Monday, 23 June 2025
NEWS FEED

‘อ.อุ๋ย’ จี้รัฐบาลยกเลิก MOU 43 - MOU 44 ตอบโต้ท่าทีไม่เป็นมิตรสร้างแต้มต่อบนเวทีโลก

อาจารย์อุ๋ย จี้รัฐบาลยกเลิก MOU 43 และ MOU 44 ตอบโต้ท่าทีคุกคาม ไม่เป็นมิตร และล่วงละเมิดอำนาจอธิปไตยของไทย ซึ่งกระทำได้ภายใต้หลักการตอบโต้ (Retorsion) ตามกฎหมายระหว่างประเทศ

(18 มิ.ย.68) นายประพฤติ ฉัตรประภาชัย หรืออาจารย์อุ๋ย นักวิชาการด้านกฎหมายระหว่างประเทศ ได้โพสต์เฟซบุ๊กแสดงความเห็นว่า “เท่าที่ผมติดตามข่าวความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา ซึ่งทางไทยพยายามดำเนินการอย่างสันติวิธีมาตลอด ในขณะที่กัมพูชากลับแสดงท่าทียั่วยุ ขุดสนามเพลาะล้ำดินแดนไทย และส่งกำลังเข้ามาภายในพื้นที่ที่ตกลงกันว่าเป็น No man’s land ซึ่งจริง ๆ แล้วเป็นของไทยหากยึดหลักสันปันน้ำตามสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส รวมทั้งหันปากกระบอกปืนใหญ่มายังฝั่งไทย และกล่าวเท็จต่อชาวโลกว่าไทยเป็นผู้คุกคามก่อน เป็นผู้ใหญ่รังแกเด็ก ฯลฯ ซึ่งไม่เป็นความจริง แถมยังจะนำประเด็นที่กำลังเจรจาอยู่ขึ้นศาลโลก ซึ่งถือว่าผิดมารยาททางการทูตอย่างมาก เพราะฝ่ายไทยไม่ได้ยินยอมรับอำนาจศาลโลก

มีหลักกฎหมายระหว่างประเทศประการหนึ่งซึ่งปฏิบัติกันมาหลายร้อยปีจนเป็นจารีตประเพณีที่ยอมรับกันทั่วไปเรียกว่า “มาตรการตอบโต้” (Retorsion)  คือ การที่รัฐหนึ่งตอบโต้การกระทำที่ไม่เป็นมิตรหรือไม่เป็นธรรมของอีกรัฐหนึ่ง โดยการกระทำนั้นไม่ผิดกฎหมายระหว่างประเทศ เช่น การปิดด่าน หรือตัดน้ำ ตัดไฟ ตัดอินเทอร์เน็ต ที่รัฐบาลไทยดำเนินการอยู่ ซึ่งผมก็เห็นว่ามาถูกทางแล้ว แต่ยังถือว่าตามเกมกัมพูชาอยู่

ดังนั้น หากเราจะเดินเกมให้ล้ำหน้ากัมพูชา ผมจึงเห็นว่าเราต้องยกเลิกข้อตกลง MOU 43 และ MOU 44 เป็นการตอบโต้การกระทำที่ไม่เป็นมิตรของกัมพูชาที่ดำเนินมาโดยตลอด โดยเฉพาะผ่านทางโซเชียลมีเดียของผู้นำประเทศทั้งฮุนเซนและฮุนมาเน็ต ซึ่งจะทำให้ไทยได้เปรียบทันทีในเพราะเป็นการปฏิเสธการยอมรับแผนที่ 1 ต่อ 200,000 ซึ่งเป็นแผนที่เก่าและหยาบ และสุ่มเสี่ยงที่จะทำให้ไทยสูญเสียดินแดนนับ 1.5 ล้านไร่ ประกอบกับ ท่าทีที่กระทรวงการต่างประเทศของไทยประกาศอย่างแข็งขันว่าไม่ได้ใช้แผนที่ 1ต่อ 200,000 ในการหารือ JBC ดังนั้น ทำไมเราจึงไม่ยกเลิก MOU 43 ที่เป็นสารตั้งต้นของการยอมรับแผนที่ 1 ต่อ 200,000 เสียเลยเล่า ซึ่งจะทำให้คำกล่าวอ้างของไทยมีน้ำหนักมากขึ้นในเวทีโลก และลดความน่าเชื่อถือของกัมพูชาทันที 

