Monday, 7 July 2025
SPECIAL

ในปัจจุบันที่โลกมีเทคโนโลยีก้าวหน้ามากขึ้น ส่วนประกอบสำคัญที่จะเป็นแรงผลักดัน ชิ้นส่วนต่าง ๆ ต้องมีการค้นพบและวิจัยอย่างมาก อย่าง “สินแร่โลหะ (Rare Earth)” ที่เป็นองค์ประกอบสำคัญในเทคโนโลยีต่าง ๆ ประเทศไทยยังเป็นประเทศสำคัญในการผลิตอีกด้วย

การผลิตสินแร่โลหะหายากเพิ่มมากขึ้นอีกครั้งในปี ค.ศ. 2020 โดยเพิ่มขึ้นเป็น 240,000 เมตริกตัน (MT) ทั่วโลก ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 220,000 MT ในปี ค.ศ. 2019 และ 190,000 MT ในปี ค.ศ. 2018

องค์ประกอบสำคัญของเทคโนโลยีที่ใช้อยู่ในชีวิตประจำวัน ปัจจุบัน “สินแร่โลหะหายาก” จึงกลายเป็นอาวุธที่ใช้ต่อสู้กันทางเศรษฐกิจ ในสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ “สินแร่โลหะหายาก” (Rare Earth) ถูกใช้อย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรมและผลิตภัณฑ์ในชีวิตประจำวัน เช่น สมาร์ทโฟน แบตเตอรี่ เส้นใยแก้วนำแสง และแม่เหล็ก ทั้ง ๆ ที่มีจำนวนอยู่อย่างมากมายในระดับเปลือกของโลก แต่ด้วยคุณสมบัติทางธรณีเคมี ทำให้สินแร่โลหะหายากนั้นอยู่กันอย่างกระจัดกระจาย และไม่เข้มข้นพอที่จะสกัดออกมาได้ในราคาถูก

กระบวนการที่สกัดสินแร่โลหะหายากออกจากหินนั้นเป็นเรื่องยากมาก เพราะธาตุต่าง ๆ ในก้อนหินนั้นมีประจุไฟฟ้าเดียวกัน และมีขนาดใกล้เคียงกัน ซึ่งในการสกัดและทำบริสุทธิ์สินแร่โลหะหายากนั้น ต้องใช้ขั้นตอนต่าง ๆ หลายพันขั้นตอน ในตารางธาตุของวิชาเคมีจะเห็นชื่อของสินแร่โลหะหายากปรากฏในอนุกรมแลนทาไนด์ (Lanthanide Series) จำนวน 15 ธาตุ ได้แก่ 
แลนทานัม (Lanthanhanum) 
ซีเรียม (Cerium) 
พราซีโอดิเมียม (Praseodymium) 
นีโอไดเมียม (Neodymium) 
โปรเมเธียม (Promethium) 
ซามาเรียม (Samarium) 
ยูโรเปียม (Europium) 
กาโดลิเนียม (Gadolinium) 
เทอร์เบียม (Terbium) 
ดิสโพรเซียม (Dysprosium) 
โฮลเมียม (Holmium) 
เออร์เบียม (Erbium) 
ธูเลียม (Thulium) 
อิทเทอร์เบียม (Ytterbium) 
ลูเทเทียม (Lutetium) 

และยังมีอีก 2 ธาตุ คือ สแกนเดียม (Scandium) และอิทเทรียม (Yttrium) ซึ่งไม่ได้อยู่ในอนุกรมนี้ แต่จัดเป็นสินแร่โลหะหายากเช่นกัน เพราะมักพบในองค์ประกอบแร่เดียวกับที่พบในธาตุแลนทาไนด์ และแสดงคุณสมบัติทางเคมีคล้ายคลึงกัน

สินแร่โลหะหายากนั้นเป็นโลหะจึงมีคุณสมบัติพิเศษหลาย ๆ อย่าง เช่น ทนความร้อนสูงจัดได้เยี่ยม มีคุณสมบัติแม่เหล็กแรงสูง นำไฟฟ้าได้ดี และเป็นมันเงา ซึ่งเหมาะสำหรับนำไปประยุกต์ใช้ในผลิตภัณฑ์ได้หลากหลาย อีกทั้งยังเป็นธาตุหลักที่ใช้ผลิตสารประกอบเพื่อผลิตวัสดุในชีวิตประจำวัน เช่น หลอดแอลอีดี (LED) เส้นใยแก้วนำแสง หลอดฟลูออเรสเซนต์ ตัวเร่งปฏิกิริยา สารประกอบเพื่อควบคุมมลพิษทางอากาศ

สำหรับสินแร่โลหะหายากที่ถูกนำไปใช้ในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เป็นประจำ ได้แก่ แลนทานัม ซีเรียม นีโอดีเมียม ซามาเรียม ยูโรเปียม เทอร์เบียม และดิสโพรเซียม และความต้องการสินแร่โลหะหายากนี้ก็เพิ่มขึ้นตามปริมาณความต้องการใช้อุปกรณ์ที่ต้องพึ่งพาสินแร่โลหะหายาก โดยข้อมูลจากอุตสาหกรรมการสื่อสารทางไกลนานาชาติ เผยว่า เมื่อปี ค.ศ. 1998 มีการใช้โทรศัพท์มือถือที่ต้องอาศัยแบตเตอรีที่ใช้สินแร่โลหะหายากเพียง 5.3% ของจำนวนประชากรทั้งโลก แต่เมื่อถึงปี ค.ศ. 2017 ปริมาณโทรศัพท์เพิ่มขึ้นเป็น 103.4% ด้วยประชากรส่วนหนึ่งมีโทรศัพท์มากกว่าคนละ 1 เครื่อง

จากการประเมินของ สำนักงานสำรวจทางธรณีวิทยาสหรัฐฯ (United States Geological Survey) ในปี ค.ศ. 2018 ทั่วโลกมีสินแร่โลหะหายากประมาณ 120 ล้านตัน ในจำนวนนั้นเป็นของจีน 44 ล้านตัน บราซิล 22 ล้านตัน และรัสเซีย 18 ล้านตัน

การผลิตแร่หายากยังต้องใช้พลังงานและทรัพยากรในปริมาณมหาศาล และการเร่งขุดแร่หายาก เพื่อตอบสนองความต้องสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ ๆ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ นั้น ยังส่งผลให้เกิดการตัดไม้ทำลายป่า รวมถึงมลพิษทางน้ำด้วย
ความต้องการโลหะเพิ่มขึ้นเนื่องจากพลังงานหมุนเวียนมีความสำคัญมากขึ้นทั่วโลก สินแร่โลหะหายากอย่างนีโอไดเมียม (อยู่ในประเภทมีโครงสร้างสารประกอบเป็นธาตุที่หายาก เรียกกันอีกชื่อหนึ่งว่า แร่แลนทาไนด์ ซึ่งแร่โลหะชนิดนี้มีโครงสร้างที่แข็งแกร่งทนทาน และมีคุณสมบัติเป็นแม่เหล็กชนิดถาวรในตัวเอง เมื่อนำมาผ่านกระบวนการพัฒนาปรับเปลี่ยนรูปทรงให้กลายเป็นแม่เหล็กแรงสูงนีโอไดเมียมขนาดต่าง ๆ สามารถนำไปใช้งานที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นด้านเครื่องยนต์กลไก สำหรับอุตสาหกรรม หรืองานด้านวิศวกรรมไฟฟ้า เครื่องเสียง คอมพิวเตอร์ และพราซีโอไดเมียม ซึ่งมีความสำคัญในการใช้งานพลังงานสะอาดและอุตสาหกรรมไฮเทค อยู่ในความสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์ไฮบริดได้รับความนิยม

ปัจจัยอื่น ๆ เช่น ความตึงเครียดอย่างต่อเนื่องระหว่างสหรัฐฯ และจีน กำลังทำให้ความสนใจในแร่หายาก เนื่องจากจีนเป็นผู้ผลิตวัสดุรายใหญ่ที่สุดของโลก ความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างประเทศต่าง ๆ จึงมุ่งความสนใจไปที่ปัญหาห่วงโซ่อุปทานในอุตสาหกรรมแร่หายาก

ด้วยเหตุนี้ จึงควรทราบตัวเลขการผลิตสินแร่โลหะหายากสิบประเทศที่ผลิตสินแร่โลหะหายากที่สุดในปี 2020 ตามข้อมูลล่าสุดจาก US Geological Survey

1.) ประเทศจีน กำลังการผลิตจากเหมือง : 140,000 ตัน ประเทศจีนเป็นประเทศที่ใหญ่ที่สุดในการผลิตสินแร่โลหะหายาก ดังที่กล่าวไว้ ประเทศจีนได้ครอบครองการผลิตแร่หายากเป็นเวลาหลายปี ในปี 2020 ผลผลิตในประเทศ 140,000 ตันเพิ่มขึ้นจาก 132,000 ตันในปีที่แล้ว

จีนเป็นประเทศที่ผลิตสินแร่โลหะหายากได้เป็นอันดับหนึ่งของโลก โดยผลิตได้มากกว่า 95% ของปริมาณที่ผลิตได้ทั่วโลก และสหรัฐฯ ก็นำเข้าสินแร่โลหะหายากจากจีนมากถึง 80% ทั้งที่ก่อนหน้านี้เมื่อประมาณ 30 ปีก่อน สหรัฐฯ และอีกหลายประเทศก็ผลิตสินแร่โลหะหายากได้ จนกระทั่งถึงช่วงทศวรรษ 1990 ที่จีนเริ่มพัฒนาการผลิตสินแร่โลหะหายากอย่างจริงจัง ทำให้หลายประเทศไม่สามารถผลิตได้ถูกกว่าจนต้องล้มเลิกกิจการไป

ผู้ผลิตจีนต้องปฏิบัติตามระบบโควตาสำหรับการผลิตแร่หายาก โควตาครึ่งปีสำหรับการขุดแร่หายากในปี ค.ศ. 2021 ตั้งไว้ที่ 84,000 ตัน (เพิ่มขึ้น 27.2% จากปีก่อนหน้า) ในขณะที่โควตาสำหรับการถลุงแร่และการแยกส่วนอยู่ที่ 81,000 ตัน (เพิ่มขึ้น 27.6 เปอร์เซ็นต์จากปีก่อนหน้า) ที่น่าสนใจคือ ระบบนี้ทำให้จีนกลายเป็นผู้นำเข้าแร่หายากอันดับต้น ๆ ของโลกในปี ค.ศ. 2018

ระบบโควตาเป็นการตอบสนองต่อปัญหาอันยาวนานของจีนเกี่ยวกับการขุดแร่หายากที่ผิดกฎหมาย ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ประเทศได้ดำเนินการตามขั้นตอนเพื่อทำความสะอาด รวมถึงการปิดเหมืองสินแร่โลหะหายากที่ผิดกฎหมายหรือไม่เป็นไปตามข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อม และการจำกัดการผลิตและการส่งออกแร่หายาก

รอยเตอร์ระบุว่า จีนเป็นผู้นำโลกในการส่งออกสินแร่โลหะหายาก ส่วนหนึ่งมาจากการกล้าเผชิญความเสี่ยงด้านผลกระทบสิ่งแวดล้อมเนื่องจากมีผลพลอยได้เป็นขยะพิษ และกากแร่ก็ยังปล่อยรังสีที่เป็นอันตราย ซึ่งเป็นปัจจัยที่ ทำให้บางประเทศยุติการขุดสินแร่โลหะหายากของประเทศออกมา โดยปัจจุบัน มีบริษัทของรัฐ 6 รายรับผิดชอบอุตสาหกรรมสินแร่โลหะหายากของจีน ในทางทฤษฎีจึงทำให้จีนสามารถจัดการกับการผลิตได้อย่างแข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม การสกัดแร่หายากอย่างผิดกฎหมายยังคงเป็นเรื่องท้าทาย และรัฐบาลจีนยังคงดำเนินการตามขั้นตอนเพื่อควบคุมกิจกรรมนี้

2.) สหรัฐอเมริกา กำลังการผลิตจากเหมือง : 38,000 ตัน สหรัฐอเมริกาผลิตแร่หายาก 38,000 ตันในปี ค.ศ. 2020 เพิ่มขึ้นจาก 28,000 ตันในปี ค.ศ. 2019

แหล่งแร่หายากในสหรัฐอเมริกาในปัจจุบันส่วนใหญ่มาจากเหมือง Mountain Pass ในมลรัฐแคลิฟอร์เนียเท่านั้น ซึ่งกลับไปสู่การผลิตในไตรมาสที่ 1 ของปี ค.ศ. 2018 หลังจากได้รับการดูแลและบำรุงรักษาในไตรมาสที่ 4 ปี ค.ศ. 2015 Molycorp ดำเนินการก่อนที่มันจะล้มละลาย และถูกซื้อโดย Oaktree Capital Management และปัจจุบันกลายเป็น Neo Performance Materials 

สหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำเข้าวัสดุโลหะหายากรายใหญ่ โดยมีความต้องการสารประกอบและโลหะมูลค่า 110 ล้านดอลลาร์ในปี ค.ศ. 2020 ซึ่งลดลงจาก 160 ล้านดอลลาร์ในปี ค.ศ. 2019 สหรัฐฯ ได้จำแนกสินแร่หายากให้เป็นแร่ธาตุที่สำคัญ ซึ่งเป็นความแตกต่างที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้อันเนื่องจากปัญหาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน

3.) เมียนมาร์ (พม่า) กำลังการผลิตจากเหมือง : 30,000 ตัน เมียนมาร์ขุดแร่หายากได้ 30,000 ตันในปี 2020 เพิ่มขึ้นจาก 22,000 ตันในปีที่แล้ว 

มีข้อมูลเพียงเล็กน้อยเกี่ยวกับแหล่งแร่โลหะหายาก และโครงการขุดแร่ของประเทศ แต่เมียนมาร์ มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับจีน โดยในปี ค.ศ. 2020 เมียนมาร์ได้จัดหาวัตถุดิบสำหรับโลหะหายากขนาดกลางถึงหนัก 50 เปอร์เซ็นต์ของจีน การทำรัฐประหารโดยกองทัพเมียนมาร์ในปี ค.ศ. 2021 ทำให้เกิดความกังวลว่าการนำเข้าแร่หายากเหล่านั้นอาจถูกตัดออก แต่ ณ ต้นเดือนมีนาคม ค.ศ. 2021 ยังไม่มีปรากฏการหยุดชะงักทางการค้าของสินแร่หายากในเมียนมาร์แต่อย่างใด

4.) ออสเตรเลีย กำลังการผลิตจากเหมือง : 17,000 ตัน การผลิตแร่หายากในออสเตรเลียเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ในปี ค.ศ. 2020 ผลผลิตลดลงเหลือ 17,000 MT จาก 20,000 MT ในปี ค.ศ. 2019

ออสเตรเลียเป็นประเทศที่มีแหล่งแร่หายากที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 6 ของโลก และพร้อมที่จะเพิ่มผลผลิต Lynas ซึ่งมีฐานอยู่ในออสเตรเลีย (ASX:LYC,OTC Pink:LYSCF) ดำเนินการเหมือง Mount Weld และโรงงานผลิตความเข้มข้นในประเทศ และเพิ่งประกาศแผนการที่จะเพิ่มการผลิตผลิตภัณฑ์นีโอไดเมียม-แพรซีโอไดเมียมเป็น 10,500 ตันต่อปีภายในปี ค.ศ. 2025

Northern Minerals (ASX:NTU) เปิดเหมืองแร่โลหะหายากหนักแห่งแรกของออสเตรเลียในปี ค.ศ. 2018 ผลิตภัณฑ์หลัก ได้แก่ เทอร์เบียมและดิสโพรเซียม ซึ่งใช้ในเทคโนโลยีเช่น แม่เหล็กถาวร

