Sunday, 16 March 2025
NEWS FEED

'มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง เสริมสร้าง อนาคตเด็กไทย' มอบทุนการศึกษาให้แก่นักเรียนในถิ่นทุรกันดารพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี รุ่นที่ 3 (ครั้งที่ 3) ประจำปี พ.ศ. 2568 

(7มี.ค.68) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นายนิพนธ์ ลีละศิธร กรรมการ พร้อมด้วย นางสาวดวงชุตา ติยะพจนพรกุล ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์ นำทีมแผนกส่งเสริมการศึกษาและอาชีพลงพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี มอบทุนการศึกษาระดับมัธยมศึกษาสำหรับเยาวชนโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน รุ่นที่ 3 (ครั้งที่ 3) ประจำปี พ.ศ. 2568 ประกอบด้วย โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 45  อำเภอพนมทวน โรงเรียนร่มเกล้า กาญจนบุรี (ในโครงการพระราชดำริ) โรงเรียนทองผาภูมิวิทยา โรงเรียนสมาคมป่าไม้แห่งประเทศไทยอุทิศ โรงเรียนบ้านเกริงกระเวีย โรงเรียนบ้านห้วยเสือ อำเภอทองผาภูมิ และโรงเรียนอุดมสิทธิศึกษา อำเภอสังขละบุรี รวม 7 แห่ง จำนวน 60 ทุน รวมงบประมาณทั้งสิ้น 450,000 บาท (สี่แสนห้าหมื่นบาทถ้วน) พร้อมกันนี้ มูลนิธิฯ ได้สนับสนุนเงินค่าพาหนะ สำหรับโรงเรียนที่นำนักเรียนเดินทางมารับทุนฯ ในครั้งนี้ รวมจำนวน 9,000 บาท (เก้าพันบาทถ้วน) นอกจากนี้ ยังได้มอบกระปุกออมสิน พร้อมปฏิทินแขวนมูลนิธิฯ บรรจุถุง ให้แก่นักเรียนที่มารับทุนฯ โดยมี ผู้อำนวยการโรงเรียน คณะครู อาจารย์ และผู้แทนนักเรียนจากโรงเรียนต่างๆ ร่วมรับมอบ ณ โรงเรียนทองผาภูมิวิทยา อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี

การมอบทุนการศึกษา เป็นหนึ่งในนโยบายหลักของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง เพื่อช่วยเหลือสังคม “สร้างชีวิต” ให้เยาวชนมีโอกาสเท่าเทียมทางการศึกษา เติมเต็มความหวังเป็นอนาคตของครอบครัวสังคม และประเทศชาติ โดยตลอดระยะเวลากว่า 115 ปี ที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ ศาสนา เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาคุณภาพชีวิตอีกในหลายทาง เพื่อเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนครบวงจรในทุกๆ ด้าน ต่อไป ดังปณิธาน มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต”

ติดตามข่าวสาร และกิจกรรมการช่วยเหลือของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งได้ที่เว็บไซต์ www.pohtecktung.org ได้ที่เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung

กาฬสินธุ์-ม.กาฬสินธุ์เปิดประชุมวิชาการระดับชาติ-นานาชาติ ครั้งที่ 3 

มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์จัดประชุมวิชาการระดับชาติและนานาชาติ มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ ประจำปี 2568 ครั้งที่ 3 หัวข้อ “นวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อการพัฒนาเชิงพื้นที่อย่างยั่งยืน”

(7 มี.ค.68) ที่อาคารกิจการนักศึกษา มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ (พื้นที่ในเมือง) รองศาสตราจารย์ ดร.คมกฤต เล็กสกุล รองผู้อำนวยการ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการประชุมวิชาการระดับชาติและนานาชาติ มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ ประจำปี 2568 ครั้งที่ 3 หัวข้อ“นวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อการพัฒนาเชิงพื้นที่อย่างยั่งยืน” (INNOVATION AND TECHNOLOGY FOR SUSTAINABLE AREA-BASED DEVELOPMENT: KSU INNO-TECH 2025 FOR SABD) โดยมีนายผดุงศักดิ์ อิ่มเอิบ รองผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.กีรวิชญ์ เพชรจุล รักษาราชการแทนอธิการบดีม.กาฬสินธุ์ นายวิทยา ปัญจมาตย์ ผอ.ทสจ.กาฬสินธุ์ คณะผู้บริหาร หัวหน้าส่วนราชการ ผู้ทรงคุณวุฒิ นักวิชาการ นักวิจัย คณาจารย์และนักศึกษาทั้งในประเทศและต่างประเทศเข้าร่วมกิจกรรมพิธีเปิดและประชุม  

ซึ่งการประชุมครั้งนี้ประกอบไปด้วยกิจกรรมสำคัญ ได้แก่ การปาฐกถาพิเศษ โดยวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิจากทั้งในประเทศและต่างประเทศ การนำเสนอผลงานวิจัยระดับชาติและนานาชาติ ครอบคลุมหลากหลายสาขาวิชา และนิทรรศการทางวิชาการและนวัตกรรม ที่นำเสนอผลงานวิจัยและนวัตกรรมที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้จริง

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.กีรวิชญ์ เพชรจุล รักษาราชการแทนอธิการบดี ม.กาฬสินธุ์ ในนามผู้แทนคณะกรรมการดำเนินโครงการประชุมวิชาการระดับชาติและนานาชาติ มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ ประจำปี 2568 ครั้งที่ 3 หัวข้อ“นวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อการพัฒนาเชิงพื้นที่อย่างยั่งยืน” กล่าวว่า มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์มุ่งมั่นที่จะเป็นศูนย์กลางในการพัฒนาความรู้และนวัตกรรม เพื่อส่งเสริมการพัฒนาทางวิชาการและสังคมอย่างยั่งยืน การประชุมวิชาการในครั้งนี้จัดขึ้นภายใต้หัวข้อ "นวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อการพัฒนาเชิงพื้นที่อย่างยั่งยืน" โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นเวทีสำหรับนักวิจัย นักวิชาการ คณาจารย์ นักศึกษา และผู้สนใจจากทั้งในประเทศและต่างประเทศ ได้แลกเปลี่ยนองค์ความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่สามารถนำไปใช้พัฒนาเชิงพื้นที่อย่างเป็นระบบและยั่งยืน

