Tuesday, 8 July 2025
SPECIAL

อว. ก้าวข้ามกรอบทำงานรูปแบบเดิม อนุญาตบัณฑิตทุน พสวท. ใช้ทุนด้วยการทำงานในภาคเอกชน เดินหน้าร่วมเอกชนพัฒนาไทยไปสู่ประเทศที่พัฒนาแล้วภายใน 10 ปี

ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เปิดเผยถึงโครงการส่งเสริมบัณฑิตทุนโครงการพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปปฏิบัติงานในภาคเอกชน ว่า ภาคเอกชนนับเป็นภาคส่วนที่มีสัดส่วนในการลงทุนวิจัยและพัฒนากว่า 1.5 แสนล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 77 ของการลงทุนวิจัยและพัฒนาทั้งหมดของประเทศ 

ซึ่งแน่นอนว่าความต้องการบุคลากรด้านการวิจัยและพัฒนาของภาคเอกชนก็ต้องเพิ่มสูงมากขึ้นด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักวิจัยระดับปริญญาโทและปริญญาเอก เพื่อให้สามารถรองรับการลงทุนวิจัยและพัฒนาได้ การปลดล็อกเพื่อให้บัณฑิตทุนไปทำงานภาคเอกชน จึงเกิดขึ้นเพื่อตอบโจทย์ความต้องการกำลังคนที่มีศักยภาพสูงของภาคเอกชน 

ซึ่งขณะนี้ อว. ได้ร่วมมือกับ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) พัฒนาแพลตฟอร์มที่สามารถเชื่อมโยงความต้องการของภาคเอกชน สถาบันอุดมศึกษา สถาบันวิจัยของรัฐและบัณฑิตทุนเข้าด้วยกัน ภายใต้ชื่อ Talent Thailand Platform ที่มีทั้งระบบการวิเคราะห์ข้อมูลกำลังคนที่มีศักยภาพสูงที่สอดคล้องกับอุตสาหกรรมเป้าหมายและงานวิจัยขั้นแนวหน้า และการพัฒนาแพลตฟอร์มการใช้ประโยชน์กำลังคนที่มีศักยภาพสูงของประเทศ 

โดยในการดำเนินงานจะมีการส่งเสริมให้บัณฑิตทุนทุกคนได้รับการบ่มเพาะเพื่อเตรียมความพร้อมในการร่วมงานกับเอกชน และ ส.อ.ท. จะนำความเชี่ยวชาญของบัณฑิตทุนแต่ละคนมาวิเคราะห์เพื่อดูความเชื่อมโยงกับภาคอุตสาหกรรม พร้อมกับสนับสนุนให้ไปทดลองงานกับภาคอุตสาหกรรมอย่างน้อยเป็นระยะเวลา 3 เดือน และหากภาคอุตสาหกรรมสนใจที่จะว่าจ้างบัณฑิตทุนต่อ ก็สามารถจัดทำเป็นสัญญาเพื่อดำเนินการจ้างต่อได้ 

ถือเป็นอีกก้าวที่การอุดมศึกษาจะเข้าไปเติมเต็ม ช่วยแก้ปัญหาการทำงานของภาคเอกชน และได้ก้าวข้ามกรอบการทำงานรูปแบบเดิมที่นักเรียนทุนต้องทำงานกับภาครัฐเท่านั้น โดยมุ่งหวังที่จะสามารถนำเอาศักยภาพของบัณฑิตทุนมาช่วยพัฒนาประเทศร่วมกับภาคเอกชนและเป็นกลไกสำคัญในการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไปสู่ประเทศที่พัฒนาแล้วภายใน 10 ปี 

ด้าน ดร.กิติพงค์ พร้อมวงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) กล่าวว่า จากแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของโลกที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ทั้งการเปลี่ยนแปลงอย่างก้าวกระโดดของเทคโนโลยีพลิกโฉม การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก การเข้าสู่สังคมสูงวัย รวมถึงการเกิดโรคอุบัติใหม่อย่างโควิด -19 ส่งผลให้ประเทศไทยต้องเร่งฟื้นฟูระบบเศรษฐกิจและสังคม และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไปสู่เศรษฐกิจฐานนวัตกรรม 

ซึ่งจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการลงทุนวิจัยและพัฒนา การพัฒนากำลังคน รวมถึงการใช้ประโยชน์จากกำลังคนผู้เชี่ยวชาญโดยเฉพาะด้านการวิจัย พัฒนาและนวัตกรรม ที่จะเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศผ่านการดำเนินงานของทั้งภาครัฐและเอกชน 

แม้ที่ผ่านมา ประเทศไทยจะมีระบบส่งเสริมการผลิตกำลังคนที่มีศักยภาพสูงผ่านการให้ทุนการศึกษาทั้งในประเทศและต่างประเทศ ที่สามารถสร้างนักเรียนทุนรัฐบาลที่เป็นกำลังสำคัญที่จะใช้ความรู้และความสามารถช่วยพัฒนางานวิจัยและพัฒนาของประเทศเพื่อต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจและนำไปสู่การพัฒนาสังคมได้อย่างต่อเนื่อง 

แต่นักเรียนทุนรัฐบาลส่วนใหญ่เมื่อจบการศึกษาแล้วจะมีรูปแบบการชดใช้ทุนโดยการบรรจุเข้าทำงานในหน่วยงานของภาครัฐ สถาบันวิจัยของรัฐ หรือสถาบันอุดมศึกษาตามหน่วยทุนต้นสังกัด และข้อจำกัดจากเงื่อนไขการชดใช้ทุนนี่เองที่ทำให้นักเรียนทุนบางส่วนไม่ได้ใช้ศักยภาพเต็มที่ งานที่ได้รับมอบหมายขาดความท้าทายและไม่สอดคล้องกับความรู้และทักษะที่มี ทำให้เกิดการสูญเสียโอกาสในการใช้กำลังคนอย่างเต็มศักยภาพในการพัฒนาประเทศ
.
ปัจจุบันประเทศไทยมีนักเรียนทุนรัฐบาลทางด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมหลักของประเทศ อาทิ ทุนรัฐบาลทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ทุนโครงการพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (พสวท.) ทุนโครงการปริญญาเอกกาญนาภิเษก (คปก.) และทุนเรียนดีวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทย 

ซึ่งมีผู้ที่สำเร็จการศึกษาแล้วรวมประมาณ 9,000 คน และกำลังศึกษาอยู่ประมาณ 6,000 คน และคาดว่าจะมีนักเรียนทุนที่สำเร็จการศึกษาประมาณปีละ 500-700 คน และจากข้อมูลของ พสวท. พบว่า จากพลวัตรที่โลกปรับเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว บางสาขาที่บัณฑิตทุนสำเร็จการศึกษามาอาจมีความล้ำหน้าหรือเจาะลึกและใช้เครื่องมือเฉพาะทางที่มีเฉพาะในห้องปฏิบัติการต่างประเทศ ซึ่งอาจไม่ตรงกับความต้องการของงานวิจัยและการศึกษาในภาครัฐของไทยในปัจจุบัน จึงส่งผลให้บัณฑิตทุน พสวท. ยังรอเข้าปฏิบัติงานชดใช้ทุนอยู่ถึง 53 คน โดยเป็นบัณฑิตระดับปริญญาเอก 42 คน และระดับปริญญาโท 11 คน (ข้อมูล ณ วันที่ 16 มิถุนายน 2564) 

ดังนั้น การเปิดโอกาสให้บัณฑิตทุน พสวท. สามารถไปปฏิบัติงานในภาคเอกชนที่มีกิจกรรมวิจัยและพัฒนาอย่างเข้มข้น จึงเป็นอีกหนึ่งช่องทางของการใช้ประโยชน์กลุ่มกำลังคนศักยภาพสูง 


ที่มา : https://www.nxpo.or.th/th/8759/

อว. เดินหน้าโครงการ "อว. ลดค่าเทอม" ตามนโยบายรัฐบาล เบิกจ่ายเงินส่งให้มหาวิทยาลัยที่ยืนยันข้อมูลครบถ้วนแล้ว 29 แห่ง จำนวน 2,250 ล้านบาท ย้ำเงินทุกบาทที่รัฐสนับสนุนต้องถึงมือนักศึกษา

ศ.(พิเศษ) ดร. เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เผยว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติให้ อว. ดำเนินโครงการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาของนิสิตนักศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาทั้งภาครัฐและเอกชน จากสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 นั้น ขณะนี้ ได้เริ่มการเบิกจ่ายเงินสำหรับโครงการ "อว.ลดค่าเทอม" แล้วตั้งแต่วันที่พฤหัสบดีที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2564 

สำหรับมหาวิทยาลัยและสถาบันที่ได้จัดส่งข้อมูลผ่านการตรวจสอบและยืนยันความถูกต้อง เสนอครบถ้วนแล้ว มีจำนวน 29 แห่ง รวมเป็นเงิน 2,250 ล้านบาท ซึ่งมหาวิทยาลัย/สถาบันอุดมศึกษาจะนำไปใช้ลดค่าเทอมและค่าธรรมเนียมการศึกษาภาคเรียนที่ 1/2564 ในสัดส่วนเงินสนับสนุนจากรัฐบาลตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ได้แจ้งไปแล้ว โดยเน้นย้ำให้กระบวนการอนุมัติงบประมาณมีความรวดเร็ว รอบคอบ รัดกุม ขั้นตอนจ่ายเงินขอให้ดำเนินการด้วยความโปร่งใส สามารถติดตามตรวจสอบการจ่ายเงินทุกขั้นตอน ไม่ให้เกิดการทุจริตอย่างเด็ดขาด

รมว.อว. กล่าวต่อว่า ทางอว. ได้เร่งติดตามและตรวจสอบระบบการเบิกจ่ายเงินอย่างใกล้ชิด โดยเงินทุกบาทที่รัฐบาลสนับสนุน ต้องถึงมือนิสิตนักศึกษา โดยมหาวิทยาลัยจะจ่ายเงินคืนกับนิสิตนักศึกษาที่ได้ชำระค่าเทอมและค่าธรรมเนียมการศึกษาไปแล้วหรือใช้ลดค่าเทอมและค่าธรรมเนียมการศึกษาสำหรับผู้ที่กำลังจะชำระเงิน โดยทางมหาวิทยาลัยไม่เก็บเงินดังกล่าวไว้แต่อย่างใด

