Sunday, 18 May 2025
SPECIAL

กัมพูชา - คนขายของชายหาดไร้บ้านในสีหนุวิลล์ ขอการสนับสนุนจากรัฐบาลท้องถิ่นเพิ่มเติม

สีหนุวิลล์/กัมพูชา - พ่อค้าเร่ไร้บ้านหลายร้อยรายใน Prey Veng ที่ทิ้งบ้านเกิดและย้ายไปที่สีหนุวิลล์เพื่อโอกาสในการทำงานที่ดีขึ้น เรียกร้องให้รัฐบาลท้องถิ่นอนุญาตให้พวกเขาอยู่ในที่ที่พวกเขาอยู่ในหาด Otres และอย่าบังคับให้พวกเขาย้ายออกไป

ผู้ขายชายหาดบางรายอ้างว่าพวกเขาต้องออกจากบ้านเกิดเนื่องจากขาดโอกาสในการทำงานและหนี้สินที่พวกเขาแบกรับสำหรับธนาคารและบริษัทไมโครไฟแนนซ์

คนอื่นๆ กล่าวว่าธุรกิจของพวกเขาได้รับผลกระทบเนื่องจากการระบาดใหญ่และการล็อคในช่วงสองปีที่ผ่านมา

ในขณะที่รัฐบาลกัมพูชาประกาศเปิดประเทศอีกครั้ง ได้กดดันให้ผู้ขายออกจากสีหนุวิลล์หรือสร้างร้านค้าที่เหมาะสม หากพวกเขาต้องการขายสินค้าของตนต่อไป แทนที่จะทำงานในเกวียน 

พ่อค้าแม่ค้าหาดต้อนรับเปิดใหม่ อย่างไรก็ตามพวกเขาปฏิเสธที่จะออกจากที่รุ่งเรืองซึ่งพบแหล่งทำมาหากิน

ในการพูดคุยกับสำนักข่าว A24 ผู้ขายบ่นว่าพวกเขาไม่สามารถเช่าบ้านเพื่อพักอาศัยหรือสร้างร้านค้าเพื่อทำงาน ในขณะที่บางคนระบุว่าพวกเขา “จ่ายเงิน 1,000 เรียล (0.25 ดอลลาร์) ต่อวันเพื่อใช้สถานที่นี้”   

หลายคนเน้นว่าปัญหาทางการเงินที่พวกเขาพบในบ้านเกิดทำให้พวกเขาต้องย้ายถิ่นฐาน โดยเรียกร้องให้รัฐบาลท้องถิ่นอนุญาตให้พวกเขาทำธุรกิจในพื้นที่นี้ต่อไป เนื่องจากเป็นแหล่งรายได้เพียงแหล่งเดียวสำหรับพวกเขา  

“ฉันเช่าพื้นที่เพาะปลูกเพื่อปลูกมันเทศและเสียเงินไป 5,000 ดอลลาร์ ฉันเป็นหนี้ธนาคาร ฉันจึงย้ายมาที่นี่เพื่อหาเงินมาจ่ายคืนที่ธนาคารและจ่ายค่าเล่าเรียนให้ลูกๆ ของฉัน” พ่อค้าคนหนึ่งในหาดกล่าว

ตร. เตือน!! กลลวงคอลเซ็นเตอร์ ขอให้โอนเงินเพื่อตรวจสอบ ย้ำ “หน่วยงานรัฐไม่เคยทำ” ห้ามโอนเด็ดขาด!!!

วันที่ 9 ธ.ค. 2564 พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ตามที่ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ได้มีนโยบายให้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แจ้งเตือนและประชาสัมพันธ์ให้พี่น้องประชาชนรู้เท่าทันถึงอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทำการสืบสวนจับกุมผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอดนั้น

ปัจจุบัน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้รับการร้องเรียนจากพี่น้องประชาชนว่ามีกลุ่มคนร้ายมีพฤติการณ์แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือ บริษัทขนส่งสินค้า โดยแจ้งว่าบัญชีของท่านหรือพัสดุสิ่งของของท่านที่ส่งไปต่างประเทศมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด เช่น ยาเสพติด การค้ามนุษย์ ก่อการร้ายฯลฯ มีการข่มขู่ว่าจะดำเนินคดีในอัตราโทษสูง จะมีการออกหมายจับ ถ้าไม่อยากถูกดำเนินคดี ต้องโอนเงินมาให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ มิเช่นนั้นจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย ซึ่งมีพี่น้องประชาชนได้รับโทรศัพท์ในลักษณะดังกล่าวเป็นจำนวนมาก ทั้งที่มิได้มีส่วนกับการกระทำความผิดตามที่มิจฉาชีพกล่าวอ้าง นั้น

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงขอเรียนพี่น้องประชาชนว่า ธนาคาร และหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายต่าง ๆ ไม่มีความจำเป็นใดที่จะต้องให้เจ้าของบัญชีธนาคารโอนเงินมาให้กับเจ้าหน้าที่เพื่อทำการตรวจสอบ เพราะหากพบว่าบุคคลใดมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด พนักงานสอบสวนหรือพนักงานเจ้าหน้าที่จะใช้อำนาจตามกฎหมายในการยึด อายัดบัญชีธนาคาร

โดยจะเป็นผู้ติดต่อกับทางธนาคารโดยตรง จึงขอให้พี่น้องประชาชนอย่าหลงเชื่อ และหากมีผู้ใดอ้างว่าต้องให้ท่านโอนเงินเพื่อให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบ ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นมิจฉาชีพ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะได้เร่งรัดดำเนินการสืบสวนปราบปรามจับกุมผู้กระทำความผิดอย่างเข้มข้นต่อไป

 

นราธิวาส - ศอ.บต.นำร่องโครงการ 1 ข้าราชการ 1 ครัวเรือนยากจน จังหวัดชายแดนภาคใต้ ส่งเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่สำรวจข้อมูลครัวเรือนที่มีฐานะยากจนเพื่อช่วยเหลือ

นายธารธรรม คำแป้น นิติกร ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ พร้อมด้วย นายอับดุลเลาะ สือรี กำนัน ต.รือเสาะ นายอัสรี หะยีสือนิ ผู้ใหญ่บ้าน ม.10  ต.รือเสาะ และบัณฑิตอาสา ต.รือเสาะ อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส ได้เดินทางไปยังบ้านของนางเจ๊ะมะ สะอิ อยู่บ้านเลขที่ 292/3 ม.10 บ้านบาซาบาตอ ต.รือเสาะ อ.รือสา จ.นราธิวาส เพื่อสำรวจข้อมูลครัวเรือนที่มีฐานะยากจน ตามโครงการ นำร่องโครงการ 1 ข้าราชการ 1 ครัวเรือนยากจนจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งเป็นโครงการนำร่องของ ศอ.บต.ที่บูรณาการขจัดความยากจนพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืน ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง

พลเรือตรี สมเกียรติ ผลประยูร เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ประชุมคณะกรรมการศูนย์บูรณาการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญา เศรษฐกิจพอเพียงจังหวัดชายแดนภาคใต้วางแผนการดำเนินงานนำร่องให้ข้าราชการ พนักงานราชการ และลูกจ้าง ศอ.บต. เป็นข้าราชการนำร่องประกบครัวเรือนยากจนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้  ซึ่งมีจำนวนนำร่อง 379 ครัวเรือน ใน 43 อำเภอ จากจำนวนสำรวจทั้งสิ้น 37,395 ครัวเรือน โดยพิจารณาจากเกณฑ์ความยากจนทับซ้อน 5 มิติ คือ มิติความจนด้านสุขภาพ รายได้ การศึกษา ความเป็นอยู่ และความจนด้านมิติการเข้าถึงบริการภาครัฐ หวังขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาความยากจนอย่างยั่งยืน

