Sunday, 18 May 2025
SPECIAL

‘ผช.ผบ.ตร.’ บินด่วนลงนราฯ!! แถลงผลเปิดยุทธการสยบไพรี ค้น 2 จังหวัด ทลายเครือข่ายยาเสพติด จับ! 3 ผู้ต้องหายึดทรัพย์มูลค่า 62 ล้านบาท!!!

วันที่ 17 ธ.ค. 64 ณ กองบังคับการตำรวจภูธร จ.นราธิวาส พล.ต.ท.ธนา ชูวงศ์ ผช.ผบ.ตร. ได้เดินทางมาเป็นประธานในการแถลงข่าวการปฏิบัติการปิดล้อมตรวจค้น ตามแผนยุทธการสยบไพรี 65/1 โดยมี พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผบช.ปส. พล.ต.ต.ดุษฎี ชุสังกิจ รอง ผบช.ภ.9 พล.ต.ต.แวสาแม สาและ ผบก.ภ.จว.นราธิวาส พ.ต.อ.กีรติ แวยูโซ๊ะ รอง ผบก.ภ.จว.ปัตตานี พ.อ.ก่อเกียรติ เข็มแดง รอง ผบ.ฉก.นราธิวาส และนายปรีชา นวลน้อย ปลัด จ.นราธิวาส ได้ร่วมเดินทางมาแถลงข่าวให้ครั้งนี้

โดย พล.ต.ท.ธนา ชูวงศ์ ผช.ผบ.ตร.กล่าวว่า จากการปฏิบัติการปิดล้อมตรวจค้น ตามแผนยุทธการสยบไพรี ในครั้งนี้ เป็นการปฏิบัติต่อเนื่องจากแผนปฏิบัติการสยบไพรี 64/1 ในการจับกุม 3 ผู้ต้องหา คือ นายวิเชียร เฉียงเมือง นายชัยยุทธ สุธรรม และนายยศวยศ ราตรีสวรรค์ ในพื้นที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา พร้อมยาบ้า 200,000 เม็ด เมื่อวันที่ 26 ธ.ค. 63 และสามารถยึดทรัพย์ของกลางมูลค่า 51 ล้านบาท ต่อมาเมื่อวันที่ 10 มี.ค. 64 เจ้าหน้าที่ได้ขยายผลสามารถจับกุมบุคคลในเครือข่ายดังกล่าวได้เพิ่มเติมอีก 6 คน ซึ่ง 1 ใน 6 คือ นายเชิดชาย สมรฤทธิ์ มีภูมิลำเนาอยู่บ้านเลขที่ 125 ม.7 ต.ทุ่งกระดาดพัฒนา อ.หนองกี่ จ.บุรีรัมย์ ที่มีเครือข่ายอยู่ในพื้นที่ จ.นราธิวาส และ จ.ปัตตานี

นอกจากนี้ พล.ต.ท.ธนา ชูวงศ์ ผช.ผบ.ตร.ยังได้กล่าวเพิ่มเติมอีกด้วยว่า จากการปฏิบัติการปิดล้อมตรวจค้น ตามแผนยุทธการสยบไพรี 65/1 ในครั้งนี้ โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 15 ถึง 17 ธ.ค. 64 ด้วยการปิดล้อมเป้าหมาย 11 จุด โดยแยกเป็นพื้นที่ จ.นราธิวาส 8 จุด ปัตตานี 3 จุด เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมเครือข่ายยาเสพติดของนายเชิดชาย ได้อีก 3 คน คือ 1. น.ส.ซากีรา บือโต ที่บ้านพักเลขที่ 95/1 ม.8 ต.ตันหยงมัส อ.ระแงะ จ.นราธิวาส 2. น.ส.ซากียะ อาแว ที่บ้านพักเลขที่ 81 ถ.พิชิตบำรุง ต.บางนาค อ.เมือง จ.นราธิวาส และ 3. น.ส.สุพัชนี แประสามะ อยู่บ้านเลขที่ 4 ม.7 ต.ยี่งอ อ.ยี่งอ จ.นราธิวาส ซึ่งถูกเจ้าหน้าที่จับกุมตัวได้ในพื้นที่กรุงเทพมหานครในช่วงเช้าของวันนี้ หลังจากเจ้าหน้าที่ได้แกะรอยทราบถึงเส้นทางที่หลบหนี พร้อมกันนี้เจ้าหน้าที่ได้ทำการตรวจยึดทรัพย์สินไปตรวจสอบ อาทิ บ้าน รถยนต์และบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวน 265 ใบ ซึ่งมีมูลค่า 11 ล้านบาทไปตรวจสอบ

และหลังจาก พล.ต.ท.ธนา ชูวงศ์ ผช.ผบ.ตร.แถลงข่าวแล้วเสร็จ ได้ถือโอกาสสอบสวนปากคำเบื้องต้น น.ส.ซากีรา บือโต ด้วยตนเอง ขณะที่เจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัวไว้ ณ ห้องโถง ชั้น 2 ของ กองบังคับการตำรวจภูธร จ.นราธิวาส แต่ไม่ได้รับการเปิดเผยว่า น.ส.ซากีรา บือโต ให้การอย่างไรบ้าง

 

‘สำนักงานตำรวจแห่งชาติ’ เตือนภัย!! มิจฉาชีพ อ้างเป็นพนักงานบริษัทขนส่งสินค้า - เจ้าหน้าที่ Call Center - ส่ง SMS หลอกลวงข้อมูลส่วนตัว และให้โอนเงิน!!

พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษก สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขอเรียนประชาสัมพันธ์ภัยมิจฉาชีพที่หลอกลวงประชาชนในรูปแบบต่าง ๆ ผ่านแอปพลิเคชัน SMS ไลน์ เฟซบุ๊ก หรือโทรศัพท์ผ่าน Call Center แสดงตนอ้างว่าเป็นพนักงานบริษัทขนส่งหรือเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องแจ้งว่ามีพัสดุผิดกฎหมายส่งมายังผู้รับหรือส่งพัสดุไปยังต่างประเทศซึ่งเกี่ยวข้องในการกระทำผิด ทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อ ยินยอมส่งข้อมูลส่วนตัวและโอนเงินไปให้ สร้างความเสียหายห้วงการแพร่ระบาดโควิด-19

ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันประชาชนเป็นปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำกิจกรรมหรือธุรกรรมต่าง ๆ ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์หรือแอปพลิเคชันมากขึ้นแต่ในขณะเดียวกันเหล่ามิจฉาชีพได้อาศัยช่องว่างหลอกลวงผ่านสื่อสังคมออนไลน์ในลักษณะต่าง ๆ  อาทิ ส่ง SMS ไลน์ เฟซบุ๊ก หรือโทรศัพท์ผ่านมือถือ ดังเช่นกรณีเมื่อเดือน พ.ย.64 ที่ผ่านมามิจฉาชีพแสดงตนว่าเป็นพนักงานบริษัทขนส่งหรือเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง โทรผ่านโทรศัพท์มือมาแจ้งกับผู้เสียหายว่ามีพัสดุที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดกฎหมายส่งมายังที่อยู่ของผู้รับและมีการส่งพัสดุไปต่างประเทศ โดยทางบริษัทและเจ้าหน้าที่ของภาครัฐจะขอเข้าไปทำการตรวจสอบและดำเนินคดีตามขั้นตอนกฎหมาย ทำให้ผู้เสียหายตกใจกลัวและหลงเชื่อ จึงยินยอมส่งข้อมูลส่วนตัวและโอนเงินไปยังบัญชีที่แก๊งมิจฉาชีพได้แจ้ง เพื่อให้ทำการตรวจสอบเงินดังกล่าว ต่อมาภายหลังผู้เสียหายจึงรู้ว่าตนนั้นถูกหลอก  ซึ่งในเบื้องต้นพบผู้เสียหายที่ถูกหลอกลวงในลักษณะเดียวกันในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศเกือบ 50 ราย  มูลค่าความเสียหายกว่า 17 ล้านบาท โดยผู้เสียหายได้แจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวนในพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายไว้แล้ว

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีความห่วงใยประชาชนเกี่ยวภัยการจากการหลอกลวงของมิจฉาชีพในลักษณะดังกล่าว ซึ่งประชาชนอาจตกเป็นเหยื่อและเป็นการสร้างความเสียหายซ้ำเติมความเดือดร้อนห้วงการแพร่ระบาดโควิด-19 จึงได้กำชับไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้มีมาตรการและดำเนินการป้องกันปราบปรามตามขั้นตอนของกฎหมายอย่างจริงจัง

พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้ดำเนินการตามนโยบายรัฐบาลโดยสั่งการและกำชับไปยังหน่วยงานในสังกัดที่เกี่ยวข้องทุกพื้นที่ โดยเฉพาะกองบัญชาการสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) ให้ทำการสืบสวนสอบสวน ปราบปราม กลุ่มมิจฉาชีพ สืบสวนขยายผลถึงเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายอย่างเด็ดขาดจริงจังต่อเนื่อง มีผลการปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม

การกระทำลักษณะดังกล่าวนอกจากจะเป็นการซ้ำเติมพี่น้องประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนกันอยู่แล้วยังเข้าข่ายความผิดฐานนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ด้วยข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ ในประการที่น่าจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชน มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับและความผิดฐานฉ้อโกง มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หรือกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องซึ่งในฐานความผิดดังกล่าวเป็นความผิดต่อส่วนตัว ผู้เสียหายจะต้องเข้าร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวนในท้องที่เพื่อดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิด

รองโฆษก สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ฝากประชาสัมพันธ์ไปยังประชาชน ถึงแนวทางการป้องกันการถูกหลอกลวงผ่านแพลตฟอร์มหรือแอปพลิเคชันออนไลน์ SMS ไลน์ เฟซบุ๊ก หรือผ่านทางโทรศัพท์ ดังนี้

1.หากมีการกล่าวอ้างว่าท่านไปเกี่ยวข้องการกระทำผิด ให้ตั้งสติ อย่าพึ่งตื่นตระหนกและหลงเชื่อ

2.ทำการบันทึกข้อมูลการสนทนา ภาพหรือวิดีโอ ข้อมูลการโอนเงิน เอกสารที่เกี่ยวข้อง เพื่อใช้ในการดำเนินคดี

3.หากมีการอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ โดยหลักจะไม่มีการให้โอนเงินเข้าบัญชีส่วนบุคคลโดยเด็ดขาด

 

นราธิวาส - “นิพนธ์” ร่วมคณะนายกฯ ลงยะลา - ปัตตานี ติดตามงานพัฒนาเศรษฐกิจชายแดนใต้ พร้อมประสาน ก.เกษตรฯ ขยายพันธุ์ปูทะเล

นายอับดุลนัสเซอร์ หะมิ พัฒนาการอำเภอรือเสาะ จังหวัดนราธิวาส เปิดเผยว่า นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ร่วมคณะของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วย พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว. มหาดไทย , นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ร่วมคณะลงพื้นที่ติดตามงานด้านการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในมิติงานสำคัญ

ได้แก่ การยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับประชาชน การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ผ่านโครงการเมืองต้นแบบ “สามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” การบริหารจัดการด้านความมั่นคง และชายแดน การบริหารจัดการนำการดำเนินการแก้ไขปัญหาสถานการณ์โควิด-19 และการเตรียมการภายหลังการผ่อนคลายมาตรการควบคุมเชิงพื้นที่ในพื้นที่ รวมทั้งการติดตามการปฏิบัติราชการของคณะกรรมการยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กพต.) ในโครงการ “การขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้” ภายใต้กรอบแนวทาง “1 ข้าราชการ ศอ.บต. 1 ครัวเรือนยากจน” พร้อมกันนี้ ได้มีการประชุมเกี่ยวกับการแก้ไขสถานการณ์โควิด-19 ในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ อีกด้วย 

ช่วงบ่ายลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการบริหารจัดการโครงการจังหวัดชายแดนภาคใต้ เมืองปูทะเลโลก ณ กลุ่มเลี้ยงปูดำทะล อำเภอยะหริ่ง จังหวัดปัตตานี ตามกรอบแนวคิดการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก โดย ศอ.บต. ได้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี กรมประมง กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และกลุ่มวิสาหกิจชุมชนเกษตรกรในพื้นที่ ในการขับเคลื่อนโครงการพัฒนาและส่งเสริมการเลี้ยงปูทะเลให้เป็นสัตว์เศรษฐกิจชนิดใหม่ ร่วมกับการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าชายเลนรวมทั้งมีการพัฒนาเกษตรกรรุ่นใหม่

ในการนี้ นายนิพนธ์ ได้ประสานงานให้ปลัดกระทรวงเกษตรฯ ได้ทำความตกลงกับท่านอธิการบดี มอ. ในการตกลงร่วมมือกันเพิ่มพันธุ์ปูทะเล ให้มากขึ้นกว่าปัจจุบันโดยกระทรวงเกษตรฯ พร้อมสนับสนุนงบประมาณ ในการขยายพันธุ์ปูทะเล

ด้านนายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้กล่าวว่า สำหรับข้าราชการสังกัดกระทรวงมหาดไทย มีความพร้อมที่จะสนับสนุนโครงการของรัฐบาลทุกประการ ซึ่งผมเคยดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถื่นและอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน ซึ่งทั้งสองกรม มีงบประมาณส่วนหนึ่งและบุคลากรเต็มที่ทุกตำบลทั่วประเทศสามารถสนับสนุนกิจกรรมต่าง ๆ ได้ดี โดยเฉพาะกรมการพัฒนาชุมชน มีตั้งแต่พัฒนาการจังหวัด พัฒนาการอำเภอ และพัฒนากรตามอัตราครบทุกตำบลในจังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส และ 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา คือ อำเภอเทพา อำเภอจะนะ อำเภอสะบ้าย้อย พร้อมที่จะให้ความร่วมมือในโครงการ 1 ข้าราชการ 1 ครัวเรือนยากจน

 

‘นรข.มุกดาหาร’ สนธิกำลัง!! เข้ายึดยานรกข้ามน้ำโขง เกือบ 2 แสนเม็ด!!

สถานีเรือมุกดาหาร จ.มุกดาหาร นายบุญเรือง เมฆฉิม รองผู้ว่าราชการจังหวัด พ.อ.วรพรต แก้ววิจิตร รอง ผอ.รมน.จังหวัดมุกดาหาร และ น.ท.พิเชษฐ์ เมืองโคตร หน.สน.เรือมุกดาหาร แถลงข่าวตรวจยึดยาบ้าจากขบวนการค้ายาเสพติดข้ามชาติได้ร่วมสองแสนเม็ด

สืบเนื่องจาก เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม พล.ร.ต.สมบัติ จูถนอม ผบ.นรข. ได้รับแจ้งจากสายข่าวว่าจะมีการลักลอบลำเลียงยาเสพติด ในพื้นที่รับผิดชอบ สน.เรือมุกดาหาร บริเวณบ้านส้มป่อย ต.นาสีนวน อ.มุกดาหาร จ.มุกดาหาร จึงได้สั่งการให้ น.ท.พิเชษฐ์ เมืองโคตร หน.สน.เรือมุกดาหาร จัดชุดลาดตระเวนชุ่มเฝ้าตรวจในพื้นที่รับผิดชอบดังกล่าว

ตามข่าวที่ได้รับแจ้งมา จนกระทั่งเวลาประมาณ 03.00 น. ของวันที่ 16 ธันวาคม เจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการที่ซุ่มอยู่ได้ตรวจพบว่ามีเรือกีบแล่นมาจากทางฝั่งแขวงสะหวันนะเขต สปป.ลาว เข้ามาจอดฝั่งประเทศไทย บริเวณริมตลิ่งบ้านส้มปอย ต.นาสีนวน ซึ่งอยู่ห่างจากจนท.ชุดปฏิบัติการที่ชุ่มอยู่ประมาณ 50 เมตร จากนั้นก็ได้โยนถุงกระสอบบรรจุสิ่งของขึ้นมาบนตลิ่งริมน้ำเสร็จแล้วก็รีบหันหัวเรือกลับขับไปฝั่งสปป.ลาว เจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการได้เฝ้าสังเกตต่อไปว่าจะมีใครมารับวัตถุสิ่งของดังกล่าวหรือไม่ จนกระทั่งเวลา 04.30 น. ไม่ปรากฏว่ามีผู้ใดแสดงตัวเข้ามาเอาถุงกระสอบวัตถุต้องสงสัยดังกล่าว

 

พิจิตร- ‘ผู้ว่าฯ พิจิตร’ พาปั่นจักรยานเยี่ยมราษฎร - ส่งเสริมกลุ่มชาวบ้าน เป็นของขวัญของฝากในปีใหม่!!

วันที่ 16 ธันวาคม 2564 ความคืบหน้าจากนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวและสนับสนุนผลิตภัณฑ์ชาวบ้านของ นายไพบูลย์ ณะบุตรจอม ผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตรคนที่ 58 จึงได้จัดกิจกรรมสานสัมพันธ์ไมตรีของส่วนราชการกับส่วนท้องถิ่นด้วยการนำปั่นจักรยานเพื่อเยี่ยมเยือนราษฎรในเขตพื้นที่ ต.เนินปอ อ.สามง่าม จ.พิจิตร โดยมี  นายสุภโชค ศิลปคุณ นายอำเภอสามง่าม , นางกัญนิกา อินทรกูล นายกเทศมนตรีตำบลเนินปอ “นายกแหม่ม” ที่นำพาชาวบ้านและส่วนราชการท้องถิ่นรวมถึงกลุ่มเด็ก ๆ และเยาวชนเกือบ 200 คน ร่วมกันขี่จักรยานไปรอบหมู่บ้านโดยได้นำสิ่งของจากเหล่ากาชาดพิจิตรไปเยี่ยมผู้สูงอายุ/ผู้ป่วย 2 ครัวเรือน

โดยบ้านแรกที่ขี่จักรยานนำสิ่งของไปให้เป็นบ้านของ น.ส.นารี  ไสงาม อายุ 62 ปี อยู่หมู่ 6 ต.เนินปอ และ บ้านหลังที่สองเป็นบ้านของ นางบุญมี รอดผลุย อายุ 79 ปี อยู่หมู่ 5 ต.เนินปอ ซึ่งจากการไปเยี่ยมและให้กำลังใจผู้สูงอายุในครั้งนี้สร้างความปลาบปลื้มให้กับราษฎรทั้ง 2 ราย อีกทั้งผู้ว่าฯ พิจิตร ยังได้สั่งการให้ พม.พิจิตร และสาธารณสุขพิจิตร ช่วยดูแลผู้สูงอายุทั้ง 2 รายนี้

จากนั้นได้ขี่จักรยานไปพบปะชาวบ้านในชุมชนตลาดลาว ซึ่งเป็นย่านชุมชนของ ต.เนินปอ เพื่อดูการทำมาค้าขายและชีวิตความเป็นอยู่ของราษฎรรวมถึงปั่นจักรยานไปที่กลุ่มทอผ้าลาวครั่ง บ้านสระยายชี ซึ่งเป็นกลุ่มทอผ้าและผลิตสินค้าOTOP ที่สร้างรายได้เสริมให้ชาวบ้านนอกจากอาชีพทำนา โดย ผู้ว่าฯพิจิตร ได้ให้คำแนะนำถึงการทำตลาดแบบระบบออนไลน์เพื่อที่จะได้ขายสินค้าให้เป็นของกิน ของใช้ ของฝากในช่วงเทศกาลปีใหม่เนื่องจากกลุ่มทอผ้าลาวครั่งแห่งนี้มีฝีมือในการทำผ้าทอ ผ้าไทย ที่เป็นเอกลักษณ์ของชุมชนอีกด้วยจากนั้นได้ชมการแสดงพื้นบ้านของชาวบ้านที่จัดการแสดงมาต้อนรับ

 

ชุมพร - จัดโครงการ “สวมหมวกนิรภัย 100 % ตำรวจภูธรจังหวัดชุมพร” เคารพต่อกฎหมาย- เคารพกฎจราจร ด้วยการสวมหมวก!!

วันที่ 16 ธันวาคม 2564 เวลา 09.30 น.นายสมพร ปัจฉิมเพ็ชร รองผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพรรักษาราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพรให้เกียรติมาเป็นประธานในกิจกรรมโครงการสวมหมวกนิรภัย 100 % ตำรวจภูธรจังหวัดชุมพร ร่วมกับพลตำรวจตรี วิรุฬ สุวรรณวงศ์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดชุมพร / พันตำรวจเอกประสิทธิศักดิ์ ศรีสุข รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดชุมพร / พันตำรวจเอกเทเวศร์ ปลื้มสุทธิ์ ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรเมืองชุมพร / นายประมูล อุ่นเรือน ท้องถิ่นจังหวัดชุมพร / นางสาวสุนารี บุญชุบ หัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดชุมพร / นายนักรบ ณ ถลางนายอำเภอเมืองชุมพร / นายภาสกร ชาญกสิกร เลขานุการ อบจ. และ นายศรีชัย วีรนรพานิช นายกเทศมนตรีเมืองชุมพร

โดย พันตำรวจโทสมชาย มากอำไพ กล่าวว่า ท่านพลตำรวจโทอำพล บัวรับพร ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 ซึ่งเห็นความสำคัญว่าปัจจุบันอุบัติเหตุทางถนน ก่อให้เกิดความสูญเสียต่อชีวิต ต่อทรัพย์สินและความสูญเสียต่อเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก อุบัติเหตุทางถนนจะเกิดขึ้นกับผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์เป็นส่วนมาก ท่านจึงดำริให้จัดทำโครงการสวมหมวกนิรภัย 100 % ขึ้นทุกสถานีตำรวจในสังกัด ตำรวจภูธรภาค 8 เพื่อส่งเสริมให้ผู้ใช้รถจักรยานยนต์ ทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสารตระหนักถึงความสำคัญในการสวมหมวกนิรภัย ซึ่งจะช่วยป้องกันให้ลดการบาดเจ็บ ลดการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินเมื่อเกิดอุบัติเหตุทางถนน เป็นการปลูกจิตสำนึกของผู้ใช้รถจักรยานยนต์ ให้เคารพต่อกฎหมาย เคารพกฎจราจร ด้วยการสวมหมวก

จากนั้น พันตำรวจเอกเทเวศร์ ปลื้มสุทธิ์ กล่าวว่า โครงการสวมหมวกนิรภัย 100 %เพื่อส่งเสริมให้ผู้ใช้รถจักรยานยนต์ ทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสาร การปลูกจิตสำนึกของผู้ใช้รถจักรยานยนต์ ให้เคารพต่อกฎหมาย เคารพกฎจราจร ด้วยการสวมหมวก นิรภัย 100 เปอร์เซ็นต์ ขั้นตอนการปฏิบัติ มี 3 ช่วงด้วยกัน ช่วงเริ่มต้นรณรงค์ คือตั้งแต่วันที่ 16 ธันวาคม 2564 ถึง 31 มกราคม2565  ช่วงกวดขันเข้มข้น มีด้วยกัน 3 ระยะ สำหรับผู้กระทำผิดข้อหา "ไม่สวมหมวกนิรภัยในขณะขับขี่รถจักรยานยนต์" และข้อหา "เป็นผู้ขับขี่ยินยอมให้ผู้โดยสารไม่สวม หมวกนิรภัยในขณะโดยสารรถจักรยานยนต์ จะมีอัตราเปรียบเทียบปรับต่างกัน ผู้กระทำผิดระยะที่ 1 ตั้งแต่วันที่ 1กุมภาพันธ์ ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2565 จะเปรียบเทียบปรับในอัตรา 200 บาท ผู้กระทำผิดระยะที่ 2 ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน ถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2565 จะเปรียบเทียบปรับในอัตรา 300 บาท ผู้กระทำผิดระยะที่ 3 ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2565 เป็นต้นไป จะเปรียบเทียบปรับในอัตราสูงสุดตามที่กฎหมายกำหนด พร้อมมอบหมวกนิรภัยให้แก่ผู้กระทำผิด

 

ตร.เตือน!! คิดก่อนลงทุน ‘เงินสกุลดิจิทัล’ เสี่ยงถูกหลอก - สูญเงินนับล้าน!!

วันที่ 16 ธ.ค.2564 พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า จากกรณี กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง โดย กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) เข้าจับกุมคนร้ายที่ก่อเหตุชักชวนผู้เสียหายให้ร่วมลงทุนในธุรกิจขุดบิตคอยน์ (Bitcoin)

โดยอ้างว่าจะได้รับผลตอบแทนสูงกว่าการลงทุนโดยทั่วไป โดยผู้เสียหายจะต้องโอนเงินทุนเป็นบิตคอยน์มาให้กับคนร้ายก่อน จากนั้นเมื่อคนร้ายได้เงินก็จะหลบหนีไปพร้อมเงินดังกล่าวและไม่สามารถติดต่อได้  ทำให้มีผู้เสียหายจำนวนมาก มูลค่าความเสียหายรวมกว่า 14 ล้านบาท จนกระทั่งถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมตัวได้ดังกล่าว

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงขอเตือนพี่น้องประชาชนให้ระมัดระวังการชักชวนลงทุนเกี่ยวกับสกุลเงินดิจิทัล โดยเฉพาะการลงทุนที่มีการอ้างว่าจะได้รับผลตอบแทนสูงผิดปกติ หรืออ้างว่าจะได้ผลกำไรแน่นอน เพราะมีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นการฉ้อโกง และหากพี่น้องประชาชนท่านใดมีความประสงค์ที่จะลงทุนเกี่ยวกับสกุลเงินดิจิทัล ขอให้พี่น้องประชาชนตรวจสอบความน่าเชื่อถือของบุคคลที่ชักชวนให้ลงทุนและรูปแบบของการลงทุนดังกล่าว ก่อนที่จะลงทุน เพื่อลดความเสี่ยงที่จะถูกหลอกลวง และหากผู้ที่ชักชวนให้ลงทุนมีการอ้างว่าได้รับใบอนุญาตในการประกอบกิจการดังกล่าวจากธนาคารแห่งประเทศไทย พี่น้องประชาชนสามารถตรวจสอบรายชื่อของบุคคลและบริษัทที่ได้รับอนุญาตที่เว็บไซต์ https://www.bot.or.th/App/BOTLicenseCheck/ ซึ่งจะสามารถตรวจสอบข้อมูลใบอนุญาตหรือใบขึ้นทะเบียนให้ประกอบธุรกิจที่อยู่ภายใต้การกำกับของธนาคารแห่งประเทศไทยได้

 

กาฬสินธุ์ - สองสามีภรรยาเกษตรกร ต้นแบบเลี้ยงโคขุน - ทอผ้าขาย สร้างรายได้ตลอดปี!!

สองสามีภรรยาเกษตรกรต้นแบบชาวอำเภอสหัสขันธ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ ทิ้งอาชีพทำนา ปลูกอ้อย และมันสำปะหลัง หันมาทำฟาร์มเลี้ยงโคขุน 3 สายพันธุ์ เลี้ยงง่าย รายได้ดี และสบายกว่าทำการเกษตรที่ต้นทุนสูงราคาขายผลผลิตไม่แน่นอน ทั้งยังมีเวลาว่างรวมกลุ่มกับเพื่อนบ้านทอผ้าไหมแท้เป็นสไบแพรลายตาคู่  ซึ่งเป็นลายประจำตำบล จำหน่ายสร้างรายได้ตลอดปี

เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2564 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการติดตามบรรยากาศการประกอบอาชีพของประชาชน ที่มีพื้นที่ทำกินนอกเขตใช้น้ำชลประทานในช่วงฤดูแล้ง หลังเก็บเกี่ยวผลิตทางการเกษตร เช่น ข้าว อ้อย มันสำปะหลังเสร็จสิ้น ซึ่งพบว่าส่วนมากว่างงาน เนื่องจากขาดแหล่งน้ำทำการเพาะปลูกพืชประจำฤดู เป็นสาเหตุของการอพยพแรงงานออกนอกพื้นที่ ปล่อยผู้สูงอายุอยู่เฝ้าบ้าน เลี้ยงหลาน และทำอาชีพเสริมเล็ก ๆ น้อย ๆ พอมีรายได้และอาหารจุนเจือครอบครัว

ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้ง มีครอบครัว 2 สามีภรรยา ชาวบ้านโพนสวาง หมู่ 4 ต.นามะเขือ อ.สหัสขันธ์ จ.กาฬสินธุ์ ได้หันหลังให้กับอาชีพการเกษตร ทั้งทำนา ปลูกอ้อย และมันสำปะหลัง โดยได้เปลี่ยนอาชีพใหม่ คือการทำฟาร์มเลี้ยงโคขุน 3 สายพันธุ์ ทั้งบรามันห์ ชาโรเลส์และแองกัส ใช้เวลาเพียง 3 ปีประสบความสำเร็จ กลายเป็นแหล่งเรียนรู้ด้านปศุสัตว์ระดับอำเภอ ทั้งยังมีเวลาว่างปลูกหม่อน เลี้ยงไหม และทอผ้าไหมจำหน่าย สร้างรายได้ตลอดปี โดยในแต่ละวันจะมี “นายฮ้อย” และผู้ประกอบการค้าขายโค รวมทั้งมีคณะศึกษาดูงานจากต่างถิ่น แวะเวียนมาติดต่อและสอบถามอย่างต่อเนื่อง

นายประเสริฐ นครชัย อายุ 58 ปี อยู่บ้านเลขที่ 155 หมู่ 4 บ้านโพนสวาง กล่าวว่า เดิมครอบครัวตนทำนา 9 ไร่ ปลูกอ้อย 10 ไร่ และปลูกมันสำปะหลัง 10 ไร่ ระยะหลังประสบปัญหาขาดทุน เนื่องจากปุ๋ยแพง ค่าแรงสูง บางปีฝนทิ้งช่วง ผลผลิตตกต่ำ ไม่คุ้มทุน ทำมากี่ปี ๆ ก็ย่ำอยู่กับที่ เมื่อปี 2561 จึงคิดหาทางออกที่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่และความชอบของตนเอง คือการเลี้ยงโคเนื้อ เนื่องจากเนื้อโคเป็นที่นิยมของผู้บริโภคตลอดปี และราคาซื้อขายเริ่มขยับสูงขึ้น เริ่มแรกตัดสินใจหาซื้อแม่โคลูกผสม สายพันธุ์บราห์มันที่กำลังตั้งท้องมา 5 ตัว เพื่อประหยัดเวลาในการเลี้ยงและเห็นผลผลิตเร็ว

นายประเสริฐ กล่าวอีกว่า เมื่อแม่โคทั้ง 5 ตัวออกลูกมา ก็ได้จำนวนโคในคอกเพิ่มขึ้นเป็น 10 ตัว ก็เลี้ยงมาเรื่อยๆ มีโอกาสก็หาซื้อแม่โคที่กำลังตั้งท้องเพิ่มเข้ามา จำนวนโคก็ทวีขึ้นอย่างรวดเร็ว ก็กลายเป็นฟาร์มโคย่อมๆขึ้นมาเพียงเวลาไม่นาน ทั้งนี้เมื่อลูกโคโตขึ้นได้ขนาดและน้ำหนักพอขาย ก็จะขายเพศผู้ออกไป เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนซื้อโคเพศเมียเข้ามา เพิ่ม โดยจะเลี้ยงและรักษาโคตัวเมียเพื่อขยายพันธุ์ในฟาร์ม ทั้งนี้ เพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภค นอกจากจะเลี้ยงหรือขุนโคสายพันธุ์บรามันห์แล้ว ยังนำสายพันธุ์ชาโรเลส์ และแองกัส ซึ่งกำลังเป็นที่ต้องการของตลาดทั่วไปมาเลี้ยงด้วย

“การเลี้ยงโคขุนของตนทำง่าย ๆ โดยขังอยู่ในคอกและอยู่ในบริเวณจำกัด ไม่ได้ปล่อยเลี้ยงกลางทุ่ง อาหารมีทั้งหญ้าสด ฟาง และอาหารเสริม ซึ่งมีกินพอเพียงตลอดปี เนื่องจากเปลี่ยนพื้นที่ทำนา 9 ไร่ เป็นนาหญ้า 8 ไร่ ขุดบ่อกักเก็บน้ำ 1 ไร่ เพื่อหล่อเลี้ยงนาหญ้า ขณะที่พื้นที่ที่เคยปลูกอ้อยและมันสำปะหลัง รวม 20 ไร่ ให้เพื่อนบ้านเช่าทำกิน จึงมีเวลาดูแลโคขุนในฟาร์มอย่างเต็มที่ ทั้งนี้ ได้ลงนามความร่วมมือกับผู้ประกอบการรับซื้อโคขุน โดยขายทั้งตัวราคาซื้อขายทุกสายพันธุ์ราคาเดียวกัน คือกิโลกรัมละ 100 บาท โดยโคอายุ 2 ปี น้ำหนักตัวละประมาณ 400-500 กิโลกรัมเริ่มจำหน่าย ซึ่งจะได้ราคาตัวละ 40,000-50,000 บาท” นายประเสริฐกล่าว

ด้านนางเกสร ฆารไสย อายุ 52 ปี ภรรยานายประเสริฐ กล่าวว่า หลังจากเปลี่ยนอาชีพจากการทำเกษตรมาเลี้ยงโคอย่างจริงจังตั้งแต่ปี 2561 ซึ่งมองเห็นอนาคตการเลี้ยงโคขุนจะมีอนาคตดีกว่าทำนา ปลุกอ้อยและมันสำปะหลัง จึงได้ร่วมกับเพื่อนบ้านที่ต้องการเลี้ยงโค ไปขอคำปรึกษากับทางปศุสัตว์ อ.สหัสขันธ์ และ ธ.ก.ส.สาขาสหัสขันธ์ จากนั้นเข้าร่วมโครงการสร้างอาชีพ เพื่อขอสินเชื่อเป็นทุนจัดซื้อแม่โคมาเลี้ยงและขยายพันธุ์ ซึ่งที่ผ่านมามีการเลี้ยงโคเนื้อและโคขุน จำหน่ายหมุนเวียนเรื่อยมา ทำให้มีรายได้ใช้หนี้และจัดซื้อแม่โคเพิ่มเข้ามา ปัจจุบันมีโคในฟาร์ม 40 ตัว

นางเกสรกล่าวต่อว่า การเลี้ยงโคขุนเลี้ยงง่าย ไม่ต้องปล่อยเลี้ยงกลางทุ่ง ไม่ยากลำบาก ไม่เหนื่อย เหมือนทำการเกษตร เพียงแต่ไปตัดหญ้าที่นาหญ้า และซื้อฟางข้าวอัดก้อนมาตุนไว้ให้โคกิน ถึงเวลาก็ให้อาหารเสริมเท่านั้น จึงมีเวลาว่างเยอะ ทำให้มีโอกาสที่จะทำอาชีพอื่นเสริมมากขึ้น ซึ่งการปลูกหม่อนเลี้ยงไหมและทอผ้า ถือเป็นภูมิปัญญาที่ชาวบ้านเราทำกันมาตั้งแต่สมัยปู่ย่าตายายอยู่แล้ว เพียงแต่หาเวลาทำไม่ได้เท่านั้น ดังนั้น หลังจากเลิกทำนา เลิกปลูกอ้อย และมันสำปะหลัง จึงมีเวลาที่จะสานต่ออาชีพทอผ้าอย่างเต็มที่

ทั้งนี้ โดยการสนับสนุนของทางอำเภอสหัสขันธ์ และพัฒนาชุมชน จ.กาฬสินธุ์ ได้รวมกลุ่มแม่บ้านตั้งกลุ่มปลูกหม่อนไหมเหลืองบ้านโพนสวาง มีสมาชิกกลุ่ม 16 คน กิจกรรมกลุ่มมีปลูกหม่อน เลี้ยงไหม รวมทั้งทุกกระบวนการทั้งสาวไหม เข็นไหม ทอผ้า ตัดเย็บและแปรรูป

 

‘ผบ.ตร.’ นำทีมแถลงผลการช่วยเหลือ ‘เหยื่อค้ามนุษย์’ ในต่างประเทศ!!

ในรอบปี พ.ศ.2564 ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจ ศูนย์พิทักษ์เด็ก สตรี ครอบครัว ป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์ และภาคประมง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศพดส.ตร.) ได้รับการร้องขอความช่วยเหลือผ่านทางสื่อมวลชนและโซเชียลมีเดีย ว่ามีคนไทยถูกหลอกลวงและตกเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์ในต่างประเทศ และได้ประสานความร่วมมือกับหน่วยราชการไทยและต่างประเทศที่เกี่ยวข้อง จนสามารถเข้าให้ความช่วยเหลือคนไทยดังกล่าวและเดินทางกลับประเทศไทย ตามที่ทราบแล้ว นั้น

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งได้สั่งการให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ดำเนินการประสานงานกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การช่วยเหลือเหยื่อคนไทยที่ตกเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์ พร้อมทั้งขยายผลถึงเครือข่ายผู้กระทำผิดที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นการตัดวงจรการกระทำผิดของกลุ่มองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติเหล่านี้ ที่ได้ใช้โอกาสที่ประชาชนได้รับผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจในช่วงโควิด-19 หลอกลวงคนไทยไปบังคับใช้แรงงานและค้าประเวณีในต่างประเทศ ซึ่งการกระทำในลักษณะดังกล่าวอาจเข้าข่ายการค้ามนุษย์ กระทบต่อความปลอดภัยของประชาชนทั่วไปในสังคมในวงกว้าง

จากกรณีดังกล่าว พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ได้สั่งการให้ พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร./ผู้อำนวยการ ศพดส.ตร. และ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้ช่วย ผบ.ตร./ รองผู้อำนวยการ ศพดส.ตร. ในการดำเนินการประสานงานหน่วยงานและส่วนราชการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น กองต่อต้านการค้ามนุษย์ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงแรงงาน กรมการกงสุล กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย รวมทั้งความร่วมมือจากภาคเอกชน เช่น NGO ต่าง ๆ ที่ช่วยให้ข้อมูลของคนไทยที่ร้องขอความช่วยเหลือ จนสามารถช่วยเหลือคนไทยซึ่งถูกหลอกลวงกลับมาได้อย่างปลอดภัยจำนวนทั้งสิ้น 364 คน แบ่งเป็นการช่วยเหลือจากประเทศกัมพูชาจำนวน 361 คน และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์จำนวน 3 คน นอกจากนี้ยังมีการดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดในกรณีดังกล่าวได้เป็นจำนวนมาก โดยมีการออกหมายจับผู้กระทำผิดที่หลอกลวงคนไทยไปบังคับใช้แรงงานในกัมพูชาได้ทั้งสิ้น 32 ราย จับกุมแล้ว 15 ราย คงเหลือ 17 ราย และออกหมายจับผู้กระทำผิดที่เกี่ยวข้องกับการหลอกลวงคนไทยไปค้าประเวณีที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ได้ทั้งสิ้น 25 ราย จับกุมแล้ว 6 ราย คงเหลือ 19 ราย

กรณีผู้เสียหายจากกัมพูชานั้น เป็นกรณีที่ผู้เสียหายได้ถูกหลอกลวงจากข้อมูลการรับสมัครงานทางโซเชียลมีเดียเหมือนปกติทั่วไป ตั้งแต่งานรับจ้างทั่วไป จนถึงงานในคาสิโน โดยมีการใช้ตัวเลขรายได้ที่สูงมาล่อใจ เพื่อให้ผู้เสียหายมีความสนใจสมัครไปทำงานดังกล่าว แต่แท้จริงแล้วได้มีการนำพาผู้เสียหายข้ามชายแดนโดยผิดกฎหมายตามช่องทางธรรมชาติ และมีการยึดหนังสือเดินทาง และบังคับให้ทำงานที่ผิดกฎหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การหลอกลวงให้คนไทยลงทุนในธุรกิจที่ไม่มีอยู่จริง หรือคอลเซ็นเตอร์ สร้างความเสียหายมูลค่าหลายล้านบาท หากใครไม่ยอมทำงานดังกล่าวก็จะถูกบังคับทุบตี ทำร้ายร่างกาย กักขัง และอดอาหาร จะต้องหาทางร้องขอความช่วยเหลือจากทางการไทยเพื่อช่วยเหลือกลับประเทศไทย

 

นราธิวาส - ศึกษาธิการจังหวัด นำประกาศเจตจำนงต่อต้านการทุจริต!!

เมื่อวันพุธ ที่ 15 ธันวาคม 2564 ศึกษาธิการจังหวัดนราธิวาสนำทีมผู้บริหารและบุคลากรสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดนราธิวาสประกาศเจตจำนงต่อต้านการทุจริต ณ ห้องประชุมบุหงาตันหยง สำนักงานศึกษาธิการจังหวัดนราธิวาส

นายชาร์รีฟ สือนิ ศึกษาธิการจังหวัดนราธิวาส กล่าวว่า “ในวันนี้กระทรวงศึกษาธิการได้จัดงานวันต่อต้านการทุจริต กระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งภายในงานได้มีพิธีประกาศเจตนารมณ์การต่อต้านการทุจริตและมอบนโยบายNo Gift Policy ของกระทรวงศึกษาธิการโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เนื่องในวันต่อต้านคอร์รัปชันสากล (ประเทศไทย) ภายใต้แนวคิด “กระทรวงศึกษาธิการโปร่งใส ไม่ทนต่อการทุจริต” (MOE TRUST & Zero Tolerance) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 โดยได้ให้บุคลากรสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดทุกจังหวัดได้เข้าร่วมรับชมการถ่ายทอดสดกิจกรรมดังกล่าวทาง Facebook Live

ทั้งนี้ สำนักงานศึกษาธิการจังหวัดนราธิวาสได้จัดกิจกรรมต่อต้านการทุจริต โดยศึกษาธิการจังหวัดนราธิวาสเป็นประธานในการประกาศเจตนารมณ์การต่อต้านการทุจริตของสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดนราธิวาสซึ่งมีใจความว่า “จะปฏิบัติหน้าที่ ด้วยความซื่อสัตย์  สุจริต มีความโปร่งใส และมีคุณธรรมในการปฏิบัติงาน บริหารงานอย่างเต็มกำลังความสามารถ

 

เพชบูรณ์ - มณฑลทหารบกที่ 36 สนับสนุนผลผลิตลำใย ที่ได้รับผลกระทบผลไม้ล้นตลาดและราคาตกต่ำ ของเกษตรกรในพื้นที่ อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 36 ได้มอบลำไยพันธ์อีดอ (เกรดเอ) ให้กับกำลังพลของหน่วย โดยรับซื้อผลผลิตจากเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากกรณีผลไม้ล้นตลาด และราคาตกต่ำของเกษตรในพื้นที่ อ.จอมทอง จว.ช.ม. จำนวน 25 ตัน ผ่านกรมส่งเสริมสหกรณ์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.)

โดย มณฑลทหารบกที่ 36 สนับสนุนการรับซื้อลำไยจากเกษตรกรที่ได้รับ ผลกระทบ จำนวน 350 กิโลกรัม (117 ตะกร้า) ณ กองบัญชาการมณฑลทหารบกที่ 36 ค่ายพ่อขุนผาเมือง อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบูรณ์

กระบี่ - ทำพิธี! “จมฝูงเรือรบหลวง” อย่างสมเกียรติ สร้างอุทยานเรียนรู้ใต้ท้องทะเลเกาะลันตา

วันที่ 15 ธ.ค.64 นายไชยยศ จิรเมธากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีจมเรือรบหลวง รวม 3 ลำ ใกล้กับเกาะหมา ท้องทะเล อ.เกาะลันตา จ.กระบี่ ลงสู่ใต้ทะเล เป็นอุทยานการเรียนรู้เพื่อการอนุรักษ์ ฟื้นฟูระบบนิเวศทรัพยากรทางทะเล และเป็นแหล่งท่องเที่ยวดำน้ำ ระดับโลก ในพื้นที่ทะเลเกาะลันตา จ.กระบี่ โดยมีนายสมชาย หาญภักดีปฏิมา รองผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ / พลเรือตรี พัลลภ เขม้นงาน รองผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 3 / นายชวน ภูเก้าล้วน ประธานสภาการศึกษาจังหวัดกระบี่ หน่วยงานราชการ ภาคเอกชน ผู้ประกอบการท่องเที่ยวจังหวัดกระบี่ และประชาชน เข้าร่วม

โดยก่อนการจมเรือหลวง ทั้ง 3 ลำ คือ เรือหลวงปราบปรปักษ์ เรือ ต 15 หรือเรือหลวงสู้ไพรินทร์ และเรือ ต 16 หรือเรือหลวงหาญหักศัตรู ลงสู่ใต้ท้องทะเล ได้มีพิธีวางพวงมาลาไว้อาลัยอย่างสมเกียรติ พร้อมทำการนำน้ำเข้าเรือใช้เวลานานกว่า 3 ชั่วโมง กว่าเรือจะจมดิ่งสู่ก้นทะเลทั้งลำ ซึ่งพิธีจมเรือดังกล่าวเพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ทรัพยากรธรรมชาติ แหล่งอาศัยของสัตว์น้ำ และเป็นแหล่งท่องเที่ยวดำน้ำของจังหวัดกระบี่ และจังหวัดฝั่งอันดามัน ตามโครงการอุทยานการเรียนรู้ใต้ท้องทะเล โดยความร่วมมือระหว่างจังหวัดกระบี่ ร่วมกับกองทัพเรือ และสภาการศึกษา จ.กระบี่

นายไชยยศ จิรเมธากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า โครงการสร้างอุทยานการเรียนรู้ใต้ท้องทะเลจังหวัดกระบี่ ได้รับการอนุเคราะห์จากกองทัพเรือ มอบเรือปลดประจำการ จำนวน 11 ลำ ซึ่งเป็นเรือที่ปลดประจำการ เพื่อจมใต้ท้องทะเลเป็นแหล่งอาศัยของสัตว์น้ำ โดยในวันนี้ ทำการจมเรือรบปลดประจำการจำนวน 3 ลำ ได้มีการทำพิธีวางเรือไปแล้ว จำนวน 3 ลำ เพื่อเป็นการจัดสร้างปะการังเทียม ตามโครงการอุทยานเรียนรู้ใต้ท้องทะเล จังหวัดกระบี่ ส่วนอีก 8 ลำ จะนำมาจมอีก ประมาณเดือนมีนาคม 65 ซึ่งจากนี้ไปเรือรบทั้ง 3 ลำ จะทำหน้าที่อนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเล ตามโครงการอุทยานเรียนรู้ใต้ท้องทะเลจังหวัดกระบี่ตลอดไป

ด้านนายสมชาย หาญภักดีปฎิมา รอง ผวจ.กระบี่ กล่าวว่า เชื่อว่าในอนาคต จังหวัดกระบี่ จะเป็นศูนย์กลางการดำน้ำดูปะการังที่ใหญ่ที่สุดและสำคัญที่สุดในท้องทะเลฝั่งอันดามัน เนื่องจากมีปะการัง ที่เป็นโครงการอุทยานเรียนรู้ และปะการังธรรมชาติ โดยก่อนหน้านี้ทางจังหวัดกระบี่ ได้นำเรือรบที่ปลดประจำการ ไปวางไว้ท้องทะเล จำนวน 2 จุด ได้แก่บริเวณเกาะยาวาซำ และเกาะพีพีเล ต.อ่าวนาง พบว่ามีปะการังเริ่มเจริญงอกงาม และกำลังเป็นที่สนใจของนักท่องเที่ยว

 

สุรินทร์ - สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ 10 แห่ง ก่อนเปิดงาน “มหัศจรรย์งานช้างสุรินทร์" ครั้งที่ 61 เพื่อความเป็นสิริมงคลและให้งานสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี

วันที่ 15 ธันวาคม 2564 เวลา 07.09 น. นายสุวพงศ์ กิติภัทย์พิบูลย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ พร้อมด้วยนายกเหล่ากาชาด รองผู้ว่าราชการจังหวัด คณะหัวหน้าส่วนราชการ ร่วมพิธีสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของจังหวัดสุรินทร์ก่อนเปิดงาน "มหัศจรรย์งานช้างสุรินทร์"  

โดยเริ่มจากไหว้พระพุทธจอมสุรินทร์ พระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ 5 บริเวณหน้าศาลากลางจังหวัดสุรินทร์ จากนั้นไหว้สักการะหลวงพ่อพระชีว์ (หลวงพ่อประจี) พระคู่บ้านคู่เมือง ณ วัดบูรพาราม (พระอารามหลวง) และเดินทางสักการะศาลหลักเมืองสุรินทร์ อนุสาวรีย์พระยาสุรินทร์ภักดีศรีณรงค์จากวาง องค์อินทร์ ณ สวนสุขภาพเฉลิมพระเกียรติสมเด็จย่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สนามแสดงช้าง ศาลพระภูมิ ณ สนามกีฬาศรีณรงค์ องค์อินทร์ ณ โรงเรียนสุรวิทยาคาร สุดท้ายที่พระพรหมและศาลปู่ย่า หน้าศาลากลางจังหวัดสุรินทร์หลังใหม่

เพื่อให้การจัดงานดังกล่าวเป็นไปด้วยความเรียบร้อย เกิดความเป็นสิริมงคลแก่ผู้จัดงานและผู้มาร่วมชมงานนี้ จากที่จังหวัดสุรินทร์ได้กำหนดจัดงาน “มหัศจรรย์งานช้างสุรินทร์” ประจำปี 2564 ปีนี้เป็นปีที่ 61 กำหนดจัดงานระหว่างวันที่ 15 - 26 ธันวาคม 2564 ณ สนามกีฬาศรีณรงค์ และสนามแสดงช้าง จังหวัดสุรินทร์ เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวของจังหวัดสุรินทร์ให้เป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ รวมทั้งเป็นการส่งเสริมขนบธรรมเนียมประเพณีศิลปวัฒนธรรมพื้นเมืองอันดีงาม และอนุรักษ์การแสดงช้างซึ่งเป็นสัตว์สัญลักษณ์ประจำชาติไทยให้คงอยู่สืบไป โดยช่วงเย็นวันที่ 15 ธันวาคม 2564 มีพิธีเปิดงานมหัศจรรย์ขึ้นอย่างเป็นทางการ ในเวลาประมาณ 17.00 น.

ตร. สั่งกำชับ!! ตำรวจทั่วประเทศเตรียมพร้อมป้องกันและแก้ไขปัญหา รับมือนักเรียน - นักศึกษา ‘ก่อเหตุทะเลาะวิวาท ยกพวกตีกัน’!!!

ตามที่ปรากฏเป็นข่าวผ่านสื่อมวลชนและสื่อสังคมออนไลน์ กรณีที่มีกลุ่มนักเรียน นักศึกษาก่อเหตุทะเลาะวิวาท ยกพวกตีกัน จนสร้างความวุ่นวายและเดือดร้อนแก่พี่น้องประชาชน โดยมีปัจจัยส่วนหนึ่งมาจากพฤติกรรมลอกเลียนแบบตามภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง นั้น

พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และ พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ปป.) ตระหนักถึงความสำคัญของปัญหาฯ อีกทั้งมีความห่วงใย ต่อเด็กและเยาวชน ที่อาจเกิดพฤติกรรมลอกเลียนแบบในการก่อเหตุทะเลาะวิวาท จึงมอบหมายให้ พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ รองจเรตำรวจแห่งชาติ (ช่วยงาน (ปป.)) เป็นหัวหน้ารับผิดชอบควบคุมกำกับดูแล การป้องกันและแก้ไขปัญหานักเรียน นักศึกษาก่อเหตุทะเลาะวิวาท ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

ทั้งนี้ กำหนดให้มีการประชุมการป้องกันและแก้ไขปัญหานักเรียน นักศึกษา ก่อเหตุทะเลาะวิวาท ผ่านระบบวิดีโอทางไกล (VDO Conference) ในวันอังคารที่ 14 ธ.ค. 64 เวลา 10.00 น ณ ห้องประชุม ศปก.ตร. ชั้น 20 อาคาร 1 ตร. โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคีเครือข่าย เข้าร่วมประชุมฯซึ่งการประชุมฯ โดยมีรายละเอียด ดังนี้

1) ให้ทุก บก./ภ.จว. ที่มีสถานการณ์ปัญหา นักเรียน นักศึกษา ก่อเหตุทะเลาะวิวาท วิเคราะห์พื้นที่ปฏิบัติการ (IPB) โดยให้ลงรายละเอียดเกี่ยวกับพื้นที่ที่มักจะเป็นจุดเสี่ยง จุดล่อแหลม รวมถึงการสำรวจกล้องวงจรปิดบริเวณโดยรอบและการแสวงหาความร่วมมือจากภาคส่วนต่าง ๆ

2) สำหรับ บก./ภ.จว. ที่มีการรับแจ้งเหตุเกิดขึ้นแล้วและมีผู้บาดเจ็บ หรือมีผู้เสียชีวิต รวมทั้งการรับแจ้งเหตุว่าจะมีการรวมตัวกันก่อเหตุและสามารถเข้าไประงับหรือป้องกันเหตุได้ก่อน ให้มีการแต่งตั้งคณะทำงานระดับพื้นที่ขึ้น เพื่อทบทวนบทเรียนหลังจากที่มีการปฏิบัติ (AAR) เพื่อหาจุดแข็ง จุดอ่อน หรือปัญหาอุปสรรค เพื่อทำการแก้ไข ทั้งนี้มุ่งหวังให้มีรูปแบบการปฏิบัติที่เป็นมาตรฐาน (SOP) และมีการออกแผนปฏิบัติการและทำการซักซ้อมแผนเป็นประจำ สำหรับกรณีนักเรียน นักศึกษาก่อเหตุทะเลาะวิวาทแล้วมีผู้บาดเจ็บถูกส่งตัวไปรักษายังโรงพยาบาล ให้มีแผนเผชิญเหตุและทำการซักซ้อม เพื่อป้องกันการทะเลาะวิวาทต่อเนื่องที่โรงพยาบาลด้วย

3) นำข้อมูลที่ได้จากการรับแจ้งเหตุทางศูนย์วิทยุ 191 มาเป็นข้อมูลในการประชุมงานสายตรวจ เพื่อประกอบการวิเคราะห์และจัดทำแผนการตรวจ ให้สอดคล้องกับสภาพปัญหาในพื้นที่ หากห้วงเวลาหรือ สถานที่ที่ได้จากการวิเคราะห์ว่ามีแนวโน้มการรวมตัวก่อเหตุ ให้มีมาตรการที่ชัดเจนและสามารถนำไปปฏิบัติได้อย่างแท้จริง

4) การบูรณาการความร่วมกัน ระหว่าง งานป้องกันปราบปราม งานสืบสวน และพนักงานสอบสวน ในระดับ สน./สภ. เมื่อรับแจ้งเหตุว่าจะมีเหตุดังกล่าว จะต้องประสานงานทั้งสายตรวจประเภทต่าง ๆ และทีมสืบสวน เพื่อเข้าไปป้องกันเหตุ หรือคลี่คลายสถานการณ์ หากเป็นเหตุที่จะต้องดำเนินคดีในชั้นพนักงานสอบสวน ฝ่ายสืบสวนจะต้องเร่งพิสูจน์ทราบกลุ่มบุคคล ที่ก่อเหตุ เพื่อดำเนินการด้วยความรวดเร็ว

5) มาตรการประสานงานกับสถาบันการศึกษา นั้น กำชับให้ระดับ ผกก.หัวหน้าสถานี เป็นผู้ประสานงานกับ ผอ.สถาบันการศึกษาที่มีความเสี่ยง เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ซึ่งกันและกันโดยตรง

6) พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ ในฐานะผู้รับผิดชอบกำกับดูแลการป้องกันและแก้ปัญหานักเรียน นักศึกษาก่อเหตุทะเลลาะวิวาท ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ประสานกับเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา เพื่อสร้างความร่วมมือ และหาแนวทางในการป้องกันเหตุนักเรียน นักศึกษาก่อเหตุทะเลาะวิวาทต่อไป

 

ตร.ประจวบฯ โชว์ฟอร์ม!! ‘จับยาบ้า - กัญชา’ มูลค่ารวม 100 ล้านบาท คาด่านห้วยยาง!!

สภ.ห้วยยาง อ.ทับสะแก จ.ประจวบคีรีขันธ์ พล.ต.ท.ธนายุตม์ วุฒิจรัสธำรงค์ ผบช.ภ 7 พล.ต.ต.วันชัย ธารณธรรม ผบก.ภ.จ.ประจวบคีรีขันธ์ พ.ต.อ.นนท์ ภักดีพันธ์ ผกก.สภ.ห้วยยาง นายอำนาจ เหล่ากอที  ผู้อำนวยการสำนักงาน ปปส.ภาค 7 นายพรหมพิริยะ กิจนุสนธิ์ รองผู้ว่าราชการ จ.ประจวบฯ ร่วมแถลงข่าวจับกุมผู้ต้องหาคดียาเสพติดรายใหญ่จำนวน 2 คดี ได้ผู้ต้องหา 4 คน พร้อมของกลางยาบ้าจำนวน 1 ล้านเม็ด กัญชาแห้งอัดแท่งหนัก 660 กิโลกรัม (กก.) คิดเป็นมูลค่ากว่า 100 ล้านบาท  

โดยกลางดึกคืนที่ผ่านมา ขณะเจ้าหน้าที่สนธิกำลังตั้งด่านตรวจสิ่งผิดกฎหมายบนถนนเพชรเกษมขาล่องใต้ ด้านหน้า สภ.ห้วยยาง พบรถกระบะยี่ห้อโตโยต้าตอนครึ่งสีบรอนซ์เงิน ทะเบียน บน 9396 ภูเก็ต สภาพเก่าวิ่งมา แต่ก่อนถึงด่านตรวจประมาณ 50 เมตร รถคันดังกล่าวเห็นมีด่านอยุ่ข้างหน้าจึงหักหลบเข้าซอยข้างทาง ตำรวจประจำด่านเห็นผิดสังเกตจึงขับตามจนทันก่อนเรียกให้จอด ทราบชื่อคนขับว่า นางอุทัย หลวงสมบัติ อายุ 46 ปี มี น.ส.จันทนา หลวงสมบัติ อายุ 26 ปี ทั้งคู่เป็นชาว จ.พังงา นั่งคู่มาด้วยท่าทางมีพิรุธ จึงขอตรวจค้นที่กระบะท้ายพบกล่องโฟมปิดผนึกอย่างดีวางรวม 5 กล่อง เมื่อเปิดออกดูถึงกลับตะลึง พบยาบ้ากล่องละ 200,000 เม็ด รวม 1,000,000 เม็ด ซุกซ่อนอยู่จึงนำตัวมาสอบสวน

เบื้องต้นนางอุทัยรับว่าได้รับการว่าจ้างจากชายคนหนึ่งเป็นเงิน 20,000 บาทแต่ยังไม่ได้รับเงิน ให้ขับรถขนกล่องโฟม 5 ใบโดยบอกว่าภายในเป็นดอกมะลิ จากบริเวณแยกวังมะนาว อ.ปากท่อ จ.ราชบุรี ให้ไปส่งที่ศาลพ่อตาหินช้าง อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร และจะมีคนมารับอีกทีหนึ่ง แต่ระหว่างทางถูกจับกุมเสียก่อน เบื้องต้นตำรวจไม่ปักใจเชื่อก่อนนำตัวผู้ต้องหาทั้ง 2 คนไปสอบสวนขยายผลดำเนินคดีตามกฎหมาย

ส่วนอีกราย ขณะเจ้าหน้าที่ตั้งด่านตรวจบนถนนเพชรเกษมขาล่องใต้ ด้านหน้า สภ.ห้วยยาง มีรถกระบะมาสด้า ตอนครึ่ง สีขาว ป้ายทะเบียน ผน 7064 อุดรธานี ขับผ่านมา มีนายเกรียงไกร บุญคำ อายุ 36 ปี ชาว จ.สกลนคร เป็นคนขับ น.ส.กรรณิกา ปาละสิทธิ์ อายุ 33 ปี นั่งคู่มาด้วย ทั้ง 2 คนท่าทางมีพิรุธเมื่อเห็นตำรวจจึงขอตรวจค้น พบกัญชาแห้งอัดแท่งจำนวน 660 แท่ง ๆ ละ 1 กก.รวม 660 กก. ซุกซ่อนอยู่ในถุงปุ๋ยโดยมีกล่องเหล้า กระสอบฟางแห้งปิดทับเพื่อตบตา จึงควบคุมตัวมาสอบสวน

 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top