Tuesday, 8 July 2025
SPECIAL

กระบี่ - ตำรวจน้ำ ส่งต่อบุญเพื่อชาวเล ฝ่าวิกฤติโควิด-19 บรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน ผู้ได้รับผลกระทบที่มีบ้านพักอาศัยอยู่ริมทะเล

ตำรวจน้ำ กองกำกับการ 9 โดย พ.ต.อ. จตุรวิทย์ คชน่วม ผกก.9 ฯ ได้กล่าวว่าด้วยปัจจุบันได้เกิดการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID -19) ที่มีการแพร่ระบาดไปทั่วโลก ส่งผลกระทบต่อชีวิตของประชาชนเป็นวงกว้างทั่วทั้งประเทศ โดย พล.ต.ต. สมควร พึ่งทรัพย์ ผบก.รน. ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญและให้ ทุกหน่วยช่วยเหลือประชาชน อย่างเต็มที่

ในส่วนของตำรวจน้ำจังหวัดกระบี่ ตรัง และสตูล จึงได้มีมาตรการ เร่งด่วนในด้านต่าง ๆ เพื่อป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาด โดยเฉพาะประชาชนที่มีบ้านพักอาศัยอยู่ริมทะเล ประกอบอาชีพประมง เดินทางโดยเรือเป็นปกติชีวิต ซึ่งการเข้าไปช่วยเหลือเป็นไปด้วยความยากลำบากต้องอาศัยเรือเป็นหลักตำรวจน้ำ เล็งเห็นถึงปัญหาดังกล่าว จึงได้จัดทำโครงการการช่วยเหลือประชาชน(ชาวเล) ที่ได้รับผลกระทบ กรณีสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID -19)

เป็นการบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนผู้ได้รับผลกระทบที่มีบ้านพักอาศัยอยู่ริมทะเล และต้องกักตัวเป็นเวลา 14 วัน ตลอดทั้งสนับสนุนมาตรการตามประกาศของคณะกรรมการควบคุมโรคติดต่อจังหวัดกระบี่ ตรัง และสตูล ณ บริเวณบ้านคลองหิน หมู่ที่ 7 ตำบลไสไทย อำเภอเมือง จังหวัดกระบี่ จำนวน 40 ครัวเรือน สิ่งของต่าง ๆ ที่เรานำไปส่งต่อให้ประชาชน ส่วนหนึ่งมาจากการร่วมกันของข้าราชการตำรวจน้ำกองกำกับการ 9ฯ ที่ได้ร่วมกันทำบุญในครั้งนี้และได้รับการสนับสนุน จากพล.ต.ท.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ได้ร่วมสนับสนุนอุปกรณ์ทางการแพทย์ ยาฟ้าทะลายโจร อุปกรณ์ป้องกันและเครื่องอุปโภคบริโภค เพื่อแจกจ่ายให้ประชาชนที่กักตัว ตามโครงการฯ ในยามวิกฤตแบบนี้ขอเป็นส่วนเล็ก ๆ ส่วนหนึ่งในการที่จะช่วยเหลือประชาชน ให้ฝ่าวิกฤตนี้ไปด้วยกัน


ภาพ/ข่าว  นิตยา แสงมณี / ผู้สื่อข่าวประจำจังหวัดสตูล

สระบุรี – รับมอบเครื่องช่วยหายใจและชุดถังออกซิเจน จากผู้มีจิตกุศลบริจาคช่วยเหลือผู้ป่วยโควิด-19

วันจันทร์ที่ 23 สิงหาคม 2564 เวลา 09.00 น. ณ บริเวณหน้าศาลากลางจังหวัดสระบุรี ตำบลตะกุด อำเภอเมือง จังหวัดสระบุรี / นายสมภพ สมิตะสิริ พร้อมด้วย นายเอกพร จุ้นสำราญ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรี / นายพลวรรธน์  เทียนชัยมงคล ปลัดจังหวัดสระบุรี รับมอบเครื่องกำเนิด oxygen ชนิดไฟฟ้า ขนาด 10 L จำนวน 1 เครื่อง ราคาประมาณ 42,000 บาท และถังบรรจุ oxygen พร้อมหัวจ่าย จำนวน 4 ถัง ราคาประมาณ 5,500 บาท/ถัง รวมมูลค่าทั้งสิ้น 64,000 บาท  จากนางรพีพร เหลืองอร่ามรัตน์ เจ้าของคอนโดเลควิว สระบุรี ที่มีความประสงค์มอบเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยโควิด-19 ในจังหวัดสระบุรี ที่มีอาการรุนแรงและต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ

สำหรับจังหวัดสระบุรี ขณะนี้มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ยืนยัน ณ วันที่ 22 สิงหาคม 2564 จำนวน 348 ราย ผู้ติดเชื้อเข้าข่าย 136 ราย มีผู้เสียชีวิต 4 ราย มีผู้ป่วยติดเชื้อยืนยันสะสม 16,894 ราย ผู้ติดเชื้อเข้าข่ายสะสม 2,147 ราย ผู้ป่วยรักษาหายสะสม 12,734 ราย ผู้ป่วยเสียชีวิตสะสม 147 ราย กำลังรักษาในโรงพยาบาล สีเขียว 954 ราย สีเหลือง 789 ราย สีแดง 77 ราย รักษาอาการที่ศูนย์โควิดชุมชน 96 แห่ง 1,960 ราย แยกรักษาที่บ้าน 2,380 ราย ยอดรวมการรับวัคซีนเข็มที่ 1 จำนวน 147,369 ราย เข็มที่ 2 จำนวน 66,965 ราย


ภาพ/ข่าว  ดำรงค์ ชื่นจินจินดา รายงาน

นราธิวาส - ผบ. ฉก.นราธิวาส ตรวจเยี่ยมให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการจรยุทธ์ เพื่อสร้างขวัญกำลังใจแก่ทหารและพี่น้องประชาชนในพื้นที่ อ.สุไหงโกลก

พลตรี ไพศาล หนูสังข์ ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 15 / ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส พร้อมด้วยพันเอก เฉลิมพร ขำเขียว รองผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 15 / รองผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส  เดินทางลงพื้นที่ เป็นประธานการประชุมติดตามผลการปฏิบัติตามแผนยุทธการ 46421 ควบคุมพื้นที่รอบเขาตะเว และหมู่บ้านเชิงเขา ณ ที่ทำการทางยุทธวิธี หน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส  กองร้อยทหารพราน 4811 ตำบลริโก๋ อำเภอสุไหงปาดี โดยมี พันเอกกำธร ศรีเกตุ รองผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส , พันเอก เอกพล เลขนอก ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 48 , พันเอก จิรวัฒน์ จุฬากาญจน์ ผู้บังคับการกรมทหารพรานที่ 49 และส่วนที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมการประชุม

จากนั้น ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส ได้เดินทางไปตรวจเยี่ยม ให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการจรยุทธ์ (ชป.จรยุทธ์) ของกองร้อยทหารพราน ที่ 1005 หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 10 บ้านปะดังยอ ตำบลมูโน๊ะ อำเภอสุไหงโกลก จังหวัดนราธิวาส โดยได้เน้นย้ำการปฏิบัติในการ รปภ.พื้นที่ให้มีความปลอดภัย และการติดตามพฤติกรรมกลุ่มเครือญาติ ผกร. ทำลายเครือข่ายโครงสร้างหมู่บ้าน Support site จนทำให้ไม่สามารถช่วยเหลือ กลุ่ม ผกร. และเป็นแหล่งพักพิงได้ ตลอดจนทำลายความพยายามก่อเหตุรุนแรงในพื้นที่

พร้อมทั้งเน้นย้ำการปฎิบัติให้เป็นตามนโยบาย/สั่งการของ พลโทเกรียงไกร ศรีรักษ์ แม่ทัพภาคที่ 4/ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ในการรักษาความปลอดภัยพื้นที่ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับพี่น้องประชาชน และให้กำลังพลเพิ่มความระมัดระวังในการปฏิบัติหน้าที่ พร้อมทั้งยังเน้นย้ำให้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 พร้อมมอบเครื่องบริโภค เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้กับกำลังพล ชุดปฏิบัติการจรยุทธ์(ชป.จรยุทธ์) ในการปฏิบัติหน้าที่ต่อไป


ภาพ/ข่าว  แวดาโอ๊ะ หะไร จ.นราธิวาส

“คนสิทธิ” จับมือ “คนข่าว” ส่งต่อความห่วงใย มอบอาหาร-น้ำ ชุมชนริมคลองบางบัว ช่วยบรรเทาพิษโควิด

วันที่ 21 สิงหาคม ที่ชุมชนริมคลองบางบัวหลังกรมวิทยาศาสตร์ ถนนเกษตรนวมินทร์ นายสมชาย จรรยา อุปนายก สมาคมผู้สื่อข่าวและช่างภาพอาชญากรรมแห่งประเทศไทย พร้อมด้วยตัวแทนนักศึกษา หลักสูตรประกาศนียบัตรสิทธิมนุษยชนสำหรับนักบริหารระดับสูง รุ่น 1 (ปสม.1) สถาบันพระปกเกล้า นำโดย นางถวิล เพิ่มเพียรสิน อดีตรองอธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน นางสาวพรทิพย์ เตชะสมบูรณา กรรมการผู้จัดการ กลุ่มบริษัทในเครือ เวิลด์เมดิคอลซัพพลาย จำกัดนางสุจิตรา แก้วไกร ผู้อำนวยการ กองพิทักษ์สิทธิและเสรีภาพ กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม และนางสุกัญญา จรรยา ผู้จัดการ มูลนิธิสหชาติ

ร่วมกับเวปไซต์ข่าวจั่นเจา Canchaonews.com หนังสือพิมพ์ดีดีโพสต์ นิวส์ ส่งมอบข้าวกล่องพร้อมทาน หน้ากากอนามัย น้ำดื่ม และสเปร์แอลกอฮอล์ ส่งมอบแก่ นางสิริวรรณ กลิ่นหอม ประธานชุมชน เป็นผู้แทนรับมอบเพื่อส่งต่อให้ชาวบ้านในพื้นที่ที่ดูแล

นางสิริวรรณ กลิ่นหอม เปิดเผยว่า ชุมชนแห่งนี้ มีประชาชนพักอาศัย 120 ครัวเรือน ประชากรกว่า 600  คน ในจำนวนนี้ผู้มีความเสี่ยงจากโรคติดเชื้อโควิด-19 และต้องกักตัว 16 ครอบครัว ขณะนี้รักษาหายแล้ว และกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ แต่ชุมชนยังคงเฝ้าระวัง ช่วยกันดูแลป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด แบบไม่ประมาทการ์ดไม่ตก 

ด้านนายสมชาย จรรยา เปิดเผยว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดเขื้อไวรัสโควิด-19 ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) รายงานประจำวัน มียอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 รวม 20,571 ราย จำแนกเป็น ติดเชื้อใหม่ 20,336 ราย ติดเชื้อภายในเรือนจำ/ที่ต้องขัง 235 ราย

ซึ่งส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของกลุ่มเปราะบาง ที่เป็นทั้งคนไร้บ้าน ผู้ยากไร้ ผู้พิการ ผู้สูงอายุ และผู้ป่วยติดเตียง ที่อาศัยอยู่ในชุมชนต่างๆ โดยเฉพาะเมืองกรุง ที่จังรอการช่วยเหลือ 

ในนามพันธมิตรจิตอาสาเป็นอีกหนึ่งกลุ่มองค์กร ที่อาสามาเป็นสะพานบุญ รับข้าวกล่องพร้อมทานจากจุดส่งมอบอาหารโลตัสบางกะปิ ภายใต้โครงการ "ครัวปันอิ่ม ร้อยเรียงใจสู้ภัยโควิด-19" โดยบริษัทในเครือซีพี จัดทำขึ้น โดยมีสิ่งของ อื่นๆ อาทิ สเปรย์แอลกอฮอล์ น้ำดื่ม ได้นำมาสมทบ เพื่อแบ่งปันความสุข
และแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่าย เราคนไทยไม่ทิ้งกัน ต้องก้าวผ่านวิกฤติไปด้วยกันให้ได้

ทำไมคนมากมายถึงมีปัญหาการเงินเพิ่มมากขึ้นทุกปี เป็นไปได้ว่าผู้คนเหล่านั้นอาจมีลักษณะนิสัยบางอย่างที่ ‘ยิ่งทำ ยิ่งจน’ นิสัยเหล่านั้นเป็นแบบไหน? มีอะไรบ้าง? และจะแก้ไขได้อย่างไร?