5.) มาดากัสการ์ กำลังการผลิตจากเหมือง : 8,000 ตัน มาดากัสการ์บันทึกการสกัดแร่หายาก 8,000 ตันในปี ค.ศ. 2020 เพิ่มขึ้นสองเท่าของปีก่อน มีโครงการโลหะหายากแทนทาลัสซึ่งมีออกไซด์ของโลหะหายาก 562,000 ตัน

6.) อินเดีย กำลังการผลิตจากเหมือง : 3,000 ตัน ในฤดูใบไม้ร่วงปี ค.ศ. 2014 Indian Rare Earths และ Toyota Tsusho Exploration ได้ทำข้อตกลงเกี่ยวกับการสำรวจและผลิตแร่หายากผ่านการขุดในทะเลลึก

แม้จะมีข้อตกลงนี้ แต่อุตสาหกรรมการผลิตแร่หายากของอินเดียยังต่ำกว่าศักยภาพมาก ประเทศถือครองแร่ทรายชายหาดเกือบร้อยละ 35 ของโลก ซึ่งเป็นแหล่งแร่หายากที่สำคัญ แต่การผลิตในปี ค.ศ. 2020 ในอินเดียมีเพียง 3,000 ตัน เพิ่มขึ้นเพียง 100 ตันจากปี ค.ศ. 2019

7.) รัสเซีย กำลังการผลิตจากเหมือง : 2,700 ตัน รัสเซียผลิตแร่หายาก 2,700 ตันในปี ค.ศ. 2020 ซึ่งเป็นระดับเดียวกับเมื่อสองปีก่อน รัฐบาลของประเทศถูกกล่าวหาว่า "ไม่พอใจ" กับการจัดหาแร่หายาก มีรายงานว่ารัสเซียกำลังลดภาษีการขุดและเสนอสินเชื่อลดราคาให้กับนักลงทุนในโครงการ 11 โครงการที่มีจุดประสงค์เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งการผลิตแร่หายากทั่วโลกของประเทศจากปัจจุบัน 1.3% เป็น 10 เปอร์เซ็นต์ภายในปี ค.ศ. 2030

8.) ประเทศไทย กำลังการผลิตจากเหมือง : 2,000 ตัน การผลิตแร่หายากของประเทศไทยเพิ่มขึ้นเป็น 2,000 ตันในปี ค.ศ. 2020 เพิ่มขึ้นจาก 1,900 ตันในปี ค.ศ. 2019 และ 1,000 ตันในปี ค.ศ. 2018 ปัจจุบันยังไม่ทราบปริมาณสำรองแร่หายากของประเทศ แต่ประเทศนี้ยังคงเป็นผู้ผลิตสินแร่โลหะหายาก 10 อันดับแรกนอกประเทศจีน

9.) เวียดนาม กำลังการผลิตจากเหมือง : 1,000 ตัน การผลิตแร่หายากของเวียดนามลดลงจาก 1,300 ตันในปี ค.ศ.2019 เป็น 1,000 ตันในปี ค.ศ. 2020 ผลผลิตสำหรับปีนั้นเทียบเท่ากับการผลิตแร่หายากในบราซิล ซึ่งหมายความว่าทั้งสองจริง ๆ แล้วทั้งสองอยู่ในอันดับที่เก้า

มีรายงานว่าประเทศดังกล่าว เป็นแหล่งสะสมแร่หายากหลายแห่งที่มีปริมาณมากแถบบริเวณชายแดนทางตะวันตกเฉียงเหนือกับจีน และตามแนวชายฝั่งตะวันออก เวียดนามสนใจที่จะเสริมสร้างกำลังการผลิตในพลังงานสะอาด ซึ่งรวมถึงแผงโซลาร์เซลล์ และได้รับการกล่าวขานว่ากำลังมองหาการผลิตแร่หายากมากขึ้นสำหรับห่วงโซ่อุปาทานของตนด้วยเหตุผลดังกล่าว

10.) บราซิล กำลังการผลิตจากเหมือง : 1,000 ตัน ย้อนกลับไปในปี ค.ศ. 2012 มีการค้นพบแหล่งแร่หายากมูลค่า 8.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในบราซิล จนถึงตอนนี้ ดูเหมือนว่า ยังไม่มีการทำเหมืองดังกล่าว แม้ว่าในปี ค.ศ. 2020 ปริมาณแร่หายากที่ขุดได้ในประเทศเพิ่มขึ้นเล็กน้อย โดยเพิ่มขึ้นจาก 710 MT ในปี ค.ศ. 2019 เป็น 1,000 MT ในปี ค.ศ. 2020 ซึ่งมีปริมาณการผลิตเท่ากับเวียดนาม

สำหรับประเทศไทยของเรานั้นในอดีต “แร่ดีบุก” เป็นทรัพยากรสำคัญที่สร้างรายได้หลักให้กับภูเก็ตมาตลอด แต่ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2524 ราคาดีบุกในตลาดโลกเริ่มต่ำลง การค้าดีบุกจึงซบเซา พร้อม ๆ กับปริมาณ “ดีบุก” ที่มีการขุดพบมีปริมาณลดลง ระหว่างที่อุตสาหกรรมการผลิตและการค้าดีบุกชะลอตัว ก่อนหน้านั้นชาวภูเก็ต ได้รับรู้และพบว่า 'ขี้ตะกรันดีบุก' หรือ 'สะแหลกดีบุก' เป็นแร่ที่สามารถขายได้ในราคาดี เพราะมีแร่โคลัมไบต์-แทนทาไลต์ ซึ่งเป็นแร่ยุทธปัจจัยใช้สำหรับทำยานอวกาศ หรือหัวจรวดนำวิถี ตลอดจนขีปนาวุธต่าง ๆ ทั้งนี้เพราะมีคุณสมบัติพิเศษที่ทนต่อความร้อนที่เกิดจากการเผาไหม้เสียดสีของอากาศได้สูงมาก แร่โคลัมไบต์-แทนทาไลต์ มีราคากิโลกรัมละ 60-70 บาท และเมื่อนำมาผ่านกระบวนการสกัดต่อจนได้ “แร่แทนทาลัม” จะมีราคาสูงกว่าแร่แทนทาไลต์หรือขี้ตะกรันดีบุกประมาณ 40-50 เท่า 

เมื่อชาวบ้านทราบว่า “ขี้ตะกรัน” เป็นของมีราคาจึงแตกตื่น ส่งผลให้บรรดานายทุนต่าง ๆ ยื่นประมูลต่อทางการ โดยขอขุดถนนเก่า ๆ ทุกสายในตัวเมืองภูเก็ต โดยมีข้อตกลงว่า เมื่อขุดเสร็จแล้วจะสร้างถนนใหม่ทดแทน ส่วนบ้านที่ปลูกสร้างอยู่บนเตาถลุงที่มีขี้ตะกรันฝังอยู่มาก ๆ ก็จะถูกรื้อหรือทุบพื้นทิ้งเพื่อขุดเอาขี้ตะกรันดังกล่าวขึ้นมา ในขณะนั้นคนภูเก็ตสามารถทำรายได้จากการขุดขาย “ขี้ตะกรันดีบุก” หรือรับจ้างขุด สูงถึงวันละ 180 บาท (ขณะที่ค่าแรงขั้นต่ำในขณะนั้นอยู่ที่วันละห้าสิบกว่าบาท)

ผลจากการตื่นตัวใน “แร่แทนทาลัม” ส่งผลให้เกิดแนวคิดที่จะสร้าง “โรงงานถลุงแทนทาลัม” ขึ้น โดยในวันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2522 บริษัท ไทยแลนด์ แทนทาลัม อินดัสตรี จำกัด ได้จดทะเบียนจัดตั้งเป็นบริษัทฯ โดยมีโครงการก่อสร้างโรงงานที่อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต ต่อมาได้รับใบอนุญาตให้สร้างโรงงานในปี พ.ศ. 2526 จนก่อสร้างแล้วเสร็จ และคาดว่าจะเปิดดำเนินการตั้งแต่ต้นปี พ.ศ. 2529 แต่โรงงานไม่สามารถเปิดดำเนินการได้ เพราะประสบปัญหาการคัดค้านจากหลายภาคส่วนทั้งในระดับจังหวัดและประเทศอย่างรุนแรง เนื่องจากชาวภูเก็ตได้รับข้อมูลจากฝ่ายคัดค้านการเปิดโรงงานว่า โรงงานแทนทาลัมจะก่อให้เกิดมลพิษต่อประชาชนและสิ่งแวดล้อมของภูเก็ต จนนำมาสู่ความขัดแย้งแผ่ขยายตัว 

วันที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2529 นายจิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา รมว.อุตสาหกรรมในขณะนั้น ได้เดินทางไปยังจังหวัดภูเก็ตเพื่อรับฟังความคิดเห็นตามความต้องการของตัวแทนกลุ่มคัดค้าน โดยนัดหมายที่ศาลาประชาคม แต่เมื่อไปถึงผู้ชุมนุมกลับแสดงทีท่าต่อต้านรัฐมนตรีอุตสาหกรรมและคณะด้วยความรุนแรง โดยผู้ชุมนุมจำนวนหลายพันคนพยายามเข้าประชิดและขว้างปาและทุบรถ แม้ว่านายจิรายุ ได้ชี้แจงให้ผู้ชุมนุมทราบว่า รัฐบาลฯ กำลังดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหา และจะให้คำตอบแก่ชาวภูเก็ตในวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2529 ตามที่ผู้ชุมนุมกำหนด และระหว่างนี้ได้ให้โรงงานยุติการดำเนินการชั่วคราว แต่ก็ไม่ได้ผล

การประท้วงได้รุนแรงขึ้น และมีการเผาโรงงานแทนทาลัมและโรงแรมภูเก็ตเมอร์ลินซึ่งเป็นที่พักของนายจิรายุและคณะ จนรัฐบาลต้องประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในเขตท้องที่จังหวัดภูเก็ต และมีการประกาศแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจเข้าควบคุมสถานการณ์ กว่าสถานการณ์จะเข้าสู่ปกติต้องใช้เวลานานกว่า 1 สัปดาห์ และประกาศยกเลิกสถานการณ์ฉุกเฉินในวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2529 การจลาจลครั้งนั้น ได้สร้างความเสียหายกว่า 2 พันล้านบาท และสุดท้าย บริษัท ไทยแลนด์ แทนทาลัม อินดัสตรี จำกัด มีมติให้ย้ายโรงงานแทนทาลัมจากภูเก็ตไปตั้งที่อื่น เหตุการณ์จลาจลกรณี “แร่แทนทาลัม” สินแร่โลหะหายาก เมื่อ 35 ปีก่อน จึงเป็นหนึ่งในประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวกับสินแร่โลหะหายากที่เคยเกิดขึ้นในบ้านเรา 


เขียนโดย: ดร.โญธิน มานะบุญ นักวิชาการอิสระ

อุดรธานี - กองทัพอากาศสิงคโปร์ ร่วมกับ กองบิน 23 มอบชุด PPE จำนวน 1,000 ชุด ให้กับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดอุดรธานี สนับสนุนการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์

วันที่ 9 กันยายน 2564 นาวาอากาศเอก กษิดิ์เดช แม้นสงวน รองผู้บังคับการกองบิน 23 นาวาอากาศโท รักพงศ์ เถื่อนนาดี หัวหน้าแผนกยุทธการ กองบิน 23 พร้อมด้วย นาวาอากาศโท เดเร็ก ชาน หัวหน้าหน่วยบินแยกกองทัพอากาศสิงคโปร์ และคณะข้าราชการกองบิน 23 ข้าราชการกองทัพอากาศสิงคโปร์ ร่วมมอบชุด PPE จำนวน 1,000 ชุด ให้กับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดอุดรธานี ด้วยความห่วงใย และสนับสนุนการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์ ในการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคติดเชื้อโควิด -19

ในการนี้ นายแพทย์ทวีรัชต์ ศรีกุลวงศ์ รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดอุดรธานี เป็นผู้รับมอบ โดยมี เจ้าหน้าที่สาธารณสุข และบุคลากรทางการแพทย์ เข้าร่วมรับมอบ และได้กล่าวขอบคุณทางกองทัพอากาศสิงคโปร์และกองบิน 23 ที่นำชุด PPE มามอบให้ในครั้งนี้ ซึ่งหมอ พยาบาลและบุคลากรทางการแพทย์ต้องทำงานกันอย่างหนัก ก็เพื่อความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนชาวอุดรธานี ถึงแม้ว่าทุกภาคส่วนจะให้การสนับสนุนด้านวัสดุอุปกรณ์มาอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามมีสำรองไว้ถือว่าเป็นการดีที่สุด เป็นการสร้างความอุ่นใจในการปฏิบัติหน้าที่ของบุคลากรทางการแพทย์

“อิสตันบูล (Istanbul)” เป็นเมืองที่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์และเปี่ยมไปด้วยความขลัง เพราะนอกจากจะเป็นเมืองที่มีประชากรหนาแน่นแล้ว ยังเป็นเมืองที่ตั้งตรงรอยต่อระหว่างสองทวีป คือเอเชียและยุโรป

ทั้งที่ยังไม่เคยได้ไปเยือนซานฟรานซิสโก แต่ความคิดแว้บแรกเมื่อไปถึงอิสตันบูล ผมรู้สึกว่าคล้ายเมืองริมทะเลแห่งรัฐแคลิฟอร์เนียนี้มาก อาจจะเพราะเคยดูหนังที่มีฉากเมืองซานฟรานซึ่งมีความคล้ายคลึงกันหลายส่วน เช่นเป็นเมืองใหญ่ติดทะเล บ้านเรือนปลูกสร้างลดหลั่นกันไปตามเนินเขา ถนนหนทางคดเคี้ยวและบางช่วงชัน มองเห็นวิวทะเลได้แต่ไกลจากหลายมุม เป็นต้น แต่อย่างไรก็ตาม อิสตันบูลก็คืออิสตันบูล (และซานฟรานซิสโก ก็คือซานฟรานซิสโก) ยังคงมีเอกลักษณ์โดดเด่นและแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงเมื่อได้สัมผัสใกล้ชิดมากขึ้น

คนจำนวนมากเข้าใจผิด คิดว่าอิสตันบูลคือเมืองหลวงของตุรกี ที่จริงอังการาซึ่งตั้งอยู่ตอนกลางของประเทศต่างหากคือศูนย์กลางการเมืองการปกครองของประเทศนี้ แต่ด้วย “ความขลัง” กว่า ในแง่ที่มีประชากรหนาแน่นกว่าสิบห้าล้านคน นับว่าเป็นเมืองใหญ่ที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง อีกทั้งยังตั้งอยู่ ณ รอยต่อระหว่างสองทวีป คือเอเชียและยุโรป โดยมีช่องแคบบอสพอรัสกั้นไว้ ทำให้วัฒนธรรมและศาสนาของทั้งโลกตะวันออกและตะวันตก คลุกเคล้ากันผ่านช่วงเวลายาวนาน ถ้าสาวประวัติเมืองย้อนกลับไปก็คงตั้งแต่สมัยสองพันกว่าปีก่อนในยุคที่เรียกว่าไบแซนไทน์ อิสตันบูลในยุคนั้นมีชื่อว่ากรุงคอนสแตนติโนเปิล จักรวรรดินี้ยืนยงคงกระพันนับพันปีและถือว่าเป็นศูนย์กลางการเผยแพร่ศาสนาคริสต์ แต่ในที่สุดก็พ่ายแพ้แก่พวกออตโตมันซึ่งเป็นมุสลิม และอิทธิพลอิสลามก็สืบทอดมาจนถึงปัจจุบันนี้ เมื่อนำภาพในอดีตมาปะติดปะต่อเข้ากับสภาพเมืองในปัจจุบันก็พบว่าประวัติศาสตร์เป็นปัจจัยหลักที่สร้างมนต์เสน่ห์ให้กับเมืองนี้เป็นอย่างมาก ยิ่งเมื่อผนวกเข้ากับภูมิทัศน์สวยงาม สถาปัตยกรรมเก่าแก่ผสมผสานหลายยุคสมัย ยิ่งทำให้ใครก็ตามที่ได้มาเยือนอิสตันบูลตกหลุมรักเมืองนี้อย่างง่ายดายยามแรกพบเลยทีเดียว