ส่วน MOU 44 ซึ่งเป็นเรื่องของการปักปันเขตแดนทางทะเลนั้น ก็เป็นสารตั้งต้นที่กัมพูชาพยายามลากเส้นตามอำเภอใจ แล้วกล่าวอ้างแต่ฝ่ายเดียวว่าเป็นพื้นที่ทับซ้อน ไทยและกัมพูชาต้องมาทำสัญญาแบ่งผลประโยชน์กัน และมีความพยายามปลุกปั่นจากทางฝ่ายกัมพูชาที่กล่าวอ้างว่าเกาะกูดเป็นของกัมพูชาและพร้อมที่จะใช้กำลังในการยึดคืนมา ซึ่งถือเป็นท่าทีที่ขัดต่อการเจรจาโดยสันติภายใต้กฎบัตรสหประชาชาติ ดังนั้น ประเทศไทยจึงมีความชอบธรรมที่จะยกเลิก MOU 44 โดยอาศัยหลักในเรื่องมาตรการตอบโต้ (Retorsion) แล้วค่อยมาเจรจากันใหม่โดยอาศัยเทคโนโลยีทางดาวเทียมที่มีความแม่นยำกว่า ประกอบกับหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ไทยได้เปรียบ และนำ MOU 43 และ 44 เข้าสภา เนื่องจากถือเป็นสนธิสัญญาที่มีผลเปลี่ยนแปลงอาณาเขตของรัฐ ตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 178 แล้วให้รัฐสภาตีทั้งสอง MOU ให้ตกไป ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยมีแต้มต่อเหนือกัมพูชาทันทีในเวทีโลก และรักษาแผ่นดินไทยไว้ได้ทุกตารางนิ้ว ด้วยความปรารถนาดี

กัมพูชาสับคัตเอาต์ไทย หันใช้ไฟฟ้าเวียดนามแทน ปอยเปตดับ 20 นาที ชาวบ้านโอดไฟตกทั้งวัน

เมื่อช่วงเช้าวันที่ (17 มิ.ย. 68) เจ้าหน้าที่การไฟฟ้ากัมพูชาได้ทำการสับคัตเอาต์ตัดกระแสไฟฟ้าที่รับจากประเทศไทยบริเวณเสาไฟข้างสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองปอยเปต ฝั่งกัมพูชา ใกล้สะพานมิตรภาพไทย-กัมพูชา ก่อนเชื่อมต่อกระแสไฟฟ้าจากเวียดนามเข้าระบบแทน

การเปลี่ยนแหล่งจ่ายไฟฟ้าทำให้พื้นที่ฝั่งปอยเปตเกิดไฟดับชั่วคราวประมาณ 20 นาที ก่อนระบบจะกลับมาใช้งานได้ตามปกติ โดยมีการจ่ายไฟจากสายส่งเวียดนามเข้าทดแทน

อย่างไรก็ตาม ชาวบ้านในพื้นที่ปอยเปตต่างร้องเรียนว่า กระแสไฟฟ้าจากเวียดนามมีความไม่เสถียร บางจุดเกิดไฟตก ขณะที่บางจุดไม่มีกระแสไฟเลย ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน

การตัดไฟจากไทยและหันมาใช้ไฟเวียดนามของกัมพูชาเกิดขึ้นท่ามกลางความตึงเครียดในระดับภูมิภาค โดยยังไม่มีการชี้แจงอย่างเป็นทางการถึงเหตุผลของการเปลี่ยนแหล่งจ่ายไฟฟ้าในครั้งนี้จากทางการกัมพูชา

ทอ.ไทย-อินโดนีเซีย ซ้อมรบ ElangThaiNesia XX/25 โชว์พลังเครื่องบินรบ F-16 T-50 ป้องกันอธิปไตยจากศัตรู

(17 มิ.ย. 68) กองทัพอากาศไทยและอินโดนีเซียเปิดฉากการฝึกผสม "ElangThaiNesia XX/25" เหนือน่านฟ้าภาคอีสานตอนใต้ โดยใช้กองบิน 1 จังหวัดนครราชสีมาเป็นศูนย์กลางระหว่างวันที่ 9-19 มิถุนายน 2568 เสริมสร้างศักยภาพด้านยุทธวิธีและป้องกันประเทศร่วมกัน