ต้องยอมรับว่าหลายคนกำลังเผชิญกับปัญหาเรื่องการเงินอย่างมาก โดยเฉพาะปัญหาหนี้สินที่มีอัตราหนี้สินครัวเรือนพุ่งสูงขึ้นมาอย่างต่อเนื่องในทุกปี แล้วทำไมคนมากมายถึงมีปัญหาการเงินเพิ่มมากขึ้นทุกปี เชื่อได้เลยว่าทุกคนพยายามที่จะแก้ปัญหา ปรากฏว่าหนี้สินก็ยังไม่ลดลง มีแต่จะเพิ่มขึ้น มันเป็นเพราะอะไร? 

เป็นไปได้ว่าผู้คนเหล่านั้นอาจมีลักษณะนิสัยบางอย่างที่ยิ่งทำ ยิ่งจน อยู่นั่นเอง แต่คนส่วนใหญ่ทำไปโดยไม่รู้ตัว วันนี้ผู้เขียนจะมาชี้แจงแถลงไขให้ทราบกันว่า นิสัยเหล่านั้นเป็นแบบไหน? มีอะไรบ้าง? และจะแก้ไขได้อย่างไร?

1. ใช้เงินไม่ยั้งคิด เห็นอะไรก็อยากได้ไปหมด วัน ๆ คิดถึงแต่วิธีใช้เงิน นั่งดูมือถือ เป็น FC Shopee Lazada นิสัยจ่ายไว ไม่ยั้งคิด ถือเป็นนิสัยที่เป็นสาเหตุหลักทำให้คนเรามีปัญหาด้านการเงิน หามาได้เท่าไรก็จ่ายจนหมด พอหมดแล้วก็เริ่มต้นหาใหม่ ส่วนใหญ่ก็จะหันไปพึ่งบัตรเครดิต หรือ บัตรกดเงินสด ชีวิตก็จะวนเวียนอยู่แบบนี้ ถ้าเกิดช่วงไหนมีความจำเป็นต้องใช้เงินก้อน ทั้งชีวิตก็จะกลายเป็นคนมีหนี้สินตลอด 

วิธีแก้ไข 

- ฝึกการยับยั้งชั่งใจ
- พิจารณาก่อนซื้อ สัก 3-4 วัน ความอยากจะลดลง
- การซื้อครั้งนี้ส่งผลกระทบต่องบจำเป็นในส่วนอื่นไหม 

2. คาดหวังกับสิ่งที่เลื่อนลอย รอคอยแต่โชคชะตา ชอบซื้อหวย ซื้อลอตเตอรี่ ใช้เกมพนันเพื่อหวังรวย ลงทุนในสิ่งที่ตัวเองไม่มีความรู้ ซึ่งถ้าจะลองมองย้อนไปดูตามสถิติ มีคนเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ถูกรางวัลใหญ่ ๆ จนร่ำรวย ส่วนคนอีกมหาศาลนั้นเสียเงินแต่ละงวดหลายพันไปเปล่า ๆ โดยที่ไม่ได้อะไรกลับมา รวมกันปีหนึ่งเสียเงินนับหมื่นกันเลยทีเดียว 

วิธีแก้ไข

- เอาเงินส่วนที่ซื้อหวย หรือลอตเตอรี่มาเก็บเป็นเงินออมจะดีกว่าไหม
- ตั้งใจเก็บเงิน 10% ของรายได้ ทุกเดือน ไม่ต้องรอมีเงินก้อนแล้วค่อยเก็บ แบบนั้นไม่ได้เก็บแน่นอน

3. วิถีชีวิตหรูหราเกินตัว หน้าใหญ่ ใจโต ทั้ง ๆ ที่มีรายได้ทางเดียวอย่างจำกัด บางคนมีความอยากได้อยากมีเกินรายได้ที่ตัวเองได้รับ เห็นคนอื่นมีของแพง ๆ ก็อยากได้บ้าง เพื่อหน้าตา เพื่ออวดคนอื่นว่าตัวเองก็มีนะ คุณมีได้ฉันก็มีได้ คุณซื้อได้ฉันก็ซื้อได้ เอาชีวิตตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่นที่เขามีโอกาสมากกว่า โดยที่ไม่ได้มองเงินในกระเป๋าตัวเองเลย แล้วถ้าเงินไม่มีจะทำอย่างไรล่ะ ก็ต้องใช้บัตรเครดิตสิสะดวกดี ไม่ต้องเสียเงินสดแค่รูดปรื๊ดดด เดียว เดี๋ยวก็ได้ของมาแล้ว โดยไม่คิดคำนึงถึงอัตราดอกเบี้ยที่จะถาโถมเข้ามาให้คุณแทบล้มทั้งยืนในภายหลัง

วิธีแก้ไข

- ฝึกยับยั้งชั่งใจ อย่าตกเป็นทาสกิเลส
- พิจารณา ใคร่ครวญไตร่ตรอง ก่อนซื้อ 
- ศึกษาวิธีการใช้บัตรเครดิตอย่างชาญฉลาด

4. ขาดความรู้เรื่องการเงิน เรื่องตัวเลขเป็นเรื่องน่าเบื่อ น่าปวดหัว ไม่อยากสนใจ มีเท่าไหร่ก็ใช้ ๆ ไป จึงทำให้ขาดการวางแผนในการใช้เงิน เงินหมดตั้งแต่กลางเดือนบ้าง สิ้นเดือนเหมือนสิ้นใจ เงินสำรองฉุกเฉินไม่มี เงินเก่าหมดไป เงินใหม่ยังหาไม่ได้ ขาดสภาพคล่อง ทำให้ชีวิตติดขัดตลอดเวลา

วิธีแก้ไข

- การวางแผนเรื่องเงิน ทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย ประจำวัน ช่วยทำให้คุณรู้ความเคลื่อนไหวของสถานะการเงินของคุณ
- ควรหาที่ปรึกษาทางด้านการเงิน ให้มาช่วยจัดการ ป้องกัน ก่อนเกิดปัญหา

5. ไม่คิดถึงอนาคต ใช้ชีวิตไปวันๆ การไม่มีเป้าหมายในชีวิตนั้น จะส่งผลในแง่ลบต่อตัวคุณเองแน่นอน เพราะจะทำให้คุณใช้ชีวิตไปวัน ๆ มีเงินเท่าไหร่ก็ใช้ไปโดยไม่คิด ไม่รู้จักเก็บออม ไม่มีเงินเก็บไว้ใช้ชีวิตหลังเกษียณ กลายเป็นคนกินอยู่อย่างลำบากตอนชีวิตบั้นปลาย หรือในเบื้องต้น อาจมีทัศนคติที่ไม่ดีกับความรวย เช่น “คนรวยไม่เห็นจะมีความสุข” หรือ “รวยไปก็แค่นั้น ตายไปก็เอาไปไม่ได้” พอมี Mindset แบบนี้จึงขาดเป้าหมายในทางปฎิบัติในการขยันหาและขยันเก็บ

วิธีแก้ไข

- ตั้งเป้าหมายให้กับชีวิต เป็นเป้าหมายระยะสั้นๆ ก่อน เช่น เก็บเงิน 10% ของรายได้ ทุกเดือน
- ลดน้ำหนัก 5 กิโลกรัม ภายใน 3 เดือน
- วาดภาพชีวิตในอนาคต คุณต้องการใช้ชีวิตแบบไหน ที่ไหน ท่องเที่ยวอย่างไร กับใคร 

ผู้เขียนเชื่อว่าบทความนี้จะสะท้อนภาพชีวิตของคุณได้ชัดเจนยิ่งขึ้น รู้ว่าที่ผ่านมาเราผิดพลาดเรื่องใด จะแก้ไขได้อย่างไร เพื่อให้ชีวิตมีอนาคตที่สดใสกันทุกคน

เขียนโดย อ.นิธิมา กุญชร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาบุคลากร โปรเฟสชั่นนอล เทรนเนอร์
#Talktonitima


อ้างอิง
https://www.moneyguru.co.th/lifestyle/articles/%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%88%E0%B8%99/
https://chookde.com/9-%E0%B8%9E%E0%B8%A4%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B8%88%E0%B8%99-%E0%B8%A2%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%87/
https://aommoney.com/stories/%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B8%B2%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3/poor-people-behavior/2341#ksjt4nmj90

การลงทุน 'สีเขียว' เปิดจักรวาล ‘Green Bond’ การลงทุนที่ 'รักษ์โลกได้ - สร้างเงินด้วย’ I LOCK LENS GURU EP.42

LOCK LENS GURU รายการที่จะพาทุกคนมาเจาะลึกประเด็นที่น่าสนใจ ไปกับ 'กูรู' ตัวจริง 

‘อาจารย์ กมลวรรณ รอดหริ่ง’
อาจารย์ประจำสาขาการเงิน คณะการจัดการและการท่องเที่ยว มหาวิทยาลัยบูรพา 

???? ดำเนินรายการโดย เจ THE STATES TIMES

ติดตามผลงานเพิ่มเติมได้ที่ : https://thestatestimes.com/post/2021071703

.

.

.