อิสตันบูลเป็นเมืองทันสมัย สามารถเดินทางสัญจรภายในเขตต่าง ๆ โดยเลือกใช้ขนส่งมวลชนหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นรถไฟฟ้า เรือข้ามฟาก รถราง รถบัส ซึ่งเมื่อซื้อบัตรโดยสารใบเดียวก็สามารถใช้ได้กับทุกระบบขนส่ง หรือถ้าต้องการความสะดวกรวดเร็วและเป็นส่วนตัวมากกว่าก็ใช้บริการแท็กซี่กับ Grab แต่วิธีดีที่สุดที่จะช่วยให้เห็นรายละเอียดของสิ่งละอันพันละน้อย ก็คือการเดินนั่นเอง ยิ่งใครที่ชื่นชอบการถ่ายรูปจะรื่นรมย์เดินชมเมืองมาก จะทอดน่องไปตามตรอกซอยน้อยใหญ่ เดินเล่นบนบาทวิถีริมทะเล เดินข้ามสะพานที่เต็มไปด้วยชายนักหย่อนเบ็ดตกปลา หรือเบียดแทรกตัวเองท่ามกลางฝูงคนในย่านช้อปปิ้งล้วนให้ความเพลิดเพลินทั้งนั้น บรรดาแลนด์มาร์กและสถานที่น่าสนใจกระจายตัวในระยะเดินถึง ถ่ายรูปวิวสลับกับการสังเกตการใช้ชีวิตตามปกติของชาวเมือง หรือนั่งพักแล้วสังเกตอากัปกิริยาผู้คนที่เดินผ่านไปมาทั้งหลายก็เพลินดี

ส่วนใหญ่แล้วนักท่องเที่ยวมักไม่พลาดการไปชมงานสถาปัตยกรรมอันโดดเด่นอลังการงานสร้างสองแห่งซึ่งอยู่ในเขตเมืองเก่าสุลต่านอาห์เม็ด ได้แก่สุเหร่าสีน้ำเงินและฮาเกียโซเฟีย แม้ศาสนสถานทั้งสองจะสร้างในช่วงเวลาที่แตกต่างกันและเพื่อวัตถุประสงค์ในการใช้ประกอบพิธีทางศาสนาที่แตกต่างกัน แต่มองผิวเผินแต่ไกลกลับให้ความรู้สึกเหมือนอาคารฝาแฝดเพราะมีรูปทรงค่อนข้างคล้ายคลึงกัน

แต่ละช่วงของวันก็ให้ความรู้สึกผ่อนคลายที่แตกต่างกันด้วย ช่วงกลางวันที่แดดจัดจ้าจะเห็นน้ำทะเลใสสีฟ้า ฝูงนกนางนวลโฉบเฉี่ยวร่าเริง แมวจรทั้งหลายต่างย่องขึ้นไปบนหลังคาบ้าน หรือไม่ก็แอบอยู่ตามมุมถนน ส่วนบรรยากาศยามเย็นใกล้ค่ำนั้นโรแมนติกกว่ามาก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าใครที่เดินทางคนเดียวจะเกิดอาการเหงาจับใจเวลามองพระอาทิตย์ตกทะเลแต่อย่างใด เพราะแสงเงาบนท้องฟ้าสลับสีตระการตา คล้ายกำลังนั่งมองศิลปินผู้มีฝีมือล้ำเลิศละเลงสีเหลืองแดงชมพูม่วงส้มลงบนผืนผ้าใบชิ้นใหญ่มหาศาล ก็ทำให้หัวใจคับพองและ “อิ่ม” ได้เช่นกัน

ของคาวที่หาทานง่าย มีอยู่แทบทุกมุมเมืองคือเคบับ หิวเมื่อไหร่ก็แวะซื้อแล้วเดินทานไปด้วย เมนูปลาใกล้สะพานกาลาตาก็เด็ดไม่แพ้กัน หรือถ้าต้องการทานอาหารตุรกีที่มีความหลากหลายกว่าก็สามารถเลือกนั่งในร้านอาหารชนิดกินกันเป็นเรื่องเป็นราวเลยก็ได้ ของหวานขึ้นชื่อเห็นจะเป็นไอศกรีมตุรกี จุดเด่นนอกจากจะเป็นความเหนียวหนึบแล้ว พ่อค้าไอศกรีมยังใช้มุกหลอกลูกค้าโดยเฉพาะอย่างยิ่งสาว ๆ และเด็ก ๆ (มุกเก่าแต่ใช้ได้ตลอด) 

ในขณะที่ของหวานอันเป็นเอกลักษณ์อีกอย่างคือบักลาวา หาซื้อได้ทั่วไปตามตลาด เปรียบเทียบแล้วน่าจะคล้ายกับใครมาเที่ยวเชียงใหม่ก็มักจะหาซื้อขนมกะละแมไปฝากเพื่อนฝูงญาติมิตรนั่นเอง ในส่วนของเครื่องดื่มยอดนิยมนั้นหนีไม่พ้นชาตุรกีซึ่งเสิร์ฟกันในแก้วทรงคอดตรงกลาง และกาแฟซึ่งต้มในภาชนะโลหะมีด้ามจับที่เรียกว่าอีบริก เสิร์ฟในถ้วยเซรามิกเล็ก เวลาจะจิบชาหรือกาแฟก็มักเติมน้ำตาลลงไปด้วยสักช้อนชาเพื่อตัดความขม และแม้จะเป็นประเทศมุสลิม แต่ก็มีความเป็นเสรีนิยมค่อนข้างสูง ดังนั้น เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ทั้งหลายอย่างเหล้าเบียร์หรือไวน์ก็ยังสามารถหาจิบได้โดยไม่ผิดกฎหมายแต่อย่างใด 

ที่พักหาไม่ยากและมีทุกระดับตั้งแต่ดาวเดียวถึงทะลุห้าดาว ในสมัยที่อินเตอร์เน็ตยังไม่เฟื่องฟู นักเดินทางโดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกทุนต่ำแบกเป้ มักพกโลนลี่แพลเน็ต เสมือนคัมภีร์นำทาง เพราะมีข้อมูลที่จำเป็นแทบทุกอย่าง แต่ปัจจุบันนี้นักท่องเที่ยวแทบทั้งหมดหาข้อมูลจากอินเตอร์เน็ต ที่พักก็จองผ่านแอปพลิเคชันต่าง ๆ จะพักที่ไหนจะกินอะไรก็ดูรีวิวเอา ร้านไหนสถานที่อะไรคนนิยมมาก ๆ ก็ต้องไปเช็คอินเมื่อไปถึง นักท่องเที่ยววัยรุ่นขาโจ๋ผู้นิยมสังสรรค์ปาร์ตี้จนดึกดื่น มักเลือกพักโฮสเทลในย่านทักซิม ซึ่งเต็มไปด้วยร้านรวงสมัยใหม่และผับบาร์อึกทึก มีถนนคนเดินเหมาะสำหรับคนเสพติดการช้อปปิ้งเป็นที่สุด ในขณะที่ย่านสุลต่านอาห์เม็ดนั้นเหมาะสำหรับคนชอบความสงบ พวกผู้ใหญ่ คนสูงวัย นักเดินทางผู้รักความสันโดษ หรือคู่รักฮันนีมูนน่าจะชอบย่านเมืองเก่านี้มากกว่า 

ที่เล่ามาทั้งหมดนี้ถือว่าเป็นเพียง “น้ำจิ้มชิมลาง” เท่านั้น เพราะยังมีอีกมากมายหลายอย่างที่น่าสนใจ สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็นฉันใด อยากรู้ว่าอิสตันบูลมีเสน่ห์มากแค่ไหนก็ต้องมาให้เห็นด้วยตัวเองนะครับ 


เขียนโดย : คุณสว่าง ทองดี จบการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ (ชีววิทยา) ชอบปั่นจักรยานท่องโลกและหลงไหลกาแฟ

ปทุมธานี - ผู้ว่าฯปทุมธานี ให้เกียรติเป็นประธาน กิจกรรมปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำเนื่องในวันประมงแห่งชาติ ประจำปี 2564 ณ วัดสะแก ตำบลสามโคก อำเภอสามโคก

วันที่ 9 กันยายน 2564 เมื่อเวลา 10.00 น นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม ผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี เป็นประธาน ปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำ เนื่องในวันประมงแห่งชาติ ประจำปี 2564 โดยมีพระอธิการเริงชัย ฐานุตตฺโร เจ้าอาวาสวัดสะแก พร้อมด้วย ประมงจังหวัดปทุมธานี นายอำเภอสามโคก / ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืดปทุมธานี นายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลสามโคก หัวหน้าส่วนราชการ / ผู้อำนวยการโรงเรียนวัดสะแก และแขกผู้มีเกียรติเข้าร่วมงาน

เนื่องในวันประมงแห่งชาติประจำปี 2564 ตามมติครมเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2549 อนุมัติให้ในวันที่ 21 กันยายนของทุกปีเป็นวันประมงแห่งชาติ ทั้งนี้เพื่อได้รำลึกถึงพระกรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ที่ทรงมีพระบรมราชโองการ ให้ตั้งกรมรักษาสัตว์น้ำขึ้นมาเมื่อวันที่ 21 กันยายน 2469 ต่อมาได้มีการเปลี่ยนชื่อเป็นกรมการประมงและเป็นกรมประมงในปัจจุบัน วัตถุประสงค์ในการจัดงานมีดังนี้

1.เพื่อเป็นการสร้างจิตสำนึกให้พี่น้องประชาชนให้เกิดความรักและหวงแหนทรัพยากรสัตว์น้ำ รวมทั้งสิ่งแวดล้อมในแหล่งน้ำธรรมชาติ

 2.เพื่อเพิ่มพูนผลผลิตสัตว์น้ำในแหล่งน้ำธรรมชาติและรณรงค์ให้ชุมชนมีส่วนร่วมและตระหนักถึงคุณค่าของทรัพยากรสัตว์น้ำ ตลอดจนการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ฟื้นฟูและร่วมกันบริหารจัดการใช้ประโยชน์ทรัพยากรสัตว์น้ำให้เกิดประโยชน์สูงสุดอย่างยั่งยืนและ

3.เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ของภาครัฐองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ชุมชนชาวประมงและประชาชนในการบูรณาการด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรสัตว์น้ำ ในการจัดพิธีปล่อยพันธุ์ปลา

ในการจัดพิธีปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำในครั้งนี้ ได้รับการสนับสนุนพันธุ์น้ำจืดจากศูนย์วิจัยและพัฒนา เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืดปทุมธานีจำนวน 500,000 ตัว ชนิดพันธุ์ ของปลาประกอบด้วย

1.ปลาตะเพียนทอง 100,000 ตัว

 2.ปลาตะเพียนขาว 300,000 ตัว

 3.ปลาสร้อยขาว 50,000 ตัว

และ 4.ปลาหมอ 50,000 ตัว


ภาพ/ข่าว  สหรัฐ แก้วตา

อุดรธานี - “โจ๊ก” ที่ปรึกษา สบ.9 ชมโรงพักอุดรฯ ขับเคลื่อน SMART SAFTY ZONE ตรงจุดดึงท้องถิ่นร่วมมือได้ดีทำให้อาชญากรรมลดลง

วันที่ 9 กันยายน 2564 เวลา 09.30 น.  พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ที่ปรึกษา (สบ. 9) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เดินทางมาตรวจเยี่ยมสถานีตำรวจ ตามโครงการ SMART SAFTY ZONE  “เมืองอัจฉริยะ” อันจะนำไปสู่ความปลอดภัยจากอาชญากรรมอย่างยั่งยืน  สภ.เมืองอุดรธานี ซึ่งเป็นสถานีหนึ่งนำร่องใน 15 สถานีตำรวจทั่วประเทศ โดยมี นายสยาม ศิริมงคล ผวจ.อุดรธานี ,นายวิเชียร ขาวขำ นายก อบจ.อุดรธานี, นายธนดร พุทธรักษ์ นายกเทศมนตรีเทศบาลนครอุดรธานี ,พล.ต.ต.วรัตน์ชัย ศรีรัตนวุฑฒิ รอง ผบช.ภ.4 ,พล.ต.ต.พิษณุ อุณหเสรี ผบก.ภ.จ.อุดรธานี ,พ.ต.อ.อารี สินธุรา ผกก.สภ.เมืองอุดรธานี, พ.ต.ท.พัฒนวงศ์ จันทร์พล รอง ผกก.ป.สภ.เมืองอุดรธานี และตัวแทนจาก มทบ.24 กอ.รมน. และนักธุรกิจ ผู้ประกอบการ เข้าร่วมประชุมที่ศูนย์ประชุมมลฑาทิพย์ฮอลล์ เทศบาลนครอุดรธานี

พ.ต.อ.อารี สินธุรา ผกก.สภ.เมืองอุดรธานี กล่าวว่า สภ.เมืองอุดรธานี ได้รับคัดเลือกจากตำรวจภูธรภาค 4 ให้เป็นสถานีนำร่องตามโครงการ  SMART SAFTY ZONE  ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งได้เลือกพื้นที่ย่านศูนย์การค้าให้เป็นพื้นที่ “อุดรเซฟตี้โซ” มีพื้นที่ 4.3 ตร.กม. ทิศเหนือจดกับ ถนนวัฒนานุวงศ์ ทิศใต้จดกับถนนโพศรี ทิศตะวันออกจดกับ ถนนทองใหญ่ ถนนเลียบทางรถไฟ และทิศตะวันตกจดกับถนนฑีฆธนานนท์ และถนนประจักษ์ศิลปาคม  ซึ่งเป็นพื้นที่จุดเสี่ยงภัยอาชญากรรม มีตลาดยูดีทาวน์, เซ็นทรัล, ตลาดเซ็นเตอร์พ้อยท์, ตลาดนัดรถไฟ, ตลาด ปรีชา, สถานีรถไฟ, รพ.กรุงเทพ, ซอยสัมพันธมิตร และ โรงเรียน เทศบาล 7 ถนนประจักษ์ศิลปาคม

โดยสร้างเครือข่ายป้องกันอาชญากรรม มีการดำเนินการร่วมกันทั้งภาครัฐ เอกชน ท้องถิ่น รวมทั้งฝ่ายความมั่นคง สร้างเครือข่ายป้องกันอาชญากรรม วิเคราะห์พื้นที่เสี่ยงภัยอาชญากรรม การปรับปรุงสภาพแวดล้อม กำหนดแผนป้องกันอาชญากรรมเชิงรุก การตรวจพื้นที่ และการนำเทคโนโลยีมาใช้ในโครงการ เพื่อยกระดับการป้องกันอาชญากรรมในพื้นที่สาธารณะ ยกระดับการทำงานของตำรวจตามกรอบความคิดเรื่องราชการ 4.0 และก้าวเข้าสู่ยุคดิจิตอล  ซึ่งมีกล้องวงจรปิดของภาครัฐและเอกชนตามเส้นทาง และที่สาธารณะ 83 ตัว  เพื่อเชื่อมโยงสัญญาณไปยังหน่วยงานต่าง ๆ ไปยังสถานีตำรวจ  ติดเสาไฟฟ้าส่องสว่างตามเส้นทางหลัก 128 ต้น และปรับภูมิทัศน์จุดเลี่ยง ติดตั้งไฟฟ้าส่องสว่าง กล้องวงจรปิดเพิ่ม และตัดกิ่งต้นไม้ให้โล่งโปร่งมองเห็นได้

