ฐปณีย์ เอียดศรีไชย เรียกร้องหยุดความรุนแรง และส่งเสียงเพื่อสันติภาพชายแดนใต้
‘ฐปณีย์’ ร่วมประณาม!! หยุดความรุนแรง การสังหาร เข่นฆ่า ประชาชนผู้บริสุทธิ์

‘ฐปณีย์’ ร่วมประณาม!! หยุดความรุนแรง การสังหาร เข่นฆ่า ประชาชนผู้บริสุทธิ์
(3 พ.ค. 68) ท่ามกลางความต้องการบริโภคเนื้อวัวของจีนที่พุ่งสูงในปี 2566 ถึงเกือบ 11 ล้านตัน ในขณะที่จีนผลิตได้เพียง 7.5 ล้านตัน ทำให้ต้องพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศทั้งทางตรงและทางเลี่ยงผ่านเครือข่ายลักลอบจากลุ่มแม่น้ำโขง โดยเฉพาะผ่านมณฑลยูนนานและกว่างซีจ้วงที่ติดกับเมียนมา ลาว และเวียดนาม
วัวทะลักเข้าไทย: แรงดันจากความต้องการระดับภูมิภาค
การศึกษาหลายชิ้นระบุว่า จีนเคยลักลอบนำเข้าวัวจากเมียนมาผ่านไทยมากถึง 4,000 ตัวต่อวันในช่วงก่อนโควิด และยังมีข้อมูลระบุว่า ในปีเดียว (2561) วัวมากกว่า 150,000 ตัว ถูกขนผ่านเส้นทางเมียนมา–ไทย–ลาว เพื่อส่งต่อไปยังจีน
จากสถิติด่านศุลกากรแม่สอดเพียงแห่งเดียว พบว่ามีวัวและกระบือมีชีวิตนำเข้าถูกกฎหมายจากเมียนมาถึง 97,324 ตัวในปี 2565 มูลค่ารวมกว่า 1,200 ล้านบาท ขณะที่จำนวนวัวลักลอบซึ่งไม่อยู่ในระบบการควบคุมโรค อาจสูงกว่านี้หลายเท่าตัว โดยมีการประเมินว่า จุดลักลอบใน จ.ตาก เพียงจุดเดียว อาจมีวัวเล็ดลอดเข้าไทยไม่ต่ำกว่าหลายพันตัวต่อปี จากการสืบข่าว พบว่าระหว่างปี 2565 ถึงกลางปี 2566 มีรายงานการจับวัวลักลอบในไทยราว 23 ครั้ง รวมวัวของกลาง 1,182 ตัว — แต่จำนวนนี้อาจเป็นเพียงเศษเสี้ยวของวัวลักลอบจริงที่เข้าสู่ไทยในแต่ละปี
วัวเถื่อนเร่รอน: อาศัยในป่าอนุรักษ์จำนวนมากกว่าชาวบ้านในหมู่บ้าน
วัวลักลอบจำนวนมากไม่ได้เข้าสู่ระบบอย่างถูกต้อง แต่ถูกเลี้ยงกระจายอยู่ตามแนวชายแดน — โดยเฉพาะในเขตที่อยู่ติดป่าอนุรักษ์ เช่น ป่าสงวนแห่งชาติ อุทยาน และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า พื้นที่เหล่านี้มักไม่ได้รับการควบคุมที่เข้มงวดจากการขาดทั้งจำนวนเจ้าหน้าที่และงบประมาณ และถูกใช้เลี้ยงวัวแบบเร่ร่อนเพื่อประหยัดต้นทุน โดยเฉพาะในฤดูแล้งเมื่อหญ้าแห้งตาย
การเผาหญ้า: กลไกที่จุดไฟป่าแบบตั้งใจและซ้ำซาก
ก่อนฤดูฝนในแต่ละปี ผู้เลี้ยงวัวเหล่านี้มักจุดไฟเผาพื้นป่าเพื่อเร่งให้หญ้าแตกใบใหม่ หรือที่เรียกว่า 'หญ้าระบัด' ซึ่งเป็นอาหารวัวคุณภาพดีในช่วงต้นฤดูฝน แม้การเผาจะเป็นวิธีดั้งเดิมที่ใช้กันมานาน แต่การกระทำในพื้นที่อนุรักษ์จำนวนมากและพร้อมกันทั่วแนวชายแดน ได้ก่อให้เกิดไฟป่าขนาดใหญ่ที่ไม่สามารถควบคุมได้กระจายไปทั่วป่าในภาคเหนือและภาคตะวันตก
