามหลายครั้งในช่วงแรก ๆ ของประวัติศาสตร์สหรัฐอเมริกา ส่งผลให้สหรัฐฯ ได้ดินแดนและอาณาเขตเพิ่มขึ้น สงครามเม็กซิกัน-อเมริกันในทศวรรษ 1840 ทำให้เกิดอาณาเขตส่วนใหญ่ที่ประกอบขึ้นเป็นภาคตะวันตกเฉียงใต้ในปัจจุบัน ในทำนองเดียวกัน สงครามสเปน-อเมริกาในปลายศตวรรษที่ 19 จบลงด้วยการที่สหรัฐฯ ควบคุมเกาะกวม เปอร์โตริโก และฟิลิปปินส์ในมหาสมุทรแปซิฟิก ผลของสงครามเหล่านี้และอื่น ๆ นำไปสู่การสร้างฐานทัพทหารขนาดใหญ่ทั่วโลกของสหรัฐฯ

ในทุกความขัดแย้งก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง งบประมาณการป้องกันประเทศเกือบทั้งหมดถูกใช้ไปกับความขัดแย้งโดยตรง ซึ่งจัดว่าเป็นการใช้จ่ายในช่วงสงคราม ตัวอย่างเช่น สหรัฐอเมริกาใช้ 1.1% ของ GDP ในปี 1899 เพื่อต่อสู้กับสงครามสเปน-อเมริกา ซึ่งเกือบทั้งงบประมาณการป้องกันประเทศอยู่ที่ 1.5% ของ GDP

แนวโน้มดังกล่าวเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากในช่วงเริ่มต้นของสงครามเย็น เนื่องจากความขัดแย้งทางทหารที่คุกคามอย่างต่อเนื่อง สหรัฐอเมริกาจึงต้องพร้อมสำหรับการทำสงครามเมื่อใดก็ได้ สิ่งนี้นำไปสู่การแข่งขันด้านอวกาศและอาวุธนิวเคลียร์กลายเป็นลำดับความสำคัญระดับชาติ ส่งผลให้การใช้จ่ายในช่วงสงครามและการใช้จ่ายด้านการป้องกันเริ่มแตกต่างกัน ตัวอย่างเช่น ในช่วงสงครามเกาหลี การใช้จ่ายด้านสงครามคิดเป็น 4.2% ของ GDP ในปี 1952 ในขณะที่การใช้จ่ายด้านการป้องกันทั้งหมดคิดเป็นมากกว่า 13% ของ GDP ที่ 649 พันล้านดอลลาร์ในปี 2018 สหรัฐอเมริกาใช้เงินมากที่สุดในการทำสงครามมากกว่าประเทศใด ๆ ในโลก

การเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายในการทำสงครามในช่วงเกือบ 250 ปีอาจเป็นเรื่องยาก ในขณะที่จัดทำรายงานมีความพยายามแก้ไขอัตราเงินเฟ้อโดยคำนวณต้นทุนของสงครามแต่ละครั้งให้มูลค่าเป็นปัจจุบัน การปรับอัตราเงินเฟ้อไม่ได้คำนึงถึงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี เป็นไปได้อย่างยิ่งที่สงครามจะมีราคาแพงขึ้นเมื่อเวลาผ่านไปเนื่องจากความซับซ้อนและการใช้เทคโนโลยีเพิ่มขึ้น ผลพลอยได้จากการผลิตวัสดุสงครามคือการสร้างผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์ที่คิดค้นโดยกองทัพ ค่าใช้จ่ายในการทำสงคราม ยังไม่รวมสวัสดิการและค่าใช้จ่ายในการดูแลทหารผ่านศึก ดอกเบี้ยเงินกู้ของเงินทุนที่ใช้ในการทำสงคราม และความช่วยเหลือแก่พันธมิตรชาติต่าง ๆ อีกมหาศาล

สำคัญที่สุดคือ รัฐบาลและกองทัพอเมริกันน่าจะไม่ได้ทำการสรุปบทเรียนจากความล้มเหลวในการทำสงคราม เพื่อเป็นข้อมูลในกรณีศึกษาความผิดพลาดล้มเหลวเพื่อไม่ให้เกิดขึ้นอีก กรณีที่เกิดขึ้นในสมรภูมิ "อัฟกานิสถาน" ถือได้ว่าเป็นสมรภูมิ "เวียดนาม" แห่งที่สองของกองทัพอเมริกัน ซึ่งเคยมีบทเรียนจากทั้งความล้มเหลวในเวียดนาม และของกองทัพอดีตสหภาพโซเวียตในสมรภูมิแห่งนี้คงไม่ได้นำมาสรุปทบทวนเพื่อวางแผนปรับปรุงแก้ไขในการทำสงครามตลอดเกือบ 20 ปีที่ผ่านมาเลย หรืออาจมีคนทำแล้วแต่บุคคลระดับสูงไม่ได้ให้ความสนใจ เรื่องราวของสงครามอัฟกานิสถานจึงจบด้วยเงินภาษีของคนอเมริกันกว่าสองล้านล้านเหรียญ ดังที่เห็นเป็นข่าวในเวลานี้


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

อาการฝันเปียก เป็นส่วนหนึ่งในการเจริญเติบโตของเพศชาย โดยเกิดจากการฝันถึงเรื่องเพศ หรือการมีเพศสัมพันธ์ในความฝัน!!

สวัสดีค่ะ กลับมาพบกับป้าหมึกคนน่ารักอีกเช่นเคย ในวันนี้ป้าก็มีเรื่องที่อยากจะมาเล่าอีกเช่นเคย หนุ่ม ๆ ทุกคนก็คงจะมีประสบการณ์ผ่านเหตุการณ์นี้ไปบ้างแล้ว นั่นก็คือ “อาการฝันเปียก” นั่นเอง แล้วฝันเปียกเนี่ยเกิดจากอะไร วันนี้ป้ามีคำตอบมาให้แล้วค่ะ 

อาการฝันเปียก เป็นส่วนหนึ่งในการเจริญเติบโตของเพศชาย โดยเกิดจากการฝันไปถึงเรื่องเพศหรือการมีเพศสัมพันธ์ในความฝัน ร่างกายตอบสนองจนทำให้อวัยวะเพศแข็งตัว เมื่อถึงจุดสุดยอดหรือ Orgasm ก็จะหลั่งน้ำอสุจิออกมา 