โดยได้ทำการทาสีตีเส้นจราจรให้เห็นเด่นชัดบนถนน ปิดอาคารร้างไม่ให้เป็นแหล่งซ่องสุมของอาชญากร ซึ่งได้สร้างความเข้าใจ และสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน  ด้วยการติดตั้งตู้แจ้งเหตุ ปล่อยแถวสายตรวจรถจักรยานยนต์ 191 และสายตรวจเดินเท้า บริเวณหน้าศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซ่า ศูนย์การค้ายูดีทาวน์ ตลาดรถไฟ เมื่อได้รับแจ้งเหตุต้องเข้าตรวจสอบพื้นที่ทันท่วงที ใช้เครื่องมือพร้อมตรวจสอบด้วยเทคโนโลยีจากกล้องวงจรปิดควบคู่กันไป มีอากาศยานไร้คนขับ หรือโดรน บินหาคนร้ายที่ก่อเหตุ ทำให้ประชาชนอุ่นใจ รับรู้ เข้าใจ และให้ความร่วมมือ มากยิ่งขึ้น หลังจากทำโครงการได้ 3 เดือน จากสถิติพบว่าการแจ้งเหตุอาชญากรรมลดลง อย่างเห็นได้ชัด

พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ที่ปรึกษา (สบ.9)  กล่าวว่า โครงการ SMART SAFETY ZONE  มีเป้าหมายเพื่อการพัฒนารูปแบบวิธีการป้องกันอาชญากรรมเชิงรุก การสร้างพื้นที่ปลอดภัยจากอาชญากรรม จัดระบบการป้องกันอาชญากรรมในรูปแบบบูรณาการทุกภาคส่วน โดยใช้นวัตกรรมและยึดประชาชนเป็นศูนย์กลางตามแนวคิดเรื่อง “เมืองอัจฉริยะ” อันจะนำไปสู่ความปลอดภัยจากอาชญากรรมอย่างยั่งยืน ขอชื่นชมตำรวจ สภ.เมืองอุดรธานี  ได้ขับเคลื่อน โครงการ SMART SAFETY ZONE ได้เป็นอย่างดีในอันดับต้น ที่ได้รับความร่วมมือจากเครือข่าย ทั้งองค์การส่วนท้องถิ่น และภาคเอกชน เข้ามามีส่วนร่วมและสนับสนุนในการป้องกันอาชญากรรมได้เป็นอย่างดี เป็นการป้องกันมากกว่าการปราบปราม ซึ่งเป็นการตอบโจษและถูกใจประชาชนที่สุด

จากนั้นได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมศูนย์ปฎิบัติการส่วนหน้า สถานีตำรวจภูธรเมืองอุดรธานี ที่ชั้นล่างศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซ่า อุดรธานี  จากนั้นเดินทางไปประชาสัมพันธ์โครงการพร้อมกับแจกหน้ากากอนามัยผู้ประกอบการ และประชาชนที่ศูนย์อาหาร ภายในศูนย์การค้ายูดีทาวน์  เสร็จแล้วเดินทางดูศูนย์ควบคุมสั่งการอุดรเซฟซี้โซน งานสืบสวน สภ.เมืองอุดรธานี ซึ่งเป็นศูนย์รวมกล้องวงจรปิดภายในเขตเทศบาลนครอุดรธานี

พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล  กล่าวต่อว่า โครงการ SMART SAFETY ZONE เป็นโครงการของ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. เป็นผู้ริเริ่ม และนำร่อง ใน 15 สถานีตำรวจ หนึ่งในนั้นคือ สภ.เมืองอุดรธานี จ.อุดรธานี วันนี้ได้รับมอบหมายให้มาตรวจเยี่ยม ติดตามผล จะเห็นได้ว่าในพื้นที่ SMART SAFETY ZONE อาชญกรรมลดลงอย่างเห็นได้ชัด ทั้งลัก วิ่ง ชิง ปล้น และเหตุอุกฉกรรจ์ สะเทือนขวัญ  ตัวเลขเหล่านี้เป็นสถิติชี้วัดความเดือดร้อนของประชาชน ความต้องการของประชาชน โครงการ SMART SAFETY ZONE เป็นการป้องกันนำการปราบปราม ป้องกันไม่ให้เหตุเกิด ซึ่งตรงใจประชาชนมาก ความเสียหายไม่เกิด ประชาชนไม่ล้นคุก เป็นการแก้ปัญหาได้อย่างท่องแท้

ที่ปรึกษา (สบ. 9)  กล่าวว่า ภาพจากกล้องวงจรปิด เป็นนวัตกรรมที่เข้ามาทุกส่วนในจังหวัดแล้ว โดยเฉพาะในใจกลางเมือง จะเห็นภาพทุกจุด และยังเชื่อมโยงกับกล้องวงจรปิดของเอกชนด้วย มีการดึงกล้องจากบ้านเรือนประชาชนมาที่สถานีตำรวจ ตำรวจกำลังมีน้อย จึงต้องร่วมกับประชาชนทำให้ตำรวจมีกำลังมาก นายก อบจ. ศูนย์การค้ายูดีทาวน์ ยังเพิ่มกล้องให้อีก นับวันยิ่งมีความปลอดภัยมากขึ้น  ผบ.ตร.จะนำการอย่างต่อเนื่อง และจะขยายโครงการออกไปอีก ผลประโยชน์จะตกอยู่กับประชาชนทั้งสิ้น

จากลงพื้นที่อุดรธานี รู้สึกพึงพอใจ ซึ่งจะได้นำเรียนท่าน ผบ.ตร. เพื่อให้รับทราบความก้าวหน้าของโครงการ ซึ่งอนาคตข้างหน้าจะเพิ่มอีก 15 จังหวัด เพราะมีงบประมาณจำกัด แต่ได้ความร่วมมือจากองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น หากตำรวจทำจริงก็ยิ่งอยากจะให้งบประมาณ กำลังอยู่ที่ตำรวจ ให้ตำรวจไปทำงาน ท้องถิ่นจะได้ปลอดภัยดังกล่าว


ภาพ/ข่าว  นายกฤษดา จันทร์ดวง ผู้สื่อข่าว จ.อุดรธานี

ลำพูน - ผู้ว่าฯ ลงพื้นที่ติดตามการดำเนินการตามมาตรการ Bubble and Seal ของ "แพนดอร่าฯ" พร้อมเตรียมจัดสถานที่พักโรงแรมเป็น Local Quarantine เพื่อรองรับพนักงานที่มีความเสี่ยงต่ำ และลดการติดเชื้อเพิ่ม

วันที่ (7 ก.ย. 64)  นายวรยุทธ เนาวรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดลำพูน พร้อมด้วย นายแพทย์สุผล ตติยนันทพร นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดลำพูน , นายชาตรี กิติธนดิตถ์ ปลัดจังหวัดลำพูน , นายโยธิน ประสงค์ความดี นายอำเภอเมืองลำพูน , นายแพทย์โภคิน ศักรินทร์กุล นายแพทย์ชำนาญการพิเศษโรงพยาบาลลำพูน , ฝ่ายปกครองจังหวัด  ตลอดจนเจ้าหน้าที่ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง  ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการดำเนินการ ตามมาตรการ Bubble and Seal   ณ ลานสนามบิน สวนอุตสาหกรรมเครือสหพัฒน์  ตำบลป่าสัก อำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน ถูกจัดให้เป็นสถานที่ Bubble and Seal ของบริษัท แพนดอร่าโพรดักชั่น จำกัด  มีพนักงานที่เข้ารับการสังเกตุอาการ จำนวน 700 คน                  

นายวรยุทธ เนาวรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดลำพูน กล่าวว่า จากสถานการณ์ ของสถานประกอบการ บริษัท แพนดอร่า มีพบผู้ติดเชื้อภายในสถานประกอบการและได้มีการดำเนินการตามมาตรการ Bubble and Seal นั้น  ทางคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดฯ ได้รวบรวมข้อมูล และมีการวิเคราะห์ รวมถึงมีการติดตามสถานการณ์ อย่างต่อเนื่อง ตามลำดับ ในช่วงเวลานี้พนักงานบริษัท จำนวน 700 คน เดิมทีเป็นกะ 08  กะที่เวลาทำงานในช่วงกลางวันของทาง บริษัท แพนดอร่าฯ จำกัด นั้น ได้ย้ายออกมา และไม่ได้มีการปฏิบัติงานในช่วงเวลานี้  การทำ Bubble and Seal ต้องมีการปรับเปลี่ยน ประกอบกับการรวมพนักงานอยู่ ถึง 700 คน โดยไม่ได้มีการทำงานนั้น ก็อาจจะทำให้มีการเพิ่มยอดของผู้ติดเชื้อเพิ่มมากขึ้นได้   

   

ทางจังหวัดลำพูน โดยคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด ได้มีการปรับกระบวนการดำเนินงานเพิ่มเติม คือ ในส่วนของผู้ที่มีการติดเชื้อโควิด-19 ของพนักงาน บริษัท แพนดอร่าฯ ช่วงเวลานี้ จะมีการดำเนินการย้ายไปรักษาตัวที่ โรงพยาบาลสนาม หรือ โรงพยาบาลสนามของทาง บริษัท แพนดอร่าฯ เอง ส่วนที่ไม่เป็นผู้ป่วยแต่เป็นผู้ที่มีความเสี่ยง จะดำเนินการนำแยกออกไปสังเกตอาการ ที่โรงแรม ที่พักต่างๆ ที่เป็น Local Quarantine ในพื้นที่จังหวัดลำพูน

ทั้งนี้  เพื่อเป็นการบริหารการป้องกันการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในหมู่พนักงานเอง และในส่วนของพี่น้องประชาชนในภาพรวมของจังหวัดลำพูนจะได้มีความปลอดภัยต่อการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 การบริหารจัดการนั้นเป็นไปตามขั้นตอน ได้มีการคัดแยก กลุ่มคน และมีการนำพนักงาน เข้าสู่ที่พักในโรงแรม ที่ทางจังหวัดจัดเตรียมไว้ ตามมาตรการของทางสาธารณสุข ขอให้เชื่อมั่นในความปลอดภัย และมาตรการต่าง ๆ ที่ทางจังหวัด ได้มีการประชุมเตรียมพร้อม โดยทางผู้บริหาร บริษัท แพนดอร่าฯ เอง ได้ให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ในการดำเนินการไปพร้อม ๆ กัน ที่สำคัญคือพี่น้องพนักงาน บริษัท แพนดอร่าฯ ได้มีความเข้าใจและได้มีการเตรียมตัว เข้าสู่ จุดต่าง ๆ ที่ทางจังหวัดลำพูน และทาง บริษัท แพนดอร่าฯ ได้เตรียมพร้อมในช่วงเวลา ต่อไป


ภาพ/ข่าว  กรรณิการ์ วิจิตรสกลการ / ผู้สื่อข่าวภูมิภาค จังหวัดลำพูน

ปทุมธานี - บิ๊กแจ๊ส อนุมัติงบ 25 ล้านให้กับพุทธศาสนา สร้างอาคารปฏิบัติธรรมและอุโบสถ ปลูกฝังเยาวชนประชาชนเป็นดี

เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2564 ที่วัดโบสถ์ ตำบลบางกระบือ อำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง นายก อบจ.ปทุมธานีพร้อมด้วยคณะบริหาร และเจ้าหน้าที่ อบจ.ปทุมธานี ร่วมมอบเงินอุดหนุนวัดโบสถ์เพื่อสมทบการก่อสร้างอาคารอเนกประสงค์สำหรับผู้ปฏิบัติธรรมจังหวัดปทุมธานี เป็นจำนวนเงิน 15,000,000 บาท โดยมี พระราชวรเมธาอาจารย์ เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี เจ้าอาวาสวัดโบสถ์ (ฝ่ายธรรมยุต) รับถวายเพื่อดำเนินการก่อสร้างอาคารปฏิบัติธรรม ส่วนวัดเทพสรธรรมาราม ตำบลบ้านใหม่ อำเภอเมือง จังหวัดปทุมธานี  พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง นายก อบจ.ปทุมธานีพร้อมด้วยคณะบริหาร และเจ้าหน้าที่ อบจ.ปทุมธานี ได้มอบเงินสมทบการก่อสร้างอุโบสถวัดเทพสรธรรมาราม เป็นเงินจำนวน 10,000,000 บาท

โดยมี พระอาจารย์เทียนชัย ชัยทีโป เป็นเจ้าอาวาสวัดเทพสรธรรมาราม รับถวาย ซึ่งขณะนี้ทางวัดอยู่ระหว่างการก่อสร้างอุโบสถเพื่อใช้เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม และทำกิจกรรมของสงฆ์ทางพระพุทธศาสนาต่อไป ทางด้าน พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง นายก อบจ.ปทุมธานี กล่าวว่า เนื่องจากวัดโบสถ์เป็นวัดสายธรรมยุติมีการปฏิบัติธรรม แต่ยังขาดอาคารที่ใช้ปฏิบัติธรรม ทางวัดได้ของบประมาณส่วนหนึ่งมาทาง อบจ.จึงได้สนับสนุนเป็นงบประมาณ 15 ล้านบาท โดยทางวัดก็จะเดินหน้าก่อสร้างอาคารปฏิบัติธรรม ต่อไป ประชาชนและเยาวชนของเราจะได้เข้ามาร่วมกิจกรรมปฏิบัติธรรมภายในวัดแห่งนี้ ถือว่าโครงนี้เป็นการปลูกฝังให้เด็กเยาวชนของเราให้มีความเข้าใจเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา รวมถึงเป็นการฟื้นฟูศาสนาของเราต่อไป

ในส่วนของการฉีดวัคซีนตนมีความมั่นใจว่าวัดทุกวัดในจังหวัดปทุมธานีทาง อบจ.ได้ดำเนินการฉีดพ่นฆ่าเชื้อทั้งภายในอาคารและภายนอกอาคาร รวมถึงพระสงฆ์ทุกองค์ในจังหวัดปทุมธานี ทั้งธรรมยุติและมหานิกาย ได้ฉีดวัคซีนทางเลือกซิโนฟาร์มให้พระสงฆ์ทุกรูปในจังหวัดปทุมธานี ทั้ง 2 เข็มเรียบร้อยแล้ว   ซึ่งทาง อบจ.ได้สร้างความมั่นใจให้กับพุทธศาสนิกชนที่มาทำบุญกับวัดทุกวัดในจังหวัดปทุมธานี อย่างปลอดภัย  ตนเองอยากจะทำกำไลริสแบนด์เป็นสัญลักษณ์ให้ทราบว่าฉีดครบ 2 เข็มแล้ว


ภาพ/ข่าว  ประภาพรรณ ขาวขำ/รายงาน

ตราด - ผบ.ทร. ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยม ฐานส่งกำลังบำรุงทหารเรือตราด ทัพเรือภาคที่ 1

วันที่ 8 กันยายน 2564 เวลา 10.30 น. พลเรือเอก ชาติชาย ศรีวรขาน ผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.) พร้อม นางจุฬารัตน์ ศรีวรขาน นายกสมาคมภริยาทหารเรือและคณะ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมฐานส่งกำลังบำรุงทหารเรือตราด ทัพเรือภาคที่ 1 อ.แหลมงอบ จ.ตราด โดยมี พลเรือโท โกวิท อินทร์พรหม ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 1 นางนุชนภา อินทร์พรหม ประธานชมรมภริยาทหารเรือ ทัพเรือภาคที่ 1 และ นาวาเอก ปฏิรูป อยู่พรหม ผู้บังคับการฐานส่งกำลังบำรุงทหารเรือตราด ทัพเรือภาคที่ 1 ให้การต้อนรับ

