Sunday, 18 May 2025
SPECIAL

กาฬสินธุ์ยอดติดเชื้อโควิดคลัสเตอร์สองสามีภรรยา-ร้านอาหารยังพุ่ง

ยอดผู้ติดเชื้อคลัสเตอร์สองสามีภรรยาและร้านอาหารกึ่งผับในตลาดโรงสี เขตเทศบาลเมืองกาฬสินธุ์ยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ล่าสุดพบติดเชื้อเพิ่มอีก 38 ราย และลามไปยังงานแสดงดนตรีหาดแสงจันทร์ อำเภอสหัสขันธ์อีก 12 ราย ขณะที่ผลตรวจสายพันธุ์เบื้องต้นผู้ติดเชื้อก่อนหน้านี้ทั้ง 66 ราย ส่วนใหญ่สามารถเข้าได้กับสายพันธุ์โอมิครอน พร้อมรอผลยืนยัน 100 เปอร์เซ็นต์อย่างเป็นทางการจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์

(26 ธ.ค. 2564) ศูนย์อำนวยการต้านโควิด-19 จ.กาฬสินธุ์ รายงานสถานการณ์ผู้ติดเชื้อล่าสุด พบมีผู้ป่วยรายใหม่  57 ราย ซึ่งในจำนวนนี้เป็นคลัสเตอร์เชื่อมโยงกับสองสามีภรรยากลับจากต่างประเทศและตลาดโรงสี เขตเทศบาลเมืองกาฬสินธุ์ 38 ราย และคลัสเตอร์งานแสดงดนตรีหาดแสงจันทร์ อ.สหัสขันธ์ 12 ราย หลังผู้ติดเชื้อเชื่อมโยงกับตลาดโรงสีไปร่วมงาน ส่วนที่เหลือพบในพื้นที่ อ.ยางตลาด อ.นามน และ อ.ท่าคันโท ทำให้ยอดผู้ติดเชื้อสะสมอยู่ที่ 10,510 ราย หายป่วยแล้ว 10,227 ราย กำลังรักษา 210 ราย และมีผู้เสียชีวิตสะสมอยู่ที่ 73 รายเท่าเดิม



ทั้งนี้ทางศูนย์อำนวยการฯ ยังได้ประกาศประชาสัมพันธ์สื่อสารความเสี่ยงเพิ่มเติม จากเดิมขอให้ผู้ที่ไปใช้บริการที่ร้านอาหารสวิกบาร์ ร้านอาหารคิกคาปู้ตลาดโรงสี ในวันที่ 12 ธันวาคม 2564 , สำนักงานที่ดิน จ.กาฬสินธุ์ และสำนักงานบังคับคดี จ.กาฬสินธุ์ ในวันที่ 13 ธันวาคม 2564,  ธนาคารกสิกรไทย สาขาบิ๊กซี กาฬสินธุ์ และสำนักงานบังคับคดี ในวันที่ 15 ธันวาคม 2564 ให้เข้ารับการตรวจหาเชื้อแล้ว ล่าสุดยังประชาสัมพันธ์ไปถึงผู้ที่ไปใช้บริการร้านอาหารพารวย ระหว่างวันที่ 12-22 ธันวาคม 2564  และผู้ที่ไปร่วมงานแสดงดนตรีหาดแสงจันทร์ อ.สหัสขันธ์ ระหว่างวันที่ 17-19 ธันวาคม 2564 รายงานตัวกับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่รพ.สต.หรือสถานพยาบาลใกล้บ้าน เพื่อประเมินความเสี่ยงและตรวจหาเชื้อ หลังพบพนักงานของร้านอาหารพารวยไปใช้บริการร้านอาหารในตลาดโรงสีแล้วติดเชื้อโควิดกว่า 10 คน  และมีผู้ติดเชื้อโควิดเชื่อมโยงกับร้านอาหารในตลาดโรงสีไปร่วมงานแสดงดนตรีจนมีผู้ติดเชื้อในงานนี้แล้ว 12 ราย


จิตที่คิด...จะให้ สบายกว่าจิตที่คิด...จะเอา

จิตที่คิด...จะให้
สบายกว่าจิตที่คิด...จะเอา

- คำสอน หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ -

‘Metaverse’ เทคโนโลยีที่ทำให้ความฝัน...กลายเป็นจริง!! 

เมื่อไม่นานมานี้หลาย ๆ ท่านคงได้ยินคำศัพท์ที่เป็นกระแสฮิตในโลกโซเชียลมีเดีย นั่นก็คือคำว่า “Metaverse” (เมตาเวิร์ส) กันครับ สำหรับวันนี้จะพาทุกท่านมาพบกับเรื่องราวของ Metaverse ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่สามารถสร้างเรื่องราวต่าง ๆ จากความฝันหรือจินตนาการให้กลายเป็นจริงได้ 

เทคโนโลยี Metaverse คือแนวคิดในการสร้างสภาพแวดล้อมของโลกแห่งความจริงและเทคโนโลยีเสมือนจริงเข้าด้วยกัน จนผสมผสานกลายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน กลายเป็นชุมชนแห่งโลกเสมือนจริง ที่สามารถสร้างวัตถุรอบตัวและสภาพแวดล้อมที่มีอยู่จริงให้เชื่อมต่อกันเป็นหนึ่งเดียวกับสภาพแวดล้อมเสมือนจริงที่สร้างขึ้นมา จนทำให้เหมือนว่าเราได้ออกไปใช้ชีวิตร่วมกับบุคคลหรือสิ่งแวดล้อมภายนอก และสร้างกิจกรรมร่วมกัน เช่น การเดินทางไปยังสถานที่ที่เราไม่คิดว่าจะได้มีโอกาสไป ได้แก่ เดินทางท่องเที่ยวอวกาศ การอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เป็นจินตนาการ หรือการดูคอนเสิร์ต เป็นต้น 

โดยลักษณะความรู้สึกจะเสมือนกับว่าเราอยู่ในสถานที่แห่งนั้นจริง ๆ แต่ในความเป็นจริงแล้ว เราอาจกำลังทำกิจกรรมทั้งหมดอยู่ภายในบ้านของตัวเอง ทั้งนี้ ถ้าใครเคยเข้าไปดูหนัง 4 มิติในโรงหนังขนาดใหญ่ก็อาจจะเคยได้สัมผัสเทคโนโลยี Metaverse กันบ้างแล้ว นั่นคือในขณะที่เรากำลังนั่งดูหนังอยู่ในโรงหนัง ลักษณะความรู้สึกจะเหมือนกับเราเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์นั้นจริง ๆ

คำว่า Metaverse มีที่มาจากนวนิยายในแนว Sci-Fi เรื่อง “Snow Crash” ซึ่งลักษณะเนื้อหาของนิยายจะเป็นการพูดถึงโลกอีกใบหนึ่ง ที่ให้ผู้คนได้เข้ามามีกิจกรรม หรือปฏิสัมพันธ์ร่วมกับผู้อื่นผ่านการจำลองเป็นตัวละครต่าง ๆ (Avatar) เมื่อเทคโนโลยีด้านต่าง ๆ มีการพัฒนามากขึ้น โดยเฉพาะเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตที่มีการพัฒนาขึ้นมาเรื่อย ๆ ตามแต่ละยุค จนถึงปัจจุบันเป็นยุค 5G ก็ได้มีการพัฒนารายละเอียดเทคโนโลยี Metaverse เพิ่มขึ้นมาด้วย

นวนิยายเรื่อง “Snow Crash”

ขอบเขตของ Metaverse จึงไม่ได้จำกัดอยู่แค่โลก หรือจักรวาลแห่งหนึ่ง แต่เป็นอะไรก็ได้ ที่เกิดจากเทคโนโลยีและช่วยเชื่อมต่อผู้คนให้สามารถสื่อสารและทำกิจกรรมกันได้ โดยคำว่า Metaverse เป็นที่รู้จักกันมากยิ่งขึ้นหลังจาก “มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก” ซีอีโอและผู้ร่วมก่อตั้ง Facebook ประกาศเปลี่ยนชื่อบริษัทใหม่เป็น “Meta” โดยมุ่งเน้นไปในเรื่องโลกดิจิทัล ที่ผู้คนสามารถโต้ตอบและใช้พื้นที่เสมือนจริงร่วมกันได้ ทำให้เทคโนโลยี Metaverse เป็นที่น่าสนใจมากขึ้น 

ผบ.ตร. ตรวจเยี่ยม “ศูนย์บริหารงานป้องกันปราบปราม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปป.ตร.)” สุดทันสมัย เทคโนโลยี 5G - เชื่อมโยงข้อมูล Real Time – บริหารเหตุวิกฤต!!

