Tuesday, 8 July 2025
SPECIAL

ชลบุรี - สัตหีบ เปิดศูนย์ CI แยกกักตัวผู้ป่วยโควิด-19 หลังพบผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้น

เมื่อเวลา 10.00 น วันที่ 31 ส.ค.64 นายกิตติพงษ์ กิตติคุณ นายอำเภอสัตหีบ เป็นประธานเปิดศูนย์พักคอยและแยกกักตัวสำหรับคนในชุมชน (Community Isolation :CI) ณ ศูนย์การเรียนรู้เทศบาลตำบลบางเสร่ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี

หลังพบการแพร่ระบาดในพื้นที่อำเภอสัตหีบ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทุกวัน ล่าสุดเมื่อ 30 ส.ค.64 มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 16 ราย ยอดสะสม 1,780 ราย กำลังรักษา 411 ราย หายป่วย 1,350 ราย เสียชีวิต 19 ราย และผู้ติดเชื้อในเขตเทศบาลตำบลบางเสร่ เมื่อ 30 ส.ค.64 มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 1 รายยอดสะสม 132 ราย รักษาหาย 95 ราย อยู่ระหว่างรักษาในโรงพยาบาล36 ราย เสียชีวิต 1 ราย ซึ่งแนวโน้มผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในระยะเวลาอันสั้น ทำให้เกินขีดความสามารถของโรงพยาบาล ในการรับดูแลผู้ป่วย จึงมีความจำเป็นในการจัดตั้งศูนย์พักคอยสำหรับแยกกักตัวคนในชุมชน (CI) เพื่อดูแลผู้ป่วย กรณีที่ผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นผู้ป่วยโควิด-19 และแพทย์ผู้ดูแลรักษาของหน่วยบริการพิจารณาแล้ว เห็นสมควรให้ผู้ป่วยได้กลับมาดูแลรักษาในศูนย์พักคอยและแยกกักตัว สำหรับคนในชุมชนจนครบกำหนด ซึ่งเป็นไปตามหลักเกณฑ์และแนวทางที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด

โดยมี นายชัยวัฒน์ อินอนงค์ นายกเทศมนตรีตำบลบางเสร่ พร้อมคณะผู้บริหาร ผู้แทน สส.ชลบุรี เขต 8 ผู้นำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน สาธารณสุขอำเภอสัตหีบ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบางเสร่ ร่วมในพิธีเปิดโครงการและนำนายอำเภอสัตหีบ เข้าเยี่ยมชมศูนย์พักคอยและแยกกักตัว สำหรับคนในชุมชน ในครั้งนี้ จำนวน 15 เตียง แบ่งเป็นผู้ป่วยหญิง 8 เตียง ผู้ป่วยชาย 7 เตียง พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างครบครัน

นายกิตติพงษ์ กิตติคุณ นายอำเภอสัตหีบ กล่าวว่าโครงการจัดตั้งศูนย์พักคอยและแยกกักตัวสำหรับคนในชุมชน (Community Isolation) มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง สำหรับพี่น้องประชาชนชาวบางเสร่ เพื่อให้ชุมชนปลอดโรคและปลอดภัยจากโรคติดเชื้อไวรัส โควิด-19 ด้วยการได้รับการป้องกัน เฝ้าระวัง ดูแลผู้ป่วยที่ได้รับการส่งตัวมาจากโรงพยาบาล ซึ่งเป็นผู้ป่วยที่ผ่านภาวะเฉียบพลันหรือวิกฤต และมีอาการดีขึ้นคงที่ เพื่อเตรียมความพร้อมที่จะกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ และเพื่อให้ประชาชนผู้ติดเชื้อ ได้รับการคัดแยกอาการและรักษาดูแลตามแนวทางการปฏิบัติ ด้านสาธารณสุข ในการป้องกันแพร่ระบาดและติดเชื้อโควิด-19

และขอให้พี่น้องประชาชนในพื้นที่ได้ปฏิบัติตนตามมาตรการของกระทรวงสาธารณะสุขอย่างเคร่งครัด ด้วยการใช้ชีวิตวิถีใหม่ ลดกิจกรรมต่าง ๆ สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา ล้างมือ เช็คอุณหภูมิร่างกาย ไม่มั่วสุมรวมกลุ่มดื่มสุรา ซึ่งเราจะผ่านพ้นวิกฤติโควิด-19 นี้ ไปให้ได้ ด้วยการเตรียมความพร้อมของเจ้าหน้าที่ ในทุกภาคส่วนขอให้พี่น้องประชาชน สบายใจได้


ภาพ/ข่าว  นิราช ทิพย์ศรี / นันทพล ทิพย์ศรี  อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี

ปทุมธานี - มทร.ธัญบุรี จับมือ บริษัท ทีเอชซีจี กรุ๊ป จำกัด และ 3 วิสาหกิจชุมชน ร่วมกันวิจัย พัฒนา กัญชา กัญชง กระท่อม และพืชสมุนไพร เพื่อใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ รวมไปถึงการเตรียมความพร้อมเพื่อนำไปผลิตเชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรม

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 31 สิงหาคม 2564 ที่ห้องประชุมมังคลอุบล ชั้น 1 อาคารเฉลิมพระเกียรติ 48 พระชันษา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ ว่าด้วยการศึกษา วิจัย และพัฒนาโครงการวิจัย กัญชา กัญชง กระท่อม และพืชสมุนไพร เพื่อใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ เชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรม ระหว่าง มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี บริษัท ทีเอชซีจี กรุ๊ป จำกัด วิสาหกิจชุมชนผู้ปลูกและแปรรูปบุกเขาค้อ วิสาหกิจชุมชนกลุ่มปลูกและแปรรูปบุก,เกษตรอินทรีย์บ้านทุ่งแพม และวิสาหกิจชุมชนทุ่งนางแลสมุนไพรเพื่อการแพทย์

โดยมี ผศ.ดร.สมหมาย ผิวสอาด อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี นายธนารัตน์ จิตต์พายัพ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทีเอชซีจี กรุ๊ป จำกัด นางอรพินทร์ พญาพิทักษ์สกุล ประธานที่ปรึกษาวิสาหกิจชุมชนผู้ปลูกและแปรรูปบุกเขาค้อ นายพลวรรน์ พญาพิทักษ์สกุล รองประธาน วิสาหกิจชุมชนกลุ่มปลูกและแปรรูปบุก,เกษตรอินทรีย์บ้านทุ่งแพม และนายณัฐวรรน์ วรพนิตกุล รองประธาน วิสาหกิจชุมชนทุ่งนางแลสมุนไพรเพื่อการแพทย์ เข้าร่วมงาน

สำหรับการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ ในครั้งนี้ เพื่อศึกษา วิจัย และพัฒนาโครงการวิจัย กัญชา กัญชง กระท่อม และพืชสมุนไพร เพื่อใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ รวมไปถึงการเตรียมความพร้อมเพื่อนำไปผลิตเชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรมของกลุ่มผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่มีสารสกัดจากกัญชา กัญชง กระท่อม และพืชสมุนไพรเพื่อใช้ในการรักษาทางการแพทย์ ทั้งในลักษณะที่เป็นยาสมุนไพร ยาแผนปัจจุบัน และกิจการอื่น ๆ ให้ถูกต้องตาม หลักวิชาการและชอบด้วยกฎหมาย โดยมีขอบเขตความร่วมมือ ดังนี้

1. ร่วมส่งเสริม สนับสนุนและพัฒนางานวิจัยด้านสายพันธุ์กัญชา กัญชง กระท่อม และพืชสมุนไพร รวมไป ถึงระบบการเพาะปลูก นวัตกรรมต้านการผลิต การพัฒนาและการจัดจำหน่ายกลุ่มผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่มีสารสกัด จากกัญชา กัญชง กระท่อม และพืชสมุนไพร เพื่อใช้ในทางการแพทย์ เชิงพาณิชย์ เชิงอุตสาหกรรม และกิจการอื่น ๆ

2. ร่วมพัฒนาบุคลากรให้มีองค์ความรู้และทักษะต้านการวิจัย การผลิต(ปลูก) การแปรรูป(สกัด) การตลาดของกลุ่มผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่มีสารสกัดจากกัญชา กัญชง กระท่อม และพืชสมุนไพร ให้ถูกต้องตามหลักวิชาการและชอบด้วยกฎหมาย

3. สนับสนุน ผลักดัน วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ รวมไปถึงการผลิตยาที่มีส่วนประกอบจากวัตถุดิบและสารสกัดกัญชา กัญชง และพืชสมุนไพร ให้เกิดการนำผลงานวิจัยหรือผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติที่มีสารตั้งต้นของสารสกัด CBD (Cannabidiol) / THC (Tetrahydrocannabinol จากงานวิจัยที่เกิดจากความร่วมมือนี้ไปสู่การใช้ประโยชน์ ทางการแพทย์ เชิงพาณิชย์ และเชิงอุตสาหกรรม การครอบครองสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาหรือสิทธิใดของผลงานวิจัย โดยให้เป็นไปตามที่ทุกฝ่ายจะได้ตกลงกัน เพื่อดำเนินการตามข้อตกลงนี้ และ

4. ร่วมสนับสนุนการใช้ครุภัณฑ์ เครื่องมือ และวัสดุอุปกรณ์ ในการสนับสนุนด้านนโยบายเพื่อผลักดัน พัฒนา พร้อมทั้งสนับสนุนด้านคำปรึกษาด้านวิซาการหรือกิจกรรมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง


ภาพ/ข่าว  สหรัฐ แก้วตา รายงาน

ชลบุรี - ‘นายกปลื้ม’ มั่นใจ คนพัทยาฉีดวัคซีนครบ 70 % ทันตุลาคมนี้ หลังรับชิโนฟาร์ม 60,000 โดส ระดมแพทย์ฉีดให้ประชาชนวันละ 2,000 คน หวังสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ ก่อนเตรียมเปิดเมืองท่องเที่ยว

วันนี้ (31 ส.ค.) ที่โรงพยาบาลเมืองพัทยา นายสนธยา คุณปลื้ม นายกเมืองพัทยา พร้อมด้วย คณะผู้บริหารเมืองพัทยา ร่วมลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมให้กำลังใจ เจ้าหน้าที่ที่แพทย์ พยาบาล และประชาชนที่เดินทางมาเข้ารับวัคซีนซิโนฟาร์มเมืองพัทยาเข็ม 1 ในวันแรกจำนวน 2,000 คน ซึ่งเป็นวัคซีนซิโนฟาร์มที่เมืองพัทยาได้ตั้งงบประมาณไว้เพื่อทำการจัดซื้อจากสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ฯ จำนวน 100,000 โดส เพื่อนำมาฉีดให้กับประชาชนเมืองพัทยาหวังเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ โดยปัจจุบันเมืองพัทยาได้รับการอนุมัติวัคซีนซิโนฟาร์มจากสถาบันราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ในล็อตแรกจำนวน 60,000 โดส

นายสนธยา คุณปลื้ม นายกเมืองพัทยา กล่าวว่าสำหรับการให้บริการฉีดวัคซีนซิโนฟาร์มของเมืองพัทยาวันแรกที่โรงพยาบาลเมืองพัทยา สามารถดำเนินการได้วันละ 2,000 คน ซึ่งพบว่าทุกอย่างเป็นไปด้วยความเรียบร้อย หลังจากที่ทางโรงพยาบาลได้นำประสบการณ์ปัญหาอุปสรรคในการให้บริการจัดฉีดวัคซีนที่ผ่านมาปรับแก้เพื่อให้เกิดความสะดวก รวดเร็ว และไม่แออัดเหมือนที่ผ่านมา โดยทางเจ้าหน้าที่จะมีการนัดหมายเวลากับประชาชนที่จะการเข้ารับวัคซีนด้วยการส่ง SMS เพื่อไม่ให้มารอรับบริการเป็นเวลานาน ทั้งนี้คาดว่าจะใช้ระยะเวลาประมาณ 3-4 สัปดาห์ในการจัดฉีดวัคซีนซิโนฟาร์มครบทั้ง 30,000 คน

นายสนธยา กล่าวอีกว่านอกจากวัคซีนที่ภาครัฐจัดสรรมาให้ทั้งในส่วนของซีโนแวค แอสตร้าวีเนก้า รวมทั้งวัคซีนชิโนฟาร์มที่เมืองพัทยาตั้งงบประมาณจัดซื้อมานั้น ถือว่ามีปริมาณเพียงพอต่อจำนวนประชากรในพื้นที่เกือบทั้งหมด และหากดำเนินการฉีดวัคซีนครบตามเป้าหมายก็คาดว่าจะสามารถให้วัคซีนแก่ประชาชนในพื้นที่ได้จำนวนที่กำหนดหรือ 70 % หลังจากที่ผ่านมาประชาชนส่วนใหญ่รับการฉีดวัคซีนไปแล้วกว่า 40%  จึงคาดว่าจะสามารถมุ่งสู่เป้าหมายความเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีความปลอดภัยด้านการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ภายในเดือนตุลาคมนี้ หรืออย่างช้าสุดก็ภายในเดือนมกราคม 2565 ซึ่งหลังจากนั้นก็จะได้เร่งตามแผนการเปิดเมืองท่องเที่ยวหรือแผน Pattaya Move On  ที่จะเปิดการรับนักท่องเที่ยวอย่างเต็มรูปแบบอีกครั้ง


ภาพ/ข่าว  อนันต์ สุขวัฒนะ / เอกชัย สุขวัฒนะ ผู้สื่อข่าวภูมิภาค พัทยา จ.ชลบุรี

การออกกำลังกายในรูปแบบ “การแกว่งแขน” เป็นสิ่งที่หลายองค์กรสนับสนุนเพราะไม่ต้องใช้อุปกรณ์แถมยังสามารถทำได้เอง แต่หลาย ๆ คนก็อาจจะแกว่งแขนผิดท่าส่งผลทำให้เกิดอาการบาดเจ็บบริเวณหัวไหล่ได้

ในช่วงที่ผ่านมากระแสการออกกำลังกายด้วยการแกว่งแขนเพื่อลดพุง​ได้รับความนิยมอย่างมาก เนื่องจากเป็นการออกกำลังกายที่ง่าย​ ไม่ต้องใช้อุปกรณ์ใด ๆ​ สามารถทำได้ทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะพนักงานออฟฟิศที่ต้องนั่งทำงานวันละหลายชั่วโมง แทบไม่ได้ลุกไปไหน หากได้ออกกำลังกายด้วยการแกว่งแขน จะทำให้รู้สึกผ่อนคลายและกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด เพราะการแกว่งแขนช่วยให้เลือดลมหมุนเวียนได้ดี

แต่อย่างไรก็ตามการแกว่งแขน​สามารถก่อให้เกิดการบาดเจ็บได้ เพราะหลายคนมุ่งเป้าไปที่การแกว่งแขนด้วยความแรงและจำนวนครั้งที่มากเกินไปหรือแกว่งแขนด้วยท่าทางที่ไม่เหมาะสม ทำให้เกิดการบาดเจ็บของเอ็นรอบหัวไหล่​และตามมาด้วยโรค​ไหล่ติด​ (Frozen shoulder)​ ทำให้ปวดไหล่และมีผลกระทบต่อการใช้งานในชีวิตประจำวัน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีภาวะหลังค่อมหรือผู้สูงอายุ อาจเกิดการเสียดสีของเอ็นรอบข้อไหล่และเยื่อหุ้มไหล่ จนเกิดการอักเสบของถุงน้ำรอบข้อไหล่ได้ นอกจากนี้ภาวะเกร็งหรือขาดความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อสะบักก็มีส่วนทำให้แกว่งแขนด้วยท่าทางที่ไม่เหมาะสมอีกด้วย

ดังนั้นหากมีอาการไหล่ห่อหรือหลังค่อม​ ควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังด้วยการแกว่งแขน​ ควรเริ่มจากการออกกำลังกายเพิ่มกำลังกล้ามเนื้อสะบักและหลังส่วนบน เพื่อเป็นการปรับให้หลังตรงขึ้น จะช่วยลดการบาดเจ็บข้อไหล่ได้​ โดยใช้ท่าออกกำลังกายดังนี้

1.​) ในท่านั่งหรือนอนตะแคง เริ่มจากท่างอศอกเป็นมุมฉาก อาจใช้ผ้าขนหนูสอดไว้ที่ใต้รักแร้ มือข้างหนึ่งกำหนังยางหรือที่ยกน้ำหนัก(ดัมเบล) ออกแรงยกแขนไปทางด้านข้างลำตัวดังภาพ​ ทำ 10 - 15​ ครั้ง​ต่อรอบ จำนวน 3 รอบต่อวัน

2.​) ในท่ายืนตรง นำมือทั้งสองข้างประสานกันไว้ทางด้านหลัง เหยียดแขนตรง ออกแรงยกแขนทั้งสองข้างขึ้นจนรู้สึกตึงกล้ามเนื้อหน้าอก ค้างไว้ 10 - 15 วินาที ทำ 10 - 15 ครั้ง

3.)​ ในท่าแพลงค์ (half plank) ศอกและเข่าวางลงบนพื้นตามรูป เกร็งค้างไว้ 30​ วินาทีต่อรอบ ทำ 3 รอบต่อวัน​ หากเป็นผู้สูงอายุ​ให้ลงน้ำหนักที่ข้อศอก​และ​ต้นขาด้านหน้า

การแกว่งแขนที่ถูกต้อง คือการออกแรงเกร็งสลับผ่อนคลาย โดยมีการถ่ายน้ำหนักไปทางด้านหน้าและด้านหลัง​ ตามจังหวะการเคลื่อนไหวของแขน โดยเป้าหมายอยู่ที่การเกร็งกล้ามเนื้อขา​ ข้อเท้า​ หน้าท้อง​ และลำตัว​ มีข้อควรปฏิบัติดังนี้​

1.) ยืนตรง กางขาเท่ากับระยะห่างของไหล่​ 2​ ข้างและงอเข่าเล็กน้อย

2.) ปล่อยแขนวางข้างลำตัวแล้วค่อยเริ่มแกว่งแขนไปทางด้านหน้าและด้านหลังช้าๆปล่อยแรงไปตามธรรมชาติ โดยมุมการเคลื่อนไหวอาจไม่เท่ากันในแต่ละคน

3.) ขณะแกว่งแขนจะมีการถ่ายน้ำหนักไปทางด้านหน้าและด้านหลัง (ปลายเท้าสลับกับส้นเท้า)

