Tuesday, 20 May 2025
SPECIAL

'ผู้นำคนพิการระดับประเทศ'​ ขอเป็นหนึ่งกำลังใจให้ ท่านอดีต สส.เป้า (จิรวุฒิ สิงห์โตทอง) คนดี บ้านบึง ชลบุรี

(11 ก.ย.​ 64)​ ณ​ สมาคมกลุ่มอาชีพการเกษตรชลบุรี อำเภอบ้านบึง จังหวัดชลบุรี "นายณรงค์ ไปวันเสาร์" นายกสมาคมคนพิการภาคตะวันออก / นายชีวานนท์ พรรัตน์ธนิกกุล นายกสมาคมสหพันธ์แรงงานคนพิการไทย / นางสาวภัสวรินทร์ กิตติโชคกุลพัทธ์ นายกสมาคมส่งเสริมและพัฒนาคนพิการไทย พร้อมคณะ เข้าพบ "นายจิรวุฒิ สิงห์โตทอง" อดีต (สส.เป้า) อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี และอดีต เลขานุการว่าการกระทรวงการคลัง เพื่อขอเป็นหนึ่งกำลังใจให้แก่ผู้ที่สร้างคุณงามความดี ตอบแทนสังคม และประเทศชาติ

โดยงานนี้ได้มีการนำข้าวสารจำนวน 500 กิโลกรัม มามอบเพื่อช่วยสมทบให้​ ภายหลัง​ นายจิรวุฒิ​ ดำริมอบอาคารโรงเรียนเก่า เพื่ออุทิศเป็นสถานที่ 'ศูนย์พักคอยผู้ติดเชื้อโควิด-19'​ พร้อมทั้งได้กล่าวอัพเดทล่าสุดของโรงพยาบาลที่ได้จัดสร้างขึ้นเพื่อคนจังหวัดชลบุรี 90% ว่า... 

"สำหรับความคืบหน้าในทำโรงบาลสนาม อาจจะคลาดเคลื่อนนิดหนึ่ง อยากพูดกับประชาชนทราบอย่างนี้ว่า อาคารชุดแห่งนี้ ปล่อยทิ้งร้างว่างเปล่า 30 กว่าปี ดังนั้นการจะทำให้ดีและสมบูรณ์ที่สุด ต้องเริ่มตั้งแต่อาคาร ขัดถูล้าง ทาสีใหม่หมด ห้องน้ำรีโนเวทหมด สมัยก่อนเป็นแบบนั่งยอง ผมสั่งเปลี่ยนเป็นแบบนั่งซักโครก ร่วมทั้งอุปกรณ์ในห้องน้ำต้องทันสมัย ปูพื้นด้วยกระเบื้องอย่างดี ระบบไฟรื้อถอนของเก่าออกทั้งหมด ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากโครงการ #fixitcenter "วิทยาลัยเทคนิคชลบุรี" วางระบบสายไฟ อุปกรณ์ต่างๆ มีความทันสมัยสวยงาม ไฟเป็นแบบประหยัดไฟ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การขัดถูพื้นต้องใช้คนงานหลายชีวิต เตียงสนามทำขึ้นมาแบบแข็งแรงทนทาน ใช้ได้ชั่วลูกหลาน

"ตลอดทั้งมีหลายๆ องค์กรสนับสนุนเข้ามา บริเวณรอบปรับปรุงใหม่หมด เพื่อความสวยงามร่มรื่น ด้านหลังอาคารทำเป็นสวนสมุนไพร ปลูก ขิงข่า ฟ้าทะลายโจร ขมิ้น และอื่นๆ​ ที่ทานได้ ได้รับประโยชน์เต็มๆ จากพื้นที่ ด้านหน้าเป็นสนามหญ้า ผมสั่งทำให้เป็นสนามฟุตบอล มาตรฐานครบเหมาะต่อการออกกำลังกาย หญ้าตัดทุกจุดที่มีความสูงรก คูน้ำสั่งลอกหมดเพื่อความสะดวกของทางน้ำไหล ระบบไฟฟ้าเพิ่มหม้อแปลงใหม่ใหญ่กว่าเดิม นี่คือความตั้งใจผมออกมาจากใจผมจริงๆ เพื่อพี่น้องประชาชนคนชลบุรีครับ"

#คนจริงไม่ทิ้งพวก #ทำด้วยใจยังไงก็ดี

วิทยาศาสตร์กับการใช้ “ถุงดำคลุมหัว” ความทรมานที่ไม่ควรเกิดขึ้นกับมนุษย์!!

เมื่อประมาณ 2-3 อาทิตย์ที่ผ่านมา ข่าวที่คิดว่าทุกคนรู้สึกหดหู่และสะเทือนใจมากที่สุด เมื่อได้เห็นคลิปหรือได้รับฟังข่าว นั่นก็คือการที่ตำรวจใช้ถุงดำคลุมหัวผู้ต้องสงสัยในคดียาเสพติด โดยในภาพคือตำรวจหลายคนใช้ถุงพลาสติกสีดำคลุมหัวผู้ต้องสงสัยที่ถูกกุญแจมือ ที่พยายามดิ้นทุรนทุรายด้วยความทรมานในเฮือกสุดท้าย เพื่อเอาตัวรอดให้มีชีวิตอยู่บนโลกนี้ได้ อย่างทรมาน จนกระทั่งเขาแน่นิ่งและเสียชีวิตไปในที่สุด ซึ่งเป็นภาพที่สะเทือนใจกับผู้ที่ดูคลิปวิดีโอที่สุด และที่ผ่านมาก็มีข่าวลักษณะการฆ่าตัวตายของคนโดยการใช้ถุงดำคลุมหัวและใช้เชือกรัดที่คอไว้เพื่อให้สิ้นใจตาย หรือแม้กระทั่งข่าวครูโรงเรียนอนุบาลแห่งหนึ่งทำโทษนักเรียนเพื่อให้นักเรียนกลัวโดยการใช้ถุงดำคลุมหัว 

สำหรับวันนี้เราจะมาดูกันครับ เมื่อใช้ถุงดำคลุมหัวและรัดไว้ให้แน่ โดยไม่ให้มีอากาศจากข้างนอกเข้าไปจะเกิดอะไรขึ้นกับเราในสภาวะแบบนั้นครับ แน่นอนครับสาเหตุที่เสียชีวิตเมื่อถูกถุงดำคลุมหัวก็คือเกิดจากการขาดอากาศหายใจ 

โดยกระบวนการหายใจของมนุษย์ประกอบไปด้วย การหายใจเข้า (Inspiration) มีปฏิกิริยาเกิดขึ้นคือ อวัยวะส่วนที่เป็นกะบังลมจะเลื่อนต่ำลง กระดูกซี่โครงจะเลื่อนสูงขึ้น ส่งผลให้ปริมาตรของช่องอกเพิ่มขึ้น ความดันอากาศในบริเวณรอบ ๆ ปอดลดต่ำลงกว่าอากาศภายนอก อากาศภายนอกจึงเคลื่อนเข้าสู่จมูก หลอดลม และไปยังถุงลมปอดในที่สุด ขณะเดียวกัน การหายใจออก (Expiration) กะบังลมจะเลื่อนสูง กระดูกซี่โครงจะเลื่อนต่ำลง ทำให้ปริมาตรของช่องอกลดน้อยลง ความดันอากาศในบริเวณรอบ ๆ ปอดสูงกว่าอากาศภายนอก อากาศภายในถุงลมปอดจึงเคลื่อนที่จากถุงลมปอดไปสู่หลอดลมและออกทางจมูก โดยทั่วไปแล้วอากาศที่เราหายใจเข้าไปจะประกอบไปด้วย
>> แก๊สไนโตรเจน (Nitrogen) ร้อยละ 78 
>> แก๊สออกซิเจน (Oxygen) ร้อยละ 21 
>> แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon dioxide) ร้อยละ 0.04  
>> ฝุ่น ไอน้ำ และแก๊สอื่น ๆ อีกร้อยละ0.96 

ทั้งนี้อากาศที่เราหายใจเข้าไปจะไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ไม่ติดไฟ และเราจะไม่สามารถแยกแยะแก๊สเหล่านี้ได้ด้วยการดมกลิ่น อย่างไรก็ตามเมื่อเราอยู่ในบริเวณที่มีออกซิเจนน้อยเกินไป เช่นบริเวณที่สูงมาก ๆ เราจะเริ่มรู้สึกอึดอัด หายใจไม่สะดวก มึนงง และอาจเกิดอาการหน้ามืด หมดสติได้ ทีนี้เรามาดูกันมั่งครับ เพื่อเราหายใจออกมา ลมหายใจเรานั้นประกอบด้วยแก๊สอะไรมั่ง ทั้งนี้เมื่อมนุษย์หายใจออกมาแก๊สที่ออกมาประกอบไปด้วย 
>> แก๊สไนโตรเจน (Nitrogen) ร้อยละ 78 
>> แก๊สออกซิเจน (Oxygen) ร้อยละ 16 
>> แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon dioxide) ร้อยละ 4 
>> ไอน้ำและแก๊สอื่น ๆ อีกร้อยละ 2 

โดยเมื่อเปรียบเทียบกับปริมาณแก๊สที่หายใจเข้าไป พบว่าแก๊สไนโตรเจนเท่าเดิม แก๊สออกซิเจนลดลง ร้อยละ 5 ในขณะที่ แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มขึ้นเกือบร้อยละ 4 นั่นก็คือ เมื่อเราหายใจในถุงดำเป็นเวลานาน แก๊สออกซิเจนที่มีอยู่ในถุงดำตอนเริ่มต้นก็จะถูกใช้ไปจนพบ ในขณะเดียวกันแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มขึ้น เมื่อผ่านไปซักพักก็จะขาดแก๊สออกซิเจนที่เป็นส่วนสำคัญในการหายใจเข้าไป ทำให้ต้องดิ้นทุรนทุรายและเสียชีวิตไปในที่สุดนั่นเอง 

โดยแก๊สออกซิเจนที่หายใจเข้าไปร่างกายจะผ่านไปที่ปอดและส่งไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ส่งให้แก๊สออกซิเจนทำปฏิกิริยากับสารอาหาร ได้พลังงาน น้ำ และแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ ทั้งนี้โดยทั่วไปแล้วมนุษย์ไม่สามารถที่จะกลั้นลมหายใจ จนกระทั่งเสียชีวิตเองได้ เนื่องจากในขณะที่กลั้นลมหายใจจนถึงจุดจุดหนึ่งแล้ว ร่างกายเราจะหายใจโดยอัตโนมัติ ถึงแม้สมองจะสั่งการให้ไม่ต้องหายใจก็ตาม แต่เพื่อรักษาชีวิตให้อยู่รอดได้ ตามสัญชาตญาณ ร่างกายจะไม่ปล่อยให้กลั้นหายใจจนเสียชีวิต โดยจะสังเกตได้จากการจมน้ำตายที่จะพบว่าสาเหตุการเสียชีวิตเกิดจากการหายใจเอาน้ำเข้าไปจมน้ำท่วมปอด ไม่ใช่เกิดจากขาดอากาศหายใจโดยตรง โดยเมื่อเราอยู่ในน้ำ เราจะกลั้นหายใจโดยการสั่งการของสมองได้ระยะหนึ่ง หลังจากนั้นร่างกายก็จะถูกทำให้หายใจโดยอัตโนมัติ ทำให้น้ำเข้าไปที่ปอดนั่นเอง 

ทั้งนี้โดยทั่วไปคนเราจะกลั้นหายใจได้ประมาณ 30-90 วินาที ยกเว้นคนที่ผ่านการฝึกมาอาจจะกลั้นหายใจได้มากกว่าคนปกติหลายเท่า ทีนี้เราลองมาจำลองเหตุการณ์ดูครับว่าเมื่อเราถูกถุงดำคลุมหัวช่วงแรกเราก็ยังหายใจได้อยู่เนื่องจากแก๊สออกซิเจนยังถูกใช้ไปไม่หมด แต่เมื่อถูกใช้ไปหมดเราก็พยามดิ้นทุรนทุรายเพื่อเอาตัวรอดตามสัญชาตญาณของมนุษย์ ช่วงแรกอาจอยู่ได้โดยกลั้นลมหายใจ แต่พอกลั้นไปได้ระยะหนึ่งร่างกายก็จะสั่งให้หายใจ แต่เมื่อหายใจแล้วเนื่องจากไม่มีออกซิเจนไปเลี้ยงอวัยวะส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ทำให้ทรมานและเสียชีวิตในที่สุดครับ


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก???? https://lin.ee/vfTXud9

ฟ้าจรดเกลือ “Salar de Uyuni” (ซาลาร์ เดอ อูยูนี) ‘ทะเลสาบเกลือสุดอัศจรรย์’ ที่ใหญ่และสวยที่สุดในโลก!!