การตรวจเยี่ยมฐานส่งกำลังบำรุงทหารเรือตราด ทัพเรือภาคที่ 1 ในครั้งนี้ เป็นไปตามแผนการเดินทางตรวจเยี่ยมหน่วยในพื้นที่ชายแดน จังหวัดจันทบุรีและตราด เพื่อเป็นการขอบคุณกำลังพลที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ห่างไกล ด้วยความวิริยะอุตสาหะ ตลอดปีที่ผ่านมาอย่างเต็มกำลังความสามารถ

ในโอกาสนี้ ผู้บัญชาการทหารเรือ ได้ลงนามในสมุดตรวจเยี่ยม พร้อมมอบเครื่องอุปโภค บริโภค เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้กับกำลังพล รวมถึงกล่าวให้โอวาท โดยมีใจความตอนหนึ่งว่า “ขอแสดงความชื่นชมการปฏิบัติหน้าที่ในทุกภารกิจที่ได้รับมอบหมายอย่างเต็มกำลังความสามารถในรอบปีที่ผ่านมา จนมีผลงานเป็นที่ประจักษ์ และได้รับการยอมรับจากหน่วยงานและประชาชนในพื้นที่เป็นอย่างดี ตลอดระยะเวลาที่ผมปฏิบัติราชการในกองทัพเรือมากกว่า 37 ปี มีความเชื่อมั่นอยู่เสมอว่า ทุกหน่วยงานของกองทัพเรือ ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานขนาดใหญ่หรือขนาดเล็ก ล้วนเป็นเครื่องมือที่มีความสำคัญเท่าเทียมกัน เพราะทุกหน่วยงานเป็นกลไกอันสำคัญยิ่ง ในการช่วยกันขับเคลื่อนกองทัพเรือให้เจริญก้าวหน้ามาถึงทุกวันนี้”

“พลังสามัคคี พลังราชนาวี”


ภาพ/ข่าว  ฐานส่งกำลังบำรุงทหารเรือตราด ทัพเรือภาคที่ 1 / กองกิจการพลเรือน ทัพเรือภาคที่ 1

นิราช / นันทพล ทิพย์ศรี รายงาน

เด็กไทยไม่แพ้ชาติใด!! คว้า 8 เหรียญทอง 8 เหรียญเงิน ในการประกวดผลงานนวัตกรรมระดับโลก “Japan Design, Idea And Invention Expo (JDIE 2021)” ที่ประเทศญี่ปุ่น

นักเรียนโรงเรียนสาธิตจุฬาฯ คว้ารางวัลแห่งความสามารถทางด้านนวัตกรรมเทียบชั้นนวัตกรมืออาชีพในระดับนานาชาติจากการประกวดผลงานนวัตกรรมระดับโลก “Japan Design, Idea And Invention Expo (JDIE 2021)” ซึ่งจัดในรูปแบบออนไลน์ ระหว่างวันที่ 18 – 20 ส.ค.ที่ผ่านมา ณ เมืองเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น โดยคว้ามาได้ 8 เหรียญทอง 8 เหรียญเงิน 

ด้วยผลงานที่แสดงให้เห็นถึงความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการที่เต็มเปี่ยมของนวัตกรตัวน้อย จากการส่งเสริมและสนับสนุนของโรงเรียนสาธิตจุฬาฯ และศูนย์นวัตกรรม โรงเรียนสาธิตจุฬาฯ ฝ่ายประถม

นวัตกรคนเก่งจากรั้วสาธิตจุฬาฯ ที่ได้รับรางวัลในครั้งนี้ ประกอบด้วย 3 เหรียญทอง 6 เหรียญเงินจากนักเรียนโรงเรียนสาธิตจุฬาฯ ฝ่ายประถม และ 5 เหรียญทอง 2 เหรียญเงินจากนักเรียนโรงเรียนสาธิตจุฬาฯ ฝ่ายมัธยม

โรงเรียนสาธิตจุฬาฯ ฝ่ายประถม รางวัลเหรียญทอง

– ระบบห้องน้ำอัจฉริยะ ระเบิดความสนุกสำหรับชีวิตวิถีใหม่ (FunPlosion – Smart Bathroom in the New Normal) เป็นนวัตกรรมออกแบบมาเพื่อตอบสนองการใช้ชีวิตในวิถีใหม่ ตู้อัจฉริยะที่สามารถตั้งระบบควบคุมอุณหภูมิน้ำ ไฟ เสียง ภาพหน้าจอ และกลิ่นในห้องน้ำ มีอุปกรณ์เสริมฆ่าเชื้อโรค ลดการสัมผัส ควบคุมผ่านแอพและเสียง

– ไอเมดิแคร์ โซลูชั่น (iMedicare Solution) 
เป็นนวัตกรรมในการดูแลผู้สูงอายุ เครื่องจ่ายยาอัจฉริยะและแอปพลิเคชั่นที่ช่วยเตือน/บันทึกการใช้ยา ขอความช่วยเหลือ และเชื่อมต่อนัดหมายแพทย์ประจำตัวได้

– ชุดอุปกรณ์ช่วยออกกำลังกายในผู้ป่วยติดเตียง (Muvtivate : Muscle and Movement Stimulation Versatility Tool - for Elderly) 
เป็นนวัตกรรมพัฒนาสมองและพัฒนาข้อต่อและกล้ามเนื้อที่ใช้ในการเคลื่อนไหวทุกส่วนอย่างต่อเนื่องด้วยตัวเองได้อย่างปลอดภัย เพื่อผู้ป่วยติดเตียงและผู้สูงอายุ

โรงเรียนสาธิตจุฬาฯ ฝ่ายประถม รางวัลเหรียญเงิน
.
– “TRAVEL POTTY ห้องน้ำสัตว์เลี้ยงพกพา” 
เป็นนวัตกรรมที่ทำให้สัตว์เลี้ยงรู้สึกสบายใจกับการขับถ่าย ใช้งานง่ายไม่เปรอะเปื้อน เก็บล้างทำความสะอาดง่าย

– “เครื่องจ่ายวิตามินทันใจ (EFFERVESCENT DISPENSER)” 
เป็นนวัตกรรมสำหรับรวบรวมวิตามินหลากหลายชนิดไว้ด้วยกัน ให้ง่ายต่อการเลือกใช้ ออกแบบให้ใช้งานง่าย ประหยัดเวลา

– “แปรงสีฟัน 3 รวมเป็น 1 (3 in 1 Travel Toothbrush)” 
เป็นนวัตกรรมที่ครบครันเรื่องของแปรงสีฟัน ที่มียาสีฟัน และ ไหมขัดฟันในตัว ใช้งานง่ายและสะดวกมาก ประหยัดพื้นที่จัดเก็บ พกพาสะดวก

– “กล่องสี เอ็มไอวาย (MIY Coloring)” 
เป็นนวัตกรรมที่ช่วยนการผสมสีให้ได้สีที่ตรงใจและสามารถจดบันทึกส่วนประกอบการผสมสี ไม่ว่าจะผสมใหม่กี่ครั้งก็จะได้สีเดิมที่ต้องการอยู่เสมอ

– “คิดส์เพลิน (Kid Play & Learn)”
เป็นนวัตกรรมเกมสำหรับเด็กยุคใหม่ที่มีแนวโน้มที่จะติดเกม ติดมือถือมากขึ้น โดยการนำการละเล่นพื้นบ้านของไทยและนำความรู้ทางด้านจิตเวชมาพัฒนาเกม เพื่อส่งเสริมให้เด็กทุกคนเล่นเกมที่ช่วยพัฒนาสมอง สมาธิและส่งเสริมการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น

– “Shuttlecock Pro” 
เป็นนวัตกรรมฝึกทักษะแบดมินตันสามารถปรับใช้รับลูกแบดมินตันได้ตามความสามารถจำนวนลูกที่เข้าเป้าหมาย เก็บสถิติไว้เพื่อวัดทักษะความแม่นยำ และยังสามารถวางแผนการฝึกซ้อมแต่ละรายบุคคล

โรงเรียนสาธิตจุฬาฯ ฝ่ายมัธยม รางวัลเหรียญทอง

– “โปรแกรมการสอนสะกดนิ้วมือในภาษามืออเมริกันโดยการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (INFING: INtelligent ASL FINGerspelling tutoring system)” 
เป็นนวัตกรรมการใช้ปัญญาประดิษฐ์เพื่อเป็นสื่อการเรียนรู้สำหรับการเรียนรู้ภาษามือแบบอัตโนมัติโดยการใช้เทคโนโลยีการรู้จำท่าสะกดนิ้วมือแบบใหม่

- “ชุดทดสอบบอแรกซ์ชนิดเจล (Jelly Borax Tube Kit)”
เป็นนวัตกรรมใช้เพื่อทดสอบสารบอแรกซ์ในอาหาร ใช้งานง่าย และไม่ต้องอาศัยความชำนาญในการใช้งาน

– “Less Snore More Sleep” 
เป็นนวัตกรรมลดการนอนกรน ปรับสมดุลการนอน ให้มีประสิทธิภาพและปลอดภัย AI ที่ช่วยตรวจจับการนอนกรน การหยุดหายใจขณะหลับสำหรับผู้ใช้แต่ละบุคคล

– “โปรแกรมฝึกคลื่นสมองด้วยเทคนิคสะท้อนกลับ ป้องกันสมองเสื่อมและลดปัญหาความรุนแรงจากสมาธิสั้น (TRaIN)”  
เป็นนวัตกรรมจับสัญญาณคลื่นสมอง เพื่อฝึกฝนให้สามารถตั้งสมาธิจดจ่อ คลายความกังวล และเปลี่ยนเป็นการใช้สมาธิที่เพ่งสูงสุด

– “Up lift shift life” 
เป็นนวัตกรรมเพื่อให้ผู้ใช้งานนั่งอยู่ในท่าทางที่เหมาะสม ป้องกันการเกิดโรคทางระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ (ออฟฟิสซินโดรม)

โรงเรียนสาธิตจุฬาฯ ฝ่ายมัธยม รางวัลเหรียญเงิน

– “ปากกาต้านโรคระบาด (Anti-Pandemic Pen) 
เป็นนวัตกรรมต่อต้านโรคระบาดจึงได้ถูกออกแบบมาเพื่อให้ใช้ชีวิตง่ายขึ้น มีฟังก์ชันสเปรย์เเอลกอฮอลล์และสบู่เหลวแบบโรลออน

– พราวด์(มะ)พร้าว (ECO NUT) 
เป็นนวัตกรรมวัสดุทดแทนพลาสติกและหนังสัตว์จากผลิตผลทางการเกษตรที่สามารถนํามาขึ้นรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เช่น กระเป๋าสตางค์ กระเป๋าชอปปิง พวงกุญแจ


ที่มา: https://siamrath.co.th/n/276892
 

ใครที่ชอบการออกกำลังกายที่ใช้แรงกำลังช่วงขามาก ๆ อาจจะต้องพึงระวังถึงการบาดเจ็บของ “เอ็นหัวเข่า” เพราะการออกกำลังกายที่มีแรงกระแทกเช่นการกระโดดหรือการวิ่ง หลาย ๆ คนอาจจะไม่ได้ให้สำคัญตรงบริเวณหัวเข่าอาจทำให้เกิด “เอ็นหัวเข่าอักเสบ” ขึ้นได้

คนที่มีปัญหาน้ำหนักเกินส่วนใหญ่​มักเผชิญกับปัญหา​การเจ็บเข่าแบบเป็น ๆ​ หาย ๆ​ ยิ่งพยายามออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนัก​กลับยิ่งทำให้เจ็บเข่ามากยิ่งขึ้น​ เป็นปัญหา​วนไปวนมา​ไม่จบสิ้น​ จนมีคำถามผุดขึ้นมาในใจว่า​ เอ๊ะ! หรือฉันกำลังเป็นโรค ​"เข่าเสื่อม" ??

การมีน้ำหนักเกินมาตรฐาน​เป็นปัจจัยเสี่ยงอันดับต้น ๆ​ ของโรคข้อเข่าเสื่อม​ แต่ก่อนที่จะไปถึงขั้นนั้น​ โรคที่เกี่ยวกับหัวเข่ายอดฮิตที่พบได้มากในกลุ่มวัยรุ่นจนถึงวัยทำงาน​ คือ​ "เอ็นหัวเข่าอักเสบ"

“เอ็นหัวเข่าอักเสบ”​ มักเกิดขึ้นจากการออกกำลังกาย​ โดยเฉพาะการออกกำลังกายที่มีแรงกระแทก เช่น การกระโดด และ การวิ่ง แม้แต่การออกกำลังกายที่มีการขยับ​ไปมาของข้อเข่ามาก ๆ​ เช่น การปั่นจักรยาน​ ก็ยังพบอาการเอ็นหัวเข่าอักเสบได้​เช่น​กัน นอกจากนี้อุบัติเหตุพลัดตก หกล้ม หรือเดินขาพลิกผิดจังหวะต่าง ๆ ก็นำมาซึ่งปัญหาเอ็นหัวเข่าอักเสบได้

เอ็นกล้ามเนื้อหัวเข่า (tendon) ที่มักเกิดการอักเสบ ได้แก่ ส่วนปลายของกล้ามเนื้อหน้าขา (Quadriceps) และกล้ามเนื้อต้นขาด้านหลัง (Hamstrings: Biceps femoris, Semimembranosus, Semitendinosus)​ ส่วนปลายของกล้ามเนื้อนี้จะไปเกาะกับส่วนหนึ่งของกระดูกบริเวณหัวเข่า (tibia & fibula) ​จึงเกิดการบาดเจ็บได้ง่าย​ เมื่อมีการเคลื่อนไหวของข้อเข่าที่มากเกินไป​หรือมีแรงกระแทกซ้ำ ๆ​ การบาดเจ็บของเอ็นหัวเข่านี้จึงมักเกิดขึ้นแบบ​ค่อยเป็นค่อยไปสะสมจนมีการปวดเรื้อรัง

เอ็นกล้ามเนื้อ (tendon) มีหน้าที่เชื่อมต่อระหว่างกล้ามเนื้อและกระดูก ช่วยในการออกแรง​เพื่อให้เกิดการเคลื่อนไหวของข้อเข่า

นอกจากนี้หากมีแรงกระแทกมาก ๆ ร่วมกับการบิดหมุนของข้อเข่า เช่น อุบัติเหตุจากการเล่นกีฬา ​อาจจะทำให้เอ็นกระดูก (Ligament) ซึ่งเป็นส่วนที่เชื่อมระหว่างกระดูกหัวเข่าแต่ละชิ้น ได้รับ​บาดเจ็บ​ ซึ่งการบาดเจ็บลักษณะนี้มักเกิดขึ้นแบบฉับพลัน​ทันที​

เอ็นกระดูก (Ligament) เป็นส่วนที่เชื่อมระหว่างกระดูกแต่ละชิ้น มีความแข็งแรงมาก มีหน้าที่เพิ่มความมั่นคงและแข็งแรงของข้อเข่า

