Monday, 7 July 2025
SPECIAL

แถลงผลการจับกุม 2 คดีสำคัญ! รวบ 5 ผู้ต้องหา พบของกลางยาบ้า 5,400,000 เม็ด และกัญชา 560 กก.

วันที่ 13 ก.ย. 64 เวลา 10.00 น. ณ บช.ปส. พล.ต.อ.มนู เมฆหมอก รอง ผบ.ตร., พล.ต.ท.มนตรี ยิ้มแย้ม ผบช.ปส., พล.ต.ต.อนุภาพ ศรีนวล รอง ผบช.ปส., พล.ต.ต.สมบัติ ชูชัยยะ ผบก.อก.บช.ปส., พล.ต.ต.พรพิทักษ์ รู้ยืนยง ผบก.ปส.1, พล.ต.ต.วัชรินทร์ บุญคง ผบก.ปส.2, พล.ต.ต.บรรพต มุ่งขอบกลาง ผบก.ปส.3, พล.ต.ต.วุฒิพงษ์ นาวิน ผบก.ปส.4, พล.ต.ต.พลัฎฐ์ วิเศษสิงห์ ผบก.สกส., พล.ต.ต.หญิง วนิดา หาญบุญเศรษฐ ผบก.ประจำ บช.ปส. ร่วมกันแถลงผลการจับกุมผู้ต้องหาคดียาเสพติดรายสำคัญ จำนวน 2 คดี ผู้ต้องหารวม 5 คน ของกลางยาบ้า 5,400,000 เม็ด, กัญชา 560 กก. รายละเอียดมี ดังนี้    

เมื่อวันที่ 12 ก.ย. 2564 เวลาประมาณ 12.00 - 12.20 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.สกส.บช.ปส. เจ้าหน้าที่ ป.ป.ส. เจ้าหน้าที่ กอง 12 ศรภ. เจ้าหน้าที่ตำรวจภูธร บก.สส.ภ.5 และ เจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวงสิงห์บุรี และ อยุธยา ได้ร่วมกันจับกุมผู้ต้องหาคดียาเสพติด จำนวน 1 คดี ผู้ต้องหา 3 คน    

1. นายขวัญนภัส ลี้เจริญสุวรรณ อายุ 32 ปี ที่อยู่ บ้านเลขที่ 18/18 ม.13 ต.ช่องแคบ อ.พบพระ จว.ตาก (ผู้ต้องหาที่ 1) 

2. ส.ต.ตั๋ว เจริญภัย อายุ 40 ปี ที่อยู่ บ้านเลขที่ อายุ 82 ม.1 ต.รวมไทยพัฒนา อ.พบพระ จว.ตาก (ผู้ต้องหาที่ 2) ยศ.รด.  3. ส.ต.สิทธิพล เจริญงดงาม อายุ 40 ปี ที่อยู่ 6/2 ม.1 ต.รวมไทยพัฒนา อ.พบพระ จว.ตาก (ผู้ต้องหาที่ 3)  ยศ.รด.

พร้อมของกลาง จำนวน 5 รายการ  

1. ยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) จำนวน 27 กระสอบ จำนวนประมาณ 5,400,000 เม็ด

2. รถยนต์กระบะแครี่บอย ยี่ห้อ Nissan สีบรอนด์ทอง จำนวน 1 คัน

3. รถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน ยี่ห้อ Honda รุ่น City สีดำ จำนวน 1 คัน

4. เงินสด จำนวน 17,000 บาท 

5. โทรศัพท์ มือถือ จำนวน 4 เครื่อง

โดยกล่าวหาว่า “ร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย  โดยไม่ได้รับอนุญาต” บริเวณถนนหมายเลข 3283 ต.ท่างาม อ.อินทร์บุรี จว.สิงห์บุรี ต่อเนื่อง บริเวณถนนหมายเลข 32 ต.โพบางดำออก อ.สรรพยา จว.ชัยนาท เวลาประมาณ 12.00-12.20 น. ของวันที่ 12 ก.ย. 64

ตามที่หน่วยปราบปรามยาเสพติดอุดรธานี ได้เข้าขยายผลจากการจับกุมผู้ต้องหานายชัยณรงค์ หมั่นเขตรกิจ ข้อหาเสพยาเสพติดให้โทษตามกฎหมายขณะขับรถ (เสพขับ) ในพื้นที่ สภ.บ้านแพง จว.นครพนม โดยสังเกตพบว่ารถยนต์ตู้ที่ผู้ต้องหาขับขี่มาภายในรถถอดเบาะโดยสารออกทั้งหมด มีลักษณะต้องสงสัย จึงได้สืบสวนขยายผลจนทราบว่ามีความเกี่ยวข้องกับการจับกุมเครือข่ายลักลอบลำเลียงกัญชา 274 กิโลกรัม ที่ด่านตรวจยานพาหนะสีคิ้ว ของ บก.ปส.2 บช.ปส. เมื่อวันที่ 22 มิ.ย.64 จนกระทั่งทำการจับกุมผู้ต้องหาทั้ง 2 คน  

1. นายนิพนธ์ หรือแสบ เก่งธัญการ อายุ 43 ปี ที่อยู่ 8/2 หมู่ที่ 7 ต.วังเมือง อ.ลาดยาว จว.นครสวรรค์   

2. นายสุรศักดิ์ หรือศักดิ์ พันธุ์สวัสดิ์ อายุ 28 ปี ที่อยู่ 182/1 หมู่ที่ 5 ต.ระบำ อ.ลานสัก จว.อุทัยธานี

พร้อมของกลาง จำนวน 4 รายการ 

1. ยาเสพติดให้โทษประเภท 5 (กัญชา) จำนวน  560 แท่ง/กิโลกรัม

2. รถยนต์นั่งส่วนบุคคล ยี่ห้อเซฟโลเล็ต เทรลเบลเซอร์ สีขาว ทะเบียน 4 กล 516 กรุงเทพมหานครเป็นยานพาหนะใช้ในการลำเลียงยาเสพติด

3. รถยนต์กระบะยี่ห้อโตโยต้า รุ่นรีโว่ สีเทา ทะเบียน กษ 6187 นครสวรรค์ เป็นยานพาหนะใช้ในการสำรวจเส้นทางในการลำเลียงยาเสพติด

4. โทรศัพท์มือถือ 4 เครื่อง

โดยกล่าวหาว่า “ร่วมกับพวกที่หลบหนีมียาเสพติดให้โทษประเภท 5 (กัญชา) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย” บริเวณถนนบ้านผือ – กุดจับ ในเขตพื้นที่บ้านเม็ก หมู่ที่ 1 ต.ข้าวสาร อ.บ้านผือ จว.อุดรธานี

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในการแก้ไขปัญหายาเสพติด และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้มีการขับเคลื่อนตามนโยบายดังกล่าวภายใต้การอำนวยการ ของ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร.,พล.ต.อ.มนู เมฆหมอก รอง ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.ชินภัทร สารสิน ผช.ผบ.ตร.

สระบุรี - พิธีมหาพุทธาภิเษก หลวงพ่อสำเร็จศักดิ์สิทธิ์ รุ่น “ประวัติศาสตร์ตำรวจ”

ณ วิหารหลวงพ่อสำเร็จศักดิ์สิทธิ์ ตำบลคชสิทธิ์ อำเภอหนองแค จังหวัดสระบุรี ได้รับความเมตตาจาก ท่านประคุณสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ เลขานุการสมเด็จพระสังฆราช มาเป็นประธานฝ่ายสงฆ์ ในพิธีนั่งปรกอธิษฐานจิตภาวนาฯ โดยมี พลตำรวจเอก สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นประธานฝ่ายฆราวาส ในพิธี มหาพุทธาภิเษก หลวงพ่อสำเร็จศักดิ์สิทธิ์ รุ่น “ประวัติศาสตร์ตำรวจ”

มี พลตำรวจตรี ชยานนท์ มีสติ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสระบุรี / พันตำรวจเอก สถิตย์ สังข์ประไพ ผู้กำกับสถานีตำรวจภูธรหนองแค พร้อมด้วย นาย สุนทร เข็มนาค นายกเทศมนตรีตำบลหนองแค / ดร.มงคล ศิริพัฒนกุล ที่ปรึกษาผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 / คุณแววตา หัฏฐะพงศ์ ที่ปรึกษา กต.ตร. สภ.หนองแค พร้อมคณะกต.ตร.สภ. หนองแค ให้การต้อนรับ และเข้าร่วมในพิธี

โดยรายได้ในการบูชาหลวงพ่อสำเร็จศักดิ์สิทธิ์ รุ่น ประวัติศาสตร์ตำรวจ โดยที่มีคนสั่งจองไว้หมดแล้ว รวมประมาณ 15,000,000, บาท โดยได้นำเงินไปซื้อที่ดินจำนวน 2 ไร่ 2งาน 71 ตารางวา โดยทำการโอนที่ดินเรียบร้อยแล้มีนาย สุนทร เข็มนาค นายกเทศมนตรีตำบลหนองแค พร้อมด้วย พ.ต.อ.สถิตย์ สังข์ประไพ ผกก.สภ.หนองแค จ.สระบุรี ในฐานะประธานจัดสร้าง พิธีพุทธาภิเษก หลวงพ่อสำเร็จศักดิ์สิทธิ์ รุ่น ประวัติศาสตร์กรมตำรวจ โดยมี พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร.ตำรวจ เป็นประธานในพิธีพุทธาภิเษก หลวงพ่อสำเร็จศักดิ์สิทธิ์ รุ่นประวัติศาสตร์กรมตำรวจ เพื่อหารายได้ซื้อที่ดินให้กับ สภ.หนองแค จ.สระบุรี เพื่อเพิ่มขยายโรงพักให้กับประชาชนไว้ใช้บริการอย่างสะดวกสบาย