วันที่ 25 ธันวาคม 2564 พล.ต.ต.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2564 ที่ผ่านมา พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้ไปตรวจเยี่ยม “ศูนย์บริหารงานป้องกันปราบปราม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปป.ตร.)” ซึ่งตั้งอยู่ที่ ชั้น 7 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ฯ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้ให้คำแนะนำในการปฏิบัติหน้าที่และการนำเทคโนโลยีส่วนขยายมาใช้ในการปฏิบัติงานป้องกันปราบปรามให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด อันจะเป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชน มีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ลดปริมาณคดีอาชญากรรม โดยมี พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็น ผู้อำนวยการ ศปป.ตร.

“ศูนย์บริหารงานป้องกันปราบปราม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปป.ตร.)” จัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นศูนย์ "ควบคุมและบริหารงาน" ป้องกันปราบปรามของสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ "ทันกับสถานการณ์" มีการจัดเก็บรวบรวมข้อมูล สถิติ เพื่อนำไปวิเคราะห์และพัฒนางานป้องกันปราบปราม ตลอดจนเป็นศูนย์กลางในการ "เฝ้าติดตาม" การปฏิบัติหน้าที่ด้านการป้องกันปราบปราม สามารถ "เชื่อมต่อสัญญาณภาพสด" ในขณะปฏิบัติหน้าที่ จาก "กล้องประจำตัวเจ้าหน้าที่สายตรวจ" / "กล้องติดรถยนต์สายตรวจ" จากเจ้าหน้าที่ตำรวจทั่วประเทศ รวมถึง "กล้อง CCTV" 

ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ติดตั้งไว้ใน "หัวเมืองสำคัญ" พื้นที่แหล่งท่องเที่ยว รวมถึงจุดล่อแหลมต่าง ๆ ทั่วประเทศ มายัง ศปป.ตร. สามารถเฝ้าระวังเหตุและ "บริหาร จุดตรวจ จุดสกัด ไม่ให้ซ้ำซ้อน" และปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และหากเกิด "เหตุวิกฤต" ด้านอาชญากรรม ศปป.ตร. สามารถ "ยกระดับ" การปฏิบัติเพื่อเป็นเครื่องมือในการบริหารสถานการณ์ให้กับผู้บังคับบัญชาระดับสูงของสำนักงานตำรวจแห่งชาติสามารถ "บริหารจัดการแก้ไขเหตุวิกฤต" นั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ

โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยังกล่าวอีกว่า พล.ต.อ.สุวัฒน์ฯ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้มาสังเกตการณ์ พร้อมให้คำแนะนำเพิ่มเติมเรื่องการปฏิบัติและ "นำเทคโนโลยีส่วนขยาย" มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงานและยังได้รับชมการสาธิตการปฏิบัติระหว่าง ศปป.ตร. กับเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ปฏิบัติการจริง โดยใช้ยุทธวิธีตำรวจสายป้องกันปราบปรามที่ได้รับการฝึกมาแล้ว

 

ตร.เตือน!! ‘การยิงปืนขึ้นฟ้า’ เป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับความเดือดร้อน มีโทษตามกฎหมาย ตำรวจพร้อมดำเนินคดีขั้นเด็ดขาด!!

ตามที่ปรากฏข่าวผ่านสื่อมวลชนและสื่อสังคมออนไลน์ กรณีการสูญเสียชีวิตจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของบุคคล หรือกลุ่มบุคคลที่ชอบยิงปืนขึ้นฟ้าเฉลิมฉลองเทศกาลต่าง ๆ ด้วยความคึกคะนอง ซึ่งในบางเหตุการณ์ก่อให้เกิดการสูญเสียของชีวิตและทรัพย์สิน นั้น

พ.ต.อ.ศิริวัฒน์  ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า จากเหตุการณ์ดังกล่าว สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขอประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนไปยังพี่น้องประชาชน โดยเฉพาะในช่วงของเทศกาลปีใหม่ ประจำปี 2565 ที่ทุกครอบครัวต่างพากันเฉลิมฉลองเพื่อส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ มักจะมีเหตุการณ์การยิงปืนขึ้นฟ้า อาจจะเป็นเพราะความเชื่อส่วนบุคคลที่คิดว่าเป็นการขับไล่สิ่งที่ไม่ดี หรือเคราะห์กรรมต่าง ๆ เพื่อเป็นการเปิดรับโชคลาภเงินทอง

เป็นการกระทำที่ขาดการยั้งคิดยั้งทำ เพราะกระสุนปืนที่ยิงออกไปนั้นจะไปหล่นใส่บุคคลให้ได้รับอันตรายบางรายถึงขั้นเสียชีวิต หรือหล่นใส่หลังคาบ้านเรือนประชาชนจนได้รับความเสียหายซึ่งถือว่าเป็นความผิด และมีโทษตามกฎหมาย เจ้าหน้าที่ตำรวจจะจับกุมและดำเนินการตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด

 

ปทุมธานี - ตำรวจปทุมธานี ปล่อยแถวระดมกวาดล้างอาชญากรรม ช่วงเทศกาลปีใหม่ 2565

ลานเดินห้างสรรพสินค้าโลตัสรังสิต ตำบลประชาธิปัตย์ อำเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี พล.ต.ท.จิรพัฒน์ ภูมิจิตร ผบช.ภ.1 นายณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร ผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี ได้มาเป็นประธานปล่อยแถวระดมกวาดล้างอาชญากรรมช่วงเทศกาลปีใหม่ 2565 โดยมีพล.ต.ต.ชุมพล ชาญชนะโยธิน ผบก.ภ.จว.ปทุมธานี นำหัวหน้าสถานี.ทุกสภ.ที่สังกัดในจังปทุมธานี เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง เจ้าหน้าที่อาสาสมัครภาคประชาชน อาสาสมัครมูลนิธิ รวม 280 นาย เข้าร่วม

นายณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร ผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี กล่าวว่า ด้วยเทศกาลหยุดยาวปีใหม่ 2565 ซึ่งพี่น้องประชาชนจะเดินทางกลับบ้านต่างจังหวัดกันเป็นจำนวนมาก และจะมีกิจกรรมฉลองปีใหม่ซึ่งในระหว่างนั้นก็อาจจะมีการกระทำผิดกฎหมาย และขอขอบคุณทุกท่านที่เสียสละมาระดมปล่อยแถมกวาดล้างอาชญากรรมในวันนี้ โดยเฉพาะตำรวจภูธรจังหวัดปทุมธานี ที่ได้จัดการปล่อยแถวระดมกวาดล้างอาชญากรรมในครั้งนี้ขึ้น

ซึ่งได้มีฝ่ายทหาร ตำรวจ เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง เจ้าหน้าที่อาสาสมัครภาคประชาชน อาสาสมัครมูลนิธิ ซึ่งอยากนำเรียนท่านผบช.ภ.1 ว่าในจังหวัดปทุมธานีของเราได้กำหนดการดูแลความมั่นคงของพี่น้องประชาชนไว้จำนวน 4 ข้อ

1. นโยบายของรัฐบาลและนโยบายของสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ได้สั่งการทางจังหวัดปทุมธานีจะทำตามอย่างเคร่งครัด

2. ปัญหายาเสพติดให้โทษที่ก่อให้เกิดปัญหาต่อพี่น้องประชาชนซึ่งจังหวัดปทุมธานีเป็นอีกจุดหมายหนึ่งที่ยาเสพจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาพักและจำหน่าย และส่งต่อไปนั้น พื้นที่อื่นตำรวจภูธรจังหวัดปทุมธานีก็มีการกวาดล้างกันอย่างต่อเนื่อง 

วีรกรรม!! เรือ PT-109 ของเรือโท ‘John F. Kennedy’ ประธานาธิบดีคนที่ 35 แห่งสหรัฐฯ

ประธานาธิบดีสหรัฐฯ จำนวน 46 คน จนถึงประธานาธิบดี “Joe Biden” ผ่านการเป็นทหารถึง 33 คน เข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 1 12 คน และ 8 คนร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่ 2 สังกัดกองทัพเรือ 6 นาย (John F. Kennedy, Lyndon B. Johnson, Richard Nixon, Gerald Ford, Jimmy Carter และ George H. W. Bush) และกองทัพบก 2 นาย (Dwight D. Eisenhower และ Ronald Reagan)

เรือโท “Kennedy”