ในกลุ่มคนซึ่งชื่นชอบการท่องเที่ยวผจญภัยน้อยคนนักที่ไม่รู้จักทะเลสาบเกลืออันเลื่องชื่อระดับโลก นาม “อูยูนี” Salar de Uyuni (ซาลาร์ เดอ อูยูนี) จัดว่าเป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวที่จำเป็นต้องจัดให้อยู่ในโปรแกรมทัวร์เมื่อไปถึงประเทศโบลิเวีย ซึ่งเป็นประเทศที่จัดว่ายังดิบมากที่สุดแห่งหนึ่งในทวีปอเมริกาใต้ ประชากรเกือบทั้งประเทศยังคงเป็นคนพื้นเมืองแห่งเทือกเขาแอนดีส ซึ่งค่อนข้างต่างจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างชิลี อาร์เจนตินา หรือเปรู ที่ประชากรลูกหลานคนขาวตกค้างยุคล่าอาณานิคมยังครองเมืองกันอยู่ ที่สำคัญผู้นำประเทศโบลิเวียคนปัจจุบันก็เป็นชนพื้นเมืองอีกด้วย

จะว่าสะดวกสบายก็ใช่ จะว่าลำบากก็ประมาณหนึ่ง เพราะพื้นที่โดยรอบทะเลสาบเกลือคุ้นเคยและรองรับการท่องเที่ยวได้ดีระดับหนึ่งแล้ว แต่ใช่ว่าไปถึงเมืองต้นทางสำหรับทัวร์ทะเลสาบเกลืออูยูนีแล้วทุกอย่างจะหรูหรา คนเดินทางยังจำเป็นต้องเตรียมใจและเผื่อใจไว้ให้กับกรณีไม่คาดฝัน ถ้าคาดหวังความสะดวกสบายทุกอย่างก็ไปเที่ยวเวนิซ ซานฟรานซิสโก หรือกรุงลอนดอนน่าจะดีกว่า

อูยูนียังคงความไกลปืนเที่ยง ให้ความรู้สึกว่าได้ผจญภัยในดินแดนอันไกลโพ้น แต่เพิ่มเติมคือยังพอจะมีความสะดวกสบายพอสมควร ดังนั้น เท่าที่มีอยู่สมควรนับว่าหรูแล้ว เพราะในพื้นที่ห่างไกลจากทุกสิ่งบนความสูงหลายพันเมตรเช่นนี้สิ่งสามัญพึงเรียกว่าเป็นสิ่งพิเศษแล้ว

เมืองที่นักท่องเที่ยวทั้งหลายมักไปตั้งต้นการเที่ยวรอบทะเลสาบเกลือ คือเมืองหน้าตามอมแมมชื่อเดียวกับทะเลสาบ คือ “อูยูนี” นั่นเอง เมืองนี้ห่างจากลาปาซเมืองหลวงราว 185 ไมล์ นั่งรถตู้ก็ใช้เวลาประมาณ 8 ชั่วโมง มีโฮสเทลและโรงแรมมากพอที่จะรองรับนักท่องเที่ยวตั้งแต่ทุนต่ำแบ็กแพ็กเกอร์ ไปจนถึงคนมีสตางค์ที่ยอมลดความสะดวกสบายพักตามโรงแรมสองดาวสามดาว ร้านอาหาร ร้านค้าที่ระลึก ผับบาร์เป็นสถานบันเทิงที่ลูกค้าคือคนต่างชาติเป็นหลัก คนท้องถิ่นเขาก็จับจ่ายและหาความบันเทิงตามแบบชาวบ้าน ตลาดและร้านค้าโดยรอบขายสินค้าที่ส่วนใหญ่น่าจะผลิตจากจีน ราคาจึงค่อนข้างถูก 

ส่วนคุณภาพว่ากันอีกเรื่อง นักเดินทางที่ต้องการประหยัดมักอุดหนุนแม่ค้าขายอาหารจำพวกทอดริมทางหรือที่ตลาดสด ได้ทั้งปริมาณและสนนราคาไม่แพงอีกด้วย การได้เดินตลาดยังเป็นกิจกรรมที่ทำให้ได้สังเกตวิถีชีวิตของคนท้องถิ่น ดูว่าพวกเขาแต่งกายกันอย่างไร แฟชั่นประจำถิ่นเป็นอย่างไร คนเขากินอะไร นิยมชมชอบดนตรีแบบไหนบ้าง ชอบซื้อหาจับจ่ายอะไรกันบ้าง เหล่านี้ล้วนพบได้ตามท้องถนนและโดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดนั่นเอง 

แค่พ้นเขตเมืองก็กลายเป็นพื้นที่ทุ่งราบสูงกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา มวลเมฆลอยอยู่ใกล้เส้นขอบฟ้าเหนือเทือกเขาซึ่งมองเห็นได้แต่ไกล ในขณะที่เงาตกกระทบบนผิวน้ำเค็มตื้นเขินซึ่งเต็มไปด้วยเกลือสีขาวปริมาณมหาศาลนั้นเป็นฉากแปลกตาแบบที่ยากจะเจอในพื้นที่อื่นบนผิวโลกใบนี้ บางจุดสามารถถ่ายภาพแล้วเสมือนหนึ่งคนและพาหนะต่าง ๆ ลอยอยู่เหนือน้ำ จะสรรหาความคิดสร้างสรรค์ในการถ่ายภาพหลอกตาว่าคนตัวใหญ่กว่ารถยนต์หรือตามแต่ไอเดียจะบรรเจิด เรียกว่าทะเลสาบเกลืออูยูนีเปรียบเสมือนสนามเด็กเล่นของพวกผู้ใหญ่นิยมท่องโลกทั้งหลายล่ะ 

นักท่องเที่ยวที่ไม่มีพาหนะมักเลือกทัวร์ตั้งแต่ไปเช้าเย็นกลับ ไปจนถึงสี่ห้าวันก็มี แม้จะต้องจ่ายแพงกว่า แต่ก็น่าจะคุ้มค่ากว่าในแง่ที่ไกด์กับคนขับรถรู้จักพื้นที่ดีมากพอที่จะไปแวะจอดตามแหล่งท่องเที่ยวสำคัญที่น่าสนใจทั้งหลาย พร้อมกับอธิบายที่มาที่ไปของสถานที่เหล่านั้น รู้ว่าจะต้องพาไปถ่ายรูปที่ไหนอย่างไรบ้างจึงจะได้ภาพว้าว ๆ ประเภทอวดชาวโลกได้ 

ส่วนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเอง ไม่ว่าจะปั่นจักรยาน ขับมอเตอร์ไซค์ หรือขับรถยนต์เองสามารถจัดเส้นทางสำรวจทะเลสาบเกลือได้ตามอำเภอใจ จะพักแรมบนกองเกลือหรือหมู่บ้านริมทะเลสาบที่มีบ้านพักซึ่งทำจากก้อนเกลือก็ได้ นับว่าได้ประสบการณ์สุดพิเศษ เห็นว่าเกลือมีคุณสมบัติสามารถรักษาโรคบางอย่างได้ด้วย เช่นโรคหอบหืด เป็นต้น 

พื้นที่โดยรอบทะเลสาบยังมีความน่าสนใจอื่น ๆ ด้วย เช่นสัตว์ป่าตระกูลเดียวกับอัลปาก้าและลามา (อันที่จริงถ้าจะให้ถูกต้องเรียกว่า “ยามา”) วิ่งเร็ว ทว่าแสนเชื่องช้าเมื่อรู้ว่าห่างจากมนุษย์มากพอ วิวทิวทัศน์เวิ้งว้างแห้งแล้ง ทุ่งหญ้าแห้งแล้งเหลืองน้ำตาล ภูเขาสูงยอดหิมะคลุมมองเห็นลิบไกล เหล่านี้ล้วนเป็นเสน่ห์ทำให้อูยูนี น่ามาเยือนและค้นหาเป็นอย่างยิ่ง

ครั้งหนึ่งในชีวิต หากมีโอกาส ลองจัดโปรแกรมท่องเที่ยวทวีปอเมริกาใต้ บรรจุประเทศโบลิเวียลงไปด้วย แล้วก็อย่าพลาดไปเยือนทะเลสาบเกลืออูยูนีด้วยตัวเองสักครั้งล่ะ รับรอง ไม่ผิดหวังแน่นอน! 


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก???? https://lin.ee/vfTXud9

สตม. มอบอาหารกล่องพร้อมน้ำดื่ม 500 ชุด ให้แก่ชุมชนเคหะร่มเกล้าโซน​ 11 ตามโครงการ "ตำรวจห่วงใย ใส่ใจประชาชน"

ตามนโยบายของ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. ในช่วงการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด–19  ให้หน่วยงานในสังกัดช่วยเหลือพี่น้องประชาชน และยึดมั่นในหน้าที่ “ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์” อยู่เคียงข้างไม่ทอดทิ้งประชาชน และปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มความสามารถให้ประชาชนรู้สึกว่าตำรวจสามารถพึ่งพาได้ 

(10 ก.ย.64) พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. มอบหมายให้ พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.สุเมธ เมฆขจร ผบก.ตม.6 และ พ.ต.อ.ศุภชัชจ์ เปี่ยมมนัส รอง ผบก.ตม.6 ร่วมกับ พล.ต.ต.อรรถวิทย์ สายสืบ ผบก.น.3, พ.ต.อ.พรเทพ สูติปัญญา รอง ผบก.น.3 และ สน.ร่มเกล้า โดย พ.ต.อ.นันทภูมิ เรืองรุ่ง ผกก.สน.ร่มเกล้า มอบอาหารกล่อง,น้ำดื่ม จำนวน 500 ชุด 

โดยทั้งหมดได้ร่วมกันมอบสิ่งของดังกล่าวให้แก่ชุมชนเคหะร่มเกล้าโซน11 แขวงคลองสองต้นนุ่น เขตลาดกระบัง กทม. โดยมีคุณอุทัย รุ่งน้อย ตัวแทนชุมชนมาเป็นผู้รับมอบ ซึ่งจะนำไปแจกจ่ายให้แก่สมาชิกในชุมชนผู้ได้รับความเดือดร้อนจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ต่อไป

พล.ต.ต.อาชยนฯ กล่าวว่า โครงการ "ตำรวจห่วงใย ใส่ใจประชาชน" ครั้งนี้ เป็นการสนองนโยบายของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการช่วยเหลือประชาชนที่เดือดร้อนจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งในครั้งนี้ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ร่วมกับ กองบังคับการตำรวจนครบาล3 และ สน.ร่มเกล้า ร่วมกันให้ความช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่เดือดร้อนจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 และได้เน้นย้ำให้ประชาชนตระหนักถึงความร้ายแรงของสถานการณ์นี้และปฏิบัติตามมาตรการของกรมควบคุมโรคอย่างเคร่งครัด พร้อมทั้งให้กำลังใจเพื่อให้สามารถก้าวผ่านวิกฤติในครั้งนี้ไปด้วยกัน

มรดกโลก “อเลิท์ซ กลาเซียร์” (Aletsch Glacier) มหาธารน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดในเทือกเขาแอลป์ ธรรมชาติสวยสะกดสายตา เติมเต็มความสุขทางใจ

“Aletsch glacier” (ธารน้ำแข็งอาเล็ทช์ กลาเซียร์) เป็นธารน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดในเทือกเขาแอลป์ (Alps) อยู่ในรัฐ Wallis (วาลิส) มีความยาวถึง 23 กิโลเมตรกินพื้นที่ตั้งแต่ Jungfrau มาจนถึง Valias (Wallis) ช่วงที่หนาที่สุดของธารน้ำแข็งคือลึกประมาณ 900 เมตรเลยนะ แถมเจ้าธารน้ำแข็ง Aletsch ยังเคลื่อนที่ด้วยความเร็วประมาณ 200 เมตรต่อปี แบบที่เราไม่รู้สึกเลยด้วยซ้ำ 

การเดินทางก็สามารถเลือกได้หลายเส้นทาง  
>> 1.) ขึ้นกระเช้าจากเมือง Fiesch ไปที่ Fiescheralp และต่อไปที่ยอดเขา Eggishorn จากตรงนี้ถ้าอากาศดีจะสามารถมองเห็น Jungfrau Joch (ยุงเฟรา Top of Europe) และ Matterhorn (มัทเทอร์ฮอร์น) ได้ด้วย 
>> 2.) ขึ้นกระเช้าจากเมือง Mörel (เมอเรล) ไปที่ยอดเขา Riederalp ตรงนี้สามารถ Hiking เส้นทางง่าย ๆ ได้ เส้นทางป่าตรงนี้สวยงามมาก จุดนี้ไม่มีร้านอาหารมีแต่เป็นเหมือนรถตู้เก่า ๆ เปิดให้เราสามารถซื้อเครื่องดื่มต่าง ๆ มีโต๊ะวางกลางแจ้งอยู่ 2-3 โต๊ะ แต่จะเปิดเฉพาะอากาศดีเท่านั้น 
>> 3.) ขึ้นกระเช้าจากเมือง Betten (เบทเท่น) ไปที่เมือง Bettmeralp (เบทเมอร์อัล์ป) แล้วต่อกระเช้าไปที่ยอดเขา Bettmerhorn (เบทเมอร์ฮอร์น) ตรงนี้มีร้านอาหารให้นั่งดื่มกาแฟดูวิวสวย ๆ ชิล ๆ ได้ด้วย ซึ่งวี่เลือกแบบที่ 3 เพราะหลงรักเมืองเล็ก ๆ บนภูเขาที่ชื่อ Bettmeralp มาก และมาบ่อยมาก ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา

“Bettmeralp” เป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ปลอดมลพิษคล้าย ๆ Zermatt เพราะมีแต่รถไฟฟ้าวิ่งเท่านั้น ไม่มีรถยนต์ที่เป็นเครื่องเบนซินหรือดีเซลเลย ช่วงหน้าหนาวที่นี่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเพื่อการเล่นสกี แต่หน้าร้อนก็สวยไม่แพ้กัน ที่วี่ชอบมากเพราะบ้านจะเป็นบ้านไม้แบบสมัยก่อน แม้กระทั่งโรงแรม หรือ airbnb ก็จะทรงเดียวกันหมดเลย ที่สถานี Betten สามารถซื้อตั๋ว 3 days pass ได้ในราคา 45 ฟรังค์ (ถ้ามีบัตรครึ่งราคา) ถ้าไม่มีราคาเต็มคือ 65 ฟรังค์ สำหรับวี่ว่าราคาเหมาะสมนะ เพราะสามารถขึ้นกระเช้าในระแวกนั้นฟรี และขึ้นรถบัส-รถไฟระแวกนั้นฟรีทั้งหมด

ที่วี่มาคราวนี้ไม่ใช่แค่มาชมความยิ่งใหญ่และสวยงามของธารน้ำแข็ง Aletsch เพียงเท่านั้น เพราะอย่างที่บอกว่ามาหลายครั้งมากแล้ว ครั้งนี้ตั้งใจเพื่อมา Hiking โดยเฉพาะ และว่ากันว่ามีหลายเส้นทางที่สวย แต่วี่สนใจอยู่ 2 เส้นทาง คือ 

>> เส้นทาง ‘UNESCO’ (ยูเนสโก) เส้นทางสันเขา ‘UNESCO’ (ยูเนสโก) กับเส้นทางที่เรียบขนานธารน้ำแข็งหรือเส้นทาง 360 องศา ‘Panorama’ เป็นเส้นทางที่เราจะเดินใกล้ธารน้ำแข็งได้มากที่สุด มีระยะทาง 12.2 กิโลเมตร แต่เดินจริง GPS จับได้ระยะทางประมาณเกือบ 15 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินรวมกับการพักเกือบ 6 ชั่วโมง วี่เองก็กลัวไม่ไหว...ประกอบกับดูพยากรณ์อากาศบอกว่าสักช่วงบ่ายสามจะมีพายุฝน เลยชั่งใจอยู่ว่าจะไปทางไหน ซึ่งเส้นทาง ‘UNESCO’ (ยูเนสโก) คือเดินบนสันเขาได้วิวมุมสูง ระยะทางแค่ 3-4 กิโลเมตร แต่เป็นการเดินขึ้นและลงแบบสุดแรง และถ้าฟ้าไม่เปิดจะมองไม่เห็นอะไร ส่วนอีกทางมีระยะทางยาว และเส้นทางช่วงต้น ๆ จะเดินยากนิดหน่อย ใช้เวลานาน ซึ่งไม่รู้จะทันบ่ายสามก่อนพายุเข้าไหม ถ้าไม่ทันจะไม่สนุกแน่เพราะจะเจอพายุบนเขา สรุปวี่เลยเลือกเส้นทางนี้ เพราะวี่มีความต้องการที่จะเข้าใกล้ธารน้ำแข็งให้มากที่สุด