ส่วนวัตถุมงคลของหลวงพ่อสำเร็จศักดิ์สิทธิ์ รุ่น ประวัติศาสตร์กรมตำรวจ ได้มีประชาชนสั่งจองไว้หมดแล้ว ได้เงินเป็นจำนวน 15 ล้าน 5 แสนบาท ตามเจตนารมณ์ที่ต้องการซื้อที่ดินสองแปลง พื้นที่ 2 ไร่ 3 งาน ติดกับโรงพักหนองแค เพื่อเพิ่มขยายโรงพัก ให้ประชาชนได้เข้ามาใช้บริการอย่างสะดวกสบาย โดยมอบให้กับกระทรวงการคลัง โดยมีธนารักษ์พื้นที่ จังหวัดสระบุรี เป็นผู้รับมอบ เป็นของทางราชการ แล้วได้มอบให้กับ สภ.หนองแค เป็นที่เรียบร้อยแล้ว


ภาพ/ข่าว  ดำรงค์ ชื่นจินดา รายงาน

สระบุรี – จัดพิธีมอบธงสัญลักษณ์หมู่บ้านสีฟ้า ปลอดโควิค! และประกาศเจตนารมณ์หมู่บ้านนี้ไม่มีโควิด-19

วันที่ 13 กันยายน 2564 เวลา 10:00 น. ณ ที่ว่าการอำเภอดอนพุด นายแมนรัตน์ รัตนสุคนธ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรี เป็นประธาน ในพิธีมอบธงสัญลักษณ์ หมู่บ้านสีฟ้าปลอดโควิคและประกาศเจตนารมณ์หมู่บ้านนี้ไม่มี covid-19 โดยมีนางสาว​ญาณิพัชญ์ ศรี​โคตร นายอำ​เภอ​ดอนพุดได้กล่าวรายงานให้การต้อนรับในการมอบธงสัญลักษณ์หมู่บ้านสีฟ้าปอด covid ให้แก่ตัวแทนหมู่บ้านจำนวน 28 หมู่บ้าน และตัวแทนหมู่บ้าน 28 หมู่บ้านร่วมประกาศเจตนารมณ์บ้านนี้ไม่มีโควิด-19

จากนั้นนายแมนรัตน์ รัตนสุคนธ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรีได้มอบนโยบายการป้องกันและแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 พร้อมกับคณะได้เข้าเยี่ยมชมนิทรรศการการขับเคลื่อนหมู่บ้านสีฟ้าปลอดโควิด-19 ของอำเภอดอนพุดในการขับเคลื่อนหมู่บ้านของจังหวัดสระบุรี โดยมีดร.บุญมา อิ่มวิเศษ และคณะลงพื้นที่หมู่ที่ 5 ตำบลบ้านหลวง อำเภอดอนพุด จังหวัดสระบุรี เพื่อถ่ายทำ วีดีทัศน์ประชาสัมพันธ์ในการขับเคลื่อนของหมู่บ้านสีฟ้า อีกด้วย


ภาพ/ข่าว  ดำรงค์ ชื่นจินดา รายงาน

จันทบุรี - ชาวประมงไม่ทน! รัฐบาล 7 ปี ไม่มีอะไรดีขึ้น ขอทวงคืนอาชีพประมงให้ชาวไทย ยื่นฎีกาถวายในหลวงรัชกาลที่ 10 เพื่อขอความช่วยเหลือชาวประมง

ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ไปยัง  ท่าเทียบเรือแบบเบ็ดเสร็จ ต.ปากน้ำแหลมสิงห์ อ.แหลมสิงห์ จ.จันทบุรี  หลังชาวประมงมีการโพสข้อความลงสื่อโซเชียล และ มีการติดป้ายไวนิล ตามสถานที่ต่าง ๆ เพื่อแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ โดยระบุข้อความว่า “ 21 กันยายน 64 วันประมงแห่งชาติ วันทวงคืน อาชีพประมงไทย 7 ปี ฉิบหายหมดแล้ว ประมงไทย และประมงไทย Call Out ”

เรื่องนี้ผู้สื่อข่าวได้พูดคุยกับ นายภูมินทร์ ภาณะรมย์  นายกสมาคมประมงแหลมสิงห์ จังหวัดจันทบุรี  เปิดเผยว่า  สืบเนื่องจากสมาคมการประมงแห่งประเทศไทยมีการประชุมคณะกรรมการบริหารและที่ปรึกษา ครั้งที่ 1 ผ่านระบบ ZOOM เมื่อวันที่ 1 มิ.ย.2564 ผลสรุปในการประชุม ก็ได้มีการพูดถึงจะมีการจัดกิจกรรม เนื่องในวันประมงแห่งชาติ วันที่ 21 กันยายน 2564

โดยคณะกรรมการมีมติให้สมาคมการประมงแห่งประเทศไทย ขึ้นป้ายเพื่อแสดงออกทางสัญลักษณ์ ไว้ ณ ที่ทำการ สปท. และใช้ประโยค “ประมงไทย Call out โดยเปิดโอกาสให้สมาชิกสมาคมฯ จัดทำป้าย และขึ้นป้ายเพื่อแสดงออกทางสัญลักษณ์ โดยให้สมาชิกทุกองค์กร ขึ้นป้ายตามอัธยาศัย ทั้ง 22 จังหวัด ทั่วประเทศ 

นอกจากนี้ นายกสมาคมประมงแหลมสิงห์ ยังได้บอกอีกว่า ในที่ประชุมได้มีผู้เสนอขอให้มีการยื่นฎีกาถวายในหลวงรัชกาลที่ 10 เพื่อขอความช่วยเหลือชาวประมงในช่วงสถานการณ์โควิด-19  

1.เรื่องขอผ่อนผันการควบคุมวันทำการประมงออกไปก่อนอย่างน้อย 3 ปี ในช่วงการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 

2.เรื่องขอความช่วยเหลือเร่งรัดการเยียวยาเรือประมง (ขาวแดง) ที่ไม่สามารถออกทำการประมงได้ โดยที่ได้รับผลกระทบจากการแก้ไขปัญหา IUU ของรัฐบาล คสช. ตั้งแต่ปี 2558 –ปัจจุบัน 

3.เรื่องขอให้หน่วยงานที่รับผิดชอบ นำเสนอการตั้งงบประมาณในการจัดซื้อเรือประมงที่มีใบอนุญาตออกนอกระบบ

ทั้งนี้ ทางสมาคมสมาคมการประมงแห่งประเทศไทย ได้จัดทำฎีกาขอความช่วยเหลือ ถวายแด่ในหลวงรัชกาลที่ 10 เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2564 แล้ว ตามกระบวนการ ซึ่งก็เป็นความหวังของชาวประมงกว่าร้อยลำในจังหวัดจันทบุรี และอีกทั้ง 22 จังหวัดทั้วประเทศไทย นายกสมาคมประมงแหลมสิงห์กล่าว


ภาพ/ข่าว สุปราณี แก้วหุง จ.จันทบุรี

พรเทพ เขม้นเขตวิทย์ รายงานจากศูนย์ข่าวภาคตะวันออก

กาฬสินธุ์ – มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ส่งมอบหน้ากากอนามัย 144,000 ชิ้น ให้กับประชาชนจังหวัดกาฬสินธุ์ เพื่อใช้ในการป้องกันโรคติดเชื้อโควิด-19

เมื่อเวลา 13.00 น.วันที่ 13 กันยายน 2564  ที่ห้องเจ้าเมือง ศาลากลาง จ.กาฬสินธุ์ ชั้น 2 นายทรงพล ใจกริ่ม ผู้ว่าราชการ จ.กาฬสินธุ์ ในฐานะประธานกรรมการมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ประจำ จ.กาฬสินธุ์ เป็นประธานในพิธีมอบสิ่งของพระราชทานหน้ากากอนามัยให้กับนายอำเภอทั้ง 18 อำเภอของ จ.กาฬสินธุ์ เพื่อนำไปส่งมอบต่อให้กับประชาชนในพื้นที่ใช้ในการป้องกันโรคติดเชื้อโควิด-19 ซึ่งมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้จัดส่งสิ่งของพระราชทานหน้ากากอนามัย เพื่อให้ประชาชนที่มีฐานะยากจนและขาดแคลนในพื้นที่ จ.กาฬสินธุ์  จำนวน 2,880 กล่อง  กล่องละ 50 ชิ้น รวมเป็นจำนวน 144,000 ชิ้น โดยมีนายเลิศบุศย์ กองทอง รองผู้ว่าราชการ จ.กาฬสินธุ์ นายสนั่น พงษ์อักษร รองผู้ว่าราชการ จ.กาฬสินธุ์ นายธนทร ศรีนาค หัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จ.กาฬสินธุ์ นพ.อภิชัย ลิมานนท์ นายแพทย์สาธารณสุข จ.กาฬสินธุ์ พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการเข้าร่วมพิธี     

ทั้งนี้ กรรมการมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ประจำจังหวัด นายอำเภอทุกอำเภอ  หัวหน้าส่วนราชการ รวมถึงประชาชนชาว จ.กาฬสินธุ์ ต่างสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว "พระบรมราชูปถัมภก" แห่งมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ อย่างหาที่สุดมิได้ ที่พระองค์ทรงห่วงใยทุกข์ยากของประชาชนชาว จ.กาฬสินธุ์ และเป็นขวัญกำลังใจให้ประชาชน สามารถผ่านความทุกข์ยากเดือดร้อนในเบื้องต้นไปได้

ขณะที่สถานการณ์โรคโควิด-19 ในพื้นที่ จ.กาฬสินธุ์ ล่าสุดวันนี้ 13 กันยายน 2564 พบผู้ป่วยติดเชื้อรายใหม่ 41 ราย เป็นผู้ติดเชื้อขอกลับมารักษาในภูมิลำเนา 5 ราย เดินทางมาจากพื้นที่เสี่ยง 22 ราย ติดเชื้อภายในจังหวัด 14 ราย และหายป่วย 21 ราย โดยมียอดผู้ป่วยสะสมรวม 7,278 ราย รักษาหายแล้ว 6,516 ราย กำลังรักษาอยู่ 715 ราย และมีผู้เสียชีวิตสะสม 47 ราย


ภาพ/ข่าว  ณัฐพงษ์ ประชากูล จ.กาฬสินธุ์

สตูล - หน่วยแพทย์เคลื่อนที่ พอ.สว.ฉีดวัคซีนพระราชทานซิโนฟาร์ม ให้แก่กลุ่มผู้นำศาสนาอิสลาม พระภิกษุสงฆ์ และประชาชนกลุ่มเปราะบาง ผู้ด้อยโอกาส รวมถึงผู้อยู่ในพื้นที่ห่างไกล หลังได้รับวัคซีนมาจำนวน 5,000 โดส

ที่ศูนย์ฉีดวัคซีน อาคาร 100 ปี สธ. โรงพยาบาลสตูล นายเอกรัฐ หลีเส็น ผู้ว่าราชการจังหวัดสตูล เป็นประธานในพิธีเปิดและตรวจเยี่ยมการฉีดวัคซีนพระราชทาน ซิโนฟาร์ม ของราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ และมูลนิธิแพทย์อาสาสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี (พอ.สว.) โดยมีผู้รับบริการเป็นกลุ่มผู้นำศาสนาจากทั้ง 7 อำเภอ รวมทั้งสิ้น 1,166 ราย มารับบริการที่ศูนย์ฉีดวัคซีนโรงพยาบาลสตูล โดยมีอาสาสมัครหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ พอ.สว. จังหวัดสตูล และเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลสตูล ให้บริการฉีดวัคซีนตั้งแต่เวลา 08.30 น. จนถึง 16.00 น.  