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
- ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
- รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
- สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
- แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

มรดกโลก “อเลิท์ซ กลาเซียร์” (Aletsch Glacier) มหาธารน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดในเทือกเขาแอลป์

“Aletsch glacier” (ธารน้ำแข็งอาเล็ทช์ กลาเซียร์) เป็นธารน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดในเทือกเขาแอลป์ (Alps) อยู่ในรัฐ Wallis (วาลิส) มีความยาวถึง 23 กิโลเมตรกินพื้นที่ตั้งแต่ Jungfrau มาจนถึง Valias (Wallis) ช่วงที่หนาที่สุดของธารน้ำแข็งคือลึกประมาณ 900 เมตรเลยนะ แถมเจ้าธารน้ำแข็ง Aletsch ยังเคลื่อนที่ด้วยความเร็วประมาณ 200 เมตรต่อปี แบบที่เราไม่รู้สึกเลยด้วยซ้ำ 

การเดินทางก็สามารถเลือกได้หลายเส้นทาง  
>> 1.) ขึ้นกระเช้าจากเมือง Fiesch ไปที่ Fiescheralp และต่อไปที่ยอดเขา Eggishorn จากตรงนี้ถ้าอากาศดีจะสามารถมองเห็น Jungfrau Joch (ยุงเฟรา Top of Europe) และ Matterhorn (มัทเทอร์ฮอร์น) ได้ด้วย 
>> 2.) ขึ้นกระเช้าจากเมือง Mörel (เมอเรล) ไปที่ยอดเขา Riederalp ตรงนี้สามารถ Hiking เส้นทางง่าย ๆ ได้ เส้นทางป่าตรงนี้สวยงามมาก จุดนี้ไม่มีร้านอาหารมีแต่เป็นเหมือนรถตู้เก่า ๆ เปิดให้เราสามารถซื้อเครื่องดื่มต่าง ๆ มีโต๊ะวางกลางแจ้งอยู่ 2-3 โต๊ะ แต่จะเปิดเฉพาะอากาศดีเท่านั้น 
>> 3.) ขึ้นกระเช้าจากเมือง Betten (เบทเท่น) ไปที่เมือง Bettmeralp (เบทเมอร์อัล์ป) แล้วต่อกระเช้าไปที่ยอดเขา Bettmerhorn (เบทเมอร์ฮอร์น) ตรงนี้มีร้านอาหารให้นั่งดื่มกาแฟดูวิวสวย ๆ ชิล ๆ ได้ด้วย ซึ่งวี่เลือกแบบที่ 3 เพราะหลงรักเมืองเล็ก ๆ บนภูเขาที่ชื่อ Bettmeralp มาก และมาบ่อยมาก ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา

“Bettmeralp” เป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ปลอดมลพิษคล้าย ๆ Zermatt เพราะมีแต่รถไฟฟ้าวิ่งเท่านั้น ไม่มีรถยนต์ที่เป็นเครื่องเบนซินหรือดีเซลเลย ช่วงหน้าหนาวที่นี่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเพื่อการเล่นสกี แต่หน้าร้อนก็สวยไม่แพ้กัน ที่วี่ชอบมากเพราะบ้านจะเป็นบ้านไม้แบบสมัยก่อน แม้กระทั่งโรงแรม หรือ airbnb ก็จะทรงเดียวกันหมดเลย ที่สถานี Betten สามารถซื้อตั๋ว 3 days pass ได้ในราคา 45 ฟรังค์ (ถ้ามีบัตรครึ่งราคา) ถ้าไม่มีราคาเต็มคือ 65 ฟรังค์ สำหรับวี่ว่าราคาเหมาะสมนะ เพราะสามารถขึ้นกระเช้าในระแวกนั้นฟรี และขึ้นรถบัส-รถไฟระแวกนั้นฟรีทั้งหมด

ที่วี่มาคราวนี้ไม่ใช่แค่มาชมความยิ่งใหญ่และสวยงามของธารน้ำแข็ง Aletsch เพียงเท่านั้น เพราะอย่างที่บอกว่ามาหลายครั้งมากแล้ว ครั้งนี้ตั้งใจเพื่อมา Hiking โดยเฉพาะ และว่ากันว่ามีหลายเส้นทางที่สวย แต่วี่สนใจอยู่ 2 เส้นทาง คือ 

>> เส้นทาง ‘UNESCO’ (ยูเนสโก) เส้นทางสันเขา ‘UNESCO’ (ยูเนสโก) กับเส้นทางที่เรียบขนานธารน้ำแข็งหรือเส้นทาง 360 องศา ‘Panorama’ เป็นเส้นทางที่เราจะเดินใกล้ธารน้ำแข็งได้มากที่สุด มีระยะทาง 12.2 กิโลเมตร แต่เดินจริง GPS จับได้ระยะทางประมาณเกือบ 15 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินรวมกับการพักเกือบ 6 ชั่วโมง วี่เองก็กลัวไม่ไหว...ประกอบกับดูพยากรณ์อากาศบอกว่าสักช่วงบ่ายสามจะมีพายุฝน เลยชั่งใจอยู่ว่าจะไปทางไหน ซึ่งเส้นทาง ‘UNESCO’ (ยูเนสโก) คือเดินบนสันเขาได้วิวมุมสูง ระยะทางแค่ 3-4 กิโลเมตร แต่เป็นการเดินขึ้นและลงแบบสุดแรง และถ้าฟ้าไม่เปิดจะมองไม่เห็นอะไร ส่วนอีกทางมีระยะทางยาว และเส้นทางช่วงต้น ๆ จะเดินยากนิดหน่อย ใช้เวลานาน ซึ่งไม่รู้จะทันบ่ายสามก่อนพายุเข้าไหม ถ้าไม่ทันจะไม่สนุกแน่เพราะจะเจอพายุบนเขา สรุปวี่เลยเลือกเส้นทางนี้ เพราะวี่มีความต้องการที่จะเข้าใกล้ธารน้ำแข็งให้มากที่สุด

>> เส้นทาง ‘360 องศา panorama’ เริ่มจาก Bettmerhorn ที่ความสูง 2,858 เมตรจากระดับน้ำทะเล อ้อมไปด้านหลังของยอดเขา Eggishorn (เอกิสฮอร์น) ผ่านทะเลสาป Vordersee มาจบที่สถานีกระเช้า Fiescheralp ที่ความสูง 2,212 เมตรจากระดับน้ำทะเล เพื่อลงมาที่เมือง Fiesch และนั่งรถบัสหรือรถไฟ ก็ได้กลับมาที่เมือง Betten เพื่อมานั่งกระเช้าขึ้นมาที่ Bettmeralp เพราะโรงแรมอยู่ที่นี่ ถึงแม้ระยะทางมันจะยาวแต่วิวมันว๊าวมันสวยสะกดมากกกกก!! มีล้านให้เต็มล้านเลยแหละ 

ส่วนคำเตือนของเส้นทางนี้คือไม่เหมาะกับคนที่เวียนหัวง่าย เพราะบางช่วงบางตอนทางแคบ ตัดจากทางเดินคือเป็นผาและตัดตรงลงพื้น ด้วยความสูงขนาดนี้คงไม่ต้องบอกเนาะว่าตกมาจะเป็นไง... ดังนั้นจึงมีป้ายเตือนก่อนตรงจุดตั้งต้น และแนะนำควรใส่รองเท้า Hiking เพราะพื้นผิวของเส้นทางมีความหลากหลายสำหรับผู้ไม่คุ้นชิน ต่อมาก็ลงมาถึงสถานีกระเช้าช่วง 4 โมงเย็น พายุกำลังโหม ทำให้กระเช้าเล็กที่นั่งเกิดการแกว่งไปมาเพราะลม เดินสัก 2 กิโลเมตรสุดท้าย ก็เกิดลมแรง ทั้งฝน ทั้งเหนื่อย ทั้งเปียก ทั้งหนาว ความรู้สึกของขาเรามันเหมือนหนักสักร้อยกิโล ยกเหมือนจะไม่ขึ้น เหมือนจะเดินไม่รอด แต่ในที่สุดวี่ก็ทำได้สำเร็จและกลับมาถึงโรงแรม นึกขอบคุณตัวเองที่ตัดสินใจไปในวันนี้ มันเติมเต็มความรู้สึกดีมาก และมีความสุขมากจริง ๆ

วี่รักบรรยากาศหมู่บ้าน Bettmeralp รู้สึกอบอุ่นผ่อนคลายและสบายใจ ชอบขึ้นไปนั่งดูธารน้ำแข็ง นั่งดูได้ทีละนาน ๆ ไม่รู้จักเบื่อเลย ยังนึกไปด้วยซ้ำว่าเราเป็นแค่คนซึ่งถ้าเทียบกับธารน้ำแข็งที่ยิ่งใหญ่เราก็ตัวเล็กนิดเดียว และเราไม่สามารถที่จะงัดข้อกับธรรมชาติที่แสนจะยิ่งใหญ่ได้เลย ธรรมชาติบางครั้งก็ช่างสวยงามเสียเหลือเกิน แต่บางคราก็อาจจะน่ากลัวได้อย่างไม่น่าเชื่อเช่นกัน...


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

'สมาคมคนพิการแห่งประเทศไทย'​ ปันน้ำใจ มอบ 'ผ้าหน้ากากอนามัย'​ ให้คนพิการ คนยากไร้ คนเร่ร่อน

'สมาคมคนพิการแห่งประเทศไทย'​ ปันน้ำใจ มอบ 'ผ้าหน้ากากอนามัย'​ ให้คนพิการ คนยากไร้ คนเร่ร่อน

(21 ส.ค.64)​ ณ บริเวณโดยรอบอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย กรุงเทพมหานคร​ 'นายชีวานนท์ พรรัตน์ธนิกกุล'​ นายกสมาคมสหพันธ์แรงงานคนพิการไทย และตำแหน่งคณะอนุกรรมการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการด้านแรงงาน นำ 'ผ้าหน้ากากอนามัย' จำนวนมากกว่า 1,000 ชิ้น ที่ได้รับมอบจาก 'นายศุภชีพ ดิษเทศ'​ นายกสมาคมคนพิการแห่งประเทศไทย และ คณะกรรมการบริหารสมาคมคนพิการแห่งประเทศไทย ไปช่วยเหลือ คนพิการ คนยากไร้ คนด้อยโอกาส คนเร่อน 

โดยตระหนักถึงความสำคัญ และความจำเป็นถึงอุปกรณ์ในการป้องกันการติดเชื้อไวรัส Covid-19 ที่กำลังแพร่ระบาดอยู่ในขณะนี้ ถึงแม้จะเป็นส่วนหนึ่งเล็กๆ​ ที่ทางองค์กรคนพิการ พอจะมี พอจะให้ แต่ก็เป็นสิ่งสำคัญเป็นอย่างมากสำหรับคนยากไร้ คนด้อยโอกาส คนพิการ คนเร่ร่อน ที่ไม่มีเงินจะสามารถซื้อ และเปลี่ยน 'หน้ากากอนามัย'​ ได้บ่อยครั้ง

สำหรับการดำเนินกิจกรรมในครั้งนี้ ถึงแม้เราจะเป็น 'องค์กรคนพิการ'​ แต่เราก็อยากเป็นส่วนหนึ่งในการแบ่งปัน ช่วยเหลือพี่น้องประชาชน ร่วมใจกันสร้างสรรค์สังคมไทยให้น่าอยู่สืบไป

#คนละไม้_คนละมือ

ภาค ‘ประชาชน’ ออกโรงลุย!! ช่วยบรรเทาวิกฤติโควิด-19 สะท้อนการจัดการภาครัฐไทย!!