แม้การเผาหญ้าเพื่อเลี้ยงวัวจะดูเป็นวิธีดั้งเดิมและมีเป้าหมายจำกัด แต่เมื่อวัวหลายหมื่นตัวถูกปล่อยเลี้ยงในป่าอนุรักษ์ทั่วแนวชายแดน การจุดไฟพร้อมกันในพื้นที่เหล่านี้จึงกลายเป็น มรสุมไฟป่าเถื่อน ที่ไม่มีใครควบคุมได้
• พื้นที่ป่าถูกทำลายซ้ำ ๆ ทุกปีจนสูญเสียความสามารถในการฟื้นตัว
• สัตว์ป่าถูกเผาตายหรือไร้ที่อยู่อาศัย
• ดินกลายเป็นดินเสื่อมสภาพและไม่ซึมน้ำ เกิดโคลนถล่มเมื่อฝนมา
• ควันพิษ PM2.5 จากการเผา ลอยเข้าสู่เมืองใหญ่ในภาคเหนือ สร้างวิกฤตสุขภาพเรื้อรังแก่ประชาชน
ฝากเลี้ยงในป่าแล้วแบ่งผลประโยชน์
ชาวบ้านที่รับเลี้ยงวัวในป่าจะได้รับผลประโยชน์เป็นลูกวัวที่เกิดใหม่ในป่าครึ่งหนึ่ง ตัวอย่างเช่นหากฝูงวัวที่ฝากเลี้ยงเป็นเวลา 2 ปีนั้นคลอดลูกใหม่ 30 ตัว ชาวบ้านก็จะได้รับลูกวัวฟรีๆ 15 ตัว และหากขุนลูกวัวเหล่านี้ในป่าไปจนโตก็จะขายได้เงินราวตัวละ 4,000 บาท ทั้งหมดคิดเป็นรายได้ระดับครึ่งแสน
เชื้อโรคข้ามพรมแดน: เมื่อระบบควบคุมโรคไม่ตามทัน
นอกจากไฟป่า ปัญหาวัวเถื่อนยังเชื่อมโยงกับโรคระบาดที่อาจทะลักเข้าประเทศ เช่น โรคปากและเท้าเปื่อย (FMD) และลัมปีสกิน (LSD) โดยวัวที่ไม่มีใบรับรองสุขภาพ ไม่เคยได้รับวัคซีน และไม่ได้ถูกกักตัว คือภัยเงียบต่ออุตสาหกรรมปศุสัตว์ไทยมูลค่าหลายหมื่นล้านบาท
วัวที่ลักลอบเข้าประเทศโดยไม่ผ่านการควบคุมโรคอย่างเข้มงวด อาจเป็นพาหะของโรคติดต่อร้ายแรงที่แพร่กระจายได้รวดเร็วในฝูงสัตว์ หนึ่งในนั้นคือ โรคปากและเท้าเปื่อย (Foot and Mouth Disease - FMD) ซึ่งเป็นโรคไวรัสที่ติดต่อได้ง่ายมากในสัตว์กีบคู่ เช่น วัว ควาย แพะ แกะ โดยติดต่อผ่านน้ำลาย ลมหายใจ หรือพื้นดินและน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อ เมื่อระบาดจะทำให้สัตว์มีแผลพุพองในปาก เท้า เดินไม่ได้ กินอาหารไม่ได้ น้ำหนักลดอย่างรวดเร็ว และอัตราการเติบโตลดลง
ผลกระทบทางเศรษฐกิจมหาศาล เพราะฟาร์มต้องกักตัวสัตว์ ปิดตลาด และอาจต้องฆ่าทำลายฝูงวัวทั้งคอกเพื่อควบคุมโรค ขณะที่โรค ลัมปีสกิน (Lumpy Skin Disease - LSD) ซึ่งระบาดในเมียนมาตั้งแต่ปี 2563 ก็กำลังเป็นปัญหาใหม่ในไทย เกิดจากไวรัสในตระกูล Poxvirus ทำให้วัวมีตุ่มบวมทั่วตัว มีไข้ น้ำนมลด และแท้งลูกได้ง่าย
แม้โรคเหล่านี้จะไม่ติดต่อสู่คนโดยตรง แต่ 'ฟาร์มปิด–ตลาดแตก–รายได้หาย–ต้นทุนพุ่ง' คือผลกระทบต่อเกษตรกรไทยในวงกว้าง นอกจากนี้ วัวเถื่อนอาจเป็นพาหะของแบคทีเรียหรือไวรัสในระบบทางเดินหายใจ เช่น Brucellosis หรือ Tuberculosis ซึ่งในบางกรณีสามารถ 'ข้ามสปีชีส์' สู่คนได้ โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง เช่น คนเลี้ยงวัว พนักงานโรงเชือด หรือคนที่บริโภคเนื้อวัวที่ปรุงไม่สุก