4.) แขม่วพุง​และขมิบก้นไปด้วย เพื่อรักษาการทรงท่าไม่ให้หลังแอ่น

5.) การแกว่งแขนที่ถูกต้องไม่เน้นออกกำลังกายที่ส่วนบน แต่เน้นออกกำลังกายขา

6.) แกว่งแขนรอบละ​ 10 นาที​ วันละ 3​ รอบ

ข้อควรระวัง

ห้ามกลั้นหายใจ ควรหายใจเข้าออกช้าๆตามจังหวะการแกว่งแขน​อย่างเป็นธรรมชาติ​ อย่าแกว่งแขนแรงจนเกินไป แม้ว่าการแกว่งแขนจะมีประโยชน์มากมาย แต่หากทำด้วยความรุนแรงหรือท่าทางที่ไม่เหมาะสมอาจก่อนให้เกิดการบาดเจ็บได้ ดังนั้นควรยืดเหยียดกล้ามเนื้อก่อนและหลังแกว่งแขนทุกครั้ง เนื่องจากข้อไหล่​มีเอ็นและกล้ามเนื้อหลายมัด​ การบาดเจ็บหรือการอักเสบอาจส่งผลให้เยื่อหุ้มข้อไหล่มีการหดรั้งและเกิดโรคไหล่ติดได้

หากเกิดการบาดเจ็บขณะออกกำลังกายควรหยุดแกว่งแขนและเริ่มดูแลตนเองเบื้องต้น​ด้วยการประคบความเย็นรอบข้อไหล่​ ครั้งละ 15​ นาที​ วันละ 3 - 4​ รอบ​ จนกว่าอาการปวดและอักเสบดีขึ้น

สำหรับผู้ที่ได้รับบาดเจ็บของข้อไหล่ที่มารับบริการในคลินิกกายภาพบำบัด นอกจากเกิดจากการแกว่งแขนแล้วยังเกิดจากกิจกรรมที่ทำในชีวิตประจำวัน เช่น การใช้งานคอมพิวเตอร์, การอุ้มลูกหรือคุณครูที่เอื้อมมือเขียนกระดานสูงๆ เป็นต้น ซึ่งจะได้เห็นว่าบางกิจกรรม​ไม่น่าจะก่อให้เกิดการบาดเจ็บได้​ แต่เมื่อทำกิจกรรมนั้นด้วยระยะเวลานานหรือท่าทางไม่เหมาะสม จะส่งผลให้กล้ามเนื้อและเอ็นรอบข้อไหล่เกร็งเกิดการบาดเจ็บเรื้อรังตามมาได้

ดังนั้นหากเริ่มมีอาการบาดเจ็บของข้อไหล่​ ไม่ควรฝืนออกกำลังกายเพราะจะยิ่งทำให้บาดเจ็บมากขึ้น​ เมื่อเริ่มรู้สึกถึงอาการเจ็บหรือเสียว​ในข้อไหล่ สิ่งแรกที่ควรทำ​คือ ประคบด้วยความเย็น​ และ​ ฟังเพลง "พักก่อน" ของ Milli และถ้าไม่ดีขึ้นก็ควรไป​ "หาหมอก่อน" จะได้ไม่บาดเจ็บเรื้อรังค่ะ

.

เขียนโดย: กภ.อุสา บุญเพ็ญ ปริญญาโท วิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต พัฒนาการมนุษย์ มหาวิทยาลัยมหิดล เจ้าของคลินิกกายภาพบำบัด และเพจสุขภาพดี


ข้อมูลอ้างอิง

https://fullfunctionrehab.com/blog-shoulder-impingement-syndrome/

http://www.rbf-bjpt.org.br/en-kinesiologic-considerations-for-targeting-activation-articulo

https://www.sportsinjurybulletin.com

https://flawlessphysio.co.uk/3-core-exercises-for-runners/

https://foodtalk4you.com/a-new-trend-in-exercise-the-plank/

https://www.siphhospital.com/th/news/article/share/880

https://www.gangbeauty.com/exercise/106178

https://www.health.harvard.edu/shoulders/stretching-exercises-frozen-shoulder

https://www.therapeuticassociates.com/athletic-performance/running/stretching-for-runners/biceps/

กก.สส.บก.ตม.4 “รวบหนุ่มแดนภารตะ หนีหมายจับ ทั้ง Overstay กว่า 700 วัน”

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยพล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม.ดำเนินการตรวจสอบชาวต่างชาติที่มีหมายจับตำรวจสากล หรือมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน หรือเป็นลักษณะการกระทำผิดเข้าข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.กฤษฎา กาญจนอลงกรณ์ ผบก.ตม.4, พ.ต.อ.เอกกมนต์ พรชูเกียรติ รอง ผบก.ตม.4, พ.ต.อ.วีรยศ การุณยธรรอง ผบก.ตม.4, พ.ต.อ.ปรีชา กองแก้ว รอง ผบก.ตม.4 และ พ.ต.อ.พิษณุ สิทธิฑูรย์ ผกก.สส.บก.ตม.4 ร่วมแถลงข่าวการจับกุม ดังนี้

ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ต.กฤษฎา กาญจนอลงกรณ์ ผบก.ตม.4 พ.ต.อ.ปรีชา กองแก้ว รอง ผบก.ตม.4 และ พ.ต.อ.พิษณุ สิทธิฑูรย์ ผกก.สส.บก.ตม.4 สั่งการให้ ร.ต.ท.ภัทรศักดิ์ ผู้มีทรัพย์ รอง สว.กก.สส.บก.ตม.4 พร้อมด้วยชุดปฏิบัติการ ที่ 1 กก.สส.บก.ตม.4 ร่วมกับ ตม.จว.ร้อยเอ็ด ออกปฏิบัติการกวาดล้างคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมายและบุคคลต่างด้าว

ตามหมายจับ จนสามารถจับตัว MR.AKHILESH สัญชาติ อินเดีย อายุ 28 ปี ตามหมายจับศาลจังหวัดร้อยเอ็ด ในข้อหา “ทำร้ายร่างกายผู้อื่น เป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่ร่างกาย” และ “เป็นบุคคลต่างด้าว เดินทางเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด” เจ้าหน้าที่ได้รับการร้องเรียนจากผู้เสียหายว่ามีบุคคลตามหมายจับในข้อหา “ทำร้ายร่างกายผู้อื่น เป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่ร่างกาย” ได้หลบซ่อนตัวอยู่ในพื้นที่ ต.นาเมือง อ.เสลภูมิ จ.ร้อยเอ็ด พ.ต.อ.พิษณุ สิทธิฑูรย์ ผกก.สส.บก.ตม.4 จึงสั่งการให้ชุดปฏิบัติการที่ 1 กก.สส.บก.ตม.4 ลงพื้นที่ตรวจสอบ จนพบว่ามีบุคคลต่างด้าวสัญชาติสัญชาติอินเดียมักจะขับขี่รถจักรยานยนต์ ไปตลาดในพื้นที่ บ้านนาเมือง เจ้าหน้าที่นำกำลังไปดักซุ่มรออยู่หลายครั้ง แต่บุคคลต่างด้าวรายดังกล่าว มักจะไหวตัวทัน ขับขี่รถจักรยานยนต์หลบหนีไปก่อน

จนกระทั่งเจ้าหน้าที่สืบทราบว่า บุคคลต่างด้าวรายดังกล่าวจะใช้เส้นทางรองบริเวณถนนสาธารณะ บ้านนาเมือง ต.นาเมือง อ.เสลภูมิ จ.ร้อยเอ็ด เพื่อเดินทาง จึงนำกำลังไปดักรออีกครั้ง พบบุคคลต่างด้าวเชื่อว่าเป็นชาวอินเดียแสดงอาการมีพิรุธ เมื่อพบเจ้าหน้าที่ ทั้งทำท่าจะขับขี่รถจักรยานยนต์หลบหนี จึงได้เข้าสกัดจับตัวได้ เมื่อสอบถามจึงทราบชื่อ MR.AKHILESH สัญชาติ อินเดีย อายุ 28 ปี มีลักษณะตรงตามหมายจับศาลจังหวัดร้อยเอ็ด ในข้อหา “ทำร้ายร่างกายผู้อื่น เป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่ร่างกาย” จึงควบคุมตัวไปตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมยัง ตม.จว.ร้อยเอ็ด โดยเมื่อตรวจสอบผ่านระบบสารสนเทศตรวจคนเข้าเมือง (BIOMETRICS) จึงทราบว่า MR.AKHILESH สัญชาติอินเดีย เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรเมื่อวันที่ 21 มิ.ย. 62 ได้รับการตรวจลงตราประเภทนักท่องเที่ยว ครบกำหนดอนุญาตเมื่อวันที่ 19 ส.ค. 62 หรือเป็นระยะเวลากว่า 700 วัน จากพฤติกรรมดังกล่าวจึงเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนกฎหมายตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 จึงนำส่ง พงส.สภ.เสลภูมิ เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

สตม.ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่าง ๆ รวมทั้งดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตราย ต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน อันทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศชาติ หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายังสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507 ซ.สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178 หรือ www.immigration.go.th

ตม.จว.กาญจนบุรี รวบ!! สาวเมียนมาลักลอบเป็นม้าวิ่งรถขนบุหรี่ นำเข้าผิดกฎหมาย

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม.ดำเนินการตรวจสอบชาวต่างชาติที่มีหมายจับตำรวจสากล หรือมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน หรือเป็นลักษณะการกระทำผิดเข้าข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม., พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.รุ่งโรจน์ ฐากูรปุณยสิริ ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.ทรงโปรด สิริสุขะ รอง ผบก.ตม.๓, พ.ต.อ.กฤตัชญ์ บำรุงรัตนยศ รอง ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.รัชธพงศ์ เตี้ยสุด รอง ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.หฤษฎ์ เอกอุรุ รอง ผบก.ตม.๓ และ ว่าที่ พ.ต.อ.จิรพงศ์ รุจิรดำรงค์ชัย ผกก.สส.บก.ตม.3 ร่วมแถลงข่าวการจับกุม ดังนี้