ระยะหลังมาจะเห็นบทบาทของภาคประชาชนกลุ่มต่าง ๆ กลุ่มคนที่เสียสละ พร้อมเป็นอาสาสมัครออกมาช่วยเหลือผู้อื่นในยามทุกข์ยาก ซึ่งยิ่งภาคประชาชนมีบทบาทมากขึ้นเท่าไหร่ ยิ่งสะท้อนกลไกภาครัฐมีปัญหา

“ในวิกฤต จะพบธาตุแท้ของคน” คำกล่าวนี้กล่าวเอง จากประสบการณ์ก็เห็นว่าจริง มีคนเห็นแก่ตัว มีคนเฉย ๆ และมีคนเสียสละเสมอ ในช่วงวิกฤตโควิด-19 ที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตไต่ระดับขึ้นทุกวันแบบนี้ ก็สะท้อนว่าตอนนี้ประเทศไทย โดยเฉพาะพื้นที่สีแดงเข้ม เมืองหลวงและจังหวัดโดยรอบอยู่ท่ามกลางมหันตภัยโรคระบาด

ระยะหลังมาจะเห็นบทบาทของภาคประชาชนกลุ่มต่าง ๆ ออกมามีบทบาทมากขึ้น ยิ่งโลกยุคดิจิทัล ไม่ว่ากลุ่มไหนทำอะไรก็จะมีให้เห็นตลอดเวลา กลุ่มคนที่เสียสละ พร้อมเป็นอาสาสมัครช่วยเหลือผู้อื่นในยามทุกข์ยากโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน 

เมื่อเห็นภาคประชาชน อาสาสมัคร จัดระบบการจัดการเพื่อเข้าช่วยเหลือผู้ป่วยโควิด-19 หรือผู้ได้รับผลกระทบจากการต้องกักตัว หรืออยู่ในชุมชนแบบนี้ โดยที่แต่ละกลุ่มดำเนินการมาเป็นระยะเวลาหลายเดือน แต่กลับพบว่าเหตุการณ์ไม่บรรเทาลงเลย แถมยังหนักขึ้นทุกวัน แต่ละกลุ่มก็ทำงานกันหนักขึ้น ระดมกำลัง พลังกาย พลังใจ พลังทรัพย์ เพื่อให้การช่วยเหลือมากขึ้น ก็เกิดฉุกคิดขึ้นมาเหมือนกันว่า “ยิ่งภาคประชาชนมีบทบาทมากขึ้นเท่าไหร่ ยิ่งสะท้อนกลไกภาครัฐมีปัญหา” เพราะหากการบริหารจัดการในภาวะวิกฤตของภาครัฐจัดการได้ดี ภาคประชาชนคงไม่ต้องออกมาช่วยกันมากขนาดนี้กระมัง

เรื่องการจัดหาวัคซีนนั่นก็เรื่องหนึ่ง แต่เรื่องการบริหารจัดการผู้ป่วย ครอบครัว และลดระดับการติดเชื้อ การตรวจ การจัดการเตียง การจัดการระบบต่าง ๆ นี่ก็เรื่องหนึ่ง 

ในฐานะที่ผู้เขียนเองเป็นหนึ่งในกลุ่มอาสาสมัคร กลุ่มที่จัดทำโรงครัวเพื่อจัดทำอาหารปรุงสุกให้กับผู้ที่ประสบภัย และจัดหาของอุปโภคบริโภค ให้กับทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นชุมชนแออัด แคมป์คนงาน โรงพยาบาล โรงพยาบาลสนาม และอื่น ๆ อีกมากมาย เรากลับพบว่า ตลอด 80 กว่าวันที่ผ่านมา งานอาสาสมัครของเราไม่ลดน้อยลงเลย มีแต่จะเพิ่มขึ้น และขยายระดับความช่วยเหลือจากภารกิจหลักมากไปกว่าเดิมมาก 

จากที่ตอนแรกเป็นกลุ่มอาสาด่านหลัง เพื่อจัดส่งยุทโธปกรณ์ เสบียงให้คนด่านหน้า ณ ตอนนี้กลายเป็นว่าต้องขยายภารกิจไปช่วยประสานส่งต่อผู้ป่วยที่ติดต่อมาเอง ให้กับหน่วยงานหรือกลุ่มอาสาหาเตียง รวมไปถึงการประเมินและปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้กับผู้ป่วยที่รอเตียงและเข้าไม่ถึงระบบสาธารณสุข

“เรามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร?” เป็นคำถามที่สงสัย แต่การหาคำตอบในวันนี้คงไม่สำคัญไปกว่า ณ วันนี้เราทำอะไรกันอยู่? มีคนที่เสี่ยง เสียชีวิต และติดเชื้อมากขึ้นทุกวัน คำถามที่มีอยู่ในใจ หากวันนี้แก้ปัญหาตรงหน้ายังไม่ได้ ก็วางไปสักแปปนึง เพราะตอนนี้คงต้องลงแรงมาช่วยกันก่อน ช่วยอะไรได้ก็ต้องช่วยกันแล้ว เอาพลังทั้งหมดมาคิดหาวิธีที่เราจะผ่านวิกฤตนี้ไปด้วยกัน อย่างน้อยที่สุดต่อให้ไม่เหลืออะไรให้พึ่งพา เราก็ยังพึ่งพาตัวเองได้ แล้วคำถามทั้งหมด เราจะได้คำตอบเมื่อวิกฤตผ่านไป 

ขอให้ผู้อ่านทุกคนรอดพ้นจากวิกฤตนี้ไปด้วยกันค่ะ 


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

'ตำรวจน้ำ'​ กองบังคับการ​ 9​ ปฏิบัติการ!! ยึดยาไอซ์​ มูลค่า 650 ล้านบาท กลางทะเลอันดามัน

พล.ต.ท. ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบช.ก. เน้นย้ำมาตรการด้านยาเสพติด เข้มงวด ตรวจตรา ภัยต่อความมั่นคง ดำเนินการเด็ดขาด รวดเร็ว ขานรับแนวทาง พล.ต.ต. สมควร พึ่งทรัพย์ ผบก.รน. สั่ง ทุกหน่วยใน ตำรวจน้ำเข้มและจริงจัง 

สืบเนื่องจากเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ตำรวจน้ำกองกำกับการ 9  สถานีตำรวจน้ำสตูลได้ตรวจยึดยาไอซ์ พร้อมเฮโรอีน จำนวน 500 ล้านบาท และ ในเดือนกรกฎาคม สามารถทำการตรวจยึดและจับกุมตัวผู้ต้องหาพร้อมยาไอซ์ 30 กก. พร้อมเรือที่ใช้ลำเลียงอีก​ 1​ ลำ ถือเป็นการทำงานเข้มมาโดยตลอด

ต่อมา (20 สค.64 ) เวลาประมาณ​ 09.00 น. 
พันตำรวจเอก ธรากร เลิศพรเจริญ รอง ผบก . รน.​ อำนวยการร่วมกับ พ.ต.อ.จตุรวิทย์ คชน่วม ผกก.9 บก.รน.ได้สั่งการชุดสืบสวน กก.9 ตำรวจน้ำ นำโดย พ.ต.ท.บรรเจิด มานะเวช รอง ผกก. ฯ หัวหน้าชุด ว่าจะมีสิ่งของผิดกฎหมายประเภทยาเสพติด เข้ามาในพื้นที่ทะเล จ.ตรัง จัดเตรียมกำลัง ของ สถานีตำรวจนำ้ตรัง โดย พ.ต.ท. จักรพงษ์  มนัสชัย สว.สรน. 2 กก.9 ฯ ดำเนินการออกตรวจมาตลอด จนถึงวันเวลาดังกล่าวได้มีสายตรวจเคลื่อนที่เร็วทางน้ำ ได้แจ้งมาว่าพบยาเสพติดจำนวนดังกล่าวอยู่ในบริเวณพื้นที่กลางทะเลอันดามันใกล้เกาะรอกซึ่งอยู่ในพื้นที่ของจังหวัดตรัง จึงได้รีบออกไปยังที่เกิดเหตุห่างจากชายฝั่งประมาณ 40 ไมล์ทะเล (75 กม.)ชุดตรวจยึดจับกุมได้ไปถึงที่เกิดเหตุพบยาเสพติดจำนวนมากลอย กลางทะเล มีถังแกลลอนเป็นทุนลอยน้ำใช้สำหรับถ่วงยาเสพติด ตรวจยึดได้จำนวน 32 กระสอบ

โดย ท่านผู้ว่าราชการจังหวัด ตรัง นายขจรศักดิ์ เจริญโสภา​ กล่าวว่า​ ในเรื่องของการจับกุมยาเสพติดทางทะเลเป็นนโยบายของทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยทางกองบังคับการตำรวจน้ำกับนโยบายจังหวัดตรัง โดยครั้งนี้นำโดยกองกำกับการ 9 กองบังคับการตำรวจน้ำร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่บูรณาการด้านกำลังและข้อมูลข่าวสารในการจับกุม ติดตามกลุ่มผู้ค้ายาเสพติดโดยเฉพาะทางน้ำ

เนื่องจากปัจจุบันมีการขนส่งยาเสพติดในพื้นที่ทางทะเลจำนวนมากขึ้น โดยก่อนหน้านี้ทางตำรวจน้ำจังหวัดสตูลมีการจับกุมตรวจยึดยาเสพติด​ ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ค้ารายใหญ่ และอาจมีความเชื่อมโยงกับกลุ่มผู้ค้ายาเสพติดที่ได้ทำการตรวจยึดในจังหวัดตรังในครั้งนี้

สำหรับการตรวจยึดยาไอซ์ของกลางในวันที่ 20​ สิงหาคม 2564 เป็นการปฏิบัติการโดยการนำเรือตรวจการณ์ 525 ของตำรวจน้ำตรัง ลาดตระเวนในพื้นที่ทางทะเลพบยาไอซ์ผูกทุ่นลอยถ่วงน้ำอยู่กลางทะเลห่างจากจังหวัดตรังประมาณ 40 ไมล์ทะเลเพื่ออำพรางเจ้าหน้าที่ในการตรวจเจอได้ยากขึ้น ของกลางที่พบครั้งจำนวน 650 กิโล หากสามารถนำส่งปลายทางได้อาจมีมูลค่ากว่า​ 650 ล้านบาท​ ซึ่งถือว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศและต้องขอขอบคุณทางกองบังคับการตำรวจน้ำ​ ตลอดทั้งผู้บังคับบัญชาที่เป็นแกนหลักในการปราบปรามในครั้งนี้ซึ่งทางจังหวัดจะให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ในทุกด้านต่อไป

พ.ต.อ.จตุรวิทย์ คชน่วม กล่าวว่า จากแนวนโยบายของ พล.ต.ท.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และ พล.ต.ต. สมควร พึ่งทรัพย์​ ผบก.รน.ในเรื่องเกี่ยวกับยาเสพติด​ จึงได้มีการตั้งทีมชุดสืบสวน หาข่าวขึ้นประกอบกำลังกับชุดสืบสวนของตำรวจนำตรัง ได้ทำการประสานข้อมูล และส่งชุดสืบสวนดำเนินการออกติดตามมาซักระยะหนึ่งแล้ว ประกอบกับได้มีการทำแผนประทุษกรรม การข่าว และหาข้อมูลย้อนหลังว่า ช่วงเดือนนี้ในปีย้อนหลังมีการขน ยาเสพติดมาพักในพื้นที่ รับผิดชอบ ซึ่งรูปแบบในการลำเลียงนั้นจะแตกต่างกันในแต่ละพื้นที่จากการตรวจยึดครั้งนี้พบว่ายาเสพติดนั้นมีการถ่วงเอาไว้ในทะเล​ โดยใช้ทุ่นลอยเป็นถังน้ำมันเล็ก ซึ่งเราต้องอาศัยความชำนาญตลอดทั้งเครือข่ายภาคประชาชนในการแจ้งเบาะแสของยาเสพติดในพื้นที่​ ซึ่งในการจับกุมครั้งนี้อยู่ห่างขายฝั่งไกลมาก ใช้เวลาเดินทางไปและกลับประมาณ 6 ชั่วโมงประกอบกับช่วงนี้มีฝนตกจึงต้องรีบดำเนินการจัดเก็บและดำเนินการสืบค้นและหาตัวผู้กระทำความผิดต่อไป