สำหรับวัคซีนพระราชทาน ซิโนฟาร์ม เป็นวัคซีนทางเลือกที่ได้รับพระราชทานจาก จาก ศาตราจารย์ ดร.สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน์ วรขัตติยราชนารี  โดยราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ร่วมกับ มูลนิธิแพทย์อาสาสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี (พอ.สว.) ที่จะฉีดให้แก่ประชาชนกลุ่มเปราะบาง ที่ยังไม่ได้เคยรับวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ชนิดใดมาก่อน

ทั้งนี้ สืบเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ภายในพื้นที่จังหวัดสตูล การฉีดวัคซีนพระราชทานได้ช่วยให้ประชาชนในพื้นที่ได้เข้าถึงวัคซีนตัวเลือกซิโนฟาร์ม และได้รับวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันได้เร็วที่สุด ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่สำคัญในการป้องกันและลดการแพร่ระบาดของโรคให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ร่วมกับ มูลนิธิ พอ.สว. ได้จัดสรรวัคซีนพระราชทาน ซิโนฟาร์ม จำนวน 5,000 โดส เพื่อฉีดให้กับชาวจังหวัดสตูล จำนวน 2,500 ราย (รายละ 2 โดส) ใน 7 อำเภอของจังหวัดสตูลโดยมีกลุ่มเป้าหมายหลักเป็นผู้สูงอายุตั้งแต่ 70 ปีขึ้นไป ผู้พิการ ผู้ด้อยโอกาส ผู้ที่ไม่สามารถเข้าถึงระบบนัดของวัคซีน ผู้นำศาสนา และประชาชนผู้อยู่ในพื้นที่ห่างไกล


ภาพ/ข่าง  นิตยา แสงมณี / ผู้สื่อข่าวประจำจังหวัดสตูล

นราธิวาส - ผบ.ฉก.นราธิวาส ตรวจเยี่ยม ให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ ประจำด่านตรวจ-จุดตรวจร่วม 3 ฝ่าย เน้นย้ำการดูแลความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่

พลตรีไพศาล หนูสังข์ ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 15 / ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส ลงพื้นที่ ตรวจเยี่ยม ให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ประจำด่านตรวจ /จุดตรวจร่วม 3 ฝ่าย ในพื้นที่ อำเภอ สุไหงโกลก จังหวัดนราธิวาส จำนวน 2 ด่าน ได้แก่  1.ด่านตรวจโคกสยา และ 2. ด่านโคกมะเฟือง เพื่อพบปะเยี่ยมเยียน มอบนโยบายในการปฏิบัติงานแก่เจ้าหน้าที่ โดยกำชับ เจ้าหน้าที่ทุกฝ่าย ให้ช่วยกันดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินให้แก่พี่น้องประชาชนในพื้นที่ โดยเน้นการปฎิบัติงานแบบการบูรณาการร่วมกัน 3 ฝ่าย ทั้งเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ และฝ่ายปกครอง รวมถึงได้กำชับกำลังพลเรื่องการตั้งด่าน โดยเฉพาะด่านเข้า-ออกเมือง หรือตามป้อมจุดตรวจ ให้มีความเข้มข้น จะมีการตั้งด่านแบบไม่เป็นเวลา เพื่อไม่ให้เป็นเป้าต่อการโจมตีหรือก่อกวนของผู้ไม่หวังดี นอกจากนี้ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส ได้เน้นย้ำให้กำลังพลดูแลตนเอง ปฏิบัติตนตามมาตราการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส Covid – 19 อย่างเคร่งครัด

ทั้งนี้ ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาสได้มอบเครื่องดื่ม อาหารว่างและอุปกรณ์ป้องกันตนเอง ให้กับกำลังพลที่ปฏิบัติหน้าที่ประจำด่านตรวจ / จุดตรวจร่วม 3 ฝ่าย เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงานต่อไป


ภาพ/ข่าว  แวดาโอ๊ะ หะไร จ.นราธิวาส

ชุมพร - 'จุรินทร์' ติดตามความหน้า...การประกันรายได้สินค้าเกษตร และคืนโฉนดที่ดินให้สมาชิกกองทุนฯ ชุมพร พร้อมมอบเช็คฟื้นฟูอาชีพ-เช็คชำระหนี้ กว่า 9.2 ล้านบาท

จุรินทร์ลงพื้นที่จังหวัดชุมพรติดตามความคืบหน้า และประชาสัมพันธ์โครงการ ประกันรายได้สินค้าเกษตร พร้อมกับการคืนโฉนดที่ดินให้สมาชิกกองทุนฯ ชุมพร พร้อมมอบเช็คฟื้นฟูอาชีพ-เช็คชำระหนี้ กว่า 9.2 ล้านบาท รองนายกรัฐมนตรี "จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์" ประธานกรรมการกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร(กฟก.) เป็นประธาน มอบคืนโฉนดให้กับสมาชิก กฟก.ชุมพร 29 รายที่ชำระหนี้ครบตามสัญญา มอบเช็คเงินโครงการฟื้นฟูฯ 3.6 ด้านบาท พร้อมแก้ปัญหาหนี้ให้เกษตรกรด้วยการชำระหนี้แทนสหกรณ์กว่า 5 แสนบาท

วันที 11 กันยายน 2564 กองทุนพื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร (กฟก.) จังหวัดชุมพร มีการจัดกิจกรรม "มอบเช็คชำระการฟื้นฟูอาชีพ และมอบโฉนดที่ดินคืนให้เกษตรกรสมาชิกกองทุนฯ จังหวัดชุมพร" ณ โครงการ หนองใหญ่ในพระราชดำริ ตำบลบางลีก อำเภอเมืองชุมพร จังหวัดชุมพร โดยมีนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประชานในพิธี และมี นายสัมฤทธิ์ กองเงิน รองผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร  นายชุมพล จุลใสสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเขต 1 จังหวัดชุมพร นายสราวุธ อ่อนละมัย สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเขต 2 จังหวัดชุมพร นายอุดม ศรีสมทรง  พาณิชย์จังหวัดชุมพร นายธีระศักดิ์ ยมสวัสดิ์ เกษตรจังหวัดชุมพร  นายนพพร อุสิทธิ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดชุมพร นางรัชฎาภรณ์ แก้วสนิท ประธานกรรมการบริหารกองทุนฯ นายสไกร พิมพ์บึง เลขาธิการสำนักงานกองทุนฯ ตัวแทนจากองค์กร หน่วยงานราชการต่าง ๆ และสมาชิกเกษตรกรเข้าร่วมงาน

นายสัมฤทธิ์ กองเงิน รองผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร กล่าว่า ขอบคุณท่านจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิยย์ และคณะที่ให้เกียรติมาตรวจเยี่ยมพื้นที่จังหวัดชุมพร และเป็นประธานการประชุมติดตามความคืบหน้าและประชาสัมพันธ์โครงการประกันรายได้สินค้าเกษตร มอบเช็คชำระหนี้ และมอบโฉนดที่ดินของกองทุนฟื้นฟูเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรให้แก่เกษตรกรจังหวัดชุมพร จังหวัดชุมพร มีประชาคร 509,292 คน แบ่งการปกครองเป็น 8 อำเภอ โดดเด่นในเรื่อง เกษตรกรรม และการท่องเที่ยวทางธรรมชาติ จึงได้กำหนดวิสัยทัศน์ไว้ว่า "ชุมพรเมืองน่าอยู่ บนพื้นฐาน การเกษตรกรรม และการท่องเที่ยวคุณภาพ เชื่อมโยงการพัฒนาสองฝั่งทะเล" สินค้าเกษตรที่สำคัญ ได้แก่ ปาส์มน้ำมัน ยางพารา ทุเรียน กาแฟ และมะพร้าว ผลิตภัณฑ์ชุมขนที่สำคัญ ได้แก่ ผลผลิตจากกล้วยเล็บมือนาง กาแฟ 3 ก 1 อาหารทะเลแปรรูป เป็นตัน