การฝึกครั้งนี้นำเครื่องบินรบ F-16 จากฝั่งไทย และ T-50 จากฝั่งอินโดนีเซียเข้าร่วมภารกิจทางอากาศอย่างเข้มข้น พร้อมจำลองสถานการณ์หลากหลายเพื่อเสริมทักษะการรบจริงและยกระดับความพร้อมรบของทั้งสองฝ่าย

หัวใจสำคัญของการฝึกคือการเสริมสร้างขีดความสามารถในการประสานงานและปฏิบัติการร่วมในสถานการณ์วิกฤต รวมถึงแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านการบิน ยุทธวิธี และเทคโนโลยีทางทหาร

การซ้อมรบในครั้งนี้ยังเป็นการตอกย้ำความร่วมมือทางทหารระหว่างไทย-อินโดนีเซีย พร้อมส่งสัญญาณชัดเจนถึงความตั้งใจในการปกป้องอธิปไตยและรักษาเสถียรภาพของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง มอบเงินช่วยเหลือพร้อมเครื่องอุปโภคบริโภค บรรเทาทุกข์ผู้ประสบอัคคีภัยชุมชนซอยสุคันธาราม 23 เขตดุสิต กรุงเทพฯ 

(17 มิ.ย. 68) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นางศิริกุล โอภาสวงศ์ กรรมการและเลขาธิการ  นายจารุรัตน์ คุณัตถานนท์ กรรมการและเหรัญญิก นายชาญกิจ วิทยาวรากรณ์ กรรมการ พร้อมด้วย นายรัชพร ประสงค์ทรัพย์ หัวหน้าแผนกสาธารณภัย นำทีม แผนกสาธารณภัย ฝ่ายสังคมสงเคราะห์ ลงพื้นที่ให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอัคคีภัยบริเวณชุมชนซอยสุคันธาราม 23 เขตดุสิต กรุงเทพฯ รวมจำนวน 14 ครอบครัว 30 คน โดยมอบเงินสดคนละ 3,500 บาท พร้อมมอบเครื่องอุปโภคบริโภครายครอบครัว 8 ชุด รายบุคคล 6 ชุด รวมมูลค่าการช่วยเหลือทั้งสิ้น 134,000 บาท ในการนี้ มูลนิธิไกรสิทธิการกุศล ร่วมมอบเงินสด คนละ 400 บาท มูลนิธิส่งเสริมศีลธรรมสงเคราะห์ ร่วมมอบเงินสด ครอบครัวละ 500 บาท และพุทธสมาคมปทุมรังษี ร่วมมอบข้าวสาร คนละ 10 กิโลกรัม รวมการช่วยเหลือทั้ง 4 องค์กรคิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 159,000 บาท (หนึ่งแสนห้าหมื่นเก้าพันบาทถ้วน) โดยมี อาสาสมัครกิตติมศักดิ์มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นางศิริพร โอภาสวงศ์ และ นางศิริวรรณ โอภาสวงศ์ ร่วมลงพื้นที่แจกจ่ายและให้กำลังใจแก่ผู้ประสบภัย ณ บริเวณชุมชนซอยสุคันธาราม 23 เขตดุสิต กรุงเทพฯ

ตลอดระยะเวลากว่า 115 ปี มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ  ศาสนา  เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาคุณภาพชีวิตอีกในหลาย ๆ ทาง เพื่อเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนครบวงจรในทุกๆ ด้าน ดังปณิธาน มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต”

ติดตามข่าวสาร และกิจกรรมการช่วยเหลือของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ที่เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต”
#แอปพลิเคชัน และ #สายด่วนป่อเต็กตึ๊ง1418 
#ช่วยจริงอุ่นใจแม้ในนาทีฉุกเฉิน

ศ.ดร.สุชัชวีร์ เปิดตัว CMKL University มหาวิทยาลัย AI แห่งแรกของไทย

เมื่อวันที่ (16 มิ.ย.68) ศาสตราจารย์ ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ นายกสภามหาวิทยาลัย สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (KMTIL) โพสต์เฟซบุ๊กว่า ...

"ไทยจะตกขบวน เทคโนโลยี AI ไม่ได้อีกแล้ว"
ประเทศไทย เคยเป็น 'หัวขบวน' ของอาเซียน เคยเกือบเป็น 'เสือตัวที่ห้า' ของเอเชีย เคยมีการเติบโตทางเศรษฐกิจถึง 10 เปอร์เซนต์ แต่วันนี้ เรากำลังถอยลงมาเป็น 'หัวหน้าเต่า' ของประเทศท้ายตารางในอาเซียน

เพราะอะไร? ใครก็ตอบได้ว่า "เราไม่ทันโลก" โลกที่ก้าวใหม่ มุ่งสู่เทคโนโลยีอุตสาหกรรมไฮเทค มูลค่าสูง ที่ต้องใช้ 'ทรัพยากรมนุษย์' คุณภาพสูง โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยี AI

ปัญหาใครก็รู้ แต่รู้แล้ว เราจะทำอะไร ผมขอเป็นคนหนึ่งที่จะ 'ไม่ท้อ' และ 'ลงมือทำ' เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงของประเทศไทย

ผมก่อตั้ง 'CMKL University' เพื่อเป็น 'มหาวิทยาลัย AI' แห่งแรกของประเทศไทย ร่วมมือกับ Carnegie Mellon University มหาวิทยาลัยระดับท็อปของโลกด้าน AI และคอมพิวเตอร์ เพื่อ 'สร้างเด็กไทย' และ 'งานวิจัย AI' ระดับโลก ในแผ่นดินไทย

ผมภูมิใจที่สุด ในฐานะนายกสภามหาวิทยาลัย CMKL University ได้มอบปริญญาบัตรแก่ บัณฑิตปริญญาตรี และปริญญาโท ที่เรียนจบด้าน 'วิศวกรรมคอมพิวเตอร์ และ AI' และขอแสดงความยินดีกับน้องบัณฑิตใหม่ และครอบครัวทุกคนครับ

ทุกคนได้ทำงานระดับนานาชาติ และพร้อม 'ทุ่มเท' เพื่อเป็นผู้นำ AI รุ่นใหม่ของประเทศไทย

ผมขอขอบพระคุณ 'กรรมการสภามหาวิทยาลัย' ผู้เสียสละ สนับสนุนคนไทย ในรูปมีทั้ง นายแพทย์ธีรเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ รศ.ดร.สุพันธุ์ ตั้งจิตกุศลมั่น อธิการบดี CMKL University ดร.วนัส แต้ไพสิษพงษ์ อดีตประธานบริหารเครือเบทาโกร และ ศ.ดร.โจเซ มูร่า อดีตประธาน IEEE สมาคมวิชาชีพวิศวกรรมไฟฟ้าระดับโลก และทีมอาจารย์ระดับโลก

ทุกท่าน คือ 'ผู้สร้างการเปลี่ยนแปลง' สร้างคนไทย ไปสร้างเศรษฐกิจ AI ไม่ให้ 'ตกขบวน' อุตสาหกรรมยุคดิสรัปชั่น ด้วยความเชื่อมั่น #คนไทยไม่แพ้ใครในโลก

เราคนไทยต้องช่วยกัน ห้ามยอมแพ้เด็ดขาดนะครับ

ผู้ว่าฯ ชลบุรี เป็นประธานเปิดโครงการ 'สุขภาพดีใต้ร่มพระบารมี'

(17 มิ.ย. 68) ที่โรงเรียนสัตหีบ เขตฐานทัพเรือสัตหีบ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี นายธวัชชัย ศรีทอง ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี เป็นประธานเปิดโครงการ 'สุขภาพดีใต้ร่มพระบารมี' โดยมี หม่อมราชวงศ์จิยากร อาภากร เสสะเวช กรรมการอำเนวยการมูลนิธิสงเคราะห์เด็กของสภากาชาดไทย คุณกฤตยา อุ่นสากล กรรมการและเลขนุการมูลนิธิ แมค แฮปปี้ แฟมิลี่ พลเรือโท วัชระ พัฒนรัฐ ผู้บัญชาการฐานทัพเรือสัตหีบ คุณนริสา พัฒนรัฐ ประธานชมรมภริยาฐานทัพเรือสัตหีบ นายกเหล่ากาชาดจังหวัดชลบุรี คณะกรรมการเหล่ากาชาดจังหวัดชลบุรี หัวหน้าส่วนราชการ หัวหน้าหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ผู้บริการสถานศึกษา ผู้บริการองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้นำชุมชน คณะครูและนักเรียน เข้าร่วมโครงการ ณ โรงพลศึกษา 