พลเรือตรี สมเกียรติ ผลประยูร เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) เปิดเผยว่าการแก้ไขปัญหาความยากจน เป็นนโยบายหลักของรัฐบาล ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง จชต. โดย ศอ.บต. ในฐานะหน่วยนำการพัฒนา จะเป็นหน่วยขับเคลื่อน เสริม และเพิ่มเติม เพื่อแก้ไขปัญหาความยากจน โดยจะมี การนำร่องโครงการ ให้ข้าราชการ พนักงานราชการ และลูกจ้าง ศอ.บต. ลงพื้นที่ประกบครัวเรือนเป้าหมาย ซึ่งขณะนี้ได้มอบหมายงานเรียบร้อยแล้ว และเตรียมลงพื้นที่ตามแผนที่วางไว้ อย่างไรก็ตาม การลงพื้นที่ประกบ ช่วยเหลือประชาชนในโครงการ 1 ข้าราชการ 1 ครัวเรือนยากจนในครั้งนี้ เป็นการนำร่องเพื่อค้นหารูปแบบที่ดีที่สุด ในการช่วยเหลือประชาชนให้พ้นเกณฑ์ ความยากจนอย่างมีประสิทธิภาพ ตั้งเป้าให้เห็นเป็นรูปธรรมในไตรมาสที่จะถึงนี้

 

ชุมพร - สนข. เดินหน้าพัฒนาโครงการ Land Bridge ส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจภาคใต้ มุ่งสู่การเป็นศูนย์กลางการขนส่งทางน้ำของภูมิภาคอาเซียน

นายกองเอกพุทธ กฤชคงพันธุ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร เป็นประธานเปิดการสัมมนาเพื่อแนะนำโครงการและรับฟังความคิดเห็นจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชนที่เกี่ยวข้องโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ณ ห้องพุทธรักษา โรงแรมมรกตทวิน อำเภอเมืองชุมพร จังหวัดชุมพร

ด้านคมนาคมขนส่งเพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้เพื่อเชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2564 ณ ห้องพุทธรักษา โรงแรมมรกตทวิน จังหวัดชุมพร เพื่อนำเสนอความเป็นมาของโครงการ วัตถุประสงค์โครงการ และขอบเขตการดำเนินงาน โดยมีคณะผู้บริหารและสื่อมวลชน เข้าร่วมงานดังกล่าว

ปัจจุบันการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศไทยกับกลุ่มประเทศทางด้านมหาสมุทรอินเดีย ต้องเปลี่ยนถ่ายสินค้า ทั้งนำเข้าและส่งออกผ่านช่องแคบมะละกา (สิงคโปร์) ซึ่งเส้นทางดังกล่าว เป็นเส้นทางที่อ้อมและมีระยะไกล การจราจรทางน้ำคับคั่ง จากข้อมูลปี 2561 ช่องแคบมะละกามีความหนาแน่นของปริมาณเรือสูงถึง 85,000 ลำ/ปี และในอีก 10 ปีข้างหน้า ปริมาณเรือจะเพิ่มขึ้นกว่า 128,000 ลำ ซึ่งเกินกว่าความจุของช่องแคบมะละกาที่รองรับได้ 122,000 ลำต่อปี ก่อให้เกิดปัญหาการติดขัดและเสียเวลาในการเดินทาง กระทรวงคมนาคม จึงมอบหมายให้ สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ดำเนินการศึกษาโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ด้านการคมนาคมขนส่ง เพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้เพื่อเชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน (Landbridge) โดยมีขอบเขตการศึกษา ประกอบด้วย

1.ศึกษาความเหมาะสมทางเศรษฐกิจ การเงิน วิศวกรรม สังคม ของโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ เช่น ท่าเรือ รถไฟ ถนน เป็นต้น ที่เชื่อมโยงการขนส่งสินค้าระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน

2.ออกแบบรายละเอียดเบื้องต้น และประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ที่เชื่อมโยงการขนส่งสินค้าระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน

3.จัดทำรายงานการศึกษาและวิเคราะห์โครงการ ตามพระราชบัญญัติการร่วมทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 ของโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ที่เชื่อมโยงการขนส่งสินค้าระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน

4.วิเคราะห์จัดทำรูปแบบการพัฒนาและการลงทุน (Business Development Model) ของโครงการพัฒนา โครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ เช่น ท่าเรือ รถไฟ ถนน เป็นต้น ที่เชื่อมโยงการขนส่งสินค้าระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน และ สร้างความเข้าใจ พร้อมรับฟังความคิดเห็นอย่างรอบด้านตลอดระยะเวลาดำเนินงาน โดยมีระยะเวลาศึกษาโครงการ 30 เดือน ซึ่งคาดว่าจะศึกษาแล้วเสร็จภายในปี 2566

โดยแนวคิดการพัฒนาสร้างท่าเรือชุมพร กำหนดให้เป็นท่าเรือน้ำลึกที่ทันสมัย โดยนำระบบออโตเมชั่นมาใช้เพื่อยกระดับท่าเรือสู่ Smart Port  ส่วนแนวคิดการพัฒนาท่าเรือระนอง กำหนดให้เป็นท่าเรือสินค้าคอนเทนเนอร์และเป็นประตูการค้าฝั่งอันดามัน เชื่อมโยงระหว่างท่าเรือระนองกับท่าเรือกลุ่มประเทศแถมเอเชียใต้

นอกจากนี้จากการศึกษาความเหมาะสมเพื่อพัฒนาท่าเรือเชื่อมอ่าวไทย-อันดามันแล้ว โครงการฯ ยังได้ศึกษาความเหมาะสมเพื่อบูรณาการการขนส่งทางท่อ ทางบก และทางราง เพื่อให้เชื่อมต่อกับ 2 ท่าเรืออย่างไร้รอยต่อ โดยศึกษาความเหมาะสมเพื่อพัฒนาทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (Motorway) และรถไฟทางคู่ และการขนส่งทางท่อ โดยจะก่อสร้างคู่ขนานบนเส้นทางเดียวกัน เพื่อลดผลกระทบจากการเวนคืนที่ดินของภาคประชาชน

 

กรุงเทพฯ - โรงเรียนนายเรือ พัฒนาทำความสะอาด และมอบอุปกรณ์ ATK 400 ชุด ให้โรงเรียนวัดบวรนิเวศ ถวายเป็นพระราชกุศล เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพฯ

โรงเรียนนายเรือ จัดกิจกรรมจิตอาสาพระราชทานตามแนวพระราชดำริ “เราทำความ ดี ด้วยหัวใจ” ในการพัฒนา และทำความสะอาด พร้อมมอบอุปกรณ์ Antigen Test Kit หรือชุดตรวจโควิด-19 แบบเร่งด่วน 400 ชุดให้แก่ โรงเรียนวัดบวรนิเวศ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ  พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม 2564  

พลเรือตรี สมรภูมิ จันโท รองผู้บัญชาการโรงเรียนนายเรือนำกำลังพลจิตอาสาโรงเรียนนายเรือ ร่วมกับครู อาจารย์ และนักเรียนโรงเรียนวัดบวรนิเวศ ร่วมกิจกรรมจิตอาสาพระราชทานตามแนวพระราชดำริ

“เราทำความ ดี ด้วยหัวใจ” ในการพัฒนา และทำความสะอาดโรงเรียนวัดบวรนิเวศ พร้อมมอบอุปกรณ์ Antigen Test Kit หรือชุดตรวจโควิด-19 แบบเร่งด่วน  ให้แก่โรงเรียนวัดบวรนิเวศ ณ โรงเรียนวัดบวรนิเวศ เขตพระนคร กรุงเทพฯ

 

ประจวบคีรีขันธ์ - มอบตรา SHA SHA+ ให้รถโดยสารสาธารณะหัวหิน สร้างความเชื่อมั่นแก่นักท่องเที่ยว

วันที่ 8 ธ.ค. นายนพพร วุฒิกุล นายกเทศมนตรีเมืองหัวหิน นายเจนวิท ผลิศักดิ์ ผช.สาธารณสุข อ.หัวหิน นายอิศรา สถาปนเศรษฐ์ ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานประจวบฯ นายกิติพงษ์ สิริเพชรเกษม อุปนายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวหัวหิน-ชะอำ ตำรวจท่องเที่ยวหัวหิน-ชะอำ ขนส่งจังหวัดประจวบฯ ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัด ร่วมมอบตราสัญลักษณ์มาตรฐาน SHA และ SHA + ประจวบคีรีขันธ์ และมาตรฐาน HDC เทศบาลเมืองหัวหินให้กับผู้ประกอบการรถโดยสารสาธารณะในเขต อ.หัวหิน จำนวน 87 คัน ที่บริเวณสวนสาธารณะโผน กิ่งเพชร เขตเทศบาลเมืองหัวหิน

นายนพพร กล่าวว่า ในส่วนของ จ.ประจวบฯได้กำหนดแนวทางมาตรการที่เข้มข้นในการควบคุมป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้จัดทำมาตรฐานการจัดการความปลอดภัยด้านสุขอนามัย เพื่อเฝ้าระวังและป้องกันการติดเชื้อโควิด โดยนำแนวทางมาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัย (SHA) ของ ททท. มาเพิ่มเติมข้อปฏิบัติให้มีมาตรฐานเพิ่มมากขึ้น เน้นให้ทุกสถานประกอบการนำไปปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง โดยนำมาตรฐานความปลอดภัยด้านสาธารณสุข ผนวกกับมาตรฐาน ALQ ของสถานกักกันแห่งรัฐ มาตรฐานสถานประกอบการแต่ละประเภท มาตรการ Thai Stop Covid Plus ของกรมอนามัย การใช้น้ำฆ่าเชื้อโรค ขั้นตอนทำความสะอาด เพื่อให้มาตรฐาน SHA+ เป็นส่วนหนึ่งของมาตรการควบคุมโรคทำให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวเกิดความมั่นใจในความปลอดภัยด้านสุขอนามัยจากสินค้าและบริการ อีกทั้งเพื่อลดความเสี่ยงและป้องกันการแพร่ระบาคของโควิด-19 และยกระดับมาตรฐานสินค้าและบริการในเขต จ.ประจวบฯ-เพชรบุรี

นายอิศรา กล่าวว่า สถานการณ์ท่องเที่ยวในจังหวัดตอนนี้เริ่มดีขึ้นเรื่อย ๆ มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยวในพื้นที่เยอะมาก โดยเฉพาะในช่วงวันหยุดยาว ศุกร์ - อาทิตย์ มีอัตราการเข้าพักประมาณ 80-90% บางแห่งก็เต็ม โดยเฉพาะในอำเภอหัวหินมีที่ห้องพักกว่าหมื่นห้อง เพราะฉะนั้นจะสามารถรองรับนักนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศได้ ส่วนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เข้ามาในพื้นที่ขณะนี้ประมาณ 100 คน เพราะฉะนั้นถือว่าสถานการณ์เริ่มดีขึ้น ส่วนหน่วยงานในพื้นที่อย่างเทศบาลเมืองหัวหิน ,สาธารณสุขอำเภอหัวหิน และหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้ร่วมมือกันรณรงค์ดูแลเรื่องมาตรการและสุขอนามัย เรื่องความปลอดภัย โดยเฉพาะ SHA และ SHA+ มีการมอบสติ๊กเกอร์สัญลักษณ์ให้กับผู้ประกอบการรถสาธารณะก็ถือเป็นนิมิตรหมายที่ดี เพราะว่าพวกเขาสัมผัสกับนักท่องเที่ยวโดยตรง การที่ผู้ที่ขับรถสาธารณะมีความรู้ มีการอบรมเรื่องมาตรฐานความปลอดภัย ก็ช่วยในเรื่องของการป้องกันและควบคุมโรคได้เป็นอย่างดี

ด้านนายกิติพงษ์ กล่าวว่า ตอนนี้ในส่วนผู้ประกอบการรถสาธารณะในเขตอำเภอหัวหินที่ได้ผ่านมาตรฐาน SHA  SHA+ ประมาณ 87 คัน ซึ่งตอนนี้ก็ทยอยๆทำเพิ่มกันอยู่ ซึ่งจะเป็นในชุดที่ 4 และชุดที่ 5 อยากเชิญชวนผู้ประกอบการรถโดยสารที่ยังไม่ได้ทำมาตรฐาน SHA ให้มาทำมาตรฐาน SHA เพื่อสร้างความปลอดภัยให้กับตัวท่านและผู้โดยสาร เพื่อเป็นมาตรฐานในการให้บริการรถในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ครับ

 

กาฬสินธุ์ - เตือนลมหนาวพัดแรง ไฟไหม้ทุ่งนา ค่าฝุ่นละออง 2.5 เพิ่ม!!

สภาพอากาศที่จังหวัดกาฬสินธุ์หนาวจัด ลมหนาวทวีความรุนแรงมากขึ้น ส่งผลให้เกิดเหตุไฟไหม้ โดยเฉพาะบริเวณทุ่งนาบ่อยครั้ง ขณะที่นายอำเภอยางตลาด เตือนประชาชน เฝ้าระวังการเกิดอัคคีภัย และไฟไหม้ทุ่งนา ทำค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก หรือ PM 2.5 สูงขึ้น เป็นสาเหตุเกิดมลภาวะเป็นพิษ และเป็นอันตรายต่อสุขภาพ แนะชาวบ้านเร่งเก็บรักษาฟางหลังเก็บเกี่ยวข้าว เพื่อป้องกันเหตุและสำรองเป็นอาหารสัตว์ในฤดูแล้ง

เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2564 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการติดตามสภาพอากาศในพื้นที่ จ.กาฬสินธุ์ 18 อำเภอ พบว่าอุณหภูมิยังคงต่ำ มีลมหนาวกระโชกแรงตลอดวัน ส่งผลกระทบต่อสุขของประชาชน ในกลุ่มเด็ก คนชราและผู้ที่มีโรคประจำตัว ขณะเดียวกันยังพบว่า เกิดเหตุไฟไหม้ทุ่งนาบ่อยครั้ง ทำให้เกิดผลกระทบต่อสภาพแวดล้อม และสุขภาพอนามัยประชาชน รวมทั้งหมอกควันที่เกิดจากการเผาไหม้ ยังบดบังทัศนวิสัยในการใช้รถใช้ถนน เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย

ด้านนายสันติ จัตุพันธ์ นายอำเภอยางตลาด จ.กาฬสินธุ์ กล่าวว่า ฤดูหนาวที่สภาพอากาศแห้งแล้งและมีลมแรง เป็นปัจจัยที่เอื้อต่อการเกิดอัคคีภัยได้ง่าย โดยเฉพาะบริเวณทุ่งนา ซึ่งมีฟางแห้งเป็นเชื้อไฟอย่างดี จึงมักจะเกิดเหตุไฟไหม้ทุ่งนาเป็นประจำ ประกอบกับมีลมพัดแรง จึงทำให้เกิดเหตุการณ์ไฟไหม้ลามทุ่งอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ ทางอำเภอได้แจ้งเตือนไปยังกำนัน ใหญ่บ้าน ประชาชน ร่วมกันเฝ้าระมัดระวังเหตุการณ์ดังกล่าว เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบ และเป็นอันตรายต่อสภาพแวดล้อม รวมทั้งกระทบต่อสุขภาพอนามัยประชาชน ส่งผลให้ค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก หรือ PM 2.5 สูงขึ้นอีกด้วย

นายสันติกล่าวอีกว่า ในส่วนของประชาชนที่ประกอบอาชีพทำนา หลังเก็บเกี่ยวข้าวเสร็จ ควรที่จะรีบจัดการจัดเก็บฟางไว้ในที่ปลอดภัยให้เรียบร้อย เพื่อป้องกันการเกิดไฟไหม้ และเก็บไว้เป็นอาหารสัตว์เลี้ยงในฤดูแล้ง นอกจากนี้ ผลดีของการเก็บฟางแห้งหรืออัดก้อน ยังได้ประโยชน์อีกหลายอย่าง เช่น จำหน่ายก้อนละ 25 บาท หรือนำไปประดับอาคาร สถานที่ เป็นจุดเช็คอินที่สวยงาม หรือไม่อย่างนั้นก็รีบทำการไถกลบ เพื่อให้เกิดการย่อยสลายเป็นปุ๋ยชีวภาพ ที่จะช่วยบำรุงดิน ลดต้นทุนใช้ปุ๋ยเคมี ในการทำนาครั้งต่อไปได้เป็นอย่างดี

เมียนมา - รัฐบาลเงาเมียนมา ระดมทุนผ่าน Unity Bonds เปิดขายพันธบัตรระดมทุนช่วยประชาชน ต้าน รบ.ทหาร!!

รัฐบาลเงาของเมียนมาร์ (NUG) ได้เปิดตัวพันธบัตรเพื่อการลงทุนแบบเอกภาพมูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์ เพื่อระดมทุนอย่างน้อย 800 ล้านดอลลาร์เพื่อสนับสนุนทางสังคมและมนุษยธรรม ซึ่งรวมถึงการดูแลสุขภาพ การศึกษา สวัสดิการสังคม และการสนับสนุนบุคลากรทางทหารที่บกพร่อง รวมถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจ ยกเว้นการใช้จ่ายทางทหาร  (NUG) ก่อนหน้านี้เคยระดมเงินด้วยการขายสลากกินแบ่งรัฐบาลพร้อมกับหวยนเวย์อู และตอนนี้ขาย Unity Bonds เพื่อใช้เงินที่หามาได้เป็นทุนโครงการปฏิวัติ มีรายงานว่ารัฐบาลเงาเริ่มออกหุ้นกู้ชุดแรกมูลค่า 200 ล้านดอลลาร์ และมีการซื้อขายมากกว่า 9 ล้านดอลลาร์ใน 24 ชั่วโมงแรก

‘มิน กันต์ จอ ลินน์’ หัวหน้าสหภาพนักศึกษากล่าวว่า การขายพันธบัตรในเมียนมาเกิดขึ้นจากความจำเป็นเร่งด่วนในเรื่องฉุกเฉิน เช่น ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม และกลไกการพัฒนาที่จะช่วยบรรเทาการประท้วงหยุดงาน

‘มิน คานต์ จอ ลิน’  ผู้นำสหภาพนักศึกษา/ผู้นำนัดหยุดงาน ได้กับบอกนักข่าว A24 ว่า “NUG กำลังกู้ยืมเงินจากชาวเมียนมาซึ่งจำเป็นสำหรับการปฏิวัติ ดังนั้น พวกเขายืมเงินจากเรา เดาว่านี่เป็นวิธีที่ NUG-bond ทำงาน โดยพื้นฐานแล้วมันเป็นสัญญาของรัฐบาล และทันทีที่พวกเขาชนะการปฏิวัติ เราก็สามารถใช้สัญญานี้เพื่อเรียกเงินของเราคืนจากพวกเขาได้ ธนาคารส่วนใหญ่ในเมียนมาให้ความร่วมมือกับรัฐบาลทหารในการจับกุมประชาชน ดังนั้น เราจึงต้องระมัดระวังในการทำธุรกรรม

นอกจากนี้ รูปแบบการขายพันธบัตรที่มีอยู่บนเว็บไซต์โดย NUG (National Unity Government) ยังไม่คงที่ และเราต้องส่งบัญชีผู้รับที่แตกต่างกันเมื่อซื้อพันธบัตรเหล่านั้น และยังมีการตัดค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมบ่อยครั้ง ดังนั้นเราจึงประสบปัญหาเหล่านี้ในการซื้อพันธบัตร ฉันยังไม่เห็นประกาศหรือข้อความใด ๆ เกี่ยวกับวิธีการและที่ที่พวกเขาจะใช้เงินนั้น แต่เราวางใจ NUG เป็นรัฐบาลของเรา ดังนั้นเราจึงเชื่อว่าพวกเขาจะใช้เงินเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของเรา นั่นคือ ประชาธิปไตยที่แท้จริงโดยสมบูรณ์ ที่เกิดขึ้นในสหพันธรัฐ รวมทั้งพม่ากับกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ ที่จะรักษาสิทธิที่สมดุลของพวกเขา นั่นเป็นเหตุผลที่เรากำลังซื้อพันธบัตรเหล่านี้”

‘มิน คานต์ จอ ลิน’ ผู้นำสหภาพนักศึกษา/ผู้นำนัดหยุดงาน บอกว่า “ตอนนี้ NUG (รัฐบาลสามัคคีแห่งชาติ) ซึ่งเป็นรัฐบาลที่ถูกต้องตามกฎหมาย กำลังขายพันธบัตร มีประวัติการทำแบบเดียวกันมาอย่างยาวนานในช่วงที่ผ่านมา พวกเขากล่าวว่าพวกเขากำลังวางแผนที่จะขายพันธบัตรมูลค่าหนึ่งพันล้านดอลลาร์ พวกเขาเริ่มต้นด้วย 200 ล้านในการขายครั้งแรกของพวกเขา ปัจจุบันอัตราอุปสงค์เพิ่มขึ้น ความจำเป็นฉุกเฉินเช่นความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม CDM การประท้วงเป็นสิ่งจำเป็นในประเทศของเรา เดาว่าเงินสด 800 ล้านดอลลาร์ที่ได้รับจากการขายพันธบัตรสามารถช่วยได้ มีปัญหาในการซื้อพันธบัตรเหล่านี้ พวกเขาไม่สามารถเปิดบัญชีของผู้รับในธนาคารเมียนมาได้

อย่างที่รู้ NUG ไม่สามารถทำธุรกรรมใด ๆ ในธนาคารเมียนมาได้ และนั่นเป็นสาเหตุที่พวกเขาต้องใช้บัญชีธนาคารต่างประเทศ ดังนั้นคนนอกประเทศจึงสามารถซื้อจากธนาคารหนึ่งไปยังอีกธนาคารหนึ่งได้ การส่งเงินสดจากที่นี่ไปยังธนาคารต่างประเทศนั้นเป็นไปไม่ได้ แต่คนที่อยู่ต่างประเทศที่สนใจซื้อพันธบัตรเหล่านี้

 

“บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล แถลงข่าวอาชญากรรมข้ามชาติ – ค้ามนุษย์ และฟอกเงิน

พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ศพดส.ตร.แถลงข่าวอาชญากรรมข้ามชาติ และค้ามนุษย์ ทลายเครือข่ายค้ามนุษย์ , องค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ และฟอกเงิน ณ ตำรวจภูธรจังหวัดชุมพร

สืบเนื่องจาก เมื่อวันที่ 6 ก.ย. 2564 เวลาประมาณ 14.40 น. เจ้าพนักงานตำรวจ สภ.บ้านมาบอำมฤต จังหวัดชุมพร  ได้ร่วมกันจับกุมตัวนายเขมทัต ผาลี อายุ 36 ปี พร้อมด้วยคนต่างด้าวสัญชาติ เมียนมา (โรฮิงญา) ซึ่งโดยสารมากับรถตู้คันที่นายเขมทัตฯ ขับมา จำนวน 5 คน โดยกล่าวหาว่า ช่วยเหลือด้วยประการใด ๆ เพื่อให้คนต่างด้าวซึ่งหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายพ้นจากการจับกุม และต่อมาเวลา 16.30 น. ของวันเดียวกัน เจ้าพนักงานตำรวจ ฯ ได้ร่วมกัน จับกุมตัว นายชัยชาญ ไม่ยาก อายุ 41 ปี  และ นางสาวจุลลา บรรเทา อายุ 26 ปี พร้อมด้วยคนต่างด้าวสัญชาติ เมียนมา (โรฮิงญา) ซึ่งโดยสารมากับรถตู้ที่นายชัยชาญฯ ขับมา จำนวน 6 คน โดยกล่าวหาว่า ช่วยเหลือด้วยประการใด ๆ เพื่อให้คนต่างด้าวซึ่งหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายพ้นจากการจับกุมและในวันเดียวกัน เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2564 เวลาประมาณ 19.30 น. เจ้าพนักงานตำรวจ สภ.เขานิพันธ์ ได้ร่วมกันจับกุมตัว Mr.Man Jo Min หรือนายฮู เซ็น อายุ 48 ปี สัญชาติ เมียนมา และชู อาลิน อายุ 18 ปี สัญชาติ เมียนมา

โดยกล่าวหา รู้ว่าคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมาย ให้เข้าพักอาศัย ซ่อนเร้น หรือช่วยเหลือด้วยประการใด ๆ เพื่อให้คนต่างด้าวพ้นจากการจับกุม และได้ทำการตรวจค้นบ้านเลขที่ 59/7 ม.5 ต.คลองฉนวน อ.เวียงสระ จังหวัดสุราษฎร์ธานี ตรวจพบคนต่างด้าวสัญชาติ เมียนมา (โรฮิงญา) หลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย จำนวน 3 คน ในบ้านดังกล่าวซึ่งเป็นลักษณะกักขังตัวไว้ ซึ่งทั้ง 3 คดีดังกล่าว ตำรวจภูธรจังหวัดสุราษฎร์ธานี และ ตำรวจภูธรจังหวัดชุมพร ได้ทำการคัดแยกเหยื่อผู้เสียหายจากขบวนการค้ามนุษย์ และมีความเห็นว่าคดีดังกล่าวทั้ง 3 เรื่องนั้น เข้าข่ายกระทำความผิดฐาน ค้ามนุษย์

ตำรวจภูธรภาค 8 โดย พล.ต.ท.อำพล  บัวรับพร ผบช.ภ.8 ได้ออกคำสั่ง ภ.8 ที่ 390/2564 ลง 29 ตุลาคม 2564 เรื่อง แต่งตั้งคณะพนักงานสืบสวนขยายผลความผิดตามพระราชบัญญัติป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ.2551 โดยมอบหมายให้ พล.ต.ต.วันไชย  เอกพรพิชญ์ รอง ผบช.ภ.๘ เป็นหัวหน้าพนักงานสืบสวน และจากการสืบสวนแสวงหาข้อเท็จจริงทราบว่า ทั้ง 3 คดีมีความเกี่ยวข้องกันมีผู้ร่วมกระทำผิดเป็นกระบวนการมีความสัมพันธ์กันเป็นองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ และฟอกเงิน มีการกระทำผิดโดยแบ่งหน้าที่กันทำเริ่มจากจัดหาคนจากประเทศเมียนมาร์ ส่งเข้ามาในประเทศไทยช่องทางธรรมชาติที่บริเวณ อ.แม่สอด จว.ตาก แล้วมีกลุ่มคนที่ได้ตกลงกันไว้แล้ว รับตัวเดินทางมาพักตามจุดต่าง ๆ ในประเทศไทย ที่กลุ่มผู้กระทำผิดได้เตรียมไว้ เช่น จังหวัดปทุมธานี กรุงเทพมหานคร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช สงขลา นราธิวาส จนถึงประเทศมาเลเซีย มีการกักขังขู่เข็ญ ขูดรีด เพื่อเรียกเงินจากเหยื่อ และญาติการกระทำดังกล่าวเป็นความผิดตามกฎหมายจึงได้ร้องทุกข์ให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีกับผู้ต้องหาเพิ่มเติมอีก 4 คดี เมื่อ 10 พฤศจิกายน 2564

จากนั้นตำรวจภูธรภาค 8 ได้มีคำสั่ง ภ.8 ที่ 413/2564 ลง 14 พ.ย.64 เรื่องแต่งตั้งคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน (คดี สภ.บ้านมาบอำมฤต ) และ คำสั่ง ภ.8 ที่ 426/2564 ลง 25 พ.ย.64 เรื่องแต่งตั้งคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน (คดี สภ.เขานิพันธ์) โดยมี พล.ต.ต.วันไชย  เอกพรพิชญ์ รอง ผบช.ภ.๘ เป็นหัวหน้าคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน ซึ่งจากการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน คณะพนักงานสอบสวนได้ทำการขออนุมัติศาลให้ออกหมายจับผู้ต้องหาทั้งสิ้นรวม 4 คดี 14 คน 24 หมายจับ ดังนี้  สภ.บ้านมาบอำมฤต 3 คดีข้อหา ร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ และค้ามนุษย์ฯ จำนวน  2 คดี คือคดีอาญาที่ 415/2564 (4 หมายจับ) ,416/2564 (4 หมายจับ) และ ข้อหา ฟอกเงิน คดีอาญาที่417/2564 (13 หมายจับ) สภ.เขานิพันธ์ 1 คดี ข้อหา ร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ และค้ามนุษย์คดีอาญาที่  371/2564 จำนวน 3 หมายจับ

ต่อมาวันที่ 6 ธันวาคม 2564 พล.ต.ต.นภันต์วุฒิ เลี่ยมสงวน ผบก.สส.ภ.8 หัวหน้าฝ่ายสืบสวน พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ ศพดส.ตร. และ ศพดส.ภ.๘ ได้ร่วมกันปิดล้อมตรวจค้นเป้าหมายเพื่อจับกุมตัวผู้ต้องหาในพื้นที่ 4 จังหวัด คือ อ.แม่สอด จว.ตาก, อ.สุไหง-โกลก จว.นราธิวาส, อ.พระแสง จว.สุราษฎร์ธานี,อ.กะทู้ จว.ภูเก็ต และพื้นที่อื่น ๆ จนสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้จำนวน 7 คน ดังนี้

 

กรุงเทพฯ - ผู้บัญชาการทหารเรือ เป็นประธานเปิดหลักสูตรพัฒนาสัมพันธ์ระดับผู้บริหารกองทัพเรือ รุ่นที่ 18

พลเรือเอก สมประสงค์  นิลสมัย ผู้บัญชาการทหารเรือ เป็นประธานเปิดการอบรม หลักสูตรพัฒนาสัมพันธ์ระดับผู้บริหารกองทัพเรือ รุ่นที่ 18 ประจำปีงบประมาณ 2565 ณ ห้องเจ้าพระยา หอประชุมกองทัพเรือ เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพฯ ภายใต้มาตรการป้องกัน COVID-19 อย่างเข้มงวด

กองทัพเรือ เปิดการอบรมหลักสูตรพัฒนาสัมพันธ์ระดับผู้บริหารกองทัพเรือ (พสบ.ทร.) มีวัตถุประสงค์ เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างกองทัพเรือกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ภายนอกกองทัพเรือ เกิดประโยชน์ในการสร้างความสัมพันธ์กับกลุ่มมวลชน เพื่อสนับสนุนภารกิจของกองทัพเรือ พร้อมเพิ่มความรับรู้ข้อมูลของภาคประชาชนเกี่ยวกับความสำคัญทางทะเล โดยเป็นการอบรมหลักสูตรร่วมระหว่าง ข้าราชการและพลเรือน ซึ่งจะเปิดให้ข้าราชการพลเรือนและผู้บริหารองค์กรภาคเอกชน เข้าร่วมอบรมหลักสูตรกับนายทหารสัญญาบัตร ของกองทัพเรือ และเหล่าทัพอื่นที่ชั้นยศไม่ต่ำกว่านาวาเอก หรือเทียบเท่า

สำหรับผู้เข้าอบรม หลักสูตร พสบ.ทร.รุ่นที่ 18 มีจำนวนทั้งสิ้น 97 คน โดยแบ่งเป็นข้าราชการกองทัพเรือ 20 นาย ข้าราชการจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 2 นาย ข้าราชการพลเรือนและพนักงานรัฐวิสาหกิจ ระดับ 8 ขึ้นไป จำนวน 2 คน และบุคลากรจากภาคเอกชนระดับผู้บริหาร และเจ้าของกิจการ จำนวน 73 คน ทั้งนี้การจัดอบรม จะมีการบรรยายให้ความรู้ โดยผู้ทรงคุณวุฒิ จากส่วนราชการและสถาบันต่าง ๆ

มองโกเลีย - ชีสมองโกเลียที่โดดเด่นทำจากนมจามรีที่ระดับความสูง 3,000 เมตร

อูลานบาตอร์ /มองโกเลีย – ช่างฝีมือชีสจากทั่วมองโกเลียรวมตัวกันเพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์ของตนในเทศกาลชีส
ชีสที่ผลิตในมองโกเลียมีรสชาติที่โดดเด่นเนื่องจากพื้นที่ทางธรรมชาติที่หลากหลายและสภาพอากาศที่รุนแรง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะของนมสัตว์ในท้องถิ่น

ตัวอย่างนี้คือชีสจามรีที่ทำขึ้นที่ระดับความสูง 3,000 เมตรในเทือกเขาอัลไต จามรีที่พบในไม่กี่ประเทศผลิตนมได้น้อยมาก แต่มีไขมันสูง ทำให้เหมาะสำหรับชีสคุณภาพสูง

หอการค้าและอุตสาหกรรมแห่งชาติมองโกเลีย (MNCCI) ระบุว่าจะสนับสนุนช่างฝีมือชีสและทำงานอย่างเต็มที่เพื่อนำผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาดโลก ผู้อำนวยการ Cheese Republic และช่างฝีมือชีส Ya. Enkhee กล่าวว่าชีสในมองโกเลียทำขึ้นด้วยวิธีช่างฝีมือ ไม่ใช่ประเพณีของชาวมองโกเลีย แต่เป็นเทคโนโลยีดั้งเดิมที่ใช้กันทั่วโลก เนื่องจากพื้นที่ธรรมชาติที่ใหญ่และหลากหลาย จึงสามารถผลิตผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงและมีเอกลักษณ์เฉพาะได้จำนวนเล็กน้อย ขึ้นอยู่กับลักษณะของพืช ลม ปศุสัตว์ และสัตว์ในพื้นที่

“ปีนี้เราทำชีสมากกว่า 160 ตัน” Enkhee กล่าว ช.กัลไตคู ช่างชีส “ทูวายักษ์” ให้กำลังใจชาวอุเรียนไคและทูวา แห่ง Tsengelsoum จังหวัดบายัน-อุลจี “เป้าหมายหลักของเราคือการสนับสนุนคนเลี้ยงสัตว์ แสดงให้พวกเขาเห็นว่าพวกเขาสามารถทำชีสแสนอร่อยด้วยนมของพวกเขา และแสดงให้พวกเขาเห็นว่านมจามรีที่พวกเขาเลี้ยงนั้นสามารถนำมาใช้ทำผลิตภัณฑ์ที่มีราคาแพงมากและเป็นที่ต้องการซึ่งหาได้ยากในยุโรป”

ดังนั้นคนเลี้ยงสัตว์จึงต้องการเพิ่มการผลิตจามรี ผลิตชีสจากนม และสร้างแบรนด์ที่เรียกว่า "ทูวายักษ์"
คุณสมบัติหลักคือชีสทำจากนมจามรีที่กินหญ้าที่ระดับความสูง 3,000 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล สมุนไพรที่ปลูกมีประโยชน์ต่อโรคภัยไข้เจ็บมากมาย นักวิทยาศาสตร์ชาวแคนาดาพบว่ามันสามารถส่งผลกระทบต่อผู้ที่เป็นมะเร็งได้ ชีสมองโกเลียจึงเป็นผลิตภัณฑ์ที่หายากและมีคุณภาพดี เพราะทำมาจากนมของสัตว์ที่กินสมุนไพรดังกล่าว

ในขณะเดียวกัน S.Bayasgalan เลขาธิการหอการค้าและอุตสาหกรรมแห่งชาติมองโกเลียชี้ให้เห็นว่าข้อได้เปรียบหลักของเทศกาลในวันนี้คือช่างฝีมือชีสจากทั่วประเทศมองโกเลียมารวมตัวกันเพื่อเรียนรู้จากกันและกันและแนะนำผลิตภัณฑ์ของตนสู่สาธารณะ

"การช่วยผู้อื่น หรือการนึกถึงผู้อื่น เป็นโอสถเยียวยาความทุกข์ ที่เกิดจากความเศร้าโศก หรือความทุกข์อย่างอื่นได้มากมาย"

"การช่วยผู้อื่น หรือการนึกถึงผู้อื่น เป็นโอสถเยียวยาความทุกข์ ที่เกิดจากความเศร้าโศก หรือความทุกข์อย่างอื่นได้มากมาย"

- พระไพศาล วิสาโล -

เมื่อมนุษย์เท่ากัน เหตุใด ‘การสมรส (ไม่) เท่าเทียม’ ? | LOCK LENS GURU EP.57

LOCK LENS GURU รายการที่จะพาทุกคนมาเจาะลึกประเด็นที่น่าสนใจ ไปกับ ‘กูรู’ตัวจริง 

???? พบกับ กูรู ‘คุณนาดา ไชยจิตต์’ นักปกป้องสิทธิเพื่อผู้มีความหลากหลายทางเพศ

???? ดำเนินรายการโดย เจ THE STATES TIMES

???? ช่องทางรับชม LIVE 
YouTube: THE STATES TIMES

ติดตามผลงานเพิ่มเติมได้ที่ : https://thestatestimes.com/category/weekly/columnist

อนาคต ‘หัวลำโพง’!! ต้องเดินหน้าด้วยการแปลง ‘คุณค่า’ เป็น ‘มูลค่า’ และเข้าใจผู้ใช้บริการ

กรณีที่สังคมไทยวิพากษ์เรื่องทิศทางในอนาคตของหัวลำโพง ค่อนข้างจะเป็นประเด็นร้อน แต่ทั้งนี้เราอาจสรุปสั้น ๆ ได้ว่า “ไม่ทุบ แต่ปิดตัว” คือไม่มีการทุบทำลายหัวลำโพงตามที่มีข่าวลือออกมา

แต่อีกด้านคือ มีการยุติการเดินรถไฟเข้าที่สถานีหัวลำโพง และจะปรับหัวลำโพงเป็นพิพิธภัณฑ์ ซึ่งปัจจุบันก็ยังไม่ทราบว่าหัวลำโพงที่ถูกปรับเป็นพิพิธภัณฑ์จะมีหน้าตาอย่างไร

>> แผนลงทุนและปลดหนี้ของการรถไฟ
หากเรานำแผนการพัฒนาระบบคมนาคมมากางดู จะเห็นว่ารัฐบาลได้ย้ายศูนย์กลางคมนาคมทางราง จากหัวลำโพงไปยังสถานีบางซื่อ ซึ่งจะเป็นจุดที่มีทั้งรถไฟชานเมือง (Commuter) รถไฟในเมือง (Metro) และรถไฟทางไกล/เชื่อมเมือง (Long Distance / Intercity) และรถไฟความเร็วสูง (High Speed Train) ในขณะที่หัวลำโพงจะกลายเป็นแค่สถานีหนึ่งในโครงข่ายทั้งหมดเท่านั้น 

และเนื่องจากการรถไฟฯ เป็นหนึ่งในองค์กรภาครัฐที่มีหนี้สินจากการให้บริการสาธารณะมากที่สุด โดยภาระหนี้ของรถไฟที่ขาดทุนสะสมต่อเนื่องอยู่ที่ 150,000 - 160,000 ล้านบาท ทำให้เมื่อกันยายน ปี 2563 การรถไฟฯ ได้ตั้งบริษัทบริหารลูกมาเพื่อทรัพย์สิน ด้วยเหตุนี้ การรถไฟฯ จึงมีแผนจะนำเอาหัวลำโพงไปทำเป็นพิพิธภัณฑ์ และนำพื้นที่ของการรถไฟบางส่วน ให้เอกชนมาลงทุนเชิงพาณิชย์ เพื่อหาเงินเข้าการรถไฟฯ

โดยตามแผนภายใน 30 ปี พบว่า จะมีรายได้เข้ามารวม 800,000 ล้านบาท โดยในปีแรกจะอยู่ที่ 5,000 ล้านบาท และปีที่ 5 จะเพิ่มขึ้นอยู่ที่ประมาณ 10,000 ล้านบาท ซึ่งจะเพียงพอต่อการแก้ไขปัญหาการขาดทุนสะสมต่อเนื่องได้

ซึ่งก็ถือเป็นแผนที่ดี ที่หน่วยงานภาครัฐตั้งใจจะแก้ไขปัญหาขาดทุนสะสม และหาเงินสำหรับมาใช้พัฒนาองค์กรและบริการสาธารณะให้ดีขึ้นในอนาคต และก็คงไม่มีใครคัดค้าน หากว่าการรถไฟไม่มีแผนจะมีการหยุดการเดินรถเข้ามาที่สถานีหัวลำโพง

>> ความเดือดร้อนของประชาชน
ตามแผนพัฒนาระบบคมนาคม สถานีรถไฟบางซื่อ-หัวลำโพง จะมีการเชื่อมกันอย่างแน่นอน โดยจะวิ่งผ่านสามเสนลงมายังหัวลำโพง แต่ปัจจุบันแม้จะใกล้สิ้นปี 2564 แล้ว โครงการนี้ยังอยู่ในช่วงของการเริ่มประมูลเท่านั้น กว่าจะประมูลจบและเริ่มก่อสร้างก็คงใช้เวลาอีกไม่น้อยกว่า 4-5 ปี

ในขณะที่ถ้ายกเลิกการเดินรถเข้าหัวลำโพง สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ผู้โดยสารเดิมที่จะเข้ามาที่หัวลำโพง ต้องลงที่สถานีบางซื่อ แล้วต่อรถเข้าไปแถวหัวลำโพงอีก หากเดินทางด้วย MRT อย่างน้อยก็ 42 บาท หรือต้องต่อรถเมล์-รถตู้ ซึ่งจะทำให้พวกเขามีค่าใช้จ่ายประจำวันเพิ่มขึ้น และคนที่ใช้บริการรถไฟแบบเช้า-เย็น ส่วนมากเป็น ‘ผู้มีรายได้น้อย’ ที่อาจมีการเพิ่มต้นทุนชีวิตเข้ามาอีกเกือบ 90 บาทต่อวันสำหรับพวกเขาถือเป็นเรื่องที่หนักหนามาก 

หมายความว่าพวกเขาต้องรออีก 4-5 ปีให้ส่วน missing link บางซื่อ-สามเสน-หัวลำโพง เสร็จสิ้น แถมเมื่อเสร็จแล้วก็ไม่รู้ว่าค่าเดินทางจะเป็นเท่าไร ซึ่งถ้าเทียบกับรถไฟชั้น 2-3 ซึ่งมีค่าเดินทางที่ประหยัดกว่า ก็อาจเป็นตัวเลือกที่ไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไรนัก

เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องที่กระทบต่อประชาชนโดยตรง และทำให้มีแรงต้านจากสังคมอย่างรุนแรง จนทำให้นายกรัฐมนตรีต้องออกคำสั่งให้มีการทบทวนแนวทางของการรถไฟ ที่จะยุติการเดินรถเข้ามาที่สถานีหัวลำโพงเสียใหม่ โดยให้มีการฟังเสียงสะท้อนของประชาชนให้รอบด้านเสียก่อน

>> แนวทางการพัฒนาที่สังคมคาดหวัง
นอกจากประเด็นเรื่องการคมนาคมแล้ว ปัญหาอีกอย่างที่ทำให้สังคมวิจารณ์กันมากในเรื่องหัวลำโพงก็คือ ภาพจำลอง 3 มิติที่ถูกเผยแพร่ออกมา แสดงให้เห็นถึงตึกสูงซึ่งถูกสร้างในที่ดินด้านหลังอาคารหัวลำโพง ที่การเลือกมุมภาพ ทำให้รู้สึกเหมือนตึกที่ถูกสร้างใหม่นั้นไปข่มความสำคัญของอาคารหัวลำโพงเดิมลง

ในขณะที่เมื่อลองดูกรณีศึกษาในต่างประเทศที่มีการนำสถานีรถไฟเก่าไปปรับปรุงหรือเปลี่ยนการใช้งานเป็นพิพิธภัณฑ์ เช่น กรณี Musée d'Orsay ที่อยู่ในเมืองปารีส ประเทศฝรั่งเศส ได้มีเปลี่ยนสถานีรถไฟเก่าแก่อายุร้อยกว่าปี (เช่นเดียวกับหัวลำโพง) ไปเป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะ หรือ Art Gallery

ภาพสถานีรถไฟ Orsay ในอดีต ที่ถูกเปลี่ยนให้กลายเป็น Art Gallery ในปัจจุบัน

โดยในพิพิธภัณฑ์นั้นมีการเก็บศิลปะในอดีตไว้ ในขณะเดียวกันก็มีพื้นที่งานศิลปะสมัยใหม่และพื้นที่กิจกรรม ให้ศิลปินได้มาปล่อยของ แสดงฝีมือ เรียกว่าทั้งรักษารากวัฒนธรรมเดิม และสร้างแรงบันดาลใจใหม่ไปพร้อมกัน ในขณะที่ด้านนอกก็ทำเป็นพื้นที่สาธารณะเป็นพื้นที่สีเขียวให้ผู้คนได้เข้าไปใช้งาน

บรรยากาศการแสดงงานศิลปะภายในพิพิธภัณฑ์ Orsay

ด้วยความน่าสนใจดังกล่าว ได้เปลี่ยนให้สถานีรถไฟเก่า กลายมาเป็นแหล่งท่องเที่ยวมีชื่อเสียง และสามารถหารายได้จากร้านค้า ร้านอาหาร พื้นที่กิจกรรมภายในอาคาร โดยที่ยังรักษาคุณลักษณะ (Character) ที่แสดงถึงความเป็นสถานีรถไฟเก่าแก่ได้อย่างชัดเจน และกลายมาเป็นเสน่ห์ที่ทำให้ Art Gallery แห่งนี้ต่างจากที่อื่น ซึ่งแสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ในการมองเห็นความสำคัญของอาคารประวัติศาสตร์ และเข้าใจคุณค่า (Cultural & Social Value) ที่สามารถนำไปสร้างเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจ (Economic Value) ได้ 

Café ในพิพิธภัณฑ์ Orsay ที่ใช้คุณลักษณะของอาคารเก่ามาเป็นจุดขาย

‘สตรี’ กับบทบาท!! ‘สร้างสันติภาพ’ และ ‘ความมั่นคง’

"สตรีเป็นผู้แบกฟ้าอยู่ครึ่งหนึ่ง" ประธานเหมา เจ๋อ ตุง ผู้ก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์จีน ได้กล่าวไว้


ภารกิจการรักษาสันติภาพ ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อสะท้อนถึงจำนวนประชากรที่กองกำลังรักษาสันติภาพแห่งสหประชาชาติต้อง ควบคุม ดูแล และบุคลากรสตรีกลายเป็นสมาชิกส่วนหนึ่งในครอบครัวของกองกำลังรักษาสันติภาพฯ มากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งทำให้การปฏิบัติงานมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นด้วย บุคลากรสตรีถูกนำไปปฏิบัติงานในทุกพื้นที่ ทั้งที่เป็น ตำรวจ ทหาร และพลเรือน และได้สร้างผลงานเชิงบวกต่อสภาพแวดล้อมในการรักษาสันติภาพ ตลอดจนการสนับสนุนบทบาทของสตรีในการสร้างสันติภาพและปกป้องสิทธิสตรี ภารกิจการรักษาสันติภาพในทุก ๆ ด้าน เจ้าหน้าที่รักษาสันติภาพสตรีได้พิสูจน์แล้วว่า พวกเธอสามารถทำหน้าที่เดียวกัน ได้มาตรฐานเดียวกัน และอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ยากลำบากเช่นเดียวกับบุรุษ ทั้งมีความจำเป็นมากมายในการปฏิบัติงานที่ต้องสรรหาเจ้าหน้าที่รักษาสันติภาพสตรีเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ

ในปี พ.ศ. 2536 จำนวนสตรีคิดเป็นเพียง 1% ของบุคลากรในภารกิจการรักษาสันติภาพ ในปี พ.ศ. 2563 จากเจ้าหน้าที่รักษาสันติภาพประมาณ 95,000 นาย มีสตรีคิดเป็น 4.8% ของกองกำลังทหารรักษาสันติภาพฯ และ 10.9% ของหน่วยตำรวจรักษาสันติภาพฯ ที่จัดตั้งขึ้น และ 34% ของเจ้าหน้าที่อำนวยความยุติธรรม และงานรัฐทัณฑ์ที่รัฐบาลนานาชาติจัดหามาปฏิบัติหน้าที่ในภารกิจรักษาสันติภาพของสหประชาชาติ แม้ว่าสหประชาชาติจะสนับสนุนและสนับสนุนการนำสตรีเข้าปฏิบัติงานในภารกิจการรักษาสันติภาพ แต่ความรับผิดชอบในการส่งสตรีเข้าเป็นตำรวจและทหารนั้นเป็นของรัฐสมาชิก กองตำรวจแห่งสหประชาชาติเปิดตัว 'ความพยายามระดับโลก' เพื่อรับสมัครเจ้าหน้าที่ตำรวจสตรีเข้าเป็นตำรวจแห่งสหประชาชาติชาติ และปฏิบัติหน้าที่ตำรวจของสหประชาชาติทั่วโลก เป้าหมายคือ ปี พ.ศ. 2571 สำหรับสตรีที่ในหน่วยทหารคือ 15% และ 25% สำหรับผู้สังเกตการณ์ทางทหารและเจ้าหน้าที่ทั่วไป และเป้าหมายปี  พ.ศ. 2571 สำหรับสตรีในหน่วยตำรวจในภารกิจรักษาสันติภาพของสหประชาชาติที่ตั้งไว้คือ 20% 