สถานที่ท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อของจังหวัดชุมพร ได้แก่ หาดทรายรี หาดทุ่งวัวแล่น ศาลพ่อตาหินช้าง หลาดกล้วยพ่อตา เขามัทรี เกาะพิทักษ์ หลาดใต้เคี่ยม ปัจจุบันได้รับความนิยม แพร่หลายจากนักท่องเที่ยวทั้งในประเทศ และต่างประเทศ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 ยุทธศาสตร์ที่ 3 การสร้างความเข้มแข็ง ทางเศรษฐกิจและแช่งขันได้อย่างยั่งยืน โดยการยกระดับการผลิตสินค้าเกษตร ซึ่งโครงสร้างทางเศรษฐกิจ ที่สำคัญของจังหวัดทุมพร จากข้อมูล ปี 2562 จังหวัดชุมพร มีผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัด (GPP) 116,164 ล้านบาท รายใต้เฉลี่ยต่อหัว 232,817 บาท/คน/ ปี รายได้ส่วนใหญ่มาจากภาคเกษตรกรรม ร้อยละ 54.62 รองลงมาภาคบริการ ร้อยละ 36.82 และภาคอุตสาหกรรม ร้อยละ 8.56 จังหวัดชุมพร มีพื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมัน จำนวน 1,045.017 ไร่ พื้นที่ให้ผลผลิต 1,010,522 ไร ,950,724 ตัน ต้นทุนการผลิต 8,639.15 บาท/ไร่ ต้นทุนการผลิต 3.01 บาท/กก. มีโรงงานสกัดปาล์มน้ำมัน จำนวน 36 โรง โรง A จำนวน 14 โรง โรง B จำนวน 14 โรง โรงงานไบโอดีเซล จำนวน 1 โรง โรงสกัดเมล็ดใน จำนวน 5 โรง และคลังรับฝากจำนวน 2 โรง มีลานเทรับซื้อผลปาล์ม จำนวน ราคารับซื้อผลปาล์มน้ำมันหน้าโรงงาน ปี 2564 (ม.ค. ส.ค.) ราคา 6.21 บาท/กก. ราคาน้ำมัน CPO 35.55 ปอร์เซ็นต์ น้ำมัน 17.86 ปริมาณการรับซื้อผลปาล์ม ปี 2564 (ม.ค.-ส.ค.) จำนวน 1,490,622,829 ตันโครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมันปี ระหว่างปี 2562 - 2564 มีการประกันรายได้ จำนวน 7 ครั้ง เกษตรกร จำนวน 54,418 ราย จำนวนเงิน 1,219.081 ล้านบาท ครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 15 กันยายน 2653 เนื่องจากปัจจุบัน ราคาผลปาล์มทะลายสูงกว่าราคาเป้าหมาย กก.ละ 4บาท จึงไม่มีการจ่ายเงินชดเชยส่วนต่างให้เกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมัน

จังหวัดชุมพร ได้กำหนดแนวทางการดำเนินการส่งเสริมการผลิตปาล์มน้ำมันคุณภาพ ภายใต้ชุมพรทีม ร่วมกำหนดนโยบายยกระดับความสามารถในการแข่งขันด้าน การตลาดในการพัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพการสกัดน้ำมันปาล์ม ให้มีเปอร์เซ็นต์น้ำมันสูงขึ้นจาก 17 % เป็น 18-19 %เพื่อ สร้างรายได้เพิ่มให้เกษตรกรในอัตรา 300 บาท/ตัน และส่งผลต่อผลิตภัณฑ์มวลรวม (GPP) จังหวัดชุมพร ภาคการเกษตร (ปาล์มน้ำมัน) เดือนสิงหาคม 2564 มูลค่ารวม 9,477.17 ล้านบาท นอกจากนี้ คณะทำงานชุมพรทีมได้ลงพื้นที่พบปะหารือกลุ่มเกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมัน ลานเท และโรงสกัดน้ำมัน ปาล์มอย่างต่อเนื่อง รับฟังปัญหา ข้อเสนอแนะ เพื่อเป็นแนวทางในการส่งเสริมการผลิ ให้เกิดความยั่งยืนต่อไป พี่น้องชาวชุมพรได้รับสิ่งดีๆ จากกิจกรรมที่เกิดขึ้น และมอบโฉนดที่ดินของกองทุนพื้นฟู ในการประชุมครั้งนี้ เกษตรกรสร้างรายได้และมีอาชีพมั่นคงอย่างยั่งยืนตลอดไป 


ภาพ/ข่าว  ธนากร โกศลเมธี รายงานศูนย์ข่าวสารจังหวัดชุมพร

ตร.เตือน ร่วมทัวร์บูลลี่! กลั่นแกล้ง ให้ร้ายผู้อื่นทางไซเบอร์ เสี่ยงคุก!! “วันนี้สะใจ วันต่อไป ชดใช้กรรม”

เมื่อวันที่ 13 ก.ย. 2564 พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า ช่วงที่สังคมไทยมีความคิดเห็นต่าง แบ่งเป็นฝักเป็นฝ่าย จะพบเห็นการสร้างวาทะกรรมสร้างความเกลียดชัง มีการแสดงความคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์ผ่านสื่อสังคมออนไลน์อย่างดุเดือด โดยชักชวนกันเข้าไปแสดงความเห็นจำนวนมากในลักษณะที่เรียกว่า “ทัวร์ลง” กลั่นแกล้งด้วยถ้อยคำต่อว่า ตำหนิ  ดูถูกเหยียดหยาม หยาบคาย เพื่อให้ผู้อื่นได้รับความเสียหาย อับอาย ที่เรียกว่า การบูลลี่ หรือ การระรานทางไซเบอร์ (Cyber bully)

โดยที่ผ่านมามีผู้เสียหายหลายรายทั้งบุคคลทั่วไปและบุคคลที่มีชื่อเสียง ดารา นักร้อง นักแสดงเข้าพบพนักงานสอบสวน แจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดีกับบุคคลที่ทำให้ตนเองเสียหาย ในปัจจุบันจะเห็นได้ว่าการโพสต์ การแสดงความคิดเห็น รวมถึงการแชร์ข้อมูลทั้งที่เป็นภาพ คลิปหรือข้อความ ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ทำได้ง่ายดาย แต่ผู้ที่ทำให้ผู้อื่นเสียหายต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่ตนได้กระทำ เนื่องจากมีกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการระรานทางไซเบอร์ ในรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งบัญญัติเป็นความผิดไว้อย่างขัดเจน ได้แก่

>> กรณีใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม และทำให้เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง เข้าข่ายความผิดฐานหมิ่นประมาท ตาม ป.อาญา มาตรา 326 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

>> กรณีเป็นการหมิ่นประมาทโดยมีการป่าวประกาศต่อสาธารณะ จะเข้าข่ายความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ตาม ป.อาญา มาตรา 328 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

>> กรณีเป็นการแสดงความคิดเห็นในลักษณะข่มขู่ทำให้เจ้าของบัญชีเกิดความกลัว จะเข้าข่ายความผิดตาม ป.อาญา มาตรา 392 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

>> กรณีเป็นการแสดงความคิดเห็นในลักษณะดูหมิ่นผู้อื่น และเป็นการแสดงความคิดเห็นในที่สาธารณะ จะเข้าข่ายความผิดฐานดูหมิ่นด้วยการโฆษณาตาม ป.อาญา มาตรา 393 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

>> และกรณีนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ที่เป็นภาพตัดต่อของผู้อื่นในลักษณะที่จะทำให้บุคคลนั้นได้รับความเสียหาย เสื่อมเสียชื่อเสียง  ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย จะเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 16 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี และปรับไม่เกิน 200,000 บาท

พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ฯ กล่าวต่อว่า หากพี่น้องประชาชนได้รับความเสียหายจากการถูกระรานทางไซเบอร์ สามารถรวบรวมพยานหลักฐาน ได้แก่  บัญชีสื่อสังคมออนไลน์ที่กระทำความผิด , ข้อมูลหรือข้อความที่ได้รับความเสียหาย ฯลฯ เข้าแจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวนที่สถานีตำรวจ ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีความเป็นห่วงในปัญหาดังกล่าว จึงฝากเตือนพี่น้องประชาชนผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์ทั้งหลายให้มีสติ ใช้วิจารณญาณ คิดวิเคราะห์แยกแยะ ก่อนแสดงความคิดเห็นที่ทำให้ผู้อื่นเสียหาย เนื่องจากสุ่มเสี่ยงที่จะถูกดำเนินคดีตามฐานความผิดข้างต้น ดังที่มีผู้เคยกล่าวไว้ว่า “วันนี้สะใจ วันต่อไป ชดใช้กรรม”

สมุทรปราการ- กอ.รมน. สร้างความเชื่อมั่น ลุยตรวจศูนย์การค้า “อิมพิเรียลเวิลด์สำโรง” ตามมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19

พ.ต.ประกาศิษ จำเนียร รองหัวหน้าฝ่ายนโยบายและแผนกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน จังหวัดสมุทรปราการ พร้อมด้วย เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.สำโรงเหนือ ร่วมลงพื้นที่ตรวจสถานประกอบการร้านค้า ร้านอาหาร ภายในศูนย์การค้าอิมพิเรียลเวิลด์สำโรง เพื่อควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างเคร่งครัดตามมาตรการการป้องกันของทางกระทรวงสาธารณสุข อีกทั้งเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนในด้านความปลอดภัย

โดยมี คุณภิญญดา เชาวน์สังเกต ผู้จัดการฝ่ายอาคารพาณิชย์และตลาดกลางค้าส่ง  พร้อมด้วย คุณเมตตา ไพบูลย์วัฒนโรจน์ ผู้จัดการฝ่ายบริหารพื้นที่และพัฒนาธุรกิจร้านค้า, คุณสุพิชญาภัค ศรีพระจันทร์ ผู้จัดการศูนย์อาหารอิมอิ่ม, คุณนงลักษณ์ รัตนพงศ์ ผู้จัดการแผนกบริการพื้นที่และพัฒนาธุรกิจร้านค้า, คุณนิตยา จันทร์ลอย หัวหน้าแผนกบริการพื้นที่และพัฒนาธุรกิจร้านค้า ร่วมลงพื้นที่และร่วมให้การต้อนรับคณะเจ้าหน้าที่

เนื่องจาก เมื่อวันที่ 1 กันยายน 64 ซึ่งเป็นวันแรกที่ทางห้างสรรพสินค้า และร้านอาหารทั่วไป ต่างเปิดให้บริการตามข้อกำหนดในประกาศฉบับดังกล่าว ซึ่งพบว่ามีประชาชนเดินทางมาใช้บริการ เพื่อจับจ่ายใช้สอยซื้อสินค้าภายในห้างสรรพสินค้าเป็นจำนวนมาก  ประกอบกับมีพ่อค้า แม่ค้าส่วนใหญ่แจ้งว่า สินค้าหลายอย่างขายดีและมีผู้เข้ามาใช้บริการเป็นจำนวนมาก