ในการนี้​ พล.ต.ท. ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบช.ก. ได้เน้นย้ำถึงการปฎิบัติและจัดทำแผนประทุษกรรมเพื่อที่จะได้ เป็นแนวทางในการสืบสวนต่อไปให้ถึงตัวการใหญ่ที่ทำลายประเทศ พร้อมทั้งช่วยสนับสนุนในเรื่องงบประมาณในการดำเนินงาน ให้กับข้าราชการตำรวจในทุกสังกัดอย่างเต็มขีดความสามารถ​ เพื่อประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการทำงานพร้อมทั้งได้ประสานงานกับ กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติดเข้ามาดำเนินการต่อไป

สมาคมสื่ออาชญากรรม ส่งต่อกำลังใจ มอบข้าวกล่องปันอิ่ม สื่อภาคสนาม ช่วยบรรเทาวิกฤติโควิด

(20 ส.ค.64)​ ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล​(บช.น.) นายสมชาย จรรยา อุปนายก สมาคมผู้สื่อข่าวและช่างภาพอาชญากรรมแห่งประเทศไทย นำข้าวกล่องพร้อมทาน ส่งมอบแก่สื่อมวลชนภาคสนาม ประกอบด้วยสื่อวิทยุโทรทัศน์จากช่องต่างๆ สื่อสิ่งพิมพ์จากหนังสือพิมพ์ฉบับต่างๆ และสื่อออนไลน์จากสำนักข่าวต่างๆ ที่ปักหลักปฏิบัติหน้าที่รายงานข่าวอยู่ในกองบัญชาการตำรวจนครบาล ได้นำไปรับประทาน ในสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื่อไวรัสโควิด-19 

จากนั้นส่งมอบข้าวกล่องแก่สื่อมวลชนประจำสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจร ตำรวจสันติบาล ได้รับประทานในขณะปฏิบัติหน้าที่

วันเดียวกันได้นำส่ง มอบข้าวกล่องพร้อมทานแก่สื่อมวลชน ประจำกองบรรณาธิการ สถานีโทรทัศน์ NBT (ช่อง11) และกองบรรณาธิการ หนังสือพิมพ์ ข่าวสด 

นอกจากนี้ ยังส่งมอบข้าวกล่องแก่สื่อมวลชนที่ปฏิบัติหน้าที่รายงานข่าวที่สถานีตำรวจนครบาลดอนเมือง และอาสาสมัครหน่วยบรรเทาสาธารณภัย เหนือ 43-00 วัฒนะ01 ดอนเมือง นำแจกจ่ายแก่ประชาชนในชุมชนปิ่นเจริญ เขตดอนเมือง 

นายสมชาย จรรยา เปิดเผยว่า กิจกรรมนี้ เป็นความร่วมมือของ พันธมิตรจิตอาสา มูลนิธิสหชาติ สำนักข่าว News Online Thailand เวปไซต์ข่าวจั่นเจา Canchaonews.com หนังสือพิมพ์ดีดีโพสต์ นิวส์ และนักศึกษาหลักสูตรประกาศนียบัตรสิทธิมนุษยชนสำหรับนักบริหารระดับสูง รุ่น 1 (ปสม.1) สถาบันพระปกเกล้า

โดยสมาคมฯ ได้รับข้าวกล่องจากจุดส่งมอบอาหาร โลตัส สาขาบางกะปิ ภายใต้โครงการ "ครัวปันอิ่ม ร้อยเรียงใจสู้ภัยโควิด-19" โดยบริษัทในเครือซีพี จำนวน 300 ชุด 

เพื่อนำส่งมอบต่อผู้ที่ไดรับผลกระทบจากวิกฤติโควิด-19 ในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล เป็นการแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่าย…“คนไทยไม่ทิ้งกัน”

พลิกปูมชะตากรรมสยองของอดีตผู้นำอัฟกานิสถาน​ ในวันที่ตอลิบานเรืองอำนาจ

ความวุ่นวายในอัฟกานิสถานและการยึดประเทศของกลุ่มกองทัพตอลิบาน กลายเป็นข่าวใหญ่ที่ทั่วโลกกำลังจับตามองมากที่สุดในตอนนี้ และต่างตั้งคำถามว่าเพราะเหตุใดรัฐบาลอัฟกานิสถานถึงได้ล่มสลายอย่างรวดเร็วหลังสหรัฐอเมริกาได้ประกาศถอนทหารทั้งหมดภายในระยะเวลาแค่ 3 เดือน

หากถามความเห็นของทีมรัฐบาลอัฟกานิสถาน ก็ได้กล่าวโทษนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดี โจ ไบเดน ว่าตัดสินใจถอนทหารเร็วเกินไปจนขาดสเถียรภาพ ทำให้ฝ่ายตอลิบานได้โอกาสบุกยึดอย่างรวดเร็วเกินต้านทาน

แต่รัฐบาลสหรัฐฯ​ ก็ได้ออกแถลงการณ์ตอบโต้ว่า เป็นเพราะกองทัพของรัฐบาลอัฟกานิสถานไม่ยอมต่อสู้กับฝ่ายตอลิบานอย่างกล้าหาญเพื่อปกป้องประเทศ จนทำให้อัฟกานิสถานต้องมีวันนี้อีกครั้งหนึ่ง

ซึ่งหนีไม่พ้นความรับผิดชอบของประธานาธิบดี แอชราฟ กาห์นี ที่สละตำแหน่ง และหลบหนีออกนอกประเทศทันทีที่กองทัพตอลิบานบุกประชิดกรุงคาบูล และยังมีข่าวว่าได้ขนทรัพย์สินติดตัวไปเป็นจำนวนเกือบ 170 ล้านดอลลาร์ จนบางคนตราหน้าเขาว่าเป็นคนทรยศประเทศชาติ

ด้านประธานาธิบดี แอชราฟ กาห์นี ได้ออกมาให้สัมภาษณ์แล้วหลังจากที่เขาหลบหนีออกจากอัฟกานิสถานไปพักพิงชั่วคราวที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ได้แล้วอย่างปลอดภัยว่า เหตุผลที่เขาต้องออกนอกประเทศเพราะไม่ต้องการให้เกิดการนองเลือดในกรุงคาบูล ที่อาจทำให้อัฟกานิสถานมีชะตากรรมไม่ต่างจากซีเรีย หรือ เยเมน และก็เจ็บปวดเช่นกันที่ต้องหนีออกมา

และปฏิเสธอย่างหนักแน่นว่า ตัวเขาและครอบครัวไม่ได้ขนสมบัติมีค่าติดตัวอะไรมาเลย นอกจากเสื้อผ้าส่วนตัวไม่กี่ชิ้นเท่านั้น สามารถเช็กข้อมูลได้ที่เจ้าหน้าศุลกากรได้เลย

ส่วนกระแสที่พูดถึงในโซเชียลต่างประเทศ ก็แตกเป็น 2 ฝ่าย คือฝ่ายที่มองว่าอดีตประธานาธิบดีกาห์นีเป็นคนขลาดเขลาและทรยศที่ไม่ยืนหยัดปกป้องประชาชนของตนในวันกรุงแตก

แต่ฝ่ายที่เห็นใจผู้นำกาห์นีก็มีไม่น้อย และมองว่าท่านทำดีที่สุดแล้วในสถานการณ์เช่นนี้ และหากแอชราฟ กาห์นี ไม่เดินทางออกนอกประเทศในวันนั้น อาจมีชะตากรรมไม่ต่างจากอดีตประธานาธิบดีคนเก่าของอัฟกานิสถาน ในวันเสียกรุงคาบูลครั้งที่ 1 ให้กับกลุ่มตอลิบานในปี 1996 ก็เป็นได้

อดีตผู้นำอาภัพของอัฟกานิสถานที่มีการหยิบขึ้นมาพูดถึงก็คือ โมฮัมเหม็ด นาจิบูลลาห์ ผู้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีอัฟกานิสถานในช่วงปี 1986 - 1992

ประวัติส่วนตัวของอดีตผู้นำ โมฮัมเหม็ด นาจิบูลลาห์ มีเชื้อสายชาวปัชตุน หรือในปากีสถานเรียกกว่า 'ปาทาน'​ เกิดในการ์เดซ ทางภาคตะวันออกของอัฟกานิสถาน

ก่อนหน้าที่นาจิบูลลาห์จะเข้ามามีตำแหน่งทางการเมือง เขาเรียนจบด้านศัลยแพทย์ ที่มหาวิทยาลัยคาบูล ที่ต่อมาคนอัฟกันเรียกติดเขาติดปากว่า 'ด็อกเตอร์ นาจิบ'​ แต่พอจบมา กลับไม่เคยได้ใช้มีดผ่าตัดเลยสักครั้ง แต่มุ่งหน้าเข้าสู่เส้นทางการเมือง และเข้าร่วมกับพรรคประชาธิปไตยประชาชนอัฟกานิสถาน (PDPA) ที่มีแนวคิดตามอุดมการณ์สังคมนิยมมาร์กซิส และได้รับการสนับสนุนจากสหภาพโซเวียต

เบื้องหลังการเมืองในอัฟกานิสถานในยุคนั้นก็มีความร้อนแรงไม่แพ้ยุคปัจจุบันเลยทีเดียว เมื่อมีกระแสการเมืองกดดันให้โค่นอำนาจของ พระเจ้าโมฮัมหมัด ซาเฮียร์ ชาห์ กษัตริย์แห่งอัฟกานิสถาน เพื่อเปลี่ยนระบอบการปกครองให้เป็นสาธารณรัฐ

ต่อมาพรรค PDPA ก็ได้สนับสนุน โมฮัมเหม็ด ดาวูด ข่าน ที่เป็นหนึ่งในเชื้อพระวงศ์เช่นกันให้ยึดอำนาจของ พระเจ้า โมฮัมหมัด ซาเฮียร์ ชาห์ ในปี 1973 และได้สถาปนาเป็นสาธารณรัฐอัฟกานิสถานในปีนั้นเอง โดยได้ โมฮัมเหม็ด ดาวูด ข่าน เป็นประธานาธิบดีคนแรก

แม้จะเป็นการปฏิวัติที่ไม่เสียเลือดเนื้อ แต่การเมืองในอัฟกานิสถานก็ยังไม่สงบลงแม้แต่น้อย เพราะต่อมา ประธานาธิบดี โมฮัมเหม็ด ดาวูด ข่าน ก็เริ่มมีใจออกห่างสหภาพโซเวียต ไปเป็นพันธมิตรกับประเทศที่นิยมเสรีตะวันตกรวยน้ำมัน อย่าง ซาอุดีอาระเบีย และ อิหร่าน (ในสมัยที่ยังอยู่ภายใต้ระบอบราชาธิปไตย)