เชียงใหม่-แถลงผลการจับกุมผู้ต้องหาคดียาเสพติดรายสำคัญ 2 คดี ของกลางยาบ้าจำนวน 6,996,000เม็ด 

(7 มี.ค.68) เวลา 11.00 น. ตำรวจภูธรภาค 5 แถลงการณ์จับกุมคดียาเสพติดรายสำคัญ 2 คดี

1. สภ.สบปราบ จ.ลำปาง จับกุมผู้ต้องหาพร้อมของกลางยาบ้า 6,000,000 เม็ด  2. สภ.ห้วยไร่ จ.แพร่ ตรวจยึดยาบ้า 996,000 เม็ด โดยมี พล.ต.ท.กฤตธาพล ยี่สาคร ผบช.ภ.5 เป็นประธานการแถลงข่าว ณ ลานแถลงข่าว อาคารกองบังคับการสืบสวนสอบสวน ตำรวจภูธรภาค 5 อ.เมืองเชียงใหม่ จ.เชียงใหม่

ตามนโยบายรัฐบาล สั่งการให้หน่วยงานของรัฐที่ทำหน้าที่ในการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด บูรณาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยการอำนวยการของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร, พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง,พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์, พล.ต.อ.ประจวบ วงศ์สุข รอง ผบ.ตร., พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร., พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการ ป.ป.ส. และ พล.ท.กิตติพงษ์ แจ่มสุวรรณ มทภ.3 ได้รับบัญชาและข้อสังการนำไปสู่การปฏิบัติ

ตำรวจภูธรภาค 5 โดย พล.ต.ท.กฤตธาพล ยี่สาคร ผบช.ภ.5, พล.ต.ต.พิเชษฐ จีระนันตสิน, พล.ต.ต.นพดล กรึงไกร,พล.ต.ต.พรพิทักษ์ รู้ยืนยง, พล.ต.ต.ธนะรัชต์ ชุ่มสวัสดิ์, พล.ต.ต.พิชญา บุญขจร, พล.ต.ต.ธวัชชัย พงษ์วิวัฒนชัย รอง ผบช.ภ.5, พล.ต.ต.วรพงศ์ คำลือ ผบก.สส.ภ.5, พล.ต.ต.ภูมิปัญญ์ญา นวตระกูลพิสุทธิ์ ผบก.ภ.จว.ลำปาง และพล.ต.ต.พงษ์เดช คำใจสู้ ผบก.ภ.จว.แพร่ ฝ่ายทหาร นบ.ยส.35 โดย พล.ท.กิตติพงศ์ ชื่นใจชน มทน.๓/ผบ.นบ.ยส.35 ฝ่ายปกครอง โดย นายซุติเดช มีจันทร์ ผวจ.ลำปาง นายสมชัย เลิศประสิทธิพันธ์ ผวจ.แพร่ สำนักงาน ปปส.ภาค 5โดย นายธันวา ผุดผ่องผอ.ปปส.ภาค 5 

แถลงผลการสืบสวนจับกุมผู้ต้องหาคดียาเสพติดรายสำคัญ จำนวน 2 คดี 1. กรณี สภ.สบปราบ จว.ลำปาง จับกุมผู้ต้องหา 1 คน พร้อมของกลางยาบ้าจำนวน 6,000,000 เม็ด 2. กรณี สภ.ห้วยไร่ จว.แพร่ ตรวจยึดของกลางยาบ้าจำนวน  996,000 เม็ด รวมของกลางยาบ้าจำนวน  6,996,000เม็ด แก้ไขปัญหายาเสพติดในทุกมิติ

คดีที่ 1 สืบเนื่องเมื่อวันที่  4 มี.ค.68 เวลาประมาณ 22.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจด่านตรวจยาเสพติดสบปราบได้รับแจ้งจากสายลับ(ขอปิดนาม) ว่าจะมีกลุ่มขบวนการลักลอบลำเลียงยาเสพติดจำนวนมากผ่านพื้นที่ของ อ.สบปราบโดยจะใช้เส้นทางผ่านด่านตรวจยาเสพติดสบปราบ จึงได้รายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบตามลำดับชั้น และได้สั่งการให้เฝ้าสืบสวนติดตามตรวจดูรถตามที่ได้รับแจ้ง

ต่อมาเวลาประมาณ 23.00 น. ของวันเดียวกัน มีรถยนต์กระบะ หมายเลขทะเบียน บว1067 กำแพงเพชร ขับเข้ามายังด่านตรวจยาเสพติดสบปราบ ซึ่งมีลักษณะตรงกับที่สายลับแจ้ง เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดคัดกรองรถจึงให้สัญญาณ ชิดขอบทางด้านซ้ายเพื่อทำการขอตรวจค้นรถคันดังกล่าว พบนายฐานพัฒน์ อายุ 38ปี เป็นผู้ขับขี่ จากการสอบถามทราบว่าจะเดินทางไป จว.กำแพงเพชร ขณะที่ทำการตรวจพบความผิดปกติเนื่องจาก นายฐานพัฒน์ ได้ใช้แอปพลิเคชันไลน์ติดต่อสื่อสารกับบุคคลอีกคนหนึ่งค้างไว้ ซึ่งเชื่อได้ว่ามีการลักลอบนำสิ่งของผิดกฎหมาย และจึงได้ทำการขอตรวจค้นตัวนายฐานพัฒน์ และรถคันดังกล่าว ผลการตรวจค้นไม่พบสิ่งของผิดกฎหมายใดๆ

ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุม พร้อมพวกได้แบ่งกำลังออกตรวจสอบตามเส้นทางที่คาดว่า รถเป้าหมายจะจอดหลบจนเดินทางมาถึง ปั๊มน้ำมัน ปตท.สาขาสบปราบ จว.ลำปาง ได้พบรถบรรทุก  6 ล้อ ตู้ทึบ ทะเบียน 700-4340 กทม.จึงแสดงตัวขอตรวจสอบ พบนายนันท์นลิน อายุ  27 ปี แสดงตนเป็นเจ้าของรถ/ผู้ขับขี่ เมื่อสอบถามทราบว่าจะเดินทางไปจว.ลำปาง และขณะสอบถามแสดงอาการมีพิรุธ ลุกลี้ลุกลน พูดจาวกวนไปมาคล้ายลักลอบนำสิ่งของผิดกฎหมายมาด้วยจากการตรวจสอบเส้นทางเดินรถโดยละเอียดทราบว่าได้ขัดแย้งกัน และจากการซักถาม นายนันท์นลิน ผู้ขับขี่ โดยละเอียดได้รับสารภาพกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า ได้รับจ้างบรรทุกสิ่งของจาก จว.ลำพูน ไปส่งปลายทาง จว.อ่างทอง เจ้าหน้าที่ชุดจับกุม จึงได้เชิญตัวนายนันท์นลิน พร้อมนำรถบรรทุก 6ล้อคันดังกล่าว มาที่ด่านตรวจยาเสพติด สถ.สบปราบ เพื่อทำการตรวจค้นอย่างละเอียด ก่อนทำการตรวจค้นเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมได้แสดงความบริสุทธิ์ใจ ให้นายนันท์นลิน เป็นที่เรียบร้อยและให้ความยินยอม

ผลการตรวจค้นพบเป็น ยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 1(เมทแอมเฟตามีน) จำนวนรวมประมาณ 6,000,000 เม็ด จึงได้ทำการจับกุมผู้ต้องหา และนำของกลางทั้งหมด นำส่ง พงส.สภ.สบปราบ เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย และหาตัวผู้กระทำผิดต่อไป

คดีที่ 2 สืบเนื่องเมื่อวันที่  5 มี.ค.68 เวลาประมาณ13.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดตรวจยึด ได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาให้ตั้งจุดตรวจสกัดกั้นยาเสพติด ณ บริเวณหน้าด่านตรวจเอกซเรย์ห้วยไร่ ต่อมาเวลาประมาณ 15.20 น. ได้มีนายธีระพลฯ อายุ 28 ปี ผู้ขับขี่ รถบรรทุก 6 ล้อ ทะเบียน 70-5070 พะเยา ได้มาแสดงตนต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อขอให้เจ้าหน้าที่นำรถเข้าอุโมงค์เอกซเรย์ เนื่องจากเกิดความสงสัยว่า สิ่งของที่บรรทุกมา จากผู้ว่าจ้างใน อ.แม่สาย จว.เชียงราย และต้องนำไปส่งยังพื้นที่ปลายทาง จว.พัทลุง อาจเป็นสิ่งของ ผิดกฎหมาย 

ผลการตรวจพบเป็นยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 1 (เมทแอมเฟตามีน) ซุกซ่อนอยู่ในเครื่องเกียร์รถยนต์และถังปั๊มลม วางอยู่บริเวณท้ายรถบรรทุก รวมยาเสพติดจำนวน 996,000เม็ด เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดตรวจยึด จึงได้ทำการตรวจยึดของกลางทั้งหมดนำส่ง พงส.สภ.ห้วยไร่ เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย และหาตัวผู้กระทำผิดต่อไป

ตำรวจภูธรภาค 5 ได้บูรณาการร่วมกับหน่วยงานทุกภาคส่วน ทั้งฝ่ายตำรวจ ฝ่ายทหาร ฝ่ายปกครอง สำนักงาน ป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ได้นำบัญชาและข้อสั่งการของรัฐบาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และสำนักงานตำรวจแห่งชาติในการสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติดไม่ให้เข้าไปสู่พื้นที่ตอนในอย่างเข้มข้นและจริงจัง และนำไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม

สรุปผลการจับกุมยาเสพติด ของ ตำรวจภูธรภาค 5 ห้วงตั้งแต่ 1ต.ค.67-5มี.ค.68 จับกุมคดียาเสพติด จำนวน 9,784 คดี คดียาเสพติดรายสำคัญ 92 คดี ตรวจยึดของกลางยาเสพติด- ยาบ้า 82 ล้านเม็ดเศษ ไอซ์  6,249 กิโลกรัมเศษ เฮโรอีน 148 กิโลกรัมเศษ เคตามีน 805 กิโลกรัมเศษฝิ่น 43กิโลกรัมเศษ ตรวจยึดทรัพย์สินที่เกี่ยวกับยาเสพติดมูลค่าทรัพย์สินประมาณ 298 ล้านบาทเศษ

เชียงใหม่-ท่าอากาศยานเชียงใหม่จัดพิธีทำบุญครบรอบ 37 ปี แห่งการดำเนินงาน

ท่าอากาศยานเชียงใหม่ (ทชม. )ฉลองครบรอบ 37 ปี แห่งการดำเนินงานในฐานะศูนย์กลางการเดินทางทางอากาศที่สำคัญของภาคเหนือ พร้อมมุ่งสู่อนาคต ด้วยแผนพัฒนาที่จะรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมการบินและการท่องเที่ยวที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง

(7 มี.ค.68) ท่าอากาศยานเชียงใหม่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทชม.ทอท.) ครบรอบ 37 ปีการดำเนินงานในวันที่ 1 มีนาคม 2568  ได้จัดพิธีทำบุญ เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ลแก่พนักงาน ลูกจ้างและผู้ที่ปฏิบัติงาน โดยมีนาวาอากาศโท รณกร เฉลิมแสนยากร ผู้อำนวยการท่าอากาศยานเชียงใหม่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) เป็นประธานในพิธีทำบุญ พร้อมด้วนหัวหน้าส่วนราชการ สายการบิน ผู้ประกอบการ ตลอดจนผู้บริหาร และพนักงานลูกจ้างท่าอากาศยานเชียงใหม่ เข้าร่วมพิธี อย่างพร้อมเพรียง สะท้อนถึงความร่วมมือของทุกภาคส่วนในการพัฒนาท่าอากาศยานเชียงใหม่ให้เป็นศูนย์กลางการบินที่สำคัญของภูมิภาค ณ อาคารอเนกประสงค์ ท่าอากาศยานเชียงโหม่

นาวาอากาศโท รณกร เฉลิมแสนยากร ผู้อำนวยการท่าอากาศยานเชียงใหม่ กล่าวว่า ท่าอากาศยานเชียงใหม่เป็นท่าอากาศยาน 1 ใน 6 แห่ง ภายใต้การกำกับดูแลของ ทอท.ได้รับโอนกิจการจากกรมการบินพาณิชย์มาอยู่ในความดูแลของการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2531 และได้กลายเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของจังหวัดเชียงใหม่และภาคเหนือ โดยปัจจุบันรองรับผู้โดยสารมากกว่า 10 ล้านคนต่อปี และมีเส้นทางบินเชื่อมต่อทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงสายการบินชั้นนำที่ให้บริการอย่างต่อเนื่อง 

ปัจจุบันท่าอากาศยานเชียงใหม่ให้บริการเส้นทางการบินระหว่างประเทศ 21 เส้นทาง ให้บริการโดย 24 สายการบิน และให้บริการเส้นทางการบินภายในประเทศ 11 เส้นทาง ให้บริการโดย 6 สายการบิน ซึ่งสายการบินน้องใหม่ล่าสุดที่กำลังจะเริ่มให้บริการในวันที่ 27 มีนาคม 2568 คือสายการบินเฉิงตูแอร์ไลน์ ทำการบินเส้นทาง เฉิงตู-เชียงใหม่-เฉิงตู และมีสายการบินจากตะวันออกกลางอยู่ระหว่างการดำเนินการขอใบอนุญาต เพื่อทำการบินในช่วงปลายปีนี้ 

สำหรับผลการดำเนินงานในปี 2567 ท่าอากาศยานเชียงใหม่มีผลการดำเนินงานที่สะท้อนถึงการฟื้นตัวและเติบโตของภาคการบินและการท่องเที่ยว จำนวนเที่ยวบินพาณิชย์ 59,493 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ร้อยละ 6.88  จำนวนผู้โดยสาร 9,082,071 คน เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ร้อยละ 10.43 ปริมาณสินค้า 5,478,134 กิโลกรัม เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ร้อยละ 4.23 

และเพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต ท่าอากาศยานเชียงใหม่มีแผนพัฒนาขยายศักยภาพการรองรับผู้โดยสารให้เพิ่มขึ้นเป็น 20 ล้านคนต่อปี โดยมีการดำเนินโครงการพัฒนาใน 2 ระยะ ดังนี้ ระยะที่ 1: เพิ่มขีดความสามารถจาก 8.5 ล้านคนต่อปี เป็น 16.5 ล้านคนต่อปี ระยะที่ 2: ขยายเพิ่มเป็น 20 ล้านคนต่อปี

ในส่วนของโครงการพัฒนาท่าอากาศยานเชียงใหม่ ระยะที่ 1 ปัจจุบันอยู่ระหว่างกระบวนการสำรวจและออกแบบโครงการพัฒนาระยะที่ 1 ควบคู่กับการดำเนินการโครงการศึกษาและจัดทำรายงานการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการ ในรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการพัฒนาท่าอากาศยานเชียงใหม่ : แผนพัฒนาท่าอากาศยานเชียงใหม่  

โดยโครงการพัฒนาไม่เพียงมุ่งเน้นด้านโครงสร้างพื้นฐาน แต่ยังให้ความสำคัญกับอัตลักษณ์ล้านนา การพัฒนาการให้บริการ และความสะดวกสบายของผู้โดยสาร รวมถึงการรองรับระบบขนส่งมวลชน เช่น โครงการรถไฟฟ้า และการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานด้านจราจรบริเวณโดยรอบ 

ผู้อำนวยการท่าอากาศยานเชียงใหม่ กล่าวอีกว่า “ตลอด 37 ปีที่ผ่านมา ท่าอากาศยานเชียงใหม่ เป็นกลไกหนึ่งในการส่งเสริม สนับสนุน ผลักดันให้มีการเจริญเติบโตในทุกมิติของจังหวัดเชียงใหม่และภาคเหนือ เรามุ่งมั่นที่จะพัฒนาสนามบินให้ทันสมัย สะดวกสบาย และปลอดภัย รองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมการบิน และส่งเสริมเศรษฐกิจการท่องเที่ยวของไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน"

ท่าอากาศยานเชียงใหม่ยังมีแผนพัฒนาต่อเนื่องในอนาคต โดยมุ่งเน้นการขยายอาคารผู้โดยสาร การพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการ และมาตรการเพื่อความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม อาทิ การใช้พลังงานสะอาดและการลดการปล่อยคาร์บอนสู่บรรยากาศ เพื่อให้สนามบินเติบโตอย่างมีความรับผิดชอบต่อสังคมอยู่เคียงข้างกับชุมชนและสิ่งแวดล้อม เป็นศูนย์กลางการบินระดับภูมิภาคที่พร้อมรับการเติบโตของอุตสาหกรรมการเดินทางและการท่องเที่ยวในระดับสากล

รอง ผบ.ตร.แถลงผลการจับกุมผู้ต้องหา 2 ราย ซุกซ่อนบุหรี่ไฟฟ้า 35,600 ชิ้น พร้อมอุปกรณ์ที่ใช้ในการเปิดร้านจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้า ภายในบ้านพัก

(7 มี.ค.68) เวลา 09.00 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) มอบหมายให้ พล.ต.อ.ประจวบ วงศ์สุข รอง ผบ.ตร. ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ผอ.ศปปง.ตร.) เป็นประธานแถลงผลการตรวจค้นจับกุมแหล่งซุกซ่อนบุหรี่ไฟฟ้ารายใหญ่ โดยมี พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร. , พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. , พล.ต.ต.กิตนิ์ธเนศ ธนนันท์ทวีสิน ผบก.ภ.จว.นนทบุรี ,พล.ต.ต.โชติวัฒน์ เหลืองวิลัย ผบก.สส.บช.น. , พล.ต.ต.พัฒนศักดิ์ บุบผาสุวรรณ ผบก.ปคบ. , พล.ต.ต.สรัลพัฒน์ ยศสมบัติ ผบก.กต.2 และผู้เกี่ยวข้องร่วมแถลง ณ บ้านพักในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ต.ไทรม้า อ.เมือง จ.นนทบุรี

ทั้งนี้ ช่วงประมาณต้นเดือนมีนาคม 2568 ได้มีพลเมืองดีเข้ามาให้ข้อมูลแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ว่ามีการขนย้ายบุหรี่ ไฟฟ้าจำนวนมากออกจากร้านที่ลักลอบจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้า บริเวณพื้นที่กรุงเทพมหานครและพื้นที่ข้างเคียง เจ้าหน้าที่ตำรวจเชื่อว่าเป็นการขนออกเพื่อหลบเลี่ยงการถูกตรวจค้นจับกุม ในช่วงที่มีความเข้มข้นในการระดมกวาดล้างการกระทำความผิดเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้า จึงได้ทำการสืบสวนติดตามเรื่อยมา จนกระทั่งทราบว่ามีการขนบุหรี่ไฟฟ้านำมาเก็บซุกซ่อนไว้ในบ้านพักในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ต.ไทรม้า อ.เมือง จ.นนทบุรี ซึ่งพบว่าบ้านหลังดังกล่าวมีการใช้สิ่งของปกปิดอำพรางรั้วไว้อย่างมิดชิด จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจ กองบังคับการสืบสวนสอบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล ได้รวบรวมพยานหลักฐานเพื่อขอหมายค้นต่อศาลจังหวัดนนทบุรี และศาลได้อนุมัติหมายค้น 

ล่าสุดวันนี้ (7 มีนาคม 2568) เจ้าหน้าที่ตำรวจได้สนธิกำลังกันเข้าทำการตรวจค้นบ้านหลังดังกล่าว ผลการตรวจค้นพบของกลางเป็นบุหรี่ไฟฟ้าจำนวนหลายยี่ห้อคละกัน ประมาณ 35,600 ชิ้น รวมมูลค่ากว่า 1 ล้านบาท และยังตรวจพบอุปกรณ์ที่ใช้ในการเปิดร้านจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าอีกจำนวนหนึ่ง การปฏิบัติการในครั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับกุมผู้ต้องหา 2 ราย แจ้งข้อหา “ฝ่าฝืนคำสั่งคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ขายสินค้าที่คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคสั่งห้ามขาย (บุหรี่ไฟฟ้าและน้ำยาสำหรับเติมบุหรี่ไฟฟ้า)” ตามคำสั่งคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ที่ 9/2558 และ “ซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ รับจำนำ หรือรับไว้โดยประการใดซึ่งของอันตนพึงรู้ว่าเป็นสิ่งต้องห้ามนำเข้าในราชอาณาจักร” ตามมาตรา 256 พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ.2560 

เบื้องต้นหนึ่งในผู้ต้องหาให้การว่าเป็นเจ้าของร้านจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร และรับคำสั่งมาจากผู้สั่งการให้ทำการเก็บรักษาบุหรี่ไฟฟ้าของกลางไว้ จากนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมจะได้มีการขยายผลอย่างต่อเนื่องไปสู่การจับกุมผู้ร่วมขบวนการรายอื่นมารับโทษตามกฎหมายต่อไป

พล.ต.อ.ประจวบฯ กล่าวว่า ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้าในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มเด็ก เยาวชน นักเรียน นักศึกษา พื้นที่ใกล้โรงเรียนหรือสถานศึกษา รวมถึงสถานบริการ สถานประกอบการ และพื้นที่สาธารณะในหลายพื้นที่ ส่งผลกระทบต่อสุขภาพร่างกายของผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าเอง หรือผู้อื่น สร้างความเดือดร้อน รำคาญแก่ประชาชนใกล้เคียง รัฐบาล โดย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้ให้ความสำคัญต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้าดังกล่าว จึงกำหนดนโยบายให้มีการระดมกวาดล้างจับกุมผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้าในทุกมิติ ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ นำโดย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. สั่งการให้กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกหน่วย ระดมกำลังกวาดล้างจับกุมในทุกพื้นที่อย่างต่อเนื่องและเคร่งครัด และติดตามการขับเคลื่อนให้มีผลการปฏิบัติในทุกมิติอย่างเป็นรูปธรรม

คณะพาณิชย์ฯ มธ. ร่วมแสดงความยินดี ‘อานันท์ ปันยารชุน’ หลังเข้ารับพระราชทานปริญญาบัญชีดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์

คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี ม.ธรรมศาสตร์ ร่วมแสดงความยินดีแด่ ฯพณฯ อานันท์ ปันยารชุน   

ประกาศเกียรติ เชิดชู ผู้นำร่อง 
ประกาศก้อง คุณธรรม ย้ำโปร่งใส
ประกาศกล้า นายกฯ ประเทศไทย
เกียรติก้าวไกล สมัยสง่า พานิรันดร์

อันธรรมา ภิบาล ท่านวางหลัก
ให้แน่นหนัก ดั่งรากฐาน ท่านสร้างสรรค์
สดุดี ผู้สัตย์ซื่อ ชื่อ…อานันท์
เกียรติภูมิ ยึดมั่น สำคัญนาม
ประพันธ์โดย รศ.ดร.ศรายุทธ เรืองสุวรรณ รองคณบดีฝ่ายยุทธศาสตร์และการคลัง

คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดงานเลี้ยงแสดงความยินดีแด่ ฯพณฯ อานันท์ ปันยารชุน ในโอกาสเข้ารับพระราชทานปริญญาบัญชีดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ ประจำปีการศึกษา 2566 เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2568 ณ InterContinental Bangkok (ราชประสงค์)

เพื่อเป็นเกียรติแด่ผู้นำที่ยึดมั่นในหลักธรรมาภิบาล และเป็นแบบอย่างของความซื่อสัตย์ โปร่งใส และความมุ่งมั่นในการพัฒนาประเทศไทย

‘น้องธีด้า’ ควงคุณแม่แชร์เคล็ดลับให้ลูกเรียนเก่ง - ได้ภาษา สานฝันจากลูกแม่ค้าขายยาคูลท์สู่การเป็นนักศึกษาแพทย์มหิดล

(7 มี.ค.68) นางสาวขวัญชนก จุ้ยสกุล หรือน้องธีด้า เยาวชนคนเก่งจากโรงเรียนชลกัลยานุกูล จ.ชลบุรี ลูกสาวแม่ค้าขายยาคูลท์ ซึ่งกำลังจะเข้าเป็นนักศึกษาแพทย์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้โพสต์คลิปผ่าน Tiktok : thida.himawari พร้อมคุณแม่ ร่วมแชร์วิธีการสอนลูกให้เป็นคนเก่งและมีความรับผิดชอบ โดยเริ่มต้นจากคำถามแรกที่ว่า แม่สอนภาษาอังกฤษให้น้องธีด้ายังไง

โดยคุณแม่ ได้ตอบว่า ได้เริ่มสอนตั้งแต่เด็กตัวเล็กๆ ที่เริ่มหัดพูด ด้วยประโยคง่าย ๆ สำหรับเด็ก พร้อม ๆ กับสร้างสิ่งแวดล้อมแห่งการเรียนรู้ เช่น การให้ดูการ์ตูนภาษาอังกฤษ แล้วก็พาไปดูหนังในโรงที่เป็นซาวด์แทร็กอย่างเดียว ในขณะเดียวกัน เวลาออกไปข้างนอกก็จะสื่อสารเป็นภาษาอังกฤษ ด้วยประโยคง่าย ๆ เพราะตัวคุณแม่เองก็ได้เก่งภาษาอังกฤษ จากนั้นพออายุประมาณ 4 – 5 ขวบ เมื่อถึงวัยเข้าเรียน ก็ให้เรียนหลักสูตร English Program ซึ่งก็ทำให้มีการพัฒนาที่ดีขึ้น นอกจากนี้ ช่วงที่อยู่ประมาณ ป.1 ก็ให้เรียนโฟนิกส์ (Phonics) หรือ วิธีการออกเสียงตัวอักษรภาษาอังกฤษ ซึ่งมองว่าเป็นสิ่งสำคัญในการที่ช่วยในเรื่องของการอ่านได้ดี และเพิ่มทักษะการอ่านด้วย

ขณะที่ คำถามต่อมา น้องธีด้า ถามว่า คุณแม่อยากให้หนูเป็นหมอตั้งแต่เด็กหรือไม่
ซึ่งคุณแม่ได้ตอบว่า ไม่ใช่เลย เพราะหากย้อนไปเทรนด์ในสมัยนั้น อยากให้ลูกเป็น แอร์โฮสเตส เพราะมองว่า การเป็นแอร์โฮสเตสได้เที่ยว และสมัยก่อนนั้น คนที่เป็นแอร์ฯ ดูดีมาก และคิดว่ารายได้สูงน่าจะสูงด้วย จึงอยากให้ลูกเป็นแอร์ แต่เมื่อวันหนึ่งลูกอยากเป็นหมอ ก็แล้วแต่ลูกจะเลือกและไม่ได้ห้าม

และเมื่อลูกมาบอกว่าอยากเป็นแพทย์ ก็ได้แต่บอกว่า มันยากนะ จะทำได้หรือ เพราะก่อนหน้านี้ไม่ใช่เด็กแนววิชาการที่มีผลงาน และไม่ค่อยได้เรียนพิเศษด้วย ดังนั้น จะมาหวังในรอบ 3 จึงมองว่าเป็นเรื่องยาก สำหรับคนที่ไม่ได้เตรียมตัวมาตั้งแต่ต้น แต่เมื่อลูกอยากจะเรียนหมอ ทางแม่ก็ไม่ห้ามและผลักดันและให้การสนับสนุนในทุกด้าน

สำหรับการสนับสนุนให้ลูกสาวได้เป็นนักศึกษาแพทย์จนสำเร็จนั้น ทางคุณแม่ บอกว่า ได้ช่วยหางานและกิจกรรมที่มีความเกี่ยวข้องกับทางการแพทย์ พร้อมกับหาข้อมูลในรอบพอร์ตฟอลิโอ ซึ่งอาจจะไม่ใช่ของแพทย์โดยตรง โดยไปดูว่า เขาไปทํากิจกรรมไหนมาบ้าง เพื่อเป็นตัวเสริม และไม่จําเป็นต้องเกี่ยวข้องกับการแพทย์ทุกอย่างก็ได้