ด้าน ศ.นพ.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัด อว. รายงานเพิ่มเติมว่า สำนักงานปลัด อว. ได้ตั้งศูนย์ประสานงานเรื่องดังกล่าวและทำงานร่วมกับที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.), ที่ประชุมอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏ (ทปอ.มรภ.), ที่ประชุมคณะกรรมการอธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล( ทปอ.มทร.), สมาคมสถาบันอุดมศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) รวมทั้งสถาบันอุดมศึกษานอก อว. กันอย่างใกล้ชิด ใช้ระบบฐานข้อมูลการอุดมศึกษากลางของประเทศ ซึ่งดำเนินการได้อย่างรวดเร็วมาก 

โดยเมื่อสภาพัฒน์ สำนักงบประมาณและกระทรวงการคลังได้ตรวจสอบโครงการแล้ว ส่งต่อให้กรมบัญชีกลางเพื่อโอนเงินโครงการนี้มาให้ อว. ซึ่ง อว. ได้สั่งการเบิกจ่ายไปยังมหาวิทยาลัยที่ได้จัดส่งและยืนยันข้อมูลเข้ามาครบถ้วนแล้วในสัปดาห์เดียวกันเลย

 “การดำเนินงานต่างๆ ร่วมกับมหาวิทยาลัยเป็นไปด้วยดี อย่างไรก็ตาม อว. ขอความร่วมมือมหาวิทยาลัยและสถาบันอุดมศึกษาทุกแห่ง ให้เร่งตรวจสอบและยืนยันข้อมูลนักศึกษาส่งมาที่กระทรวงโดยเร็ว เพื่อดำเนินการอนุมัติเบิกจ่ายให้เป็นไปตามเป้าหมายและกรอบระยะเวลาต่อไป” ปลัด อว. สรุป


ที่มา : Facebook Page : กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
https://www.facebook.com/184257161601372/posts/4931132673580440/

“ลาปาซ” คือเมืองหลวงของประเทศโบลิเวียที่เรียกได้ว่าเป็นเมืองหลวงที่สูงที่สุดในโลกเพราะอยู่ห่างจากระดับน้ำทะเลถึง 3,650 เมตร นอกจากความสวยงามของเมืองแห่งนี้แล้วยังมีประเพณีและวัฒนธรรมที่สวยงามอีกด้วย

“ที่สุดในโลก” ต้องยกให้ลาปาซ คือการรั้งตำแหน่งเมืองหลวงที่ตั้งอยู่สูงที่สุดในโลก ด้วยความสูงเฉลี่ยอยู่ที่ 3,650 เมตรจากระดับน้ำทะเล นครบนเทือกเขาแอนดีสแห่งนี้เป็นศูนย์กลางการปกครองและเศรษฐกิจของโบลิเวีย ประเทศหนึ่งในทวีปอเมริกาใต้ซึ่งหน้าหนึ่งในประวัติศาสตร์เคยตกอยู่ภายใต้อาณานิคมสเปนอย่างยาวนานหลายร้อยปี เฉกเช่นเดียวกับประเทศอื่น ๆ ในโลกซีกนี้ ร่องรอยแห่งยุคล่าเมืองขึ้นยังปรากฏให้เห็นโดยทั่วไปผ่านทางสิ่งก่อสร้าง ศาสนา ภาษา สิ่งตกค้างทางวัฒนธรรมด้านอาหาร ดนตรี การเต้นรำ และเทศกาลต่าง ๆ

“ลาปาซ” (La Paz) เป็นชื่อเรียกภาษาสเปน มีความหมายว่า “สันติภาพ” ฟังแล้วไพเราะ หากมองเมืองนี้แต่ผิวเผินด้วยสายตานักท่องเที่ยวก็คงเห็นด้วย เพราะโดยรวมขณะไปเยือนและอยู่ที่นั่นก็สามารถสัมผัสถึงความสงบสุขมีชีวิตชีวามากทีเดียว ทว่า หากย้อนกลับไปคุ้ยค้นประวัติศาสตร์และสภาพปัญหาที่หยั่งรากลึก ณ ปัจจุบันนี้ก็เริ่มเห็นภาพการพยายามดิ้นรนต่อสู้เพื่อความอยู่รอดของชาวเมืองนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งจะว่าไปไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดแต่อย่างใดสำหรับประเทศ “กำลังพัฒนา” ทั้งหลาย (รวมเมืองไทยด้วยไหม?)

อาจจะโชคดีที่ผมไม่ได้สิงสถิตนานมากพอ จึงได้แต่บอกเล่าสิ่งละอันพันละน้อยเกี่ยวกับมนต์เสน่ห์ของเมืองหลวงแห่งเทือกเขาแอนดีสนี้ โดยไม่อาจล้วงลึกถึงแก่นปัญหาสังคม ซึ่งมองในแง่หนึ่งก็ทำให้รื่นรมย์ชื่นชมเมืองในขณะเป็นแขกเหรื่อชั่วคราวที่นั่นได้มากทีเดียว เพราะภาพที่เห็นไม่ได้ทำให้ความรู้สึกและอารมณ์ขุ่นมัวนั่นเอง 

เนื่องจากเป็นเมืองที่ขยายตัวออกค่อนข้างกว้าง แถมตึกรามบ้านช่องยังปลูกสร้างกันบนไหล่เขาลดหลั่นเสียขนาดนั้น ในฐานะนักท่องเที่ยว หากจะตั้งต้นทำความรู้จักลาปาซ ก็คงต้องเริ่มกันที่จุดศูนย์กลาง ในที่นี้ คือย่านเมืองเก่าคาสโกเวียโฮซึ่งมีทุกอย่างพร้อมสรรพสำหรับทัวริสต์ เปรียบเทียบก็คงคล้ายพื้นที่โดยรอบคูเมืองเชียงใหม่ ซึ่งเต็มไปด้วยที่พัก ร้านค้า ร้านอาหาร ผับบาร์ บริษัททัวร์ พิพิธภัณฑ์ และทุกสิ่งทุกอย่างที่นักท่องเที่ยวพึงประสงค์ 

แน่นอน ย่านนี้ได้รับการบูรณะอย่างดี ถนนปูด้วยก้อนหินคนเดินเหยียบย่ำกันทุกวันจนสึกกร่อนมันเลื่อม สินค้าที่ระลึกอาจจะแปลกตาสำหรับคนต่างชาติต่างภาษา ไม่ว่าจะเป็นงานศิลปะ งานถักทอจักสาน แม้กระทั่งเจ้าก้อนหินซากฟอสซิลก็มีจำหน่าย ซึ่งซากหอยโบราณที่พบบนเทือกเขาแอนดีสความสูงตั้งหลายพันเมตรเหล่านั้นก็มีอายุอานามพอ ๆ กับหินเก่าแก่ประเภทเดียวกันที่พบบนเทือกเขาหิมาลัยด้วยเช่นกัน เช่นนี้แล้วก็น่าสนใจมากในแง่ที่ครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้วน้ำเคยท่วมทั้งโลกตามที่คัมภีร์โบราณตะวันออกกลางได้บันทึกไว้นั้นมีมูลความจริงหรือไม่

ระยะที่ห่างออกจากตัวเมืองเก่าเพียงเล็กน้อยแค่ระยะเดินถึง สามารถสำรวจตลาดใหญ่ขายทุกอย่างชนิดสำเพ็ง เยาวราช ประตูน้ำ บางลำพูรวมกันอาจไม่สามารถเทียบได้ เดินสำรวจตรวจตราและถ่ายรูปไปพลางอาจหอบหายใจถี่เพราะปริมาณออกซิเจนต่ำกว่าค่าปกติที่อยู่บนพื้นที่สูงเกือบสี่พันเมตรเช่นนี้ แต่สนุก เพราะมีสีสันและมีชีวิตชีวา คล้ายตลาดสดของประเทศในแถบเอเชียซึ่งไม่เป็นระเบียบเรียบร้อย พวกฝรั่งมังค่าอาจจะตื่นตา ทว่าคนไทยอาจจะรู้สึกถึงความคุ้นเคยบางประการแม้จะจากบ้านเมืองตัวเองมาไกลค่อนโลกเช่นนี้ ต้องเรียกว่าเป็นความเหมือนแบบ same same but different ล่ะ เพราะสีสันฉูดฉาดที่แตกต่าง กลิ่นที่จมูกรับสัมผัสก็ไม่ใช่กลิ่นแบบเอเชีย สิ่งที่เหมือนคือความวุ่นวายขวักไขว่และไร้ระเบียบนั่นแหละ 

คนดั้งเดิมอาศัยอยู่กันมาก่อนพวกสเปนจะมารุกรานคือชนเผ่าอินคาหลากหลายชาติพันธุ์ เทียบกับเมืองไทยก็คงเหมือนชนเผ่าบนดอย ไม่ว่าจะเป็นอาข่า ลีซู ปวากะญอ ลาหู่ และอื่น ๆ อีกมากมาย ที่โบลิเวียนั้นคนท้องถิ่นเชื้อสายหลักคือ คนไอยมารา และเกชัว คนเหล่านี้มีผิวสีน้ำตาล ผมดำ และโครงหน้าคล้ายคนอินเดียนแดงทางอเมริกาเหนือ สันนิษฐานว่าน่าจะมีความเกี่ยวโยงกันทางพันธุกรรม และน่าจะมีบางอย่างเชื่อมโยงกับคนเอเชียด้วย หากพิจารณาเฉพาะในตัวเมืองลาปาซแล้วจะพบว่าประชากรราว 80% เป็นคนท้องถิ่นดั้งเดิม มีคนขาวซึ่งเป็นลูกหลานชาวยุโรปซึ่งตกค้างมาจากสมัยล่าอาณานิคมอยู่เพียงเล็กน้อย นัยหนึ่งก็คือโบลิเวียเป็นประเทศซึ่งมีความเป็นชาตินิยมสูง แม้กระทั่งประธานาธิบดีก็เป็นคนที่ปกครองยาวนานมากที่สุดคนหนึ่ง คือโมราเลส ก็เป็นคนเผ่าไอยมารา แถมยังมีนโยบายแข็งกร้าวต่อท่าทีของสหรัฐอเมริกาโดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องพืชโคคา เป็นที่ทราบกันดีว่าใบโคคานั้นนำไปใช้เป็นสารตั้งต้นร่วมกับการผลิตยาเสพติดร้ายแรงโคเคน ซึ่งในความเป็นจริงแล้วโคคาเป็นพืชประจำถิ่นบนเทือกเขาแอนดีสและผู้คนก็เคี้ยวใบโคคาแห้งกันมายาวนานหลายศตวรรษ เรียกว่าเป็นวัฒนธรรมอินคาอย่างหนึ่งก็ว่าได้ โบลิเวียเป็นประเทศเดียวในอเมริกาใต้ที่ออกกฎหมายอนุญาตให้มีการขายใบโคคาแห้งในตลาดร้านค้าได้ ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้แก่รัฐบาลสหรัฐอเมริกาค่อนข้างมาก ทั้งนี้ก็เพราะมองกันคนละมุมนั่นเอง