อาการของเอ็นเข่าอักเสบ
>> เจ็บด้านหน้าหรือด้านหลังเข่าบริเวณข้อพับ บางคนเจ็บเข่าด้านในหรือด้านนอก ขณะยืน เดิน ขึ้น ลงบันไดหรือพื้นลาดชัน บางคนเจ็บมากตอนเริ่มต้นเหยียดขาลุกขึ้นยืน
>> อาการอักเสบ บางครั้งอาจรู้สึกอุ่น ๆ หรือมีอาการแดงที่บริเวณที่ปวดร่วมด้วย
>> มีอาการบวมของถุงน้ำรอบ ๆ ข้อเข่าร่วมด้วยได้ในบางกรณี
>> อาการเอ็นอักเสบส่วนใหญ่มักดีขึ้นเองภายใน 2-3 วัน ด้วยการพักและดูแลรักษาตนเอง แต่หากพบว่ายังคงมีอาการรุนแรงต่อเนื่อง กระทบต่อการทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันเป็นเวลานานกว่านั้น อาจมีภาวะเอ็นกล้ามเนื้อฉีกขาด ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจรักษา
>> หากมีการบาดเจ็บที่เอ็นกระดูกหรือเอ็นกล้ามเนื้อซ้ำ ๆ​ เรื้อรัง​โดยไม่ได้รับการรักษา​ที่ถูกต้อง​ อาจนำไปสู่ปัญหาข้อเข่า​เสื่อมได้เร็วขึ้น

การรักษาเส้นเอ็นเข่าอักเสบ
>> หยุดพักกิจกรรมที่ต้องใช้การเคลื่อนไหวข้อเข่าจนกว่าอาการอักเสบจะดีขึ้น
>> ประคบด้วยความเย็นนาน 20 นาทีเพื่อช่วยลดปวดและลดอักเสบ
>> การทำกายภาพบำบัดเป็นวิธีบำบัดรักษาโดยใช้เครื่องมือทางกายภาพบำบัดและการออกกำลังกาย เพื่อช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและความแข็งแรงของเอ็นข้อเข่าที่อักเสบ รวมถึงกล้ามเนื้อบริเวณรอบ ๆ รวมทั้งการตรวจประเมิน​การเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ​ เช่น​ การทรงตัวของขา เป็นต้น
>> เมื่ออาการปวดและบวมลดลงแล้ว สามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติและหลีกเลี่ยงกิจกรรมหนักในช่วงแรก

ท่ากายบริหารที่ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อสะโพก ​และเอ็นรอบหัวเข่า​จะช่วยลดโอกาสการบาดเจ็บของ​เอ็นรอบหัวเข่าได้ ดังนี้

1.) Squat ยืนกางขา​กว้างเท่าระดับไหล่ หลังตรง​ เกร็งหน้าท้องเล็กน้อย งอเข่า​พร้อมแอ่นก้นไปทางด้านหลัง​ ระวังอย่าให้ระดับหัวเข่าเลยปลายเท้า​ แล้วยืดตัวขึ้นตามเดิม ทำ​วันละประมาณ​ 10-15​ ครั้ง​ วันละ​ 3​ รอบ​

2.)​ Lunge ยืนตรง​ ก้าวขาไปด้านหน้า​ 1​ ก้าว ย่อเข่าทั้ง​ 2​ ข้าง​ เป็นมุมฉาก ทรงตัวให้น้ำหนักอยู่ตรงกลาง แล้วยืดตัวขึ้นตามเดิม​ ทำสลับขาทั้ง​ 2​ ข้าง ทำข้างละประมาณ​ 10-15​ ครั้งต่อรอบ​ วันละ​ 3​ รอบ

3.)​ Clam shell นอนตะแคง​ สวมยางยืดแบบวงไว้ระหว่างหัวเข่าทั้ง​ 2​ ข้าง ออกแรงกางหัวเข่า​แบบเปิดสะโพกออกสู้กับแรงตึงของยางยืด จากนั้นผ่อนแรงกลับสู่ท่าปกติ ทำสลับขาทั้ง​ 2​ ข้าง ทำข้างละประมาณ​ 10-15​ ครั้งต่อรอบ​ วันละ​ 3​ รอบ

นอกจากนี้การฝึกฝนความคล่องแคล่ว​และการทรงตัวก็จะมีส่วนช่วยให้เอ็นหัวเข่ามีความแข็งแรงและบาดเจ็บได้ยากขึ้น​เช่น​กัน​ แต่การฝึกดังกล่าวควรทำเมื่อไม่มีอาการบาดเจ็บแล้วเท่านั้น​ เช่น​ การเดินสไลด์ไปทางด้านข้าง​ การวิ่งเหยาะ ๆ​ ไปด้านหน้าและหลัง​ การยืนทรงตัวด้วยขาข้างเดียว​ เป็นต้น

.

เขียนโดย: กภ.อุสา บุญเพ็ญ ปริญญาโท วิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต พัฒนาการมนุษย์ มหาวิทยาลัยมหิดล เจ้าของคลินิกกายภาพบำบัด และเพจสุขภาพดี


เอกสารอ้างอิง
https://orthoinfo.aaos.org/en/diseases--conditions/quadriceps-tendon-tear/
http://physio4richmond.co.uk/news/hamstring-tendinopathy-in-runners/
https://www.physio-pedia.com/File:Quadriceps_muscle.jpg
https://www.impactphysicaltherapy.com/4-tips-to-prevent-an-anterior-cruciate-ligament-acl-injury/
https://cbphysicaltherapy.com/how-to-perform-a-perfect-squat/
https://www.123rf.com/photo_124593050_woman-making-lunges-doing-sport-exercises-in-gym-leg-workout-muscle-building-healthy-and-active-life.html?vti=o1wiboi1ylu3gw7v4z-1-1
https://www.fitwirr.com/exercise/mini-band-clamshell-exercise/

นราธิวาส - สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชทานพระราชวโรกาสให้ คณะบุคคลต่าง ๆ เฝ้าทูลละอองพระบาท

วันนี้ 7 กันยายน 2564 เวลา 09.00 น. นายเจษฎา  จิตรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส  นางดาเรศ จิตรัตน์ นายกเหล่ากาชาดจังหวัดนราธิวาส พร้อมด้วยนายวารินทร์ บุษบรรณ ที่ปรึกษาอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร นายกัส ยะมาแล เกษตรจังหวัดนราธิวาสและคณะข้าราชการจังหวัดนราธิวาส และกรรมการมูลนิธิพัฒนาเกษตรอนามัยในพระบรมราชูปถัมภ์

เฝ้าทูลละอองพระบาท ทูลเกล้าทูลกระหม่อม ถวายผลไม้และของดีจังหวัดนราธิวาส จำนวน 114 กล่อง แด่ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี และทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเงิน โดยเสด็จพระราชกุศลตาม  พระราชอัธยาศัย ณ วังสระปทุม กรุงเทพมหานคร


ภาพ/ข่าว  แวดาโอ๊ะ​ หะไร​ จ.นราธิวาส

ชัยภูมิ – ผู้ว่าฯสั่งจับตา เตือนประชาชนทุกพื้นที่ติดตามสถานการณ์ใกล้ชิดไปจนถึง 11 ก.ย. นี้ หลังฝนเริ่มตกหนักต่อเนื่องแล้วหลายพื้นที่ บริเวณลำชีน้ำเริ่มหนุนสูง รวมทั้งเขื่อนลำปะทาวใกล้เต็มเริ่มปล่อยระบายน้ำออกนอกเขื่อนแล้ว!

( 8 ก.ย.64 ) ขณะที่ จ.ชัยภูมิ นายวิเชียร  จันทรโณทัย ผู้ว่าราชการจังหวัดชัยภูมิ ( ผวจ.ชัยภูมิ) ประกาศแจ้งเตือนประชาชน พร้อมสั่งแจ้งผู้นำชุมชนทุกหมู่บ้านในพื้นที่เสี่ยงใกล้เชิงเขา อยู่ใกล้ริมตลิ่งลำน้ำชี และเขื่อนปล่อยน้ำไหลผ่าน  ให้เตรียมความพร้อมช่วยกันเฝ้าระวังในช่วงระหว่าง 7- 11 ก.ย.64 นี้ ในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ และ จ.ชัยภูมิ จะเกิดฝนตกหนักฟ้าคะนอง เสี่ยงเกิดน้ำท่วมฉับพลัน และน้ำป่าไหลหลากได้ทุกพื้นที่

ซึ่งหลังเกิดฝนตกหนักในพื้นที่มาต่อเนื่องตั้งแต่วานนี้ (7 ก.ย.64)ที่ผ่านมา ซึ่ง จ.ชัยภูมิ เป็นจังหวัดเป็นแหล่งจุดต้นกำเนิดแม่น้ำชี ที่จะไหลผ่านไปเกือบทั่วภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หรือภาคอีสาน ล่าสุดเริ่มทำให้มีน้ำป่าไหลหลากลงสู่ลำแม่น้ำชีเริ่มหนุนสูงใกล้ล้นตลิ่งอีกไม่ถึง 1 เมตร แล้วหลายพื้นที่ผ่านลงมาจาก อ.หนองบัวแดง,อ.หนองบัวระเหว,อ.บ้านเขว้า,อ.จัตุรัส และผ่านมาเชื่อมในเขต อ.เมืองชัยภูมิ บางส่วนในเขตตำบลบ้านค่ายและตำบลบุงคล้า ติดรอยต่อเขตเทศบาลเมืองชัยภูมิ  ก่อนที่จะไหลผ่านไปยังพื้นที่ อ.เนินสง่า,คอนสวรรค์ และเชื่อมไหลผ่านออกต่อไปยังจังหวัดขอนแก่น ต่อไป

รวมทั้งในส่วนของเขื่อนลำปะทาวตอนบน และตอนล่าง ความจุรวมกว่า 60 ล้าน ลบ.ม.ที่ตั้งอยู่บนเทือกเขาภูแลนคา อยู่รอยต่อของ 2 อำเภอเขต อ.เมืองชัยภูมิ และ อ.แก้งคร้อ ที่จะมีเส้นทางน้ำไหลผ่าน ลงมาในโซนเศรษฐกิจตัวเมืองเขตเทศบาลเมืองชัยภูมิ ด้วยทั้งหมดในขณะนี้เกิดฝนตกตกเนื่องทำให้มีปริมาณน้ำใกล้เต็มเขื่อนลำปะทาวทั้ง 2 แห่งแล้ว ซึ่งทางเขื่อนลำปะทาวก็ได้เริ่มเตรียมแผนรับมือด้วยการทยอยปล่อยระบายน้ำออกมาจากเขื่อนลำปะทาวตอนล่างอย่างต่อเนื่องในขณะนี้แล้ว เพื่อไม่ให้เกิดน้ำป่าหลากล้นเขื่อนได้

ซึ่งนายวิเชียร จันทรโณทัย ผู้ว่าราชการจังหวัดชัยภูมิ จึงขอแจ้งประกาศเตือนประชาชนในทุกพื้นที่เสี่ยงดังกล่าว ช่วยกันเฝ้าระวัง และติดตามสถานการณ์ที่ในช่วงตั้งแต่ 7- 11 ก.ย.64 นี้ จ.ชัยภูมิ ยังจะเกิดฝนฟ้าคะนองตกหนัก  และเสี่ยงเกิดน้ำท่วมฉับพลัน และน้ำป่าหลากได้ ควรที่การเตรียมตัวให้พร้อมในการติดตามสภาพอากาศและปริมาณน้ำในพื้นที่ใกล้ตัวเอง เตรียมสิ่งของเครื่องใช้ของมีค่าที่จำเป็นและพร้อมเตรียมอพยพออกจากพื้นที่มาอยู่ในที่ปลอดภัยที่แต่ละพื้นที่ต้องมีการจัดเตรียมรองรับไว้ได้ทันทีในช่วงนี้ด้วย

ด้วยความเจริญของเทคโนโลยีในปัจจุบันทำให้การรักษาโรคภัยไข้เจ็บถือว่าเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น ทำให้มนุษย์สามารถหายได้อย่างรวดเร็ว แต่การรักษาในอดีตก็ยังสามารถช่วยบรรเทาอาการเจ็บป่วยได้เหมือนกันอย่างการรักษาแบบ “โฮมีโอพาธีย์ (Homeopathy)”

การระบาดของไวรัส COVID-19 อย่างหนักในบ้านในเมืองของเราเวลานี้ การรักษาโดยกระบวนการทางการแพทย์แผนปัจจุบันอย่างเดียวคงจะไม่พอเพียงและทันต่อเหตุการณ์แล้ว การรักษาด้วยกระบวนการแพทย์ทางเลือก (Alternative Medicine) ด้วยวิธีการรักษาแบบผสมผสาน (Complementary Medicine) จึงเป็นทางเลือกอีกกระบวนการหนึ่งซึ่งน่าสนใจ และควรที่จะนำมาใช้ในการรักษาภายใต้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนี้

National Center of Complementary and Alternative Medicine (NCCAM) ของสหรัฐอเมริกา ได้มีการจำแนกตามกลุ่มของการแพทย์ทางเลือกออกเป็น 5 กลุ่ม

การแพทย์ทางเลือกที่นำไปใช้เสริมหรือใช้ร่วมกับการแพทย์แผนปัจจุบัน เรียกว่า “Complementary Medicine” ส่วนการแพทย์ทางเลือกที่สามารถนำไปใช้ทดแทนการแพทย์แผนปัจจุบันได้ โดยไม่ต้องอาศัยการแพทย์แผนปัจจุบัน เรียกว่า “Alternative Medicine” โดย ศูนย์สุขภาพเสริมและสุขภาพเชิงบูรณาการแห่งชาติ เป็นหน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาที่กำกับดูแลการแพทย์ทางเลือก ก่อตั้งขึ้นครั้งแรกในชื่อว่า สำนักงานการแพทย์ทางเลือก (Office of Alternative Medicine : OAM) และเปลี่ยนชื่อเป็น ศูนย์การแพทย์ผมผสานและการแพทย์ทางเลือก (National Center for Complementary and Alternative Medicine : NCCAM) 

ก่อนที่จะได้รับชื่อปัจจุบันคือ ศูนย์สุขภาพเสริมและสุขภาพเชิงบูรณาการแห่งชาติ (The National Center for Complementary and Integrative Health : NCCIH) เป็นหนึ่งใน 27 ศูนย์และสถาบันที่ประกอบเป็น สถาบันสาธารณสุขแห่งชาติ (National Institutes of Health : NIH) ภายใต้กระทรวงสาธารณสุขและบริการมนุษย์ (Department of Health and Human Services) ของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา เมื่อปี พ.ศ. 2548 ได้จำแนกออกเป็น 5 กลุ่มดังนี้ 

Alternative Medical Systems คือ การแพทย์ทางเลือกที่มีวิธีการตรวจรักษาวินิจฉัยและการบำบัดรักษาที่มีหลากหลายวิธีการ ทั้งด้านการให้ยา การใช้เครื่องมือมาช่วยในการบำบัดรักษาและหัตถการต่าง ๆ เช่น การแพทย์แผนโบราณของจีน (Traditional Chinese  Medicine) การแพทย์แบบอายุรเวชของอินเดีย เป็นต้น

Mind-Body Interventions คือ วิธีการบำบัดรักษาแบบใช้กายและใจ เช่น การใช้สมาธิบำบัด โยคะ ชี่กง เป็นต้น

Biologically Based Therapies คือ วิธีการบำบัดรักษาโดยการใช้ สารชีวภาพ สารเคมีต่าง ๆ เช่น สมุนไพร วิตามิน Chelation Therapy Ozone Therapy หรือแม้กระทั่งอาหารสุขภาพ เป็นต้น โฮมีโอพาธีย์ (Homeopathy) จัดอยู่ในอยู่ในกลุ่มนี้

Manipulative and Body-Based Methods คือ วิธีการบำบัดรักษาโดยการใช้ หัตถการต่าง ๆ เช่น การนวด การดัด การจัดกระดูก Osteopathy Chiropractic เป็นต้น

Energy Therapies คือ วิธีการบำบัดรักษาที่ใช้พลังงานในการบำบัดรักษาที่สามารถวัดได้และไม่สามารถวัดได้ในการบำบัดรักษา เช่น การสวดมนต์บำบัด พลังกายทิพย์ พลังจักรวาล เรกิ โยเร เป็นต้น