พรรค PDPA ก็ไม่อาจอยู่เฉยได้ จึงทำการปฏิวัติยึดอำนาจจากประธานาธิบดีดาวูด ข่าน ที่เรียกว่า การปฏิวัติเซาร์ ในปี 1978 ซึ่งครั้งนี้ไม่นุ่มนวลเหมือนครั้งที่ผ่านมา เกิดการปะทะกันระหว่าง 2 ฝ่ายอย่างรุนแรงจนมีผู้เสียชีวิตหลายพันคน รวมถึงตัวประธานาธิบดี โมฮัมเหม็ด ดาวูด ข่าน ก็ถูกสังหารโหดหลังการยึดอำนาจสำเร็จเพียงแค่ข้ามวัน และนำศพไปฝังรวมที่นอกประตูเมืองคาบูลอย่างไร้เกียรติ

ด้านพรรค PDPA ก็เดินหน้าปฏิรูปให้อัฟกานิสถานเป็นประเทศสังคมนิยมเต็มตัว แต่ไม่นานนักก็มีกลุ่มนักรบใต้ดินติดอาวุธกลุ่มใหม่ที่ชื่อว่า มูจาฮีดีน ที่จัดตั้งกองกำลังฝึกรบในปากีสถานและจีน แต่ได้ทุนสนับสนุนมหาศาลจากซาอุดิอารเบีย และสหรัฐอเมริกา มีเป้าหมายเพื่อโค่นล้มรัฐบาลพรรค PDPA และเปลี่ยนอัฟกานิสถานให้เป็นระบอบประชาธิปไตยตามแบบแผนของโลกเสรีตะวันตก

ก็เข้าสูตรสงครามเย็น ที่มีอัฟกานิสถานเป็นตัวแทนสงครามเต็มรูปแบบ โซเวียตได้ส่งกองกำลังเข้าแทรกแซง และหนุนหลังรัฐบาลของ PDPA อย่างเต็มที่ และกลายเป็นสงครามโซเวียต-อัฟกานิสถาน ที่กินเวลาเกือบสิบปี (1979 - 1989)

และช่วงเวลานั้น โซเวียตก็ได้ผลักดันให้ โมฮัมเหม็ด นาจิบูลลาห์ หรือ ด็อกเตอร์ นาจิบ ของเราขึ้นมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีในช่วงเวลาที่บ้านเมืองเต็มไปด้วยไฟสงครามกลางเมืองจนได้

แต่หลังจากที่ลงทุนรบกับกลุ่มมูจาฮิดีนมาเกือบ 10 ปีโดยที่ไม่ได้อะไร โซเวียตก็ยอมรับความจริง ตัดสินใจยุติสงครามและถอนทหารออกในปี 1989 ทิ้งไว้แต่รัฐบาลของด็อกเตอร์ นาจิบ รับมือกับกองทัพมูจาฮิดีน ท่อน้ำเลี้ยงหนาเพียงลำพัง และยิ่งโดดเดี่ยวหนักขึ้นไปอีกเมื่อสหภาพโซเวียตล่มสลายในปี 1991

และสุดท้ายก็ต้านทานไม่ไหว กลุ่มมูจาฮิดีนยึดตีเมืองไปจนเกือบหมด ทำให้รัฐบาลของด็อกเตอร์ นาจิบ แพแตก บีบให้ประธานาธิบดี โมฮัมเหม็ด นาจิบูลลาห์ ประกาศลาออกในวันที่ 16 เมษายน 1992 และนับเป็นประธานาธิบดีฝ่ายคอมมิวนิสต์คนสุดท้ายของอัฟกานิสถาน

หลังจากที่ลาออกจากตำแหน่งแล้ว อดีตประธานาธิบดีนาจิบูลลาห์ ย้ายเข้าไปหลบภัยในอาคารสำนักงาน UN ในคาบูล และพยายามที่จะหลบหนีไปอินเดีย ที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับ นาจิบูลลาห์ แต่แผนการถูกขัดขวางทุกครั้ง เพราะฝ่ายกองทัพหวังจะใช้เขาเป็นเครื่องมือต่อรองทางการเมือง

และถึงแม้ว่าโซเวียตจะถอยไปแล้ว แต่สถานการณ์ในอัฟกานิสถานก็ยังคงลุกโชนด้วยไฟสงครามราวเป็นดินแดนต้องคำสาป รัฐบาลชุดใหม่ที่จับมือกับกลุ่มมูจาฮีดินก็หันหน้ามารบแย่งอำนาจกันเอง และกลายเป็นสงครามตัวแทนระหว่าง ซาอุดีอาระเบีย และอิหร่าน  กลุ่มนักรบมูจาฮิดีนที่เคยเข้มแข็งก็อ่อนแอลงอย่างมาก แต่กลับมีกองกำลังกลุ่มใหม่เข้ามาแทนที่นั่นก็คือ 'ตอลิบาน'

กลุ่มตอลิบานก่อตั้งโดยหมอสอนศาสนาในหมู่บ้านคนหนึ่งชื่อว่า โมฮัมเหม็ด โอมาร์ มีเชื้อสายปัชตุน เช่นกัน เกิดในเมืองกานดาฮาร์ ทางตอนใต้ของประเทศ ครอบครัวของโอมาร์ล้วนเป็นครูสอนศาสนาที่เคร่งมาก ต่อมา โมฮัมเหม็ด โอมาร์ก็เข้าร่วมฝึกรบกับกองกำลังมูจาฮีดีน เพื่อต่อสู้กับโซเวียต

แต่หลังจากที่ล้มรัฐบาลของด็อกเตอร์ นาจิบ ที่ถูกมองว่าเป็นหุ่นเชิดของโซเวียตได้ และกลุ่มมูจาฮิดีน กำลังวุ่นวายกับการแย่งอำนาจกันเองภายใน โมฮัมเหม็ด โอมาร์ ก็แยกวงออกมาตั้งกองกำลังของตัวเอง เรียกว่ากลุ่มตอลิบาน​ ในปี 1994 โดยเริ่มต้นจากการฝึกนักเรียนศาสนาในหมู่บ้านให้เป็นนักรบ

แล้วก็ขยายกองกำลังไปยังปากีสถาน รวบรวมแนวร่วมนักรบใต้ดินมูจาฮีดีนเดิมมาเป็นพวก จึงเริ่มบุกยึดเมืองต่าง ๆ ในอัฟกานิสถาน และใช้เวลาเพียง 2 ปี กองทัพตอลิบานก็ยาตราสู่กรุงคาบูลในปี 1996

หลังจากที่ตีกรุงคาบูลแตกแล้ว นักรบตอลิบานก็บุกเข้าไปในหน่วยงาน UN ที่อดีตประธานาธิบดี โมฮัมเหม็ด นาจิบูลลาห์ ลี้ภัยอยู่ แล้วก็ลากตัวเขา และน้องชาย ออกมาทุบตีอย่างโหดเหี้ยมจนตาย และนำร่างไร้วิญญาณของพวกเขาผูกติดท้ายรถจี๊ป ลากวนรอบเมือง ก่อนนำศพของทั้งคู่ไปแขวนประจานที่เสาไฟจราจรหน้าทำเนียบรัฐบาล และไม่อนุญาตให้นำศพไปประกอบพิธีทางศาสนาอีกด้วย

ภาพการลงทัณฑ์ประหารอดีตผู้นำอัฟกานิสถานอย่างป่าเถื่อนของกลุ่มตอลิบาน ถูกประณามอย่างหนักจากทั่วโลก และเป็นเหมือนสัญลักษณ์การเริ่มต้นเข้าสู่ยุคมืดของอัฟกานิสถานภายใต้การปกครองของตอลิบาน โดยใช้กฏหมายศาสนาสุดโต่งที่ตีความโดยกลุ่มตอลิบานปกครองบ้านเมือง จนกระทั่งการมาถึงของกองทัพสหรัฐฯ ในปี 2001 หลังเหตุการณ์ 9/11 นั่นเอง

ดังนั้น ชาวอัฟกันจำนวนไม่น้อยที่คิดว่าการหลบหนีออกนอกประเทศของประธานาธิบดี แอชราฟ กาห์นี เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เพราะคงไม่มีใครอยากเจอชะตากรรมสยองอย่างอดีตผู้นำ โมฮัมเหม็ด นาจิบูลลาห์ หรือ ด็อกเตอร์ นาจิบ และไม่มีอะไรรับประกันได้เลยว่าประวัติศาสตร์แห่งยุคมืดในสมัยกลุ่มตอลิบานเรืองอำนาจจะไม่ซ้ำรอยเดิมอีกครั้ง

อ้างอิง : Indian Express / Al jazeera / Wikipedia

ผู้เขียน : ยีนส์ อรุณรัตน์

โซเชียลโต้!! ส.ส. ปชป. ตัดงบศึกษาบุหรี่ไฟฟ้า​ พร้อมชี้!! นโยบายแบนบุหรี่ไฟฟ้าล้มเหลว ยิ่งแบนยิ่งเพิ่มปัญหาของเถื่อนและคอรัปชั่น

ลิดรอน​ 'เสรี'​ (สุข)​ ภาพ...โซเชียลโต้!! ส.ส. ปชป. ตัดงบศึกษาบุหรี่ไฟฟ้า​ พร้อมชี้!! นโยบายแบนบุหรี่ไฟฟ้าล้มเหลว ยิ่งแบนยิ่งเพิ่มปัญหาของเถื่อนและคอรัปชั่น

นายสาริษฏ์ สิทธิเสรีชน เจ้าของเฟซบุ๊ก 'มนุษย์ควัน'​ กล่าวถึงกรณีที่นายพิสิฐ ลี้อาธรรม ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ เสนอให้ตัดงบกระทรวงการคลังลง 5% ในระหว่างอภิปรายร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 โดยให้เหตุผลว่าไม่มีความจะเป็นต้องนำไปศึกษาเรื่องบุหรี่ไฟฟ้า ว่า... 

“น่าผิดหวังมากที่ ส.ส. ของพรรคประชาธิปัตย์ไม่ให้ความสำคัญกับการใช้หลักฐานทางวิทยาศาสตร์​ มากำหนดนโยบายที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพและความเป็นความตายของผู้สูบบุหรี่ในประเทศที่มีจำนวนเกือบ 10 ล้านคน แม้กระทั่งการจะตั้งงบเพื่อศึกษาหาทางแก้ปัญหาและเก็บภาษีก็ยังขัดขวาง ทั้งๆ ที่มีการลักลอบนำเข้า จำหน่าย และใช้บุหรี่ไฟฟ้ากันเกลื่อนเมือง​ รวมทั้งในรัฐสภา แทนที่ ส.ส. จะหาทางสนับสนุนให้ศึกษาหาแนวทางแก้ปัญหา กลับเสนอตัดงบซึ่งถือเป็นการปิดกั้นและลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชนในการเข้าถึงทางเลือกที่อันตรายน้อยกว่าบุหรี่ เพราะขนาดวัคซีนเรายังต้องขอมีทางเลือกเพื่อสุขภาพของเรา แต่พอเป็นบุหรี่ไฟฟ้ากลับถูกกีดกันทุกวิถีทาง”

“การแบนบุหรี่ไฟฟ้าของไทยตอนนี้ ตรงกันข้ามกับประเทศที่พัฒนาแล้วหลายๆ ประเทศ อาทิ สหรัฐอเมริกา, อังกฤษ, สหภาพยุโรป หรือนิวซีแลนด์ ที่ควบคุมผลิตภัณฑ์ทางเลือกทั้งบุหรี่ไฟฟ้าและผลิตภัณฑ์แบบให้ความร้อนอย่างถูกกฎหมายหลังจากที่ได้ศึกษาผลการวิจัยแล้วว่าทั้งบุหรี่ไฟฟ้า และยาสูบแบบไม่เผาไหม้ช่วยลดความเสี่ยงให้กับผู้สูบบุหรี่ ในสหรัฐอเมริกา องค์การอาหารและยา (US FDA) อนุญาตให้ขายยาสูบไร้ควันและยังให้สื่อสารกับผู้สูบบุหรี่ได้ด้วยว่าการเปลี่ยนมาใช้ยาสูบแบบไม่เผาไหม้ช่วยลดการช่วยลดการได้รับสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อร่างกายได้ ขณะที่เม็กซิโก และอุรุกวัยที่เพิ่งจะออกกฎหมายปลดล็อคยาสูบแบบไม่เผาไหม้ก็เป็นผลมาจากการศึกษาผลวิจัย หรือกรณีของสาธารณสุขอังกฤษและนิวซีแลนด์ก็สนับสนุนให้ผู้สูบบุหรี่หันมาใช้บุหรี่ไฟฟ้าทดแทน”

“การให้ข้อมูลของ ส.ส. พิสิฐ ลี้อาธรรมนั้นไม่ถูกต้อง มีการใช้ข้อมูลที่บิดเบือนหลายด้าน​ โดยไม่มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงให้ครบถ้วนถูกต้อง สร้างความเข้าใจผิดและความสับสนให้กับประชาชนทั้งประเทศ ทำไม ส.ส. พิสิฐ ถึงไม่บอกด้วยว่า ตอนนี้มีกว่า 79 ประเทศทั่วโลกมีกฎหมายควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าให้ถูกต้องตามกฎหมาย และอีก 84 ประเทศทั่วโลกที่ไม่ได้แบนบุหรี่ไฟฟ้า มีเพียง 32 ประเทศที่ยังดำเนินนโยบายสุดโต่งเช่นเดียวกับไทย ตัวอย่างของประเทศเหล่านั้น​ คือ กัมพูชา, ลาว, ศรีลังกา, เอธิโอเปีย และเกาหลีเหนือ และตัวเลขนี้ยังไม่ร่วมประเทศที่เพิ่งปลดแบนผลิตภัณฑ์ยาสูบแบบใหม่ในปีนี้ คือ เม็กซิโก, อุรุกวัย และล่าสุดคือ ฟิลิปปินส์ เป็นต้น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในระหว่างวันที่ 8-13 พฤศจิกายน นี้จะมีการประชุมสมัชชารัฐภาคีกรอบอนุสัญญาว่าด้วยการควบคุมยาสูบขององค์การอนามัยโลก ครั้งที่ 9 ซึ่งจุดยืนขององค์การอนามัยโลกและประเทศไทย ยังคงสวนทางกับหน่วยงานสาธารณสุขชั้นนำใน สหรัฐอเมริกา, อังกฤษ, ยุโรป, นิวซีแลนด์ และอีกกว่า 70 ประเทศทั่วโลกที่ต่างสนับสนุนให้ควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าให้ถูกต้องตามกฎหมายและให้ประชาชนใช้เป็นทางเลือกในการเลิกสูบบุหรี่เนื่องจากมีสารพิษที่เป็นอันตรายน้อยกว่า

“คำสั่งแบนผลิตภัณฑ์ทางเลือก เช่น บุหรี่ไฟฟ้า และยาสูบแบบให้ความร้อน ตลอด 7 ปีที่ผ่านมาล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง เพราะเราก็ยังเห็นคนใช้กันอยู่ทั่วไป กลายเป็นการส่งเสริมตลาดซื้อขายผิดกฎหมายที่มีมูลค่ามากกว่า 6,000 ล้านบาทและเปิดช่องให้เจ้าหน้าที่ทุจริต ปล่อยปะละเลยให้มีการขายใต้ดิน หรือจับกุมรีดไถผู้ใช้ เท่ากับว่าเราแก้ปัญหาการสูบบุหรี่ที่ทำให้คนตายปีละ 8 หมื่นคนไม่ได้และยังสร้างปัญหาใหม่จากการแบนอีกด้วย การที่พรรคประชาธิปัตย์มีนโยบายปิดกั้นการศึกษาข้อมูลเช่นนี้คงทำให้ประชาชนเห็นแล้วว่าพรรคประชาธิปัตย์มีจุยืนเช่นไร ซึ่งก็เป็นปัจจัยในการตัดสินใจในการเลือกตั้งครั้งต่อไปด้วยเช่นกัน” นายสาริษฎร์กล่าวทิ้งท้าย

เมื่อแม่น้ำ “อุมโงท” เสน่ห์วารีแห่งแดนภารตะ​ (รัฐเมฆาลัย)​ อาจสูญสลาย!! เพราะ​ 'เขื่อน'​

แม้ว่าจะย้ายกลับมาอยู่ประเทศไทยหลายปีแล้ว แต่ผมก็ยังคงติดตามข่าวสารเกี่ยวกับอินเดียอยู่เสมอด้วยความสนใจ หรืออาจจะเป็นเพราะหลงมนต์เสน่ห์แดนภารตะเข้าไปแล้วอย่างจังก็เป็นได้ 

โดยล่าสุดผมเพิ่งได้อ่านข่าวจากนิตยสาร Northeast Today ฉบับประจำเดือนพฤษภาคม 2564 ก็เลยได้ทราบว่ารัฐบาลแห่งรัฐเมฆาลัยมีโครงการที่จะสร้างเขื่อนกั้นแม่น้ำอุมโงท (Umngot River) เพื่อจะผลิตกระแสไฟฟ้าระดับ 210 เมกกะวัตต์ เพื่อให้รัฐเมฆาลัยมีกระแสไฟฟ้าเพียงพอ อ่านข่าวแล้วก็รู้สึกตกใจเพราะแม่น้ำสายนี้เป็นแหล่งท่องเที่ยวและแหล่งรายได้สำคัญของประชาชนในหมู่บ้านต่าง ๆ ที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำ เนื่องจากน้ำในแม่น้ำสายนี้มีเอกลักษณ์โดดเด่นไม่เหมือนแม่น้ำไหน ๆ นั่นคือมีความใสสะอาดเหมือนแก้วเจียระไน บางคนก็บอกว่าใสเหมือนคริสตัล สามารถมองทะลุเห็นพื้นด้านล่างของแม่น้ำเลย ยิ่งถ้ามองมาจากริมฝั่งหรือที่สูงก็จะเห็นเรือในแม่น้ำที่เหมือนลอยอยู่ในอากาศเลยทีเดียว

แต่เท่าที่ทราบตอนนี้มีชาวบ้านจาก 12 หมู่บ้านที่อยู่ริมฝั่งแม่น้ำในแถบเทือกเขาเจนเทียตะวันออก (East Jaintia Hills) ก็ออกมาประท้วงขอให้รัฐบาลแห่งรัฐเมฆาลัยยกเลิกโครงการก่อสร้างเขื่อนเพราะชาวบ้านเชื่อว่าถ้าหากสร้างเขื่อนกั้นแม่น้ำนี้แล้วจะทำให้แม่น้ำอุมโงท (Umngot) แสนสวย และมีชื่อเสียงโด่งดังนี้ถูกทำลาย และในที่สุดก็จะไม่มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าไปท่องเที่ยวอีกต่อไป และท้ายที่สุดรายได้จากการท่องเที่ยวที่ชาวบ้านเหล่านี้เคยได้รับและเป็นแหล่งรายได้สำคัญก็จะหายไปด้วย และคนที่เดือดร้อนที่สุดก็คือ ชาวบ้านที่อาศัยอยู่บริเวณริมแม่น้ำนั่นเอง

ที่ชาวบ้านต้องออกมาโวยวายและต่อต้านก็เพราะพวกเขามองว่ารัฐบาลแห่งรัฐไม่เคยมารับฟังความคิดเห็นของชาวบ้าน แถมสื่อกระแสหลักในประเทศอินเดียก็ไม่ได้ให้ความสนใจที่จะลงข่าวหรือช่วยเป็นกระบอกเสียงให้ชาวบ้านเลย ตอนนี้ที่ทำได้ก็แค่ออกมารวมตัวประท้วงรัฐบาลแห่งรัฐกันเท่านั้นเอง ในขณะที่ Meghalaya Energy Corporation Limited (MeECL) เจ้าของโครงการก็ออกมาชี้แจงว่าโครงการสร้างเขื่อนนี้ก็เพื่อที่จะลดช่องว่างระหว่างดีมานด์กับซัพพลายของกระแสไฟฟ้าในรัฐ หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ ต้องการทำให้ความต้องการกระแสไฟฟ้ากับปริมาณกระแสไฟฟ้าไม่มีช่องว่างมากเกินไปหรือมีสมดุลมากขึ้น 

นอกจากนี้ก็ยังมีเป้าหมายที่จะทำให้สัดส่วนระหว่างปริมาณกระแสไฟฟ้าที่ได้จากพลังน้ำมีความสมดุลกับปริมาณกระแสไฟฟ้าที่ได้มาจากพลังงานความร้อนและถ่านหิน แถมยังบอกอีกว่าชาวบ้านจะได้รับประโยชน์ทางอ้อมอย่างมากจากโครงการนี้ซึ่งจะเป็นการช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตทั้งทางด้านสังคมและเศรษฐกิจ ด้วยการมอบเงินชดเชยให้และมีแผนในการย้ายถิ่นที่อยู่พร้อมแผนฟื้นฟูคุณภาพชีวิตให้กับชาวบ้านด้วย

แต่ถ้ามาฟังทางฝั่งชาวบ้านแล้วก็น่าเห็นใจ เพราะแน่นอนว่าแหล่งท่องเที่ยวที่มหัศจรรย์นี้จะต้องสูญหายไปพร้อมกับรายได้หลักที่ได้จากการท่องเที่ยว แต่ที่ชาวบ้านหวั่นวิตกกังวลมากกว่าก็คือจะมีพื้นที่ที่เป็นที่อยู่อาศัยและพื้นที่เพาะปลูกบางส่วนจมอยู่ใต้น้ำจากโครงการสร้างเขื่อนนี้ และที่สำคัญก็คือ ชาวบ้านรู้สึกว่าภาครัฐไม่เคยให้ความสำคัญที่จะรับฟังความคิดเห็นและความต้องการของชาวบ้าน รวมทั้งไม่เคยเหลียวแล และไม่เคยใยดีกับผลกระทบเชิงลบต่อวิถีชีวิตประจำวันของชาวบ้านที่จะเกิดขึ้น 