โดยอาการฝันเปียกไม่ใช่อาการหรือลักษณะของโรคนะคะ แต่เป็นกระบวนการหนึ่งในการเจริญเติบโตของร่างกาย ซึ่งในเพศชายเมื่อฮอร์โมน Testosterone พุ่งพลานแล้วเนี่ยก็จะเกิดอาการฝันเปียกขึ้นมานั่นเองค่ะ โดยเมื่อร่างกายของเพศชายเติบโตขึ้นเจริญพันธุ์แล้วอาการฝันเปียกก็จะหมดไปค่ะ ไม่ใช่เรื่องที่ต้องน่าห่วงอะไร 

ซึ่งอาการฝันเปียกนี้หลาย ๆ คนอาจจะไม่ทราบนะคะว่าในเพศหญิงอย่างเรา ๆ ก็สามารถเกิดขึ้นได้เช่นกันค่ะ (อุ้ปส์ !) แต่ไม่ใช่อาการฝันเปียกแบบผู้ชายนะคะ เป็นการที่เพศหญิงมีความฝันในเรื่องเกี่ยวกับเพศแล้วก็ถึงจุดสุดยอดเช่นเดียวกันกับเพศชายค่ะ 

แต่ก็มีหนุ่ม ๆ หลาย ๆ คนอาจจะยังไม่เคยมีเหตุการณ์ฝันเปียกก็ไม่ต้องตกใจไปนะคะ ร่างกายของคนเราไม่เหมือนกัน บางคนอาจจะเกิดอาการฝันเปียกหลาย ๆ ก็เพราะว่าเกิดจากการที่ร่างกายเจริญเติบโตมากขึ้น โดยอาการฝันเปียกจะลดลงหรือหายไปเมื่อผู้ชายได้หลั่งอสุจิออกไปผ่านการช่วยตัวเองหรือการมีเพศสัมพันธ์ (ต้องป้องกันโดยการใส่ถุงยางอนามัยด้วยนะคะ ! )

ถ้าเกิดการฝันเปียกแล้วนั้น หลังจากตื่นนอนก็ควรทำความสะอาดอวัยวะเพศทั้งบริเวณองคชาต  หนังหุ้มปลายองคชาต และถุงอัณฑะ โดยสบู่และล้างด้วยน้ำสะอาดและเช็ดให้แห้งเพื่อไม่ให้เกิดอาการอับชื้น 

แต่หลาย ๆ คนอาจจะรู้สึกว่าอาการฝันเปียกเป็นสิ่งที่รบกวนจิตใจและมีผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ป้าก็มีวิธีที่จะช่วยบรรเทาจากอาการฝันเปียกนี้ได้ค่ะ 

1.) หาเวลาว่างในการปลดปล่อย ช่วยตัวเอง หรือการมีเพศสัมพันธ์โดยการป้องกัน 
2.) หาเวลาผ่อนคลายสมอง เช่นการอ่านหนังสือ หรือ ดูหนัง
3.) ทำความเข้าใจกับร่างกายของตัวเอง และ ไม่หมกมุ่นในเรื่องเพศ
4.) ถ้าเกิดการหมกมุ่นมาก ๆ ควรปรึกษาจิตแพทย์เพื่อรับการบำบัด 

และนี่ก็เป็นสิ่งที่ป้าอยากจะนำมาบอกเล่าประจำสัปดาห์นี้ อาการฝันเปียกไม่ใช่เรื่องน่าวิตกกังวลอะไรค่ะ แล้วก็อาการนี้เมื่อผ่านพ้นไปได้สักระยะร่างกายก็จะปรับสมดุลได้เอง เรื่องเพศเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนและเราควรทำความเข้าใจกับร่างกายของตัวเองให้ได้มากที่สุดนะคะ ไว้พบกันใหม่นะคะ Have a good day (:
.
เขียนโดย: ป้าหมึกอยากเล่า หญิงใหญ่แห่งท้องทะเล ผู้สรรหาความรู้ในเรื่องที่อยากเล่า


แหล่งที่มา 
https://www.pobpad.com/ฝันเปียก
https://men.kapook.com/view205879.html

Hiking บนสันเขาสวิส เต็มอิ่มไปกับวิวทิวทัศน์ที่สวยงาม สวยสะกดและน่าประทับใจ เส้นทางที่คนสวิสว่ากันว่า “ควรมาสักครั้งในชีวิต”

ถ้าพูดถึงการพักผ่อนหย่อนใจหรือใช้เวลาว่างของคนสวิสแล้ว จะต้องมี Hikking หรือ Trekking การเดินท่องเที่ยวตามเทือกเขาลำเนาไพรรวมอยู่ด้วยแน่ ๆ และสวิสก็ขึ้นชื่อเรื่องวิวทิวทัศน์ที่สวยงามอยู่แล้ว ทำให้การเดินป่าเดินเขาไม่น่าเบื่อเลย แม้ว่าเส้นทาง Hiking จะใช้เวลา 2-8 ชั่วโมงในการเดินทางไปและกลับ โดยมีปลายทางสิ้นสุดคือกลับมาที่จุดเริ่มต้น การเดินอาจจะเดินไปและกลับบนเส้นทางเดิม หรือเดินเป็นวงรอบกลับมาที่จุดเดิม หรือบางเส้นทาง Hiking อาจจะมีจุดเริ่มต้นและสิ้นสุดเป็นคนละที่ แต่เส้นทาง Hiking มีการจัดตามระดับความฟิตของแต่ละคนอีกด้วย

มาดูระดับความฟิต และป้ายบอกเส้นทางแบบคร่าว ๆ กัน 

1. T1 Hiking จะมีป้ายบอกเป็นสีเหลือง
2. T2 Mountain hiking จะมีป้ายบอกเป็นสีขาวแดงขาว
3. T3 Challenging mountain hiking สีขาวแดงขาวเหมือน T2 
4. T4 Alpine hiking จะเป็นสีขาวฟ้าขาว 
5. T5 Challenging Alpine hiking สีขาวฟ้าขาวเหมือน T4
6. T6 Difficult Alpine hiking ส่วนใหญ่ไม่มีป้ายบอกเป็นกิจลักษณะ
7. Winter hiking ป้ายจะเป็นสีชมพู