>> เส้นทาง ‘360 องศา panorama’ เริ่มจาก Bettmerhorn ที่ความสูง 2,858 เมตรจากระดับน้ำทะเล อ้อมไปด้านหลังของยอดเขา Eggishorn (เอกิสฮอร์น) ผ่านทะเลสาป Vordersee มาจบที่สถานีกระเช้า Fiescheralp ที่ความสูง 2,212 เมตรจากระดับน้ำทะเล เพื่อลงมาที่เมือง Fiesch และนั่งรถบัสหรือรถไฟ ก็ได้กลับมาที่เมือง Betten เพื่อมานั่งกระเช้าขึ้นมาที่ Bettmeralp เพราะโรงแรมอยู่ที่นี่ ถึงแม้ระยะทางมันจะยาวแต่วิวมันว๊าวมันสวยสะกดมากกกกก!! มีล้านให้เต็มล้านเลยแหละ 

ส่วนคำเตือนของเส้นทางนี้คือไม่เหมาะกับคนที่เวียนหัวง่าย เพราะบางช่วงบางตอนทางแคบ ตัดจากทางเดินคือเป็นผาและตัดตรงลงพื้น ด้วยความสูงขนาดนี้คงไม่ต้องบอกเนาะว่าตกมาจะเป็นไง... ดังนั้นจึงมีป้ายเตือนก่อนตรงจุดตั้งต้น และแนะนำควรใส่รองเท้า Hiking เพราะพื้นผิวของเส้นทางมีความหลากหลายสำหรับผู้ไม่คุ้นชิน ต่อมาก็ลงมาถึงสถานีกระเช้าช่วง 4 โมงเย็น พายุกำลังโหม ทำให้กระเช้าเล็กที่นั่งเกิดการแกว่งไปมาเพราะลม เดินสัก 2 กิโลเมตรสุดท้าย ก็เกิดลมแรง ทั้งฝน ทั้งเหนื่อย ทั้งเปียก ทั้งหนาว ความรู้สึกของขาเรามันเหมือนหนักสักร้อยกิโล ยกเหมือนจะไม่ขึ้น เหมือนจะเดินไม่รอด แต่ในที่สุดวี่ก็ทำได้สำเร็จและกลับมาถึงโรงแรม นึกขอบคุณตัวเองที่ตัดสินใจไปในวันนี้ มันเติมเต็มความรู้สึกดีมาก และมีความสุขมากจริง ๆ

วี่รักบรรยากาศหมู่บ้าน Bettmeralp รู้สึกอบอุ่นผ่อนคลายและสบายใจ ชอบขึ้นไปนั่งดูธารน้ำแข็ง นั่งดูได้ทีละนาน ๆ ไม่รู้จักเบื่อเลย ยังนึกไปด้วยซ้ำว่าเราเป็นแค่คนซึ่งถ้าเทียบกับธารน้ำแข็งที่ยิ่งใหญ่เราก็ตัวเล็กนิดเดียว และเราไม่สามารถที่จะงัดข้อกับธรรมชาติที่แสนจะยิ่งใหญ่ได้เลย ธรรมชาติบางครั้งก็ช่างสวยงามเสียเหลือเกิน แต่บางคราก็อาจจะน่ากลัวได้อย่างไม่น่าเชื่อเช่นกัน...


เขียนโดย: วีวี่ เซเลบภูเขา 
ตาล หรือ วีวี่ สาวสัตหีบชาวไทย เรื่องราวที่อยากบอกเล่า จากประสบการณ์ชีวิตมากกว่า 21 ปี ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์
 

ทฤษฎี 21 วัน กับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ว่ากันว่า ถ้าเราทำสิ่งไหนต่อเนื่องกันเป็นเวลา 21 วัน สิ่งนั้นจะติดเป็นนิสัย เกิดเป็นความเคยชิน แล้วสามารถนำมาปรับใช้กับเรื่องของความรักได้อย่างไร?!

เชื่อว่าหลายคนต้องเคยได้ยินเรื่องของทฤษฎี 21 วัน มาบ้างแล้ว มันคือทฤษฎีอะไร? มาจากไหน? แล้วเกี่ยวข้องกับความรักได้อย่างไร ทำแล้วจะได้ผลจริงไหม วันนี้เราจะพาไปรู้จักกับทฤษฎีนี้กันค่ะ

“ลองทักคนที่ชอบไปต่อเนื่อง 21 วัน แล้ววันที่ 22 ให้เราลองเงียบหายไป ถ้าเขาชอบเรา เขาจะทักกลับมาเอง!” 


 
หลายคนคงต้องเคยได้ยินประโยคนี้ หรือไม่แน่อาจจะเคยลงมือทำกันไปบ้างแล้ว ที่มาของเรื่องนี้นั้นมาจาก ทฤษฎี 21 วัน ซึ่งเป็นหนึ่งในทฤษฎีที่อธิบายถึงการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของมนุษย์ โดยสาระสำคัญที่ Dr.Maxwell Maltz นายแพทย์ชื่อดังชาวสหรัฐฯ เขียนไว้ในหนังสือ Psycho-Cybernetics คือ การกระทำจะตกผลึกกลายเป็นนิสัย โดยการกระทำต่อเนื่องอย่างน้อย 21 วัน บนพื้นฐานความเชื่อว่าเป็นไปได้ และมีสติในการลงมือทำ

ว่ากันว่า ถ้าเราทำสิ่งไหนต่อเนื่องกันเป็นเวลา 21 วัน สิ่งนั้นจะติดเป็นนิสัย เกิดเป็นความเคยชิน ช่วงแรกอาจจะต้องฝืนตัวเองกันสักหน่อย แต่เมื่อกระทำต่อเนื่องครบ 21 วัน วันที่ 22 เป็นต้นไป เราจะสามารถทำได้เองโดยที่ไม่ต้องฝืน 

ทฤษฎีนี้ไม่เฉพาะเจาะจงแค่เรื่องของความรักเท่านั้น เพราะสามารถนำมาปรับใช้กับทุกเรื่องในชีวิตของเราได้ การพยายามสร้างนิสัยบางอย่าง การปรับเปลี่ยนตัวเองเป็นคนที่ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็น การปรับเวลานอน การออกกำลังกาย นิสัยรักการอ่าน การออมเงิน การจดบันทึกประจำวัน เช่น เราอาจจะตั้งเป้าออกกำลังกายทุกวัน วันละ 30 นาที หลังจากพยายามทำต่อเนื่องจนครบ 21 วันแล้ว อาจจะเกิดความเคยชิน ลุกขึ้นมาออกกำลังกายโดยที่ไม่ต้องฝืนตัวเอง หรือเขียนไดอารี่ต่อเนื่องทุกวันก่อนนอน จนติดเป็นนิสัย ต้องเขียนทุกๆ คืน


 
ส่วนการนำมาประยุกต์ใช้ในเรื่องของความรัก ว่ากันว่า ให้เราลองเป็นฝ่ายทักคนที่แอบชอบไปทุกวันอย่างต่อเนื่อง 21 วัน กระทั่งวันที่ 22 ให้หยุด ลองเงียบหายไป ถ้าเขาชอบเราเขาจะทักกลับมา จริงๆ แล้วอาจเป็นเรื่องของความต่อเนื่อง สร้างความมีตัวตนของเรา ให้เขาหรือเธอเกิดความเคยชิน ติดนิสัยในการคุยกับเรา 

แต่คิดอีกมุมนึง ถ้าเขาชอบเราจริง ไม่ต้องรอถึง 21 วัน ก็ทักมาหาแล้ว ของแบบนี้มันขึ้นอยู่ที่ความรู้สึกด้วยน้า ที่สำคัญช่วงระยะเวลา 21 วันอาจไม่สามารถฟันธงได้ขนาดนั้น สิ่งที่เราต้องทำคือ เป็นตัวของตัวเอง พูดคุยแลกเปลี่ยนทัศนคติที่เป็นตัวตนของเราจริงๆ แบบที่ไม่ฝืนตัวเอง


 
แต่เดี๋ยวก่อน!! ความเป็นจริงแล้วนั้น Maltz ไม่เคยบอกว่าระยะเวลา 21 วัน เพียงพอที่จะเปลี่ยนนิสัยหรือการรับรู้ได้ทุกอย่าง เป็นเพียงแค่ข้อสังเกตเท่านั้น ยังไม่ได้ทำการศึกษาอย่างจริงจัง แต่ความเชื่อนี้ดันแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว สุดท้ายสิ่งนี้อาจขึ้นอยู่กับความแตกต่างของแต่ละบุคคล  ไม่ใช่ทุกคนที่จะทำอะไรให้ติดเป็นนิสัยได้ภายใน 21 วัน

สำหรับใครที่อยากลองสร้างนิสัยบางอย่าง หรือกำลังมองหาวิธีสานสัมพันธ์กับคนที่แอบชอบ วิธีนี้ก็ถือว่าน่าสนใจ ไม่ได้เสียหายอะไร ใครเคยทำแล้วได้ผลเป็นยังไงลองมาแบ่งปันกันได้นะคะ

เขียนโดย: เพลิน ภารวี สุภามาลา Content Editor THE STUDY TIMES


ข้อมูลอ้างอิง:

https://shortrecap.co/thinking/ทฤษฎี21วัน/
https://twentyonetoys.com/blogs/teaching-21st-century-skills/21-days-to-form-habits
 

ขุดโคตรยิว! 124 ปี “ขบวนการไซออนิสต์” (Zionism) ฤๅจะเป็นลัทธิการก่อการร้ายซ่อนรูป!!

ปกติแล้วผมจะโพสต์และ Live ใน FB วันละหนึ่งเรื่องครับ มีเพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ ติดตามมากมายหลายท่านอยู่ แล้วก็มี request มาให้เล่าเรื่องราวของ “ขบวนการไซออนิสต์” ขอจัดให้ใน Weekly Column ตามนี้เลยครับ

หลังจากชนชาติยิวได้กระจัดกระจายออกจากมาตุภูมิไปอยู่ตามประเทศต่าง ๆ โดยไม่มีรัฐชาติของตนเกือบสองพันปี ชาวยิวต้องตกอยู่ในสภาพระหกระเหเร่ร่อนไปทั่วทั้งแผ่นดินยุโรป หลังจากถูกกวาดล้างโจมตีโดยจักรวรรดิโรมันซึ่งยกทัพเข้าถล่มนครเยรูซาเล็มจนราบคาบ จากสภาวะที่ต้องอพยพอยู่ตลอดเวลา และการถูกจำกัดสิทธิ์ต่าง ๆ นานา ก็มาถึงยุคที่ชาวยิวเริ่มมีอิสรภาพมากขึ้น นั่นคือในช่วงปลายศตวรรษที่ 18 ในสมัยของนโปเลียนปกครองฝรั่งเศส นโปเลียนยกศาสนายิวให้เป็นศาสนาประจำชาติร่วมกับคริสต์นิกายต่าง ๆ เมื่อนโปเลียนขยายอาณาเขตออกไปถึงไหนก็จะปลดปล่อยชาวยิวในเขตนั้น ๆ ด้วย ชาวยิวจึงได้เริ่มที่จะมีสถานะแบบชนปกติขึ้นมา 

ธีโอดอร์ เฮิร์ซล์ (Theodor Herzl)

แม้จะเริ่มเป็นที่ยอมรับมากขึ้นแล้ว แต่ปัญหาการเหยียดชาวยิวก็ยังคงมีอยู่ จึงทำให้ ธีโอดอร์ เฮิร์ซล์ (Theodor Herzl)นักหนังสือพิมพ์ชาวยิวในจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี (สมัยนั้น)เชื้อสายยิว ผู้ตีพิมพ์นิตยสาร Die Welt (The World) รายสัปดาห์ เห็นว่า ทางเดียวที่จะแก้ปัญหาของชาวยิวได้ คือการให้ชาวยิวมีประเทศของตนเอง เฮิร์ซล์จึงเริ่มเผยแพร่แนวคิดนี้ออกไป ซึ่งต่อมาแนวคิดนี้คือรากฐานของอุดมการณ์ “ไซออนนิสต์” นั่นเอง

เมื่อปี ค.ศ. 1897 การประชุมใหญ่ผู้นำยิวคนสำคัญ ๆ เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก ที่เมืองบาเซิล ประเทศสวิตเซอร์แลนด์

เฮิร์ซล์ ได้จัดประชุมใหญ่ผู้นำยิวคนสำคัญ ๆ ขึ้นเป็นครั้งแรก ที่เมืองบาเซิล ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ มีผู้เข้าร่วมมากกว่าสามร้อยคน และที่ประชุมครั้งนั้นได้มีมติให้จัดตั้งองค์การหนึ่งขึ้นมาเรียกว่า “องค์การไซออนิสต์สากล” (The world Zionist Organization) การประชุมสภาคองเกรสไซออนิสต์จัดขึ้นทุกปีจนถึงปี ค.ศ. 1901 และหลังจากนั้นเป็นทุก ๆ สองปี (หลังจากก่อตั้งประเทศอิสราเอลแล้ว การประชุมสภาคองเกรสไซออนิสต์จัดขึ้นที่นครเยรูซาเล็ม ทุก 4 หรือ 5 ปี ครั้งล่าสุดจัดขึ้นในปี ค.ศ. 2020 โดยในปี ค.ศ. 1960 เปลี่ยนชื่อเป็น “World Zionist Congress”)

ปฏิญญาสากลของปราชญ์อาวุโสแห่งไซออน” (The Protocol of The Elder of Zion)

ภายหลังการประชุมของผู้นำขบวนการไซออนิสต์ มีเอกสารที่รู้จักกันว่า “ปฏิญญาสากลของปราชญ์อาวุโสแห่งไซออน” (The Protocol of The Elder of Zion) เผยแพร่ออกมา ปฏิญญาดังกล่าวแสดงถึงอุดมการณ์บางอย่างที่ต้องการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของมนุษยชาติให้เป็นไปในเชิงการรับใช้วัตถุประสงค์ของผู้นำขบวนการ เป็นอุดมการณ์ซึ่งครอบคลุมทั้งมิติทางความเชื่อ สังคม-การเมือง และเศรษฐกิจ

แม้การมีประเทศ (รัฐชาติ) ของตนเองนับเป็นความฝันของชาวยิวมาตลอด แต่ก็มีบางกลุ่มที่ไม่เห็นด้วย เพราะชาวยิวนั้นบางส่วนก็ต้องการที่จะผสมกลมกลืนอาศัยอยู่ร่วมกับสังคมที่ตนอยู่ หรือบางส่วนก็เชื่อว่า การกลับอิสราเอลเป็นการฝ่าฝืนพระเจ้า แต่อย่างไรก็ตาม เฮิร์ซล์ก็ได้รับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากนายทุนใหญ่ต่าง ๆ ทำให้เขาตัดสินใจจัดตั้ง “องค์กรไซออนนิสต์ (Zionist Organization หรือ ZO)” อย่างเป็นทางการขึ้นในปี ค.ศ.1897 ขบวนการไซออนิสต์ได้ให้ความหวังให้ชาวยิวรุ่นใหม่ เพื่อที่จะนำพาไปสู่การตั้งรัฐยิวในพื้นที่ดินแดนที่พวกเขาเชื่อว่า พระเจ้าทรงประทานให้กับพวกเขา คือ ดินแดนปาเลสไตน์ ซึ่งขณะนั้นเป็นดินแดนภายใต้จักรวรรดิออตโตมัน อันถือเป็นดินแดนแห่งพันธสัญญาโบราณ และขบวนการดังกล่าวจึงส่งเสริมและสนับสนุนให้ชาวยิวอพยพไปยังดินแดนปาเลสไตน์