ในตลาดเต็มไปด้วยพ่อค้าแม่ขาย ส่วนใหญ่ผู้หญิงหลังแต่งงานไปจนถึงวัยกลางคนมักเริ่มกลายสภาพเป็น “ตุ่มเคลื่อนที่” เพราะรูปร่างและน้ำหนักตัวของพวกเธอ ด้วยเอกลักษณ์เครื่องแต่งกายเฉพาะไม่ซ้ำแบบหรือพยายามตามกระแสโลกปัจจุบันที่นิยมหญิงร่างบางสูงโปร่ง ผู้หญิงโบลิเวียปล่อยให้ร่างท้วมฉุเพราะเชื่อว่าคือความอุดมสมบูรณ์ สามารถสืบทอดเผ่าพันธุ์ได้ดีกว่า อีกทั้งแฟชั่นเครื่องแต่งกายก็ยังคงเป็นการนุ่งกะโปรงจับจีบคล้ายสุ่มไก่สีสันฉูดฉาด พร้อมกับสวมหมวกทรงคาวบอยหรือหมวกนักมายากล อันที่จริง ผู้หญิงโบลิเวียแข็งแกร่งกว่าที่คิดมาก เพราะมีกีฬามวยปล้ำที่เรียกว่าโชลิตา ซึ่งนักกีฬาจะต่อสู้กันในสังเวียน อาจจะเป็นผู้หญิงสู้กับผู้หญิงด้วยกันเอง หรือผู้หญิงต่อกรกับผู้ชายอกสามศอกก็ได้ ดังนั้น ถ้าจะให้ดี อย่าได้ริต่อล้อต่อเถียงกับผู้หญิงประเทศนี้จะดีที่สุด  

แม้ศาสนาตะวันตกจะมีบทบาทในสังคม แต่คนโบลิเวียจำนวนมากยังคงเหนียวแน่นในจารีตและความเชื่อดั้งเดิมแห่งบรรพบุรุษ ยังคงเชื่อถือโชคลางและผีสาง ยังมีการบนบานสานกล่าว สังเกตได้ง่ายจากย่านหนึ่งใกล้คาสโกเวียโฮที่เต็มไปด้วยร้านขายเครื่องเซ่นไหว้ รวมถึงของบวงสรวงอย่างเช่นรกและตัวอ่อนสัตว์ประเภทลามาขายเป็นสินค้าปกติ นั่นก็อีกหนึ่งความน่าสนใจในลาปาซ 

หากอยากเห็นเมืองในมุมกว้างและสูง ชนิดตื่นตาตื่นใจ ด้วยสนนราคาถูก ก็ต้องนั่งกระเช้าไฟฟ้าอันเป็นขนส่งสาธารณะชั้นเยี่ยม เพราะมีเครือข่ายครอบคลุมแทบทั่วทั้งเมือง และยังคงมีการขยายมากขึ้นไปอีก เทียบแล้วก็คงคล้ายกับระบบรถไฟฟ้าทั้งบนดินและใต้ดินในเมืองใหญ่ทั้งหลาย รวมทั้งกรุงเทพมหานครที่พยายามเชื่อมทั้งเมืองเข้าด้วยกัน แต่ลาปาซไม่สามารถใช้ระบบรถไฟฟ้า เพราะเมืองตั้งอยู่บนไหล่เขาลาดชันมาก กระเช้าไฟฟ้าจึงเป็นวิธีที่สมเหตุสมผลมากกว่าโดยประการทั้งปวงนั่นเอง นอกจากจะได้ชมทั้งเมืองแล้ว ในวันฟ้าเปิดยังมองเห็นภูเขาหิมะในระยะไกลออกไปอีกด้วย

จะได้ “สัมผัส” สิ่งละอันพันละน้อยในเมืองใหญ่ลาปาซมากน้อยเพียงใดนั้นขึ้นอยู่กับปริมาณเวลาที่มี กับความกว้างของใจของผู้ไปเยือนที่เปิดออก ...ไหน ๆ ก็ยากเย็นกว่าจะไปถึงแล้ว ก็อยู่ให้นานหน่อย เปิดใจให้กว้าง ๆ เพื่อรับทราบเรียนรู้ และซึมซับความประทับใจที่เมืองนี้สามารถหยิบยื่นให้ได้ ดีไหม?    


เขียนโดย : คุณสว่าง ทองดี จบการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ (ชีววิทยา) ชอบปั่นจักรยานท่องโลกและหลงไหลกาแฟ

ปคบ.ผนึกกำลัง อย. จับกุม FLASH SLIM ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารผสมวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท (ไซบูทรามีน)

วันที่ 1 กันยายน 2564 กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) โดย พล.ต.ต.ณัฐศักดิ์ เชาวนาศัย ผบก.ปคบ. พ.ต.อ.สำเริง อำพรรทอง พ.ต.อ.ศารุติ แขวงโสภา พ.ต.อ.ศรีศักดิ์ คัมภีรญาณ พ.ต.อ ชนันนัทธ์ สารถวัลย์แพศย์ รอง ผบก.ปคบ. และ พ.ต.อ.เนติ วงษ์กุหลาบ ผกก.4 บก.ปคบ. พร้อมสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) โดย นพ.ไพศาล ดั่นคุ้ม เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา และ ภญ.สุภัทรา บุญเสริม ผู้ทรงคุณวุฒิด้านมาตรฐานผลิตภัณฑ์ด้านสาธารณสุข (รักษาราชการแทนรองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา) ร่วมกันแถลงข่าวผลการปฏิบัติการ กรณีจับกุมผู้กระทำความผิดลักลอบผลิต ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ยี่ห้อ FLASH SLIM ผสมไซบูทรามีนซึ่งเป็นวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท ตรวจยึดได้ของกลางเป็นจำนวนมาก

ปฏิบัติการในครั้งนี้เป็นการขยายผลจับกุมการจำหน่ายผลิตภัณฑ์เสริมอาหารลักลอบใส่วัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสามและยาแผนปัจจุบัน โดยเข้าตรวจยึดจับกุมได้ที่บ้านเลขที่ 15/102-3 หมู่บ้านศิริทรัพย์ ต.บางพูน อ.เมือง จ.ปทุมธานี

พล.ต.ต.ณัฐศักดิ์ เชาวนาศัย ผบก.ปคบ. กล่าวว่า สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก. ปคบ.) ได้ตรวจสอบพบการโฆษณาจำหน่ายผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ยี่ห้อ FLASH SLIM บรรยายสรรพคุณใช้ลดน้ำหนัก อ้างสูตรหมอเกาหลี เมื่อตรวจสอบฉลากของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวพบว่า ฉลากแสดงเป็นภาษาต่างประเทศทั้งหมด ไม่ระบุเลขสารบบอาหาร สถานที่ผลิตหรือนำเข้า ส่วนประกอบ วัน เดือน ปี ที่ผลิตหรือควรบริโภคก่อน เป็นต้น ซึ่งไม่เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด และอาจเป็นผลิตภัณฑ์อาหารที่นำเข้าโดยผิดกฎหมาย โดยในวันที่ 9 สิงหาคม 2564 เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้นำหมายค้นของศาลจังหวัดสุพรรณบุรี เข้าตรวจค้นสถานที่จัดเก็บและจำหน่ายสินค้า ตั้งอยู่ที่ ม.13 ต.ทุ่งคอก อ.สองพี่น้อง จ.สุพรรณบุรี และได้ตรวจยึดแคปซูลเปล่าน้ำหนักรวม 110 กก. ผงสำหรับใส่ในแคปซูลน้ำหนักรวม 45 กก. นำส่งพนักงานสอบสวน กก.4 บก.ปคบ.เพื่อดำเนินการตามกฎหมาย

ภายหลังการตรวจยึดดังกล่าว เจ้าหน้าที่ฯ ยังตรวจพบการโฆษณาขายผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ยี่ห้อ FLASH SLIM ทางสื่อสังคมออนไลน์อย่างต่อเนื่อง แสดงให้เห็นว่าเจ้าของผลิตภัณฑ์ไม่ได้หยุดการกระทำผิดกฎหมาย ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้รับผลการตรวจพิสูจน์ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ยี่ห้อ FLASH SLIM ที่ยึดไปในครั้งก่อน ระบุพบไซบูทรามีน (Sibutramine) ซึ่งเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท1ลอร์คาเซริน (Lorcaserin) ซึ่งเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ฟลูออกซิทิน (Fluoxetine) ซึ่งเป็นยาจำพวกสงบประสาท จัดเป็นยาแผนปัจจุบันประเภทยาอันตราย เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ขออนุมัติออกหมายจับผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องทั้งหมด

เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2564 เจ้าหน้าที่ตำรวจ และเจ้าหน้าที่ อย. ได้ทำการตรวจค้นเป้าหมายในพื้นที่ จ.สุพรรณบุรี และ จ.นนทบุรี รวม 2 จุด ได้ตรวจยึดของกลางที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด และจับกุมตัวผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดสุพรรณบุรี ได้แก่ น.ส. สุภามณี (สงวนนามสกุล) อายุ 34 ปี นางโสภา (สงวนนามสกุล) อายุ 62 ปี และนายอัศรินทร์ (สงวนนามสกุล) อายุ 34 ปี โดยพบเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2559 และ พ.ร.บ.ยา พ.ศ.2510 ในข้อหา“ร่วมกันผลิตเพื่อขายวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท1(ไซบูทรามีน) โดยไม่ได้รับอนุญาต , ร่วมกันขายวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท1(ไซบูทามีน) โดยไม่ได้รับอนุญาต , ร่วมกันขายวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท2(ลอร์คาเซรีน) โดยไม่ได้รับอนุญาต , ร่วมกันขายยาแผนปัจจุบันโดยไม่ได้รับอนุญาต และร่วมกันขายยาที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนตำรับยา”

โดยจากการสอบสวนขยายผล พบว่าผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ยี่ห้อ FLASH SLIM ที่ผู้ต้องหาร่วมกันนำมาจำหน่ายมีการว่าจ้างบริษัทแห่งหนึ่งใน อ.ลาดหลุมแก้ว จ. ปทุมธานี ให้เป็นผู้บรรจุลงแคปซูล ต่อมาในวันที่ 31 สิงหาคม 2564 เจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่ อย. ได้นำหมายค้นของศาลจังหวัดปทุมธานี เข้าตรวจค้นเป้าหมาย จำนวน 3 จุด พบว่า ที่บริษัทดังกล่าว และบ้านอีกหลังซึ่งดัดแปลงเป็นโรงงาน มีการลักลอบผลิตผลิตภัณฑ์เสริมอาหารโดยผิดกฎหมาย และบางผลิตภัณฑ์เมื่อมีการทดสอบด้วยชุดตรวจสอบเบื้องต้น พบว่า มีส่วนผสมของไซบูทรามีน เจ้าหน้าที่จึงได้ตรวจยึดของกลางทั้งหมดนำส่งพนักงานสอบสวน กก.4 บก.ปคบ. เพื่อดำเนินคดีตามกฎมายต่อไป