เอาหล่ะ !! มาถึงเส้นทางที่เราจะพูดถึงกันในวันนี้ดีกว่า วี่เลือกเป็นเส้นทางสันเขาระดับ T3 เหมือนว่าจะง่าย ๆ แต่ทางขึ้น ๆ ลง ๆ เอาเรื่องเพราะเป็นการข้ามจากอีกเขามาอีกเขา แต่รับรองว่าทำให้หัวใจเต้นรัว ๆ ได้เลยทีเดียว 

ส่วนใหญ่เวลาวี่มาที่นี่จะขับรถมาที่ Schwyz (ชวีส)-Schlatti (ชรัตตี้) เป็นรัฐตอนกลางของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ที่มีชื่อเสียงด้านการท่องเที่ยว จากตรงนี้เราจะเจอกับ Funicular Railway ทางรถรางที่มีเส้นทางที่ชันที่สุดในโลก ซึ่งหลังจากใช้เวลาในการวางแผนและก่อสร้างจนแล้วเสร็จใช้เวลาประมาณ 14 ปี ก็ได้มีการเปิดตัวไปเมื่อ 15 ธันวาคม 2017 แทนที่เก่าที่สร้างมาตั้งแต่ปี 1933 วิ่งที่ความสูง 744 เมตรจากระดับน้ำทะเลระหว่างเมือง Schywz Schlatti ไปยังหมู่บ้านในหุบเขา Stoos โดยมีความลาดเอียง 110% เลยทีเดียว และสามารถจุคนได้ถึงครั้งละ 136 คน โดยทำลายสถิติโลกก่อนหน้านี้ ที่เคยเป็นของเป็นของ Gelmerbahn (เกลเมอร์บาน) ที่เมือง Bern ของสวิส โดยมีความชันอยู่ที่ 106% ส่วนอันดับที่สามอยู่ที่อังกฤษใน East Hill Cliff Railway โดยมีความชันอยู่ที่ 78%

ส่วนใหญ่การมาที่หมู่บ้าน Stoos ก็มักจะมีจุดหมายปลายทางที่ Fronalpstock (ฟรอนอัลปชต๊อก) ยอดเขาที่อยู่เหนือหมู่บ้านขึ้นไป เป็นจุดชมวิวที่สามารถมองเห็นทะเลสาบได้ถึง 10 ทะเลสาบด้วยกัน (ถ้าอากาศดีฟ้าเปิดนะ) เช่น Vierwaldstättersee (เฟียร์วัลชแต๊ตเตอร์เซ), Zugersee (ซูเกอร์เซ), Ägerisee (แอเกอร์รี่เซ) และอื่น ๆ แถมยังมีร้านอาหารที่นั่งได้ทั้งด้านในและด้านนอกสำหรับดื่มกาแฟชิล ๆ ยามมีแดด 

อ้อ !! แล้วมีชาวบ้านแถวนี้เอาชีสภูเขามาขายด้วย จะแอบบอกว่าอร่อยมาก ๆ โดยจากหมู่บ้าน Stoos เราจะต้องนั่ง chairlift (กระเช้าห้อยขา 6 ที่นั่ง)  ขึ้นไปสู่ยอดเขาอีกสองต่อถึงจะไปถึงยอดเขา Fronalpstock (ฟรอนอัลปชต๊อก) แต่วี่ไม่ได้ไปแบบนั้นหลังจากนั่ง funicular railway มาที่หมู่บ้าน Stoos แล้ววี่เดินไปขึ้น Chairlift เพื่อขึ้นไปที่ยอดเขา Klingenstock (คลิ้งเง่นชต๊อก) เพื่อเดินข้ามเขาไปที่ Fronalpstock นั่นแหล่ะ 

การเดินบนสันเขาจาก Klingenstock ไป Fronalpstock ระยะทางประมาณ 4.7 กิโลเมตร และจะมีการไต่ระดับความสูงประมาณ 402 เมตร เส้นทางค่อนข้างเล็ก บางช่วงบางตอนที่เป็นทางอันตรายก็มีราวให้เกาะเดินด้วย คนสวิสจะใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง แต่วี่ใช้เวลารวมพักกินข้าวและหยุดถ่ายรูปเป็นระยะ ๆ รวมแล้วประมาณ 3 ชั่วโมงนิด ๆ 

วิวบนสันเขานี้สามารถใช้คำว่า ‘Breathtaking’ ได้จริง ๆ สวยสะกดและน่าประทับใจที่สุด เส้นทางนี้เป็นเส้นทางที่คนสวิสว่ากันว่าควรมาสักครั้งในชีวิต ส่วนตัววี่เองนั้นมาทุกปีเพื่อ Hiking เป็น The must คือเป็นทริปบังคับของตัวเอง เพราะรักบรรยากาศและวิวที่นี่มาก ตอนที่พาแม่มา แม่บอกว่าที่นี่สวยกว่า Jungfrau Joch (ยุงเฟรายอค) อีกนะ (แต่นี่เป็นเพียงความเห็นส่วนตัวเท่านั้น) อยากรู้ว่าจริงไหมก็แนะนำให้มาลองด้วยตัวเองสักครั้งเถอะ

ส่วนราคาค่าขึ้นก็ไม่แพงเลยจริง ๆ ราคาอยู่ที่ 46 สวิสฟรังค์ หรือประมาณ 1,600 บาทไทย ถ้ามีบัตรครึ่งราคา ก็อยู่ที่ 36 ฟรังค์ หรือประมาณ 1,200 บาทเท่านั้น ถ้าเทียบกับวิวและบรรยากาศต้องบอกว่าเกินคุ้มจริง ๆ และเป็นการขึ้น funicular railway หนึ่งต่อบวก chairlift อีกสองต่อ คือคุ้มสุด ๆ 

และแนะนำว่าถ้าจะขึ้นไปเดินบนสันเขาเส้นทาง Klingenstock-Fronalpstock ควรจะใส่รองเท้าสำหรับ Hiking และเตรียมน้ำดื่มสำหรับระหว่างทาง เสื้อกันลม และเสื้อกันหนาวให้พร้อมเพราะอยู่ที่ความสูงถึง 1920 เมตรจากระดับน้ำทะเลเลยทีเดียว อากาศอาจบาง ๆ นิดหน่อย ถ้าไปวันที่อากาศดี ฟ้าเปิดจะมองเห็นความสวยงามไปได้ไกลสุดลูกตาเลยทีเดียว 