ในห้วงเวลาที่ผ่านมา การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายในแนวชายแดนจังหวัดกาญจนบุรีมีความเข้มงวด และกวดขันจับกุมผู้กระผิดตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง และอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง ในกรณีนี้ชุดสืบสวน ตม.จว.กาญจนบุรี ได้ทำการสืบสวนทราบว่า มีขบวนการที่ทำธุรกิจผิดกฎหมายอยู่บริเวณชายแดนซึ่งมีการหลบหลีกไม่เข้า-ออกตามช่องทางที่ถูกต้อง ซึ่งทราบกันดีว่าเป็นต้นเหตุของโรคแพร่ระบาดในปัจจุบัน โดยในกรณีนี้สืบทราบว่าจะมีการลักลอบขนบุหรี่ต่างประเทศ เข้ามาโดยไม่มีการผ่านช่องทางด่านตรวจที่ถูกต้องซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

ก่อนจับกุมชุดสืบสวน ตม.จว.กาญจนบุรีได้สืบทราบว่า มีการลักลอบขนบุหรี่ต่างประเทศจากชายแดนพุน้ำร้อนเข้าไปส่งยังตัวเมืองกาญจนบุรี โดยมีลักษณะแอบแฝงขนส่งหลายแบบทั้งรถยนต์ รถจักรยานยนต์ หรือรถบรรทุก ซึ่งเฝ้าติดตามข้อมูลจึงทราบว่าคนร้ายจะมีการลักลอบขนโดยใช้รถจักรยานยนต์ ใช้ผู้หญิงเป็นคนขับขี่แต่งกายอำพรางดูคล้ายเป็นชาวสวนในพื้นที่ เมื่อทราบขอมูลและช่วงเวลาจึงได้วางแผนจับกุมโดยบูรณาการกับกำลังหน่วยต่างๆ ตั้งจุดสกัดหลายจุดเนื่องทั้งเส้นหลักและเส้นรองเนื่องจากคนร้ายมีความชำนาญเส้นทาง ต่อมา ขณะที่ชุดจับกุมตั้งจุดสกัดที่บริเวณ ต.บ้านเก่า อ.เมือง จ.กาญจนบุรี ได้พบบุคคลลักษณะคล้ายกับข้อมูล

ทางสืบสวนได้ขับรถจักรยานยนต์ผ่านมา จึงได้แสดงตัวเข้าตรวจคน ผลการตรวจคนพบว่า ผู้ขับขี่คือนางตีตีเอ สัญชาติ เมียนมา อายุ 37 ปี ถือวีซ่าแรงงาน สิ้นสุดการอนุญาตไปตั้งแต่ 31 มี.ค. 63 ท้ายเบาะขนกล่องการะดาษขนาดใหญ่ ตรวจค้นด้านในบรรจุบุหรี่ต่างประเทศ ยี่ห้อ “MARBLE” สีแดง 300 ซอง และยี่ห้อ “TEXAS” คละสีอีกจำนวน 100 ซอง สอบถามรับว่าเป็นบุหรี่ที่ไม่ได้เสียภาษี จึงได้จับกุมพร้อมยึดของกลางส่งดำเนินคดี แจ้งข้อกล่าวหา “นำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสิ่งของที่ไม่ผ่านพิธีการทางศุลกากร และเป็นบุคคลต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการสิ้นสุด” ตรวจยึดของกลาง บุหรี่ต่างประเทศ ยี่ห้อ MARBLE และ TEXAS รวมกัน 400 ซอง  และรถจักรยานยนต์ ยี่ห้อฮอนด้า รุ่นเวฟ สีดำ จำนวน 1 คัน

จากการสอบถามผู้ต้องหาให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา โดยให้ข้อมูลว่ารับจ้างจากคนไทยในตัวเมืองกาญจนบุรีให้ขับรถจักรยานยนต์จากตัวเมืองกาญจนบุรีมารับบุหรี่ของกลาง ในลักษณะที่เรียกกันทั่วไปว่าเป็นม้าวิ่งรถไปรับของแทนโดยได้ค่าจ้างในการทำงานเที่ยวละ 400 บาท โดยแต่ละวันจะทำได้ 1-2 เที่ยว แล้วแต่จะได้รับสั่งงาน ซึ่งก็รับว่าทำมาแล้วหลายครั้ง ในส่วนบุคคลอื่นที่มีข้อมูลว่าเกี่ยวข้องนั้นทางตม.จว.กาญจนบุรีจะทำการสืบสวนขยายผลต่อไป 

สตม.ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่าง ๆ รวมทั้งดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตราย ต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน อันทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศชาติ หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายังสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507 ซ.สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178 หรือ www.immigration.go.th

กก.สส.บก.ตม.3 จับแขก! ปล่อยเงินกู้ดอกโหด ชาวบ้านร้องทนไม่ไหว หลังตรวจสอบไม่พบใบอนุญาต และปล่อยดอกเบี้ยอัตราสูงกว่าที่กฎหมายกำหนด

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม.ดำเนินการตรวจสอบชาวต่างชาติที่มีหมายจับตำรวจสากล หรือมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน หรือเป็นลักษณะการกระทำผิดเข้าข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม., พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.รุ่งโรจน์ ฐากูรปุณยสิริ ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.ทรงโปรด สิริสุขะ รอง ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.กฤตัชญ์ บำรุงรัตนยศ รอง ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.รัชธพงศ์ เตี้ยสุด รอง ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.หฤษฎ์ เอกอุรุ รอง ผบก.ตม.3 และ ว่าที่ พ.ต.อ.จิรพงศ์ รุจิรดำรงค์ชัย ผกก.สส.บก.ตม.3 ร่วมแถลงข่าวการจับกุม ดังนี้

เนื่องด้วย กก.สส.บก.ตม.3 ได้รับการร้องเรียนจากประชาชน กรณีมีกลุ่มคนต่างด้าวโดยเฉพาะพวกแขกได้มาปล่อยเงินกู้นอกระบบ ลักษณะผ่อนดอกเบี้ยรายวัน ทั้งยังเรียกเก็บดอกเบี้ยกับแม่ค้าพ่อค้าในอัตราสูงกว่าที่กฎหมายกำหนด ประกอบกับในสถานการณ์โควิดนี้ ทำให้การทำมาค้าขายเป็นไปอย่างยากลำบาก เมื่อนายทุนแขกมาเรียกเก็บเงินก็ติดตามรังควานสร้างความเดือดร้อนให้กับชาวบ้านเป็นอย่างมาก กก.สส.บก.ตม.3 และ ตม.จว.ราชบุรี ได้ร่วมกันระดมกวาดล้างจับกุม โดยสามารถจับกุมได้ 3 ราย มีรายละเอียดดังนี้

หลังจากได้รับการร้องเรียน ชุดสืบสวน กก.สส.บก.ตม.3 ได้ลงพื้นที่ ต.บางเขน อ.เมือง จ.นนทบุรี ทำการสืบสวนได้ข้อมูลว่า จะมีคนลักษณะคล้ายแขกอินเดียใช้พาหนะเป็นจักรยานปั่นอยู่ในซอยศิริชัยเก็บเงินกู้อยู่หลายจุด ทราบชื่อภายหลังว่ารายนี้คือ

นาย กังโอตรี หรือบังปาน อายุ 52 ปี สัญชาติ อินเดีย ถือวีซ่าอยู่แบบใช้ชีวิตปั้นปลาย ชุดสืบสวนเฝ้าดูพฤติกรรมอยู่ระยะหนึ่งจนเห็นว่า เป้าหมายตระเวนปั่นจักรยานเก็บเงินกู้ซ้ำ ๆ ทุกวันเวลาเดิม ต่อมา ขณะที่ชุดสืบสวนซุ่มดูอยู่ พบว่าบังปานได้จอดรถรอเก็บเงินสังเกตเห็นหญิงสวมเสื้อสีแดงคนหนึ่ง คาดว่าเป็นลูกค้า นำเงินเป็นธนบัตรชนิด 100 บาท มายื่นให้ ชุดสืบสวนจึงได้เข้าไปขอตรวจค้นในทันที ผลการตรวจค้นก็พบว่ามีธนบัตรชนิด 100 อยู่หลายใบและพบโทรศัพท์มือถือบันทึกรายชื่อลูกค้าอยู่หลายราย สอบถามหญิงคนดังกล่าวให้ข้อมูลว่ากู้ยืมเงินกับบังปานจำนวน 3,000 บาท คิดดอกเบี้ยร้อยละ 10 โดยจะหักดอกเบี้ยออกก่อนแล้วจะผ่อนชำระเป็นรายวัน วันละ 100 บาท จนครบ 30 วัน ซึ่งเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนดไว้ไม่เกินร้อยละ 15 ต่อปี จึงได้ควบคุมตัวบังปานพร้อมของกลางนำส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดี แจ้งข้อกล่าวหาว่า “เป็นบุคคลต่างด้าวประกอบธุรกิจสินเชื่อรายย่อยเพื่อการประกอบอาชีพภายใต้การกำกับโดยไม่ได้รับอนุญาต ให้ผู้อื่นกู้ยืมเงินหรือกระทำการใด ๆ อันมีลักษณะเป็นการอำพรางการให้กู้ยืมเงิน โดยเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดไว้ และทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาต” ตรวจยึดของกลาง เป็นธนบัตร ชนิด 100 บาท จำนวน 23 ฉบับ และโทรศัพท์มือถือ ยี่ห้อ OPPO สีดำ จำนวน 1 เครื่อง