นับว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่งกับผู้ประกอบการร้านค้าต่างๆ ประกอบกับสถานการณ์ปัจจุบันถึงแม้สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 เป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น และยังพบผู้ป่วยรายใหม่ ผู้ป่วยรายวันลดลง และผู้ที่รักษาจนหายป่วยต่อวันมีจำนวนมากกว่าผู้ป่วยรายใหม่ ทำให้สถานการณ์ด้านเตียงสามารถมีเตียงรองรับผู้ป่วยเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น แต่ก็ยังมีความจำเป็นที่จะต้องคุมเข้มให้ทุกภาคส่วนปฏิบัติตามมาตรการที่ ศบค.กำหนดอย่างเคร่งครัด

เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคไม่ให้ระบาดหรือเเพร่กระจายขยายวงเพิ่มมากขึ้น เพื่อให้การบังคับใช้มาตรการตามข้อกำหนดในประกาศจังหวัดสมุทรปราการ ฉบับที่ 15 เป็นไปโดยเคร่งครัด การปฏิบัติตามมาตรการต่างๆ เป็นไปด้วยความเรียบร้อย 

อีกทั้ง เพื่อให้ทางห้างสรรพสินค้าที่มีขนาดใหญ่และมีผู้ใช้บริการเป็นจำนวนมาก และเพื่อให้เป็นไปตามมาตรการที่กำหนด รวมทั้ง การกำกับการใช้มาตรการ DMHTTA อย่างเคร่งครัด กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดสมุทรปราการ ในฐานะศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง จึงดำเนินการปฎิบัติตามมาตรการพร้อมทั้งนำคณะเจ้าหน้าที่ร่วมปฏิบัติการลงพื้นที่ตรวจสอบ และให้คำแนะนำกำกับดูแล การปฏิบัติตามมาตรการต่างๆ ภายในห้างสรรพสินค้าหรือสถานบริการที่มีผู้ใช้บริการเป็นจำนวนมากเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19

คิว-ข่าวสมุทรปราการ รายงาน

พันธมิตรจิตอาสา ตะลุยโซนแดงเข้มเมืองชลบุรี ส่งผ่านข้าวกล่องปันสุขได้ทานอาหารอร่อย ห่วงบุคลากรทางการแพทย์ มอบหน้ากากกันเชื้อโควิด

เกาะติดภารกิจครัวปันอิ่ม วันที่ 12 กันยายน ที่ศาลาเอนกประสงค์ โรงเรียนบ้านห้วยชุมพร หมู่ 9 ต.คลองกิ่ว อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี นายชูศักดิ์ พรนิมิตรทรัพย์ นายสมชาย เฉลิมโชค ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านหมู่ 9 พร้อมคณะกรรมการหมู่บ้าน อสม. และชาวบ้าน ร่วมรับมอบข้าวกล่องอุ่นร้อนพร้อมรับประทานโครงการ “ครัวปันอิ่ม ร้อยเรียงใจสู้ภัยโควิด-19” และสิ่งของเครื่องใช้ อาทิ ยาสมุนไพรฟ้าทะลายโจร เครื่องตรวจวัดออกซิเจนปลายนิ้ว สเปรย์ฉีดแอลกอฮอล์ หน้ากากอนามัย และน้ำดื่ม จากนายสมชาย จรรยา อุปนายก สมาคมผู้สื่อข่าวและช่างภาพอาชญากรรมแห่งประเทศไทย ร่วมกับพันธมิตรจิตอาสา นำโดย มูลนิธิสหชาติ กรมคุมครองสิทธิเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม บริษัท เคโมดะ ประเทศไทย จำกัด นักศึกษาหลักสูตร สิทธิมนุษยชน (ปสม.)รุ่น 1 และหลักสูตร เสริมสร้างสังคมสันติสุข (สสสส.) รุ่นที่ 12 สถาบันพระปกเกล้า เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระและบรรเทาความเดือดร้อนในช่วงสถานการณ์โควิด-19

นายชูศักดิ์ พรนิมิตรทรัพย์ เปิดเผยว่า หมู่บ้านห้วยชุมพรมีผู้พักอาศัย 1,300 กว่าครอบครัว มีประชากรแฝงที่ทำงานอยู่ในพื้นที่ 4,000 คน ติดเชื้อโควิดกว่า 200 คน ได้ทำการรักษาหายแล้ว 90 กว่าเปอร์เซ็น มีผู้เสียชีวิตแล้ว 3 ราย และต้องกักตัว 5 ครอบครัว นอกจากนี้ยังมีผู้ป่วยติดเตียง 20 คน  ผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ยากไร้ อาหารพร้อมทานและสิ่งของที่มอบให้ครั้งนี้ นอกจากจะมารับด้วยตัวเองแล้ว คณะกรรมการได้แบ่งสายนำสิ่งของส่งมอบให้ถึงบ้านพักกับผู้ที่ได้รับผลกระทบ ขอขอบพระคุณผู้ใหญ่ใจดีทุกภาคส่วนที่แบ่งปันสร้างความสุขให้ชุมชนของเรา  

ด้านนายสมชาย จรรยา เปิดเผยว่า ชลบุรี เป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่มีการแพร่ระบาดเชื้อโควิด ที่ศูนย์ ศบค. ประกาศเป็นพื้นที่สีแดงเข้ม และพบว่าในหลายพื้นที่มีผู้เดือดร้อนและได้รับผลกระทบอยู่เป็นจำนวนมาก ไม่ใช่เพียงผู้ติดเชื้อที่ทำ Home Isolation อยู่ที่บ้าน แต่ยังมีคนตกงาน ผู้ขาดรายได้ และกลุ่มเปราะบาง      

ด้วยความห่วงใย กลุ่มพันธมิตรจิตอาสา ตระหนักถึงความเดือดร้อน ทุกข์ยากของพี่น้องประชาชน ขอแบ่งเบาบรรเทาปัญหา ได้ผนึกกำลังร่วมกับสมาคมฯ องค์กร มูลนิธิ ขออาสาเป็นสะพานบุญ นำอาหารพร้อมทานจากโลตัส และเครือซีพี พร้อมสิ่งของที่ได้รับการสนับสนุนจากผู้ใหญ่ใจบุญที่สมทบ นำส่งมอบช่วยเหลือสู่ชุมชนต่างๆให้ถึงมือได้ปันอิ่ม เพื่อเราจะก้าวผ่านสถานการณ์อันเลวร้ายนี้ไปด้วยกัน 

นอกจากนี้ กลุ่มพันธมิตรจิตอาสา ได้นำหน้ากากอนามัย N95 เพื่อสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ โรงพยาบาลบ้านบึง และนายอลงกรณ์ พยัคฆ์บูรพา ชมรมพยัคบูรพาเพื่อประชาชน ทำงานด้านจิตอาสารับส่งผู้ป่วยติดเชื้อโควิด


 

ตร.ห่วงใยประชาชน ประสบอุทกภัยน้ำท่วม เร่งบูรณาการกำลังร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การช่วยเหลือ

สืบเนื่องจากอิทธิพลพายุโซนร้อน “โกนเซิน” ทำให้เกิดร่องมรสุมกำลังแรงพาดผ่านภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลางตอนบน และภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย ส่งผลกระทบให้เกิดฝนตกหนัก    ในพื้นที่ 14 จังหวัด 

ทำให้เกิดน้ำท่วมขัง และน้ำป่าไหลหลากในบางพื้นที่ ส่งผลกระทบต่อพี่น้องประชาชนเป็นวงกว้าง ล่าสุดพายุโซนร้อนได้อ่อนกำลังลงเป็นพายุดีเปรสชันแล้ว แต่ยังคงต้องเฝ้าติดตามสถานการณ์น้ำท่วม น้ำป่าไหลหลาก ต่อไปอย่างใกล้ชิด

วันที่ 12 กันยายน 2564 พ.ต.อ.หญิง ศิริกุล กฤตพิทยบูรณ์ รองโฆษกตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ดังกล่าว สำนักงานตำรวจแห่งชาติมีความห่วงใยพี่น้องประชาชนที่ได้ผลกระทบและได้รับความเดือดร้อน จึงได้กำชับพร้อมสั่งการไปยังทุกหน่วยในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เร่งบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งให้ความช่วยเหลือพี่น้องประชาชนโดยด่วน ทั้งในเรื่องการเคลื่อนย้ายทรัพย์สินของประชาชน การอำนวยความสะดวกด้านจราจร การจัดเตรียมสถานที่รองรับหากมีการอพยพ และการเตรียมเครื่องอุปโภคบริโภค สำหรับแจกจ่ายบรรเทาความเดือดร้อนในเบื้องต้น 

ภาพรวมการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วม อาทิ เช่น อ.ภูกระดึง อ.ด่านซ้าย จ.เลย,  อ.หล่มเก่า อ.หล่มสัก จ.เพชรบูรณ์ โดยเร่งช่วยเหลือเคลื่อนย้ายสิ่งของขึ้นที่สูง นำน้ำดื่มและอาหาร พร้อมทั้งบรรจุกระสอบทรายนำไปแจกจ่ายให้กับประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน

รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้เปิดเผยเพิ่มเติมว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีความห่วงใย ข้าราชการตำรวจหน่วยปฏิบัติในพื้นที่ ซึ่งอาจจะได้ผลกระทบจากสถานการณ์ฯเช่นเดียวกัน รวมถึงสถานที่ราชการต่างๆ เช่น สถานีตำรวจ บ้านพักข้าราชการตำรวจ ที่ได้รับความเสียหาย เป็นต้น จึงกำชับให้ผู้บังคับบัญชาทุกหน่วยในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบเฝ้าติดตามและรายงานสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งเน้นย้ำในเรื่องของมาตรการการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยให้ยึดหลักการปฏิบัติตนตามมาตรการทางสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด

ทั้งนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขอความร่วมมือไปยังพี่น้องประชาชน  สามารถแจ้งเบาะแส ข้อร้องเรียนหรือขอความช่วยเหลือ มายังสายด่วน 191 และสายด่วน 1599 ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสามารถสอบถามข้อมูลการจราจรได้ที่สายด่วน 1193 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

"บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์" เป็นเจ้าภาพงานสวดอภิธรรมกระดูก (คุณอาแสงสุรีย์)

เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2564  ที่ผ่านมา "บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์" ได้เดินทางมายัง ณ.วัดยางพรานนก หลังจากเสร็จภารกิจมอบถุงยังชีพให้พ่อแม่พี่น้องประชาชนในชุมชนหัวบ้านบางคลองเลา เมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมานี้  และพร้อมด้วยทีมเจ้าหน้าที่ของ "มูลนิธิร่วมกตัญญู" เพื่อมาช่วยจัดเตรียมสถานที่ในงานสวดอภิธรรมกระดูกของ "นายเฉลียว ไกอ่ำ" อายุ 68 ปี หรือชื่อในวงการเพลงลูกทุ่ง “แสงสุรีย์ รุ่งโรจน์” อดีตนักร้องลูกทุ่งชื่อดัง ที่เสียชีวิตลงอย่างสงบเมื่อเวลาประมาณ 10.30 น. ของวันที่ 10 กันยายน 2564 อาการปอดอักเสบรุนแรง อันเนื่องมาจากโรคประจำตัว และภายหลังได้รับเชื้อโควิด-19 

ทุกวันนี้จำนวนประเทศที่ผ่านกฎหมายให้ อาชีพโสเภณี เป็นอาชีพถูกกฎหมายนั้นมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ เหตุผลเพราะทางรัฐของประเทศที่เห็นชอบมองว่า การตรวจตราธุรกิจที่ดำเนินอย่างเปิดเผย ย่อมง่ายกว่าธุรกิจหลบซ่อน

ช่วงนี้กระแสความสนใจในการหาช่องทางด้านอาชีพ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตในต่างแดน มีความแพร่หลายอย่างมาก ในเพจเฟซบุ๊ก ‘โยกย้าย มาโยกย้ายส่ายสะโพก’ เป็นเพจหนึ่งที่ได้แชร์ข้อมูลเกี่ยวกับอาชีพต่าง ๆ ขึ้นมานับร้อยอาชีพ เพื่อสนองต่อผู้ที่อพยพย้ายถิ่นฐานได้สำเร็จแล้วนั้น 

แน่นอนว่าในสาระสำคัญของอาชีพที่เชื่อหลายคนคงคุ้นเคยกันดี ก็จะมีตั้งแต่ พยาบาล, โปรแกรมเมอร์, แอร์โฮสเตส, หมอนวด, ครู, งานครัว, งานบนเรือสำราญ ฯลฯ 

แต่ที่น่าสนใจ คือ มีกลุ่มอาชีพที่ไม่ค่อยมีใครนึกถึงปรากฎขึ้นมาจากข้อมูลในเพจดังกล่าวให้สืบค้นต่อ!! ซึ่งมีอะไรบ้าง เด่วจะไล่กันแบบจากเบาไปหาหนัก 

อาชีพที่ว่าได้แก่...
1.) นักสปารองเท้าและกระเป๋า
2.) คนทำความสะอาดสุสาน 
และ ๆ ๆ
3.) อาชีพโสเภณีอย่างถูกกฎหมาย 
เกิดแรงสะดุด จนนิ้วไม่กล้าคลิกข้ามอาชีพ ‘โสเภณี’ เพราะมันเตะลูกกะตายิ่งนัก!!

และก็เชื่ออย่างแรงว่าผู้คนที่เข้าไปแวะเวียนในเพจดังกล่าว ก็คงรู้สึกไม่ต่างกัน เพราะมีการโพสต์สอบถามเกี่ยวกับอาชีพโสเภณีมากมาย มีผู้กด Like กว่า 3 หมื่น และมีการคอมเมนต์ สอบถาม และพูดคุยกันกว่า 5 พันคอมเมนต์ในช่วงเวลาเพียง 2 วัน 

ที่น่าสนใจมากๆ คือ มีข้อมูลยืนยันจากผู้ใช้กฎหมายในประเทศนั้นๆ หรือจากผู้ที่อยู่อาศัยในประเทศนั้นเป็นเวลานาน มาแถลงไขจนใครที่เข้าไปอ่าน สามารถเข้าใจลักษณะการค้ากามารมณ์แบบครบถ้วน ตั้งแต่ขั้นตอนการขอใบประกอบอาชีพโสเภณีอย่างถูกต้องตามกฎหมาย และเมื่อได้ใบอนุญาตแล้วจะต้องทำอย่างไรต่อ 

ณ ที่นี้ ขอยกตัวอย่างหนึ่งจากโสเภณีต่างชาติที่เข้าไปทำงานกันเล็กน้อย ซึ่งตัวอย่างนี้มาจากสิงคโปร์ โดยเผยว่าถ้าจะทำงานที่นั่นต้อง…

- มีการเซ็นสัญญาการทำงาน ระหว่าง 6 เดือน ถึง 2 ปี
- ระหว่างนั้นห้ามแต่งงานกับคนสิงคโปร์
- หลังหมดสัญญาแล้วจะไม่สามารถเดินทางเข้าสิงคโปร์ได้อีก
- สัญญาจะระบุเวลาการทำงาน มีทั้งเริ่มแต่เช้า 10.00 น. หรือ เที่ยง หรือบ่าย หรือเย็น
- วันหยุดคือวันที่มีประจำเดือน โดยจะได้หยุด 3 วัน
- สถานที่ทำงานนั้นเรียกว่า ‘บ้าน’
- โสเภณีประจำบ้าน จะออกจากบ้านได้หลังจากเลิกงานแล้วเท่านั้น และต้องแจ้งเวลากลับบ้านให้ชัดเจน
- ต้องตรวจสุขภาพตามกำหนด
- ค่าอาหารต้องออกเอง/บางบ้านอุปกรณ์ทำงานก็ต้องออกเอง
- ค่าแรงในการทำงาน อยู่ที่ 20-25 ดอลลาร์สิงคโปร์ (ประมาณ 580 บาท) ต่องานไม่เกิน 30 นาที
- ไม่เน้นคุณภาพการให้บริการ เมื่อหมดเวลาแล้วพร้อมรับแขกต่อไป

โอ้โห!! ฟังละอึ้ง

นอกจากสิงคโปร์แล้ว ยังมีผู้ให้ข้อมูลการประกอบอาชีพโสเภณีในเยอรมนี ซึ่งเป็นอีกพิกัดมีชื่อเรื่องธุรกิจกามารมณ์ที่ถูกกฎหมายมาตั้งแต่สมัยหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยในช่วงท้ายของทศวรรษ 60s นั้น มาจนถึงปัจจุบัน เยอรมนีมีซ่องขนาดใหญ่ลือเลื่องรู้กันดีทั่วโลก 

โดยมีคนไทยที่ทำอาชีพโสเภณีอย่างถูกกฎหมายในเยอรมนีได้ให้ข้อมูลไว้ว่า ตัวเธอเรียนจบปริญญาตรี และปริญญาโท จากเมืองไทย และตั้งใจจะมาเรียนปริญญาเอกในยุโรป แต่ชีวิตผิดแผน กลายมาเป็นโสเภณีอย่างถูกต้อง มีใบอนุญาต ได้รับการดูแลจากรัฐ เช่นเดียวกับอาชีพอื่น ๆ อย่างช่วงโควิด-19 ก็ได้รับเงินช่วยเหลือเกือบ 1 ล้านบาท 

ยิ่งไปกว่านั้นรายได้จากการประกอบอาชีพของเธอ สามารถส่งเสียครอบครัวในเมืองไทยได้อย่างสบาย เวลาติดต่อราชการไม่เจอสายตาเหยียด หรือกริยาดูถูก 

พอเห็นแบบนี้แล้ว ก็ทำให้รู้สึกคัน (คันไม้คันมืออยากค้นหาข้อมูลนะ) จนไปไล่ดูว่า...ทุกวันนี้จำนวนประเทศที่ผ่านกฎหมายให้ อาชีพโสเภณี เป็นอาชีพถูกกฎหมายนั้นมีมากน้อยแค่ไหน

ปรากฎว่ามีเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ เหตุผลเพราะทางรัฐของประเทศที่เห็นชอบมองว่า การตรวจตราธุรกิจที่ดำเนินอย่างเปิดเผย ย่อมง่ายกว่าธุรกิจหลบซ่อน ในบางประเทศเห็นว่า การค้าประเวณีอย่างถูกต้องช่วยลดอาชญากรรมทางเพศ และลดความรุนแรงในครอบครัว หรือด้วยหลักการอื่น ๆ

เอาเป็นว่ามาลองไล่เรียง เป็นความรู้กัน!! ว่า ‘อาชีพโสเภณี’ ในโลกกว้างนี้ มีมิติเช่นไรกันบ้าง?