ในการพิจารณาเลือกใช้การแพทย์ทางเลือก ต้องคำนึงถึงหลัก 4 ประการ คือ

ความน่าเชื่อถือ (Rational) โดยดูจากวิธีการหรือองค์ความรู้ด้านการแพทย์ทางเลือกชนิดนั้น ประเทศต้นกำเนิดให้การยอมรับหรือไม่ หรือมีการใช้แพร่หลายหรือไม่ ใช้มาเป็นเวลานานเพียงใด มีการบันทึกไว้หรือไม่ อย่างไร เป็นต้น

ความปลอดภัย (Safety) เป็นเรื่องสำคัญมากว่า จะส่งผลกับสุขภาพของผู้ใช้อย่างไร การเป็นพิษแบบเฉียบพลันมีหรือไม่ พิษแบบเรื้อรังมีเพียงใด อันตรายที่จะเกิดขึ้นในระยะยาวมีหรือไม่ หรือวิธีการนั้นทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกายหรือไม่ เป็นต้น

การมีประสิทธิผล (Efficacy) เป็นเรื่องที่จะต้องพิสูจน์หรือมีข้อพิสูจน์มาแล้วว่าสามารถใช้ได้จริง มีข้อมูลยืนยันได้ว่าใช้แล้วได้ผล ซึ่งอาจต้องมีจำนวนมากพอหรือใช้มาเป็นเวลานานจนเป็นที่ยอมรับจากการศึกษาวิจัยหลากหลายวิธีการ เป็นต้น

ความคุ้มค่า (Cost - Benefit - Effectiveness) โดยเทียบว่าค่าใช้จ่ายที่เกิดด้วยวิธีนั้น ๆ คุ้มค่ากับการรักษาโรคที่ผู้ป่วยต้องทนทุกข์ทรมานหรือไม่ โดยอาจเทียบกับฐานะทางการเงินของผู้ป่วยแต่ละคน เป็นต้น

โฮมีโอพาธีย์ (Homeopathy) เป็นการแพทย์ทางเลือกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งถือกำเนิดขึ้นในปี พ.ศ. 2339 โดย Christian Friedrich Samuel Hahnemann แพทย์ชาวเยอรมัน ผู้ซึ่งเชื่อว่าสารที่ทำให้เกิดอาการของโรคในคนที่มีสุขภาพดีสามารถรักษาอาการคล้ายคลึงกันในคนป่วย ความเชื่อพื้นฐานตามหลักการนี้เรียกว่า similia similibus curentur หรือ "เหมือนการรักษาเหมือน" (like cures like) หรืออาจจะเปรียบได้ว่า เป็นการรักษาแบบ “หนามยอกเอาหนามบ่ง” กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ สิ่งที่ทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยในคนที่มีสุขภาพดี สามารถรักษาด้วยการใช้เชื้อของโรคที่มีอาการคล้ายคลึงกันได้ในขนาดที่เล็กมาก สิ่งนี้มีขึ้นเพื่อกระตุ้นการป้องกันตามธรรมชาติของร่างกาย การเตรียม Homeopathic เรียกว่าการเยียวยา และทำโดยการเจือจาง Homeopathic ในกระบวนการนี้ สารที่เลือกจะถูกเจือจางซ้ำ ๆ จนกว่าผลิตภัณฑ์ขั้นสุดท้ายจะแยกไม่ออกจากตัวเจือจางทางเคมี มักไม่มีแม้แต่โมเลกุลเดียวของสารดั้งเดิมที่สามารถคาดหวังให้คงอยู่ในผลิตภัณฑ์ได้ ระหว่าง Homeopaths การเจือจางแต่ละครั้งอาจกระทบและ/หรือเขย่าผลิตภัณฑ์ โดยอ้างว่าสิ่งนี้ทำให้ตัวเจือจางจำสารเดิมได้หลังจากกำจัด 

ทฤษฏีนี้กล่าวว่า การเตรียมการดังกล่าวเมื่อรับประทานเข้าไปสามารถรักษาหรือรักษาโรคได้ ซึ่งอธิบายได้ดังนี้ : หลักการโฮมีโอพาธีย์ในการผลิตยาปกติสำหรับบำบัด รักษาผู้ที่ได้รับความเจ็บป่วยในอาการเดียวกัน โดยใช้สารที่ก่อให้เกิดความเจ็บป่วยในคนหนึ่งส่วนมาเจือจางกับน้ำหรือแอลกอฮอล์อีก 9 หรือ 99 ส่วน พร้อมทั้งเขย่าขึ้นลงในแนวตั้ง 10 หรือ 100 ครั้งตามสัดส่วนที่เจือจางซึ่งเรียก ขนาดความแรง เป็น 1D หรือ 1C จากนั้นนำสาร 1D หรือ 1C มาเจือจางต่ออีก 1:10 หรือ 1:100 พร้อมเขย่าเช่นเดิม 10 หรือ 100 ครั้ง จะเรียก ขนาดความแรง 2D หรือ 2C ทำไปเรื่อย ๆ จะมีความแรงในการบำบัดรักษาเพิ่มขึ้นตามความแรงที่เพิ่มขึ้น อันที่จริง ยาเหล่านี้จำนวนมากไม่มีโมเลกุลของสารดั้งเดิมเหลืออยู่อีกต่อไป ยาโฮมีโอพาธีย์มีอยู่ในหลายรูปแบบลักษณะ เช่น ของเหลว ครีม เจล และยาเม็ด โดยระหว่างการรักษา แพทย์ Homeopathic (Homeopaths)จะถามคำถามหลายข้อเกี่ยวกับสุขภาพจิต อารมณ์ และร่างกายของคนไข้ เพื่อจะกำหนดวิธีการรักษาที่ตรงกับอาการของคนไข้มากที่สุด จากนั้นจะมีการปรับแต่งกระบวนการรักษาสำหรับคนไข้ตามแต่อาการเฉพาะราย

อาร์นิกา (ARNICA) เป็นสมุนไพร ดอกสีเหลือง มีสรรพคุณในการฆ่าเชื้อโรค และช่วยการฟื้นฟูของเนื้อเยื่อ

ตัวอย่างเช่น หอมแดงทำให้ดวงตามีน้ำ นั่นเป็นเหตุผลที่ใช้ในการรักษาโรคภูมิแพ้ทางชีวจิต การรักษาโรคอื่น ๆ ด้วยตัวยาจากไม้เลื้อยพิษ สารหนูสีขาว ผึ้งทั้งตัวบด และสมุนไพรที่เรียกว่า อาร์นิกา (ARNICA) เป็นดอกสีเหลือง มีสรรพคุณในการฆ่าเชื้อโรค และช่วยการฟื้นฟูของเนื้อเยื่อ เป็นที่นิยมสำหรับบรรเทาอาการปวดที่เกิดจากรอยฟกช้ำหรืออักเสบ นอกจากนั้นยังมีคนไข้สมบัติต่อต้านอนุมูลอิสระ (anti-aging) และช่วยลดอาการบวมอีกด้วย

การรักษาด้วยกระบวนการโฮมีโอพาธีย์ (Homeopathy) สามารถแก้ปัญหาสุขภาพที่หลากหลาย รวมถึงโรคเรื้อรังบางอย่าง 
>> โรคภูมิแพ้
>> ไมเกรน
>> อาการซึมเศร้า
>> โรคอ่อนเพลียเรื้อรัง
>> ข้ออักเสบรูมาตอยด์
>> อาการลำไส้แปรปรวน
>> กลุ่มอาการก่อนมีประจำเดือน
นอกจากนี้ยังสามารถใช้สำหรับปัญหาเล็กน้อย เช่น รอยฟกช้ำ รอยถลอก ปวดฟัน ปวดหัว คลื่นไส้ ไอ และหวัด

ร้านขายยาสไตล์ละตินอเมริกันคาริเบียน (การแพทย์สเปนและโปรตุเกสแบบดั้งเดิม) ซึ่งอาจมีลักษณะเหมือนร้านขายยาที่มีพื้นฐานจากวิทยาศาสตร์ ความแตกต่างที่ไม่ได้อยู่ในลักษณะที่ปรากฏ แต่ขึ้นอยู่กับพื้นฐานของความเชื่อที่ว่า ยามีผลต่อการรักษา

การทำงาน ? การวิจัยมีความหลากหลาย การศึกษาบางชิ้นแสดงให้เห็นว่าการรักษาด้วยกระบวนการโฮมีโอพาธีย์ (Homeopathy) มีประโยชน์ด้วยการรักษาที่การรักษาแบบอื่นไม่ทำกัน นักวิจารณ์กล่าวถึงประโยชน์ของยาหลอก นั่นคือเวลาที่อาการดีขึ้นเพราะคนไข้เชื่อว่าการรักษานั้นได้ผล ไม่ใช่เพราะมันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ สิ่งนี้สามารถกระตุ้นสมองให้ปล่อยสารเคมีที่ช่วยบรรเทาอาการปวดหรืออาการอื่น ๆ ได้ชั่วครู่ แต่ทฤษฎีบางอย่างที่โฮมีโอพาธีย์ (Homeopathy) นำมาใช้อ้างอิงนั้นไม่สอดคล้องกับหลักการของเคมีและฟิสิกส์ โดยเหตุผลตามหลักวิทยาศาสตร์คือ ยาที่ไม่มีสารออกฤทธิ์ (ยาหลอก) ไม่ควรมีผลกับร่างกาย

ความเสี่ยงคืออะไร ? สำนักงานอาหารและยาของสหรัฐฯ (U.S Food & Drug Administration (FDA) ได้กำกับดูแลการรักษาด้วยกระบวนการโฮมีโอพาธีย์ (Homeopathy) แต่จะไม่ตรวจสอบเพื่อดูว่าปลอดภัยหรือมีประสิทธิภาพหรือไม่ โดยทั่วไปแล้วพบว่า ส่วนใหญ่รับยาและดื่มน้ำน้อยจนไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงใด ๆ แต่มีข้อยกเว้น กรณียาที่อาจมีสารออกฤทธิ์จำนวนมาก เช่น โลหะหนัก ซึ่งอาจเป็นอันตรายได้ กรณีตัวอย่าง : ในปี พ.ศ. 2559 FDA ได้ออกคำเตือนเกี่ยวกับการใช้ยาเม็ดและเจลสำหรับการรักษาตามกระบวนการโฮมีโอพาธีย์ (Homeopathy) เนื่องจากความเสี่ยงต่อสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นกับทารกและเด็ก หากคนไข้กำลังพิจารณาที่จะลองใช้วิธีการรักษาทางเลือกเหล่านี้  ต้องปรึกษาแพทย์ประจำตัวก่อน เพื่อความมั่นใจว่า ปลอดภัยและจะไม่มีผลต่อยาอื่น ๆ ที่คนไข้กำลังใช้อยู่

จากการศึกษาวิจัยด้านการแพทย์ทางเลือกในบ้านเราพบว่า ศาสตร์ที่คนไทยรู้จัก และให้ความศรัทธาและมีความนิยมใช้จำนวน 25 ศาสตร์ ดังนี้ 

1.) สมุนไพร 2.) การนวด 3.) สมาธิ/โยคะ 4.) การนวดศีรษะ 5.) การรำมวยจีน/ไทเก็ก 6.) พลังรังสีธรรม 7.) สมาธิหมุน 8.) ชีวจิต 9.) พลังจักรวาล/โยเร 10.) การฝังเข็ม 11.) การฟังดนตรี 12.) การสวดมนต์/ภาวนา 13.) อบสมุนไพร 14.) การใช้เครื่องหอม/ยาดม 15.) การใช้วิตามิน/เกลือแร่/อาหารปลอดสารพิษ 16.) ดื่มน้ำผัก/ผลไม้ 17.) การสวนล้างพิษ 18.) การดูหมอ/รดนำมนต์ 19.) ศิลปะบำบัด 20.) การผ่อนคลายแบบ Biofeedback 21.) การใช้คาถา/เวทมนต์ 22.) การเพ่งโดยการใช้แสง สี เสียง 23.) การเข้าทรงนั่งทางใน 24.) การใช้เก้าอี้แม่เหล็กไฟฟ้า 25.) การใช้วิชาธรรมจักร 

นอกจากนี้ยังมีการนำศาสตร์การแพทย์ทางเลือกรูปแบบต่าง ๆ ไปใช้ในกลุ่มผู้ป่วยเรื้อรังต่าง ๆ ร่วมกับการแพทย์แผนปัจจุบัน ตัวอย่างเช่น มีการนำเอาการแพทย์ทางเลือกทั้งในรูปแบบของอาหารสุขภาพ การนั่งสมาธิ การใช้หินบำบัด ฯลฯ มาใช้ร่วมกันในการรักษาในกลุ่มผู้ป่วยมะเร็งเป็นต้น

ภาพรวมจากรายละเอียดและข้อมูลต่าง ๆ จะพบว่า การแพทย์ทางเลือกในบ้านเรามีอัตราการขยายตัวสูงมากขึ้นเรื่อย ๆ และกำลังเป็นที่สนใจของประชาชนในสังคมเป็นอย่างยิ่ง ดังกระทรวงสาธารณสุขจึงมีภารกิจเร่งด่วนที่ต้องเร่งจัดการและทำการศึกษาองค์ความรู้ด้านการแพทย์ทางเลือกต่าง ๆ เพื่อเผยแพร่ข้อมูลได้อย่างถูกต้องแก่ประชาชนต่อไป โดยเฉพาะการระบาดของไวรัส COVID-19 อย่างหนักในบ้านเมืองของเราเวลานี้ จำเป็นต้องเร่งให้ทำการศึกษาและเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจในการใช้สมุนไพรต่าง ๆ อาทิ ฟ้าทะลายโจร กระชายขาว สมุนไพรต่าง ๆ ตลอดจนศาสตร์ทางเลือกต่าง ๆ รวมทั้งการรักษาด้วยกระบวนการโฮมีโอพาธีย์ (Homeopathy) ด้วย ซึ่งต่อทำคู่ขนานกันไปในภาวะวิกฤตเช่นนี้ ทั้งนี้ทั้งนั้นผู้ที่รับการรักษาด้วยวิธีการตามกระบวนการแพทย์ทางเลือกจะเป็นผู้ที่ให้ข้อมูลที่ดีและเป็นประโยชน์มากที่สุดในอันที่จะพัฒนาต่อยอดการรักษาด้วยการแพทย์ทางเลือกให้มีประสิทธิภาพ และเกิดประสิทธิผลต่อแนวทางการรักษาด้วยศาสตร์ของการแพทย์ทางเลือกต่อไป


เขียนโดย : ดร.โญธิน มานะบุญ นักวิชาการอิสระ

เชียงใหม่ - ประธานหอฯ เชียงใหม่ ชี้! ภาวะเศรษฐกิจเชียงใหม่ครึ่งแรก และแนวโน้มโควิด-19 ยังเป็นปัจจัยหลักทำให้เศรษฐกิจภาพรวมยังหดตัว

วันที่​ 7​ ก.ย.​ 2564​ เวลา​ 10.00​ น.​ ณ​ ห้องประชุม​ 1​ ชั้น​ 2​ สำนักงานหอการค้า​จังหวัดเชียงใหม่ นายจุลนิตย์ วังวิวัฒน์ ประธานกรรมการหอการค้าจังหวัดเชียงใหม่ ดร.กอบกิจ อิสรชีวัฒน์ รองประธานกรรมการหอการค้าจังหวัด เชียงใหม่  นายสมชาย ทองคำคูณ รองประธานกรรมการหอการค้าจังหวัดเชียงใหม่ พร้อมด้วยคณะกรรมการบริหารฯได้ร่วมกันแถลงข่าวภาวะเศรษฐกิจจังหวัดเชียงใหม่ไตรมาสที่ 1-2 ประจำปี 2564 และแนวโน้มภาวะเศรษฐกิจในไตรมาส 3 และ 4