องค์กรไซออนนิสต์ ได้ทำการกำหนดยุทธศาสตร์ขององค์กร เพื่อนำไปสู่เป้าหมายเอาไว้อย่างชัดเจน 
อันประกอบไปด้วย แผน 3 ขั้น คือ
1. ก่อนตั้งรัฐอิสราเอลในดินแดนปาเลสไตน์
2. ระหว่างตั้งรัฐอิสราเอลในดินแดนปาเลสไตน์
3. หลังตั้งรัฐอิสราเอลในดินแดนปาเลสไตน์ 

>> 1. ก่อนตั้งรัฐอิสราเอลในปาเลสไตน์ ด้วยความที่ในปาเลสไตน์เองก็มีประชากรชาวยิวอาศัยอยู่บ้าง ซึ่งในยุคนั้นปาเลสไตน์อยู่ใต้การปกครองของชาวเติร์ก ชาวยิวจึงเริ่มต้นด้วยการ "ซื้อที่ดิน" จากชาวอาหรับ โดยไม่เกี่ยงว่าที่ตรงนั้นจะเป็นทะเลทรายเพาะปลูกอะไรไม่ขึ้นก็ตาม จุดมุ่งหมายมีเพียงการเพิ่มพื้นที่ให้ชาวยิวให้ได้มากที่สุด อันที่จริงรัฐบาลเติร์กเองก็รู้ว่าชาวยิวกำลังเข้ามากว้านซื้อที่ดินประเทศตัวเอง แต่ด้วยความที่ต้องรับศึกหลายทาง เกิดการรัฐประหารในประเทศบ่อยครั้ง จึงไม่ได้มีเวลามาใส่ใจกับชาวยิวแต่อย่างใด

จุดเปลี่ยนสำคัญจริง ๆ อยู่ในช่วงสิ้นสงครามโลกครั้งที่ 1 ดินแดนปาเลสไตน์ตกอยู่ในอาณัติของประเทศอังกฤษ โดยที่อังกฤษได้ทำข้อตกลงกับไซออนนิสต์ไว้ก่อนหน้านั้น ว่าจะช่วยสร้างถิ่นอาศัยของชาวยิวในดินแดนปาเลสไตน์ เพื่อจูงใจให้ไซออนนิสต์เข้ามาช่วยทำสงคราม แน่นอนว่าเมื่ออังกฤษชนะสงคราม จึงตั้งยิวไซออนนิสต์คนหนึ่งขึ้นเป็นข้าหลวงใหญ่ปกครองแดนปาเลสไตน์ทันที อังกฤษได้ประกาศให้ปาเลสไตน์เป็น "บ้านแห่งชาติของคนยิว" (a national home for the Jewish people) โดยกำหนดไว้ว่าจะต้องไม่เลือกปฏิบัติต่อสิทธิทางศาสนาและพลเมืองของชุมชนที่ไม่ใช่ชาวยิวที่อยู่ที่นั่น

หลังจบสงครามปาเลสไตน์ต่างเป็นหนี้ท่วมหัว จนสุดท้ายต้องยอมขายที่ดินให้กลุ่มทุนชาวยิวเพื่อยังชีพ ชาวยิวก็กว้านซื้อที่ดินเพิ่มขึ้นได้อีกมากมาย บ่มเพาะความเกลียดชังของชาวอาหรับที่มีต่อยิวมากขึ้น ซึ่งสำหรับอังกฤษแล้วนี่เป็นสิ่งที่ดี เพราะยิ่งอาหรับเกลียดยิวมากเท่าไร ก็ยิ่งปกครองง่ายขึ้นเท่านั้น

การอพยพชาวยิวจากที่ต่าง ๆ ทั่วโลกไปสู่ปาเลสไตน์ ภายใต้การอำนวยการช่วยเหลือของสหรัฐอเมริกาและอังกฤษประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี โดยได้เริ่มมีการอพยพชาวยิวระลอกแรกตั้งแต่ปี ค.ศ.1897-1902 และระลอกล่าสุดคือเมื่อสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ก่อนการประกาศสถาปนารัฐอิสราเอลในปี ค.ศ.1948

นอกจากเหตุผลหลัก ๆ สองข้อที่กล่าวแล้ว สถานการณ์ที่ผลักดันให้ชาวยิวจากที่ต่าง ๆ อพยพสู่ปาเลสไตน์มากขึ้นคือ ลัทธิเกลียดชังยิว (Anti-Semitic) ซึ่งกระจายอยู่ทั่วไปในยุโรปและการทารุณกรรมชาวยิวของนาซีเยอรมันระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งได้ทำให้เกิดภาวะตื่นตระหนกในหมู่ชาวยิวและนำไปสู่จำนวนผู้อพยพที่เพิ่มมากขึ้น ลัทธิไซออนนิสต์จึงกลายเป็นแนวคิดกระแสหลักของสังคมชาวยิวไปในที่สุด

>> 2. ระหว่างตั้งรัฐอิสราเอลในปาเลสไตน์ การจัดตั้ง “รัฐอิสราเอล” หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 มีการตั้งองค์การสหประชาชาติ หรือ UN ขึ้นมา โดยมีเจตนาให้เป็นองค์กรที่ชาติทั้งหลายมาประชุมกัน เพื่อออกประชามติตัดสินเรื่องราวต่าง ๆ ในโลก แน่นอนว่าปัญหาการแบ่งแยกดินแดนของยิวกับอาหรับในปาเลสไตน์ก็เป็นหนึ่งในปัญหานั้น ฝ่ายอาหรับไม่เห็นด้วยกับการแบ่งแยกดินแดน เพราะคิดว่าผู้อพยพใหม่อย่างชาวยิวไม่ควรมีสิทธิใด ๆ ด้านยิวนั้นมุ่งมั่นสนับสนุนให้มีการแบ่งแยก เพราะนี่เป็นโอกาสที่จะได้จัดตั้งประเทศที่เป็นของตนเองจริง ๆ เสียที 

ในที่สุด คณะกรรมการของสหประชาชาติแบ่งดินแดนออกมา ให้ยิวได้แผ่นดิน 54% ของทั้งหมด ส่วนอาหรับได้ 46% โดยในดินแดนส่วนของยิวนั้นมีชาวอาหรับอาศัยอยู่เกือบครึ่ง และทำการโหวตกันในวันที่ 29 พฤศจิกายน ค.ศ. 1947 ได้ผลออกมาคือ สนับสนุนแผนการแบ่งแยกดินแดน 33 เสียง โหวตค้าน 13 เสียง ไม่ออกเสียง 10 เสียง และไม่โหวต 1 เสียง ส่งผลให้ชาวยิวได้รับแผ่นดินแห่งพันธสัญญาในที่สุด (สำหรับประเทศที่ไม่โหวต 1 เสียง คือ ประเทศไทย) 

ชาวปาเลสไตน์ราว 750,000 คนถูกขับไล่ออกจากถิ่นฐานบ้านเกิด

เมื่อฝ่ายอาหรับเป็นผู้เสียประโยชน์โดยตรงจากการแบ่งแยกดินแดนในครั้งนี้ จึงเกิดเป็นสงครามกลางเมืองขึ้นในทันที ชาวอาหรับปาเลสไตน์นับแสนพากันหนีออกนอกประเทศ ขณะที่ไซออนนิสต์ก็ลำเลียงชาวยิวพลัดถิ่น รวมถึงชาวยิวที่รอดชีวิตจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในยุโรปอีกนับแสนเข้ามาอยู่แทนที่ หลังจากการสถาปนาอิสราเอลขึ้นเป็นรัฐในปี ค.ศ. 1948 ก็เกิดเหตุการณ์ที่เรียกว่าการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวปาเลสไตน์ขึ้น โดยขบวนการชาตินิยมยิวไซออนิสต์ได้ขับไล่ชาวปาเลสไตน์ราว 750,000 คนออกจากถิ่นฐานบ้านเกิด และทำลายบ้านเรือน จนในที่สุดกลุ่มชาติอาหรับที่อยู่รายล้อม ไม่ว่าจะอียิปต์ จอร์แดน ซีเรีย ก็เข้ามาร่วมวงโจมตียิวจากทุกทิศ ขยายกลายเป็นสงครามระหว่างประเทศในที่สุด

แต่สุดท้ายสงครามจบลงด้วยชัยชนะของชาวยิว และยึดดินแดนได้มากกว่าที่ UN ให้มาตอนแรกที่ 54% ส่วนอาหรับปาเลสไตน์ถูกแบ่งเป็นสองส่วน คือส่วน ฉนวนกาซา ที่อียิปต์ยึดครองทางตะวันตก และส่วน เวสต์แบงก์ ที่จอร์แดนยึดครองทางตะวันออก ทางด้านองค์กรไซออนนิสต์จึงประกาศการตั้งรัฐของยิวขึ้นอย่างเป็นทางการ เป็นประเทศ “อิสราเอล”และเข้าเป็นสมาชิกสหประชาชาติด้วยคะแนนเสียงข้างมากในวันที่ 11 พฤษภาคม ค.ศ. 1949

หลังการสู้รบสิ้นสุดในปี 1949 มีการตกลงแบ่งพรมแดนระหว่างอิสราเอลกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยมีการสร้างพรมแดนของพื้นที่ที่รู้จักกันในชื่อ ฉนวนกาซา (อียิปต์ยึดครอง) เยรูซาเลมตะวันออกและเขตเวสต์แบงก์ (จอร์แดนยึดครอง) เท่ากับว่าอิสราเอลครอบครองพื้นที่ 78% ของปาเลสไตน์ ส่วนที่เหลือ 22% อยู่ภายใต้การปกครองของอียิปต์และจอร์แดน

นอกจากนี้ ในปี ค.ศ. 1953 อิสราเอลยังลงมือสังหารหมู่ที่อ้างว่าเป็นการแก้แค้นครั้งใหญ่ในหมู่บ้าน Qibya ในเขตเวสต์แบงก์ ส่งผลให้ชาวปาเลสไตน์เสียชีวิตอย่างน้อย 69 ราย บ้านเรือน 45 หลังพังเสียหาย

>> 3. หลังตั้งรัฐอิสราเอลในปาเลสไตน์ แต่แล้วก็เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ต่อพรมแดนอิสราเอลอีกครั้งในปี ค.ศ. 1967 อิสราเอลสู้รบกับอียิปต์ จอร์แดน และซีเรียในสงครามที่รู้จักกันในชื่อ สงคราม 6 วัน (Six-Day War) อิสราเอลสร้างความช็อกให้ชาวโลกด้วยการเข้ายึดครองเขตเวสต์แบงก์ที่เหลือของปาเลสไตน์ เยรูซาเลมตะวันออก ฉนวนกาซา รวมทั้งที่ราบสูงโกลันของซีเรียและคาบสมุทรไซนายของอียิปต์ภายในเวลาเพียง  6 วัน

ถึงจุดนี้อิสราเอลได้ขับไล่ชาวปาเลสไตน์ออกจากพื้นที่อีกราว 300,000 คน ส่งผลให้พื้นที่ของดินแดนภายใต้การควบคุมของอิสราเอลเพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่าตัว และอิสราเอลยังผนวกเยรูซาเลมตะวันออกและอ้างกรรมสิทธิ์เหนือเมืองเยรูซาเลมทั้งเมืองให้เป็นเมืองหลวงของอิสราเอล แต่การกระทำเช่นนี้ไม่ได้รับการยอมรับจากประชาคมโลก รวมทั้งจากชาวปาเลสไตน์ที่ต้องการใช้เยรูซาเลมเป็นเมืองหลวงของรัฐในอนาคต

อิสราเอลเริ่มก่อตั้งชุมชนชาวยิวในพื้นที่ที่ตัวเองไม่มีกรรมสิทธิ์เหนือซึ่งขัดกับกฎหมายระหว่างประเทศอย่างชัดเจน โดยหลังจากสงครามในปี ค.ศ. 1967 เพียง 1 ปี อิสราเอลก่อตั้งชุมชนชาวยิวบนที่ราบสูงโกลันของซีเรีย 6 แห่ง ในปี ค.ศ. 1973 ก่อตั้ง 17 ชุมชนชาวยิวในเขตเวสต์แบงก์ และ 7 แห่งในฉนวนกาซา ปี ค.ศ. 1977 อิสราเอลราว 11,000 คนอาศัยอยู่ในเขตเวสต์แบงก์ ฉนวนกาซา ที่ราบสูงโกลัน และคาบสมุทรไซนาย

โครงการก่อสร้างชุมชนชาวยิวในเขตเวสต์แบงก์ที่ได้รับทุนสนับสนุนจากรัฐบาลอิสราเอลดำเนินการโดยฝ่ายการตั้งถิ่นฐานขององค์การไซออนิสต์สากลที่สนับสนุนให้ชาวยิวเข้าไปตั้งถิ่นฐานในปาเลสไตน์

ที่น่าสังเกตคือ เมื่ออิสราเอลผนวกรวมเยรูซาเลมตะวันออกแล้วก็กำหนดนโยบายที่แบ่งแยกชนชาติอย่างชัดเจน โดยชาวยิวที่เกิดในเยรูซาเลมตะวันออกถือเป็นพลเมืองของอิสราเอล ขณะที่ชาวปาเลสไตน์ได้สิทธิ์เพียงผู้พำนักถาวรซึ่งจะถูกเพิกถอนหากบุคคลดังกล่าวอาศัยอยู่นอกเยรูซาเลมตะวันออกเกินกำหนด ซึ่งไม่ต่างจากการจำกัดการเดินทางของชาวปาเลสไตน์

จนถึงวันที่ 30 มกราคม ค.ศ. 2020 มีชุมชนชาวยิวที่ได้รับอนุญาตจากรัฐบาลอิสราเอล 130 แห่ง และที่ไม่ได้รับอนุญาตอีก 100 แห่ง ซึ่งเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของชาวอิสราเอลราว 400,000 คนในเขตเวสต์แบงก์ และอีก 200,000 คนในเยรูซาเลมตะวันออก ทำให้ชาวปาเลสไตน์ไม่สามารถขยับขยายชุมชนของตัวเอง และต้องอยู่ในพื้นที่นั้นด้วยความแออัด

กำแพงเวสต์แบงก์ (West Bank barrier)

ความเห็นของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศว่าด้วยกำแพงเวสต์แบงก์ (West Bank barrier) เมื่อปี ค.ศ. 2004 ระบุว่า การตั้งชุมชนชาวยิวของอิสราเอลในปาเลสไตน์ผิดกฎหมาย เช่นเดียวกับนานาชาติที่มองว่าชุมชนดังกล่าวขัดต่อกฎหมายระหว่างประเทศ และองค์การสหประชาชาติที่ย้ำหลายครั้งว่าการก่อสร้างชุมชนชาวยิวของอิสราเอลฝ่าฝืนอนุสัญญาเจนีวา ฉบับที่ 4