บางครั้งการพาตัวเองไปอยู่กับธรรมชาติมันเยียวยาชีวิตประจำวันที่แสนจะวุ่นวายได้ดีเหลือเกิน นี่แหล่ะธรรมชาติบำบัด เวลาเราออกเดินทางและเมื่อตอนเย็นที่เรากลับบ้านหัวเราอาจจะยุ่ง ๆ รองเท้าเราอาจจะเลอะเทอะ แต่แบตเตอรี่หัวใจของเรามันจะเต็มเปี่ยมเลยนะ ลองดูสิ


เขียนโดย: วีวี่ เซเลบภูเขา 
ตาล หรือ วีวี่ สาวสัตหีบชาวไทย เรื่องราวที่อยากบอกเล่า จากประสบการณ์ชีวิตมากกว่า 21 ปี ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์
 

สุรินทร์ - ประธานหอการค้าจังหวัดสุรินทร์ มอบเครื่องวัดปริมาณ ออกซิเจนในเลือดปลายนิ้ว ตามโครงการ “หอการค้าเพื่อคนสุรินทร์ไม่ทิ้งกัน”

นายวีรศักดิ์  พิษณุวงษ์  ประธานหอการค้าจังหวัดสุรินทร์ และคณะฯ นำเครื่องวัดปริมาณ ออกซิเจนในเลือดปลายนิ้ว จำนวน 480 เครื่อง มอบให้แก่สำนักงานเหล่ากาชาดจังหวัดสุรินทร์ เพื่อนำไปใช้กับ ผู้ป่วยที่ติดเชื้อโควิด-19 ในพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ ตามโครงการ “หอการค้าเพื่อคนสุรินทร์ไม่ทิ้งกัน”  โดยหอการค้าจังหวัดสุรินทร์ ร่วมกับ สภาอุตสาหกรรมจังหวัดสุรินทร์ และ YEC สุรินทร์  โดยมี นางจันทร์เพ็ญ กิติภัทย์พิบูลย์  นายกเหล่ากาชาดจังหวัดสุรินทร์ เป็นผู้รับมอบ  หลังจากนั้น นายวีรศักดิ์  พิษณุวงษ์  ประธานหอการค้าจังหวัดสุรินทร์ ร่วมกับ คณะครูโรงเรียนวาณิชย์นุกูลสุรินทร์ใช้เวลาว่างที่ต้องหยุดการสอน ทำอาหาร มอบให้กับบุคลากรทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน และผู้ป่วยที่พักรักษาตัวที่โรงพยาบาลสนาม ที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เพื่อเป็นอีกหนึ่งกำลังใจจากครู สู่ นักรบชุดขาว

โรงเรียนวาณิชย์นุกูล นำโดยนางเพ็ญศรี เงางาม ผู้อำนวยการโรงเรียนวาณิชย์นุกูลร่วมกับคณะครู ใช้เวลาว่างจากการปิดโรงเรียน ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ได้ร่วมกันลงมือทำอาหารกล่อง จำนวนกว่า 600 กล่อง ต่อสัปดาห์ โดยได้ร่วมกับหอการค้าจังหวัดสุรินทร์ ได้ร่วมอบของใช้ประจำตัวสำหรับผู้ป่วยเช่น สบู่ ยาสระผม ยาสีฟัน แป้งฝุ่น และน้ำดื่ม ให้กับแพทย์ พยาบาล และผู้ป่วยผู้ป่วยที่ พักรักษาตัวที่โรงพยาบาลสนาม ณ ศูนย์ปฏิบัติธรรมหลวงปู่ดุลย์ อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์  โดยโรงพยาบาลสนามปฏิบัติธรรมหลวงปู่ดุลย์ เป็นโรงพยาบาลสนามสำหรับผู้ป่วยหญิง เขตอำเภอเมือง มีจำนวนเตียง 290 เตียง 

ขณะนี้มีผู้ป่วยครองเตียงแล้วจำนวน 210 เตียง ยังคงว่างอีกเพียง 80 เตียง อย่างไรก็ตามทางทีมแพทย์เตรียมขยายเตียงเพิ่มขึ้น เพื่อรองรับหากมีผู้ป่วยมากขึ้นกว่านี้ นายวรากร โรจน์จรัสไพศาล นายกสมาคมศิษย์เก่า โรงเรียนวาณิชย์นุกูล กล่าวว่า เนื่องจากโรงเรียนวาวาณิชย์นุกูล ซึ่งเป็นโรงเรียนเอกชน ของคนสุรินทร์ ที่ก่อตั้งมายาวนานกว่า 60 ปี ทางสมาคมศิษย์เก่าจึงได้มีมติ ต้องการช่วยเหลือแพทย์ พยาบาล และผู้ป่วยที่มีเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื่องจากที่จังหวัดสุรินทร์ได้เกิดคัตร์สเตอร์ตลาดสดเทศบาล และยังคงกระจายไปเกือบทั่วพื้นที่ อำเภอเมือง ทั้งนี้อาหารกล่องเป็นฝีมือการทำอาหารของคณะครูและบุคลากรโรงเรียน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งน้ำใจของคุณครู ที่ต้องการเป็นกำลังใจให้กับด่านหน้าและผู้ป่วย ให้ผ่านพ้นวิกฤตินี้ไปด้วยกัน


ภาพ/ข่าว  ปุรุศักดิ์ แสนกล้า 

ปัตตานี - จัดโครงการคลินิกเกษตรเคลื่อนที่ฯ 12 อำเภอ บรรเทาความเดือดร้อนแก่เกษตรกรในสถานการณ์การโควิด-19เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว

วันที่ 26 สิงหาคม 2564 เวลา 09.00 น. หน่วยงานสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ของจังหวัดปัตตานี ได้บูรณาการเปิดให้บริการประชาชนภายใต้โครงการคลินิกเกษตรเคลื่อนที่ เนื่องในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว 28 กรกฎาคม 2564 ณ สำนักงานเกษตรจังหวัดปัตตานี

นายชาลี สิตบุศย์ เกษตรจังหวัดปัตตานี เปิดเผยว่า การจัดงานคลินิกเกษตรเคลื่อนที่ เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ในครั้งนี้ เป็นการดำเนินงานภายใต้ความร่วมมือของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จำนวน 14 หน่วยงาน กิจกรรมภายในงานมีการจัดนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติฯ การปล่อยขบวนรถคาราวานออกให้บริการความรู้และปัจจัยการผลิตแก่เกษตรกร ณ จุดให้บริการในพื้นที่ทั้ง 12 อำเภอ มีเป้าหมายเกษตรกร 360 ราย เพื่อให้บริการแก้ไขปัญหาด้านการเกษตรอย่างรวดเร็วทั่วถึงและครบถ้วน เป็นการบรรเทาความเดือดร้อนแก่เกษตรกรในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019