นายจุลนิตย์ วังวิวัฒน์ ประธานกรรมการหอการค้าจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า การระบาดของโควิด-19 ที่รุนแรงทั่วโลกต้นปี 2563  ส่งผลให้ธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่หดตัวรุนแรงและสูญเสียรายได้ ซึ่งส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจต่อเนื่องหดตัวสูง ทั้งการบริโภคและการลงทุน ธุรกิจจำนวนมากปิดกิจการและเลิกจ้างแรงงาน  ภาวะเศรษฐกิจช่วงไตรมาส 1 ปี 2564 หดตัวใกล้เคียงต่อเนื่องจากไตรมาสก่อน จากการแพร่ระบาดของโควิดระลอกที่สอง ส่งผลให้ภาคการท่องเที่ยวหดตัวมาก  การใช้จ่ายปรับตัวดีขึ้นในกลุ่มสินค้าจำเป็น  ในไตรมาสที่สองเศรษฐกิจเชียงใหม่ได้รับผลกระทบรุนแรงจากการแพร่ระบาดของโควิดรอบสาม และการดำเนินมาตรการควบคุมการระบาดในประเทศ ส่งผลให้ภาคท่องเที่ยวและการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนหดตัวมากขึ้น ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมกลับมาขยายตัวจากการส่งออกที่เพิ่มขึ้น ด้านการใช้จ่ายภาครัฐขยายตัวสูงจากการเร่งเบิกจ่าย ขณะที่การลงทุนภาคเอกชนชะลอลงตามสถานการณ์เศรษฐกิจโดยรวม

สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจจังหวัดเชียงใหม่ช่วงไตรมาส 3 และ 4 ปี 2564  การแพร่ระบาดโควิด-19 ระลอกสามกระทบการท่องเที่ยวไตรมาส 3 ปี 64 อย่าง มาก รายได้ของธุรกิจและชาวเชียงใหม่หายไปมากช่วงปีเศษนี้ แผนการจัดหาและกระจายวัคซีน โควิด-19 ที่ชัดเจนมากขึ้น และสถานการณ์ ความรุนแรงของโควิด ณ ต้นเดือน ก.ย.น่าจะผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว หากธุรกิจ ท่องเที่ยวและธุรกิจท่ีเกี่ยวข้อง ได้รับการสนับสนุนเยียวยา ฟื้นฟูจากทางการ เช่น การเติมสภาพคล่อง การปรับโครงสร้างหนี้ คาดว่าการท่องเที่ยวจาก นักท่องเที่ยวในประเทศจะค่อย ๆ ฟื้นตัวในไตรมาส 4 ปี 64 เมื่อการท่องเท่ียวท่ีเป็นเครื่องยนต์หลักของจงัหวดัเชียงใหม่กลับมา เดินเครื่องได้ ธุรกิจอื่น ๆ ท่ีเก่ียวเนื่อง การจ้างแรงงาน การใช้จ่าย การลงทุนจะเริ่มขยับขึ้นมาได้

ด้านดร.กอบกิจ อิสรซีวัฒน์ รองประธานกรรมการหอการค้าจังหวัด เซียงใหม่ กล่าวเพิ่มเติมว่า ภาคบริการด้านการท่องเที่ยว ไตรมาส 1 ปี 2564 หดตัวมากขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า จากการแพร่ระบาดระลอกสอง ประกอบกับสถานการณ์หมอกควัน ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวและอัตราการเข้าพักลดลง โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติยังคงหดตัวสูง จากมาตรการจำกัดการเดินทางระหว่างประเทศ เข้าสู่ไตรมาส 2 ภาคการท่องเที่ยวหดตัวมากขึ้น จากการระบาดของโควิดระลอกสาม ที่กระจายวงกว้างและรุนแรงมาก และจากมาตรการควบคุมการระบาดของจังหวัดต่าง ๆ ส่งผลให้นักท่องเที่ยวในประเทศชะลอการเดินทาง โดยภาพรวมช่วงครึ่งปีแรก 2564 ภาคการท่องเที่ยวหดตัวรุนแรง สูญเสียรายได้ต่อเนื่องเกือบ 2 ปี ธุรกิจจำนวนมากต้องปิดกิจการ  แรงงานภาคท่องเที่ยวไม่มีรายได้ 

ภาคอุปโภคบริโภคภาคเอกชน ไตรมาสแรกของปี หดตัวน้อยลงจากไตรมาสก่อน จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ส่งผลให้การใช้จ่ายสินค้าในชีวิตประจำวันปรับดีขึ้นโดยเฉพาะกลุ่มสินค้าจำเป็น ในขณะที่ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคยังอยู่ในระดับต่ำ สะท้อนกำลังซื้อที่เปราะบาง เมื่อเข้าสู่ไตรมาส 2 การอุปโภคบริโภคหดตัวเพิ่มขึ้น จากการระบาดของ COVID-19 ระลอกสาม  ทำให้การใช้จ่ายในหมวดสินค้าใน 

ชีวิตประจำวันและหมวดบริการหดตัว ด้านการใช้จ่ายหมวดสินค้าคงทนชะลอกำลังซื้อโดยเฉพาะกลุ่มรถยนต์นั่งส่วนบุคคล และรถบรรทุกเชิงพาณิชย์ ขณะที่กลุ่มรถจักรยานยนต์ยังขยายตัวได้ตามความต้องการซื้อของลูกค้ากลุ่มเกษตร โดยภาพรวมครึ่งปี 2564 การใช้จ่ายกระเตื้องเล็กน้อยในช่วงต้นปี และชะลอลงเมื่อพบการระบาดระลอกที่สาม

ภาคการลงทุนภาคเอกชน ชะลอลงต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมาทั้งสองไตรมาส การลงทุนเพื่อการก่อสร้างชะลอตัว ตามภาคอสังหาริมทรัพย์ ที่ชะลอลงตามกำลังซื้อที่อ่อนแอ ทำให้ผู้ประกอบการเลื่อนแผนการลงทุนออกไป การลงทุนเพื่อการผลิตขยายตัวเล็กน้อย จากการลงทุนในกลุ่มธุรกิจขนส่ง ทั้งสินค้า  E-Commerce และสินค้าเกษตร โดยยังมีความต้องการซื้อรถยนต์เชิงพาณิชย์ สะท้อนจากยอดจดทะเบียนรถยนต์เชิงพาณิชย์ขยายตัว รวมทั้งมีการลงทุนนำเข้าเครื่องจักรเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตและรองรับคำสั่งซื้อในอนาคต เฉพาะธุรกิจรายใหญ่บางรายเท่านั้น โดยภาพรวมช่วงครึ่งปีแรกของปีการลงทุนภาคเอกชนชะลอลงมาก   

ไตรมาสแรก (ม.ค. - มี.ค) การใช้จ่ายของภาครัฐลดลงจากไตรมาสก่อน รายจ่ายประจำหดตัวโดยลดลงมากในหมวดเงินอุดหนุนทั่วไปของสถาบันการศึกษา และหมวดรายจ่ายอื่นของงบกลาง ส่วนทางด้านรายจ่ายลงทุนขยายตัวสูงต่อเนื่อง จากการเร่งเบิกจ่ายของ หน่วยงานต่าง ๆ โดยเฉพาะในหมวดที่ดินและสิ่งก่อสร้างด้านโครงสร้างพื้นฐาน ในไตรมาส 2 การใช้จ่ายภาครัฐขยายตัวสูงจากไตรมาสก่อน จากการเร่งรัดการเบิกจ่าย โดยรายจ่ายประจำขยายตัว ส่วนรายจ่ายลงทุนก็ขยายตัวสูงตามการใช้จ่ายในหมวดที่ดินและสิ่งก่อสร้างด้านโครงสร้างพื้นฐาน และหมวดเงินอุดหนุนเฉพาะกิจของกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน    

รายได้ภาคเกษตร ในครึ่งแรกปี 2564 โดยรวมลดลงเล็กน้อย เนื่องจากผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และสุกรลดลงจากโรคระบาด  ราคาสุกรเพิ่มสูงตามความต้องการจากตลาดภายในและต่างประเทศ ส่วนราคาข้าวโพดสูงขึ้นเล็กน้อย  ราคาที่สูงยังไม่สามารถชดเชยรายได้ที่เสียไปจากผลผลิตที่ลดลงมาก สำหรับผลผลิตพืชสำคัญชนิดอื่น เช่น ข้าว ลำไยนอกฤดู มะม่วง เพิ่มขึ้นจากสภาพอากาศเอื้ออำนวยและราคาอยู่ในเกณฑ์ดี 

การผลิตภาคอุตสาหกรรมฟื้นตัว เครื่องชี้สำคัญ เช่น การใช้ไฟฟ้าภาคอุตสาหกรรมลดลงร้อยละ 3.7 แต่ปรับตัวดีขึ้นช่วงไตรมาสสอง  ส่วนภาษีมูลค่าเพิ่มหมวดอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.3 อุตสาหกรรมผลิตเพื่อการส่งออกฟื้นตัวตามเศรษฐกิจต่างประเทศ  แต่ประสบปัญหาขาดตู้คอนเทนเนอร์ ทำให้การขนส่งล่าช้า และต้นทุนการขนส่งสูงขึ้นมาก การผลิตเพื่อบริโภคภายในประเทศโดยรวมหดตัวตามภาวะเศรษฐกิจ  สำหรับการผลิตผลิตภัณฑ์จากโคนมและหมวดอาหารแปรรูปฟื้นตัวดี และช่วงปลายไตรมาสสอง โรงงานแปรรูปผลิตผลเกษตร คอนกรีตผสมเสร็จเริ่มต้นผลิต 

เสถียรภาพเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปสูงขึ้นจากช่วงก่อนหน้ามาอยู่ที่ร้อยละ 1.7 ตามราคาพลังงานจากราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศ ที่เพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก ด้านตลาดแรงงานเปราะบางมากขึ้น อัตราการว่างงานสูงขึ้นเป็นเฉลี่ยร้อยละ 2.9 ในไตรมาสที่สอง  เทียบกับอัตราว่างงานร้อยละ 1.6 ช่วงก่อนโควิดไตรมาสที่ 4 ปี 2562  ธุรกิจปรับตัว เช่น การลดชั่วโมงการทำงาน ให้พนักงานหยุดงานโดย   ไม่รับค่าจ้าง  รวมทั้งเปลี่ยนเงื่อนไขการจ้างจากรายเดือนเป็นรายวัน และเลิกจ้างแรงงานประเภทสัญญาชั่วคราว   

ภาคการเงิน ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2564 ยอดเงินฝากคงค้างของสาขาธนาคารพาณิชย์ลดลงจากช่วงก่อนหน้า เนื่องจากย้ายไปลงทุนในสินทรัพย์อื่น จากที่โอนย้ายมาฝากกับธนาคารพาณิชย์ช่วงเกิดโควิดระลอกแรก ด้านสินเชื่อคงค้างยังคงขยายตัวต่อเนื่องในสินเชื่อประเภทค้าส่งค้าปลีก บริการและอุปโภคบริโภค ขณะที่สินเชื่อที่ให้กับสถาบันการเงินประเภทสหกรณ์ออมทรัพย์ อสังหาริมทรัพย์และอุตสาหกรรมลดลง

 


ภาพ/ข่าว  พัฒนชัย / เชียงใหม่

ตม.จว.ตาก คุมเข้มชายแดน! จับกุมคนเมียนมา พาเพื่อนร่วมชาติ 44 คน เดินลัดเลาะเขาหลบหนีเข้าพื้นที่ชั้นใน

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม. ดำเนินการตรวจสอบ

ชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุกับคนไทยหรือชาวต่างชาติ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.สิทธิชัย โล่กันภัย รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.เดชา กัลยาวุฒิพงศ์ ผบก.ตม 5, พ.ต.อ.เอกกร บุษบาบดินทร์ รอง ผบก.ตม.5, พ.ต.อ.เศรษฐภัทร ณ สงขลา ผกก.สส.บก.ตม.5, พ.ต.อ.สัมพันธ์ เหลืองสัจจกุล ผกก.ตม.จว.ตาก และ พ.ต.ท.สุชาติ เพ็ญภู่ รอง ผกก.ตม.จว.ตาก ร่วมแถลงข่าว ดังนี้

เจ้าหน้าที่ ตม.จว.ตาก ได้รับแจ้งจากสายลับว่ามีขบวนการนำพาแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายพาเข้าไปทำงานยังพื้นที่ชั้นในโดยวิธีลัดเลาะขึ้นป่าเขา จึงได้ประสานกำลังจากเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจตระเวนชายแดน ช่วยกันสกัดกั้น จนกระทั่งคืนวันเกิดเหตุ สามารถจับกุมผู้ต้องหาดังกล่าวได้ขณะกำลังเดินลัดเลาะแนวเขาบ้านห้วยไม้ฮ่าง หมู่ 6 ต.ด่านแม่ละเมา อ.แม่สอด จว.ตาก จากการตรวจสอบพบนายเปาเป็ง ไม่มีนามสกุล อายุ 42 ปี สัญชาติเมียนมา ยอมรับว่าตนเป็นชาวเมียนมา เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรได้ประมาณ 5 ปี ต่อมาตนและเพื่อนอีก 3 คน ได้ตกลงนัดหมายกันที่จะลักลอบพาชาวเมียนมา จำนวน 44 คน เดินทางข้ามมายังฝั่งไทย โดยใช้วิธีเดินเท้าลัดเลาะเขาเพื่อพาไปส่งยังจุดนัดพบที่ อ.บ้านตาก จว.ตาก จะมีกลุ่มขบวนการอีกกลุ่มรอรับอยู่ โดยนายเปาเป็ง ยอมรับว่าตนพร้อมพวกเป็นคนนำทางจริง ได้ค่าจ้างหัวละ 200 บาท ส่วนนายส่อเลหน่าย พร้อมพวกคนต่างด้าวสัญชาติเมียนมาหลบหนีเข้าเมืองอีก 44 คน รับว่าได้ลักลอบเข้าเมืองมาโดยผิดกฎหมาย โดยได้จ่ายค่าเดินทางให้กับนายหน้าไปแล้วคนละ ประมาณ 7,500 - 20,000 บาท เพื่อเข้าไปทำงานที่เขตบางแค กรุงเทพฯ โดยเดินทางข้ามฝั่งทางเรือมายังฝั่งไทยในเวลากลางคืน แล้วก็มีนายเปาเป็ง กับพวก เป็นคนนำทางพาเดินลัดเลาะป่าเขาจนกระทั่งถูกจับกุม จนท.ชุดจับกุมจึงได้แจ้งข้อกล่าวหาและนำตัวผู้ต้องหานำส่ง สภ.พะวอ เพื่อดำเนินคดีต่อไป

ผู้ถูกจับที่ 1 นายเปาเป็ง ในความผิดฐาน “ซ่อนเร้น หรือช่วยด้วยประการใดๆให้คนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายพ้นจากการจับกุม” ผู้ถูกจับที่ 2 – 45 นายส่อเลหน่าย พร้อมพวกคนต่างด้าวสัญชาติเมียนมาหลบหนีเข้าเมือง (ช.22 ญ.22) ในความผิดฐาน “เป็นบุคคลต่างด้าวเดินทางเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต” เหตุเกิด บริเวณกลางป่าไม้บ้านห้วยไม้ฮ่าง หมู่ 6 ต.ด่านแม่ละเมา อ.แม่สอด จว.ตาก

สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่าง ๆ ประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และประเทศเพื่อนบ้าน ให้บริการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน รวมทั้งดำเนินการตรวจสอบชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศชาติ หากประชาชนท่านใด เห็นเบาะแสการกระทำความผิด  กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507 ซ.สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178  หรือที่ www.immigration.go.th จักขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top