ขณะที่สหรัฐมีความเห็นเช่นเดียวกันนี้มานานหลายทศวรรษ จนกระทั่งสมัยของอดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ (ผู้มีบุตรเขยเป็นอเมริกันเชื้อสายยิว)และ ได้ลงนามรับรองนครเยรูซาเล็ม ให้เป็นเมืองหลวงของอิสราเอลในปี ค.ศ. 2017 และเปลี่ยนท่าทีเมื่อเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2019 ด้วยการประกาศว่า การก่อสร้างชุมชนชาวยิวในเขตเวสต์แบงก์ไม่ขัดต่อกฎหมายระหว่างประเทศ

เมื่อขบวนการไซออนิสต์ สามารถเดินตามแผนที่ได้วางเอาไว้อย่างเป็นขั้นเป็นตอน โดยใช้คน ที่มีศักยภาพ เพื่อการนำไปสู่เป้าหมายสูงสุด นั่นคือ การนำเอาเยาวชนที่มีศักยภาพ เข้าสู่ระบบการศึกษาที่มีคุณภาพให้มากที่สุด ส่งเสริมให้เข้าศึกษาในสถาบันชั้นนำของโลก ไม่ว่าจะเป็นมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ หรือว่ามหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด เป็นต้น

“จอร์จ โซรอส” พ่อมดทางการเงิน ผู้ก่อหายนะ วิกฤต “ต้มยำกุ้ง”

หลังจบการศึกษา ก็จะผลักดันให้คนเหล่านี้ เข้าทำงานในสถานประกอบการระดับโลก ที่ควบคุมด้านการเมือง เศรษฐกิจ และ สังคม ในทุกภูมิภาคของโลก ไม่ว่าจะเป็นสถาบันการเงินของโลก หน่วยงานความมั่นคงอย่าง FBI, CIA หรือแม้แต่องค์การสหประชาชาติ หลังจากนั้นก็จะใช้สายงานที่ตนเองนั้นรับผิดชอบสร้างอิทธิพล ต่อประเทศต่าง ๆ สร้างเครือข่ายมหาอำนาจ อย่างเป็นกระบวนการเป็นระบบ มากยิ่งขึ้น และสิ่งดังกล่าวจะถูกสร้างขึ้นมารุ่นต่อรุ่น จวบจนถึงปัจจุบันนี้นอกจากนั้นแล้วองค์กรแห่งนี้จะเข้าไปจัดการ ควบคุมกระบวนการทางการเงิน การธนาคาร และการคลังของโลก แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ไม่ว่าจะเป็น ธนาคารระหว่างประเทศเพื่อการฟื้นฟูบูรณะและการพัฒนา หรือธนาคารโลก กองทุนการเงินระหว่างประเทศ ล้วนแล้วแต่อยู่ภายใต้การบริหารจัดการของกลุ่ม ไซออนิสต์ สิ่งดังกล่าวไม่ได้เพียงเพื่อการกล่าวอ้างเลื่อนลอย อาทิเช่น “จอร์จ โซรอส” ที่เรียกกันว่า พ่อมดทางการเงิน ก็เป็นยิวโดยแท้ หรือแม้แต่ “อลัน กรีนสแปน” อดีตผู้ว่าธนาคารชาติสหรัฐฯ ก็เป็นชาวยิว เช่นเดียวกัน

“อลัน กรีนสแปน” อดีตผู้ว่าธนาคารชาติสหรัฐฯ อเมริกันเชื้อสายยิว

นอกจากนั้นแล้ว ขบวนการไซออนิสต์ ยังมีองค์กรแบบเปิดเผย และ องค์กรลับในการจัดการทุกอย่างเป็นกระบวนการ มีสื่อที่อยู่ในมือ เพื่อสร้างภาพ สร้างกระบวนการรับรู้ โฆษณาชวนเชื่อ อย่างเป็นกระบวนการ สื่อในตะวันตกมากมายหลายสำนัก อยู่ภายใต้กระบวนการ และ ทุนของชาวยิว แทบทั้งสิ้น ดังนั้นจากข้อมูลข้างต้นจะเห็นได้ว่า แท้ที่จริงแล้ว ในทุกยุคทุกสมัยของรัฐบาลสหรัฐฯ นั้นอยู่ภายใต้การควบคุมของขบวนการไซออนิสต์ (Zionism) 

ตราบใดที่ความขัดแย้งระหว่างปาเลสไตน์และอิสราเอลยังไม่สิ้นสุดด้วยสันติ และการตกลงยินยอมร่วมกัน ตราบนั้นทั้งปาเลสไตน์และอิสราเอลก็จะยังไม่มีความสงบสุข


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก???? https://lin.ee/vfTXud9

Verzasca Valley ลำธารสีมรกตในหุบเขา ที่ว่ากันว่าเป็นเพชรเม็ดงามของ Tessin ถ้าใครมีโอกาสได้มาสวิส ที่นี่เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่วี่ขอแนะนำ มาแล้วรับรองว่าจะไม่ผิดหวังแน่นอน

Tessin (เทสซิน) ในภาษาเยอรมันหรือ Ticino (ทิชีโน่) ในภาษาอิตาลี เป็นรัฐเดียวในประเทศสวิสเซอร์แลนด์ที่ใช้ภาษาอิตาลี และอยู่ติดกับทางชายแดนอิตาลี มีประชากร 351.491 คนจากสถิติเมื่อปี 2019 เมืองหลักคือเมือง Bellinzona (เบลลินโซน่า) เมืองที่ใหญ่ที่สุดของรัฐคือเมือง Lugano (ลูกาโน่) 

Tessin เป็นรัฐที่คนสวิสเองนิยมไปพักร้อนกันมากในวันหยุดพักผ่อน เพราะบรรยากาศและอากาศเป็นหลัก สำเนียงอิตาเลียน, อาหาร, สถาปัตยกรรม, ทัศนคติและไลฟ์สไตล์ที่ผ่อนคลายกว่าทุกที่ในสวิสเซอร์แลนด์ แถมอากาศจะค่อนไปทางอบอุ่นมีแดดมากกว่ารัฐทางเหนือเช่น Zürich (ซูริค) เข้าเขต Tessin เมื่อไหร่ก็จะเห็นพวกต้นปาล์มและต้นไม้เขตร้อนอื่น ๆ เหมือนว่าเราไปต่างประเทศเลยทีเดียว 

ที่พูดถึงรัฐนี้เพราะพอดีว่าเมื่ออาทิตย์ก่อนวี่มี Vacation บวกวันหยุดนักขัตฤกษ์ด้วยเกือบสองอาทิตย์ เลยลงไปเที่ยวทางใต้ ก็คือรัฐ Tessin เนี่ยแหละ และได้มีโอกาสไป Verzasca Valley ลำธารสีมรกตในหุบเขา ที่ว่ากันว่าเป็นเพชรเม็ดงามของ Tessin ซึ่งปี 2019 ได้ไปมาครั้งหนึ่งก็รู้สึกประทับใจและคิดอยู่เสมอว่าจะต้องหาโอกาสไปอีกให้ได้ จนประจวบเหมาะว่าในกลุ่มลงมติกันว่าจะไปแต่ประสบการณ์ครั้งนี้มันน่าจดจำ และสวยงามกว่าคราวก่อนก็ตรงที่ได้ Hiking ด้วย

ไฮไลต์ของ Verzasca Valley ก็น่าจะเป็นสะพานหิน Ponte del Salti ที่ปกติคนจะแน่นมากโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวเอเซีย รวมถึงคนไทยด้วย แต่เนื่องด้วยสถานการณ์โควิดเลยมีคนสวิสซะเยอะ (แต่ก็ยังน้อยถ้าเทียบกับสถานการณ์ปกติที่มีนักท่องเที่ยว) ในหน้าร้อนคนชอบมาที่สะพานเพื่อกระโดดลงไปที่ลำธาร ถึงแม้น้ำจะเย็นมากแต่ก็จะมีคนเล่นน้ำ ดำน้ำตลอด ตามโขดหินก็มีคนนอนอาบแดด นั่งเล่นเป็นภาพที่เห็นจนชินตา 

แต่วี่ไม่ได้ไปแค่ตรงนี้หรอก เมื่อปี 2019 เคยไปมาแล้วตอนหน้าร้อนเลยไม่ค่อยได้เก็บเกี่ยวอะไรมากเท่าไหร่ แต่ครั้งนี้เรานั่ง Postauto (โพสต์เอาโต้) หรือรถบัสสีเหลืองสาย 321 จากป้าย Lavertezzo, Monda ไปสองป้าย ไปลงที่ป้าย Brione (Verzasca) ความบังเอิญทำให้พบกับความสวยงามแท้ ๆ เพราะวี่ลงผิดป้าย ตอนแรกกะจะไปไกลกว่านี้ตรงจุดเริ่มต้นคือ Sonogno ซึ่งเป็นเส้นทาง Hiking ที่มีระยะทางประมาณ 13 กิโลเมตร แต่พอมาดูข้อมูลคือเขาว่ากันว่าช่วง Brione ถึง Lavertezzo คือช่วงที่วิวสวยที่สุด วี่รู้สึกโชคดีมากที่ลงผิด

จะบอกว่าเดินแค่นี้ก็เหนื่อยแล้ว เพราะมีเด็กน้อยไปด้วย 2 คน และเส้นทางค่อนข้างเป็นเส้นทางธรรมชาติ วี่หมายถึงทางเดินบางช่วงเป็นหินที่มีน้ำเซาะผ่านอาจลื่นนิด ๆ บางช่วงบนพื้นคือมีรากไม้เยอะมากหากเดินไม่ระวังอาจมีสะดุดล้มได้ง่าย ๆ แต่คือมันดีแบบที่สุดและคิดว่าต้องไปอีกแน่ ๆ วิวทุกช่วงทุกตอนมันว๊าว !! มีสิบให้เต็มสิบ มีร้อยก็ให้เต็มร้อยนะ พื้นที่มีโขดหิน หรือพื้นที่ตรงลำธารทำให้เราได้นั่งพักและปิ๊กนิกเป็นระยะ ๆ ระหว่างทางเราก็จะเห็นน้ำสีเขียวมรกต โขดหินหลากสี สลับกับป่าสีเขียวขจีและน้ำตกน้อย เวลาเรายืนอยู่ใกล้ ๆ น้ำตก แล้วน้ำกระเซ็นมาที่หน้ามันรู้สึกชุ่มฉ่ำอย่างบอกไม่ถูกเลยล่ะ

เวลาวี่ไป Hiking มักจะชอบเข้าไปยืนใกล้ ๆ ต้นไม้ใหญ่ สูดลมหายใจเข้าให้เต็มปอด และผ่อนลมออกให้เต็มที่เป็นการเปลี่ยนถ่ายพลังงานอย่างนึง และกลิ่นป่าธรรมชาติตรงนี้ก็หอมมากจริง ๆ ถ้าใครมีโอกาสได้มาสวิส ที่นี่เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่วี่ขอแนะนำ มาแล้วรับรองว่าจะไม่ผิดหวังแน่นอน


เขียนโดย: วีวี่ เซเลบภูเขา 
ตาล หรือ วีวี่ สาวสัตหีบชาวไทย เรื่องราวที่อยากบอกเล่า จากประสบการณ์ชีวิตมากกว่า 21 ปี ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์
 

นครนายก - สำนักงานขนส่งจังหวัดนครนายก ขอเชิญร่วมประมูลทะเบียนรถเลขสวยรถกระบะ หมวดอักษร ‘บท’ เพิ่มบารมี ทวีทรัพย์ โดยเปิดประมูลทางอินเทอร์เนตเท่านั้น และจะปิดประมูลในวันที่ 18 กันยายน 2564

นางสาวทวีพร เพิ่มทวี ขนส่งจังหวัดนครนายก พร้อมทีมงาน ขอเชิญร่วมประมูลทะเบียนรถเลขสวยรถกระบะ หมวดอักษา "บท" เพิ่มบารมี ทวีทรัพย์ โดยเปิดประมูลทางอินเทอร์เนตเท่านั้น เปิดประมูลตั้งแต่วันที่ 18 กรกฎาคม 2564 และจะปิดประมูลในวันที่ 18 กันยายน 2564

ผู้ประมูลเลขสวยจะได้เป็นเจ้าของหมายเลขทะเบียนสวย ได้ใช้แผ่นทะเบียนที่มีลวดลายสวยงาม ถือเป็นลิขสิทธิ์ของผู้ประมูล เป็นมรดกตกทอดถึงลูกหลาน สามารถนำไปใช้กับรถใหม่ที่ยังไม่เคยจดทะเบียนมาก่อนได้ หากประสงค์จะขายรถ สามารถสงวนสิทธิเลขประมูลไว้กับตนได้ สำหรับรายได้จากการประมูลเลขสวยครั้งนี้ จะนำไปพัฒนาท้องถิ่น และนำไปป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน สนใจติดต่อสอบถามรายละเอียดได้ที่ สำนักงานขนส่งจังหวัดนครนายก หมายเลข 09-2424-2424 0926242424 081-1589-4224 ได้ทุกวัน...อย่าพลาด


ภาพ/ข่าว  สมบัติ เนินใหม่ / รัชชานนท์ เนินใหม // ผู้สื่อข่าวจังหวัดนครนายก

ลำปาง - ศอ.จอส.พระราชทาน มทบ.32 จัดวิทยากรจิตอาสา 904 ร่วมกิจกรรม "มีแล้ว แบ่งปัน"

เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2564 เวลา 13.00 น. พลตรีอโณทัย ชัยมงคล ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่32/ ผู้อำนวยการ ศูนย์อำนวยการจิตอาสาพระราชทาน มณฑลทหารบกที่ 32 มอบหมายให้ วิทยากรจิตอาสา 904 ร่วมกับ ประชาชนจิตอาสา จังหวัดลำปาง ร่วมกิจกรรมจิตอาสาช่วยเหลือประชาชน "มีแล้ว แบ่งปัน" มอบสิ่งของอุปโภค-บริโภค เยี่ยมเยือนให้กำลังใจ กับผู้สูงอายุ ผู้ยากไร้  เพื่อแสดงถึงความรักความห่วงใย และบรรเทาความเดือดร้อน จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ณ บ้านนาแก้ว ตำบลนาแก้ว อำเภอเกาะคา จังหวัดลำปาง


ภาพ/ข่าว  ภาวินันท์ บุตรหล้า รายงาน

ระยอง - กลุ่ม ปตท. จังหวัดระยอง ‘โครงการลมหายใจเดียวกัน’ สนับสนุนงบประมาณในการจัดซื้อชุดตรวจ covid-19 แบบ Rapid Antigen Test Kit และจัดทำชุด PTT Group Care Box สำหรับผู้ป่วยสีเขียว

เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2564 กลุ่ม ปตท. จังหวัดระยอง นำโดยคุณสมนึก แพงวาปี กรรมการกำกับดูแลการดำเนินงานด้านความรับผิดชอบต่อสังคม กลุ่ม ปตท. จังหวัดระยอง ดร. วิสุทธิ์ หนูงาม ประธานอนุกรรมการชุมชนสัมพันธ์และการสื่อความกลุ่ม ปตท. จังหวัดระยอง และคณะผู้บริหารจาก บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน), บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด(มหาชน), บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) ร่วมกับโรงพยาบาลเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จังหวัดระยอง และเทศบาลเมืองมาบตาพุด มูลค่ารวม 2,000,000 บาท

ดำเนินโครงการลมหายใจเดียวกัน สนับสนุนงบประมาณในการจัดซื้อชุดตรวจ covid-19 แบบ Rapid Antigen Test Kit และจัดทำชุด PTT Group Care Box สำหรับผู้ป่วยสีเขียว โดยได้รับเกียรติจาก นพ.สุรทิน มาลีหวล ผู้อำนวยการโรงพยาบาลฯ เป็นตัวแทนรับมอบ ในปี 2564 กลุ่ม ปตท. จังหวัดระยอง ได้ให้การสนับสนุนหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อช่วยเหลือ บรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน ในช่วงการแพร่ระบาดของ covid-19 ในโครงการลมหายใจเดียวกัน เช่น เครื่องติดตามการทำงานของหัวใจให้โรงพยาบาลระยอง , มอบเครื่องวัดความดัน ให้กับโรงพยาบาลสนาม, สนับสนุนแอลกอฮอล์ชนิดน้ำและหน้ากากผ้าให้กับ 4 เทศบาล 

#กลุ่ม ปตท.เคียงข้างสังคมไทย ด้วยลมหายใจเดียวกัน


ภาพ/ข่าว  ธีรวัฒน์ อินธิพันธ์ รายงาน

ในปัจจุบันที่โลกมีเทคโนโลยีก้าวหน้ามากขึ้น ส่วนประกอบสำคัญที่จะเป็นแรงผลักดัน ชิ้นส่วนต่าง ๆ ต้องมีการค้นพบและวิจัยอย่างมาก อย่าง “สินแร่โลหะ (Rare Earth)” ที่เป็นองค์ประกอบสำคัญในเทคโนโลยีต่าง ๆ ประเทศไทยยังเป็นประเทศสำคัญในการผลิตอีกด้วย

การผลิตสินแร่โลหะหายากเพิ่มมากขึ้นอีกครั้งในปี ค.ศ. 2020 โดยเพิ่มขึ้นเป็น 240,000 เมตริกตัน (MT) ทั่วโลก ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 220,000 MT ในปี ค.ศ. 2019 และ 190,000 MT ในปี ค.ศ. 2018

องค์ประกอบสำคัญของเทคโนโลยีที่ใช้อยู่ในชีวิตประจำวัน ปัจจุบัน “สินแร่โลหะหายาก” จึงกลายเป็นอาวุธที่ใช้ต่อสู้กันทางเศรษฐกิจ ในสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ “สินแร่โลหะหายาก” (Rare Earth) ถูกใช้อย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรมและผลิตภัณฑ์ในชีวิตประจำวัน เช่น สมาร์ทโฟน แบตเตอรี่ เส้นใยแก้วนำแสง และแม่เหล็ก ทั้ง ๆ ที่มีจำนวนอยู่อย่างมากมายในระดับเปลือกของโลก แต่ด้วยคุณสมบัติทางธรณีเคมี ทำให้สินแร่โลหะหายากนั้นอยู่กันอย่างกระจัดกระจาย และไม่เข้มข้นพอที่จะสกัดออกมาได้ในราคาถูก

กระบวนการที่สกัดสินแร่โลหะหายากออกจากหินนั้นเป็นเรื่องยากมาก เพราะธาตุต่าง ๆ ในก้อนหินนั้นมีประจุไฟฟ้าเดียวกัน และมีขนาดใกล้เคียงกัน ซึ่งในการสกัดและทำบริสุทธิ์สินแร่โลหะหายากนั้น ต้องใช้ขั้นตอนต่าง ๆ หลายพันขั้นตอน ในตารางธาตุของวิชาเคมีจะเห็นชื่อของสินแร่โลหะหายากปรากฏในอนุกรมแลนทาไนด์ (Lanthanide Series) จำนวน 15 ธาตุ ได้แก่ 
แลนทานัม (Lanthanhanum) 
ซีเรียม (Cerium) 
พราซีโอดิเมียม (Praseodymium) 
นีโอไดเมียม (Neodymium) 
โปรเมเธียม (Promethium) 
ซามาเรียม (Samarium) 
ยูโรเปียม (Europium) 
กาโดลิเนียม (Gadolinium) 
เทอร์เบียม (Terbium) 
ดิสโพรเซียม (Dysprosium) 
โฮลเมียม (Holmium) 
เออร์เบียม (Erbium) 
ธูเลียม (Thulium) 
อิทเทอร์เบียม (Ytterbium) 
ลูเทเทียม (Lutetium) 

และยังมีอีก 2 ธาตุ คือ สแกนเดียม (Scandium) และอิทเทรียม (Yttrium) ซึ่งไม่ได้อยู่ในอนุกรมนี้ แต่จัดเป็นสินแร่โลหะหายากเช่นกัน เพราะมักพบในองค์ประกอบแร่เดียวกับที่พบในธาตุแลนทาไนด์ และแสดงคุณสมบัติทางเคมีคล้ายคลึงกัน

สินแร่โลหะหายากนั้นเป็นโลหะจึงมีคุณสมบัติพิเศษหลาย ๆ อย่าง เช่น ทนความร้อนสูงจัดได้เยี่ยม มีคุณสมบัติแม่เหล็กแรงสูง นำไฟฟ้าได้ดี และเป็นมันเงา ซึ่งเหมาะสำหรับนำไปประยุกต์ใช้ในผลิตภัณฑ์ได้หลากหลาย อีกทั้งยังเป็นธาตุหลักที่ใช้ผลิตสารประกอบเพื่อผลิตวัสดุในชีวิตประจำวัน เช่น หลอดแอลอีดี (LED) เส้นใยแก้วนำแสง หลอดฟลูออเรสเซนต์ ตัวเร่งปฏิกิริยา สารประกอบเพื่อควบคุมมลพิษทางอากาศ

สำหรับสินแร่โลหะหายากที่ถูกนำไปใช้ในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เป็นประจำ ได้แก่ แลนทานัม ซีเรียม นีโอดีเมียม ซามาเรียม ยูโรเปียม เทอร์เบียม และดิสโพรเซียม และความต้องการสินแร่โลหะหายากนี้ก็เพิ่มขึ้นตามปริมาณความต้องการใช้อุปกรณ์ที่ต้องพึ่งพาสินแร่โลหะหายาก โดยข้อมูลจากอุตสาหกรรมการสื่อสารทางไกลนานาชาติ เผยว่า เมื่อปี ค.ศ. 1998 มีการใช้โทรศัพท์มือถือที่ต้องอาศัยแบตเตอรีที่ใช้สินแร่โลหะหายากเพียง 5.3% ของจำนวนประชากรทั้งโลก แต่เมื่อถึงปี ค.ศ. 2017 ปริมาณโทรศัพท์เพิ่มขึ้นเป็น 103.4% ด้วยประชากรส่วนหนึ่งมีโทรศัพท์มากกว่าคนละ 1 เครื่อง

จากการประเมินของ สำนักงานสำรวจทางธรณีวิทยาสหรัฐฯ (United States Geological Survey) ในปี ค.ศ. 2018 ทั่วโลกมีสินแร่โลหะหายากประมาณ 120 ล้านตัน ในจำนวนนั้นเป็นของจีน 44 ล้านตัน บราซิล 22 ล้านตัน และรัสเซีย 18 ล้านตัน

การผลิตแร่หายากยังต้องใช้พลังงานและทรัพยากรในปริมาณมหาศาล และการเร่งขุดแร่หายาก เพื่อตอบสนองความต้องสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ ๆ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ นั้น ยังส่งผลให้เกิดการตัดไม้ทำลายป่า รวมถึงมลพิษทางน้ำด้วย
ความต้องการโลหะเพิ่มขึ้นเนื่องจากพลังงานหมุนเวียนมีความสำคัญมากขึ้นทั่วโลก สินแร่โลหะหายากอย่างนีโอไดเมียม (อยู่ในประเภทมีโครงสร้างสารประกอบเป็นธาตุที่หายาก เรียกกันอีกชื่อหนึ่งว่า แร่แลนทาไนด์ ซึ่งแร่โลหะชนิดนี้มีโครงสร้างที่แข็งแกร่งทนทาน และมีคุณสมบัติเป็นแม่เหล็กชนิดถาวรในตัวเอง เมื่อนำมาผ่านกระบวนการพัฒนาปรับเปลี่ยนรูปทรงให้กลายเป็นแม่เหล็กแรงสูงนีโอไดเมียมขนาดต่าง ๆ สามารถนำไปใช้งานที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นด้านเครื่องยนต์กลไก สำหรับอุตสาหกรรม หรืองานด้านวิศวกรรมไฟฟ้า เครื่องเสียง คอมพิวเตอร์ และพราซีโอไดเมียม ซึ่งมีความสำคัญในการใช้งานพลังงานสะอาดและอุตสาหกรรมไฮเทค อยู่ในความสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์ไฮบริดได้รับความนิยม

ปัจจัยอื่น ๆ เช่น ความตึงเครียดอย่างต่อเนื่องระหว่างสหรัฐฯ และจีน กำลังทำให้ความสนใจในแร่หายาก เนื่องจากจีนเป็นผู้ผลิตวัสดุรายใหญ่ที่สุดของโลก ความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างประเทศต่าง ๆ จึงมุ่งความสนใจไปที่ปัญหาห่วงโซ่อุปทานในอุตสาหกรรมแร่หายาก

ด้วยเหตุนี้ จึงควรทราบตัวเลขการผลิตสินแร่โลหะหายากสิบประเทศที่ผลิตสินแร่โลหะหายากที่สุดในปี 2020 ตามข้อมูลล่าสุดจาก US Geological Survey

1.) ประเทศจีน กำลังการผลิตจากเหมือง : 140,000 ตัน ประเทศจีนเป็นประเทศที่ใหญ่ที่สุดในการผลิตสินแร่โลหะหายาก ดังที่กล่าวไว้ ประเทศจีนได้ครอบครองการผลิตแร่หายากเป็นเวลาหลายปี ในปี 2020 ผลผลิตในประเทศ 140,000 ตันเพิ่มขึ้นจาก 132,000 ตันในปีที่แล้ว

จีนเป็นประเทศที่ผลิตสินแร่โลหะหายากได้เป็นอันดับหนึ่งของโลก โดยผลิตได้มากกว่า 95% ของปริมาณที่ผลิตได้ทั่วโลก และสหรัฐฯ ก็นำเข้าสินแร่โลหะหายากจากจีนมากถึง 80% ทั้งที่ก่อนหน้านี้เมื่อประมาณ 30 ปีก่อน สหรัฐฯ และอีกหลายประเทศก็ผลิตสินแร่โลหะหายากได้ จนกระทั่งถึงช่วงทศวรรษ 1990 ที่จีนเริ่มพัฒนาการผลิตสินแร่โลหะหายากอย่างจริงจัง ทำให้หลายประเทศไม่สามารถผลิตได้ถูกกว่าจนต้องล้มเลิกกิจการไป

ผู้ผลิตจีนต้องปฏิบัติตามระบบโควตาสำหรับการผลิตแร่หายาก โควตาครึ่งปีสำหรับการขุดแร่หายากในปี ค.ศ. 2021 ตั้งไว้ที่ 84,000 ตัน (เพิ่มขึ้น 27.2% จากปีก่อนหน้า) ในขณะที่โควตาสำหรับการถลุงแร่และการแยกส่วนอยู่ที่ 81,000 ตัน (เพิ่มขึ้น 27.6 เปอร์เซ็นต์จากปีก่อนหน้า) ที่น่าสนใจคือ ระบบนี้ทำให้จีนกลายเป็นผู้นำเข้าแร่หายากอันดับต้น ๆ ของโลกในปี ค.ศ. 2018

ระบบโควตาเป็นการตอบสนองต่อปัญหาอันยาวนานของจีนเกี่ยวกับการขุดแร่หายากที่ผิดกฎหมาย ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ประเทศได้ดำเนินการตามขั้นตอนเพื่อทำความสะอาด รวมถึงการปิดเหมืองสินแร่โลหะหายากที่ผิดกฎหมายหรือไม่เป็นไปตามข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อม และการจำกัดการผลิตและการส่งออกแร่หายาก

รอยเตอร์ระบุว่า จีนเป็นผู้นำโลกในการส่งออกสินแร่โลหะหายาก ส่วนหนึ่งมาจากการกล้าเผชิญความเสี่ยงด้านผลกระทบสิ่งแวดล้อมเนื่องจากมีผลพลอยได้เป็นขยะพิษ และกากแร่ก็ยังปล่อยรังสีที่เป็นอันตราย ซึ่งเป็นปัจจัยที่ ทำให้บางประเทศยุติการขุดสินแร่โลหะหายากของประเทศออกมา โดยปัจจุบัน มีบริษัทของรัฐ 6 รายรับผิดชอบอุตสาหกรรมสินแร่โลหะหายากของจีน ในทางทฤษฎีจึงทำให้จีนสามารถจัดการกับการผลิตได้อย่างแข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม การสกัดแร่หายากอย่างผิดกฎหมายยังคงเป็นเรื่องท้าทาย และรัฐบาลจีนยังคงดำเนินการตามขั้นตอนเพื่อควบคุมกิจกรรมนี้

2.) สหรัฐอเมริกา กำลังการผลิตจากเหมือง : 38,000 ตัน สหรัฐอเมริกาผลิตแร่หายาก 38,000 ตันในปี ค.ศ. 2020 เพิ่มขึ้นจาก 28,000 ตันในปี ค.ศ. 2019

แหล่งแร่หายากในสหรัฐอเมริกาในปัจจุบันส่วนใหญ่มาจากเหมือง Mountain Pass ในมลรัฐแคลิฟอร์เนียเท่านั้น ซึ่งกลับไปสู่การผลิตในไตรมาสที่ 1 ของปี ค.ศ. 2018 หลังจากได้รับการดูแลและบำรุงรักษาในไตรมาสที่ 4 ปี ค.ศ. 2015 Molycorp ดำเนินการก่อนที่มันจะล้มละลาย และถูกซื้อโดย Oaktree Capital Management และปัจจุบันกลายเป็น Neo Performance Materials 

สหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำเข้าวัสดุโลหะหายากรายใหญ่ โดยมีความต้องการสารประกอบและโลหะมูลค่า 110 ล้านดอลลาร์ในปี ค.ศ. 2020 ซึ่งลดลงจาก 160 ล้านดอลลาร์ในปี ค.ศ. 2019 สหรัฐฯ ได้จำแนกสินแร่หายากให้เป็นแร่ธาตุที่สำคัญ ซึ่งเป็นความแตกต่างที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้อันเนื่องจากปัญหาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน

3.) เมียนมาร์ (พม่า) กำลังการผลิตจากเหมือง : 30,000 ตัน เมียนมาร์ขุดแร่หายากได้ 30,000 ตันในปี 2020 เพิ่มขึ้นจาก 22,000 ตันในปีที่แล้ว 

มีข้อมูลเพียงเล็กน้อยเกี่ยวกับแหล่งแร่โลหะหายาก และโครงการขุดแร่ของประเทศ แต่เมียนมาร์ มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับจีน โดยในปี ค.ศ. 2020 เมียนมาร์ได้จัดหาวัตถุดิบสำหรับโลหะหายากขนาดกลางถึงหนัก 50 เปอร์เซ็นต์ของจีน การทำรัฐประหารโดยกองทัพเมียนมาร์ในปี ค.ศ. 2021 ทำให้เกิดความกังวลว่าการนำเข้าแร่หายากเหล่านั้นอาจถูกตัดออก แต่ ณ ต้นเดือนมีนาคม ค.ศ. 2021 ยังไม่มีปรากฏการหยุดชะงักทางการค้าของสินแร่หายากในเมียนมาร์แต่อย่างใด

4.) ออสเตรเลีย กำลังการผลิตจากเหมือง : 17,000 ตัน การผลิตแร่หายากในออสเตรเลียเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ในปี ค.ศ. 2020 ผลผลิตลดลงเหลือ 17,000 MT จาก 20,000 MT ในปี ค.ศ. 2019

ออสเตรเลียเป็นประเทศที่มีแหล่งแร่หายากที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 6 ของโลก และพร้อมที่จะเพิ่มผลผลิต Lynas ซึ่งมีฐานอยู่ในออสเตรเลีย (ASX:LYC,OTC Pink:LYSCF) ดำเนินการเหมือง Mount Weld และโรงงานผลิตความเข้มข้นในประเทศ และเพิ่งประกาศแผนการที่จะเพิ่มการผลิตผลิตภัณฑ์นีโอไดเมียม-แพรซีโอไดเมียมเป็น 10,500 ตันต่อปีภายในปี ค.ศ. 2025

Northern Minerals (ASX:NTU) เปิดเหมืองแร่โลหะหายากหนักแห่งแรกของออสเตรเลียในปี ค.ศ. 2018 ผลิตภัณฑ์หลัก ได้แก่ เทอร์เบียมและดิสโพรเซียม ซึ่งใช้ในเทคโนโลยีเช่น แม่เหล็กถาวร

5.) มาดากัสการ์ กำลังการผลิตจากเหมือง : 8,000 ตัน มาดากัสการ์บันทึกการสกัดแร่หายาก 8,000 ตันในปี ค.ศ. 2020 เพิ่มขึ้นสองเท่าของปีก่อน มีโครงการโลหะหายากแทนทาลัสซึ่งมีออกไซด์ของโลหะหายาก 562,000 ตัน

6.) อินเดีย กำลังการผลิตจากเหมือง : 3,000 ตัน ในฤดูใบไม้ร่วงปี ค.ศ. 2014 Indian Rare Earths และ Toyota Tsusho Exploration ได้ทำข้อตกลงเกี่ยวกับการสำรวจและผลิตแร่หายากผ่านการขุดในทะเลลึก

แม้จะมีข้อตกลงนี้ แต่อุตสาหกรรมการผลิตแร่หายากของอินเดียยังต่ำกว่าศักยภาพมาก ประเทศถือครองแร่ทรายชายหาดเกือบร้อยละ 35 ของโลก ซึ่งเป็นแหล่งแร่หายากที่สำคัญ แต่การผลิตในปี ค.ศ. 2020 ในอินเดียมีเพียง 3,000 ตัน เพิ่มขึ้นเพียง 100 ตันจากปี ค.ศ. 2019

7.) รัสเซีย กำลังการผลิตจากเหมือง : 2,700 ตัน รัสเซียผลิตแร่หายาก 2,700 ตันในปี ค.ศ. 2020 ซึ่งเป็นระดับเดียวกับเมื่อสองปีก่อน รัฐบาลของประเทศถูกกล่าวหาว่า "ไม่พอใจ" กับการจัดหาแร่หายาก มีรายงานว่ารัสเซียกำลังลดภาษีการขุดและเสนอสินเชื่อลดราคาให้กับนักลงทุนในโครงการ 11 โครงการที่มีจุดประสงค์เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งการผลิตแร่หายากทั่วโลกของประเทศจากปัจจุบัน 1.3% เป็น 10 เปอร์เซ็นต์ภายในปี ค.ศ. 2030

8.) ประเทศไทย กำลังการผลิตจากเหมือง : 2,000 ตัน การผลิตแร่หายากของประเทศไทยเพิ่มขึ้นเป็น 2,000 ตันในปี ค.ศ. 2020 เพิ่มขึ้นจาก 1,900 ตันในปี ค.ศ. 2019 และ 1,000 ตันในปี ค.ศ. 2018 ปัจจุบันยังไม่ทราบปริมาณสำรองแร่หายากของประเทศ แต่ประเทศนี้ยังคงเป็นผู้ผลิตสินแร่โลหะหายาก 10 อันดับแรกนอกประเทศจีน

9.) เวียดนาม กำลังการผลิตจากเหมือง : 1,000 ตัน การผลิตแร่หายากของเวียดนามลดลงจาก 1,300 ตันในปี ค.ศ.2019 เป็น 1,000 ตันในปี ค.ศ. 2020 ผลผลิตสำหรับปีนั้นเทียบเท่ากับการผลิตแร่หายากในบราซิล ซึ่งหมายความว่าทั้งสองจริง ๆ แล้วทั้งสองอยู่ในอันดับที่เก้า

มีรายงานว่าประเทศดังกล่าว เป็นแหล่งสะสมแร่หายากหลายแห่งที่มีปริมาณมากแถบบริเวณชายแดนทางตะวันตกเฉียงเหนือกับจีน และตามแนวชายฝั่งตะวันออก เวียดนามสนใจที่จะเสริมสร้างกำลังการผลิตในพลังงานสะอาด ซึ่งรวมถึงแผงโซลาร์เซลล์ และได้รับการกล่าวขานว่ากำลังมองหาการผลิตแร่หายากมากขึ้นสำหรับห่วงโซ่อุปาทานของตนด้วยเหตุผลดังกล่าว

10.) บราซิล กำลังการผลิตจากเหมือง : 1,000 ตัน ย้อนกลับไปในปี ค.ศ. 2012 มีการค้นพบแหล่งแร่หายากมูลค่า 8.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในบราซิล จนถึงตอนนี้ ดูเหมือนว่า ยังไม่มีการทำเหมืองดังกล่าว แม้ว่าในปี ค.ศ. 2020 ปริมาณแร่หายากที่ขุดได้ในประเทศเพิ่มขึ้นเล็กน้อย โดยเพิ่มขึ้นจาก 710 MT ในปี ค.ศ. 2019 เป็น 1,000 MT ในปี ค.ศ. 2020 ซึ่งมีปริมาณการผลิตเท่ากับเวียดนาม

สำหรับประเทศไทยของเรานั้นในอดีต “แร่ดีบุก” เป็นทรัพยากรสำคัญที่สร้างรายได้หลักให้กับภูเก็ตมาตลอด แต่ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2524 ราคาดีบุกในตลาดโลกเริ่มต่ำลง การค้าดีบุกจึงซบเซา พร้อม ๆ กับปริมาณ “ดีบุก” ที่มีการขุดพบมีปริมาณลดลง ระหว่างที่อุตสาหกรรมการผลิตและการค้าดีบุกชะลอตัว ก่อนหน้านั้นชาวภูเก็ต ได้รับรู้และพบว่า 'ขี้ตะกรันดีบุก' หรือ 'สะแหลกดีบุก' เป็นแร่ที่สามารถขายได้ในราคาดี เพราะมีแร่โคลัมไบต์-แทนทาไลต์ ซึ่งเป็นแร่ยุทธปัจจัยใช้สำหรับทำยานอวกาศ หรือหัวจรวดนำวิถี ตลอดจนขีปนาวุธต่าง ๆ ทั้งนี้เพราะมีคุณสมบัติพิเศษที่ทนต่อความร้อนที่เกิดจากการเผาไหม้เสียดสีของอากาศได้สูงมาก แร่โคลัมไบต์-แทนทาไลต์ มีราคากิโลกรัมละ 60-70 บาท และเมื่อนำมาผ่านกระบวนการสกัดต่อจนได้ “แร่แทนทาลัม” จะมีราคาสูงกว่าแร่แทนทาไลต์หรือขี้ตะกรันดีบุกประมาณ 40-50 เท่า 

เมื่อชาวบ้านทราบว่า “ขี้ตะกรัน” เป็นของมีราคาจึงแตกตื่น ส่งผลให้บรรดานายทุนต่าง ๆ ยื่นประมูลต่อทางการ โดยขอขุดถนนเก่า ๆ ทุกสายในตัวเมืองภูเก็ต โดยมีข้อตกลงว่า เมื่อขุดเสร็จแล้วจะสร้างถนนใหม่ทดแทน ส่วนบ้านที่ปลูกสร้างอยู่บนเตาถลุงที่มีขี้ตะกรันฝังอยู่มาก ๆ ก็จะถูกรื้อหรือทุบพื้นทิ้งเพื่อขุดเอาขี้ตะกรันดังกล่าวขึ้นมา ในขณะนั้นคนภูเก็ตสามารถทำรายได้จากการขุดขาย “ขี้ตะกรันดีบุก” หรือรับจ้างขุด สูงถึงวันละ 180 บาท (ขณะที่ค่าแรงขั้นต่ำในขณะนั้นอยู่ที่วันละห้าสิบกว่าบาท)

ผลจากการตื่นตัวใน “แร่แทนทาลัม” ส่งผลให้เกิดแนวคิดที่จะสร้าง “โรงงานถลุงแทนทาลัม” ขึ้น โดยในวันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2522 บริษัท ไทยแลนด์ แทนทาลัม อินดัสตรี จำกัด ได้จดทะเบียนจัดตั้งเป็นบริษัทฯ โดยมีโครงการก่อสร้างโรงงานที่อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต ต่อมาได้รับใบอนุญาตให้สร้างโรงงานในปี พ.ศ. 2526 จนก่อสร้างแล้วเสร็จ และคาดว่าจะเปิดดำเนินการตั้งแต่ต้นปี พ.ศ. 2529 แต่โรงงานไม่สามารถเปิดดำเนินการได้ เพราะประสบปัญหาการคัดค้านจากหลายภาคส่วนทั้งในระดับจังหวัดและประเทศอย่างรุนแรง เนื่องจากชาวภูเก็ตได้รับข้อมูลจากฝ่ายคัดค้านการเปิดโรงงานว่า โรงงานแทนทาลัมจะก่อให้เกิดมลพิษต่อประชาชนและสิ่งแวดล้อมของภูเก็ต จนนำมาสู่ความขัดแย้งแผ่ขยายตัว 

วันที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2529 นายจิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา รมว.อุตสาหกรรมในขณะนั้น ได้เดินทางไปยังจังหวัดภูเก็ตเพื่อรับฟังความคิดเห็นตามความต้องการของตัวแทนกลุ่มคัดค้าน โดยนัดหมายที่ศาลาประชาคม แต่เมื่อไปถึงผู้ชุมนุมกลับแสดงทีท่าต่อต้านรัฐมนตรีอุตสาหกรรมและคณะด้วยความรุนแรง โดยผู้ชุมนุมจำนวนหลายพันคนพยายามเข้าประชิดและขว้างปาและทุบรถ แม้ว่านายจิรายุ ได้ชี้แจงให้ผู้ชุมนุมทราบว่า รัฐบาลฯ กำลังดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหา และจะให้คำตอบแก่ชาวภูเก็ตในวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2529 ตามที่ผู้ชุมนุมกำหนด และระหว่างนี้ได้ให้โรงงานยุติการดำเนินการชั่วคราว แต่ก็ไม่ได้ผล

การประท้วงได้รุนแรงขึ้น และมีการเผาโรงงานแทนทาลัมและโรงแรมภูเก็ตเมอร์ลินซึ่งเป็นที่พักของนายจิรายุและคณะ จนรัฐบาลต้องประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในเขตท้องที่จังหวัดภูเก็ต และมีการประกาศแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจเข้าควบคุมสถานการณ์ กว่าสถานการณ์จะเข้าสู่ปกติต้องใช้เวลานานกว่า 1 สัปดาห์ และประกาศยกเลิกสถานการณ์ฉุกเฉินในวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2529 การจลาจลครั้งนั้น ได้สร้างความเสียหายกว่า 2 พันล้านบาท และสุดท้าย บริษัท ไทยแลนด์ แทนทาลัม อินดัสตรี จำกัด มีมติให้ย้ายโรงงานแทนทาลัมจากภูเก็ตไปตั้งที่อื่น เหตุการณ์จลาจลกรณี “แร่แทนทาลัม” สินแร่โลหะหายาก เมื่อ 35 ปีก่อน จึงเป็นหนึ่งในประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวกับสินแร่โลหะหายากที่เคยเกิดขึ้นในบ้านเรา 


เขียนโดย: ดร.โญธิน มานะบุญ นักวิชาการอิสระ

อุดรธานี - กองทัพอากาศสิงคโปร์ ร่วมกับ กองบิน 23 มอบชุด PPE จำนวน 1,000 ชุด ให้กับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดอุดรธานี สนับสนุนการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์

วันที่ 9 กันยายน 2564 นาวาอากาศเอก กษิดิ์เดช แม้นสงวน รองผู้บังคับการกองบิน 23 นาวาอากาศโท รักพงศ์ เถื่อนนาดี หัวหน้าแผนกยุทธการ กองบิน 23 พร้อมด้วย นาวาอากาศโท เดเร็ก ชาน หัวหน้าหน่วยบินแยกกองทัพอากาศสิงคโปร์ และคณะข้าราชการกองบิน 23 ข้าราชการกองทัพอากาศสิงคโปร์ ร่วมมอบชุด PPE จำนวน 1,000 ชุด ให้กับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดอุดรธานี ด้วยความห่วงใย และสนับสนุนการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์ ในการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคติดเชื้อโควิด -19