มูลนิธิสงเคราะห์เด็กของสภากาชาดไทย ดำเนินงานตามพระราชดำริของ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี องค์อุปนายิกาผู้อำนวยการสภากาชาดไทย และองค์ประธานกรรมการอำนวยการ มูลนิธิสงเคราะห์เด็กของสภากาชาดไทย ที่ทรงห่วยใยด้านสุขภาพอนามัยของประชาชนที่อยู่ห่างไกลในถิ่นทุรกันดาร โดยเฉพาะเด็กควรได้รับบริการด้านการแพทย์และสุขภาพอนามัย การให้ความรู้ การเผ้าระวัง และการดูแลสุขภาพในชีวิตประจำวัน โครงการ 'สุขภาพดีใต้ร่มพระบารมี' ในครั้งนี้เป็นการผนึกกำลังกันระหว่างสภากาชาดไทย โดยมูลนิธิสงเคราะห์เด็กของสภากาชาดไทย มูลนิธิ แมค แฮปปี้ แฟมิลลี่ กองทัพเรือ โดยฐานทัพเรือสัตหีบ โรงพยาบาลทันตกรรมกาจักรีสิรินธร มูลนิธิทันตแทพย์เอกชน (ประเทศไทย) และส่วนราชการในจังหวัดชลบุรี ซึ่งกำหนดให้บริการระหว่างวันที่ 17 - 20 มิ.ย.68 โดยวันที่ 17 - 18 มิ.ย.68 ให้บริการ ณ โรงเรียนสัตหีบ เขตฐานทัพเรือสัตหีบ อ.สัตหีบ วันที่ 19 - 20 มิ.ย.68 ให้บริการ ณ โรงเรียนบ้านบ่อวิน (ลิขิตราษฎร์บำรุง) อ.ศรีราชา จึงนับได้ว่ากิจกรรมในครั้งนี้เป็นกิจกรรมสาธารณกุศลที่มีการผนึกกำลัง ร่วมแรงร่วมใจอย่างแท้จริงในการบริการด้านสุขภาพอนามัยแก่เด็กและเยาวชนในพื้นที่จังหวัดชลบุรี

สำนักงานตำรวจแห่งชาติย้ำแข่งรถในทางโทษหนัก หากปล่อยให้ผู้ที่ไม่มีใบขับขี่นำรถไปใช้ เจ้าของรถมีความผิดด้วย รวมทั้งผู้ปกครองปล่อยปละละเลยมีความผิดเช่นกัน

(17 มิ.ย. 68) พล.ต.ท.นิธิธร จินตกานนท์ ผู้บัญชาการศึกษา ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานเสริมสร้างภาพลักษณ์ตำรวจจราจร ศูนย์บริหารงานจราจร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า ปัญหาการแข่งรถในทางของกลุ่มวัยรุ่นหรือเยาวชน เป็นปัญหาที่สร้างความเดือดร้อนและความไม่ปลอดภัยแก่ประชาชนทั่วไปอย่างมาก การกระทำดังกล่าวไม่เพียงแต่ผิดกฎหมาย แต่ยังสร้างความเดือดร้อนรำคาญจากเสียงดังและความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุอีกด้วย ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้มีการกำชับเน้นย้ำให้ตำรวจจราจรทุกพื้นที่ร่วมดูแลป้องกันและปราบปรามไม่ให้เกิดการกระทำความผิดดังกล่าวอย่างเข้มงวด หากพบจะมีการดำเนินคดีอย่างเด็ดขาด ทั้งกลุ่มวัยรุ่นที่รวมกลุ่มแข่งรถในทาง ร้านรับแต่งรถ และผู้ปกครองยังต้องรับผิดด้วย

กรณีตัวอย่างที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรพื้นที่ต่างๆ บูรณาการกำลังร่วมกับฝ่ายป้องกันปราบปรามในการกวดขันจับกุมมีอยู่อย่างต่อเนื่อง เช่น กรณีเมื่อช่วงค่ำของวันที่ 13 มิถุนายน 2568 เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ป่าโมก ได้รับแจ้งเหตุวัยรุ่นรวมกลุ่มส่งเสียงดังและก่อความเดือดร้อนรำคาญบริเวณบ้านหลังหนึ่งในพื้นที่ หมู่ 1 ต.สายทอง อ.ป่าโมก จ.อ่างทอง ซึ่งทั้งสองกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ดำเนินคดี โดยเชิญผู้กระทำผิดทั้งหมด และผู้ปกครองมาดำเนินการตามกฎหมายพร้อมทำทัณฑ์บน หากกระทำผิดซ้ำอีกผู้ปกครองจะมีความผิดตาม พ.ร.บ คุ้มครองเด็กและเยาวชนฯ โดยมีเจ้าหน้าที่พัฒนาสังคมจังหวัด เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองร่วมเป็นสักขีพยานในครั้งนี้

ทั้งนี้ พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 64 กำหนดไว้ชัดเจนว่า เจ้าของรถมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบ หากปล่อยให้ผู้ที่ไม่มีใบขับขี่นำรถไปใช้ โดยระบุว่า “เจ้าของรถห้ามให้หรือยินยอมให้บุคคลที่ไม่มีใบอนุญาตขับขี่ใช้รถของตน” หากฝ่าฝืนมีโทษทั้งจำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับไม่เกิน 2,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ผู้ปกครองควรตระหนักให้มาก 

ส่วนผู้ที่จัด สนับสนุน หรือส่งเสริมให้มีการแข่งรถในทาง โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากพนักงานจราจรฯ มีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับ 10,000 - 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

สำหรับผู้ปกครองของผู้เยาวชนที่อายุต่ำกว่า 18 ปี หากปล่อยปละละเลยให้กระทำผิด มีโทษเช่นเดียวกันกันกับผู้กระทำความผิดมาตรา 43 ทวิ พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ.2542 มาตรา 26(3) และมาตรา 75 จำคุกไม่เกิน 3 เดือนหรือปรับไม่เกิน 30,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ 

พล.ต.ท.นิธิธรฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า การเฝ้าระวังพฤติกรรมกลุ่มวัยรุ่นและการบูรณาการทำงานร่วมกับทุกภาคส่วน โดยเฉพาะในพื้นที่ต่างจังหวัดที่เป็นชุมชนแน่นแฟ้น เป็นสิ่งสำคัญในการลดปัญหาอาชญากรรมและสร้างความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน พร้อมขอชื่นชมเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรทุกพื้นที่ที่ทำงานเชิงรุกในการป้องกันปราบปรามการกระทำความผิดดังกล่าวอย่างเข้มงวด 

หากประชาชนพบพฤติกรรมต้องสงสัย หรือเหตุร้ายในพื้นที่ สามารถแจ้งเหตุผ่านสายด่วน 191 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือขอความช่วยเหลือด้านจราจรและความปลอดภัยได้ที่ สายด่วนกองบังคับการตำรวจจราจร 1197 และสายด่วนตำรวจทางหลวง 1193 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

‘ฮุนเซน’ เดือด! ประกาศ ‘สนธิ’ คือศัตรูกัมพูชา ลั่นอย่ามาเย่อหยิ่ง ตนยังมีอำนาจ พร้อมเตือน ‘จตุพร’ เจียมตัวหน่อย เพราะเคยหนีมาหลบภัย

เมื่อวานนี้ (16 มิ.ย.68) สำนักข่าว Fresh News ของกัมพูชา รายงานว่า สมเด็จฮุนเซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ได้ส่งสารทางการเมืองถึงชาวกัมพูชา ไม่ให้หัวรุนแรงเหมือนกลุ่มคนไทยในกรุงเทพฯ ที่ถูกยุยงโดยนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำกลุ่มเสื้อเหลือง และได้แนะนำให้นายจตุพร พรหมพันธุ์ อดีตสมาชิกกลุ่มเสื้อแดงที่เข้าร่วมกับนายสนธิ ลิ้มทองกุล ให้ใจเย็นกว่านี้หน่อย เพราะเคยไปขอหลบภัยกับสมเด็จฮุนเซนมาก่อน

สมเด็จฮุนเซนแถลงในสารพิเศษเมื่อเช้าวันที่ 16 มิถุนายน 2568 ในการประชุมวุฒิสภาว่า นายสนธิ ลิ้มทองกุล เป็นศัตรูกับชาติกัมพูชา โดยมองว่าเขมรเป็นศัตรูตั้งแต่แรกจนถึงปัจจุบัน

สมเด็จฮุนเซนเตือนว่า “สนธิ ลิ้มทองกุล ไม่รู้เลยหรือ ตอนนี้แม้ฮุนเซนพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้ว แต่ฮุนเซนยังคงกุมอำนาจในกัมพูชาอย่างมั่นคง โปรดอย่าเข้าใจผิด ฮุนเซนยังไม่สูญเสียอำนาจ คุณต้องรู้จักตำแหน่งเดโชที่กษัตริย์มอบให้ อย่าเย่อหยิ่งกับกัมพูชาและดูถูกกัมพูชา”

สมเด็จฮุนเซน กล่าวว่าเขาปกครองและมีส่วนสนับสนุนการปกครองกัมพูชามาเป็นเวลา 47 ปี นายสนธิ ลิ้มทองกุล ควรจะรู้ว่าเขาเป็นใครจริง ๆ

ฮุนเซนกล่าวอีกว่า “และนายจตุพร พรหมพันธุ์ ซึ่งเคยลี้ภัยในกัมพูชาและตอนนี้ร่วมมือกับนายสนธิ ลิ้มทองกุล โปรดนอบน้อมกว่านี้หน่อยน้อง ตอนแรกคุณซึ่งเป็นคนเสื้อแดงวิ่งมาลี้ภัยที่นี่ ตอนนี้คุณเริ่มโจมตีกัมพูชา โปรดนอบน้อมกว่านี้หน่อย คุณรู้ถึงความสามารถของฮุนเซน คุณเคยลี้ภัยกับผม ผมให้คุณกิน ผมเคยเลี้ยงดูคุณ”

สมเด็จฮุนเซนยังตอบโต้ข้อเรียกร้องของนายสนธิ ลิ้มทองกุล ที่ว่าประเทศไทยควรโจมตีกัมพูชาและยึดนครวัดและแลกเปลี่ยนกับปราสาทพระวิหาร โดยบอกว่า “กัมพูชาไม่ใช่ของบริโภคง่าย ๆ คุณกำลังมองกัมพูชาผิด”

รองแม่ทัพภาค 2 โพสต์เดือด!!..กัมพูชาละเมิดซ้ำซาก เปรียบเป็น ‘เด็กแตกเนื้อหนุ่ม ดื้อด้าน ไม่ฟังใคร’

(16 มิ.ย. 68) พล.ต.ณัฏฐ์ ศรีอินทร์ รองแม่ทัพภาคที่ 2 โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก แสดงความเห็นต่อข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา พร้อมแนบหมายเหตุ 5 ข้อ เกี่ยวกับบันทึกความเข้าใจ MOU43 ซึ่งเป็นกรอบการเจรจาผ่านคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC)

รองแม่ทัพภาคที่ 2 เน้นว่าแม้ MOU43 จะมีเจตนาดีในการปักปันเขตแดนเพื่อเสริมสร้างสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ แต่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา กัมพูชากลับละเมิดข้อตกลงอย่างต่อเนื่อง ทั้งการสร้างอาคาร กาสิโน ตัดถนน และปลูกพืชในพื้นที่พิพาท จนล่าสุดเกิดกรณีการเผาศาลาและขุดคูเลทล้ำแดน ซึ่งนำไปสู่การปะทะ

พร้อมกับตั้งข้อสังเกตว่า แม้ MOU43 จะกำหนดให้เจรจาโดยสันติ แต่กัมพูชากลับยื่นฟ้องศาลโลกแทนที่จะปรึกษาหารือ จึงตั้งคำถามว่า “เพื่อนบ้านที่ดีควรทำแบบนี้หรือไม่” และชี้ว่าหากไม่มีความจริงใจต่อกัน อาจต้องพิจารณายกเลิกข้อตกลงทั้งหมด

ตอนท้ายของโพสต์ พล.ต.ณัฏฐ์ ใช้คำเปรียบเปรยแรงว่า “เขมรเป็นเด็กเพิ่งแตกเนื้อหนุ่ม บอกกล่าวก็ดื้อด้าน” พร้อมเสนอแนะเชิงประชดว่า “ไม่ต้องมีข้อตกลงอะไรเลยดีหรือไม่ เอาให้เละก่อนโต” สะท้อนความไม่พอใจต่อท่าทีแข็งกร้าวของกัมพูชาในประเด็นชายแดนขณะนี้