สำหรับประเทศในยุโรป ที่อาชีพโสเภณีที่ได้รับการจดทะเบียน เป็นอาชีพถูกต้องตามกฎหมายและมีการตรวจตราอย่างเป็นระบบ ได้แก่ เยอรมนี, สวิสเซอร์แลนด์, ออสเตรีย, กรีซ, ตุรกี, เบลเยี่ยม, สาธารณรัฐเช็กฯ, เนเธอร์แลนด์, ฮังการี, อิตาลี, สเปน, โปรตุเกส และ ลัตเวีย

ส่วนในแถบสแกนดิเนเวียและใกล้เคียง ได้แก่ ฟินแลนด์, เอสโตเนีย, สโลเวเนีย, โปแลนด์ และยังมีประเทศอื่น ๆ ที่อาชีพโสเภณีไม่ผิดกฎหมาย แต่ไม่มีการตรวจตราควบคุม 

ข้ามมาฟากแถบทวีปอเมริกา ในอาร์เจนตินา อาชีพโสเภณี ก็เป็นอาชีพถูกกฎหมาย แต่ไม่อนุญาตให้หาประโยชน์จากโสเภณี จึงไม่อนุญาตให้มีพ่อเล้า แม่เล้า และห้ามค้าประเวณีในเขต 500 เมตรที่มีโรงเรียนตั้งอยู่ 

ในออสเตรีย อาชีพโสเภณีถูกต้องตามกฎหมายแต่มีการตรวจตราดูแลอย่างรัดกุม 3 ระดับคือ ระดับชาติ ระดับจังหวัด และระดับชุมชน

โสเภณีในบังคลาเทศ ค้าประเวณีได้อย่างถูกกฎหมาย แต่สังคมยังตราหน้าว่าเป็นอาชีพที่ไร้เกียรติ ทำให้โสเภณีถูกมองว่าเป็นอาชญากร

ในประเทศโบลิเวีย ผู้ที่อายุเกิน 18 ปี สามารถค้าประเวณีได้อย่างถูกกฎหมาย จึงสามารถพบเห็นผู้ยึดอาชีพโสเภณีได้ทั่วไป แต่ไม่มีกฎหมายที่จะให้ความคุ้มครองหรือดูแล ทำให้เกิดความเสี่ยงทั้งทั้งด้านสุขภาพ และความปลอดภัยต่อชีวิตของโสเภณี ทั้งกามโรคต่าง ๆ และการค้ามนุษย์ การบังคับให้ผู้อายุต่ำกว่าเกณฑ์ร่วมเพศกับลูกค้า

สาธารณรัฐโดมินิกัน ให้อาชีพโสเภณีเป็นอาชีพถูกต้องตามกฎหมาย และได้ทำให้โดมิกันเป็นจุดหมายปลายทางสำคัญของการท่องเที่ยวเพื่อเซ็กซ์

ส่วนในเอกวาดอร์ นอกจากอาชีพโสเภณีถูกต้องตามกฎหมายแล้ว ยังไม่ห้ามการหาประโยชน์จากโสเภณี เช่น การตั้งช่อง หรือสถานที่ให้บริการทางเพศ หรือการเป็นพ่อเล้า หรือแม่เล้า หรือนายหน้า แถมเอกวาดอร์ ยังดึงดูดโสเภณีจากโคลอมเบีย ให้มาหากินในเอกวาดอร์ เพราะค่าตอบแทนเป็นดอลลาร์สหรัฐฯ ต่างจากเงินเปโซของโคลอมเบียที่ไม่เสถียร ซึ่งมีการสำรวจคร่าว ๆ ในเอกวาดอร์พบว่า มีโสเภณีจำนวนไม่น้อยกว่า 35,000 คนกันเลยทีเดียว

ในเอลซัลวาดอร์ กฎหมายระดับชาติ ไม่มีบทลงโทษผู้ค้าประเวณี แต่กฎหมายในระดับเทศบาลสามารถเอาผิดในคดีค้าประเวณีได้ ดังนั้นกลุ่มลูกค้า จึงได้พัฒนาเขตเฉพาะขึ้น เพื่อให้เกิดความปลอดภัยต่อโสเภณีและการดำเนินกิจกรรมค้าประเวณี 

เอธิโอเปีย อนุญาตให้ผู้ที่มีอายุเกิน 18 ปี ประกอบอาชีพโสเภณีได้อย่างถูกกฎหมาย จึงพบเห็นโสเภณีได้ทั่วไป แต่กฎหมายยังจำกัดการหาผลประโยชน์จากโสเภณี และอาชีพแมงดาให้เป็นเรื่องผิดกฎหมายอยู่

การค้าประเวณีและการซื้อขายเซ็กซ์ในฟินแลนด์ เป็นสิ่งที่ถูกต้องตามกฎหมาย แต่หากผู้ซื้อได้ตกลงซื้อบริการทางเพศ จากผู้ขายที่เป็นเหยื่อของการค้ามนุษย์ ผู้ซื้อจะมีความผิดโดยบทลงโทษนั้น มีทั้งโทษปรับและจำ

การค้าประเวณีเป็นสิ่งถูกกฎหมายสำหรับผู้มีอายุเกิน 18 ปี ในอิสราเอล แต่มีบทลงโทษจำคุก 3 ปี ต่อผู้ซื้อเซ็กซ์จากผู้เยาว์ และอาชีพ ‘แมงดา’ จะถูกจำคุก 5 ปี 

ส่วนในญี่ปุ่น กฎหมายระบุว่า การซื้อขายเซ็กซ์นั้นผิดกฎหมาย โดยมีการระบุนิยามความหมายเพิ่มเติมความผิดภายใต้คำว่า ‘กิจกรรมทางเพศ’ ไว้ ซึ่งหมายถึงว่าการร่วมเพศกับอวัยวะเพศหญิงเท่านั้นที่ผิด ฉะนั้นกิจกรรมทางเพศ ที่ไม่ได้กระทำต่ออวัยวะเพศหญิง จึงถือว่าไม่ผิดกฎหมาย (อ่า)

ในมอลตา ประเทศเกาะกลางทะเลเมดิเตอร์เรเนียน การประกอบอาชีพโสเภณีด้วยความสมัครใจถือว่าไม่ผิดกฎหมาย แต่การกระทำใด ที่เป็นการล่อหลอก หว่านล้อม หรือบังคับ ให้ผู้อื่นประกอบอาชีพโสเภณีนั้นผิดกฎหมาย และการหาประโยชน์จากโสเภณีมีบทลงโทษ

เม็กซิโก ประกอบด้วยรัฐ 32 รัฐ และมีกฎหมายกลางที่ใช้กับทุกรัฐ ระบุกว่า ห้ามจัดตั้งซ่อง แหล่งค้าประเวณี หรือเป็นพ่อเล้า แม่เล้า ผู้ประกอบอาชีพโสเภณี ต้องจดทะเบียนและพกบัตรตรวจโรคติดตัวไว้ตลอดเวลา การซื้อขายเซ็กซ์ไม่ผิดกฎหมาย แต่อนุญาตให้แต่ละท้องถิ่น ออกกฎหมายบังคับใช้เพิ่มเติมได้ ดังนั้นกฎหมายว่าด้วยโสเภณีและการค้าประเวณีของเม็กซิโก จึงไม่มีลักษณะปูพรมผืนเดียวทั้งประเทศ มีความแตกต่างในแต่ละภูมิภาคและเมือง

กฎหมายว่าด้วยการค้าประเวณีของนอร์เวย์ มีความแตกต่างและน่าสนใจ คือ กฎหมายอนุญาตให้คนสัญชาตินอร์เวย์ขายบริการทางเพศได้ แต่ห้ามไม่ให้ผู้มีสัญชาตินอร์เวย์ หรือผู้ที่พำนักในนอร์เวย์ ซื้อบริการทางเพศ ไม่ว่าจะอยู่ในประเทศหรือนอกประเทศ การซื้อบริการทางเพศมีโทษทั้งปรับ และจำคุกนาน 1 ปี ในสวีเดนก็ไม่ต่างกันคือ ชาวสวีเดนสามารถค้าประเวณีได้ แต่ห้ามเป็นผู้ซื้อ

ในเซเนกัล เกณฑ์อายุที่จะยึดอาชีพโสเภณีได้คือ 21 ปี ซึ่งเป็นเกณฑ์อายุในการประกอบอาชีพที่สูงกว่าประเทศอื่น และมีการตรวจตราอย่างสม่ำเสมอ ทั้งการตรวจโรคและการไม่ถูกหลอกลวง หรือตกเป็นเครื่องมือของกลุ่มค้าประเวณี หรือพ่อเล้า แม่เล้า

ส่วนในสิงคโปร์นั้น แม้อาชีพโสเภณีไม่ผิดกฎหมาย แต่มีกฎหมายผูกพันมากมาย เช่น ห้ามหาลูกค้าในสถานที่สาธารณะ ห้ามหาประโยชน์จากโสเภณี ห้ามเป็นเจ้าของซ่อง ห้ามโฆษณาหรือประกาศขายเซ็กซ์ รวมทั้งทางอินเตอร์เน็ต 

จะเห็นได้ว่า ในประเทศที่อนุญาตให้อาชีพโสเภณีถูกต้องตามกฎหมาย มักจะเน้นว่า ห้ามหาผลประโยชน์จากโสเภณี 

แต่ในความเป็นจริง ก็เชื่อว่าการหากินบนหลังโสเภณีนั้นมีอยู่ จึงต้องมีกฎหมายคุ้มครอง ‘ในทางปฎิบัติ’ เพราะอาชีพนี้ มันยากมากที่จะปลอดจาก แมงดา พ่อเล่า หรือแม่เล้า  

อย่างไรก็ตาม โสเภณี ก็เป็นอาชีพอย่างอิสระอย่างหนึ่ง และก็ควรจะได้รับสิทธิในการคุ้มครองที่ดี การปฏิบัติตน การให้เกียรติจากสังคม เพื่อไม่ให้โสเภณีเหล่านั้น หลุดเข้าไปสู่วัฏจักรอันเลวร้าย วนเวียนสู่วงจรของอาชญากรรมจัดตั้ง

ที่นำมาเล่านี้ เป็นประสบการณ์ของอาชีพหนึ่งในโลกแห่งความเป็นจริง ไม่ได้เป็นการส่อแววอนาจารหรือสนับสนุนใด ๆ เพียงแต่เป็นการตีแผ่เรื่องจริง ที่ได้แรงหนุนจากบรรดาคอมเมนต์ ‘เพจโยกย้ายฯ’ ก็มีคอนเทนต์มากมายทั้งชุดคำพูดสนุกสนาน ขบขัน หรือข้อมูลความรู้ทั่วไปแบบเล่าสู่กันฟัง 

แต่อย่างไรเสีย บทสรุปของอาชีพนี้ ที่ทิศทางคำถามได้ในแนวเดียวกัน คือ “ทำไมถึงอยากเป็นโสเภณี?” 

คำตอบแบบชัด ๆ อาจระบุไม่ได้ แต่หากให้คลี่คลายอย่างผิวเผินและไม่เป็นทางการนั้น มีความจริงเพียงแค่หนึ่งเดียว...