ภาพ/ข่าว  นายปรีชา สถิตย์เรืองศักดิ์ / หาดใหญ่ จ.สงขลา

กรุงเทพฯ - ผบ.ทร.มอบเสื้อเบลเซอร์ให้ "น้องแต้ว" ส่งเรียนหลักสูตรนายทหารสัญาบัตร จ่อติดยศเรือตรี

พลเรือเอก ชาติชาย ศรีวรขาน ผู้บัญชาการทหารเรือ มอบเครื่องหมายความสามารถการกีฬา ของกองทัพเรือ(เสื้อเบลเซอร์)ประจำปี 2564 พร้อม ส่งเข้าอบรมหลักสูตรข้าราชการกลาโหมพลเรือนชั้นสัญญาบัตร ซึ่งเมื่อจบหลักสูตรแล้วจึงจะสามารถเข้ารับการ ประดับยศเรือตรี และยังมอบเงินรางวัลพิเศษ ให้แก่ "น้องแต้ว"อาสาสมัครทหารพรานหญิง สุดาพร สีสอนดี นักกีฬาเหรียญทองแดงกีฬาโอลิมปิก ครั้งที่ 32 เป็นกรณีพิเศษ

เมื่อวันที่ 26 ส.ค.64 พลเรือเอก ชาติชาย ศรีวรขาน ผู้บัญชาการทหารเรือ เป็นประธานในพิธีมอบเครื่องหมายความสามารถการกีฬาของกองทัพเรือ ประจำปี 2564 พร้อมเงินรางวัลพิเศษ ให้แก่ อาสาสมัครทหารพรานหญิง สุดาพร สีสอนดี นักกีฬามวยสากลหญิงทีมชาติไทย เป็นกรณีพิเศษ ณ ห้องรับรอง กองบัญชาการกองทัพเรือ พระราชวังเดิม โดยมี นายพิชัย ชุณหวชิร นายกสมาคมกีฬามวยสากลแห่งประเทศไทย พลเรือเอก วศินสรรพ์ จันทวรินทร์ ที่ปรึกษาพิเศษกองทัพเรือ/ประธานกรรมการบริหารสวัสดิการกีฬากองทัพเรือ พลเรือโท รณรงค์ สิทธินันทน์ ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน

พลตำรวจโท ชัยวัฒน์ โชติมา เลขาธิการสมาคมกีฬามวยสากลแห่งประเทศไทย นายสมชาย พูลสวัสดิ์ อุปนายกสมาคม/ประธานฝ่ายพัฒนาเทคนิค/ผู้จัดการทีม พลเรือตรี ดุลยพัฒน์ ลอยรัตน์ เจ้ากรมสวัสดิการทหารเรือ/ ประธานกรรมการกีฬามวยกองทัพเรือ และ พลเรือตรี ธวัชชัย ม่วงคำ หัวหน้าสำนักงานบริหารสวัสดิการกีฬากองทัพเรือ ร่วมพิธี เพื่อเป็นเกียรติและขวัญกำลังใจแก่น้องแต้ว ที่ได้รับรางวัลเหรียญทองแดง มวยสากลหญิง รุ่นน้ำหนัก 60 กิโลกรัม จากการเข้าร่วมแข่งขันกีฬากีฬาโอลิมปิกเกมส์ ครั้งที่ 32 

โอกาสนี้ผู้บัญชาการทหารเรือได้สวมเสื้อเบลเซอร์  ให้แก่ น้องแต้ว ซึ่งตามระเบียบกองทัพเรือ ว่าด้วยเครื่องหมายความสามารถการกีฬา ประเภทนักกีฬาชั้น 1 นั้น นักกีฬาที่ได้รับเหรียญรางวัลจากการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก จะได้รับเครื่องหมายความสามารถการกีฬา ประเภทนักกีฬาชั้น 1 (เสื้อเบลเซอร์) ซึ่งเป็นเครื่องหมายความสามารถสูงสุดด้านกีฬาของกองทัพเรือ นับได้ว่าเป็นเกียรติยศอย่างยิ่งของนักกีฬา ในสังกัดกองทัพเรือ ในการที่ได้สร้างชื่อเสียงและเกียรติภูมิให้แก่กองทัพเรือ และประเทศชาติ

นอกจากนั้นในส่วนของเงินรางวัลที่มอบให้แก่อาสาสมัครทหารพรานหญิง สุดาพรฯ ในครั้งนี้ประกอบด้วย เงินรางวัล 40,000 บาท และเงินเพิ่มพิเศษรายเดือน เดือนละ 5,000 บาท โดยเป็นไปตามหลักเกณฑ์การเสนอขอเลื่อนยศและการให้รางวัลพิเศษแก่นักกีฬากองทัพเรือเป็นกรณีพิเศษ ตามที่กองทัพเรืออนุมัติเมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2550  ที่ระบุไว้ว่า " ในส่วนของนักกีฬาที่ได้รับเหรียญทองแดงจากการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก จะได้รับเงินรางวัลจากสวัสดิการกองทัพเรือ จำนวน 40,000 บาท และเงินค่าตอบแทนรายเดือนจากกองทุนพัฒนากีฬากองทัพเรือ เดือน 5,000 บาท จนกว่าจะเกษียณอายุราชการ บำเหน็จ 2 ขั้นและการเลื่อนยศ" ทั้งนี้ผู้บัญชาการทหารเรือ ได้กล่าวชื่นชมในความสำเร็จของแต้ว ซึ่งนับเป็นการสร้างชื่อเสียง รวมถึงเกียรติประวัติให้แก่ครอบครัว ประเทศชาติ และกองทัพเรือ เป็นอย่างมาก โดยมีใจความสำคัญตอนหนึ่งว่า