ความสำคัญของการมีเจ้าหน้าที่สตรีในกองกำลังรักษาสันติภาพ จำนวนมากขึ้นของเจ้าหน้าที่ทหาร-ตำรวจสตรีในการรักษาสันติภาพหมายถึง การรักษาสันติภาพนั้นที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น เจ้าหน้าที่รักษาสันติภาพสตรีช่วยในการปรับปรุงประสิทธิภาพการรักษาสันติภาพโดยภาพรวม สามารถเข้าถึงชุมชนได้มากขึ้น ช่วยในการส่งเสริมสิทธิมนุษยชนและการคุ้มครองพลเรือน และสนับสนุนให้สตรีกลายเป็นส่วนสำคัญของกระบวนการสันติภาพและการเมือง

การดำเนินงานและประสิทธิภาพที่ดีขึ้น 
>> ความหลากหลายที่มากขึ้นและชุดทักษะที่กว้างขึ้นหมายถึง การตัดสินใจ การวางแผนและผลลัพธ์ที่ดีขึ้น ซึ่งนำไปสู่ประสิทธิภาพและผลการปฏิบัติงานที่ดีขึ้น
>> การเข้าถึงที่ดีขึ้น : เจ้าหน้าที่รักษาสันติภาพสตรีสามารถเข้าถึงประชาชนได้ดีขึ้น ซึ่งรวมถึงสตรีและเด็ก ตัวอย่างเช่น โดยการสัมภาษณ์และสนับสนุนผู้รอดชีวิตจากความรุนแรงและความรุนแรงต่อเด็กตามเพศ ดังนั้นจึงต้องมีข้อมูลสำคัญที่อาจเข้าถึงได้ยาก 

สะท้อนถึงชุมชนที่กองกำลังรักษาสันติภาพฯ ให้บริการ  
>> ความหลากหลายในหน่วยรักษาสันติภาพของสหประชาชาติเปิดโอกาสให้มีส่วนร่วมกับสมาชิกทุกคนในชุมชนที่กำลังปกป้องอยู่

การสร้างความไว้วางใจและความมั่นใจ 
>> เจ้าหน้าที่รักษาสันติภาพสตรี เป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างความไว้วางใจและความเชื่อมั่นให้กับชุมชนท้องถิ่น และช่วยปรับปรุงการเข้าถึงและการสนับสนุนสำหรับสตรีในท้องถิ่น ตัวอย่างเช่น โดยการปฏิสัมพันธ์กับสตรีในสังคมที่สตรีไม่ได้รับอนุญาตให้พูดกับบุรุษนอกครอบครัว

การช่วยป้องกันและลดความขัดแย้งและการเผชิญหน้า 
>> ความหลากหลายในการรักษาสันติภาพ ช่วยจัดการกับผลกระทบเชิงลบที่ไม่สมส่วนซึ่งความขัดแย้งมีต่อการดำรงชีวิตของสตรี และนำมุมมองและแนวทางแก้ไขใหม่ ๆ มาสู่การเจรจาพูดคุยและตกลง โดยการตอบสนองความต้องการของสตรีในบริบทที่มีความขัดแย้งและภายหลังความขัดแย้งอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงอดีตทหารสตรีและทหารเด็กในระหว่างการปลดประจำการ และการกลับคืนสู่ชีวิตพลเรือน

การสร้างแรงบันดาลใจและการสร้างแบบอย่าง 
>> เจ้าหน้าที่รักษาสันติภาพสตรีทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษา และแบบอย่างที่ทรงพลังสำหรับสตรีและเด็กสตรีในสภาพแวดล้อมภายหลังความขัดแย้งในชุมชน เป็นตัวอย่างให้พวกเขาเข้าใจในสิทธิของตนเอง และสามารถประกอบอาชีพที่ต่างไปจากวิถีดั้งเดิม

เจ้าหน้าที่รักษาสันติภาพสตรีในการรับมือ COVID-19 เจ้าหน้าที่รักษาสันติภาพของสหประชาชาติกำลังเผชิญกับความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่ง นั่นคือ การระบาดใหญ่ของ COVID-19 เจ้าหน้าที่รักษาสันติภาพต้องช่วยเหลือรัฐบาลและชุมชนท้องถิ่นในการต่อสู้กับการแพร่ระบาด และยังคงต้องปรับกิจกรรมของตนเพื่อดำรงการปฏิบัติตามคำสั่งที่ได้รับมาต่อไป ซึ่งรวมถึงการปกป้องชุมชนต่าง ๆ ที่เปราะบางด้วย เจ้าหน้าที่รักษาสันติภาพสตรีอยู่ในแนวหน้าของการต่อสู้ครั้งนี้ และเป็นส่วนสำคัญของการรับมือ COVID-19 เช่นเดียวกับการปฏิบัติตามคำสั่งตามภารกิจ ภายใต้ข้อจำกัดในปัจจุบัน และในขณะที่ใช้มาตรการป้องกันก่อนทั้งหมด

ความคิดริเริ่มที่สำคัญในปฏิบัติการสันติภาพ ขณะนี้ประเทศสมาชิกได้รับการร้องขอให้เสนอชื่อสตรีอย่างน้อย 20% สำหรับตำแหน่งเจ้าหน้าที่ตำรวจและ 30% สำหรับเจ้าหน้าที่อำนวยความยุติธรรมและงานรัฐทัณฑ์ที่รัฐบาลต่าง ๆ จัดหา บุคลากรสตรีที่ผ่านการคัดเลือกจะได้รับการจัดลำดับความสำคัญสำหรับตำแหน่งทหารของเจ้าหน้าที่แต่ละคน ณ สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ และภารกิจภาคสนาม ตลอดจนเจ้าหน้าที่อำนวยความยุติธรรมและงานรัฐทัณฑ์ที่รัฐบาลต่าง ๆ จัดหา

หน่วยงานจัดลำดับความสำคัญของสตรี ตำรวจที่จัดตั้งขึ้นซึ่งรวมถึงกองกำลังรักษาสันติภาพแห่งสหประชาชาติ กำลังแนะนำหน่วยรบที่ประกอบด้วยสตรีอย่างน้อย 50% เจ้าหน้าที่อำนวยความยุติธรรมและงานรัฐทัณฑ์สนับสนุนชุดของการฝึกอบรมก่อนการปรับใช้สำหรับเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์สตรีโดยเฉพาะ สำนักงานตำรวจแห่งสหประชาชาติกำลังดำเนินการเกี่ยวกับข้อตกลงทางเพศโดยสมัครใจตามที่เลขาธิการฯ เสนอเพื่อส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศในสำนักงานตำรวจแห่งสหประชาชาติ ซึ่งมีบทบัญญัติสำหรับข้อผูกพันโดยรัฐสมาชิก PCCs เพื่อเริ่มดำเนินการเกี่ยวกับโครงสร้างที่จำเป็นมาก (นโยบายและกฎหมาย) การเปลี่ยนแปลงด้านสิ่งแวดล้อมและโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อรับรองการรับสมัครสตรีที่เพิ่มขึ้นในสถาบันตำรวจของรัฐเจ้าภาพ มีความมุ่งมั่นในการเป็นผู้นำที่เข้มแข็งในการแต่งตั้งสตรีให้ดำรงตำแหน่งผู้นำระดับสูง

กองกำลังรักษาสันติภาพแห่งสหประชาชาติได้ส่งสตรีจำนวนมากเป็นประวัติการณ์ ในการมีบทบาททางทหารที่อาวุโสที่สุดในปฏิบัติการเพื่อสันติภาพของสหประชาชาติ โดยมีผู้บัญชาการกองกำลังเป็นสตรีหนึ่งนาง และรองผู้บังคับบัญชากองกำลังสตรีสองนาง ซึ่งกำลังประจำการอยู่ในสนาม

ร.ต.อ.หญิง อุภิญญา บุญเรืองนาม รอง สว.ประจำกองการต่างประเทศ ร่วมปฏิบัติภารกิจกับ UNPOL ในซูดานใต้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top