“เพราะค่าตอบแทนคุ้มค่าแรงไง”

“แค่นั้นจริงๆ”


เขียนโดย: แพท แสงธรรม นักวิชาการอิสระ ด้าน Communication facilitator และอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญในด้านอื่น ๆ ระยะเวลามากกว่า 23 ปี
 

ทำไมถึงต้องตรวจภายใน? หลาย ๆ คนอาจจะมีความกลัวในการตรวจ แต่ถ้าไม่ตรวจ เราจะไม่รู้เลยว่า เราอาจมีความเสี่ยงในโรคที่สามารถเกิดขึ้นได้กับอวัยวะภายในของเรา!!

สวัสดีค่ะ กลับมาพบกับป้าหมึกแสนซนคนน่ารักอีกเช่นเคยนะคะ วันนี้ป้าก็มีเรื่องมาเล่าอีกเช่นเคย หลาย ๆ คนอาจรู้สึกว่าช่วงนี้เราต้องระวังโรคโควิด-19 กัน ป้าก็ขอให้ทุกคนดูแลสุขภาพด้วยนะคะ นอกจากโรคโควิดที่เราต้องคอยเฝ้าระวังกันแล้ว เหล่าหญิงน้อย หญิงใหญ่ อาจจะต้องมีเรื่องที่ควรใส่ใจกันมากขึ้นกว่าเดิม นั่นก็คือเรื่องปัญหาภายใน ซึ่งเป็นสิ่งที่ควรระวังกันมาก ๆ เลยนะคะ อาจจะเคยได้ยินคำว่า “การตรวจภายใน” กันมาบ้างแล้ว แต่หลาย ๆ คนก็ยังกล้า ๆ กลัว ๆ วันนี้ป้าจะขอมาเล่าเรื่องนี้ให้ฟังกันค่ะ 

การตรวจภายใน คือ การตรวจอวัยวะในอุ้งเชิงกรานของสตรีทั้งภายนอกและภายใน ได้แก่ อวัยวะเพศภายนอก, ช่องคลอด, ปากมดลูก, มดลูก, ปีกมดลูก, รังไข่ และเนื้อเยื่อที่อยู่รอบ ๆ อวัยวะที่ป้าได้กล่าวมาค่ะ 

เสี่ยงในโรคที่สามารถเกิดขึ้นได้กับอวัยวะภายในของเรา เพราะอวัยวะภายในของผู้หญิงมีความซับซ้อนและเป็นระบบปิด ซึ่งอาจถูกรบกวนจากปัจจัยภายนอก และส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ เช่น การมีเพศสัมพันธ์ การตั้งครรภ์และการคลอด และยังอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคและความผิดปกติต่าง ๆ ภายในอวัยวะสืบพันธุ์ได้อีกด้วย อย่างเช่น โรคมะเร็งปากมดลูก โรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ หรือช็อกโกแลตซีสต์ น่ากลัวมาก ๆ เลยล่ะค่ะ 

ส่วนอาการที่ควรรีบมาตรวจภายในกัน ป้าได้ไปอ่านข้อมูลและขอสรุปตามนี้นะคะ 

- มีอาการเลือดออกผิดปกติบริเวณอวัยวะเพศ เช่น เลือดออกกะปริบกะปรอย, ปริมาณมาก มีลิ่มเลือดปน, ประจำเดือนมานานมากกว่า 7 วัน ระยะรอบประจำเดือนมาห่างน้อยกว่า 21 วัน หรือมากกว่า 35 วัน, มีเลือดออกบริเวณช่องคลอด

- มีอาการตกขาวปริมาณมากขึ้น สีเปลี่ยนไป เช่น สีเขียว, สีเหลือง มีกลิ่นแรงขึ้น ลักษณะเปลี่ยนไปเป็นลักษณะมูกสีขาวข้นคล้ายแป้ง

- มีอาการปวดท้องน้อย ทั้งที่สัมพันธ์กับช่วงมีระดูหรือไม่มีระดู, ปวดหน่วงท้องน้อย

- พบผื่น, ติ่งเนื้อที่อวัยวะเพศภายนอก, แสบขัดในช่องคลอด

- คลำพบก้อนที่ท้องน้อย

โดยส่วนตัวป้า ถ้าเกิดเราไม่มีอาการขั้นต้นก็อยากให้ผู้หญิงมาตรวจภายในกันมากขึ้น ถ้าเริ่มโตขึ้นเป็นวัยรุ่นก็มาตรวจได้แล้วค่ะ เพราะการใช้ชีวิตและการรับประทานอาหาร ในปัจจุบันก็ส่งผลให้ร่างกายของเรามีการปรับเปลี่ยน และอาจจะเกิดโรคได้ง่ายขึ้นนะคะ

ส่วนการเตรียมตัวตรวจภายในก็มีวิธีง่าย ๆ ดังต่อไปนี้ค่ะ 

1.) งดมีเพศสัมพันธ์ รวมถึงการใช้ยาเหน็บในช่องคลอด หรือสวนล้างช่องคลอด ก่อนเข้ารับการตรวจประมาณ 24-48 ชั่วโมง

2.) หลีกเลี่ยงการตรวจในช่วงที่มีประจำเดือน และควรรอให้ประจำเดือนหมดสนิท 2-3 วัน หรือก่อนที่จะมีประจำเดือนในรอบถัดไปประมาณ 1 สัปดาห์จึงจะมาตรวจ เพราะการตรวจในช่วงที่มีประจำเดือนจะทำได้ยาก และอาจทำให้ผลคลาดเคลื่อนได้ แต่หากมีเลือดออกทางช่องคลอดทุกวัน สามารถพบแพทย์เพื่อตรวจภายในได้เลย ไม่ต้องรอเลือดหยุด 

3.) ควรปัสสาวะออกให้หมด แพทย์จะได้คลำขนาดมดลูกและปีกมดลูกได้

4.) ไม่ปิดบังข้อมูลกับแพทย์ เช่น เป็นโสดแต่อาจมีเพศสัมพันธ์ วิธีการที่ใช้ในการคุมกำเนิด การทำแท้ง หรืออาการผิดปกติที่อาจเกี่ยวข้องกับระบบสืบพันธุ์ รวมถึงประวัติการแพ้ยา 

เมื่อเราเตรียมพร้อมที่จะตรวจภายในแล้ว ขั้นตอนการตรวจภายในคร่าว ๆ ก็จะมีประมาณนี้ค่ะ

1.) ขึ้นนอนบนเตียงที่ออกแบบมาเพื่อตรวจภายในโดยเฉพาะ โดยจะมีที่รองขาหรือที่เรียก”ขาหยั่ง” เพื่อแยกขาให้ออกจากกัน ทำให้เห็นอวัยวะสืบพันธุ์ได้ชัดเจน

2.) คุณหมอจะใช้น้ำยาทำความสะอาดบริเวณปากช่องคลอด แล้วใช้ผ้าสะอาดคลุมบริเวณขาทั้ง 2 ข้างและหน้าท้องส่วนล่าง เหลือเปิดไว้เฉพาะบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์

3.) คุณหมอก็จะเริ่มจากการตรวจดูบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกว่ามีอะไรผิดปกติหรือไม่ และอาจต้องใช้มือคลำว่ามีก้อนเนื้องอกบริเวณปากช่องคลอดด้วยหรือไม่

4.) จากนั้นใช้เครื่องมือถ่างขยายปากช่องคลอด ซึ่งทำด้วยเหล็กใส่เข้าไปในช่องคลอดเพื่อตรวจดูภายในว่ามีแผล มูกเลือดที่ปากมดลูกหรือช่องคลอดหรือไม่ รวมทั้งจะได้เช็คมะเร็งปากมดลูกไปด้วย 

5.) และปิดท้ายด้วยการสอดนิ้วมือของมือข้างหนึ่งเข้าไปในช่องคลอด และใช้นิ้วของมืออีกข้างหนึ่งกดที่หน้าท้องโดยเฉพาะบริเวณท้องน้อย แล้วใช้มือทั้ง 2 ข้างร่วมกันในการคลำอวัยวะในช่องท้อง ไม่ว่าจะเป็นมดลูกหรือรังไข่ว่าโตผิดปกติไหม กดเจ็บไหม มีถุงน้ำหรือเนื้องอกหรือเปล่า เพียงเท่านี้ก็เสร็จแล้วค่ะ
 

เพียงเท่านี้ก็ตรวจภายในเสร็จเรียบร้อย และคุณหมอก็จะวินิจฉัยอาการ รวมไปถึงความเสี่ยงต่าง ๆ ทำให้เรารู้ว่าควรปรับตัวในการใช้ชีวิตอย่างไร เราจะได้มีสุขภาพที่แข็งแรงต่อไปค่ะ 

และที่สำคัญตอนนี้ในแอปพลิเคชั่น “เป๋าตัง” ในตัวแอปก็จะมีกระเป๋าสุขภาพ หรือ Health Wallet โดยที่เราสามารถลงทะเบียนเพื่อตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกได้นะคะ สามาถเข้าไปศึกษาดูได้ในแอปพลิเคชั่นเป๋าตังค่ะ 

 

ยังไงก็ขอให้หญิงน้อย หญิงใหญ่ ดูแลสุขภาพกันด้วยนะคะ ไปตรวจภายในกันเถอะค่ะ ถ้าตรวจแล้วเจอจะได้รับการรักษาได้ทัน ขอให้ผู้อ่านสุขภาพแข็งแรงนะคะ แล้วพบกันใหม่ Have a nice day (: 
.
เขียนโดย: ป้าหมึกอยากเล่า หญิงใหญ่แห่งท้องทะเล ผู้สรรหาความรู้ในเรื่องที่อยากเล่า


แหล่งข้อมูล 
https://www.princsuvarnabhumi.com/แบบไหนที่ควรตรวจภายใน/
https://www.thonburihospital.com/การตรวจภายในสำคัญอย่างไร.html
https://www.si.mahidol.ac.th/sidoctor/e-pl/articledetail.asp?id=743
https://www.vichaiyut.com/th/health/diseases-treatment/ivf/ตรวจภายในครั้งแรก-ป้องก/


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top