นายกังโอตรีหรือบังปาน ให้การรับสารภาพตามข้อกล่าวหา โดยให้ข้อมูลว่าประกอบธุรกิจด้านนี้ทั้งปล่อยเงินกู้และขายสินค้าเงินผ่อน โดยหากเป็นเงินกู้จะคิดร้อยละ 10 ต่อเดือน และหากเป็นสินค้าเงินผ่อนจะคิดดอกเบี้ยมากกว่านั้นแล้วแต่กรณีซึ่งลูกค้ารายย่อยจะมีการกู้เงินตั้งแต่หลักพันจนถึงหลักแสนบาทก็มี โดยมีเพื่อนชาวอินเดียเป็นนายทุนให้ ซึ่งต่อมา กก.สส.บก.ตม.3 จึงได้ร่วมกับ ตม.จว.ราชบุรี ขยายผลจับกุมชาวอินเดียซึ่งอยู่ในกลุ่มเครือข่ายลักษณะเดียวกันได้อีกจำนวน 3 ราย ในส่วนผู้ร่วมกระบวนการที่เหลืออยู่จะดำเนินการขยายผลต่อไป

สตม.ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่าง ๆ รวมทั้งดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตราย ต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน อันทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศชาติ หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายังสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507 ซ.สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178 หรือ www.immigration.go.th

กรุงเทพฯ - พม. ดึงภาคีเครือข่ายร่วมแถลงข่าว “ผนึกกำลังสร้างวิถีใหม่ เพื่อเด็กและเยาวชนไทย” ป้องกันการแสวงหาประโยชน์จากเด็ก

วันนี้ (30 ส.ค. 64) เวลา 10.30 น. นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานในการแถลงข่าว “ผนึกกำลังสร้างวิถีใหม่ เพื่อเด็กและเยาวชนไทย” โดยมีผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมแถลงข่าว ประกอบด้วย

1) นายนิยม สองแก้ว รองปลัดกระทรวงแรงงาน

2) พลตำรวจเอก จารุวัฒน์ ไวศยะ ที่ปรึกษาพิเศษ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ 

3) นายขจิต ชัชวานิชย์ รองปลัดกรุงเทพมหานคร

4) แพทย์หญิงดุษฎี จึงศิรกุลวิทย์ ผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพจิตและวัยรุ่นราชนครินทร์ กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข

5) ดร. ชัยชนะ มิตรพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และ

6) นางวราภรณ์ สุวรรณเจริญ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านต้นทุนและการกำหนดราคาสินค้า กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ณ ห้องประชุม ชั้น 2 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ถนนกรุงเกษม สะพานขาว กทม.

นายจุติ กล่าวว่า ปัจจุบัน สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ได้ส่งผลกระทบต่อประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมายทุกช่วงวัยอย่างต่อเนื่อง และทำให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคมในวงกว้าง รวมทั้งปัญหากลุ่มเด็กเร่ร่อนหรือกลุ่มเด็กเปราะบางที่เดินขอเงินหรือขายพวงมาลัยบนท้องถนน ซึ่งมีสาเหตุส่วนหนึ่งจากปัญหาเศรษฐกิจหรือปัญหาความกดดันต่าง ๆ ในครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นการช่วยเหลือพ่อ-แม่ ผู้ปกครอง ในการหารายได้เพื่อจุนเจือครอบครัวทั้งที่เด็กสมัครใจและถูกบังคับ ความรุนแรงในครอบครัว และปัญหาความยากจน เป็นต้น อีกทั้งทำให้เด็กกลุ่มนี้มีแนวโน้มที่จะหลุดจากระบบการศึกษาที่สูงมาก จากการรวบรวมข้อมูลของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

สำหรับปัญหาการใช้ความรุนแรงต่อเด็ก จากสถิติของกระทรวงสาธารณสุข ในแต่ละปีมีเด็กมากกว่า 10,000 คน เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลด้วยสาเหตุของการถูกใช้ความรุนแรง โดยเฉพาะความรุนแรงทางเพศ  และจากข้อมูลของ UNICEF พบว่า 3 ใน 4 ของเด็กในช่วงอายุระหว่าง 1 – 14 ปี เคยถูกลงโทษทางร่างกายหรือจิตใจโดยสมาชิกครอบครัวในเดือนที่ผ่านมา เด็ก 4.2 คนใน 100 คน เคยถูกลงโทษทางร่างกายในระดับรุนแรง เด็กโดยเฉลี่ย 52 คน ถูกกระทำความรุนแรงทางเพศทางกาย หรือทางใจ ถูกทอดทิ้ง หรือถูกนำไปแสวงหาผลประโยชน์ในแต่ละวัน หรือประมาณ 2 คนในหนึ่งชั่วโมง อีกทั้งจากสถิติผู้ใช้บริการสายด่วน 1300 กระทรวง พม. ระหว่างเดือนตุลาคม 2561 - เดือนกันยายน 2562 มีการรายงานเคสความรุนแรงต่อเด็กหรือเยาวชนเฉลี่ย 5 เคสต่อวัน โดยจำนวน 3 ใน 5 เคส เป็นกรณีการใช้ความรุนแรงในครัวเรือน พบบ่อยที่สุดคือความรุนแรงจากพ่อหรือแม่ที่กระทำต่อเด็ก และจากข้อมูลของ National Working Children Survey of 2018 พบเด็กประมาณ 177,000 คน ที่ทำงานใช้แรงงานเด็ก ในจำนวนนี้ มี 133,000 คน อยู่ในงานที่เสี่ยงอันตราย สำหรับประเทศไทยรวมถึงในประเทศเพื่อนบ้านถูกแสวงการประโยชน์จากการค้าประเวณีเชิงพาณิชย์ในร้านอาบอบนวด บาร์ ร้านคาราโอเกะ โรงแรม และในที่พักส่วนบุคคล นอกจากนี้ ยังมีการล่อลวงออนไลน์ทางสื่อโซเชียลและห้องแชทต่าง ๆ เพื่อบังคับเด็กมาผลิตสื่อลามกหรือมีเพศสัมพันธ์

นายจุติ กล่าวต่อไปว่า กระทรวง พม. ทำงานเพียงกระทรวงเดียวไม่ได้ เราต้องมีการทำงานแบบบูรณาการกัน ซึ่งเป็นการสร้างโอกาสให้กับกลุ่มเยาวชน กลุ่มครอบครัว ที่ต้องการการเปลี่ยนแปลง  ตนทราบถึงปัญหาและได้ผนึกกำลังกันกับหลายกระทรวง  เพื่อเปลี่ยนมิติจากการปราบปราม เป็นมิติของการเปลี่ยนแปลง ปรับปรุง เพื่อสร้างอนาคต สร้างวิถีชีวิตใหม่ ที่สามารถให้กลุ่มต่าง ๆ เหล่านี้เข้าถึงองค์ความรู้ ช่องทาง วิธีการที่จะสร้างอนาคต และเราจะมีผู้ประกอบการรุ่นใหม่ ๆ ผู้ประกอบการสินค้าแปลก ๆ ซึ่งเป็นสินค้าที่ผลิตเอง ทำเอง ขายเอง ในขณะเดียวกันเราใช้เมตตา โอกาส และความสร้างสรรค์ แต่เรามีกฎหมายตีกรอบว่า ถ้าเกิดมีการใช้ประโยชน์จากเด็กเยาวชนโดยไม่ชอบ ก็ต้องดำเนินการ ทั้งนี้ครอบครัวไหนที่มีความจำเป็นอยากจะประกอบอาชีพ เรามีกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงแรงงาน กระทรวงดีอีเอส กระทรวง พม. และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่คอยช่วยเหลืออยู่ด้วยความเข้าใจและพร้อมที่จะช่วยเหลือให้เดินหน้าไปด้วยกัน

นายจุติ กล่าวต่อไปอีกว่า ขณะนี้เราพยายามเพิ่มจำนวนเจ้าหน้าที่ และกระทรวง พม. ได้จับมือกับกรุงเทพมหานคร เพราะเป็นเจ้าของพื้นที่ ทั้งนี้ เรายังได้ผนึกกำลังกับสายด่วน ตำรวจ โทร. 191 โดยกระทรวง พม. จะมีเจ้าหน้าที่เพิ่มให้ครบทั้ง 50 เขต คอยดูแลปัญหาเหล่านี้และพัฒนากลุ่มเป้าหมายให้มีความยั่งยืนได้พ้นจากปัญหาที่ประสบอยู่ ในขณะเดียวกันเราให้ทั้งโอกาสและใครก็ตามที่มาใช้โอกาสโดยไม่ชอบก็ต้องจัดการ หากประชาชนเกิดปัญหาสามารถติดต่อ สายด่วน พม. โทร. 1300 หรือสายด่วน ตำรวจ โทร. 191 ทั้งนี้ ตนเชื่อว่าจะมีเยาวชนที่เข้าใจ ซึ่งเจ้าหน้าที่ของเราได้รับการฝึกจิตวิทยา และเราจะแก้ปัญหาที่ต้นเหตุไม่ใช่ที่ปลายเหตุ โดยเราเชื่อว่าถ้าเราทำตรงนี้ได้ เด็กเหล่านี้จะไม่ถูกเอาเปรียบและไม่ถูกหลอกใช้

นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัญหากลุ่มเด็กเร่ร่อนหรือกลุ่มเด็กเปราะบางที่เดินขอเงินหรือขายพวงมาลัยบนท้องถนน จำเป็นต้องบูรณาการการทำงานร่วมกันในทุกมิติ ตามที่รัฐบาลได้มอบนโยบายที่ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลางและต้องแก้ไขปัญหาของประชาชนให้ได้และเดินหน้าไปพร้อม ๆ กัน ซึ่งทุกปัญหา ถ้าไม่ได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่ายจะไม่สามารถประสบความสำเร็จได้ ทั้งนี้ กระทรวง พม. โดยกรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.) มีภารกิจสำคัญในการดูแลงานด้านเด็กและเยาวชนโดยตรง ภายใต้การดำเนินงานของบ้านพักเด็กและครอบครัว และสถานสงเคราะห์สำหรับรองรับเด็กตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 ในขณะที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินงานช่วยเหลือเด็กในทุกมิติ ได้แก่

1) กระทรวงแรงงาน ดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กรุงเทพมหานคร กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เพื่อตรวจสอบและช่วยเหลือเด็กตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2551 

2) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ดำเนินการเรื่องชี้แจงกับพ่อ-แม่ ผู้ปกครอง กรณีปล่อยปละละเลยรู้เห็นเป็นใจหรือแสวงประโยชน์จากเด็ก ตามบทลงโทษตามกฎหมาย

3) สำนักพัฒนาสังคม กรุงเทพมหานคร ดำเนินกระบวนการช่วยเหลือเด็ก โดยมีพนักงานเจ้าหน้าที่และศูนย์สร้างโอกาส ทั้งหมด 7 แห่ง

4) กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข ดำเนินการให้ความรู้ การให้คำแนะนำแก่เด็ก พ่อ-แม่ ผู้ปกครอง และครอบครัว เพื่อสร้างความรักความเข้าใจ และการเลี้ยงดูอย่างเหมาะสมในครอบครัว อีกทั้งติดตามเกี่ยวกับการส่งเสริมพัฒนาการเด็กให้เหมาะสมตามวัย หากเกิดพฤติกรรมซ้ำ จะประสานเจ้าหน้าที่ดำเนินการตามกฎหมาย

5) สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ดำเนินการส่งเสริมและสนับสนุนการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อเอื้อประโยชน์ต่อการพัฒนาผู้ประกอบการทุกวัย โดยเฉพาะแนวทางส่งเสริมสำหรับเด็กและครอบครัว และ

6) กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ดำเนินการส่งเสริมกิจการด้านการตลาด สร้างโอกาส สร้างอาชีพ และรายได้ให้แก่เด็กและครอบครัว จาก on ground to online

ชลบุรี - กองเรือยุทธการร่วมกับอำเภอสัตหีบ รวมพลังสามัคคีจัดกิจกรรม “มีแล้วแบ่งปัน” ร่วมเติมเครื่องอุปโภคบริโภคใส่ตู้ มอบให้กับประชาชนชาวสัตหีบ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนจากวิกฤตโควิด-19

วันที่ 30 ส.ค.64 พล.ร.อ.สุทธินันท์  สมานรักษ์ ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ เป็นประธานในการจัดกิจกรรม “มีแล้วแบ่งปัน” ร่วมกับ นายกิตติพงษ์ กิติคุณ นายอำเภอสัตหีบ พร้อมด้วยผู้บังคับบัญชาในกองบัญชาการ กองเรือยุทธการ , ผู้บริหารอำเภอสัตหีบ และชมรมภริยากองเรือยุทธการ นำของอุปโภค บริโภค ที่จำเป็นเติมใส่ตู้ “มีแล้วแบ่งปัน” เพื่อส่งมอบพลังใจให้กับประชาชนชาวสัตหีบที่ได้รับความเดือดร้อนจากวิกฤตโควิด-19 ณ หน้าที่ว่าการอำเภอสัตหีบ จ.ชลบุรี

จากการแพร่ระบาดของ COVID-19 อย่างหนัก ส่งผลกระทบต่อประชาชนเป็นวงกว้างทั่วประเทศ โดยเฉพาะโดยเฉพาะรายได้ครัวเรือนที่ลดลงเป็นระยะเวลานาน ในการนี้ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการได้มีดำริให้จัดตั้งตู้ “มีแล้วแบ่งปัน” ขึ้น เป็นหนึ่งในโครงการให้ความช่วยเหลือ โดยร่วมกับอำเภอสัตหีบ ตั้งแต่เดือน มิ.ย.64 พร้อมกับเชิญชวนให้หน่วยขึ้นตรงกองเรือยุทธการ และส่วนต่าง ๆ ของอำเภอสัตหีบ ร่วมกันนำสิ่งของอุปโภคบริโภคตามขีดความสามารถที่มี เติมใส่ตู้อย่างต่อเนื่อง เป็นการแสดงออกซึ่งความห่วงใย  พร้อมร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน เป็นการส่งผ่านธารน้ำใจของของการให้  การแบ่งปัน ทั้งนี้กองเรือยุทธการ และอำเภอสัตหีบ มีความมุ่งมั่นในการดำเนินโครงการอย่างต่อเนื่องจนกว่าวิกฤตนี้จะคลี่คลาย สอดคล้องกับนโยบายของผู้บัญชาการทหารเรือที่มุ่งให้กองทัพเรือได้ร่วมพลังสามัคคีพลังราชนาวี เป็นส่วนหนึ่งในการบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน เพื่อก้าวผ่านสถานการณ์อันยากลำบากนี้ไปด้วยกัน


ภาพ/ข่าว  สมนึก เชื้อสนุก

เชียงใหม่ - รพ.สวนดอก เปิดวอล์กอินผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป และ 7 กลุ่มโรค เรื้อรัง ฉีดวัคซีนโควิด-19 ในวันจันทร์และวันศุกร์

รพ.มหาราชนครเชียงใหม่ ย้ำลูกหลานพาพ่อแม่อายุ 60 ปี ขึ้นไป มาฉีดวัคซีนโควิด-19 แบบวอล์กอิน เผยผู้สูงอายุเชียงใหม่รับวัคซีนยังน้อย หากติดเชื้อความเสี่ยงเสียชีวิตสูง ส่วนหญิงนน.เกิน 70 กก.และชาย นน.เกิน 90 กก. หรือมีดัชนีมวลกาย (BMI) มากกว่าเท่ากับ 30 วอล์กอินรับวัคซีนได้เลย ณ หอประชุมมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ในวันจันทร์ และวันศุกร์

ผศ.นพ.นเรนทร์ โชติรสนิรมิต ผู้อำนวยการ โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ เปิดเผยว่า “รพ.มหาราชนครเชียงใหม่ ได้เริ่มฉีดวัคซีนโควิด-19 ครั้งแรก ตั้งแต่วันที่ 2 มีนาคม 2564 ที่ผ่านมา ระยะแรกใช้สถานที่ชั้น 15 อาคารเฉลิมพระบารมี คณะแพทยศาสตร์ มช. เพื่อทำการทดสอบระบบการฉีดวัคซีนโควิด-19 ต่อมาย้ายไปที่ชั้น 2 อาคารเรียนรวม คณะแพยศาสตร์ มช. ซึ่งพบว่ามีผู้มารับการฉีดวัคซีนเป็นจำนวนมากทำให้พื้นที่มีความแออัด จึงได้ขออนุมัติไปยังมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เป็นสถานที่ในการฉีดวัคซีนให้กับภาคประชาชนและบุคลากร

หอประชุมมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ให้การสนับสนุนทั้งสถานที่ และบุคลากร ให้เป็นศูนย์ฉีดวัคซีนของโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ ที่สามารถฉีดได้มากถึง 1,700 คนต่อวัน โดยเริ่มฉีดระหว่างเวลา 08.00-14.00 น. ปัจจุบันฉีดไปแล้วทั้งหมดประมาณ 6 หมื่นราย เราได้ใช้หอประชุมอย่างเต็มพื้นที่ ทั้งการลงทะเบียน การคัดกรอง , การฉีดวัคซีน , การสังเกตอาการ และการปฐมพยาบาล แต่ด้วยวัคซีนที่วางแผนและถูกจัดส่งมาจากทางจังหวัดไม่ได้มีมากตามที่ได้คาดการณ์ไว้ จึงทำให้ไม่สามารถฉีดวัคซีนโควิด-19 ได้ทุกวัน ทางรพ.มหาราชนครเชียงใหม่ จึงลดการฉีดลงเหลือเพียงแค่ 3 วัน คือ วันจันทร์ วันพุธ และวันศุกร์เท่านั้น

ปัจจุบันมีผู้ได้รับ SMS นัดรับวัคซีนเข็มที่ 2 จำนวนมาก โดยในตอนนี้จังหวัดเชียงใหม่ใช้สูตรในการฉีดคือ วัคซีนซิโนแวค เข็มที่ 1 และวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า เข็มที่ 2 ซึ่งต้องห่างจากเข็มที่ 1 ประมาณ 3 สัปดาห์ รวมทั้งฉีดวัคซีนซิโนแวค เข็มที่ 1 ให้กับประชาชนที่ทำการวอล์กอินเข้ามา ภายใต้การบัญชาของกรรมการวัคซีนจังหวัด โดยระยะแรกประชาชนที่ลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ “ก๋ำแปงเวียง” บุคคลที่เน้นตอนแรกคือกลุ่ม 607 หมายถึง กลุ่มผู้สูงอายุ 60 ปี ขึ้นไป และ 7 กลุ่มโรคเรื้อรัง แต่ในภาพรวมของจังหวัด ยังพบว่าประชาชนผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ในจังหวัดเชียงใหม่ ฉีดวัคซีนเพียงแค่ 35 % ยังไม่ตรงตามเป้าหมายที่วางไว้ หากผู้สูงอายุได้รับการฉีดอย่างน้อย 50% ขึ้นไปแล้ว หลังจากนั้นจึงจะเป็นการฉีดวัคซีนในภาคประชาชนทั่วไป ซึ่งคงจะไม่นานนัก ขอให้ประชาชนรออีกสักนิด เพราะกลุ่มผู้สูงอายุเมื่อป่วยจะมีความเสี่ยงในการเสียชีวิตสูง ดังนั้นนโยบายจังหวัดตอนนี้จึงยังคงเน้นที่กลุ่ม 607 อยู่ และได้เปิดวอล์กอินให้เข้ามาฉีดวัคซีนมากขึ้น”

ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ กล่าวต่อว่า “ในส่วน รพ.มหาราชนครเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 27 และ 30 สิงหาคม 2564 ได้เปิดวอล์กอินเต็มกำลัง 1,000 คน ต่อวัน ให้ผู้สูงอายุเข้ามาฉีด แต่ก็ยังพบว่ามีผู้สูงอายุมาฉีดน้อยมากเพียงแค่ประมาณ 30% เท่านั้น อาจเพราะการเดินทางไม่สะดวก หรือความเข้าใจของผู้สูงอายุเองว่าไม่อยากฉีดเนื่องจากกลัวผลข้างเคียง ด้วยเหตุดังกล่าวจึงทำให้ผู้สูงอายุปฏิเสธในการรับวัคซีน

ผู้สูงอายุบางท่านที่อยู่แต่บ้านอาจมองว่าไม่ต้องฉีดก็ได้เพราะไม่ได้ไปไหน แต่อาจไม่ปลอดภัยเสมอไปเพราะลูกหลานบางคนที่แข็งแรงดี อาจป่วย แล้วเดินทางมาหา พูดคุย เข้าใกล้ สัมผัสผู้สูงอายุ ก็อาจจะทำให้ มีการแพร่กระจายเชื้อมาสู่ท่านได้ อยากให้ผู้สูงอายุที่มีภูมิคุ้มกันไม่มากเท่าคนหนุ่มสาวทำความเข้าใจใหม่เรื่องความอันตรายของวัคซีน เพราะประโยชน์ของวัคซีนโควิด-19  มีมากกว่าผลเสีย

ข่าวการเสียชีวิตหรือผลข้างเคียงไม่ได้มีข้อพิสูจน์ว่าเกิดจากวัคซีนอย่างแท้จริง ในกลุ่มประชาชนทั่วไป เสียชีวิตกะทันหันจากโรคประจำตัวเดิม ก็มีอยู่ไม่น้อย หากแต่บังเอิญเสียชีวิตช่วงที่รับวัคซีนโควิด-19 พอดี อาจทำให้เข้าใจผิดว่า เสียชีวิตจากวัคซีนก็ได้ จึงขอให้ผู้สูงอายุ ออกมารับวัคซีนกันให้มาก ๆ เพราะผู้ที่ติดเชื้อโควิด-19 แล้วเสียชีวิตมีจำนวนมากในทุก ๆวัน

อีกหนึ่งกลุ่มคือ กลุ่มที่มีนำหนักตัวมาก ได้แก่ ผู้หญิงน้ำหนักมากกว่า 70 กิโลกรัม ผู้ชายน้ำหนักมากกว่า 90 กิโลกรัม หรือมีดัชนีมวลกาย (BMI) มากกว่าเท่ากับ 30 สามารถวอล์กอินเข้ามาฉีดที่ศูนย์ฉีด ของรพ.มหาราชนครเชียงใหม่ ได้เลย ในวันจันทร์ และวันศุกร์ ระหว่างเวลา 10.00 -14.00 น. ณ หอประชุมมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเรื่องวัคซีนโควิด-19 โทร.053-934900-1 ทุกวัน ระหว่างเวลา 08.30-16.00 น.


ภาพ/ข่าว  นภาพร/เชียงใหม่

แม่ฮ่องสอน - ผู้ว่าฯ แม่ฮ่องสอน กำชับเข้มงวดด่าน 3 ชั้น 24 ชั่วโมง พร้อมเตรียม Local Quarantine รองรับผู้เดินทางกลับภูมิลำเนาในระดับพื้นที่ให้เพียงพอ

นายสิธิชัย จินดาหลวง ผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน เปิดเผยว่า จังหวัดแม่ฮ่องสอน ได้กำหนดนโยบายเร่งด่วนในเรื่องสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ในพื้นที่

โดยผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน ระบุว่า ได้มีการเน้นย้ำขอความร่วมมือทุกภาคส่วน ดำเนินการตามมาตรการของจังหวัดอย่างเคร่งครัด ทั้งเรื่องของการตั้งด่าน 3 ชั้น ให้เข้มข้นและเข้มงวด ตลอด 24 ชั่วโมง การเตรียมพร้อม Local Quarantine รองรับผู้ที่จะกลับคืนสู่ภูมิลำเนาในระดับพื้นที่ทั้งตำบล และอำเภอ ให้เพียงพอต่อจำนวนคน การเร่งรณรงค์ประชาสัมพันธ์เชิญชวนให้ประชาชนฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้ครบตามเป้าหมายที่รัฐได้กำหนดไว้โดยเร็วที่สุด เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่


ภาพ/ข่าว  สุกัลยา / รุจิรา อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน  

สุรินทร์ - กองกำลังสุรนารี และศูนย์ดูแลโควิดชุมชน โรงพยาบาลค่ายวีรวัฒน์โยธิน รับมอบถุงรอยส์ยิ้ม และชุดป้องกันเชื้อโรค (PPE) ให้กับศูนย์ดูแลโควิดชุมชน

วันที่ 27 สิงหาคม 2564 ที่จังหวัดสุรินทร์ พลตรีอดุลย์  บุญธรรมเจริญ ผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี,เป็นตัวแทนรับมอบ ถุงรอยส์ยิ้ม จำนวน 500 ชุด และ ชุดป้องกันเชื้อโรค (PPE) จำนวน 300 ตัว จากบริษัท รอยส์ เซอร์วิส จำกัด โดย ดร.ภัทร์ฐิตา ทุมเกิด กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ และ นายคณิน  อารีวานิช กรรมการบริหาร กลุ่มบริษัท รอยส์ เซอร์วิส จำกัด และคณะ ได้เดินทางเข้ามอบถุงรอยส์ยิ้ม จำนวน 500 ชุด และ ชุดป้องกันเชื้อโรค (PPE) จำนวน 300 ตัว  ให้กับศูนย์ดูแลโควิดชุมชน (Community Isolation) มณฑลทหารบกที่ 25 (กองกำลังสุรนารี) และศูนย์ดูแลโควิดชุมชน (Community Isolation) โรงพยาบาลค่ายวีรวัฒน์โยธิน

โดยมี พันเอกสงราม โชคชัย ผู้อำนวยการโรงพยาบาลค่ายวีรวัฒน์โยธินเป็นผู้รับมอบ เพื่อให้ผู้ป่วยโควิด-19 ได้นำกลับไปใช้ หลังจากที่หายป่วยแล้ว โดยภายในถุงรอยส์ยิ้มประกอบด้วย สเปรย์แอลกอฮอร์ หน้ากากอนามัย น้ำยาถูพื้นรอยส์ และเจลแอลกอฮอล์ และชุดป้องกันโรค (PPE) ไว้สำหรับให้บุคลากรทางการแพทย์ ใช้ในการป้องกันเชื้อไวรัสโควิด-19 สำหรับศูนย์ดูแลโควิดชุมชน (Community Isolation) มณฑลทหารบกที่ 25 (กองกำลังสุรนารี) ได้จัดตั้งมา ตั้งแต่วันที่ 29 กรกฎาคม 2564 โดยรับผู้ป่วยเพศชาย จำนวน  30 เตียง  ยังคงรักษาตัวอยู่ จำนวน 25 ราย

ในส่วนของศูนย์ดูแลโควิดชุมชน (Community Isolation) โรงพยาบาลค่ายวีรวัฒน์โยธิน นั้น ได้ดำเนินการใช้เป็นศูนย์ดูแลโควิดย์ชุมชน ตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคม ที่ผ่านมา โดยใช้รับผู้ป่วยเพศชาย มีจำนวน 60 เตียง จากนั้นจากบริษัท รอยส์ เซอร์วิส จำกัด และคณะได้เดินทางเข้ามอบถุงรอยส์ยิ้ม น้ำยาถูพื้นรอยส์ และเจลแอลกอฮอล์ ให้กับพันเอกวีระยุทธ์ รักศิลป์ รองผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี ณ ศูนย์พัฒนาทักษะและฝึกอาชีพคนพิการทางสติปัญญา จังหวัดสุรินทร์ มูลนิธิเพื่อช่วยคนปัญญาอ่อนแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์เพื่อส่งต่อให้กับผู้นำชุมชนชาวบ้านไปใช้กับผู้กักตัวของชุมชนชาว ตำบลเชื้อเพลิง อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ โดยมี นายประภาส  ศรีจันทร์เวียง นายอำเภอปราสาท ร่วมเป็นเกียรติรับมอบ


ภาพ/ข่าว  ปุรุศักดิ์ แสนกล้า 

ชลบุรี - กฟผ.มอบเสื้อชูชีพ 200 ตัว เงิน 50,000 บาท สนับสนุนอุทยานใต้ทะเลเกาะขาม ทัพเรือภาคที่ 1

ทัพเรือภาคที่ 1 รับมอบเสื้อชูชีพ จำนวน 200 ตัว พร้อมเงินจำนวน 50,000 บาท จากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เพื่อสนับสนุนให้แก่ อุทยานใต้ทะเลเกาะขาม ทัพเรือภาคที่ 1 ในพื้นที่ของโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืช อันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี

วันที่ 30 สิงหาคม 2564 พลเรือโท โกวิท  อินทร์พรหม ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 1 มอบหมายให้ พลเรือตรี อภิชัย สมพลกรัง รองผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 1 พร้อมด้วย นาวาเอก วิวัฒน์  ขวัญสูงเนิน ผู้อำนวยการกองข่าวทัพเรือภาคที่ 1 เป็นผู้แทนรับมอบเสื้อชูชีพ จำนวน 200 ตัว พร้อมรับมอบเงินจำนวน 50,000 บาท จากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย โดย นางสุภาวิณี นาควิเชตร หัวหน้าหมวดประชาสัมพันธ์ (มปส.-ปส.) โครงการปรับปรุงและขยายระบบส่งไฟฟ้าที่เสื่อมสภาพตามอายุการใช้งาน  (อค.-ปส.) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย เป็นผู้แทนส่งมอบ ณ กองบัญชาการทัพเรือภาคที่ 1 อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี

การรับมอบเสื้อชูชีพ พร้อมด้วยเงินในครั้งนี้ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ได้มอบให้ทัพเรือภาคที่ 1 เพื่อสนับสนุนให้แก่ อุทยานใต้ทะเลเกาะขาม ทัพเรือภาคที่ 1 ตามโครงการสร้างสะพานทางเดินศึกษาธรรมชาติเทิดพระเกียรติ ระยะที่ 3 ซึ่งอุทยานใต้ทะเลเกาะขาม เป็นหนึ่งในพื้นที่ของโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืช อันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ซึ่งเสื้อชูชีพ จำนวน 200 ตัว ที่ได้รับมอบในครั้งนี้ อุทยานใต้ทะเลเกาะขาม ทัพเรือภาคที่ 1 จะนำใช้ไปทดแทนเสื้อชูชีพที่เก่าและเสื่อมสภาพเพื่อป้องกันอุบัติเหตุทางน้ำแก่ประชาชนทั้งในระหว่างการเดินทาง และการเยี่ยมชมอุทยานใต้ทะเลเกาะขาม ทัพเรือภาคที่ 1 อีกทั้งจะนำเงินจำนวน 50,000 บาท ไปปรับปรุงโครงสร้างสะพานทางเดินศึกษาธรรมชาติเทิดพระเกียรติ และฟื้นฟูสภาพแวดล้อมใต้ทะเล ณ อุทยานใต้ทะเลเกาะขาม ทัพเรือภาคที่ 1 ตามเจตนารมณ์ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ต่อไป


ภาพ/ข่าว  นิราช / นันทพล ทิพย์ศรี ก012 ชลบุรี

ระยอง - ตำรวจทางหลวงระยอง แจกฟ้าทะลายโจร พร้อมเปิดโครงการเปลี่ยนไฟท้ายจักรยานยนต์ให้ประชาชนฟรี

เมื่อเวลา 09.30 น.วันที่ 30 ส.ค. 64 ที่สถานีตำรวจทางหลวง 3 กองกำกับการ 3 (ระยอง)  ริมถนนสุขุมวิท ต.แกลง อ.เมือง จ.ระยอง พ.ต.ท ศราวุฒิ ทองใหญ่ สว.สทร.3 กก.3 บก.ทล.(ระยอง) พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวง ได้นำพันธุ์ต้นฟ้าทะลายโจร แจกจ่ายให้กับชาวบ้านและผู้ที่ต้องการนำไปปลูก เพื่อไว้รักษาโรคภัยไข้เจ็บ โดยมีประชาชนมารับแจกต้นฟ้าทลายโจรจำนวนมาก โดยบอกว่า ต้องการหาไปปลูกเพื่อใช้เป็นยา ตามที่มีการรับรองว่าสามารถต้านโควิด-19 ได้

พ.ต.ท.ศราวุฒิ กล่าวว่า สำหรับโครงการแจกต้นฟ้าทะลายโจรมีวัตถุประสงค์ เพื่อส่งเสริมให้ทุกครัวเรือนปลูกต้นฟ้าทะลายโจร เป็นสมุนไพรที่มีประโยชน์ในทางยาในการรักษาโรคต่างๆ โดยจะมีการเพาะต้นกล้าไว้แจกโดยผู้ใดสนใจก็สามารถติดต่อขอรับต้นกล้าได้ที่สถานีตำรวจทางหลวง3 กองกำกับการ 3 (ระยอง) ในวันและเวลาราชการ

นอกจากนี้ตำรวจทางหลวงระยอง ยังมีโครงการเปลี่ยนไฟท้ายรถจักรยานยนต์ฟรี เพื่อลดการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน หากท่านใดต้อวการเปลี่ยนไฟท้ายรถจักรยานยนต์ สามารถนำรถเข้าไปติดต่อขอเปลี่ยนไฟท้ายได้ที่สถานีตำรวจทางหลวง 3 กองกำกับการทางหลวง 3(ทางหลวงสวนสน) ในวันเวลาราชการ โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ฟรีทั้งหลอดไฟและเปลี่ยนให้ ซึ่งเป็นโครงการที่ช่วยเหลือผู้ใช้รถจักรยานยนต์และยังช่วยลดการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนได้อีกด้วย


ภาพ/ข่าว  วฐิต กลางนอก / ธีรวัฒน์ อินธิพันธ์ รายงาน

กาฬสินธุ์ - มูลนิธิส่งเสริมการลดก๊าซเรือนกระจก มอบทุนการศึกษาให้กับนักเรียนที่ขาดแคลนทุนทรัพย์และมีฐานะยากจน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนและแบ่งเบาภาระนักเรียนและผู้ปกครอง ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19

เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 30 สิงหาคม 2564 ที่ห้องประชุมโสมพะมิตร ศาลากลาง จ.กาฬสินธุ์ ชั้น 4 ซึ่งวันนี้มีการประชุมประจำเดือนของส่วนราชการ พล.ต.ต.มนตรี จรัลพงศ์ กรรมการมูลนิธิส่งเสริมการลดก๊าซเรือนกระจก เป็นตัวแทนพล.อ.วีรชัย อินทุโศภน ประธานกรรมการมูลนิธิส่งเสริมการลดก๊าซเรือนกระจก มอบทุนการศึกษากับนักเรียนจำนวน 25 ราย ทุนละ 5,000 บาท ตามโครงการมอบทุนการศึกษาสำหรับนักเรียนที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ และมีฐานะยากจน ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยมีนายทรงพล ใจกริ่ม ผู้ว่าราชการ จ.กาฬสินธุ์ เป็นเกียรติในการร่วมมอบทุนการศึกษา

พล.ต.ต.มนตรี จรัลพงศ์ กรรมการมูลนิธิส่งเสริมการลดก๊าซเรือนกระจก กล่าวว่า เนื่องด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในหลายพื้นที่ ส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนในวงกว้าง ดังนั้นมูลนิธิส่งเสริมการลดก๊าซเรือนกระจก โดยพล.อ.วีรชัย อินทุโศภน ประธานกรรมการมูลนิธิส่งเสริมการลดก๊าซเรือนกระจก พร้อมด้วยกรรมการมูลนิธิฯ ได้ร่วมกันจัดหาทุนและจัดโครงการมอบทุนการศึกษา สำหรับนักเรียนที่ขาดแคลนทุนทรัพย์และมีฐานะยากจนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19

พล.ต.ต.มนตรี กล่าวอีกว่า ในการมอบทุนทางมูลนิธิส่งเสริมการลดก๊าซเรือนกระจก ได้ประสานงานกับนายทรงพล ใจกริ่ม ผู้ว่าราชการ จ.กาฬสินธุ์ และได้ให้นายอำเภอทั้ง 18 อำเภอ ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาพิจารณาคัดเลือกนักเรียน นักศึกษาที่มีความเหมาะสมจำนวน 20 ทุน และทางตำรวจภูธร จ.กาฬสินธุ์คัดเลือกเพิ่มอีก 5 ทุน รวมเป็น 25 ทุน ซึ่งมอบทุนละ 5,000 บาท โดยเป็นทุนให้เปล่าไม่มีข้อผูกพัน เพื่อเป็นกำลังใจและส่งเสริมการศึกษาให้กับนักเรียน นำไปใช้ในการศึกษาเล่าเรียน รวมทั้งเป็นการช่วยเหลือแบ่งเบาภาระบรรเทาความเดือดร้อนให้กับผู้ปกครองในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19

ด้านนายพรมนัส ผลิผล นักชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนสามชัย อ.สามชัย จ.กาฬสินธุ์ กล่าวว่า ขอขอบคุณมูลนิธิส่งเสริมการลดก๊าซเรือนกระจก ที่เห็นความสำคัญของการศึกษา และตระหนักในความเดือดร้อนของพ่อ แม่ ผู้ปกครองนักเรียน ในช่วงประสบสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 ซึ่งจะสามารถแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายได้เป็นอย่างดี ซึ่งตนจะนำทุนการศึกษาที่ได้รับ ไปใช้ประโยชน์ในการศึกษาอย่างคุ้มค่ามากที่สุด และนอกจากนี้ ยังจะปฏิบัติตนและบอกผู้ปกครอง เพื่อนนักเรียน และชุมชน ในการร่วมกันรณรงค์จัดเก็บขยะ มีการคัดแยก ตั้งแต่ในระดับครัวเรือน เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม และลดการเกิดก๊าซเรือนกระจก ตามแนวทางของมูลนิธิส่งเสริมการลดก๊าซเรือนกระจกอีกด้วย


ภาพ/ข่าว  ณัฐพงษ์  ประชากูล จ.กาฬสินธุ์


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top