โรคเหล่านี้อาจเริ่มจากฝูงสัตว์ที่ไม่มีอาการชัดเจน แต่หากปล่อยให้แพร่ระบาด จะกลายเป็นโรคติดต่อสู่คนที่คุกคามทั้งสุขภาพและความมั่นคงทางอาหารในระดับประเทศ โดยเฉพาะในยุคที่ภาวะโลกร้อนกำลังเปลี่ยนพฤติกรรมของเชื้อโรคให้รุนแรงและหลากหลายมากขึ้นเรื่อย ๆ
หลังการรัฐประหารในเมียนมา ระบบควบคุมโรคในฝั่งนั้นแทบล่มสลาย เพราะรัฐบาลทหารทุ่มทรัพยากรทั้งหมดไปกับสงครามภายใน แทบไม่เหลือกำลังดูแลสุขภาพสัตว์เลี้ยงหรือส่งออก
แม้ไทยจะมีแนวคิดเปิดนำเข้าวัวจากเมียนมาอย่างเป็นทางการเพื่อแก้ไขปัญหาขาดแคลน แต่ยังคงเผชิญแรงต้านจากเกษตรกรและผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุข เพราะเส้นทางนี้ยังเต็มไปด้วยช่องโหว่ ความไม่โปร่งใส และอันตรายต่อระบบนิเวศและสุขภาพคนไทยในระยะยาว
จากชายแดนสู่ระบบนิเวศ: วิกฤตที่ต้องมองเป็นหนึ่งเดียว
การแก้ปัญหา 'ไฟป่าชายแดน' จึงต้องไม่มองเพียงว่าเป็นปัญหาป่าไม้ แต่ต้องเข้าใจว่ามันเกิดจากโครงสร้างเศรษฐกิจลับของวัวเถื่อน การค้าไร้ใบอนุญาต และการบริหารชายแดนที่ยังไม่มีดุลยภาพระหว่างความมั่นคง เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม ปัญหานี้จะไม่มีวันแก้ได้ หากรัฐมองแยก 'การค้า' ออกจาก 'สิ่งแวดล้อม' และ 'สาธารณสุข'
เมื่อวานนี้ (2 พ.ค.68) พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้รับรายงานกรณีเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2568 ที่ผ่านมา มีข้าราชการตำรวจนายหนึ่งเดินทางไปที่ สน.ทุ่งสองห้อง เพื่อเจรจากับ ดร.ขนิษฐาฯ หรือ ดร.นิด ผู้ต้องหาคดีลักลอบนำข้อสอบคณะนิติศาสตร์ ไปช่วยอดีตนายพลตำรวจ และพาตัวผู้ต้องหาออกจาก สน.ทุ่งสองห้อง โดยไม่ได้แจ้งพนักงานสอบสวนหรือนำทนายความติดตามไปด้วย ทำให้สอบสวนยังไม่เสร็จสิ้น และไม่สามารถติดต่อผู้ต้องหาได้ โดยสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งตรวจสอบกรณีดังกล่าว และรายงานให้ทราบโดยด่วน
ทั้งนี้ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติกำชับให้ตรวจสอบและรวบรวมพยานหลักฐานให้ครบถ้วน หากพบว่ามีการกระทำผิดจริง ในข้อหาใด ให้ดำเนินการอย่างเด็ดขาดทั้งทางวินัย ปกครอง และอาญา และหากมีความเกี่ยวข้องกับข้าราชการตำรวจรายใดก็ให้ตรวจสอบทุกคน อย่างไรก็ตาม พร้อมจะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย และดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา หากใครทำผิดก็ว่าไปตามผิด ต้องดำเนินการทุกรายไม่มียกเว้น
(3 พ.ค. 68) นายประพฤติ ