Wednesday, 21 May 2025
SPECIAL

สุรินทร์ - บริษัท น้ำตาลสุรินทร์ จำกัด ร่วมทำดีกับโครงการ “แยกขวดช่วยหมอ” เพื่อผลิตชุด PPE สู้โควิด-19

เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2564 ที่ คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล นายพัฒน์  เสถียรถิระกุล และนางสาววัชรนันท์  พิริยพูล ผู้บริหารรุ่นใหม่จาก KI Sugar Group (บริษัท น้ำตาลสุรินทร์ จำกัด) ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือบุคลากรทางการแพทย์สู้วิกฤตโควิด-19 ด้วยการมอบขวด PET จำนวน 130 กิโลกรัม ให้กับ PTT GC (YOUเทิร์น) และสนับสนุนทุน 100,000 บาท ให้กับมูลนิธิทันตแพทยศาสตร์มหิดล

โดยมี ศ.คลินิกเกียรติคุณ ทพ.นิติพันธ์  จีระแพทย์ นายกสมาคมศิษย์เก่าทันตแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล และคณะเป็นผู้รับมอบ เพื่อรวบรวมขวด PET นำไปผลิตเป็นชุด PPE ใช้สนับสนุนการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์ให้สามารถทำงานได้อย่างปลอดภัย ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 และนำไปบริจาคในพื้นที่ที่ขาดแคลนต่อไป  “โครงการแยกขวดช่วยหมอ” เป็นภารกิจระดมขวด PET เพื่อนำไปผลิตเป็นชุดป้องกันส่วนบุคคล (PPE) ให้กับบุคลากรทางการแพทย์ ดำเนินการโดย YOUเทิร์น by PTT GC นำขวด PET ไปแปรรูปเป็นเส้นใย ถักทอเป็นผืนผ้าแล้วเคลือบสะท้อนน้ำ และมูลนิธิทันตแพทยศาสตร์มหิดล จัดสรรทุนในการตัดเย็บเป็นชุด PPE สำเร็จรูป ให้กับบุคลากรทางการแพทย์ 


ภาพ/ข่าว  ปุรุศักดิ์ แสนกล้า 

กาฬสินธุ์ – ส่งเสบียงช่วยหมู่บ้านล็อกดาวน์ คลัสเตอร์งานวันเกิดติดเชื้อโควิด 29 ราย

“วิรัช พิมพะนิตย์” ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม พร้อมคณะ นำถุงยังชีพปันน้ำใจสู้ภัยโควิดมอบให้กับผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด- 19 ที่บ้านเหล่าสูง ตำบลห้วยโพธิ์ อำเภอเมืองกาฬสินธุ์ หลังพบคลัสเตอร์งานวันเกิด มีผู้ติดเชื้อในหมู่บ้าน 29 ราย มีผู้สัมผัสเสี่ยงสูงอีก 13 ครัวเรือน และต้องสั่งล็อกดาวน์ทั้งหมู่บ้าน

เมื่อเวลา 10.30 น.วันที่ 5 กันยายน 2564 ที่บริเวณจุดคัดกรองทางเข้าบ้านเหล่าสูง ม.4 ต.ห้วยโพธิ์ อ.เมือง จ.กาฬสินธุ์  นายวิรัช พิมพะนิตย์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายณัฐวัชต์ พิมพะนิตย์ หรือ สจ.เบ๊นซ์  รองประธานสภา อบจ.กาฬสินธุ์  นายกีรฒิการย์ พิมพะนิตย์ เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วน จ.กาฬสินธุ์ พร้อมคณะ นำถุงยังชีพเครื่องอุปโภค บริโภค ปันน้ำใจสู้ภัยโควิด-19 ซึ่งมีทั้งข้าวสาร อาหารแห้ง ปลากระป๋อง น้ำดื่ม และหน้ากากอนามัย จำนวน 200 ชุด ไปมอบให้กับประชาชนบ้านเหล่าสูง ม. 4 ต.ห้วยโพธิ์ ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด- 19 หลังพบคลัสเตอร์หญิงสาวรายหนึ่งที่ติดเชื้อโควิด-19 แล้วมีการจัดงานวันเกิด ส่งผลให้มีผู้ติดเชื้อในหมู่บ้านจำนวน 29 ราย และมีกลุ่มเสี่ยงสูงอีก 13 ครัวเรือน ทำให้ผู้นำชุมชน คณะกรรมการหมู่บ้าน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องปิดหมู่บ้าน ตั้งจุดคัดกรอง 250 หลังคาเรือน ห้ามเข้า-ออกโดยไม่จำเป็น เพื่อป้องกันและหยุดยั้งการแพร่ระบาด โดยมีนายสุนทร เจริญพันธ์ นายกเทศมนตรีตำบลห้วยโพธิ์ นายจันทร์ ดอนประชุม ประธาน อสม.ตำบลห้วยโพธิ์ นายอำนวย ศรีแพงมล ผู้ใหญ่บ้านเหล่าสูง พร้อมด้วย อสม.ร่วมรับมอบ

นายวิรัช พิมพะนิตย์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า วันนี้เป็นการเข้ามาช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่บ้านเหล่าสูง ซึ่งมีอยู่กว่า 250 หลังคาเรือน กว่า 800 คน ที่ได้รับความเดือดร้อนจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 หลังจากต้องปิดหมู่บ้าน พร้อมให้กำลังใจผู้นำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เจ้าหน้าที่สาธารณสุข และอสม.ผู้ปฏิบัติหน้าที่ด่านหน้าประจำจุดคัดกรอง ทั้งนี้อยากฝากถึงทุกคนให้ช่วยกัน อย่าได้รังเกียจกันและกัน เพราะไม่มีใครอยากติดเชื้อ และอยากฝากถึงพี่น้องประชาชนชาวไทยทุกคนจะต้องร่วมแรง ร่วมใจกัน ต่อสู้โรคโควิด-19 และให้ผ่านพ้นสถานการณ์นี้ไปด้วยกันให้ได้

นายจันทร์ ดอนประชุม ประธาน อสม.ตำบลห้วยโพธิ์ กล่าวว่า เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา บ้านเหล่าสูง ต.ห้วยโพธิ์ อำเภอเมืองกาฬสินธุ์ มีกลุ่มคลัสเตอร์โควิด-19 การจัดงานวันเกิด ทำให้พบผู้ป่วยยืนยันจำนวน 29 ราย ผู้สัมผัสเสี่ยงสูงรวมจำนวน 13 ครัวเรือน ทำให้ทางผู้นำชุมชนและคณะกรรมการหมู่บ้านประชุมร่วมกันและมีมติปิดหมู่บ้าน พร้อมทั้งตั้งด่านคัดกรองการเข้า-ออก โดยไม่จำเป็น เพื่อป้องกันและหยุดการแพร่เชื้อไปยังพื้นที่อื่น อย่างไรก็ตามสำหรับการปิดหมู่บ้านนั้น ประชาชนทั้ง 250 หลังคาเรือน กว่า 800 คน ต่างให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี เจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายได้ร่วมกันทำงานเชิงรุก ทำให้สถานการณ์การแพร่ระบาดดีขึ้นบ้างแล้ว ส่วนผู้สัมผัสเสี่ยงสูงทั้ง 13 ครัวเรือนก็ได้กักตัวสังเกตอาการ 14 วัน


ภาพ/ข่าว  ณัฐพงษฺ  ประชากูล จ.กาฬสินธุ์

“ประเทศสิงคโปร์” เป็นประเทศที่มีการปรับตัวในการใช้เทคโนโลยีไปตามทุกยุคทุกสมัยได้อย่างรวดเร็วด้วยประชากรและทรัพยากรทำให้ต้องมีความพร้อม ปรับตัวอยู่เสมอ รวมไปถึงเทคโนโลยีอย่าง “ยานยนต์อัตโนมัติ”

ช่วงนี้ท่านผู้อ่านน่าจะได้ข่าวเกี่ยวกับการทดลองและทดสอบรถยนต์อัตโนมัติในหลายประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นข่าวที่มาจากประเทศในแถบตะวันตก แต่กลับมีประเทศที่มีความพร้อมในการใช้รถยนต์อัตโนมัติมากที่สุดและอยู่ในภูมิภาคอาเซียน นั่นคือประเทศ “สิงคโปร์”