"กีฬาเป็นพื้นฐานสำคัญที่จะพัฒนาคนให้มีระเบียบวินัย มีความรับผิดชอบ มีสมรรถภาพทางกายและทางจิตใจที่เข้มแข็งสมบูรณ์ ในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ครั้งที่ 32 ที่ผ่านมานี้ นักกีฬาทีมชาติไทยได้ทำหน้าที่ของตนอย่างดีเยี่ยม ในการแสดงออกถึงความเป็นนักสู้ ผู้มีน้ำใจเป็นนักกีฬา ซึ่งถือได้ว่าเป็นความสำเร็จและมีความสำคัญยิ่งกว่าผลของการแข่งขัน ผมขอชื่นชมน้องแต้ว และนักกีฬาทุกท่าน ที่เสียสละเวลาและความสุขสบายส่วนตนตั้งใจฝึกซ้อมอย่างหนัก ซึ่งผลจากความมุ่งมั่นตั้งใจเหล่านั้น ทำให้ท่านทั้งหลายได้ก้าวสู่ความสำเร็จ ในการนำชื่อเสียงและเกียรติประวัติ มาสู่ประเทศชาติและราชนาวี  ทั้งจะเป็นแรงผลักดันให้ท่านตั้งใจฝึกซ้อมพัฒนาทักษะทางการกีฬาของตนเองต่อไป"

ขณะที่ความคืบหน้าการบรรจุ อาสาสมัครทหารพรานหญิง สุดาพรฯ เพื่อเข้ารับราชการในกองทัพเรือตามข่าวที่เคยออกมาก่อนหน้านั้น พลเรือเอก วศินสรรพ์ฯ เผยว่า อาสาสมัครทหารพรานหญิง สุดาพรฯ สำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาตรีจาก คณะศึกษาศาสตร์ สถาบันการพลศึกษาวิทยาเขตสุโขทัย และกำลังรออนุมัติการสำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาโท จากคณะศึกษาศาสตร์ เอกสังคมศาสนาและวัฒนธรรม วิทยาลัยทองสุข ซึ่งตามหลักเกณฑ์การขอเลื่อนยศและเลื่อนฐานะตามลำดับชั้นนั้น  ในส่วนของผู้ที่สำเร็จการศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ หรือคุณวุฒิปริญญาตรีขึ้นไป ให้เสนอขอปรับวุฒิ และแต่งตั้งยศตามคุณวุฒิที่สำเร็จการศึกษา ซึ่งตามหลักเกณฑ์จะเสนอเข้ารับการบรรจุในระดับสัญญาบัตร ได้รับการแต่งตั้งยศเป็น “เรือตรี” โดยในขณะนี้กองทัพเรือ ได้บรรจุ อาสาสมัครทหารพรานหญิง สุดาพรฯ ในตำแหน่ง “อาจารย์พละศึกษา แผนกปกครอง วิทยาลัยพยาบาลกองทัพเรือ ศูนย์วิทยาการ กรมแพทย์ทหารเรือ” โดยในขณะนี้ อาสาสมัครทหารพรานหญิง สุดาพรฯ อยู่ในระหว่างเข้ารับการฝึกอบรมในหลักสูตรข้าราชการกลาโหมพลเรือนชั้นสัญญาบัตร ซึ่งเมื่อจบหลักสูตรแล้วจึงจะสามารถเข้ารับการ ประดับยศ เรือตรี ต่อไป

ด้าน อาสาสมัครทหารพรานหญิง สุดาพรฯ กล่าวว่า “ความสำเร็จของแต้วในวันนี้ จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย หากไม่รับการสนับสนุนจากหลาย ๆ ฝ่าย ทั้งสมาคมมวยสากลฯ การกีฬาแห่งประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กองทัพเรือ ที่นับได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นในชีวิตการรับราชการ และได้เปิดโอกาสให้แต้วได้ทำตามความฝัน ซึ่งแม้จะไม่เป็นไปตามความฝันในครั้งนี้ แต่อีกฝันหนึ่งของแต้ว ที่กำลังจะกลายเป็นความจริง ก็คือการได้รับการบรรจุเข้ารับราชการเป็นทหารเรือ

สุดท้ายนี้ แต้วต้องขอขอบคุณ ท่านผู้บัญชาการทหารเรือ ที่ให้การสนับสนุนและให้รางวัลด้วย การให้บรรจุเข้ารับราชการเป็นทหารเรือเพื่อสร้างความมั่นคงให้กับชีวิต โดยในขณะนี้แต้วกำลังเข้ารับการศึกษาอบรมในหลักสูตรข้าราชการกลาโหมพลเรือนชั้นสัญญาบัตร รุ่นที่ 34 ร่วมกับเพื่อน ๆ อีกเกือบ 50 คน โดยในช่วงแรกจะเป็นการเรียนออนไลน์ และช่วงหลังจะเป็นการฝึกที่โรงเรียนนายเรือ เพื่อให้ผู้ที่สำเร็จการศึกษามีความเป็นทหารทั้งทางร่างกายและจิตใจ รวมถึงได้รับความรู้ และประสบการณ์ต่าง ๆ จากครูผู้สอน เพื่อให้สามารถปฏิบัติงานตามหน้าที่ของแต่ละคนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และขอสัญญาว่าพร้อมที่จะสู้ใหม่อีกครั้งในโอลิมปิกเกมส์ 2024 ที่ปารีส อย่างแน่นอน”

กรุงเทพฯ - มูลนิธิมาดามแป้ง ร่วมกับ เมืองไทยประกันภัย ส่งกล่องน้ำใจให้แก่ผู้ป่วยโควิด-19 HI ในชุมชนคลองเตย และ20 จังหวัดทั่วประเทศ

วันที่ 26 สิงหาคม 2564 มูลนิธิมาดามแป้ง ร่วมกับ บมจ. เมืองไทยประกันภัย ส่งมอบกล่องน้ำใจมูลนิธิมาดามแป้ง #ส่งต่อน้ำใจคนไทยไม่ทิ้งกัน ให้แก่ศูนย์บริการสาธารณสุข 41 เพื่อส่งต่อให้กับผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ที่พักรักษาตัวแบบ HI : Home Isolation ในเขตคลองเตย 450 กล่อง โดยมีนางกอบกุล จันทร์ตระกูล หัวหน้ากลุ่มงานพยาบาลและบริหารทั่วไป เป็นตัวแทนผู้รับมอบ และอีก 50 กล่อง ได้มอบให้กับผู้ป่วยที่เดือดร้อนในต่างจังหวัดใน 20 จังหวัดทั่วประเทศ อาทิ เชียงราย กาฬสินธุ์ สุพรรณบุรี สงขลา ฯลฯ รวมมูลค่าทั้งสิ้น 200,000 บาท โดยกระจายไปอย่างทั่วถึงผ่านกลุ่มอาสากล้าใหม่มูลนิธิมาดามแป้ง