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าคุณแม่จะไม่ห้าม และไม่อยากให้หยุดฝัน แต่ก็มีแอบกังวลอยู่บ้าง กลัวว่าลูกจะทำไม่ได้ พร้อมกับบอกว่าให้ลองวิชาชีพอื่นก่อนไหม กระทั่งพูดบ่อย ๆ  เข้าตัวน้องก็บอกว่า ตัวเขาเองยังไม่ละความพยายามเลย หลังจากนั้นเลิกกังวล พร้อมเฝ้ามองถึงความตั้งใจได้เห็นถึงความพยายาม และถึงวันนี้ยอมรับและภูมิใจในสิ่งที่น้องทำได้สำเร็จเป็นนักศึกษาแพทย์ตามที่ฝันไว้

ดร.ชิดตะวัน เตือนประเทศไทยเปิดกาสิโน เสี่ยงตามรอยวิกฤติเศรษฐกิจเหมือนตุรกี

(7 มี.ค. 68) ดร.ชิดตะวัน ชนะกุล นักเศรษฐศาสตร์ชื่อดังได้ออกมาเตือนถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการเปิดกาสิโนในประเทศไทย โดยชี้ว่า ความเสี่ยงที่อาจตามมาคล้ายกับสถานการณ์ในตุรกี ซึ่งเกิดวิกฤติเศรษฐกิจจากการขยายตัวของธุรกิจที่ไม่ยั่งยืน

ดร.ชิดตะวัน กล่าวว่า การเปิดกาสิโนในไทยอาจส่งผลให้เกิดการพึ่งพิงการลงทุนจากต่างประเทศและการใช้จ่ายของภาครัฐที่สูงขึ้น ซึ่งหากไม่มีการควบคุมที่ดี อาจทำให้เศรษฐกิจตกต่ำและเกิดวิกฤติทางการเงินในระยะยาว โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่เศรษฐกิจโลกมีความผันผวนสูง

เขายังแนะนำให้รัฐบาลไทยพิจารณาผลกระทบทางสังคมและเศรษฐกิจอย่างรอบคอบ รวมถึงการสร้างมาตรการป้องกันที่มีประสิทธิภาพเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาซ้ำรอยวิกฤติจากการเปิดกิจการประเภทนี้ในหลายประเทศ

นักเศรษฐศาสตร์หลายคนเห็นด้วยกับดร.ชิดตะวัน ว่าหากไม่มีการจัดการอย่างรัดกุม การเปิดกาสิโนอาจทำให้เกิดผลกระทบที่ยากเกินคาดเดาและส่งผลเสียต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจของไทยในอนาคต

ทั้งนี้ ประเทศตุรกี เปิดตัวกาสิโนอย่างเป็นทางการในปีที่ผ่านมา โดยคาดหวังว่าจะเป็นแหล่งดึงดูดนักท่องเที่ยวและกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ แต่ผลกระทบที่ตามมามีทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคมที่ต้องจับตามอง

การเปิดกาสิโนในตุรกีทำให้เกิดการเติบโตของธุรกิจการพนันบางส่วน แต่ผลลัพธ์ที่ตามมานั้นไม่ได้ตรงตามที่คาดหวัง การลงทุนในอุตสาหกรรมนี้ไม่ได้สร้างผลประโยชน์ระยะยาวให้แก่เศรษฐกิจของประเทศ 

แม้จะมีรายได้จากการเปิดกาสิโน แต่ธุรกิจการพนันยังไม่สามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตได้อย่างยั่งยืน นอกจากนี้ยังเกิดการพึ่งพาภาคการพนันที่มีความเสี่ยงสูง ทำให้เศรษฐกิจของตุรกีเผชิญกับความไม่แน่นอนในช่วงเวลาต่อมา

นอกจากนี้ การเพิ่มขึ้นของกิจกรรมการพนันในตุรกีทำให้เกิดปัญหาผลกระทบทางสังคมที่รุนแรง โดยเฉพาะการเสพติดการพนันที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด กลุ่มคนที่ติดการพนันต้องเผชิญกับปัญหาหนี้สินและปัญหาครอบครัวที่เกิดขึ้นจากการสูญเสียเงินจำนวนมากในกาสิโน

สมุทรปราการ-แสดงความยินดี 'ปิยนุช พาณิชย์พิศาล' ประธานชมรมโฮปฯ รับมอบโล่เกียรติยศเพื่อประกาศกิตติคุณในการทำความดี 'คนดีของแผ่นดิน'

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ (6 มี.ค.68) นายอัครนันท์ พร้อมด้วย นางธัญยธรณ์ พาณิชย์พิศาล และนางสาวปิยนุช พาณิชย์พิศาล ประธานชมรมโฮปสะพานบุญแห่งความหวังและศรัทธา ร่วมพิธีบวงสรวงเปิดเนตรองค์พญาครุฑ โดยได้นำมาตั้งประดิษฐาน บริเวณริมน้ำ ณ วัดมหาวงษ์ ปากน้ำ อ.เมือง สมุทรปราการ เพื่อให้ประชาชนได้เข้ามากราบสักการะขอพรเพื่อความเป็นสิริมงคล

โดยได้นิมนต์พระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ จำนวน 10 รูป มาร่วมประกอบพิธีพระสงฆ์เจริญชัยมงคลคาถาและเจริญพระพุทธมนต์เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ผู้ที่เข้าร่วมในพิธี โดยมีครอบครัวพาณิชย์พิศาล ประธานในพิธี พร้อมทั้งคณะเจ้าหน้าที่ชมรมโฮปฯ คณะศิษย์ยานุศิษย์ตลอดจนประชาชนร่วมในพิธีครั้งนี้ จากนั้นได้ร่วมกันถวายภัตตาหารเพลแด่พระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์และคณะสงฆ์ของทางวัดมหาวงษ์ที่มาร่วมประกอบพิธีอีกด้วย