แต่ประเด็นขัดแย้งนี้คงยังไม่จบง่าย ๆ เพราะว่าในปัจจุบันนี้ เราคงยังหาจุดสมดุลระหว่าง “การพัฒนา” กับ “ความสำคัญของสิ่งแวดล้อม” ไม่ได้ลงตัว แต่โดยส่วนตัวในฐานะนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบอินเดียก็ไม่อยากให้ “การพัฒนา” ไปทำลาย “สิ่งแวดล้อม” ที่สวยงามและโดดเด่นอย่างแม่น้ำอุมโงทที่จะหาแม่น้ำอื่นใดในโลกนี้มาเทียบได้

ผมลุกขึ้นมาเขียนเรื่องนี้ด้วยความเป็นห่วงและเสียดายแม่น้ำแสนสวยสายนี้จริง ๆ เพราะจุดเริ่มต้นของความสนใจใน “รัฐเมฆาลัย” ของผมก็เริ่มมาจากที่ได้เห็นรูปแม่น้ำอุมโงทนี่แหละ แถมมาเห็นเอาเมื่อตอนย้ายกลับมาอยู่ประเทศไทยแล้วอีกต่างหาก ทำให้ต้องดั้นด้นเดินทางจากประเทศไทยไปเยือนแม่น้ำสายนี้และกว่าจะได้ชมโฉมก็ต้องไปถึงสองครั้งเพราะครั้งแรกผมเดินทางไปในช่วงปลายฤดูฝน โดยผู้นำทางบอกว่าฤดูฝนไม่เหมาะสำหรับการไปล่องเรือในแม่น้ำอุมโงท เพราะฝนจะชะดินจากริมฝั่งลงไปในแม่น้ำทำให้น้ำขุ่น เพราะฉะนั้นการเดินทางไปรอบแรกก็เลยไม่ได้ไปเยือนแม่น้ำสายนี้ ก็เลยต้องกลับไปอีกรอบหนึ่งในช่วงฤดูหนาวประมาณปลายปี ซึ่งนอกจากจะไม่มีฝนแล้วแถมอากาศยังเย็นสบายอีกด้วย และการเดินทางไปรอบที่สองก็สมใจ ได้ชื่นชมแม่น้ำแสนสวยสายนี้แบบเต็มอิ่มด้วยการใช้บริการเรือพายของชาวบ้านที่มีให้บริการอยู่ริมแม่น้ำ ได้เห็นน้ำที่ใสเหมือนแก้วด้วยตาตัวเองและได้สัมผัสด้วยมือตัวเองระหว่างที่อยู่บนเรือพายด้วย

สำหรับ “รัฐเมฆาลัย” เป็นรัฐหนึ่งในรัฐเจ็ดสาวน้อยและหนึ่งน้องชาย (Seven Sisters States and One Brother State) ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศอินเดีย เขตแดนทางตะวันออกและทางเหนือมีอาณาเขตติดต่อกับรัฐอัสสัม และมีชายแดนติดต่อกับประเทศบังกลาเทศในทางทิศใต้และทิศตะวันตก โดยรัฐเมฆาลัยมีพื้นที่ทั้งหมด 22,429 ตารางกิโลเมตร โดยมีเทือกเขากาสีเป็นเทือกเขาแบ่งเขตแดนจากทางตอนกลางไปจนถึงทางตะวันออกของรัฐ ลาดเอียงสู่หุบเขาพรหมบุตรทางตอนเหนือ ส่วนทางตอนใต้เป็นที่ราบติดกับประเทศบังกลาเทศ ทั้งนี้ ความหมายของคำว่า “เมฆาลัย” ก็คือ “บ้านของเมฆ” นั่นเอง เพราะพื้นที่ของรัฐเมฆาลัยจะเป็นเขตพื้นที่ภูเขาสูงเกือบทั้งหมด

การเดินทางก็ไม่ลำบากเท่าไหร่ ปกติผมจะบินไปลงที่เมืองกอลกัตตา เมืองหลวงของรัฐเบงกอลตะวันตกใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง แล้วต่อเครื่องบินไปลงที่เมืองกูวาฮาติ เมืองหลวงของรัฐอัสสัม หลังจากนั้นก็นั่งรถต่อไปจนถึงเมืองชิลลอง เมืองหลวงของรัฐเมฆาลัย ใช้เวลานั่งรถประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่งก็ถึงแล้ว พักที่เมืองชิลลองหนึ่งคืนแล้วค่อยเดินทางต่อไปเมืองดอกี (Dawki) เพื่อไปเยี่ยมชมแม่น้ำอุมโงท ก็ใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมงเพราะสภาพถนนยังไม่ดีมากทำให้รถวิ่งได้ช้า แต่เมื่อถึงจุดหมายปลายทางและได้เห็นน้ำใส ๆ ในแม่น้ำอุมโงทแล้วก็หายเหนื่อย

ก็หวังว่าเมื่อหมดโควิด-19 แล้ว แม่น้ำอุมโงทแสนสวยจะยังคงอยู่รอให้นักท่องเที่ยวคนไทยได้มีโอกาสไปเยือนและชื่นชมความงดงามอยู่ตลอดไปนะครับ


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

โรเบิร์ต สเติร์นเบิร์ก นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน ได้พัฒนาทฤษฎีความรัก 3 องค์ประกอบ ซึ่งได้แก่ ความใกล้ชิด ความหลงใหล และการผูกมัด จากองค์ประกอบนี้สามารถแยกความรักได้เป็น 7 รูปแบบ

เคยสงสัยกันบ้างไหมคะ ว่าแท้จริงแล้วความรักในชีวิตคนเรามีกี่รูปแบบ สามารถอธิบาย แบ่งแยกได้จากอะไร ผู้เขียนมีโอกาสได้ศึกษาและอ่านบทความที่น่าสนใจ อธิบายถึงนิยามความรัก 7 รูปแบบตามหลักจิตวิทยา 

หากถามว่า รักคืออะไร? แน่นอนว่านักปรัชญาและนักวิทยาศาสตร์พยายามตอบคำถามนี้มาเป็นเวลาหลายปี ในช่วงปี 1986 โรเบิร์ต สเติร์นเบิร์ก นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน ได้พัฒนาทฤษฎีความรัก 3 องค์ประกอบ หรือที่ตั้งชื่อว่า ‘สามเหลี่ยมความรัก’ (triangular theory of love) ซึ่งได้แก่ ความใกล้ชิด ความหลงใหล และการผูกมัด จากองค์ประกอบนี้เอง สเติร์นเบิร์ก ได้แยกความรักออกเป็น 7 รูปแบบ คือ

1. ความหลงใหล 

ช่วงนี้นั้นเป็นช่วงที่ผู้คนแทบไม่รู้จักกัน แต่รู้สึกถึงแรงดึงดูดซึ่งกันและกัน ในความสัมพันธ์นี้คนสองคนมักไม่มีความคิดที่ว่าทั้งคู่มีอะไรเหมือนหรือต่างกัน แต่พวกเขาก็ยังคงอยู่ด้วยกัน

2. ความชอบ

ในความสัมพันธ์นี้ คุณสามารถเป็นตัวของตัวเองได้ตลอดเวลา ความรักประเภทนี้ ผู้คนมักจะอยู่ด้วยกันเพราะมีความสนใจร่วมกัน มีมุมมองเกี่ยวกับชีวิตและความรู้สึกเข้าใจกัน นักจิตวิทยาเชื่อว่าความใกล้ชิดที่ปราศจากความหลงใหลและการผูกมัดจะส่งผลให้เกิดมิตรภาพมากกว่าความรักที่เต็มเปี่ยม

3. รักที่ว่างเปล่า

ความรักประเภทนี้มีเพียงการผูกมัด โดยปราศจากความใกล้ชิดและความหลงใหล บางครั้งความสัมพันธ์ประเภทนี้จะเกิดขึ้นหลังจากความรักที่ยิ่งใหญ่และเร่าร้อน หรือที่เรียกว่า ‘จุดอิ่มตัว’ คนที่พบกับความรักที่ว่างเปล่าสามารถเปลี่ยนแปลงได้ คือเพิ่มความหลงใหลให้กับความรู้สึกของพวกเขา

4. รักสายฟ้าแลบ

ความรักประเภทนี้ประกอบด้วยการผูกมัดและความหลงใหล เป็นที่คุ้นเคยสำหรับคู่รักหลาย ๆ คู่ นี่คือความรักที่เกิดขึ้นเมื่อคน 2 คนดึงดูดซึ่งกันและกันจริง ๆ และพร้อมที่จะทำตามประเพณีบางอย่าง เช่น การแต่งงาน การแลกเปลี่ยนคำปฏิญาณ และการแบ่งปันหน้าที่ในบ้าน แต่ไม่มีความใกล้ชิดสนิทสนมที่แท้จริง

5. ความรักโรแมนติก

ความรักประเภทนี้ประกอบด้วยความหลงใหลและความใกล้ชิด คู่รักรูปแบบนี้ดึงดูดซึ่งกันและกัน และรู้สึกสบายใจที่จะอยู่ข้าง ๆ กัน แต่พวกเขายังไม่พร้อมที่จะให้คำมั่นสัญญาที่จริงจัง ความสัมพันธ์ประเภทนี้มักจะไปไม่ถึงระดับของการอยู่ร่วมกันหรือการแต่งงาน

6. ความรักแบบมิตรภาพ

ความรักแบบเพื่อนประกอบด้วยการผูกมัดและความใกล้ชิด ความสัมพันธ์ดังกล่าวแน่นแฟ้นกว่ามิตรภาพทั่วไปมากและมีความผูกพันที่แท้จริง เป็นข้อตกลงที่ค่อนข้างบริสุทธิ์ เพราะความรักประเภทนี้ขาดความหลงใหล นักจิตวิทยากล่าวว่าความสัมพันธ์แบบคู่หูสามารถเกิดขึ้นได้หลังจากรู้จักหรือแต่งงานกันมานานหลายปี

7. ความรักที่สมบูรณ์

ความรักนี้มีองค์ประกอบครบทั้ง 3 คือ ความหลงใหล ความใกล้ชิด และการผูกมัด ในความเป็นจริงแทบจะไม่เห็นความสัมพันธ์ประเภทนี้ แต่ถ้าผู้คนสามารถสร้างความสัมพันธ์นี้ได้ แสดงว่าพวกเขารักกันอย่างแท้จริง คู่รักเหล่านี้มักจะมีชีวิตที่ยืนยาวด้วยกันและมีความสุขกับชีวิตแต่งงาน

บางครั้งการจัดประเภทความรัก อาจจะช่วยให้คุณมองรูปแบบความสัมพันธ์ที่เป็นอยู่ออกออก และเรียนรู้วิธีที่จะรับมือกับมัน แล้วคุณผู้อ่านเคยพบเจอกับความรักรูปแบบไหนกันมาบ้าง หรือมุ่งหวังให้ความสัมพันธ์ของคุณกับคู่เป็นไปในรูปแบบใด ลองมาแลกเปลี่ยนกันได้นะคะ สุดท้ายนี้ขอให้ทุกคนพบเจอความรักที่พอดีกับตัวเองค่ะ

เขียนโดย: เพลิน ภารวี สุภามาลา Content Editor THE STUDY TIMES


ข้อมูลอ้างอิง: https://brightside.me/inspiration-relationships/psychologists-defined-7-types-of-love-and-only-few-people-experience-the-last-one-603360/


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top