“มาดามแป้ง” นวลพรรณ ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ในฐานะประธานกรรมการมูลนิธิมาดามแป้ง กล่าวว่า “ในสถานการณ์เช่นนี้ยอมรับได้ว่าทุกพื้นที่ต่างก็ได้รับผลกระทบ ในฐานะที่ทำงานกับคนในชุมชนคลองเตยใกล้ชิดตลอด 7 ปี ซึ่งได้ส่งความห่วงใยไปถึงทุกคนผ่านกิจกรรมต่าง ๆ ตลอดช่วงที่ผ่านมา จึงได้จัดทำกล่องน้ำใจ #ส่งต่อน้ำใจคนไทยไม่ทิ้งกัน ขึ้น ซึ่งของใช้ด้านในนอกจากเป็นของจำเป็นที่เราคัดสรรอย่างดีแล้ว ยังได้รับการสนับสนุนมาจากภาคเอกชน และเงินบริจาคของประชาชนที่กรุณาร่วมบุญกับเรามาตลอดด้วย นับเป็นการส่งต่อน้ำใจจากทุกโมเลกุลของสังคมอย่างแท้จริง”

“สำหรับของภายในกล่องน้ำใจนั้น ประกอบด้วย ยาสามัญประจำบ้าน อาหารแห้ง อย่างข้าวสาร ไข่ไก่ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป โจ๊กกึ่งสำเร็จรูป ปลากระป๋อง และสิ่งจำเป็นสำหรับผู้ป่วย ได้แก่ ปรอทวัดไข้ หน้ากากอนามัย เจลแอลกอฮอลล์ ฯลฯ ซึ่งเรายังได้วางแผนให้ความช่วยเหลือสังคมกระจายออกไปมากที่สุดและอย่างต่อเนื่องอีกด้วย” มาดามแป้ง กล่าวเพิ่มเติม

ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการให้ สามารถบริจาคและสมทบทุนได้ที่บัญชี ธนาคารกสิกรไทย บัญชีเลขที่ 092-2-61340-0 ชื่อบัญชี มูลนิธิมาดามแป้ง เพื่อโครงการสร้างสังคมแห่งการให้ หรือร่วมสมัครเป็นทีมอาสากล้าใหม่กับเราได้ที่ http://bitly.ws/dsfM

เมื่อเข้าสู่ฤดูร้อนในประเทศไทย นอกจากอุณหภูมิที่สูงขึ้นในประเทศแล้ว ยังเกิดปรากฎการณ์อีกอย่างหนึ่งที่สำคัญอย่าง “พายุฤดูร้อน” ที่เปรียบเสมือนความหวังของชาวเกษตรในช่วงฤดูร้อน

ช่วงนี้ประเทศไทยเข้าสู่หน้าร้อนเต็มตัว โดยในปีนี้กรมอุตุนิยมวิทยาได้ประกาศให้ประเทศไทยสิ้นสุดฤดูหนาว และเริ่มเข้าสู่ฤดูร้อนอย่างเป็นทางการในวัน 27 กุมภาพันธ์ 2564 และเมื่อเข้าสู่ฤดูร้อนซึ่งเป็นช่วงที่ประเทศไทยมีอุณหภูมิสูงที่สุด สิ่งที่มักจะคุ้นและได้ยินบ่อย ๆ ที่มาคู่กับฤดูร้อน ก็คือ ‘พายุฤดูร้อน’ ครับ

แน่นอนว่าพายุฤดูร้อน ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นเป็นพายุที่เกิดในฤดูร้อน โดยในวันนี้ผมเลยอยากพามาทำความรู้จักพายุนี้กันครับ

ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจกันก่อนว่าประเทศไทยมีทำเลที่ตั้งอยู่ในเขตร้อนชื้น พายุที่เกิดในประเทศไทยก็จะได้แก่ พายุที่เกิดในช่วงฤดูมรสุมหน้าฝน โดยแบ่งตามความเร็วของลมที่หมุนรอบจุดศูนย์กลางของพายุดังนี้...

พายุดีเปรสชั่น (มีความเร็วลมรอบจุดศูนย์กลางน้อยกว่า 63 กิโลเมตรต่อชั่วโมง)

พายุโซนร้อน (มีความเร็วลมรอบจุดศูนย์กลางอยู่ระหว่าง 63 - 118 กิโลเมตรต่อชั่วโมง)

พายุไต้ฝุ่น (มีความเร็วลมรอบจุดศูนย์กลางมากกว่า 118 กิโลเมตรต่อชั่วโมง)

และ พายุที่เกิดในฤดูร้อน คือ ‘พายุฤดูร้อน’ ซึ่งความเร็วลมจะขึ้นอยู่กับความแตกต่างของอุณหภูมิของมวลอากาศร้อนและเย็นที่มาปะทะกัน

สำหรับลักษณะการเกิดของพายุฤดูร้อนนั้น จะมีลักษณะพิเศษ คือ มีขนาดรัศมีของพายุ หรือกินพื้นที่ไม่ใหญ่มากเมื่อเทียบกับพายุในฤดูฝน และมักจะเกิดในช่วงระยะเวลาที่สั้น แต่จะมีความรุนแรงของลมค่อนข้างสูง โดยก่อนเกิด อากาศในบริเวณนั้น จะมีความร้อนหรืออุณหภูมิที่สูง

ส่วนสาเหตุของการเกิดพายุฤดูร้อนนั้น เกิดจากการที่อากาศมีความร้อนสูง หรือที่เราคุ้นเคยเวลากรมอุตุนิยมวิทยารายงานว่า ‘ความกดอากาศต่ำ’ (เนื่องจากอากาศมีความเบาบางน้อยทำให้มีแรงกดลงมายังพื้นผิวโลกต่ำ) ในขณะเดียวกันก็มีความชื้นที่ลมมรสุมตะวันออกเฉียงใต้และลมใต้ พัดเอาไอน้ำหรือความชื้นมาจากแถบทะเลจีนใต้ และอ่าวไทย ในระหว่างที่มีความร้อน หรือความกดอากาศต่ำมาก ๆ แล้วมีความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็น (เนื่องจากอากาศมีความหนาแน่นมากทำให้มีแรงกดลงมายังพื้นผิวโลกสูง) แผ่ลงมาจากแถวประเทศจีน ซึ่งเป็นด้านบนของประเทศไทย เมื่ออากาศเย็นมาปะทะกับอากาศร้อน (ลักษณะพิเศษของอากาศร้อน คือ มีมวลเบากว่าเมื่อเทียบกับอากาศเย็น) ก็จะลอยขึ้นสู่ข้างบน