นอกจากนี้ ทางครอบครัวพาณิชย์พิศาลและญาติสนิทต่างนำกระเช้าดอกไม้มามอบพร้อมทั้งร่วมแสดงความยินดีกับ นางสาวปิยนุช พาณิชย์พิศาล ประธานชมรมโฮปสะพานบุญแห่งความหวังและศรัทธา ที่ได้ รับมอบโล่ประกาศกิตติคุณ คนดีของแผ่นดิน จัดโดย สมาคมสื่อสร้างสรรค์เพื่อสังคม ยังสโมสรทหารบก ถนนวิภาวดี กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 5 มีนาคม ที่ผ่านมา

โดยท่าน พลเอก กิตติ รัตนฉายา ประธานในพิธีมอบโล่เกียรติยศเพื่อประกาศกิตติคุณในการทำความดี ซึ่งโล่ประกาศกิตติคุณ “คนดีของแผ่นดิน” เป็นรางวัลที่เชิดชูเกียรติ มอบแด่ผู้ที่ทำคุณประโยชน์แก่แผ่นดินและเป็นผู้ที่ช่วยเหลือสังคมโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน 

นอกจากนี้การมอบโล่กิตติคุณนี้เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้บุคคลเหล่านี้ได้มีกำลังใจในการประพฤติตนสร้างคุณงามความดี และอุทิศตนเพื่อช่วยเหลือผู้ที่ตกทุกข์ได้ยากและช่วยเหลือสังคมต่อไป

สบส. รุดตรวจร้านนวด ย่านบางกะปิ เคลียร์เหตุลูกค้าถูกล่วงละเมิด

กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (กรม สบส.) กระทรวงสาธารณสุข ส่งทีมเจ้าหน้าที่ลงตรวจร้านนวด ย่านบางกะปิ เคลียร์เหตุลูกค้าถูกล่วงละเมิดโดยหมอนวด ย้ำผู้ประกอบกิจการให้ควบคุมกำกับผู้ให้บริการอย่างใกล้ชิด หากมีการกระทำอนาจาร หรือล่วงละเมิดในร้าน ต้องรับผิดตามกฎหมายสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ โดยอาจถูกระงับ หรือเพิกถอนใบอนุญาตประกอบกิจการได้

ทันตแพทย์อาคม ประดิษฐสุวรรณ รองอธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (กรม สบส.) กระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า จากกรณี ที่มีการเผยแพร่ข่าวผ่านสื่อถึง หญิงสาวรายหนึ่งซึ่งเข้ารับบริการจากร้านนวดเพื่อสุขภาพ ย่านบางกะปิ แต่กลับถูกหมอนวดชายกระทำอนาจารนั้น เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา กรม สบส. ได้มอบหมายให้พนักงานเจ้าหน้าที่ของกองกฎหมาย ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง ณ สถานประกอบการเพื่อสุขภาพดังกล่าว ซึ่งตั้งอยู่ในเขตบางกะปิ กรุงเทพฯ ซึ่งจากการตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้นพบว่าสถานประกอบการเพื่อสุขภาพดังกล่าวมีการขออนุญาตประกอบกิจการอย่างถูกต้องกับ กรม สบส. พนักงานเจ้าหน้าที่ฯ จึงดำเนินการสอบถ้อยคำจากผู้เกี่ยวข้อง โดยผู้รับอนุญาตประกอบกิจการได้ให้ถ้อยคำต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ฯว่า ได้รับการติดต่อจากผู้รับบริการว่าได้มีการแจ้งความที่สถานีตำรวจนครบาลลาดพร้าว ซึ่งทางร้านก็ได้มีการเรียกตัวพนักงานชายรายดังกล่าวมาทำการสอบถาม โดยเจ้าตัวได้ให้การปฏิเสธ ทางร้านจึงได้นัดหมายพูดคุยกับผู้รับบริการที่สถานีตำรวจนครบาลลาดพร้าว  โดยผู้รับบริการได้ถอนแจ้งความ เนื่องจากผู้รับบริการได้พูดคุยเข้าใจกันแล้ว และได้รับคำขอโทษจนเป็นที่พอใจ รวมถึง ทางร้านให้ผู้ให้บริการรายดังกล่าวพ้นสภาพผู้ให้บริการขอทางร้านแล้ว ผู้รับบริการจึงไม่ติดใจเอาความแต่อย่างใด 

อย่างไรก็ตาม กรม สบส.ขอกำชับให้ผู้ประกอบกิจการสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ ทั้งร้านนวด และสปา ให้ความสำคัญต่อความปลอดภัยของผู้รับบริการเป็นอันดับหนึ่ง ทั้งในด้านสถานที่ มาตรฐานการให้บริการ และการควบคุมกำกับผู้รับบริการให้ปฏิบัติตามมาตรฐาน ฯลฯ ซึ่งในกรณี ที่กรม สบส. ตรวจพบว่ามีการปล่อยปละละเลยให้เกิดการกระทำอนาจาร หรือล่วงละเมิดทางเพศในสถานประกอบการเพื่อสุขภาพแล้ว ผู้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการฯ หรือเจ้าของร้านจะถือว่ามีความผิดตามพระราชบัญญัติสถานประกอบเพื่อสุขภาพ พ.ศ.2559 มาตรา 28 ฐานปล่อยให้มีการกระทำหรือบริการที่ขัดต่อกฎหมาย ความสงบเรียบร้อย และศีลธรรมอันดีในสถานประกอบการฯ ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 30,000 บาท และอาจได้รับโทษในการสั่งพักใช้ หรือเพิกถอนใบอนุญาต และในส่วนของผู้ให้บริการที่กระทำความผิด จะถูกตัดชื่อออกจากทะเบียนผู้ให้บริการ โดยจะไม่มีสิทธิ์ขึ้นทะเบียนประกอบอาชีพนวดอีกต่อไป และต้องรับโทษตามกฎหมายอาญา
ต่อไปด้วย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top