ในการนี้ นายแพทย์ทวีรัชต์ ศรีกุลวงศ์ รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดอุดรธานี เป็นผู้รับมอบ โดยมี เจ้าหน้าที่สาธารณสุข และบุคลากรทางการแพทย์ เข้าร่วมรับมอบ และได้กล่าวขอบคุณทางกองทัพอากาศสิงคโปร์และกองบิน 23 ที่นำชุด PPE มามอบให้ในครั้งนี้ ซึ่งหมอ พยาบาลและบุคลากรทางการแพทย์ต้องทำงานกันอย่างหนัก ก็เพื่อความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนชาวอุดรธานี ถึงแม้ว่าทุกภาคส่วนจะให้การสนับสนุนด้านวัสดุอุปกรณ์มาอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามมีสำรองไว้ถือว่าเป็นการดีที่สุด เป็นการสร้างความอุ่นใจในการปฏิบัติหน้าที่ของบุคลากรทางการแพทย์

“อิสตันบูล (Istanbul)” เป็นเมืองที่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์และเปี่ยมไปด้วยความขลัง เพราะนอกจากจะเป็นเมืองที่มีประชากรหนาแน่นแล้ว ยังเป็นเมืองที่ตั้งตรงรอยต่อระหว่างสองทวีป คือเอเชียและยุโรป

ทั้งที่ยังไม่เคยได้ไปเยือนซานฟรานซิสโก แต่ความคิดแว้บแรกเมื่อไปถึงอิสตันบูล ผมรู้สึกว่าคล้ายเมืองริมทะเลแห่งรัฐแคลิฟอร์เนียนี้มาก อาจจะเพราะเคยดูหนังที่มีฉากเมืองซานฟรานซึ่งมีความคล้ายคลึงกันหลายส่วน เช่นเป็นเมืองใหญ่ติดทะเล บ้านเรือนปลูกสร้างลดหลั่นกันไปตามเนินเขา ถนนหนทางคดเคี้ยวและบางช่วงชัน มองเห็นวิวทะเลได้แต่ไกลจากหลายมุม เป็นต้น แต่อย่างไรก็ตาม อิสตันบูลก็คืออิสตันบูล (และซานฟรานซิสโก ก็คือซานฟรานซิสโก) ยังคงมีเอกลักษณ์โดดเด่นและแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงเมื่อได้สัมผัสใกล้ชิดมากขึ้น

คนจำนวนมากเข้าใจผิด คิดว่าอิสตันบูลคือเมืองหลวงของตุรกี ที่จริงอังการาซึ่งตั้งอยู่ตอนกลางของประเทศต่างหากคือศูนย์กลางการเมืองการปกครองของประเทศนี้ แต่ด้วย “ความขลัง” กว่า ในแง่ที่มีประชากรหนาแน่นกว่าสิบห้าล้านคน นับว่าเป็นเมืองใหญ่ที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง อีกทั้งยังตั้งอยู่ ณ รอยต่อระหว่างสองทวีป คือเอเชียและยุโรป โดยมีช่องแคบบอสพอรัสกั้นไว้ ทำให้วัฒนธรรมและศาสนาของทั้งโลกตะวันออกและตะวันตก คลุกเคล้ากันผ่านช่วงเวลายาวนาน ถ้าสาวประวัติเมืองย้อนกลับไปก็คงตั้งแต่สมัยสองพันกว่าปีก่อนในยุคที่เรียกว่าไบแซนไทน์ อิสตันบูลในยุคนั้นมีชื่อว่ากรุงคอนสแตนติโนเปิล จักรวรรดินี้ยืนยงคงกระพันนับพันปีและถือว่าเป็นศูนย์กลางการเผยแพร่ศาสนาคริสต์ แต่ในที่สุดก็พ่ายแพ้แก่พวกออตโตมันซึ่งเป็นมุสลิม และอิทธิพลอิสลามก็สืบทอดมาจนถึงปัจจุบันนี้ เมื่อนำภาพในอดีตมาปะติดปะต่อเข้ากับสภาพเมืองในปัจจุบันก็พบว่าประวัติศาสตร์เป็นปัจจัยหลักที่สร้างมนต์เสน่ห์ให้กับเมืองนี้เป็นอย่างมาก ยิ่งเมื่อผนวกเข้ากับภูมิทัศน์สวยงาม สถาปัตยกรรมเก่าแก่ผสมผสานหลายยุคสมัย ยิ่งทำให้ใครก็ตามที่ได้มาเยือนอิสตันบูลตกหลุมรักเมืองนี้อย่างง่ายดายยามแรกพบเลยทีเดียว

อิสตันบูลเป็นเมืองทันสมัย สามารถเดินทางสัญจรภายในเขตต่าง ๆ โดยเลือกใช้ขนส่งมวลชนหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นรถไฟฟ้า เรือข้ามฟาก รถราง รถบัส ซึ่งเมื่อซื้อบัตรโดยสารใบเดียวก็สามารถใช้ได้กับทุกระบบขนส่ง หรือถ้าต้องการความสะดวกรวดเร็วและเป็นส่วนตัวมากกว่าก็ใช้บริการแท็กซี่กับ Grab แต่วิธีดีที่สุดที่จะช่วยให้เห็นรายละเอียดของสิ่งละอันพันละน้อย ก็คือการเดินนั่นเอง ยิ่งใครที่ชื่นชอบการถ่ายรูปจะรื่นรมย์เดินชมเมืองมาก จะทอดน่องไปตามตรอกซอยน้อยใหญ่ เดินเล่นบนบาทวิถีริมทะเล เดินข้ามสะพานที่เต็มไปด้วยชายนักหย่อนเบ็ดตกปลา หรือเบียดแทรกตัวเองท่ามกลางฝูงคนในย่านช้อปปิ้งล้วนให้ความเพลิดเพลินทั้งนั้น บรรดาแลนด์มาร์กและสถานที่น่าสนใจกระจายตัวในระยะเดินถึง ถ่ายรูปวิวสลับกับการสังเกตการใช้ชีวิตตามปกติของชาวเมือง หรือนั่งพักแล้วสังเกตอากัปกิริยาผู้คนที่เดินผ่านไปมาทั้งหลายก็เพลินดี

ส่วนใหญ่แล้วนักท่องเที่ยวมักไม่พลาดการไปชมงานสถาปัตยกรรมอันโดดเด่นอลังการงานสร้างสองแห่งซึ่งอยู่ในเขตเมืองเก่าสุลต่านอาห์เม็ด ได้แก่สุเหร่าสีน้ำเงินและฮาเกียโซเฟีย แม้ศาสนสถานทั้งสองจะสร้างในช่วงเวลาที่แตกต่างกันและเพื่อวัตถุประสงค์ในการใช้ประกอบพิธีทางศาสนาที่แตกต่างกัน แต่มองผิวเผินแต่ไกลกลับให้ความรู้สึกเหมือนอาคารฝาแฝดเพราะมีรูปทรงค่อนข้างคล้ายคลึงกัน

แต่ละช่วงของวันก็ให้ความรู้สึกผ่อนคลายที่แตกต่างกันด้วย ช่วงกลางวันที่แดดจัดจ้าจะเห็นน้ำทะเลใสสีฟ้า ฝูงนกนางนวลโฉบเฉี่ยวร่าเริง แมวจรทั้งหลายต่างย่องขึ้นไปบนหลังคาบ้าน หรือไม่ก็แอบอยู่ตามมุมถนน ส่วนบรรยากาศยามเย็นใกล้ค่ำนั้นโรแมนติกกว่ามาก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าใครที่เดินทางคนเดียวจะเกิดอาการเหงาจับใจเวลามองพระอาทิตย์ตกทะเลแต่อย่างใด เพราะแสงเงาบนท้องฟ้าสลับสีตระการตา คล้ายกำลังนั่งมองศิลปินผู้มีฝีมือล้ำเลิศละเลงสีเหลืองแดงชมพูม่วงส้มลงบนผืนผ้าใบชิ้นใหญ่มหาศาล ก็ทำให้หัวใจคับพองและ “อิ่ม” ได้เช่นกัน

ของคาวที่หาทานง่าย มีอยู่แทบทุกมุมเมืองคือเคบับ หิวเมื่อไหร่ก็แวะซื้อแล้วเดินทานไปด้วย เมนูปลาใกล้สะพานกาลาตาก็เด็ดไม่แพ้กัน หรือถ้าต้องการทานอาหารตุรกีที่มีความหลากหลายกว่าก็สามารถเลือกนั่งในร้านอาหารชนิดกินกันเป็นเรื่องเป็นราวเลยก็ได้ ของหวานขึ้นชื่อเห็นจะเป็นไอศกรีมตุรกี จุดเด่นนอกจากจะเป็นความเหนียวหนึบแล้ว พ่อค้าไอศกรีมยังใช้มุกหลอกลูกค้าโดยเฉพาะอย่างยิ่งสาว ๆ และเด็ก ๆ (มุกเก่าแต่ใช้ได้ตลอด) 

ในขณะที่ของหวานอันเป็นเอกลักษณ์อีกอย่างคือบักลาวา หาซื้อได้ทั่วไปตามตลาด เปรียบเทียบแล้วน่าจะคล้ายกับใครมาเที่ยวเชียงใหม่ก็มักจะหาซื้อขนมกะละแมไปฝากเพื่อนฝูงญาติมิตรนั่นเอง ในส่วนของเครื่องดื่มยอดนิยมนั้นหนีไม่พ้นชาตุรกีซึ่งเสิร์ฟกันในแก้วทรงคอดตรงกลาง และกาแฟซึ่งต้มในภาชนะโลหะมีด้ามจับที่เรียกว่าอีบริก เสิร์ฟในถ้วยเซรามิกเล็ก เวลาจะจิบชาหรือกาแฟก็มักเติมน้ำตาลลงไปด้วยสักช้อนชาเพื่อตัดความขม และแม้จะเป็นประเทศมุสลิม แต่ก็มีความเป็นเสรีนิยมค่อนข้างสูง ดังนั้น เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ทั้งหลายอย่างเหล้าเบียร์หรือไวน์ก็ยังสามารถหาจิบได้โดยไม่ผิดกฎหมายแต่อย่างใด 

ที่พักหาไม่ยากและมีทุกระดับตั้งแต่ดาวเดียวถึงทะลุห้าดาว ในสมัยที่อินเตอร์เน็ตยังไม่เฟื่องฟู นักเดินทางโดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกทุนต่ำแบกเป้ มักพกโลนลี่แพลเน็ต เสมือนคัมภีร์นำทาง เพราะมีข้อมูลที่จำเป็นแทบทุกอย่าง แต่ปัจจุบันนี้นักท่องเที่ยวแทบทั้งหมดหาข้อมูลจากอินเตอร์เน็ต ที่พักก็จองผ่านแอปพลิเคชันต่าง ๆ จะพักที่ไหนจะกินอะไรก็ดูรีวิวเอา ร้านไหนสถานที่อะไรคนนิยมมาก ๆ ก็ต้องไปเช็คอินเมื่อไปถึง นักท่องเที่ยววัยรุ่นขาโจ๋ผู้นิยมสังสรรค์ปาร์ตี้จนดึกดื่น มักเลือกพักโฮสเทลในย่านทักซิม ซึ่งเต็มไปด้วยร้านรวงสมัยใหม่และผับบาร์อึกทึก มีถนนคนเดินเหมาะสำหรับคนเสพติดการช้อปปิ้งเป็นที่สุด ในขณะที่ย่านสุลต่านอาห์เม็ดนั้นเหมาะสำหรับคนชอบความสงบ พวกผู้ใหญ่ คนสูงวัย นักเดินทางผู้รักความสันโดษ หรือคู่รักฮันนีมูนน่าจะชอบย่านเมืองเก่านี้มากกว่า 

ที่เล่ามาทั้งหมดนี้ถือว่าเป็นเพียง “น้ำจิ้มชิมลาง” เท่านั้น เพราะยังมีอีกมากมายหลายอย่างที่น่าสนใจ สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็นฉันใด อยากรู้ว่าอิสตันบูลมีเสน่ห์มากแค่ไหนก็ต้องมาให้เห็นด้วยตัวเองนะครับ 


เขียนโดย : คุณสว่าง ทองดี จบการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ (ชีววิทยา) ชอบปั่นจักรยานท่องโลกและหลงไหลกาแฟ

ปทุมธานี - ผู้ว่าฯปทุมธานี ให้เกียรติเป็นประธาน กิจกรรมปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำเนื่องในวันประมงแห่งชาติ ประจำปี 2564 ณ วัดสะแก ตำบลสามโคก อำเภอสามโคก

วันที่ 9 กันยายน 2564 เมื่อเวลา 10.00 น นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม ผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี เป็นประธาน ปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำ เนื่องในวันประมงแห่งชาติ ประจำปี 2564 โดยมีพระอธิการเริงชัย ฐานุตตฺโร เจ้าอาวาสวัดสะแก พร้อมด้วย ประมงจังหวัดปทุมธานี นายอำเภอสามโคก / ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืดปทุมธานี นายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลสามโคก หัวหน้าส่วนราชการ / ผู้อำนวยการโรงเรียนวัดสะแก และแขกผู้มีเกียรติเข้าร่วมงาน

เนื่องในวันประมงแห่งชาติประจำปี 2564 ตามมติครมเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2549 อนุมัติให้ในวันที่ 21 กันยายนของทุกปีเป็นวันประมงแห่งชาติ ทั้งนี้เพื่อได้รำลึกถึงพระกรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ที่ทรงมีพระบรมราชโองการ ให้ตั้งกรมรักษาสัตว์น้ำขึ้นมาเมื่อวันที่ 21 กันยายน 2469 ต่อมาได้มีการเปลี่ยนชื่อเป็นกรมการประมงและเป็นกรมประมงในปัจจุบัน วัตถุประสงค์ในการจัดงานมีดังนี้

1.เพื่อเป็นการสร้างจิตสำนึกให้พี่น้องประชาชนให้เกิดความรักและหวงแหนทรัพยากรสัตว์น้ำ รวมทั้งสิ่งแวดล้อมในแหล่งน้ำธรรมชาติ

 2.เพื่อเพิ่มพูนผลผลิตสัตว์น้ำในแหล่งน้ำธรรมชาติและรณรงค์ให้ชุมชนมีส่วนร่วมและตระหนักถึงคุณค่าของทรัพยากรสัตว์น้ำ ตลอดจนการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ฟื้นฟูและร่วมกันบริหารจัดการใช้ประโยชน์ทรัพยากรสัตว์น้ำให้เกิดประโยชน์สูงสุดอย่างยั่งยืนและ

3.เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ของภาครัฐองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ชุมชนชาวประมงและประชาชนในการบูรณาการด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรสัตว์น้ำ ในการจัดพิธีปล่อยพันธุ์ปลา

ในการจัดพิธีปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำในครั้งนี้ ได้รับการสนับสนุนพันธุ์น้ำจืดจากศูนย์วิจัยและพัฒนา เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืดปทุมธานีจำนวน 500,000 ตัว ชนิดพันธุ์ ของปลาประกอบด้วย

1.ปลาตะเพียนทอง 100,000 ตัว

 2.ปลาตะเพียนขาว 300,000 ตัว

 3.ปลาสร้อยขาว 50,000 ตัว

และ 4.ปลาหมอ 50,000 ตัว


ภาพ/ข่าว  สหรัฐ แก้วตา


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top