บริษัท KMPG ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาระดับโลกได้เริ่มศึกษาดัชนีชี้วัดความพร้อมในการใช้รถยนต์ไร้คนในแต่ละประเทศ (Autonomous Vehicles Readiness Index : AVRI) ตั้งแต่ปี 2018 โดยดัชนี AVRI มีการประเมินด้วย 28 หัวข้อชี้วัด ภายใต้ 4 ด้านหลัก คือ นโยบายและกฎหมาย เทคโนโลยีและนวัตกรรม โครงสร้างพื้นฐาน และการยอมรับของผู้บริโภค และการจัดอันดับล่าสุดในปี 2020 สิงคโปร์ได้ถูกจัดอันดับให้เป็นประเทศที่มีความพร้อมในการใช้รถยนต์ไร้คนขับมากที่สุด เบียดเนเธอร์แลนด์ที่เคยอยู่ที่หนึ่งมาสองปีติดกัน

หากมาพิจารณาในรายละเอียด สิงคโปร์ได้คะแนนอันดับหนึ่งในด้านนโยบายและกฎหมาย และการยอมรับของผู้บริโภค โดยสิงคโปร์ได้เริ่มต้นจากการจัดตั้ง Committee on Autonomous Road Transport for Singapore (CARTS) ในปี 2014 เพื่อกำหนดแนวทางและเป้าหมายในการปรับใช้รถยนต์ไร้คนขับ

ต่อมาในปี 2016 รัฐบาลได้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีนันยางจัดตั้ง Centre of Excellence for Testing and Research of AVs-NTU (CETRAN) เพื่อเป็นศูนย์ทดสอบและให้การรับรองรถยนต์อัตโนมัติ ได้มีการออกแบบสนามทดสอบโดยจำลองสภาพถนนในสิงคโปร์ รวมถึงจำลองสถานการณ์สภาพฝนตกและน้ำท่วมขังเพื่อให้การทดสอบใกล้เคียงกับสภาพความเป็นจริงมากที่สุด

ในปี 2019 องค์การขนส่งทางบกของสิงคโปร์ (Land Transport Authority : LTA) ได้ออกมาตรฐานรถยนต์ไร้คนขับ ที่เรียกว่า Technical Reference 68 (TR68) เพื่อกำหนดเป็นแนวทางการพัฒนายานยนต์อัตโนมัติ โดยครอบคลุมถึงพฤติกรรมโดยทั่วไปของยานพาหนะ มาตรฐานความปลอดภัย ความปลอดภัยทางด้านไซเบอร์ และมาตรฐานรูปแบบข้อมูล จากการออกมาตรฐานนี้ส่งผลดีต่อภาคธุรกิจเพราะเป็นการลดความเสี่ยงว่าเทคโนโลยีที่ตนเองลงทุนศึกษาค้นคว้าไปนั้นจะไม่ถูกกำหนดเป็นมาตรฐานในการใช้งานจริง

และความพร้อมในการใช้รถยนต์ไร้คนขับนั้นต้องมีพื้นฐานมาจากการใช้รถยนต์ไฟฟ้า ดังนั้นทางรัฐบาลสิงคโปร์ได้มีการกำหนดนโยบายส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้า โดยกำหนดให้ยกเลิกใช้รถยนต์ที่มีเครื่องยนต์สันดาปภายในหรือรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงภายในปี 2040 และมีนโยบายส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้าโดยผู้ที่ซื้อรถยนต์ไฟฟ้าภายในปี 2023 รัฐบาลสนับสนุนส่วนลดสูงสุดถึงคันละ 20,000 ดอลลาร์สิงคโปร์หรือราว 489,000 บาท ซึ่งเป็นส่วนลดประมาณ 11% ของมูลค่ารถ นอกจากนั้นยังให้ส่วนลดภาษีการใช้ถนนสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า และมีนโยบายขยายจุดชาร์จไฟจาก 1,600 จุดเป็น 28,000 จุดภายในปี 2030

ส่วนการทดสอบวิ่งนั้นในขณะนี้มาถึงขั้นตอนการทดสอบวิ่งบนถนนสาธารณะ โดยในปี 2021 ได้เริ่มใช้รถเมล์อัตโนมัติให้บริการในสองเส้นทางในฝั่งตะวันตกของประเทศ และมีเป้าหมายจะวิ่งทดสอบในเส้นทางฝั่งตะวันตกทั้งหมด สาเหตุที่เลือกทดสอบในฝั่งตะวันตกนั้นเนื่องจากเป็นเขตเมืองใหม่ซึ่งมีประชาการอาศัยอยู่หนาแน่นน้อยกว่าและสภาพการจราจรที่คล่องตัวกว่าทางฝั่งตะวันออกของประเทศ

ในส่วนการยอมรับของผู้ใช้งานเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จต่อการปรับใช้รถยนต์อัตโนมัติ ซึ่งสิงคโปร์ถูกจัดเป็นผู้นำในด้านนี้ โดยมีสาหตุมาจากการทดสอบวิ่งในหลายพื้นที่ส่งผลให้ประชาชนคุ้นชินกับรถยนต์อัตโนมัติ และชาวสิงคโปร์เองมีความคุ้นเคยกับการใช้งานระบบ ICT และมีทักษะสูงทางด้านดิจิตอล นอกจากนั้นชาวสิงคโปร์ยังนิยมการใช้งานแอปพลิเคชันเรียกรถยนต์ ซึ่งเป็นพื้นฐานในการเข้าถึงรถยนต์อัตโนมัติสาธารณะตามความต้องการ

จากตัวอย่างของประเทศสิงคโปร์ สามารถนำมาเป็นกรณีศึกษาที่ดีของแนวทางการปรับใช้รถยนต์อัตโนมัติ เริ่มจากมีหน่วยงานที่ชัดเจนในการวางแผนและติดตามผลการดำเนินงาน การกำหนดนโยบายการส่งเสริมที่ชัดเจนทั้งในด้านงบประมาณสำหรับการวิจัย การกำหนดมาตรฐานต่าง ๆ เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ภาคธุรกิจ รวมถึงการส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้าซึ่งเป็นพื้นฐานของรถยนต์อัตโนมัติ และการพัฒนาทักษะทางด้านดิจิตอลของประชาชนในประเทศซึ่งจะส่งผลต่อการยอมรับการใช้รถยนต์อัตโนมัติ

.

เขียนโดย : อาจารย์ ศรัณย์ ดั่นสถิตย์
อาจารย์ประจำหลักสูตรการจัดการโลจิสติกส์ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตศรีราชา 


ขอบคุณข้อมูลที่มา
https://home.kpmg/xx/en/home/insights/2020/06/autonomous-vehicles-readiness-index.html
https://www.lta.gov.sg/content/ltagov/en/newsroom/2019/1/2/joint-media-release-by-the-land-transport-authority-lta-enterprise-singapore-standards-development-organisation-singapo.html
https://www.straitstimes.com/singapore/transport/singapore-budget-2020-push-to-promote-evs-in-move-to-phase-out-petrol-and-diesel
https://www.lta.gov.sg/content/ltagov/en/newsroom/2020/2/news-releases/Supporting_cleaner_and_greener_vehicles.html
https://techwireasia.com/2019/03/how-the-ltas-tr68-fuelled-singapores-autonomous-vehicle-agenda/
https://www.straitstimes.com/singapore/transport/pay-to-ride-on-driverless-buses-in-two-areas-until-april-30
https://www.lta.gov.sg/content/ltagov/en/industry_innovations/technologies/autonomous_vehicles.html

กระทรวงศึกษาธิการจีนสั่งเพิ่มความเข้มงวดตรวจสอบวุฒิการศึกษาจากหลายสถาบัน รวมทั้ง มหาวิทยาลัยเกริกของไทย หากไม่ได้รับการรับรองจะทำให้ปริญญาบัตรไม่สามารถใช้เรียนต่อและทำงานในประเทศจีนได้

ศูนย์นักศึกษาต่างชาติ กระทรวงศึกษาธิการจีน ออกประกาศเมื่อวันที่ 3 ก.ย. ระบุว่าได้รับการร้องเรียนจำนวนมากว่า ในช่วงการระบาดของโรคโควิด สถาบันการศึกษาในต่างประเทศหลายแห่งได้เปิดหลักสูตรการเรียนออนไลน์ที่มีคุณภาพต่ำเพื่อดึงดูดนักศึกษา

เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของนักศึกษาชาวจีนที่ไปเรียนในต่างประเทศ และการดำเนินการที่เหมาะสมของตลาดการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการจีนจะเพิ่มความเข้มในการตรวจสอบวุฒิการศึกษาจากมหาวิทยาลัยดังต่อไปนี้

1. Sekolah Tinggi Ilmu Ekonomi IBMT อินโดนีเซีย

2. University of Perpetual Help System Dalta ฟิลิปปินส์

3. มหาวิทยาลัยเกริก ประเทศไทย

4. Universidad Rey Juan Carlos สเปน

กระทรวงศึกษาธิการจีนจะเพิ่มระยะเวลาในการตรวจสอบวุฒิการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเหล่านี้ โดยใช้เวลาไม่เกิน 60 วันทำการ โดยจะตรวจสอบเอกสารและสถานภาพที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นอิสระ

ต้นฉบับประกาศ http://www.cscse.edu.cn/web/xsy/411032/504070/index.html

ก่อนหน้านี้ มีรายงานข่าวว่า มหาวิทยาลัยเกริก ถูกซื้อกิจการโดยกลุ่มทุนจากประเทศจีน เพื่อขยายหลักสูตรนานาชาติโดยมีนักศึกษาชาวจีนเป็นกลุ่มเป้าหมาย ขณะที่หลักสูตรของนักศึกษาไทยก็ยังทำการเรียนการสอนตามปกติ

ขณะนี้ รัฐบาลจีนมีนโยบายจัดระเบียบธุรกิจด้านการศึกษา โดยสั่งระงับกิจการโรงเรียนกวดวิชาจำนวนมาก และกำลังขยายผลมายังการศึกษาในต่างประเทศ ซึ่งมหาวิทยาลัยหลายแห่งเปิดหลักสูตรเพื่อดึงดูดนักศึกษาจีน โดยไม่ได้มาตรฐาน

ก่อนหน้านี้ กระทรวงศึกษาธิการจีนได้มีคำสั่งระงับการรับรองวุฒิการศึกษาของ North Borneo University College ประเทศมาเลเซีย และสั่งเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบวุฒิการศึกษาจากมหาวิทยาลัยในประเทศเบราลุส


ที่มา: https://mgronline.com/china/detail/9640000087937

กาฬสินธุ์ – รวมพลังคนจิตอาสา เก็บขยะแหลมโนนวิเศษ ปลูกจิตสำนึกนักท่องเที่ยว พร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวช่วงปลดล็อกร้านอาหารนั่งทานได้

ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม พร้อมคณะคนจิตอาสารวมพลังรณรงค์จัดเก็บขยะบริเวณแหลมโนนวิเศษ และสะพานเทพสุดา เขื่อนลำปาวแหล่งท่องเที่ยวขึ้นชื่อของจังหวัดกาฬสินธุ์ เพื่อปลูกจิตสำนึกให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวกินแล้วอย่าทิ้งขยะ พร้อมมีส่วนร่วมอนุรักษ์ธรรมชาติรักษาทัศนียภาพ พร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวช่วงปลดล็อกร้านอาหารนั่งทานได้

ที่บริเวณแหลมโนนวิเศษ และบริเวณสะพานเทพสุดา เขื่อนลำปาว  ต.โนนบุรี อ.สหัสขันธ์ จ.กาฬสินธุ์ นายวิรัช พิมพะนิตย์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายณัฐวัชต์ พิมพะนิตย์ หรือ สจ.เบ๊นซ์ รองประธานสภา อบจ.กาฬสินธุ์  นายกีรฒิการย์ พิมพะนิตย์ เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วน จ.กาฬสินธุ์ นายบุญมี แก่นนาคำ นายกเทศมนตรีตำบลโนนบุรี พร้อมด้วยประชาชนจิตอาสากลุ่มรสนิยม กู้ภัยกุดหว้าจิตอาสา และประชาชนร่วมกันจัดกิจกรรมรณรงค์เก็บขยะ พลาสติก เศษวัสดุ ของมีคม เพื่อให้มีความสะอาด ปลอดภัย ซึ่งเป็นการบูรณาการทุกภาคส่วน ในการปลูกจิตสำนึกรักษาความสะอาด สร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับแหล่งท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อของ จ.กาฬสินธุ์ ทั้ง 2 แหล่ง โดยเฉพาะบริเวณแหลมโนนวิเศษ ซึ่งได้ขึ้นชื่อว่าเป็นทะเลมรกตอีสาน และสะพานเทพสุดา ซึ่งสะพานข้ามน้ำจืดที่ยาวที่สุดในประเทศ

นายวิรัช พิมพะนิตย์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า จ.กาฬสินธุ์ มีสถานที่ท่องเที่ยวทั้งเชิงธรรมชาติ ศิลปวัฒนธรรมและอีกหลายด้าน ช่วงที่ผ่านมาซึ่งประสบสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 ทำให้บรรยากาศการท่องเที่ยวซบเซาไป อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมีแนวโน้มสถานการณ์โควิดเริ่มคลี่คลาย และทางศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. ได้ประกาศปลดล็อกร้านค้า ร้านอาหาร ให้สามารถนั่งรับประทานได้ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายนที่ผ่านมา แต่ก็ต้องปฏิบัติตามมาตรการอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้พบว่าผู้ประกอบการเริ่มเปิดกิจการค้าขายและต้อนรับลูกค้า โดยเฉพาะตามแหล่งท่องเที่ยว เช่น แหลมโนนวิเศษ สะพานเทพสุดา เขื่อนลำปาว

นายวิรัช กล่าวอีกว่า หลังจากประกาศดังกล่าวออกมา เพื่อให้บรรยากาศการท่องเที่ยวกลับมาคึกคัก และสร้างความตระหนักในการช่วยกันรักษาความสะอาด ในการต้อนรับนักท่องเที่ยว จึงได้ร่วมกับเทศบาลตำบลโนนบุรี ประชาชน และกู้ภัยจิตอาสา ตัวแทนผู้ประกอบการร้านค้า ร่วมกันจัดกิจกรรมทำความสะอาดบริเวณแหลมโนนวิเศษ ใกล้สะพานเทพสุดา เพื่อเป็นการปลูกจิตสำนึก ร่วมกันรณรงค์รักษาความสะอาด และประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยว ในช่วงปลดล็อกร้านอาหารนั่งทานได้ และเป็นการเตรียมความพร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยว หลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายลง  โดยมีการจัดเก็บขยะ เศษวัสดุ ของมีคม และขอความร่วมมือนักท่องเที่ยว ที่นำอาหารมานั่งทาน ให้นำถุงใส่อาหาร กล่องโฟม กลับไปด้วย  ทั้งนี้เพื่อช่วยกันรักษาความสะอาดดังกล่าว

ด้านนายบุญมี แก่นนาคำ นายกเทศมนตรีตำบลโนนบุรี อ.สหัสขันธ์ จ.กาฬสินธุ์ กล่าวว่า  ในพื้นที่ตำบลโนนบุรี และพื้นที่ใกล้เคียง มีแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญหลายแห่ง เช่น แหลมโนนวิเศษ สะพานเทพสุดา พิพิธภัณฑ์สิรินธร วัดสักวันภูกุ้มข้าว จุดชมวิวภูสิงห์ วัดพุทธนิมิตภูค่าว เป็นต้น ซึ่งสถานที่ท่องเที่ยวดังกล่าว สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวมาเที่ยวชมตลอดปี

นายบุญมีกล่าวอีกว่า ในส่วนของการเตรียมการรับนักท่องเที่ยว ในช่วงนี้และต่อเนื่องถึงอนาคต หลังสถานการณ์โควิด-19 ก็จะได้ตระเตรียมความพร้อมในหลายๆด้าน เช่น การจัดการเก็บขยะที่ถูกต้องตามหลักสุขาภิบาล การจัดระเบียบร้านค้า ร้านอาหาร รวมทั้งการรักษาความปลอดภัย อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือการมีวินัย ใส่ใจความสะอาด ซึ่งต้องขอความร่วมมือจากนักท่องเที่ยว และประชาชน เพื่อการเป็นเจ้าบ้านที่ดี และสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับแหล่งท่องเที่ยว เพื่อที่จะสร้างความประทับใจให้กับนักท่องเที่ยว และกลับมาท่องเที่ยวอีก

ชลบุรี - ต้องรุกสู้! นายก อบจ.ชลบุรี ตรวจเยี่ยมการให้บริการวัคซีนซิโนฟาร์ม เร่งกระจายให้ประชาชนเร็วที่สุด

บริเวณศาลาประชาคมอ่าวอุดม ตำบลทุ่งสุขลา อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี นายวิทยา คุณปลื้ม นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดชลบุรี พร้อมด้วยสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดชลบุรี ได้ร่วมกันลงพื้นตรวจเยี่ยมการให้บริการวัคซีนซิโนฟาร์ม ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดชลบุรี (อบจ.ชลบุรี) ที่ได้จัดหาวัคซีนทางเลือกในการป้องกันโรคโควิด-19 เพื่อให้เกิดระบบภูมิคุ้มกันหมู่ และเพื่อเป็นการเสริมแนวทางการกระจายวัคซีนหลักจากทางรัฐบาล

ในวันนี้ได้กำหนดกระจายวัคซีนต่อ ให้กับประชาชนที่ลงทะเบียนกับเครือข่าย อบจ.ชลบุรี โดยกำหนดใช้พื้นที่ศาลาประชาคมอ่าวอุดม ซึ่งเป็นสถานที่ให้บริการวัคซีนซิโนฟาร์ม กับประชาชน โดยพบว่าเจ้าหน้าที่ส่วนงานต่าง ๆ ได้ปฏิบัติหน้าที่อำนวยความสะดวก ท่ามกลางมาตรการป้องกันและควบคุมโรคระบาด อย่างเคร่งครัด

นายวิทยา คุณปลื้ม นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดชลบุรี เปิดเผยว่า ทางอบจ.ชลบุรี จะได้พยายามกระจายวัคซีนซิโนฟาร์ม ให้ทั่วทั้งจังหวัด โดยอำเภอศรีราชา ถือเป็นพื้นที่หนึ่งที่พบการแพร่ระบาดอย่างต่อเนื่อง และเป็นกลุ่มเสี่ยงในการแพร่ระบาด เนื่องด้วยเป็นพื้นที่เมืองท่องเที่ยว

อบจ.ชลบุรี ได้ประสานไปยังองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในทุกอำเภอ เพื่อจะได้จัดสรรและกระจายวัคซีนได้อย่างทั่วถึงให้เร็วที่สุด  


ภาพ/ข่าว  นิราช / นันทพล ทิพย์ศรี ก012 ชลบุรี

สตูล - บริการฉีดวัคซีนแบบ boat drive through ให้ชาวเลกลุ่ม 608 นับเป็นแห่งแรกของประเทศไทย

วันนี้ 6 กันยายน 2564 เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2564 ที่ผ่านมา ที่ท่าเรือตำมะลัง อำเภอเมืองสตูล  จังหวัดสตูล ทีมแพทย์โรงพยาบาลสตูล สาธารณสุขอำเภอเมือง และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ลงพื้นที่ให้บริการฉีดวัคซีนแบบ boat drive through ให้กับกลุ่ม 608 (ผู้สูงอายุ, ผู้ป่วย 7 โรคเรื้อรัง, หญิงตั้งครรภ์ตั้งแต่ 12 สัปดาห์ขึ้นไป) ซึ่งเป็นชาวเลอูรักลาโว้ย ที่เดินทางมาจาก ตำบลตำมะลัง ตำบลปูยู รวม 2 ตำบล 6 หมู่บ้าน เข้ารับการฉีดวัคซีน

นายยาลา ใบกาเด็ม นายอำเภอเมืองสตูล กล่าวว่า พื้นที่ ตำบลตำมะลัง มี 3 หมู่บ้าน มีกลุ่มเป้าหมาย 608 ทั้งหมด 834 คน ฉีดวัคซีนแล้ว 197 คน ส่วนที่ตำบลปูยู มี 3 หมู่บ้าน มีกลุ่มเป้าหมาย 608 ทั้งหมด 467 คน ฉีดวัคซีนแล้ว 46 คน สำหรับการลงพื้นที่ฉีดวัคซีนให้กับกลุ่มเป้าหมาย 608 วันนี้ มีผู้ลงทะเบียนมาแล้ว 80 คน และกลุ่มเป้าหมาย walk in เข้ามาเพิ่ม 10 คน ก็จะได้รับการฉีดวัคซีนเช่นกัน เนื่องจากวันนี้ทีมแพทย์ได้เตรียมวัคซีนมาสำหรับฉีดกลุ่มเป้าหมาย 608  ซึ่งวันนี้มีผู้เข้ารับบริการฉีดวัคซีนจากตำบลตำมะลัง ตำบลปูยู และลงไปให้บริการเชิงรุกในกลุ่มผู้ป่วยติดเตียงที่บ้าน จำนวน 95 คน ซึ่งทั้งหมดนี้ มีคนพิการ และผู้ป่วยติดเตียง อยู่ด้วย 5 คน

โดยมีนายเอกรัฐ หลีเส็น ผู้ว่าราชการจังหวัดสตูล,นาวาตรีหญิงโนสมา หลีเส็น นายกเหล่ากาชาดจังหวัดสตูล ประชาสัมพันธ์จังหวัดสตูล พร้อมสื่อมวลชนได้ไปให้กำลังใจด้วย


ภาพ/ข่าว  นิตยา แสงมณี / ผู้สื่อข่าวประจำจังหวัดสตูล

การศึกษาโลกอนาคต อีกนานไหม(ไทย)ถึงพร้อม | เปิด(ปม)ภาคการศึกษา EP.5

จากวิกฤตเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่เข้ามาเขย่าวงการการศึกษา เรียกได้ว่าแตกกระจุยไม่ว่าจะเป็น การเรียนออนไลน์ การปรับหลักสูตรและวิธีการสอน รวมไปถึง Mindset ของครูอาจารย์และผู้ปกครอง

หลายคนสามารถปรับตัวได้ แต่ก็มีอีกหลายคนท่ีไม่ได้เป็นเช่นนั้น ปัจจุบันประเทศไทย อยู่จุดไหนของโลก ชมจากคลิปนี้พร้อมๆ กันเลย‼️

.

.

ปันน้ำใจส่งข้าวกล่องปันอิ่ม ช่วยคนเลี้ยงช้างอโยธยา หลังรายได้วูบหายช่วงวิกฤติโควิด ขณะที่พันธมิตรจิตอาสา เดินหน้าข้ามจังหวัดช่วยคนในพื้นที่สีแดง โดยไม่มีวันหยุด

จากเหตุการณ์ช้างพังคำหล้าอายุ 89 ปี ช้างจากปางช้างอโยธยา ต.ไผ่ลิง  อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา ล้มป่วยจนไม่สามารถลุกขึ้นยืนได้ จึงต้องใช้เชือกรัดที่ลำตัว แล้วคล้องกับรถแม็คโครขนาดใหญ่ ของเทศบาลเมืองอโยธยา เพื่อช่วยพยุงดึงร่างให้ลุกขึ้นยืนทรงตัวอยู่ได้ สาเหตุขาดอาหารกินที่ไม่เพียงพอ ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ประกอบกับมีอายุมาก ตามที่ได้เสนอข่าวไปแล้วนั้น 

วันที่ 5 กันยายน​ 2564 ที่หมู่บ้านช้างอโยธยา นายสมชาย จรรยา อุปนายก สมาคมผู้สื่อข่าวและช่างภาพอาชญากรรมแห่งประเทศไทย พร้อมด้วย นายเกียรติยศ ศรีสกุล ประธานชมรมช่างภาพสื่อมวลชนพระนครศรีอยุธยา และผู้แทนมูลนิธิสหชาติ นำข้าวกล่องพร้อมทาน จาก ”ครัวปันอิ่ม” พร้อมหน้ากากผ้า และสเปรย์ฉีดแอลกอฮอล์ มอบแก่ควาญช้าง และครอบครัว เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจ ได้มีแรงต่อสู้ที่กับวิกฤติโควิด-19 

น.ส.บุณยาพร บุญเกิด พนักงานต้อนรับหมู่บ้านช้าง เปิดเผยว่า ช่วงสถานการณ์ Covid-19 ระบาด ตลาดน้ำอโยธยา ปิดให้บริการ ทำให้ผู้ดูแลช้างไม่มีรายได้ นักท่องเที่ยวไม่ได้มาเที่ยว ขาดทุนทรัพย์ในการซื้ออาหารมาเลี้ยงช้าง แต่ยังมีผู้ใจบุญนำอาหารมาเลี้ยงอยู่บ้าง ก็ยังไม่เพียงพอ เนื่องจากช้างมีหลายเชือก ต้องนำอาหารมาแบ่งปันกัน จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้พังคำหล้า ได้รับอาหารไม่เพียงพอ และขาดสารอาหาร ทำให้หมดแรงและล้มป่วยลง และนอกจากช้างแล้ว ผู้ที่ได้รับผลกระทบหนักสุดคือ คนเลี้ยงช้าง หรือ ควาญช้าง ที่มีครอบครัวอยู่หลายคน ขาดรายได้ จึงวิงวอนผู้เกี่ยวข้องช่วยลงมาดูพวกเขาด้วย  

ด้าน นางสอน คำสุข อายุ 85 ปี เจ้าของช้างพังคำหล้า กล่าวว่า วันนี้พังคำหล้าได้ลุกขึ้นยืนด้วยตัวเองได้ หลังจากที่ได้รับอาหารจากผู้ใจบุญที่นำมาบริจาคให้ได้กิน ช่วงโควิดจะนำพังคำหล้าไปปล่อยให้กินหญ้าซึ่งได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ จนร่างกายผอมโซล้มป่วยลง พรุ่งนี้ได้รับแจ้งจะมีเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์จะมาตรวจเช็คร่างกายให้

วันเดียวกัน ที่ศาลาประชาคม หมู่ 3 ต.แคตก อ.บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา นายสมชาย จรรยา อุปนายก สมาคมผู้สื่อข่าวและช่างภาพอาชญากรรมแห่งประเทศไทย พร้อมด้วยตัวแทนนักศึกษา หลักสูตรประกาศนียบัตรสิทธิมนุษยชนสำหรับนักบริหารระดับสูง รุ่น 1 (ปสม.) สถาบันพระปกเกล้า นำโดย นางถวิล เพิ่มเพียรสิน อดีตรองอธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน นางสาวพรทิพย์ เตชะสมบูรณา กรรมการผู้จัดการ กลุ่มบริษัทในเครือ เวิลด์เมดิคอลซัพพลาย จำกัด นายภูริวัจน์ ปุณยวุฒิปรีดา กรรมการผู้จัดการ บจก.เอสพีวี ปิโตรเลียม นายประเสริฐ เพิ่มเพียรสิน และนางสุกัญญา จรรยา ผู้จัดการ มูลนิธิสหชาติ ร่วมส่งมอบข้าวกล่องพร้อมทาน “ครัวปันอิ่ม ร้อยเรียงใจ สู้ภัยโควิด-19” ของเครือซีพี พร้อมถุงยังชีพส่งความสุขและความห่วงใย  อาทิ ข้าวสาร ปลากระป๋อง น้ำปลา มาม่า ไข่ น้ำดื่ม หน้ากากผ้า สเปรย์ฉีดแอลกอฮอล์ และเครื่องตรวจวัดออกซิเจนปลายนิ้ว มอบแด่ชาวบ้านชุมชนหมู่ 3 ต.แคตก ซึ่งเป็นพื้นที่สีแดง ที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติโควิด โดยมีนายแพทย์ ศุภกร จิบสมานบุญ ผู้อำนวยการศูนย์โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลแคตก พร้อมด้วยผู้ใหญ่บ้าน และชาวบ้านร่วมรับมอบ 

ทางด้านนายแพทย์ศุภกร จิบสมานบุญ เปิดเผยว่า ตำบลแคตกมีประชากร 1,200 คน และมีผู้ติดเชื้อโควิด 40 คน โดยได้ทำการรักษาจนหาย แล้วกลับไปทำงานบ้างแล้ว สำหรับมาตรการป้องกันได้เชิญชวนประชาชนทุกคนไปรับการฉีดวัคซีน ซึ่งส่วนใหญ่ได้รับวัคซีนกันมากแล้ว อีกทั้งยังรณรงค์ให้ทุกคนตระหนักการ์ดอย่าตก กินร้อนช้อนกลาง และขอขอบพระคุณ ผู้ใหญ่ใจดี กลุ่มพันธมิตรจิตอาสา ที่นำสิ่งขอมาแบ่งปันความสุขถึงท้องถิ่นห่างไกลในครั้งนี้ 

​​​​​​

การตั้งคำถาม กระตุ้นให้พวกเขามีโอกาสแสดงความเป็นตัวตน มอบพื้นที่แห่งความสบายใจและรู้สึกปลอดภัยในการแสดงออก เพื่อให้พวกเขาได้ค้นพบคุณค่าในตัวเอง และค้นหาทางออกด้วยตัวของเขาเอง

การตั้งคำถามที่ทรงพลัง (Powerful Questioning) คือ การตั้งคําถามที่ช่วยให้คู่สนทนาสามารถจัดการความคิดยุ่งเหยิงของตนเองให้เป็นระบบระเบียบ และเมื่อความคิดความรู้สึกถูกจัดเรียงใหม่แล้ว เขาจะมีความพร้อมในการตั้งเป้าหมาย ประเมินสถานการณ์ มองหาทางเลือกต่างๆ และตัดสินใจเลือกวิธีการเดินหน้าต่อได้ชัดเจน 

การตั้งคำถามที่ทรงพลัง เป็นทักษะสำคัญที่ใช้ในการโค้ชเพื่อสนับสนุนให้คนรุ่นใหม่ที่สนใจอยากสร้างการเปลี่ยนแปลงผ่านการทำโครงการ/กิจการเพื่อสังคม แต่ยังไม่รู้จะเริ่มอย่างไร หรือใช้สื่อสารกับผู้ที่กำลังสับสน ให้ได้ค้นพบคำตอบและแนวทางต่อด้วยตนเอง

1. คำถามกระตุ้นวิสัยทัศน์และเป้าหมาย 

วัยรุ่นค่อนข้างสับสนในตัวเอง เพราะมีข้อมูลรอบด้าน เพื่อช่วยให้วัยรุ่นได้เข้าใจตัวเอง มีเป้าหมายในชีวิตที่ชัดเจนมากขึ้น จะได้มองเห็นภาพอนาคต จะได้มีความชัดเจนในตัวเอง ด้วยการตั้งคำถามกระตุ้นให้พวกเขาได้รู้จักข้อดีข้อเสีย โอกาสและอุปสรรคของตัวเอง จะได้ตั้งเป้าหมายในชีวิตที่แคบลง  เช่น

 “วันนี้เราจะคุยเรื่องอะไรกันดี” 
“คิดว่าทักษะอะไรสำคัญบ้าง”
“สุดท้ายต้องการเห็นอะไร หลังจากที่จบการคุยกัน”
“จากจุดนี้ต้องการไปให้ถึงจุดไหน”
“คิดว่านิสัยส่วนไหนของเราที่อาจเป็นอุปสรรคต่อความสำเร็จในเป้าหมายนะ”
“คิดว่านิสัยส่วนไหนที่เป็นจุดแข็งของเรานะ”

2. คำถามชวนตระหนักถึงความจริงที่เกิดขึ้น

ในเวลาที่ข้อมูลเยอะ เกิดความสับสนในชีวิต มักทำให้คนรุ่นใหม่เกิดความลังเลสงสัย เกิดจินตนาการและการคาดการณ์ต่างๆ นานา เพื่อช่วยให้คนรุ่นใหม่เข้าถึงความจริงที่อยู่ตรงหน้า ช่วยตรวจสอบมุมมองของข้อมูลให้รอบด้านมากขึ้น “ข้อมูลที่พบ มีที่มาจากแหล่งใด” (ช่วยตรวจสอบความน่าเชื่อถือของข้อมูล) ด้วยการตั้งคำถามให้พวกเขาตระหนักและยืนอยู่บนพื้นฐานตามความจริง พร้อมช่วยประเมินสถานการณ์เบื้องต้น เช่น

“มีใครหรือหน่วยงานใดบ้างที่ทำงานในประเด็นนี้อยู่บ้างนะ”
“เกี่ยวกับเรื่องนี้เกิดผลลัพธ์หรือผลกระทบกับคุณอย่างไรบ้าง”
“คิดว่ามีส่วนไหนบ้างที่ไม่จำเป็นในเบื้องต้น”
“ที่ผ่านมามีตรงจุดไหนบ้างที่เราพลาดไปไม่ได้ทำ”

3. คำถามชวนค้นหาทางเลือก

เมื่อช่วยให้วัยรุ่นมีจุดตั้งต้นอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริงแล้ว ขั้นต่อไปคือการชวนคิดถึงโอกาสและทางเลือกต่างๆ โดยกลับไปเทียบกับเป้าหมายที่ตั้งไว้ เช่น

– ถามเพื่อกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์และเปิดพื้นที่ให้เขาได้ทดลองคิดถึงความเป็นไปได้ต่างๆ เช่น 

“คิดว่ามีไอเดียหรือทางเลือกใดบ้าง ที่จะช่วยแก้ไขสถานการณ์ปัจจุบัน”
“เราจะพัฒนาสิ่งที่เรามีได้อย่างไรนะ”
“เกี่ยวกับเรื่องนี้เลวร้ายที่สุดคือเรื่องใด”
“หากมีคนที่อยู่ในสถานการณ์เหมือนเราตอนนี้ คุณจะแนะนำเขาว่าอย่างไร”
 “คุณจะมีแผนรับมือกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับแต่ละทางเลือกอย่างไรบ้าง”

ขั้นตอนนี้จะเป็นตัวสรุปการพูดคุย โดยเราอาจช่วยให้วัยรุ่นทบทวนสิ่งที่คุยกัน ตั้งแต่เป้าหมายที่ตั้งไว้ ความเป็นจริงที่ผ่านมา และทางเลือกต่างๆ เพื่อให้คิดวิเคราะห์ และตัดสินใจเลือกว่าจะเลือกทางใดดี ซึ่งเราอาจเพิ่มคำถามเพื่อย้ำบทสรุปให้เห็นแผนที่ชัดเจนขึ้น เช่น “คิดว่าจะพร้อมลงมือทำตามไอเดียที่เลือกเมื่อไรดี” หรือ “สรุปว่าเราจะทำอะไรกันต่อบ้าง” เป็นต้น
 
4. ทำความเข้าใจก่อนค่อยถามต่อ 

ระหว่างการพูดคุย หากพบว่ามีข้อมูลบางอย่างที่ไม่แน่ใจว่าเราเข้าใจตรงกับวัยรุ่นหรือไม่ อย่างไร ให้จัดการเคลียร์ความเข้าใจนั้นให้กระจ่างก่อน เช่น ศัพท์เฉพาะ ให้อธิบายให้เข้าใจ หรือ เรื่องนามธรรมให้เปรียบเทียบเปรียบเปรยให้เห็นได้ชัดๆ ด้วยการพูดว่า

 “ตรงนี้นิดหนึ่งนะ…ที่คุณพูดว่า….(ทวบทวนสิ่งที่เราได้ยิน)”
“ที่คุณพูดว่า……(บอกสิ่งที่เราเข้าใจ)…ว่าใช่หรือไม่”
“นิดหนึ่ง….(บอกสิ่งที่เราเข้าใจ)….ไม่ทราบว่าเข้าใจตรงกันไหมคะ”

ซึ่งหากผลออกมาว่าเราเข้าใจไม่ตรงกับเป้าหมายของวัยรุ่น ขอแนะนำให้จดบันทึกไว้ว่า ประเด็นหลักที่วัยรุ่นต้องการสื่อสารแต่แรกคือเรื่องใด และขณะนี้เราต้องหยุดพักซักครู่เพื่อทำความเข้าใจเรื่องใดก่อน เพื่อป้องกันการคุยหลุดประเด็น

เคล็ดลับอยู่ตรงที่ การตั้งคำถามกระตุ้นให้พวกเขาได้มีโอกาสแสดงความเป็นตัวตน มอบพื้นที่แห่งความสบายใจและรู้สึกปลอดภัยในการแสดงออก เพื่อให้พวกเขาได้ค้นพบคุณค่าในตัวเอง และค้นหาทางออกด้วยตัวของเขาเอง เราแค่เป็นตัวกลางที่ช่วยให้เขาเข้าถึงความจริงในตัวเองให้ได้ 

เขียนโดย อ.นิธิมา กุญชร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาบุคลากร โปรเฟสชั่นนอล เทรนเนอร์
#Talktonitima


อ้างอิง
https://www.schoolofchangemakers.com/knowledge/11291/
https://www.hcdcoaching.com/17020389/ทักษะการถาม-questioning-skill

รวมพลังพันธมิตรจิตอาสา ปันน้ำใจ คลายทุกข์ 'ชาวชุมชนคลองเตย-สื่อภาคสนาม' ร่วมสู้ภัยโควิดก้าวผ่านวิกฤติไปด้วยกัน

(4 ก.ย.​ 64) ที่ลานหน้าสำนักงานมูลนิธิรวมน้ำใจ ถนนพระราม 4 เขตคลองเตย นางสาวสุดทินี แสงดี ประธานชุมชนริมคลองสามัคคี คลองเตย นางมาเรียม ป้อมดี ประธานชุมชนพัฒนาใหม่ พร้อมด้วยคณะกรรมการชุมชน และอาสาสมัครป้องกันภัยเขตคลองเตย ร่วมรับมอบอาหาร "ครัวปันอิ่ม ร้อยเรียงใจสู้ภัยโควิด-19" เพื่อส่งต่อให้ผู้พักอาศัยในชุมชนได้ปันอิ่ม โดยจัดแบ่งเป็น 3 ส่วน เพื่อแจกจ่ายให้กับชุมชนริมคลองสามัคคี ชุมชนพัฒนาใหม่ และอาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน (อปพร.) เขตคลองเตย  

โดยมี นายสมชาย จรรยา อุปนายก สมาคมผู้สื่อข่าวและช่างภาพอาชญากรรมแห่งประเทศไทย นำทีมพันธมิตรจิตอาสา จากองค์กรต่างๆ อาทิ มูลนิธิสหชาติ กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ เว็บไซต์ข่าว จั่นเจา canchaonews.com หนังสือพิมพ์ ดีดี โพตส์นิวส์ ร่วมส่งมอบสิ่งของเครื่องใช้ในการบรรเทาทุกข์ อาทิ ข้าวกล่องปันอิ่มหลากหลายเมนู ขนมครัวซอง หน้ากากผ้า หน้ากากอนามัย พร้อมสเปรย์ฉีดแอลกอฮอล์ 

นางสาวสุดทินี แสงดี เปิดเผยว่า ชุมชนของเรามีผู้พักอาศัย 700 คน ตั้งแต่เกิดการแพร่ระเบิดเชื้อโควิด มีผู้ติดเชื้อ 170 คน และทำการรักษาจนหายดี ปัจจุบันเหลือเพียง 10 คน ส่วนการดูแลเป็นไปตามระบบของสาธารณสุข ขอขอบคุณพันธมิตรจิตอาสา และเครือซีพี ที่ร่วมแบ่งปันห่วงใย มอบความสุขช่วยคลายทุกข์ ให้คนในชุมชนแห่งนี้ 

ด้าน นายสมชาย จรรยา เปิดเผยว่า พันธมิตรจิตอาสาเดินหน้าลงพื้นที่ชุมชนต่างๆอย่างต่อเนื่อง ไม่มีวันหยุด ในการทำหน้าที่เป็นสะพานบุญ นำสิ่งของเครื่องใช้ ที่ได้รับการสนับสนุนจ อาทิ ขนมครัวซองต์ จากร้าน Susan Croissant เอกมัย สเปรย์ฉีดแลกอฮอล์ กองพิทักษ์สิทธิเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม หน้ากากผ้า มูลนิธิสหชาติ รวมทั้งอาหารพร้อมทานจาก ”น้องเทนนิส” ที่ส่งกำลังใจผ่านข้าวกล่อง “ครัวปันอิ่ม ร้อยเรียงใจ สู้ภัยโควิด-19” ผนึกกำลังบริษัทในเครือซีพี และห้างสรรพสินค้า โลตัส ส่งถึงมือผู้ได้รับความเดือดร้อน ผู้ที่ต้องแยกกักตัวที่บ้าน เพื่อได้มีอาหารที่ดีได้รับประทาน 

นอกจากนี้ พันธมิตรจิตอาสา ยังบรรเทาทุกข์คนสื่อภาคสนามที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 มอบสิ่งของเครื่องใช้ เครื่องตรวจออกซิเจนปลายนิ้วแก่นายสุรเชษฐ ศิลานนท์ ผู้สื่อข่าว หนังสือพิมพ์พิมพ์ไทย และมอบอาหารให้กับคุณยายและหลาน ที่ได้รับความเดือดร้อน ยืนเช็ดกระจกรถเวลาติดไฟแดงบริเวณหน้ากรมศุลกากร

พิชิต 'จิตตก' ช่วงโควิด!! กับ ‘คุณนิรมล’ นักกิจกรรมบำบัด I LOCK LENS GURU EP.44

LOCK LENS GURU รายการที่จะพาทุกคนมาเจาะลึกประเด็นที่น่าสนใจ ไปกับ 'กูรู' ตัวจริง 

???? พบกับ กูรู ‘กบ.นิรมล ประทุมรัตน์’
นักกิจกรรมบำบัด ฝ่ายเวชศาสตร์ฟื้นฟูและกายภาพบำบัด โรงพยาบาลธนบุรี 1

???? ดำเนินรายการโดย เจ THE STATES TIMES

ติดตามผลงานเพิ่มเติมได้ที่ : https://thestatestimes.com/post/2021073102

.

.

.


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
- ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
- รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
- สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
- แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก???? https://lin.ee/vfTXud9

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง จัดพิธีทิ้งกระจาดครั้งยิ่งใหญ่ สู้ภัยมหาวิกฤตโควิด-19

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง จัดพิธีทิ้งกระจาดครั้งยิ่งใหญ่ สู้ภัยมหาวิกฤตโควิด-19 ยกทัพคาราวานเครื่องอุปโภคบริโภค รวมมูลค่า 15 ล้านบาท ลงพื้นที่แจกจ่ายแก่ประชาชนในพื้นที่ 50 เขตกรุงเทพฯ 

(4 ก.ย.​ 64) ณ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง โดย นายวิเชียร เตชะไพบูลย์ ประธานกรรมการฯ เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย ดร.สุทัศน์ เตชะวิบูลย์ รองประธานกรรมการ นางศิริกุล โอภาสวงศ์ กรรมการและเลขาธิการ และคณะกรรมการมูลนิธิฯ ร่วมในพิธีปล่อยคาราวานเครื่องอุปโภคบริโภค ประกอบด้วย ข้าวสาร บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ปลากระป๋อง น้ำมันพืช น้ำปลา น้ำพริก เจลแอลกอฮอล์ บรรจุถุงผ้าดิบ พร้อมเงินสดที่ในปีนี้กลุ่มบริษัท นันยางเท็กซ์ไทล์ จำกัด ได้ร่วมบริจาคทำบุญ นำออกแจกจ่ายให้กับประชาชนในเขตกรุงเทพมหานคร (รวม 50 เขต) เขตละ 500 ชุด รวมจำนวน 25,000 ชุด รวมมูลค่าเป็นเงินทั้งสิ้น 15 ล้านบาท

โดยมี นายชวลิต ตวงสิทธิสมบัติ ประธานบริษัท นันยางเท็กซ์ไทล์ จำกัด นายชาติชาย กุละนำพล ผู้อำนวยการเขตป้อมปราบศัตรูพ่าย นายพันธ์ศักดิ์ เจริญสุข ผู้อำนวยการเขตสาทร นายยุทธนา ป่าไม้ ผู้อำนวยการเขตภาษีเจริญ  พ.ต.อ มนัส รุ่งนาค ผู้กำกับสถานีตำรวจพลับพลาไชย 1  พ.ต.อ.พนม เชื้อทอง ผู้กำกับสถานีตำรวจพลับพลาไชย 2 พร้อมด้วย อาสาสมัครกิตติมศักดิ์ อาสาสมัครศิลปิน อาสาสมัครกู้ภัย และแขกผู้มีเกียรติ ร่วมในพิธีปล่อยคาราวาน ณ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง พลับพลาไชย กรุงเทพฯ

นายวิเชียร เตชะไพบูลย์ ประธานกรรมการมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง เปิดเผยว่า ในปีนี้ ด้วยวิกฤตการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา (COVID-19) ที่รุนแรง มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้เพิ่มชุดเครื่องอุปโภคบริโภคจากปีที่แล้วอีก 10,000 ชุด การแจกจ่ายเครื่องอุปโภคบริโภคในปีนี้ มูลนิธิฯ ได้ประสานงานกับสำนักงานเขตทุกเขต ในการจัดเตรียมสถานที่และชุมชนในพื้นที่ เพื่อจัดระเบียบ ตั้งจุดคัดกรองประชาชนในแต่ละจุดตามหลักการในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) รวมทั้งจัดกำลังอาสาสมัครมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ในทุกๆ จุด ทั่วกรุงเทพมหานคร รวมถึงจัดเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิฯ เพื่อเป็นตัวแทนผู้มีจิตศรัทธาในการลงพื้นที่แจกจ่ายสิ่งของ 

งานประเพณีทิ้งกระจาด เป็นงานบุญประเพณีสำคัญของชาวพุทธที่ปฏิบัติสืบทอดกันมาแต่สมัยพุทธกาลกว่าสองพันปี กำหนดจัดขึ้นในเดือน 7 ตามจันทรคติของจีน เป็นการทำบุญใหญ่ด้วยการอุทิศส่วนกุศลให้ดวงวิญญาณผู้ล่วงลับไปแล้วพร้อมกับการแจกทานให้ผู้ยากไร้ เป็นงานบุญที่ครบพร้อมทั้งการทำบุญและทำทาน โดยมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งได้บำเพ็ญบุญประเพณีนี้ต่อเนื่องมาเป็นประจำทุกปีกว่า 80 ปี 

ตลอดระยะเวลากว่า 110 ปี มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ขอขอบคุณผู้มีจิตศรัทธาทุกท่านที่ได้ช่วยกันบริจาค และสนับสนุนกิจกรรมสาธารณกุศลของมูลนิธิฯ ตลอดมา ทำให้มูลนิธิฯ สามารถขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ  ศาสนา เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาคุณภาพชีวิตอีกในหลายๆ ทาง รวมถึงการพัฒนาด้านการศึกษา เพื่อเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนครบวงจรในทุกๆ ด้าน ต่อไป ดังปณิธานมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง “ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต”

#ป่อเต็กตึ๊ง ยึดมั่นอุดมการณ์ อยู่เคียงข้างทุกวิกฤต

“มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต”

#มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง110ปีความดีที่ยั่งยืน

#แอปพลิเคชัน และ #สายด่วน ป่อเต็กตึ๊ง1418

#ช่วยจริงอุ่นใจแม้ในนาทีฉุกเฉิน

'เฉลิมชัย'​ ระบุผลคะแนนไว้วางใจ สะท้อนความเป็นปึกแผ่นของพรรคร่วม วอน!! ให้แก้ไขปัญหาประเทศให้จบไปก่อน ช่วยกันทำให้โควิดเบาลงให้ได้

(4 ก.ย. 64)​ ที่อาคารรัฐสภา​ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้สัมภาษณ์ภายหลังได้รับคะแนนเสียงไว้วางใจสูงที่สุดในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ว่า... 

"ก็ต้องถือว่ารัฐบาลได้รับการไว้วางใจทั้งหมด ส่วนคะแนนที่ออกมา ต้องขอไปตรวจสอบคะแนนดูก่อน คิดว่าคะแนนที่ออกมาอย่างนี้ถือว่าพรรคร่วมรัฐบาลยังเป็นปึกแผ่น และทุกคนผ่านการตรวจสอบครั้งนี้ทั้งหมด" 

ส่วนที่ผู้สื่อข่าวระบุว่า จากการที่นายเฉลิมชัย ได้คะแนนไว้วางใจมากที่สุด และมีเสียงสนับสนุนจากโลกโซเชียลให้เป็นนายกรัฐมนตรีนั้น นายเฉลิมชัย รู้สึกประหลาดใจ และฝากขอบคุณ พร้อมกับปฏิเสธว่าไม่หรอก ซึ่งคะแนนที่ออกมาในวันนี้ก็เป็นภาพที่ชัดเจนว่ารัฐบาลยังเป็นปึกแผ่น เหนียวแน่น และเชื่อมั่นในตัวนายกรัฐมนตรี 

สำหรับการที่มีบางส่วนเรียกร้องให้ยุบสภานั้น นายเฉลิมชัย ระบุว่า ก็ต้องดูสถานการณ์ทุกอย่างว่าเหมาะสม หรือสมควรหรือไม่ ตรงนี้ท่านนายกฯ ท่านมีวิจารณญาณอยู่แล้ว ถ้าจะถามยุบสภาตนก็ตอบไม่ได้ เพราะไม่ใช่อำนาจของตน แต่คิดว่าวันนี้ควรแก้ไขปัญหาประเทศให้จบไปก่อน ช่วยกันทำให้โควิดมันเบาลงให้ได้ หรืออยู่ในสถานการณ์ปกติให้ได้ แล้วสถานการณ์อื่นๆ ก็ว่ากันอีกเรื่องนึง แต่ก็ยืนยันว่าวันนี้พรรคร่วมรัฐบาลเป็นปึกแผ่น

ผู้สื่อข่าวสอบถามความรู้สึกถึงการถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ ทั้งที่ไม่น่าจะถูกอภิปรายในครั้งนี้ นายเฉลิมชัย ตอบว่า ก็ดี ได้มีโอกาสชี้แจง เพราะบางครั้งถ้ามีเรื่องอะไรที่ยังคาใจอยู่ แล้วเราไม่มีโอกาสได้ชี้แจง มันก็จะยังคาใจอยู่อย่างนั้น แต่ถ้าเราได้ชี้แจงโดยชัดเจนแล้ว มันก็จะมีคำตอบให้คนฟังเขาได้คิดดูว่าอะไรถูกอะไรผิด 

​​​​​

'สกพอ.'​ ร่วมมือ 'อบจ.ระยอง -​ เครือข่ายวิสาหกิจชุมชนแปลงใหญ่'​ เร่งเครื่องพัฒนาไม้ผลครบวงจร

ตามโครงการ EFC แผนพัฒนาการเกษตรพื้นที่อีอีซี นำร่องชาวสวนทุเรียนผลิตได้ตรงตลาด รักษาคุณภาพรสชาติด้วยห้องเย็นทันสมัย จัดระบบขายได้ตลอดปี สร้างรายได้สูงให้เกษตรกร

วันที่ 4 กันยายน 2564 นายชาญนะ เอี่ยมแสง ผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง และ ดร.คณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) ร่วมเป็นประธานและสักขีพยาน การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือพัฒนาไม้ผลอย่างครบวงจร ในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก 
(อีอีซี) ภายใต้โครงการระเบียงผลไม้ภาคตะวันออก (Eastern Fruit Corridor : EFC) และแผนพัฒนาการเกษตรในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก โดยมี นางสาวพจณี  อรรถโรจน์ภิญโญ รองเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) นายปิยะ ปิตุเตชะ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดระยอง (อบจ.ระยอง) และนายโชติชัย  บัวดิษ ประธานเครือข่ายวิสาหกิจชุมชนแปลงใหญ่ไม้ผลจังหวัดระยอง ร่วมลงนาม ณ ห้องประชุม 3 องค์การบริหารส่วนจังหวัดระยอง

โดยบันทึกข้อตกลงฯ ครั้งนี้ จะช่วยยกระดับผลไม้ไทย ให้มีคุณภาพมาตรฐานพรีเมียมระดับสากล ตั้งแต่การเพาะปลูกจนถึงการทำตลาดด้วยนวัตกรรมใหม่ ตรงความต้องการตลาดผู้บริโภครายได้สูง และสนับสนุนโครงการระบบห้องเย็นตามโครงการ EFC ให้เกิดขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ มีความร่วมมือสำคัญ ๆ 4 ด้าน ได้แก่... 

1) สนับสนุนกลุ่มเกษตรกรไม้ผล ได้พัฒนาทักษะการประยุกต์ใช้นวัตกรรมในการผลิต แปรรูป การค้าการตลาดยุคใหม่อย่างครบวงจร สร้างโอกาสเข้าถึงทรัพยากร เพิ่มอำนาจต่อรองตลอดช่วงการผลิตสินค้า

2) ยกระดับคุณภาพมาตรฐานผลไม้ไทย สร้างความเชื่อมั่นผู้บริโภคตลาดในและต่างประเทศ รักษาเสถียรภาพราคา ลดความเสี่ยงให้เกษตรกร

3) พัฒนาการเก็บรักษา ยืดอายุผลผลิตให้คุณภาพ รสชาติเดิมได้นาน ด้วยการใช้ประโยชน์ระบบห้องเย็น (Blast Freezer & Cold Storage)

4) ส่งเสริมการวิจัยและต่อยอดการแปรรูปไม้ผลมูลค่าสูง ร่วมกับพันธมิตร ให้ตรงความต้องการตลาด และสนับสนุนด้านการตลาดสมัยใหม่อย่างครบวงจร

ทั้งนี้ ระยะแรกกลุ่มที่เข้าร่วมลงนามเพื่อผลิตทุเรียนพรีเมียม จะมีเครือข่ายกลุ่มวิสาหกิจแปลงใหญ่ 16 กลุ่ม เกษตรกรประมาณ 700 ราย พื้นที่ประมาณ 8,200 ไร่ โดยจะผลิตทุเรียนได้ประมาณปีละ 13,000 ตันต่อปี และจะขยายเครือข่ายสมาชิกให้มากขึ้น จากความร่วมมือของ อบจ.และเกษตรจังหวัดที่สนับสนุนร่วมกัน รวมทั้งขยายผลเพิ่มเติมในกลุ่มไม้ผลอื่นๆ ต่อไป

ดร.คณิศ แสงสุพรรณ กล่าวว่า สาระสำคัญการลงนามความร่วมมือ ครั้งนี้ จะสอดคล้องกับโครงการ EFC ที่เป็นโครงการหลักของแผนพัฒนาเกษตรในอีอีซี ประกอบด้วย 4 ส่วนสำคัญ คือ การสร้างสินค้าให้มีคุณภาพตามความต้องการตลาด โดย สกพอ. มุ่งเน้นตลาดกลุ่มลูกค้าทุเรียนพรีเมียม การวางระบบการค้าสมัยใหม่ ผ่านระบบ e-Commerce และ e-Auction ผลผลิตที่ส่งออกต้องตรวจสอบและย้อนกลับได้ สร้างมูลค่าให้ทุเรียนของภาคตะวันออก การลงทุนห้องเย็นด้วยเทคโนโลยีทันสมัย เก็บรักษาให้มีความสดใหม่ และการจัดระบบสมาชิกชาวสวนผลไม้ สหกรณ์ที่เข้าร่วม ให้พัฒนาผลผลิตให้ได้คุณภาพพรีเมียม

โดยการผลิตทุเรียนของไทย คาดว่าในช่วง 3-4 ปีข้างหน้า จะสูงถึง 2 ล้านตัน ปัจจุบันผลผลิตจากระยอง​ คิดเป็น 10% หรือกว่า 1 แสนตันต่อปี และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งระบบห้องเย็น ภายใต้โครงการ EFC จะสามารถจัดเก็บผลผลิต เพื่อขายในช่วงนอกฤดูเก็บเกี่ยวหรือช่วงขาดแคลนได้ โดยจะจัดเก็บทุเรียนได้ประมาณ 4,000 ตันต่อรอบ ซึ่งหากจัดการอย่างมีประสิทธิภาพจะจัดเก็บได้มากกว่า 10,000 ตันต่อปี ช่วยรักษาความสด คงรสชาติ สร้างเสถียรภาพทางราคา สามารถส่งออกทุเรียนออกขายช่วงเทศกาลสำคัญ ที่มีความต้องการเป็นจำนวนมาก ขายได้ราคาสูง หรือกำหนดราคาเองได้ รวมทั้งรองรับกลุ่มนักท่องเที่ยวไทยและต่างประเทศให้กินทุเรียนของระยองได้ตลอดปี สร้างรายได้เพิ่มให้เกษตรกรอย่างยั่งยืน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top