ในขณะเดียวกันอากาศเย็น ก็วิ่งเข้ามาแทนที่ ทำให้เกิดลมที่รุนแรง ถ้าเรามองภาพไม่ออก ลองนึกถึงตอนที่เกิดไฟไหม้น่ะครับ บางที่จะเห็นว่าก่อนเกิดไฟ ลมจะนิ่งสงบ แต่เมื่อเกิดไฟไหม้ขึ้นมาจะเห็นว่ามีลมพัดเข้ามาโหมกระหน่ำให้ไฟลุกมากขึ้นทุกที เพราะอากาศที่อยู่รอบ ๆ บริเวณที่เกิดไฟจะร้อน และทำให้ลอยตัวขึ้นสู่ด้านบน ในขณะเดียวที่อากาศเย็นจะวิ่งเข้ามาแทนที่ ส่งผลให้เกิด ‘ลม’

ส่วนความรุนแรงของลมจะมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับความแตกต่างระหว่างมวลของอากาศเย็นและอากาศร้อนที่วิ่งเข้ามาปะทะกัน ถ้าแตกต่างกันมาก ลมก็จะรุนแรงมากตามไปด้วย ประกอบกับในช่วงนั้นเป็นช่วงที่มีความชื้นที่พัดเข้ามาจากอ่าวไทย และทะเลจีนใต้ด้วยพอดี พอความชื้นเจออากาศเย็น ก็ทำให้เกิดการกลั่นตัวลงมาเป็นน้ำฝน และเมื่อครบองค์ประกอบเหล่านี้ ก็จะทำให้เกิดพายุฝนฟ้าคะนองที่มีความเร็วลมที่แรง แต่ก็จะกินพื้นที่ไม่ค่อยมากเท่าไรนัก โดยส่วนมากจะเกิดในช่วงเดือนมีนาคม - เมษายน

ทั้งนี้ข้อเสียของ พายุฤดูร้อน คือ ความรุนแรงของลม ที่ทำให้เกิดความเสียหายกับสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ แล้ว ยังมีข้อดี คือ ‘การพัดพาเอาฝนมาตกในช่วงฤดูแล้ง’ ทำให้เกษตรกรที่ปลูกพืชในช่วงหน้าแล้ง มีผลผลิตที่ดี โดยเฉพาะพืชที่ปลูกในหน้านี้มักจะเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศไทย คือ อ้อยและมันสำปะหลัง ซึ่งเป็นพืชที่ไม่ต้องการน้ำมากนัก เมื่อเปรียบเทียบกับพืชชนิดอื่น

การเกิดของพายุฤดูร้อนในประเทศไทยจึงเป็นการมาเติมน้ำ และต่อลมหายใจในการปลูกพืชให้กับเกษตรกรได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะปีไหนที่มีพายุฤดูร้อนเข้ามามาก ผลผลิตของพืชเศรษฐกิจเหล่านี้ก็มักจะได้ผลดีตามไปด้วย ตรงกันข้ามถ้าปีไหนมีพายุฤดูร้อนเข้ามาน้อย ผลผลิตก็จะลดลงน้อยด้วย

นอกจากนี้การเกิดฝนในช่วงหน้าแล้งก็ยังส่งผลให้ลดฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ที่เป็นอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจได้เป็นอย่างมากได้อีกด้วย ซึ่งนับว่าเป็นของดีของประเทศไทยที่มีชัยภูมิตั้งอยู่ในพื้นที่ ที่มีความเหมาะสม ทำให้เกิดฝนในช่วงฤดูแล้ง อันเนื่องมาจากอิทธิพลของพายุฤดูร้อน ทำให้เกษตรกรสามารถปลูกพืชในฤดูแล้งได้ด้วยนั่นเอง


เขียนโดย : ผศ.ดร.สุทัศน์ จันบัวลา อาจารย์ประจำ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยสวนดุสิต

สระบุรี - รองผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรี ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการให้บริการฉีดวัคซีน "ซิโนแวค” ให้กับกลุ่มเป้าหมายผู้สูงอายุ และ 7 กลุ่มโรค ในเขตตำบลตาลเดี่ยว

วันนี้ 25 ส.ค. 64 ที่องค์การบริหารส่วนตำบลตาลเดี่ยว อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี นางอังคณา ชิตะติตติ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรี พร้อมหัวหน้าส่วนราชการ เดินทางมาตรวจเยี่ยมการให้บริการฉีดวัคซีน "ซิโนแวค” ให้กับกลุ่มเป้าหมายผู้สูงอายุ และ 7 กลุ่มโรค ในเขตตำบลตาลเดี่ยว โดยมี นายอำเภอแก่งคอย นายก อบต.ตาลเดี่ยว รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดสระบุรี และบุคลากรทางการแพทย์ ให้การต้อนรับ โดยรองผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรี ได้พบปะทักทายเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายซึ่งมาให้บริการประชาชน รว และให้กำลังใจกับประชาชนที่มารอรับการฉีดวัคซีน ซึ่งวันนี้มีกลุ่มเป้าหมายผู้สูงอายุ และ 7 กลุ่มโรค ที่ได้ลงทะเบียนไว้ และมารับบริการ รวม 1,000 คน

สำหรับตำบลตาลเดี่ยว อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี ถือเป็นพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง เนื่องจากมีโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ตั้งอยู่หลายแห่ง และช่วงที่ผ่านมาพบว่าเกิดคลัสเตอร์ขนาดใหญ่ในโรงงานอุตสาหกรรมในพื้นที่อำเภอแก่งคอยหลายแห่ง ทำให้พนักงานในโรงงานนำเชื้อมาติดคนในครอบครัวเป็นจำนวนมาก ดังนั้นจึงจำเป็นต้องเร่งดำเนินการฉีดวัคซีนในกลุ่มผู้สูงอายุและผู้ป่วย 7 โรค สตรีมีครร 12 สัปดาห์ขึ้นไปให้เร็วที่สุด


ภาพ/ข่าว  ดำรงค์ ชื่นจินดา รายงาน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top