พล.ต.ต.ณัฐศักดิ์ เชาวนาศัย ผบก.ปคบ. ยังกล่าวอีกว่า ฝากความห่วงใยมายังพี่น้องประชาชน อย่าซื้อผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่โฆษณาสรรพคุณว่าลดความอ้วนมารับประทานเอง เนื่องจากอาจเกิดผลข้างเคียงได้ หากมีความจำเป็นต้องรับประทาน ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร และแจ้งเตือนไปยังผู้ที่ลักลอบกระทำความผิดผสมวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทในผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ไม่ว่าจะเป็นโรงงานรับจ้างผลิตหรือเจ้าของผลิตภัณฑ์ ให้หยุดพฤติการณ์ดังกล่าวทันที หากตรวจพบจะดำเนินคดีโดยเด็ดขาด และหากพี่น้องประชาชนพบผลิตภัณฑ์ที่ต้องสงสัย สามารถแจ้งร้องเรียนได้ที่สายด่วน บก.ปคบ. 1135 หรือเพจ ปคบ. เตือนภัยผู้บริโภค

ด้าน ภญ.สุภัทรา บุญเสริม ผู้ทรงคุณวุฒิด้านมาตรฐานผลิตภัณฑ์ด้านสาธารณสุข (รักษาราชการแทนรองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา) กล่าวเพิ่มเติมในตอนท้ายว่า อย. ได้เฝ้าระวังผลิตภัณฑ์เสริมอาหารกลุ่มที่อวดอ้างสรรพคุณลดน้ำหนักเป็นกรณีพิเศษ โดยร่วมกับตำรวจ บก. ปคบ. สืบสวนสอบสวน หาตัวผู้กระทำผิด จนมีการจับกุมดำเนินคดีผู้ผลิต ผู้จำหน่ายที่กระทำผิดกฎหมายอย่างต่อเนื่อง และแจ้งข่าวเตือนประชาชนให้ทราบข้อมูลอยู่เสมอเพื่อมิให้ประชาชนตกเป็นเหยื่อ ขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อโฆษณาอวดอ้างสรรพคุณเกินจริง เช่น ทานแล้วลดน้ำหนักเห็นผลไว เห็นผลจริง ปลอดภัย การันตี ไม่มีผลข้างเคียง เป็นต้น ผลิตภัณฑ์ที่อวดอ้างใช้ลดน้ำหนักเหล่านี้มักพบว่า มีส่วนผสมของไซบูทรามีนหรือยาแผนปัจจุบัน ผลที่ได้อาจไม่คุ้มเสีย เพราะนอกจากจะเสียเงินแล้ว ยังเสียสุขภาพจากผลข้างเคียงของยา และอาจทำให้เสียชีวิตได้ ดังนั้นก่อนตัดสินใจเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ใด ขอให้ตรวจสอบข้อมูลการได้รับอนุญาตผลิตภัณฑ์โดยละเอียดที่หน้าเว็บไซต์ อย. www.fda.moph.go.th หัวข้อ ตรวจสอบผลิตภัณฑ์ หรือ Oryor Smart Application และหากพบผลิตภัณฑ์ที่สงสัยว่าจะผิดกฎหมาย สามารถแจ้งร้องเรียนได้ที่สายด่วน อย. 1556 หรืออีเมล [email protected]


ภาพ/ข่าว  สมเกียรติ ทรัพย์เฉลิม / รายงาน

กระบี่ - สถาปัตยุคศรีวิชัย "พระธาตุวัดคลองท่อม" เป็นสถาปัตยกรรมถอดแบบยุคสมัยอาณาจักรศรีวิชัย กำลังก่อสร้างใหญ่ที่สุดภาคใต้ (สูง49 ม.)และพบได้ไม่กี่แห่งในไทย

"พระธาตุวัดคลองท่อม" เป็นสถาปัตยกรรมถอดแบบยุคสมัยอาณาจักรศรีวิชัย ปัจจุบัน ความงดงามแบบนี้ มีไม่กี่แห่ง พบในภาคใต้ ซึ้งปัจจุบันกำลังก่อสร้างที่มีขนาดใหญ่สุดในภาคใต้ (ความสูง 49 เมตร) ณ.วัดคลองท่อม อ.คลองท่อม จ.กระบี่ ด้วยแรงศรัทธาเพื่อเป็นพุทธบูชา โดยพระครูสถิตนราธิการ และสาธุชนทั้งหลาย ร่วมกันทำบุญบริจาค

โดยลักษณะ "พระธาตุวัดคลองท่อม"เป็นสถูปทรงมณฑปให้มีฐานและเรือนธาตุรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ส่วนยอดเป็นเจดีย์แปดเหลี่ยม ส่วนฐานปากระฆังสร้างเป็นชึ้นลดหลั่นกันไป มีเจดีย์ประดับมุมและซุ้มบันแถลงในแต่ละทิศ

ยุคศรีวิชัย (พุทธศตวรรษที่ 13 - 18)

ยุคศรีวิชัย พบในภาคใต้ ศูนย์กลางของอาณาจักรศรีวิชัยไม่ทราบแน่ชัด ในประเทศไทยจะพบร่องรอยการ สร้างสถูปตามเมืองสำคัญ เช่น เมืองครหิ อำเภอไชยาจังหวัดสุราษฎร์ธานี เมืองตามพรลิงก์ จังหวัดนครศรีธรรมราช และอำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี

โดยการก่อสร้างพระธาตุวัดคลองท่อม ได้มีการเริ่มก่อสร้างเมื่อวันที่ 22 พ.ย. 61 ณ มณฑณพิธีสถานที่ก่อสร้างพระธาตุวัดคลองท่อม อำเภอคลองท่อม จังหวัดกระบี่ ในงานพิธีวางศิลาฤกษ์พระมหาธาตุวัดคลองท่อม โดยมี พระราชวชิรากร(พระอาจารย์ชัย) เจ้าอาวาสวัดมหาธาตุชิรมงคล (วัดบางโทง) เป็นประธานวางแท่นศิลาฤกษ์ พระครูสถิตนราธิการ เจ้าอาวาสวัดคลองท่อม พร้อมด้วย นายไพศาล ศรีเทพ นายอำเภอคลองท่อม โดยคาดว่าจะใช้งบก่อสร้าง ประมาณ 70 ล้าน ซึ้งมีความสูงจากฐานถึงยอด 49 เมตร นับว่าเป็นสถาปัตยกรรมในยุคอาณาจักรศรีวิชัย ซึ้งในปัจจุบันหาพบได้น้อยมากในภาคใต้ และมีความใหญ่โตที่สุดในภาคใต้ของไทย ปัจจุบันดำเนินกำลังก่อสร้างในส่วนของโครงสร้างหลัก


ภาพ/ข่าว  มโนธรรม ใจหาญ จ.กระบี่ รายงาน

ลำปาง - มทบ.32 นำถุงยังชีพมอบช่วยเหลือประชาชน ห้วงสถานการณ์โควิด-19 ทหารพร้อมเป็นที่พึ่งให้กับประชาชน ในทุกโอกาส

“ภัยโควิดทำชีวิตลำบาก ทหารอาสาช่วยขจัดความทุกข์ยาก ตามขีดความสามารถที่มี ค่ายสุรศักดิ์มนตรีพร้อมเคียงข้าง ดูแลชาวเขลางค์ด้วยใจ” ในห้วงสถานการณ์โควิดปัจจุบัน ยังคงมีประชาชนในพื้นที่จังหวัดลำปาง ที่ได้รับผลกระทบฯมีความเป็นอยู่ที่ลำบาก/เดือดร้อน ในการนี้ มณฑลทหารบกที่ 32/ศูนย์อำนวยการจิตอาสาพระราชทาน มณฑลทหารบกที่ 32 ได้ตระหนักถึงความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่ ได้จัดถุงยังชีพ/สิ่งของอุปโภคบริโภคจำนวนหนึ่งตามที่หน่วยมี นำมามอบให้ “มีแล้วแบ่งปัน” ช่วยเหลือดูแลประชาชนในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง

โดยเมื่อ 1 กันยายน 2564 เวลา 10.30 น. พลตรีอโณทัย  ชัยมงคล ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 32/ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการจิตอาสาพระราชทาน มณฑลทหารบกที่ 32 พร้อมด้วยพันเอกถิรวัฒน์ ศรีสุวรรณ เสนาธิการมณฑลทหารบกที่ 32/เสนาธิการศูนย์อำนวยการจิตอาสาพระราชทาน มณฑลทหารบกที่ 32 ได้เดินทางมามอบถุงยังชีพช่วยเหลือประชาชนที่มีฐานะยากจน, ป่วยติดเตียง จำนวน 4 รายในพื้นที่บ้านท่าส้มป่อย ตำบลทุ่งฝาย อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง ซึ่งในจำนวนนี้มีคุณยายคุ่ย กาวิวงศ์ อายุ 102 ปีรวมอยู่ด้วย สร้างความดีใจ และอบอุ่นใจเกิดแก่ครอบครัวที่หน่วยเข้าให้ความช่วยเหลือ ซึ่งหน่วยจะดำเนินกิจกรรม “มีแล้วแบ่งปัน” ช่วยเหลือประชาชนที่เดือดร้อนในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง...ทหารพร้อมเป็นที่พึ่งให้กับประชาชน ในทุกโอกาส


ภาพ/ข่าว  ภาวินันท์ บุตรหล้า รายงาน

สตูล - ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลจังหวัดสตูล จัดกิจกรรม "อาสาสมัครรักษ์ทะเลไทย ดำน้ำเก็บขยะใต้ทะเล"

วันนี้ 1 กันยายน 2564  ที่ บารารีสอร์ท ตำบลปากน้ำ อำเภอละงู จังหวัดสตูล ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลจังหวัดสตูล (ศรชล.จังหวัดสตูล) จัดกิจกรรม "อาสาสมัครรักษ์ทะเลไทย ดำน้ำเก็บขยะใต้ทะเล" ในพื้นที่จังหวัดสตูล โดยมีนายเอกรัฐ หลีเส็น ผู้ว่าราชการจังหวัดสตูล เป็นประธานในพิธีเปิด พร้อมด้วยนาวาเอก จุมพจน์ เสนาะพิณ รองผอ.ศรชล.จังหวัดสตูล ,หัวหน้าส่วนราชการ และเครือข่ายอาสาสมัครนักดำน้ำเข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้

นายเอกรัฐ หลีเส็น ผู้ว่าราชการจังหวัดสตูล กล่าวว่า ทะเลของจังหวัดสตูล เป็นพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์ ด้วยทรัพยากรแนวปะการัง แหล่งหญ้าทะเล สัตว์ทะเลหายาก ซึ่งมีความสำคัญต่อระบบนิเวศทางทะเล เป็นแหล่งอาศัยของสัตว์ทะเล รวมถึงมีความสำคัญทางด้านเศรษฐกิจ เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางทะเลที่มีความสวยงาม มีการพัฒนาตามแนวชายฝั่งเพื่อรองรับนักท่องเที่ยว ซึ่งในแต่ละปีมีนักท่องเที่ยวจำนวนมาก เดินทางมาท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดปัญหาขยะเพิ่มขึ้นตามมา การจัดกิจกรรมในครั้งนี้มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง นอกจากลดปริมาณขยะในทะเลแล้ว ยังเป็นการสร้างจิตสำนึกในด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทางทะเล ให้กับชุมชน ชาวประมง ผู้ประกอบการ และประชาชนทั่วไป ได้ตระหนักถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้น ซึ่งจะรอเพียงหน่วยงานราชการที่กำกับดูแลด้านการรักษาทรัพยากรให้คงอยู่ในสภาพสมบูรณเพียงฝ่ายเดียวคงเป็นไปได้ยาก ประชาชน และทุกภาคส่วน จำเป็นต้องเข้ามามีส่วนร่วมเพื่อปกป้องรักษา ร่วมกันในการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เพื่อให้เกิดความสมบูรณ์และใช้ประโยชนร่วมกันอย่างยั่งยืน

นาวาเอก จุมพจน์ เสนาะพิณ ผอ.ศรชล.จังหวัดสตูล กล่าวว่า กิจกรรม "อาสาสมัครรักษ์ทะเลไทย ดำน้ำเก็บขยะใต้ทะเล" จัดขึ้นระหว่างวันที่ 30 สิงหาคม - 1 กันยายน 2564 มีผู้เข้าร่วมซึ่งเป็นเครือข่ายอาสาสมัครนักดำน้ำ จำนวน 20 คน ดำน้ำลงไปเก็บขยะใต้ทะเลขึ้นมาทำลาย เพื่อลดปริมาณขยะในทะเล และบริเวณชุมชนชายฝั่ง โดยไม่ให้มีผลกระทบกับแหล่งทรัพยากรทางทะเล ทั้งนี้ เพื่อป้องกัน อนุรักษ์ และฟื้นฟู แหล่งทรัพยากรแนวปะการัง แหล่งปะการังเทียม ที่ได้รับความเสียหายจากการปกคลุมของขยะชนิดต่าง ๆ รวมถึงเป็นการรณรงค์ส่งเสริมให้ความรู้ สร้างจิตสำนึก และสร้างการมีส่วนร่วมให้แก่ชุมชน นักเรียน นิสิต นักศึกษา นักท่องเที่ยว และผู้ประกอบการ ในการป้องกันขยะลงสู่ทะเล ต่อไป


ภาพ/ข่าว  นิตยา แสงมณี / ผู้สื่อข่าวประจำจังหวัดสตูล

ชลบุรี - ทัพเรือภาคที่ 1 มอบอาหารกล่องจาก “ครัวเรือรบ” ภายใต้แนวคิด “From The Sea” ต้านภัยโควิด-19 ให้ รพ.สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ กรมแพทย์ทหารเรือ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ผู้ป่วย และเป็นกำลังใจให้แก่บุคลากรทางการแพทย์

วันที่ 1 กันยายน 2564 เวลา 09.00 น. พลเรือโท โกวิท อินทร์พรหม ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 1 พร้อมด้วย พลเรือตรี จรัญวีร์  ญาดี รองผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 1 และ คุณนุชนภา อินทร์พรหม ประธานชมรมภริยาทหารเรือ ทัพเรือภาคที่ 1 เดินทางไปมอบอาหารกล่องพร้อมน้ำดื่ม จำนวน 86 ชุด ณ จุดประชาสัมพันธ์ รพ.สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ กรมแพทย์ทหารเรือ ภายใต้โครงการมอบอาหารกล่องจาก “ครัวเรือรบ” ภายใต้แนวคิด “From The Sea” ต้านภัย COVID-19 เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ผู้ป่วย COVID-19 และเป็นกำลังใจให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งถือว่าเป็นนักรบชุดกราวน์ ที่ต้องรับมือกับผู้ป่วยติดเชื้อไวรัส COVID-19 โดยตรง โดยมี พลเรือตรี ชลธร สุวรรณกิตติ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ กรมแพทย์ทหารเรือ ให้การต้อนรับ และนำไปแจกจ่ายให้แก่ ผู้ป่วยติดเชื้อ COVID-19 ณ โควิดคลินิก และแจกจ่ายให้แก่บุคลากรแพทย์และพยาบาลด่านหน้าที่ต้องต่อสู้กับโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ต่อไป

สืบเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (COVID-19) ที่ยังคงแพร่ระบาดอยู่ในขณะนี้ ทำให้มีผู้ติดเชื้อ COVID-19 มาเข้ารับบริการที่โควิดคลินิก รพ.สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ กรมแพทย์ทหารเรือ ในแต่ละวันเป็นจำนวนมาก ผู้ติดเชื้อจำเป็นต้องเข้าสู่ขั้นตอนของการคัดแยก ให้ความรู้ และรับไว้รักษา ซึ่งต้องใช้ระยะเวลาค่อนข้างนาน และจะต้องอยู่ในพื้นที่จำกัดบริเวณโดยไม่สามารถออกไปรับประทานอาหารกลางวันได้

ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 1 จึงได้มีนโยบายให้การสนับสนุนในโครงการมอบอาหารกล่องจาก “ครัวเรือรบ” ภายใต้แนวคิด “From The Sea” ต้านภัย COVID-19 มอบให้ รพ.สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ กรมแพทย์ทหารเรือ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ป่วยติดเชื้อ COVID-19 ที่โควิดคลินิก อีกทั้งยังเป็นการให้กำลังใจแก่บุคลากรทางการแพทย์ โครงการนี้ได้จัดขึ้นตั้งแต่ วันที่ 11 สิงหาคม 2564 เรื่อยมาอย่างต่อเนื่อง รวมอาหารกล่อง พร้อมน้ำดื่มที่ได้ให้การสนับสนุนไปแล้วทั้งสิ้น จำนวน 1,116 ชุด และจะยังคงให้การสนับสนุนเช่นนี้ไปจนถึงวันที่ 9 กันยายน 2564 โดยที่ผ่านมาในโครงการนี้มีกำลังพลจากหมวดเรือเฉพาะกิจทัพเรือภาคที่ 1 หมวดเรือลาดตระเวนชายแดน และหมวดบินเฉพาะกิจ ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันจัดทำอาหารกล่องมามอบให้แก่ทางโรงพยาบาล ภายใต้โครงการดังกล่าวด้วย

“ครัวเรือรบ From The Sea” ต้านภัย COVID-19

#พลังสามัคคีพลังราชนาวี

#ทัพเรือภาคที่1


ภาพ/ข่าว  กองกิจการพลเรือนทัพเรือภาคที่ 1

นิราช / นันทพล ทิพย์ศรี ชลบุรี

ชลบุรี - พัทยา เร่งฉีดวัคซีนผู้สูงอายุ ป่วย 7 โรค เกิน 80 % แล้ว หวังสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ ก่อนเตรียมเปิดเมืองท่องเที่ยว มีนักร้องขับกล่อมแก่ผู้ใช้บริการเพื่อลดความเครียด

วันนี้ 1 ก.ย.64 ที่โรงเรียนเมืองพัทยา 2 นายสนธยา คุณปลื้ม นายกเมืองพัทยา พร้อมด้วย คณะผู้บริหารเมืองพัทยา ร่วมลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมให้กำลังใจ เจ้าหน้าที่แพทย์ พยาบาล และประชาชนที่เดินทางมาเข้ารับวัคซีนซิโนฟาร์ม เมืองพัทยาเข็ม 1 ในวันแรก จำนวน 1,000 คน  ซึ่งเป็นวัคซีนซิโนฟาร์ม ที่เมืองพัทยา ได้ตั้งงบประมาณไว้เพื่อทำการจัดซื้อจากสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ฯ จำนวน 100,000 โดส เพื่อนำมาฉีดให้กับประชาชนเมืองพัทยาหวังเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ โดยปัจจุบันเมืองพัทยา ได้รับการอนุมัติวัคซีนซิโนฟาร์ม จากสถาบันราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ในล็อตแรกจำนวน 60,000 โดส โดยบรรยากาศวันนี้มีผู้ที่ลงทะเบียนออนไลท์ มาฉีดวัคซีนชิโนฟาร์ม และผู้ที่มาตรวจหาเชื้อโควิด ATK จำนวน 200 คน โดยบรรยากาศมีเพลงขับกล่อม เพื่อระบายความเครียดแก่ผู้ที่มาใช้บริการ

นายสนธยา คุณปลื้ม นายกเมืองพัทยา กล่าวว่า สำหรับการให้บริการฉีดวัคซีนซิโนฟาร์ม ของเมืองพัทยาวันที่สอง ที่โรงเรียนเมืองพัทยา 2  ซึ่งพบว่าทุกอย่างเป็นไปด้วยความเรียบร้อย โดยเมืองพัทยา เร่งฉีดวัคซีนชิโนฟาร์ม ที่เมืองพัทยาตั้งงบประมาณจัดซื้อมานั้น ถือว่ามีปริมาณเพียงพอต่อจำนวนประชากรในพื้นที่เกือบทั้งหมด รวมถึงวัคซีนที่ภาครัฐจัดสรรมาให้ ทั้งในส่วนของซีโนแวค แอสตร้าเซเนก้า วันนี้สามารถฉีดวัคซีนให้กับผู้สูงอายุและผู้ป่วย 7 โรคไปแล้ว มากกว่า 80% ส่วนประชาชนทั่วไปนั้น ได้เร่งดำเนินการฉีดวัคซีนให้ได้จำนวนที่กำหนดหรือ 70 % เพื่อเร่งเปิดเมืองท่องเที่ยวหรือแผน Pattaya Move On สามารถมุ่งสู่เป้าหมายความเป็นเมืองท่องเที่ยว ที่มีความปลอดภัยด้านการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ภายในเดือนตุลาคมนี้ หรืออย่างช้าสุดภายในเดือน มกราคม 2565 ซึ่งหลังจากนั้นจะได้เร่งตามแผนการที่จะเปิดการรับนักท่องเที่ยว อย่างเต็มรูปแบบอีกครั้ง


ภาพ/ข่าว  นิราช / นันทพล ทิพย์ศรี ก012 ชลบุรี

จันทบุรี - ไรเดอร์รับส่งอาหารในจังหวัดจันทบุรีกว่า 100 คน รวมตัวยื่นหนังสือให้ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัด เรียกร้องความเป็นธรรมในการจ่ายค่าตอบแทน

วันนี้ (1 ก.ย. 64) ที่หน้าศาลากลางจังหวัดจันทบุรี ไรเดอร์รับส่งอาหาร ไลน์แมน กว่า 100 คน ได้รวมตัวกันมายื่นหนังสือเรียกร้องขอความเป็นธรรมมอบให้กับศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดจันทบุรี เนื่องจากได้รับความไม่เป็นธรรมในเรื่องค่าตอบแทนในการรับส่งอาหาร โดยในปัจจุบันได้ค่าตอบแทนรับส่งอาหารรอบละ 17 บาท จากที่ตอนแรกตกลงกันที่ 17 +4 บาท และถ้าช่วงที่มีฝนตกจะได้ค่าตอบแทนเพิ่มอีก 10 บาท เป็น 27 บาท ซึ่งในตอนนี้ไลน์แมนได้เปิดวิ่งในจังหวัดมาแล้ว 1 เดือนไม่มีค่าตอบแทนที่เพิ่มขึ้นแต่อย่างใด จึงได้ลงความเห็นกันแล้วว่าค่ารอบที่วิ่งนั้นไม่คุ้มกับค่าน้ำมันที่เพิ่มขึ้น ค่าโทรศัพท์ รวมทั้งค่าสึกหรอของรถ จึงได้รวมตัวกันมายื่นหนังสือเรียกร้องความเป็นธรรม 

โดยมี นายภิชาติ โพธิ์บาทะ ผู้อำนวยการศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดจันทบุรี เป็นผู้รับมอบหนังสือร้องเรียนสำหรับข้อเรียกร้องของไรเดอร์รับส่งอาหาร ที่ได้รวมตัวกันในวันนี้คือ

1.ขอศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดจันทบุรีช่วยประสานงานติดต่อขอตัวแทนที่เจรจากับบริษัทได้เนื่องจากในจังหวัดไม่มีตัวแทนที่ติดต่อพูดคุยได้ ไม่มีสำนักงานในจันทบุรี

2.ต้องการค่าตอบแทนต่อรอบเริ่มต้นที่ 30 บาท และบวกเพิ่มตามระยะทางตามความเหมาะสม

3.ให้บริษัทพิจารณาเรื่องการจ่ายงานในระยะไกลที่ไรเดอร์ห่างจากร้านเกิน 4 กิโลเมตรและบวกค่ารอบตามความเหมาะสม

4 .ขอให้ทางบริษัททำการประชาสัมพันธ์ให้มากกว่านี้ ไม่ว่าจะเป็นทางเพจ หรือป้ายประชาสัมพันธ์ และโค้ดส่วนลดต่าง ๆ เพื่อให้ลูกค้าได้รับข้อมูลอย่างทั่วถึง ทั้งนี้ในวันนี้ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดจันทบุรี ได้รับหนังสือข้อเรียกร้องขอความเป็นธรรมแล้ว จากนั้นจะนำไปดำเนินการติดต่อเพื่อให้ความเป็นธรรมต่อไป


ภาพ/ข่าว จรัล บรรยงคเสนา จ.จันทบุรี

พรเทพ เขม้นเขตวิทย์ รายงานจากศูนย์ข่าวภาคตะวันออก

ชุมพร - ร่วมมือทุกหน่วยงาน ลงพื้นที่รับปากประชาชนได้ใช้ไฟฟ้าแน่นอน ก่อนปีใหม่ 2565 แก้ไขชาวบ้าน อ.หลังสวน ที่ไม่มีไฟฟ้าใช้นานกว่า50 ปี ร่วม 200 ครัวเรือน

วันที่ 31 สิงหาคม 2564 เวลา 09.30 น. ภายใต้การอำนวยการของนายธีระ อนันตเสรีวิทยา ผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร และนายสมพร ปัจฉิมเพ็ชร รองผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร (รับผิดชอบด้านความมั่นคงและการบริหารทรัพยากรธรรมชาติ) ได้มอบหมายให้ ปลัดจังหวัดชุมพร เป็นประธานการประชุม(ครั้งที่ 2) เพื่อบูรณาการเเก้ไขปัญหากับส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเพื่อเร่งรัดติดตามผลความคืบหน้ากรณีชาวบ้านในพื้นที่ ม.7 ม.9 ม.12 และ ม.13 ต.หาดยาย อ.หลังสวน ไม่มีไฟฟ้าใช้ เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่ติดเขตป่าของกรมป่าไม้ และเป็นพื้นที่ป่าอนุรักษ์ของกรมอุทยานเเห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ณ ห้องประชุม อบต.หาดยาย โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วย ท้องถิ่นจังหวัดชุมพร,  นายก อบต.หาดยาย ,ผู้เเทนรอง ผอ.รมน.จังหวัด ช.พ. (ฝ่ายทหาร) ผู้แทน หน.สนจ.ชพ.,ผู้แทนประชาสัมพันธ์จังหวัดชุมพร ,ผู้แทน ผอ.ทสจ.ชพ.,ผู้แทน ผอ.สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 11 (สุราษฎร์ธานี),ผอ.ศูนย์ป่าไม้จังหวัดชุมพร,ผจก.การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคอำเภอหลังสวน,หน.อุทยานแห่งชาติน้ำตกหงาว,ผู้แทนนายอำเภอหลังสวน,ปลัดอำเภอหลังสวน,กำนันตำบลหาดยายและผู้ใหญ่บ้านในพื้นที่

จากนั้นได้ลงพื้นที่ ม.7 ม.9 และ ม.12  ซึ่งมีเนื้อที่ 13 ไร่ 2 งาน 56 ตร.วา ที่อยู่ในเขตป่า ตาม ม.54 แห่ง พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.2484 และได้รับอนุญาตจาก สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 11 (สุราษฎร์ธานี)ให้ดำเนินการโครงการขยายเขตระบบไฟฟ้าแล้ว โดยจะเริ่มดำเนินการปักเสาไฟต้นแรกพร้อมจ่ายไฟฟ้า ในพื้นที่ ม.12 ภายในวันที่ 25 ก.ย.64 การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคอำเภอหลังสวน จะเรียนเชิญ ผวจ.ชพ. เป็นประธานเปิด เฟสเเรกต่อไป

ส่วนพื้นที่ป่าไม้ถาวร ตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 14 พ.ย. 2504 เนื้อที่ 9 ไร่ 1 งาน 67 ตร.วา กรมป่าไม้ ได้ทำหนังสือ เสนอ รมว.ทส. เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ เมื่อเห็นชอบแล้ว กรมป่าไม้ก็จะให้ สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 11 (สุราษฎร์ธานี) พิจารณาอนุญาตตามที่ อธิบดีกรมป่าไม้ได้มอบอำนาจให้ต่อไป พื้นที่ขยายเขตไฟฟ้าดังกล่าวทั้ง 2 ส่วนระยะทาง 11.290 กม. การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคอำเภอหลังสวนจะเร่งรัดดำเนินการก่อสร้างปักเสาไฟฟ้าให้เเล้วเสร็จภายใน 31 ธ.ค.64 นี้

หลังจากนั้นได้ลงพื้นที่ ม.13 ต.หาดยาย ซึ่งชาวบ้านยังไม่มีไฟฟ้าใช้ จำนวน 178 ครัวเรือน จำนวน 4 เส้นทาง ระยะทาง 8.2 กม. เศษ อยู่ในเขตป่าอนุรักษ์ของอุทยานเเห่งชาติน้ำตกหงาว  การไฟฟ้าภูมิภาคอำเภอหลังสวนจะเป็นเจ้าภาพในการขออนุญาตใช้พื้นที่ป่าโดยได้ทำการสำรวจออกเเบบและประมาณการเสร็จเรียบร้อยแล้วได้ส่งเรื่องเเละรายละเอียดให้ หัวหน้าอุทยานแห่งชาติน้ำตกหงาว เมื่อวันที่ 27 ม.ค.64(ฉบับเเก้ไขล่าสุด) ทางหัวหน้าอุทยานแห่งชาติน้ำตกหงาว ได้รับทราบปัญหาและข้อเท็จจริงรวมทั้งได้ส่งตัวแทนเข้าร่วมประชุม ณ ศาลา ม.13 ต.หาดยาย โดยจะเร่งรัดส่งข้อมูลให้ สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 4 (สุราษฎร์ธานี) พิจารณา และในเบื้องต้นปลัดจังหวัดชุมพรได้โทรประสาน ผอ.สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 4 เพื่อพิจารณาให้ความอนุเคราะห์ด้วยแล้ว

ในส่วนรายละเอียดที่เกี่ยวข้องได้มอบหมายให้ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคอำเภอหลังสวน ,นายอำเภอหลังสวน และ อบต.หาดยาย ได้บูรณาการ โดยจัดทำโครงการร่วมกับ หัวหน้าอุทยานแห่งชาติน้ำตกหงาวในรายละเอียดข้อเท็จจริงและการใช้ประโยชน์ของอุทยานและปัญหาความเดือดร้อนเรื่องประชาชนไม่มีไฟฟ้าใช้ เนื่องจากได้อยู่อาศัยมากว่า40 ปี มีการปลูกสร้างบ้านเรือนอยู่อาศัยและประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลักแหล่งมีถนนหนทางเข้าออกได้สะดวกเป็นพื้นที่เศรษฐกิจที่สำคัญ ซึ่งไม่สามารถใช้เครื่องใช้ไฟฟ้า และอินเตอร์เน็ตได้ ปัจจุบันมี นักเรียนชั้นประถมศึกษา และมัธยมฯ จำเป็นต้องใช้ไฟฟ้าในการเรียนออนไลน์ รวมทั้งประชาชนที่ป่วยโควิด19 ต้องได้รับการดูเเลรักษาอย่างทันท้วงที ซึ่งต้องเร่งรัดประสานงานเพื่อให้ได้รับอนุญาตจากกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืชต่อไปในการขยายเขตไฟฟ้าโดยเร็ว รวมทั้งได้ติดตามผลความคืบหน้าเป็นระยะ จนกว่าชาวบ้านในพื้นที่จะมีไฟฟ้าใช้ทุกครัวเรือน และในระดับจังหวัดที่ประชุมได้มีมติมอบหมายให้สำนักงานจังหวัดชุมพร(ศดธ.) เป็นหน่วยงานรับผิดชอบแก้ไขปัญหา และติดตามผลความคืบหน้ากรณีเรื่องร้องเรียนดังกล่าวต่อไป อีกทางหนึ่งด้วย


ภาพ/ข่าว  ธนากร โกศลเมธี รายงานศูนย์ข่าวสารจังหวัดชุมพร

เหล่าผู้ประกอบธุรกิจขนาดกลางหรือขนาดเล็ก (SMEs) หลาย ๆ ท่านอาจจะยังไม่ให้ความสำคัญในหลักการจัดเก็บและสิทธิประโยชน์ทางภาษี ซึ่งในความเป็นจริงสิ่งเหล่านี้จะช่วยเสริมประสิทธิภาพให้กับธุรกิจของคุณโดยที่คุณอาจไม่รู้ตัว !

ความเข้าใจในหลักการจัดเก็บและสิทธิประโยชน์ทางภาษี เป็นสิ่งที่ผู้ประกอบธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) ควรให้ความสำคัญ เพราะไม่เพียงแต่กิจการจะสามารถจัดการเพื่อชำระภาษีภายในกำหนดเวลาอย่างถูกต้องและครบถ้วนตามกฏหมายแล้วเท่านั้น แต่ยังสามารถนำไปสู่ภาระภาษีที่มีจำนวนน้อยที่สุด โดยไม่ใช่การหลีกเลี่ยง ซึ่งจะช่วยขจัดปัญหาภาษีอากร และเสริมสร้างประสิทธิภาพในการดำเนินงานให้ธุรกิจมีความยั่งยืนได้

รูปแบบของธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) จำแนกได้ทั้งในรูปของนิติบุคคล (ห้างหุ้นส่วนสามัญจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด) และ บุคคลธรรมดา (เจ้าของคนเดียว คณะบุคคล ห้างหุ้นส่วนสามัญ) ดังนั้นภาระภาษีที่เกี่ยวข้องจึงเป็นไปตามรูปแบบของ SMEs ที่ผู้ประกอบการเลือก 

อย่างไรก็ตามในปีภาษี 2563 หากเปรียบเทียบระหว่างอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลกับอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา พบว่า SMEs ที่เป็นนิติบุคคล มีอัตราภาษีสูงสุดที่ต้องจ่าย ต่ำกว่า SMEs ที่เป็นบุคคลธรรมดา ถึง 15% (นิติบุคคล 20% บุคคลธรรมดา 35% ) 

โดยในช่วงกำไรสุทธิ 300,000 บาท แรกของ SMEs นิติบุคคลที่มีทุนจดทะเบียนไม่เกิน 5 ล้านบาท และมีรายได้ไม่เกิน 30 ล้านบาท จะได้รับการยกเว้นภาษี ส่วนในกรณีที่มีผลขาดทุนไม่ต้องเสียภาษี และสามารถนำผลขาดทุนสุทธิ 5 ปีย้อนหลังมาเป็นรายจ่ายทางภาษีได้ 

นอกจากนี้กรมสรรพากรยังมีมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการประกอบธุรกิจ SMEs นิติบุคคล โดยให้สิทธิประโยชน์ในการหักค่าใช้จ่ายได้เพิ่มขึ้นภายใต้เงื่อนไขที่กำหนด ดังนี้ 

1.) การหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาในอัตราเร่ง

2.) รายจ่ายจากการจ้างเงินผู้สูงอายุ รายจ่ายเพื่อการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม รายจ่ายในการฝึกอบรมพัฒนาฝีมือแรงงาน รายจ่ายค่าธรรมเนียมจากการรับชำระเงินด้วยบัตรเดบิตผ่านเครื่อง EDC รายจ่ายเพื่อส่งเสริมการเนินธุรกิจของ SMEs หักเป็นรายจ่ายได้ 2 เท่า 

3.) รายจ่ายเพื่อการลงทุนในเครื่องจักรหักเป็นรายจ่ายได้ 1.5 เท่า 

4.) SMEs รายใหม่ (New Start-Up) ที่จดทะเบียนจัดตั้งในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ (นราธิวาส ปัตตานี ยะลา) ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 5 รอบระยะเวลาบัญชี 

นอกจากนี้กรมสรรพากรกำหนดมาตรการดูแล SMEs นิติบุคคล จากผลกระทบของการแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่เกิดขึ้น เพื่อเป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการ ในปีภาษี 2563 ได้แก่

1.) ลดภาระดอกเบี้ยจ่าย ช่วงเมษายน ถึง ธันวาคม 2563 นำมาเป็นรายจ่ายเพิ่มได้ 1.5 เท่า

2.) รายจ่ายค่าจ้างพนักงานตั้งแต่มกราคม ถึง กรกฏาคม 2563 นำมาหักรายจ่ายได้ 3 เท่า 

3.) เงินบริจาคหรือสินทรัพย์ช่วย COVID-19 หักเป็นรายจ่ายได้ไม่เกิน 2% ของกำไรสุทธิ ตั้งแต่ 5 มีนาคม 2563 ถึง 5 มีนาคม 2564 

4.) รายจ่ายในการต่อเติม ปรับปรุงทรัพย์สินของกิจการโรงแรม นำมาเป็นรายจ่ายได้ 2 เท่า 

5.) การอบรมสัมมนาในประเทศ นำมาเป็นรายจ่ายได้ 2 เท่า 

6) ลดอัตราภาษี ณ ที่จ่าย เพื่อเพิ่มสภาพคล่องผู้ประกอบการที่มีรายได้จากค่าจ้างทำของ ค่าบริการ ค่านายหน้า ค่าวิชาชีพอิสระ ลดเหลือ 1.5% ในช่วงเมษายน ถึง กันยายน 2563 และ ลดเหลือ 2% ในช่วงเดือนตุลาคม 2563 ถึง กันยายน 2564

และในปีภาษี 2564 กรมสรรพากรได้ปรับสิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อสนับสนุน SMEs สู่ความปกติรูปแบบใหม่ หรือ New Normal ในยุคดิจิทัล โดยให้ผู้ประกอบการ SMEs สามารถหักค่าใช้จ่ายได้ถึง 2 เท่า สำหรับค่าซื้อหรือจ้างทำ หรือค่าใช้บริการโปรแกรมคอมพิวเตอร์หรือซอฟต์แวร์ (Software) ที่จ่ายให้แก่ผู้ขายหรือผู้รับจ้างทำหรือผู้ให้บริการ ที่ขึ้นทะเบียนกับสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล เฉพาะในส่วนที่ไม่เกิน 100,000 บาท สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2564 แต่ไม่เกินวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2565 อีกด้วย

จากสิทธิประโยชน์ทางภาษีของ SMEs นิติบุคคล ดังกล่าวข้างต้น อาจเป็นทางเลือกที่ผู้ประกอบการ SMEs ขนาดใหญ่ พิจารณาเลือกจดทะเบียนธุรกิจในรูปแบบของนิติบุคคล เพื่อให้ได้เปรียบมากกว่าในรูปแบบของบุคคลธรรมดา 

ทั้งนี้ผู้ประกอบการจำเป็นต้องจัดให้มีระบบบัญชีที่มีประสิทธิภาพ เพื่อบันทึกรายรับรายจ่ายของกิจการ รวมถึงการเก็บใบเสร็จหรือใบสำคัญต่าง ๆ ไว้ให้ครบถ้วน เพื่อใช้เป็นหลักฐานสำคัญในการแสดงรายการต่างๆ ของธุรกิจ และคำนวณภาษีตามฐานกำไรสุทธิของกิจการต่อไป

.

เขียนโดย : อาจารย์ กมลวรรณ รอดหริ่ง อาจารย์ประจำสาขาการเงิน คณะการจัดการและการท่องเที่ยว มหาวิทยาลัยบูรพา


ข้อมูลอ้างอิง : เว็บไซต์สรรพากร https://www.rd.go.th/47331.html

นราธิวาส - สภาเกษตรนราฯ วอนรัฐช่วย ระบายผลไม้จังหวัดชายแดนภาคใต้ ราคาตกต่ำ ด้านแม่ทัพภาค 4 ย้ำ “ทหารไม่ทอดทิ้งประชาชน รับซื้อลองกองสานใจสู่สันติ กระจายผลผลิตสู่ตลาด ช่วยเกษตรกรใต้มีรายได้ สู้วิกฤติโควิด-19

นายแวฮามะ บากา หัวหน้าสำนักงานสภาเกษตรกรจังหวัดนราธิวาส เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า ผลไม้พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีมากมาย เนื่องจากเป็นพื้นที่อุดมสมบูรณ์ อาทิ มังคุด ทะเรียน เงาะ และลองกอง ซึ่งผลไม้อื่นๆเริ่มน้อยลงแล้ว แต่ที่มีผลไม้ที่กำลังออกผลผลิตจำนวนมากขณะนี้ คือ ผลไม้ลองกอง โดยมีผลผลิต ผลไม้ลองกอง ในพี้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ทั้งหมด ปีนี้ประมาณ 13,000 ตัน แต่ด้วยสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ซึ่งพื้นที่ชายแดนภาคใต้ เป็นพื้นที่โรคระบาดสีแดงเข้ม ทำให้รัฐบาลจำเป็นต้องมีมาตรการคุมเข้มพื้นที่เป็นกรณีพิเศษ เพื่อป้องกันการระบาดโควิด-19 ในพื้นที่ มาตรการปิดพื้นที่หมู่บ้าน เคอร์ฟิวเวลา ออกเคหะสถาน การงดการเดินทางข้ามจังหวัด และอื่น ๆ เป็นต้น ทำให้พื้นที่และประชาชน ร่วมถึงพี่น้องเกษตรกร ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าว

อย่างไรก็ตามในการแก้ปัญหาผลไม้ที่ขายไมได้และราคาตกต่ำ ในส่วนจังหวัดนราธิวาส ปัตตานี และยะลา ทางสำนักงานเกษตรจังหวัด พานิชย์จังหวัด สหกรณ์จังหวัด และ ไปรษณีย์ได้บูรณการร่วมกันช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวน แต่ผลไม้พื้นที่ผลผลิตยังจำนวนมาก ที่เกษตรกรขายไม่ได้ แม้จะระบายสู่ตลาดต่างจังหวัดและในพื้นที่บางส่วน  ผลผลิตโดยเฉพาะลองกอง ยังต้องให้ทุกฝ่าย มาช่วยซื้อ หรือระบายจำหน่าย ช่วยเกษตรอีกจำนวนหลายตัน จึงอยากให้หน่วยงานของรัฐ เข้ามาช่วยเหลือผลัดดันผลไม้สู่ตลาดถึงมือผู้บริโภคให้มาก เพื่อช่วยเหลือเกษตรกร ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้

ด้าน พลโท เกรียงไกร ศรีรักษ์ แม่ทัพภาคที่ 4/ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 เปิดกับผู้สื่อข่าวว่า กล่าวว่า ทางกองทัพบก โดยผู้บัญชาการทหารบได้ให้นโยบายในเรื่องการช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ covid-19  ทั้งเรื่องการขนส่ง และการซื้อขายที่มีความยากลำบาก โดยให้หน่วยในภูมิภาคในส่วนของกองทัพบกช่วยเหลือพี่น้องประชาชน ด้วยการเข้าดำเนินการประสานงาน ทั้งตลาดกลางในการรับซื้อ  ที่ผ่านมากองทัพภาคที่ 4 มีการดำเนินการช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนทุเรียน มังคุด และอื่น ๆ

โดยการจัดซื้อนำไปขายยังส่วนกลาง และสถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 ตลอดจนแจกจ่ายให้กับทหารกองประจำการหน่วยต่าง ๆ ได้รับประทาน และในขณะนี้พี่น้องเกษตรกรที่ปลูกลองกองมีผลผลิตออกมามากพอสมควร จึงได้ให้ศูนย์สันติวิธีของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า เป็นศูนย์กลางในการให้สมาชิกโครงการสานใจสู่สันติ ซึ่งเป็นพี่น้องประชาชนในพื้นที่ได้ดำเนินการเป็นผู้แทนในการรับซื้อ จากทั้งในพื้นที่จังหวัดนราธิวาส จังหวัดสงขลา จังหวัดยะลา และจังหวัดปัตตานี ในวันนี้สามารถรวบรวมผลผลิตลองกองที่รับซื้อมาได้จำนวนกว่า 6.5 ตัน เพื่อส่งไปให้กับพี่น้องสมาชิกชมรมพัฒนาสัมพันธ์ระดับผู้บริหารกองทัพบก ที่มียอดการสั่งซื้อไว้ โดยชมรมพัฒนาสัมพันธ์ระดับผู้บริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ก็ได้มาร่วมกันรับซื้อ และจัดส่งผลผลิตลองกองตามโครงการดังกล่าว ถือเป็นสิ่งหนึ่งที่ได้ร่วมกันทำเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องเกษตรกรในการรับซื้อ และประสานงานเพื่อส่งต่อให้ผู้บริโภค นำไปแจกจ่ายให้กับพี่น้องประชาชนในพื้นที่ของ กองทัพภาคที่ 2 ค่ายสุรนารี  จังหวัดนครราชสีมา ให้ได้มีโอกาสรับประทานลองกองพันธุ์ดี รสชาติอร่อย ในราคาที่เป็นธรรม อีกทั้งเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรในการกระจายผลผลิตทางการเกษตร เพื่อบรรเทาผลกระทบจากกรณีผลผลิตทางการเกษตรล้นตลาดและมีราคาตกต่ำอีกด้วย

มทภ.4 ยังกล่าวอีกว่า แม้ที่ผ่านมาจะมีผู้กลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงได้พยายามเข้ามาทำลายระบบสาธารณูประโภคสาธารณะ เช่น การก่อเหตุกับขบวนรถไฟขนส่งสินค้า และอื่นๆ อย่างไรก็ตามความพยายามการก่อเหตุของผู้ก่อเหตุรุนแรงอาจจะเกิดจากช่องว่างในการทำงานอยู่บ้าง แต่ในวันนี้มีการปรับปรุงซ่อมแซมเปิดให้บริการขนส่งได้เป็นปกติ สามารถนำผลผลิตทางการเกษตรไปขายสู่ท้องตลาดได้ ขอความร่วมมือพี่น้องประชาชนพบเห็นสิ่งผิดปกติให้แจ้งทางหน่วยในพื้นที่ได้รับทราบ หรือแจ้งมายังสายตรงแม่ทัพภาคที่ 4 ได้ตลอดที่หมายเลขโทรศัพท์ 061-173-2999 การขนส่งทางรถไฟเป็นขนส่งสำคัญที่คอยพยุงให้ความช่วยเหลือ บรรเทาทุกข์  พี่น้องเกษตรกร อย่าเหยียบย่ำซ้ำเติมในภาวะวิกฤติแบบนี้


ภาพ/ข่าว  แวดาโอ๊ะ หะไร จ.นราธิวาส

ระยอง - คณะกรรมการ EEC เปิดโรงพยาบาลสนาม EEC บ้านฉาง จำนวน 120 เตียง ภายใต้โครงการจิตอาสา EEC ต้านโควิด

เมื่อวันที่ 31 ส.ค. 64 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นาชาญนะ เอี่ยมแสง ผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง ดร.คณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC นายแพทย์สุนทร เหรียญภูมิการกิจ นายแพทย์สาธาราณสุขจังหวัดระยอง และนายสุชิน พูลหิรัญ นายกเทศมนตรีตำบลบ้านฉาง ร่วมเปิดโรงพยาบาลสนาม EEC บ้านฉาง ขนาด 120 เตียง พร้อมตรวจเยี่ยมระบบบริหารจัดการ การดูแลผู้ป่วยและการใช้ระบบ JITASA.CARE weSAFE@Home เป็นสื่อกลางดูแลผู้ป่วยทั้งระบบ ภายใต้โครงการจิตอาสา EEC ต้านโควิด ตั้งอยู่ริมถนนบูรพาพัฒน์ ม.2 อ.บ้านฉาง จ.ระยอง

ดร.คณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก กล่าวว่า โครงการดังกล่าวเป็นตัวอย่างของความร่วมมือเพื่อจะช่วยกันบรรเทาปัญหาของโควิด-19 ของทางจังหวัดระยอง กระทรวงสาธารณสุข อบจ.ระยอง เทศบาลตำบลบ้านฉาง และภาคโรงงานอุตสาหกรรม และ EEC ด้วย โดย EEC จะเข้ามาช่วยประสานงานเพื่อให้เกิดเป็นระบบขึ้นมาในการดูแลผู้ป่วย ตั้งแต่ตรวจ ATK จนกระทั่งผู้ป่วยหาย โดยมีการนำเอาจิตอาสาเข้ามาร่วมทำงานในโรงพยาบาลแห่งนี้ด้วย เพื่อช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ และบุคลากรทางแพทย์ ซึ่งจะมีการต่อยอดไปทำโรงพยาบาลที่อื่นต่อไป ปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 300 เตียงในพื้นที่จังหวัดระยอง ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับคนในพื้นที่ด้วย โดยที่นี่จะเป็นต้นแบบการทำโรงพยาบาลสนามของพื้นที่ของ EEC ทั้งหมด โดยเฉพาะพื้นที่ อ.ปลวกแดง และอ.ศรีราชา จ.ชลบุรี

ด้าน นายชาญนะ เอี่ยมแสง ผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง กล่าวว่า เป็นโครงการความร่วมมือทุกภาคส่วนร่วมมือกันทำงาน เพื่อแก้ไขปัญหาโควิด-19 ให้ลุล่วงไป โดยการทำงานครั้งนี้เป็นการตรวจปูพรมทั้งพื้นที่ เพื่อจะดูว่าระบบมีปัญหาขัดข้อง และอุปสรรคอย่างำไร เมื่อสำเร็จก็จะขยายไปยังพื้นที่อื่นต่อไป ที่สำคัญโครงการดังกล่าวมีจิตอาสา และภาคเอกชนเข้ามาช่วยทำงานแก้ไขปัญหาโควิด-19 ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ดี ซึ่งจะนำไปบริหารจัดการแก้ไขปัญหาโควิด-19 ที่อื่นต่อไป


ภาพ/ข่าว  วฐิต กลางนอก / ธีรวัฒน์ อินธิพันธ์ รายงาน

สุรินทร์ - มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ในพระบรมราชูปถัมภ์ มอบสิ่งของพระราชทาน แด่ประชาชนผู้ประสบอัคคีภัย

วันที่ 1 กันยายน 2564 เวลา 13:30 น. พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทร มหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงห่วงใยพสกนิกรของพระองค์ท่าน ที่ได้รับความเดือดร้อนจากภัยพิบัติต่างๆ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ นายนราธร  ศรประสิทธิ์  รองผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์/กรรมการมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ประจำจังหวัดสุรินทร์ เป็นประธานในพิธีมอบสิ่งของพระราชทานมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ในพระบรมราชูปถัมภ์ 

โดยนำสิ่งของพระราชทานมาให้ความช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบอัคคีภัยตามหลักเกณฑ์การพิจารณาการจ่ายเงินสำรองจากมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ในพระบรมราชูปถัมภ์ ที่มีอยู่ทางจังหวัด ให้แก่ครอบครัว นายสวัสดิ์  สุระ อายุ 80 ปี ผู้ประสบอัคคีภัย บ้านเลขที่ 62 หมู่ที่ 4 บ้านสามแยก ตำบลตาคง อำเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์ เนื่องจากเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2564 เวลา 11.20 น. ได้เกิดเหตุไฟไหม้บ้านพักอาศัยของ นายสวัสดิ์ สุระ ได้รับความเสียหายทั้งหลัง แต่ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต เพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนจากผลกระทบของอัคคีภัย ในการสร้างขวัญและกำลังใจในการต่อสู้ฝ่าฟันให้พ้นวิกฤตภัยครั้งนี้ไปด้วยดี สร้างความปลาบปลื้มให้กับ ครอบครัว นายสวัสดิ์ สุระ ประชาชนผู้ประสบอัคคีภัยอย่างหาที่สุดมิได้

โดยมีหน่วยงานร่วมให้ความช่วยเหลือครอบครัวผู้ประสบอัคคีภัย ประกอบไปด้วย สำนักงานเหล่ากาชาดจังหวัดสุรินทร์ สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดสุรินทร์ อำเภอสังขะ สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดสุรินทร์  วิทยาลัยการอาชีพสังขะ องค์การบริหารส่วนตำบลตาคง กำนัน ผู้ใหญ่บ้านและพี่น้องประชาชนจิตอาสาตำบลตาคง สำหรับการช่วยเหลือในระยะต่อไป องค์การบริหารส่วนตำบลตาคง จะดำเนินการให้ความช่วยเหลือตามระเบียบทางราชการต่อไป โดยมี นายธาตรี  สิริรุ่งวานิช นายอำเภอสังขะ กล่าวรายงาน


ภาพ/ข่าว  ปุรุศักดิ์ แสนกล้า  


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top