ตำรวจภูธรภาค 2 พร้อมดูแลพื้นที่ชายแดน ผบช.ภ.2 ชื่นชม ตำรวจ สภ.โคกสูง บริการด้วยใจ สร้างความมั่นใจนักท่องเที่ยว “สด๊กก๊อกธม”

(16 มิ.ย. 68) พล.ต.ท.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 (ผบช.ภ.2)  เปิดเผยว่า ได้รับแจ้งจากนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าชมอุทยานประวัติศาสตร์สด๊กก๊อกธม อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว ประทับใจ และชื่นชม ร.ต.ท.ทศพล อันศรีเมือง รองสารวัตรป้องกันปราบปราม สภ.โคกสูง/เวรตู้สายตรวจดอนหลุม และ ร.ต.ต.สุนันท์ กรสี รอง สว.(ป.) สภ.โคกสูง/พนักงานวิทยุ ที่ดูแลบริการประชาชนอย่างเป็นมิตร สร้างความอุ่นใจในการเข้าพื้นที่ใกล้เคียงพื้นที่ข้อพิพาทระหว่างประเทศ

พล.ต.ท.ยิ่งยศ เผยว่า นักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ ตั้งใจจะเดินทางเข้าชม อุทยานประวัติศาสตร์สด๊กก๊อกธม โดยก่อนออกเดินทาง ได้โทรศัพท์สอบถามข้อมูลเรื่องความปลอดภัยจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.โคกสูง โดยมี ร.ต.ต.สุนันท์ รับสาย และแจ้งให้ ร.ต.ท.ทศพล ซึ่งเป็นเวรตู้สายตรวจฯ และได้ให้คำตอบว่า “เข้ามาเที่ยวได้เลยครับ ปลอดภัยครับ ก่อนมาถึงโทรหาผมได้นะครับ ผมจะรอต้อนรับ” ทำให้นักท่องเที่ยวได้รับข้อมูลเพื่อการตัดสินใจ จนรู้สึกมั่นใจ และเมื่อเดินทางมาท่องเที่ยว ก็พบ ร.ต.ท.ทศพล มารอประสานงานอำนวยความสะดวกและสร้างความอุ่นใจเรื่องความปลอดภัย

“ชื่นชมและให้กำลังใจ ร.ต.ท.ทศพล และ ร.ต.ต.สุนันท์ นี่คือต้นแบบของข้าราชการตำรวจไทยที่มีจิตบริการและความจริงใจในการดูแลประชาชน การที่ประชาชนคนหนึ่งกล้าติดต่อมาชื่นชมเจ้าหน้าที่โดยตรง แสดงให้เห็นว่าตำรวจสามารถสร้างความไว้วางใจและความอุ่นใจให้กับประชาชนได้จริง ขอขอบคุณ ร.ต.ท.ทศพล ที่ทำหน้าที่ด้วยหัวใจ และขอให้รักษามาตรฐานนี้ไว้ให้เป็นแบบอย่างที่ดี” ผบช.ภ.2 กล่าว

ผบช.ภ.2 กล่าวถึงสถานการณ์ด้านความปลอดภัยในพื้นที่ว่า ยืนยันความพร้อมในการปฏิบัติตามแผน “พิทักษ์พื้นที่ส่วนหลัง” ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์สำคัญในการดูแลความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่ชายแดน โดยเฉพาะแหล่งท่องเที่ยวสำคัญเชิงประวัติศาสตร์ในจังหวัดสระแก้ว อย่างอุทยานประวัติศาสตร์สด๊กก๊อกธม ที่ถือเป็นสมบัติล้ำค่าทั้งด้านวัฒนธรรมและการท่องเที่ยว การมีตำรวจในพื้นที่ที่พร้อมบริการประชาชนด้วยหัวใจ เช่นกรณีของ ร.ต.ท.ทศพล และ ร.ต.ต.สุนันท์ ไม่เพียงช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แต่ยังสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ “น้ำใจตำรวจไทย ไม่แพ้ที่ใดในโลก” คือคำกล่าวที่นักท่องเที่ยวรายนี้ฝากไว้ พร้อมขอบคุณเจ้าหน้าที่ สภ.โคกสูง ที่ทำให้การเดินทางครั้งนี้เต็มไปด้วยความประทับใจ และรู้สึกว่า “ตำรวจไทยยังเป็นที่พึ่งได้เสมอ”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top