ประธานาธิบดี “Kennedy” ไม่สามารถผ่านการฝึกในโรงเรียนนายทหารของกองทัพบก ด้วยปัญหาด้านสุขภาพ (จากอาการปวดหลังส่วนล่างเรื้อรัง) วันที่ 24 กันยายน 1941 ด้วยความช่วยเหลือของนาวาเอก Allan Goodrich Kirk ผู้อำนวยการสำนักงานข่าวกรอง กองทัพเรือ (the Office of Naval Intelligence : ONI) และผู้ซึ่งเป็นทูตทหารเรือในขณะที่ “Joseph Kennedy” บิดาของประธานาธิบดี “Kennedy” เป็นเอกอัครรัฐทูตสหรัฐอเมริกาประจำสหราชอาณาจักร โดยแพทย์เอกชนได้รับรองสุขภาพของประธานาธิบดี “Kennedy” ว่า มีสุขภาพปกติดี จนสามารถเข้าร่วมกองกำลังสำรอง สังกัดกองทัพเรือ โดยได้รับการบรรจุเป็นเรือตรีเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 1941

Inga Arvad นักข่าวสาวชาวเดนมาร์ก ผู้ที่เป็นข่าวกับประธานาธิบดี “Kennedy”

งานในกองทัพเรือของประธานาธิบดี “Kennedy” เริ่มต้นขึ้นในเดือนตุลาคมปี 1941 เป็นเรือตรีทำงานนั่งโต๊ะในสำนักงานข่าวกรอง กองทัพเรือ ฐานทัพเรือ Pearl Harbor และต่อมาถูกย้ายไปยัง South Carolina เดือนมกราคม 1943 เพราะข่าวความสัมพันธ์กับนักข่าวสาวชาวเดนมาร์ก Inga Arvad ในวันที่ 27 กรกฎาคม 1942 เรือตรี “Kennedy” เข้ารับการฝึกที่โรงเรียนนายทหารกำลังสำรอง กองทัพเรือ ในนครชิคาโก

หลังจากเสร็จสิ้นการฝึกในวันที่ 27 กันยายน เรือตรี “Kennedy” เข้ารับการฝึกต่อที่ศูนย์ฝึกกองเรือยนต์ตอร์ปิโด (PT) ในเมือง Melville มลรัฐ Rhode Island ซึ่งเขาได้รับการเลื่อนยศให้เป็นเรือโท หลังจากเมื่อเดือนกันยายน 1942 “Joseph Kennedy” ผู้เป็นบิดาได้พบกับ (อย่างไม่เปิดเผย) นาวาตรี “John Bulkeley” (อดีตผบ.หมู่เรือยนต์ตอร์ปิโดที่ 3 ผู้พาพลเอก Douglas MacArthur และครอบครัวออกจากเกาะ Corregidor ไปยังมินดาเนา) ผบ.กองเรือยนต์ตอร์ปิโด ที่โรงแรมพลาซ่า นครนิวยอร์ก เพื่อขอให้ช่วยเรือโท “Kennedy” ได้เป็นผบ.เรือ PT  

เรือ PT  

อย่างไรก็ตามนาวาโท “Bulkeley” กล่าวว่า จะไม่เสนอเรือโท “Kennedy” ให้ได้เข้ารับการฝึกกับเรือ PT หากไม่มั่นใจว่า เรือโท “Kennedy” มีคุณสมบัติที่จะเป็นผบ. PT ในการสัมภาษณ์เรือโท “Kennedy” นาวาตรี “Bulkeley” รู้สึกประทับใจใน รูปร่าง หน้าตา ทักษะการสื่อสาร ผลการเรียนที่ Harvard และรางวัลที่ได้รับจากการแข่งขันเรือเล็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะที่สมาชิกทีมเรือใบของ Harvard การอ้างเกินจริงของนาวาตรี “Bulkeley” เกี่ยวกับศักยภาพของเรือ PT ในการสู้รบกับเรือขนาดใหญ่ ทำให้เขาสามารถรับสมัครผู้มีความสามารถระดับสูง และสามารถยกระดับพันธบัตรสงคราม และสร้างความมั่นใจในหมู่ผู้บัญชาการกองเรือที่ยังเห็นด้วยกับการใช้เรือ PT สู้รบกับเรือรบที่มีขนาดใหญ่กว่า 

แต่ในหมู่นายทหารจำนวนมากของกองทัพเรือต่างก็รู้ความจริงที่นาวาตรี “Bulkeley” อ้างว่า เรือ PT สามารถจมเรือลาดตระเวน เรือลำเลียงพล และยิงเครื่องบินรบของญี่ปุ่นตกในฟิลิปปินส์นั้นไม่เป็นความจริง เมื่อเรือโท “Kennedy” จบการฝึกกับเรือ PT ในมลรัฐ Rhode Island วันที่ 2 ธันวาคม ด้วยคะแนนที่สูงมาก และถูกขอร้องเป็นครูฝึกเป็นเวลาช่วงสั้น ๆ จากนั้นเขาได้รับคำสั่งให้ฝึกหมู่เรือตอร์ปิโดที่ 4 เพื่อบังคับการเรือ PT-101 ขนาด 78 ฟุต

มกราคม 1943 เรือ PT-101 พร้อมกับเรือ PT อีก 4 ลำ ได้รับคำสั่งให้ไปสังกัดหมู่เรือยนต์ตอร์ปิโดที่ 14 (RON 14) ซึ่งได้รับมอบหมายให้ลาดตระเวนในคลองปานามา เรือ PT-101 แยกตัวออกจาก RON 14 ในเดือนกุมภาพันธ์ 1943 ในขณะที่หมู่เรือยนต์ตอร์ปิโดที่ 14 กำลังประจำอยู่เมือง Jacksonville มลรัฐ Florida เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการย้ายไปยังเขตคลองปานามา ด้วยความตั้งใจของเขาเอง เรือโท “Kennedy” จึงติดต่อขอให้เพื่อน ครอบครัว และเพื่อนสนิทของ “David I. Walsh” วุฒิสมาชิกแห่งมลรัฐ Massachusetts ประธานคณะกรรมการกิจการทหารเรือ ช่วยจัดการเปลี่ยนคำสั่งการมอบภารกิจให้เขาจากไปปานามา เป็นส่งเขาไปประจำเรือ PT ในหมู่เกาะโซโลมอนแทน และคำขอ "เปลี่ยนคำสั่งมอบหมาย" ถูกส่งไปยังหมู่เรือในแปซิฟิกใต้ การกระทำของเรือโท “Kennedy” ขัดกับความปรารถนาของบิดาที่ต้องการให้เขาประจำการในที่ปลอดภัย แต่แสดงให้เห็นถึงความเป็นตัวของตัวเองของเรือโท “Kennedy” และความกล้าหาญอันเยี่ยมยอดของเขา

เรือ USS Rochambeau

เรือโท “Kennedy” ถูกย้ายเมื่อ 23 กุมภาพันธ์ 1943 ในฐานะนายทหารสังกัดหมู่เรือยนต์ตอร์ปิโดที่ 2 ซึ่งอยู่ที่เกาะ Tulagi ในหมู่เกาะโซโลมอน ระหว่างเดินทางในมหาสมุทรแปซิฟิกบน เรือลำเลียง USS Rochambeau ก็เจอการโจมตีทางอากาศอย่างรุนแรง กระทั่งผบ.เรือ USS Rochambeau และเรือโท “Kennedy” ต้องช่วยส่งกระสุนปืนให้กับปืนใหญ่ประจำเรือ อันเป็นประสบการณ์การรบครั้งแรกของเขา ถึงเกาะ Tulagi ในวันที่ 14 เมษายน และบังคับการเรือ PT-109 เมื่อ 23 เมษายน จำเป็นต้องมีการซ่อมบำรุงเรืออย่างหนัก และเรือโท “Kennedy” สั่งการให้ลูกเรือซ่อมเรือให้ใช้การได้ 30 พฤษภาคม หมู่เรือ PT รวมทั้งเรือ PT-109 ได้รับคำสั่งให้ไปยังหมู่เกาะ Russel เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการบุกเขต New Georgia-Rendova

หลังจากเข้ายึดเกาะ Rendova แล้ว หมู่เรือ PT ก็ถูกย้ายให้ขึ้นไปทางเหนือ ไปประจำยังสถานีเรือ Rendova ในวันที่ 16 มิถุนายน สถานีเรือ Rendova ที่จัดตั้งขึ้นเต็มไปด้วยโรคภัยที่ไม่พึงประสงค์ เช่น มาลาเรีย, โรคไข้เลือดออก, โรคบิด และโรคเท้าช้าง ทหารเรือประจำการอยู่ที่นั่นยังบ่นในเรื่อง แมลงสาบ, หนู, โรคเกี่ยวกับเท้า, เชื้อราในหู และการขาดสารอาหารที่ไม่รุนแรงจากการทานอาหารซ้ำซากจำเจ และอาหารกระป๋องจากบันทึกกองทัพเรือของเรือโท “Kennedy” หลังจากกลับไปยังสหรัฐฯ เรือโท “Kennedy” ได้รับความทุกข์ทรมานจากโรคมาลาเรีย, ลำไส้ใหญ่, และอาการปวดหลังเรื้อรังทั้งหมดที่เกิดระหว่างประสบการณ์รบของเขา หรือกำเริบในระหว่างประจำการอยู่ที่สถานีเรือ Rendova

จากสถานีเรือ Rendova อยู่ทางตอนเหนือสุดของเกาะ Rendova บนพื้นที่เล็ก ๆ ที่รู้จักกันในชื่อ Lumbari เรือ PT ปฏิบัติการอย่างกล้าหาญ และเสี่ยงอันตรายทุกค่ำคืน ทั้งการรบกวนการแล่นไปมาของเรือรบญี่ปุ่นขนาดใหญ่ส่งกำลังบำรุงให้แก่ญี่ปุ่นในเขต New Georgia-Rendova และลาดตระเวนในช่องแคบ Ferguson และ Blackett เพื่อตรวจการณ์ และแจ้งเตือนเมื่อเรือรบ Tokyo Express (ฉายาของเรือส่งกำลังบำรุงญี่ปุ่นที่ฝ่ายสัมพันธมิตรตั้ง) ของญี่ปุ่น ที่เข้ามาในช่องแคบ เพื่อส่งกำลังบำรุงกองทัพญี่ปุ่นในเขต New Georgia-Rendova

1 สิงหาคม เครื่องบินทิ้งระเบิดญี่ปุ่น 18 ลำ ได้เข้าโจมตีสถานีเรือ Rendova ทำลายเรือ PT-117 และ PT-164 จนจมลง ตอร์ปิโดสองลูกยิงออกเองจากเรือ PT-164 และวิ่งไปรอบ ๆ อ่าวจนกระทั่งพุ่งขึ้นฝั่งบนชายหาดโดยไม่ระเบิดแต่อย่างใด

ลูกเรือของเรือ PT-109

ลูกเรือในภารกิจสุดท้ายของเรือ PT-109 ได้แก่ ผบ.เรือ เรือโท “John F. Kennedy”, ต้นเรือ เรือตรี “Leonard J. Thom”, ต้นหน เรือตรี George H. R. "Barney" Ross, พลปืน พลฯ ระดับสอง Raymond Albert, พลปืน พลฯ ระดับสาม Charles A. "Bucky" Harris, ผู้ช่วยช่างเครื่อง พลฯ ระดับสอง William Johnston, พลปืน พลฯ ระดับสอง ผู้ช่วยพลตอร์ปิโด “Andrew Jackson Kirksey” (เสียชีวิตระหว่างชน), พลวิทยุ พลฯ ระดับสอง John E. Maguire, ผู้ช่วยช่างเครื่อง พลฯ ระดับสอง Harold William Marney (เสียชีวิตระหว่างชน), ผู้ช่วยเจ้าหน้าที่พลาธิการ/จุมโพ่ พลฯ ระดับสาม Edman Edgar Mauer, ช่างเครื่อง พลฯ ระดับหนึ่ง Patrick H. "Pappy" McMahon, ผู้ช่วยพลตอร์ปิโด พลฯ ระดับสอง Ray L. Starkey และ ผู้ช่วยช่างเครื่อง พลฯ ระดับหนึ่ง Gerard E. Zinser, (ผู้รอดชีวิตคนสุดท้ายของเรือ PT-109 เสียชีวิตเมื่อปี 2001)

ปลายเดือนกรกฎาคม 1943 รายงานข่าวกรองได้รับและถอดรหัสโดยเจ้าหน้าที่ทหารเรือที่สถานีเรือ Rendova ของเกาะ Tulagi ได้ความว่า เรือรบญี่ปุ่น 5 ลำมีแผนจะปฏิบัติการในคืนวันที่ 1-2 สิงหาคม โดยเรือพิฆาตญี่ปุ่นจะแล่นจากเกาะ Bougainville ของโซโลมอนผ่านช่องแคบ Blackett เพื่อนำส่งเสบียงและทหารไปที่กองทหารญี่ปุ่นในพื้นที่เพาะปลูก Vila บนปลายส่วนใต้ของเกาะ เกาะ Kolombangara การถอดรหัสที่ซับซ้อนของกองทัพเรือญี่ปุ่นช่วยให้สัมพันธมิตรได้รับชัยชนะในการรบที่ Midway เมื่อ 10 เดือนก่อน และเทคโนโลยีเดียวกันนี้ถูกใช้เพื่อถอดรหัส และรายงานเรื่องเรือพิฆาตญี่ปุ่นที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในวันที่ 1-2 สิงหาคม แม้จะสูญเสียเรือ 2 ลำและลูกเรือ 2 นายจากการโจมตีทางอากาศของญี่ปุ่น แต่ผบ.เรือ PT-109 และเรือลำอื่น ๆ อีก 14 ลำ ได้หารือกับนาวาโท Thomas G. Warfield เกี่ยวกับรายละเอียดของภารกิจ Ferguson Passage การรบที่เกิดขึ้นจะเป็นการรบด้วยเรือ PT ครั้งใหญ่ที่สุดในสงคราม และผลลัพธ์จะทำให้การใช้ PT ไม่เหมาะกับการรบกับเรือพิฆาตญี่ปุ่นในอนาคต

ความล้มเหลวในการยิงตอร์ปิโดจากเรือ PT วันที่ 1 สิงหาคม เรือ PT 15 ลำ ออกจากสถานีเรือ Rendova เวลาประมาณ 18.30 น. ตามคำสั่งที่เคร่งครัดของนาวาโท Thomas Warfield แบ่งเรือ PT เป็น 4 ชุด ชุดละ 4 ลำ ชุด "B" ประกอบด้วยเรือ PT-109, PT-162, PT-159 และ PT-157 ถูกส่งไปประจำด้านตะวันตกเฉียงเหนือของสถานี ระยะทางเกือบครึ่งทางไปชายฝั่งตะวันตกของเกาะ Kolombongara และประมาณ 6 ไมล์ (9.7 กม.) ทางทิศตะวันตก เรือส่วนใหญ่มาถึงสถานีในเวลา 20.30 น. เรือ PT 15 ลำ แต่ละลำติดท่อตอร์ปิโด 4 ท่อ ตอร์ปิโดแบบ Mark 8 รวม 60 ลูก ราวครึ่งหนึ่งถูกยิงใส่เรือพิฆาตญี่ปุ่นซึ่งมีเครื่องบินทะเลคุ้มกัน รายงานอย่างเป็นทางการของกองทัพเรือระบุถึงการระเบิดของตอร์ปิโด 5-6 ลูกเมื่อกระทบเป้าคือเรือพิฆาต แต่ในความเป็นจริงไม่มีตอร์ปิโดทำงานเลย ตอร์ปิโด 24 ลูกถูกยิงจากเรือ PT 8 ลำ ไม่มีลูกไหนเลยที่ระเบิดเมื่อกระทบเรือพิฆาต แม้ว่าเรือ PT แต่ละลำจะได้รับมอบหมายให้ประจำตำแหน่งที่น่าจะสกัดเรือพิฆาตได้ แต่หลายลำไม่มีเรดาร์แล่นไปในหมอกและความมืดอย่างไร้จุดหมาย โดยไม่สามารถระบุตำแหน่งเรือรบข้าศึกได้เลย

เรือเอก Brantingham ผบ.เรือ PT-159 หัวหน้าชุด "B" และแล่นอยู่ใกล้เรือ PT-109 เห็นเรดาร์ระบุว่า เรือพิฆาตญี่ปุ่นมุ่งไปทางใต้ เมื่อมาถึงที่จุดดังกล่าวได้ยิงตอร์ปิโดในระยะราวหนึ่งไมล์ ในขณะที่อยู่ในตำแหน่งนำ แต่ไม่ได้วิทยุแจ้งเรือ PT-109 ที่แล่นตาม ปล่อยให้เรือ PT-109 แล่นต่อในความมืด ซ้ำตอร์ปิโดที่ยิงจากเรือ PT-109 ของเรือเอก Brantingham ทุกลูกพลาดเป้า และตัวท่อตอร์ปิโดเกิดไฟไหม้ขนาดเล็ก ซึ่งเรือโท Liebenow ในชุดเดียวกันต้องนำเรือ PT-157 สลับตำแหน่งด้านหน้าบังแสงไฟไหม้ของเรือ PT-159 เรือ PT-157 ยิงตอร์ปิโดอีกสองลูกซึ่งก็พลาดเป้าหมายเช่นกัน จากนั้นเรือทั้งสองก็ปล่อยควันจากเครื่องกำเนิดควันและแล่นแบบซิกแซ็กเพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจจับจากเรือพิฆาต เมื่อพบการปรากฏของเรือพิฆาตญี่ปุ่น และสัญญาณวิทยุจากเรือ PT-109 หรือเรือลำอื่นในชุดปฏิบัติการก็มุ่งหน้าไปทางตะวันตกไปยังเกาะกิโซและห่างออกไปจากทั้งเรือพิฆาตญี่ปุ่นและเรือ PT-109 ของเรือโท “Kennedy”

ตอร์ปิโดแบบ Mark 8 ส่วนมากระเบิดก่อนกระทบเป้า หรือวิ่งในระดับความลึกที่ไม่ถูกต้อง อัตราที่ตอร์ปิโด Mark 8 จะสามารถระเบิดทำลายเรือพิฆาตน้อยกว่า 50% เนื่องจากการปรับเทียบที่ผิดพลาดของชนวนกระทบของตอร์ปิโดแบบ Mark 8 ซึ่งเป็นปัญหาที่กองทัพเรือสหรัฐฯ ไม่รู้ และไม่ได้รับการแก้ไขจนกระทั่งสงครามจบ เรือ PT อื่น ๆ อีก 2-3 ลำ รวมถึงหัวหน้าชุด "A" ทางใต้ของเรือ PT-109 ได้ตรวจพบเรือพิฆาตที่อยู่ทางใต้ใกล้กับ เกาะ Kolombangara แต่เรือทุกลำที่เหลือได้รับวิทยุจากนาวาโท Warfield ให้กลับเมื่อยิงตอร์ปิโดแล้ว แต่เรือทั้งสี่ลำที่ที่มีเรดาร์ยิงตอร์ปิโดก่อน และได้รับคำสั่งให้กลับฐาน แนวคิดของนาวาโท Warfield ในการออกคำสั่งไปยังเรือ PT ท่ามกลางความมืดทางวิทยุจากสถานีเรือ ซึ่งออกไป 40 ไมล์โดยที่ไม่เห็นการรบนั้นไม่มีประสิทธิภาพเลย เรดาร์ของเรือทั้ง 4 ลำเก่า และบางครั้งก็ทำงานผิดพลาด เมื่อเรือ 4 ลำซึ่งมีเรดาร์ออกจากพื้นที่การรบ เรือที่เหลือรวมถึงเรือ PT-109 ก็ถูกลิดรอนความสามารถในการระบุตำแหน่ง หรือการเคลื่อนที่ของเรือพิฆาตญี่ปุ่นที่กำลังแล่นมา และไม่ได้รับแจ้งเตือนว่าเรือลำอื่นได้ตรวจพบหรือปะทะกับศัตรูแล้ว 

ในช่วงดึกเรือ PT-109 และเรือ PT ที่แล่นตามมาพร้อมกันอีก 2 ลำ กลายเป็นชุดสุดท้ายที่เห็นเรือพิฆาตญี่ปุ่นแล่นกลับมาที่เส้นทางเหนือมุ่งไป Rabaul, New Britain, New Guinea หลังจากเสร็จสิ้นการส่งเสบียงและกำลังทหารเมื่อเวลา 01.45 น. ทางส่วนปลายของ เกาะ Kolombangara บันทึกเหตุการณ์อย่างเป็นทางการของกองทัพเรือระบุว่า การสื่อสารทางวิทยุนั้นยังเป็นปกติ แต่ผู้บังคับการเรือ PT ได้รับการบอกให้รักษาความเงียบทางวิทยุจนกระทั่งได้รับแจ้งจากการพบเห็นข้าศึก ทำให้ผู้บังคับการหลายคนปิดวิทยุหรือไม่ติดตามการสื่อสารทางวิทยุอย่างใกล้ชิด รวมทั้งเรือโท “Kennedy” ด้วย

เวลา 14.00 น. ของวันที่ 2 สิงหาคม 1943 เมื่อใกล้จะสิ้นสุดภารกิจ เรือ PT-109, PT-162, และ PT-169 ได้รับคำสั่งให้ลาดตระเวนในพื้นที่ต่อไปตามคำสั่งก่อนหน้านี้ ซึ่งได้รับคำสั่งทางวิทยุจากนาวาโท Warfield คืนนั้นมีเมฆมาก และไร้แสงจันทร์และอยู่ท่ามกลางหมอก เรือ PT-109 ทำงานด้วยเครื่องยนต์เดียวเพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจจับ การเห็นแสงฟลูออเรสเซนซ์โดยเครื่องบินญี่ปุ่น เมื่อลูกเรือตระหนักว่าพวกเขาอยู่ในเส้นทางของเรือพิฆาตญี่ปุ่น Amagiri ซึ่งมุ่งหน้าไปทางเหนือยัง Rabaul จากพื้นที่เพาะปลูก Vila, เกาะ Kolombangara เพื่อส่งเสบียงและทหาร 902 นาย

บันทึกเหตุการณ์ไม่สามารถสรุปได้ว่า สาเหตุของการชนกันคือ การเดินเครื่องยนต์รอบต่ำของเรือ PT-109 เรือโท “Kennedy”  เชื่อว่าการยิงที่เขาได้ยินมาจากกองทหารบนฝั่ง เกาะ Kolombangara ไม่ใช่เรือพิฆาต และหลีกเลี่ยงการตรวจจับโดยการเดินเครื่องยนต์รอบต่ำ และลดความเสี่ยงต่อการตรวจพบ

ภาพวาดขณะเรือพิฆาต Amagiri ชนเรือ PT-109

เรือโท “Kennedy” บอกว่า เขาพยายามที่จะเลี้ยวเรือ PT-109 เพื่อยิงตอร์ปิโด และให้เรือตรี Ross ยิงปืนต่อสู้รถถังขนาด 37 มม. ที่พึ่งติดตั้งใหม่ไปยังเรือพิฆาต Amagiri ที่กำลังแล่นจะมาถึง เรือตรี Ross ถือกระสุน แต่ยังไม่ทันได้บรรจุกระสุน เรือโท “Kennedy” หวังว่า อาจสกัดเรือ Amagiri ที่แล่นด้วยความเร็วค่อนข้างสูงระหว่าง 23 ถึง 40 Knott (43-74 กม. / ชม. หรือ 26-46 ไมล์ต่อชั่วโมง) เพื่อกลับไปยังท่าเรือ ด้วยเมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นแล้วเครื่องบินลาดตระเวนของสัมพันธมิตรอาจจะตรวจพบได้

เรือโท “Kennedy” และลูกเรือมีเวลาน้อยกว่าสิบวินาทีที่จะเร่งเครื่องยนต์เพื่อหลบหลีกเรือพิฆาตที่กำลังจะมาถึงแล่นโดยพรางไฟ เมื่อเรือ PT แล่นมาถึงก็ถูกชนจนแตกเป็น 2 ส่วน ที่พิกัดจุดระหว่างเกาะ เกาะ Kolombangara และเกาะ Ghizo ใกล้ 8 ° 3′S 156 ° 56'E ถ้อยแถลงที่ขัดแย้งกันเกิดขึ้นว่า เรือพิฆาตเห็นและตั้งใจชนเรือ PT-​​109 หรือไม่ ผู้เขียนส่วนใหญ่เขียนว่า ผบ.เรือ Amagiri ตั้งใจแล่นชนกับเรือพิฆาต Amagiri ซึ่งผบ.เรือพิฆาต Amagiri นาวาตรี Kohei Hanami ยอมรับเองในภายหลัง และระบุด้วยว่า เห็นเรือ PT-109 กำลังแล่นพุ่งมายังเรือพิฆาต Amagiri 

เรือ PT-109 ถูกชนเป็นสองส่วน เวลาประมาณ 02.27 น. ลูกไฟจากการระเบิดของเชื้อเพลิงพุ่งสูงกว่า 100 ฟุต พื้นที่การชน และทะเลรอบ ๆ ซากเรือลุกเป็นไฟ พลทหาร Kirksey และ Marney เสียชีวิตทันที และสมาชิกอีกสองคนของเรือถูกไฟคลอกและได้รับบาดเจ็บสาหัส เมื่อพวกเขาตกลงไปในทะเลเพลิงที่ล้อมรอบเรือ สำหรับการชนที่รุนแรง การระเบิด และไฟไหม้ การสูญเสียของลูกเรือเมื่อเทียบกับความเสียหายที่เกิดขึ้นกับเรือ PT อื่น ๆ ที่ถูกยิงด้วยปืนแล้ว นับว่า เรือ PT-109 สูญเสียกำลังพลน้อยกว่า 

‘สำนักงานตำรวจแห่งชาติ’ สนองนโยบายรัฐบาล กำชับการปฏิบัติ เพิ่มมาตรการคุมเข้ม! การลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย ป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 สายพันธุ์โอมิครอน

พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานแห่งชาติ เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) โดยเฉพาะสายพันธุ์โอมิครอนที่กำลังแพร่ระบาด อยู่ในทุกพื้นที่ทั่วโลกในขณะนี้

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วย พล.อ.ประวิตร  วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้ตระหนักถึงความสำคัญของปัญหาดังกล่าว โดยเฉพาะการควบคุม และป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสฯ จึงกำชับให้หน่วยงานด้านความมั่นคง เฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะการลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายของแรงงานต่างด้าว ทั้งนี้ ให้เพิ่มมาตรการคุมเข้มตามแนวชายแดนที่มีเขตติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้านด้วย

ในส่วนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.สุวัฒน์  แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้สนองตอบนโยบายของรัฐบาล ความห่วงใยในสถานการณ์ดังกล่าว จึงสั่งการให้ทุกหน่วยในสังกัดบูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเฝ้าระวังพื้นที่ที่เป็นแนวติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งพื้นที่ทางบกและทางน้ำ  เพื่อป้องกันการลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายของแรงงานต่างด้าว โดยมีการตั้งจุดตรวจ จุดสกัด ด่านตรวจ รวมไปถึงการจัดกำลังตำรวจลาดตระเวนในพื้นที่เสี่ยง พร้อมทั้งให้ดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดอย่างเด็ดขาด

 

‘สำนักงานตำรวจแห่งชาติ’ เตือนภัย!! ช่วงเทศกาลหยุดยาว อาจมีมิจฉาชีพฉวยโอกาส “สร้างข่าวปลอม – เว็บไซต์ปลอม” เพื่อหลอกเอาทรัพย์สินหรือข้อมูลส่วนตัวของประชาชน!!

‘สำนักงานตำรวจแห่งชาติ’ เตือนภัย!! ช่วงเทศกาลหยุดยาว อาจมีมิจฉาชีพฉวยโอกาส “สร้างข่าวปลอม – เว็บไซต์ปลอม” เพื่อหลอกเอาทรัพย์สินหรือข้อมูลส่วนตัวของประชาชน!!

​พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เตือนภัยห้วงเทศกาลหยุดยาว อาจมีมิจฉาชีพฉวยโอกาสสร้างข่าวปลอมหรือจัดเว็บไซต์ปลอม เพื่อหลอกเอาทรัพย์สินหรือข้อมูลส่วนตัวของประชาชน

​เนื่องด้วยปัจจุบันมีการพัฒนาด้านเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง ประชาชนเข้าถึงโลกออนไลน์รวมถึง Application ต่าง ๆ ประกอบกับห้วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ทำให้มีการปรับเปลี่ยนใช้บริการผ่านโลกออนไลน์มากขึ้น โดยเหล่ามิจฉาชีพก็ได้อาศัยช่องว่างดังกล่าวสร้างกลอุบายในการหลอกลวงข้อมูลส่วนตัว หลอกให้โอนเงิน ดังกรณีในห้วงที่ผ่านจะพบว่ามีข่าวปลอมหลายเรื่องเกี่ยวกับการจัดโปรโมชั่นของขวัญสำหรับห้วงเทศกาลหยุดยาวปีใหม่ อาทิ รัฐบาลโอน 1,000 บาท ให้บัตรคนจนเป็นของขวัญขวัญปีใหม่กดจากตู้ใช้ได้ทันที , กรณีปรับเบี้ยยังชีพแจกเพิ่ม 2,000 บาท เป็นต้น โดยมิจฉาชีพสร้าง Link หลอกลวงให้คลิกเข้าไปเพื่อลวงเอาข้อมูลส่วนตัว หรือในบางครั้งก็ทำการติดต่อให้โอนเงินสำหรับค่าดำเนินการไปก่อน ซึ่งอาจสร้างความเสียหายในวงกว้างให้กับประชาชนก็เป็นได้

​พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ตระหนักถึงพิษภัยภัยจากการหลอกลวงของมิจฉาชีพในลักษณะดังกล่าว อันเป็นการสร้างความเสียหายซ้ำเติมความเดือดร้อนของประชาชนในห้วงการแพร่ระบาดโควิด-19 จึงได้กำชับไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้มีมาตรการและดำเนินการป้องกันปราบปรามตามขั้นตอนของกฎหมายอย่างจริงจัง

​พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้ให้ความสำคัญและตระหนักถึงภัยจากอาชญากรรมทางเทคโนโลยีมาโดยตลอด จึงได้สั่งการให้ บช.น.,ภ1-9,บช.ก.,บช.สอท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้เร่งดำเนินการสืบสวน ปราบปรามจับกุมและขยายผล ผู้กระทำความผิดในทุกรูปแบบ พร้อมทั้งเร่งทำการประชาสัมพันธ์และสร้างการรับรู้ถึงพิษภัยบนโลกออนไลน์พร้อมแนวทางการป้องกันให้ประชาชนได้รับทราบต่อไป

​การกระทำลักษณะดังกล่าวนอกจากจะเป็นการซ้ำเติมประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนกันอยู่แล้วและยังเข้าข่ายความผิดฐานนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ด้วยข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ ในประการที่น่าจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชน มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับและความผิดฐานฉ้อโกง มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หรือกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งในฐานความผิดดังกล่าวเป็นความผิดต่อส่วนตัว ผู้เสียหายจะต้องเข้าร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวนในท้องที่ เพื่อดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิด รวมถึงเตรียมหลักฐานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น หลักฐานการโอนเงิน บันทึกการสนทนา รายการเดินบัญชีธนาคาร เป็นต้น เพื่อใช้เป็นหลักฐานประกอบการดำเนินคดี

 

 

ตร.เตือน!! โดนโทรทวงหนี้ “อ้างว่าเป็นผู้ค้ำประกัน” ถ้าไม่เคยค้ำ อย่าหลงเชื่อ!!

พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ รอง ผบก.ปอท. ในฐานะรองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ตามที่ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ได้มีนโยบายให้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แจ้งเตือนและประชาสัมพันธ์ให้พี่น้องประชาชนรู้เท่าทันถึงอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทำการสืบสวนจับกุมผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอดนั้น

สืบเนื่องจากปัจจุบันพบว่ามีประชาชนจำนวนมากที่ได้รับความเดือดร้อนจากการโทรศัพท์มาทวงถามหนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีถูกอ้างชื่อว่าเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ ถูกข่มขู่ว่าหากไม่ใช้หนี้แทนผู้กู้ จะถูกฟ้องร้องดำเนินคดี ติดเครดิตบูโร ไม่สามารถทำธุรกรรมทางการเงินกับสถาบันการเงินได้ ฯลฯ โดยที่ไม่เคยรู้เรื่องการค้ำประกันดังกล่าวมาก่อน ซึ่งสาเหตุที่เจ้าหนี้รู้ถึงข้อมูล ชื่อ-นามสกุล หมายเลขโทรศัพท์ ของเรานั้น ก็มักเกิดจากการที่บุคคลที่มีหมายเลขโทรศัพท์มือถือของเราบันทึกไว้ในรายชื่อผู้ติดต่อ ไปโหลดแอปพลิเคชันเงินกู้ และอนุญาตให้แอปพลิเคชันเข้าถึงรายชื่อผู้ติดต่อและหมายเลขโทรศัพท์นั่นเอง

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงขอประชาสัมพันธ์มายังพี่น้องประชาชน หากได้รับโทรศัพท์อ้างว่าท่านได้ไปค้ำประกันเงินกู้ โดยที่ท่านไม่เคยทราบเรื่องดังกล่าว และไม่เคยลงลายมือชื่อค้ำประกันให้กับบุคคลตามที่ถูกกล่าวอ้าง ขอให้ท่านอย่าหลงเชื่อ ไม่ต้องชำระเงินค้ำประกันเงินกู้ตามที่มิจฉาชีพอ้างและไม่ต้องกังวลว่าจะได้รับความเสียหายหรือถูกฟ้องร้อง หากท่านไม่เคยค้ำประกันให้บุคคลที่ถูกกล่าวอ้างจริง

พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ กล่าวต่อว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้จัดตั้งศูนย์ป้องกันปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับหนี้นอกระบบ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปน.ตร.)ตามนโยบายของรัฐบาล โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มอบหมายให้ พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นผู้อำนวยการศูนย์ฯ

 

เชียงใหม่ - “หมีแพนด้าหลินฮุ่ย” ออกสวนหลังบ้านรับลมหนาว ที่สวนสัตว์เชียงใหม่

สวนสัตว์เชียงใหม่ โดยโครงการวิจัยและจัดแสดงหมีแพนด้าแห่งประเทศไทย ได้นำ หมีแพนด้า“หลินฮุ่ย”    ออกสู่ส่วนจัดแสดงกลางแจ้ง(สวนหลังบ้าน) ให้สัมผัสอากาศหนาวเย็น เพื่อเป็นการส่งเสริมพฤติกรรมที่เป็นธรรมชาติ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปถึงสิ้นเดือนมกราคม 2565 นี้เท่านั้น

นายวุฒิชัย ม่วงมัน ผู้อำนวยการสวนสัตว์เชียงใหม่ เปิดเผยว่า ในช่วงนี้สภาพอากาศของจังหวัดเชียงใหม่มีอุณภูมิลดลงจากปกติ ประกอบกับมีนักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวและสัมผัสอากาศที่หนาวเย็นในจังหวัดเชียงใหม่เป็นจำนวนมาก ดังนั้นเพื่อเป็นการรองรับนักท่องเที่ยว ทางสวนสัตว์เชียงใหม่ จึงได้จัดกิจกรรมดี ๆ ขึ้น คือการนำหมีแพนด้า “หลินฮุ่ย” ออกสู่ส่วนจัดแสดงกลางแจ้ง ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ได้

ดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง เข้าสู่ปีที่ 17 ของการนำหมีแพนด้าออกสู่ส่วนจัดแสดงกลางแจ้ง(สวนหลังบ้าน) ในช่วงฤดูหนาวของทุกปี และในปีนี้ ฤดูหนาวได้มาเยือนภาคเหนือของเรา ตั้งแต่ต้นเดือนพฤศจิกายน และคาดว่าช่วงเวลาที่จะมีอากาศหนาวเย็นเริ่มตั้งแต่เดือนธันวาคม 2564 ถึงปลายเดือนมกราคม 2565 และเพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมให้กับหมีแพนด้า “หลินฮุ่ย” ให้สามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมและอุณหภูมิที่กำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นอย่างช้า ๆ

อีกทั้งเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศให้กับหมีแพนด้า “หลินฮุ่ย” ให้ได้ออกมารับแสดงแดดในยามเช้า และได้เดินออกกำลังกาย ซี่งจะทำให้หมีแพนด้าหลินฮุ่ยมีความสุข สุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงมากยิ่งขึ้น โดยสวนสัตว์เชียงใหม่ได้ดำเนินการปรับปรุง จัดตกแต่งสถานที่ให้สวยงาม มีการปลูกต้นไม้ ต้นไผ่ ทำลำธาร แอ่งน้ำ และสร้างของเล่นเลียนแบบธรรมชาติ ให้หมีแพนด้า “หลินฮุ่ย” สนุกสนานกับธรรมชาติอย่างเพลิดเพลินอีกด้วย

ทั้งนี้ สวนสัตว์เชียงใหม่ได้รับการสนับสนุนจากงานเก็บกู้และทำลายวัตถุระเบิด กองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดนที่ 33 ค่ายสมเด็จพระบรมราชชนนี ในการช่วยค้นหาวัตถุหรือโลหะต่าง ๆ ภายในบริเวณส่วนจัดแสดงกลางแจ้ง ก่อนที่จะมีการนำหมีแพนด้า “หลินฮุ่ย” ออกมายังส่วนจัดแสดงในวันนี้ด้วยครับ

 

นครศรีธรรมราช - ม.อ. ร่วมกับ สมาคมศิษย์เก่าฯ และภาคีเครือข่าย เดินหน้าส่งมอบแท็บเล็ต โครงการ “กองทุนไอทีพี่ ม.อ. ช่วยน้องเรียนออนไลน์”

มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ร่วมกับ สมาคมศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และภาคีเครือข่าย ส่งมอบแท็บเล็ตโครงการส่งเสริมการเรียนรู้ด้วยระบบออนไลน์ จำนวน 109 เครื่อง ให้กับ 20 โรงเรียนในภาคใต้ โดยมี ผศ. ดร.นิวัติ แก้วประดับ อธิการบดี พร้อมด้วย นายแพทย์เกียรติศักดิ์ ราชบริรักษ์ นายกสมาคมศิษย์เก่าฯ ร่วมส่งมอบแก่ผู้บริหารและผู้แทนจากโรงเรียนภายใต้โครงการฯ ในพื้นที่ภาคใต้ ณ ห้องประชุม 1 สำนักงานอธิการบดี มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ เมื่อวันที่ 22 ธ.ค. 64

​สำหรับโรงเรียนเป้าหมายที่เข้ารับมอบแท็บเล็ต ภายใต้โครงการ “กองทุนไอทีพี่ ม.อ. ช่วยน้องเรียนออนไลน์” ในครั้งนี้ ประกอบด้วย โรงเรียนในจังหวัดสงขลา ได้แก่ โรงเรียนชุมชนวัดควนมีด, โรงเรียนบ้านสะพานหัก, โรงเรียนบ้านหาร, โรงเรียนวัดสลักป่าเก่ามูลนิธิ และ โรงเรียนมิฟตาฮุดดีน (บ้านพลีใต้) จังหวัดสตูล ได้แก่ โรงเรียนบ้านวังปริง จังหวัดนครศรีธรรมราช ได้แก่ โรงเรียนวัดสระไคร, โรงเรียนบ้านนาเส, โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 6, โรงเรียนวัดนาหมอบุญ และโรงเรียนวัดไม้เสียบ จังหวัดปัตตานี ได้แก่ โรงเรียนบ้านตันหยงลุโละ, โรงเรียนบ้านคลองช้าง, โรงเรียนบ้านระแว้ง, โรงเรียนบ้านท่าเรือ และโรงเรียนมุสลิมสันติชน จังหวัดยะลา ได้แก่ โรงเรียนบ้านปงตา และจังหวัดนราธิวาส ได้แก่ โรงเรียนวัดประชุมชลธารา, โรงเรียนบ้านริแง และโรงเรียนบ้านบาตูมิตรภาพที่ 66

​โครงการ “กองทุนไอทีพี่ ม.อ. ช่วยน้องเรียนออนไลน์” เป็นความร่วมมือของสมาคมศิษย์เก่า ม.อ. และ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รวมทั้ง ภาคีองค์กรศิษย์เก่าทุกคณะ และชมรมศิษย์เก่าระดับจังหวัด เพื่อระดมทุนจัดหาอุปกรณ์การเรียนให้นักเรียนตั้งแต่ระดับอนุบาล - มัธยมศึกษา ในพื้นที่ 9 จังหวัดชายแดนภาคใต้

ชลบุรี - ‘สวนนงนุชพัทยา’ ร่วมกับ ‘วัดคีรีวงก์(วัดน้ำตก)’ จัดอบรม กินอาหารสมุนไพร - อย่างไรให้ปลอดภัย - ปลอดโรค

ที่ สวนนงนุชพัทยา นายกัมพล ตันสัจจา ประธานสวนนงนุชพัทยา ร่วมกับพระมหาขวัญชัย อคฺคชโย เจ้าอาวาสวัดคีรีวงก์ จัดอบรม หัวข้อ "กินอาหารสมุนไพร อย่างไรให้ปลอดภัย ปลอดโรค รุ่นที่ 4" โดยมี พนักงานสวนนงนุช ประชาชนทั่วไปที่ชื่นชมสมุนไพร และเจ้าหน้าที่แพทย์แผนไทย เข้าร่วมอบรมอย่างพร้อมเพรียง

พระมหาขวัญชัย อคฺคชโย เจ้าอาวาสวัดคีรีวงก์กล่าวว่า สำหรับการจัดอบรมกินอาหารสมุนไพร อย่างไรให้ปลอดภัย ปลอดโรค ในครั้งนี้เพื่อให้ประชาชนได้ตระหนักในเรื่องของการรับประทานอาหารให้เกิดประโยชน์ ปลอดภัย ปลอดโรค ด้วยสมุนไพรที่มีอยู่เดิมมาต่อยอดในการนำมาประกอบอาหาร โดยจะเห็นได้จากในสมัยอดีตคนไทยไม่ค่อยเป็นโรค ซึ่งเป็นผลมาจากการทานอาหารที่มีส่วนผสมของสมุนไพรเป็นยารักษาโรค เช่น เมนูผัดกะเพราที่จะช่วยในเรื่องไขมันเกาะตับ ขับลมในลำไส้, เมนูผัดขิง ช่วยในเรื่องลดอาการไข้ ขับลม,เมนูแกงป่าช่วยในการหมุนเวียนเลือดลม,เมนูผัดผักบุ้งช่วยในเรื่องบำรุงสายตา,เมนูส้มตำช่วยในการขับถ่าย,เมนูเครื่องดื่มน้ำมะพร้าวช่วยบำรุงหัวใจ และเมนูชาขิงน้ำผึ้ง ช่วยในเรื่องเจ็บคอ ขับลม คลื่นไส้

สำหรับการอบรมในครั้งนี้ เพื่อต้องการให้ผู้เข้าร่วมได้ตระหนักรู้ในเรื่องของคุณประโยชน์ของพืชสมุนไพรไทย ที่สามารถนำมาปรุงอาหารให้มีรสชาติและคุณค่าที่ดีต่อสุขภาพโดยเน้นการทานอาหารที่มีส่วนประกอบของพืชสมุนไพรไทยแทนยา อีกทั้งเพื่อให้ผู้เข้ารับการอบรม นำความรู้และความเข้าใจที่ถูกต้อง เรื่องการนำสมุนไพรไทยไปใช้ในชีวิตประจำวันของตัวเองและครอบครัวเน้นถึงวิธีการปรุงอาหารหลากหลายเมนูให้ถูกต้องด้วยสมุนไพรไทย เพื่อให้เกิดประโยชน์และคุณค่าสูงสุด รวมถึงการเพิ่มรสชาติและประโยชน์ของอาหารไทยชนิดต่าง ๆ ด้วยการเติมสมุนไพรไทยเข้าไปให้เหมาะสม โดยกำหนดจัดอบรมระหว่างวันที่ 21-23 ธันวาคม 2564 โดยการจัดอบรมครั้งนี้ได้ดำเนินการปฏิบัติตามมาตรการความปลอดภัยด้านสุขอนามัยตามมาตรฐาน SHA+ และ Safe travels ที่ได้รับการรับรองจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย

 

ตราด - ทัพเรือภาคที่ 1 จัดกิจกรรมพัฒนาอาชีพ ประยุต์สู่ “โคกหนองนา โมเดล” เพื่อเสริมสร้างรายได้ ภายใต้เศรษฐกิจพอเพียง

ในวันที่ 21 ธ.ค.64 พลเรือตรี สุระศักดิ์ สิงขรวัฒน์ เสนาธิการทัพเรือภาคที่ 1 /หัวหน้าสำนักงานเลขานุการคณะกรรมการพัฒนาเพื่อความมั่นคงในระดับพื้นที่ในเขตทัพเรือภาคที่ 1 เป็นประธานในการจัดกิจกรรมพัฒนาอาชีพเพื่อเสริมสร้างรายได้ภายใต้เศรษฐกิจพอเพียง ณ ศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง เรือนจำชั่วคราวเขาระกำ อ.เมืองตราด จว.ตราด โดยมี นายกิตติพงษ์ ละชั่ว ผู้บังคับการเรือนจำชั่วคราวเขาระกำ และคณะให้การต้อนรับ

การจัดกิจกรรมพัฒนาอาชีพเพื่อเสริมสร้างรายได้ภายใต้เศรษฐกิจพอเพียง ในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้นำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ซึ่งมีจุดมุ่งหมายในการพัฒนาคนให้พออยู่พอกินและพึ่งพาตนเองได้ ยึดหลักการดำเนินงานบนทางสายกลางเป็นขั้นเป็นตอน บนพื้นฐานของความสมดุลพอดีในทุกภาคส่วน มีความสอดคล้องกับสภาพแวดล้อมตามวิถีแห่งธรรมชาติด้วยวิธีที่เรียบง่าย สามารถนำความรู้ที่ได้รับ ไปใช้ในการดำเนินชีวิตและพัฒนาคุณภาพชีวิตต่อไป

การจัดกิจกรรมในครั้งนี้เป็นการอบรมให้ความรู้โครงการพัฒนาพื้นที่ต้นแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิต ตามหลักทฤษฎีใหม่ประยุกต์สู่ “โคก หนอง นา โมเดล” และแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง “เกษตรกรปลอดภัย ก้าวไกลสู่เกษตรอินทรีย์” อีกทั้งยังได้มีกิจกรรมที่ส่งเสริมการมีส่วนร่วม โดยการให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้ทำการทดลองทำปุ๋ยหมักและอาหารปลา ที่ทำจากวัสดุอุปกรณ์ที่มาจากธรรมชาติ ซึ่งสามารถนำความรู้ที่ได้รับ ไปใช้ในชีวิตประจำวันและสามารถนำไปใช้ในการลดต้นทุนในการประกอบอาชีพ เพื่อให้มีเงินเหลือเก็บ และมีคุณภาพชีวิตที่ดีต่อไป

ชลบุรี - ปลื้มใจ!! สวนนงนุชพัทยา เผย “พังฟ้าใส” ลูกช้างป่าถูกบ่วง - ยิงบาดเจ็บ อาการดีขึ้นมาก

เมื่อวันที่ 22 ธ.ค.64 นายกัมพล ตันสัจจา ประธานสวนนงนุชพัทยา ได้เปิดเผยถึง ความคืบหน้าอาการ "พังฟ้าใส" ลูกช้างป่า ที่ได้รับบาดเจ็บข้อเท้าหน้าขวา ถูกบ่วงพรานป่าหนีบจนขาด และบาดแผลถูกยิงบริเวณหน้าขาซ้าย หัวกระสุนฝังใน 10 นัด จากในพื้นที่ป่าอุทยานแห่งออ ชาติเขาสิบห้าชั้น อ.แก่งหางแมว จ.จันทบุรี ส่งมอบให้อยู่ในความดูแลรักษาของ ปางช้างสวนนงนุชพัทยา ตั้งแต่ 1 ธ.ค.64 รวมระยะเวลาแล้ว 21 วัน

คืบหน้าเรื่องนี้ โดย ทีมสัตวแพทย์ ปางช้างสวนนงนุชพัทยา ร่วมกับ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้มีการผ่าตัดชิ้นส่วนข้อเท้า ทำการใส่เฝือก เพื่อรักษาบาดแผล และผ่าตัดเอาหัวกระสุนออกทั้งหมดแล้ว ขณะนี้ อยู่ในการรักษาบาดแผล ด้วยการใช้ยาปฏิชีวนะ และทำความสะอาดบาดแผลทุกวัน เพื่อไม่ให้เกิดการติดเชื้อ พบว่า หลังการรักษา เริ่มมีผิวหนังงอกใหม่เพิ่มขึ้น ไม่พบเศษเนื้อตาย แต่พบหนองเล็กน้อย และขอบแผลด้านในเป็นเนื้อสดสีชมพู

นอกจากนี้ ได้ทำการเลเซอร์อาการอักเสบ และเร่งการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ อาจต้องใช้เวลา 2-3 เดือน ในการฟื้นฟูเนื้อเยื่อ และหากหายจากอาการบาดเจ็บ ก็จะทำการธาราบำบัด (ด้วยน้ำ) เพื่อให้ช้างสามารถใช้ชีวิต เดินได้อย่างเป็นปกติ เต็มกำลังความสามารถ

ส่วนด้านสภาพจิตใจ และการตอบสนองโดยรวม “พังฟ้าใส” ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ไม่ดิ้น ไม่ร้อง ไม่งอแง และยังมีอารมณ์ร่าเริง ดื่มนมเก่งวันละ 14 - 17 ลิตร อีกทั้ง ได้มีการเปลี่ยนเฝือกรองเท้าตามสีประจำวัน จนทำให้น้องช้างดูสดใส อีกด้วย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top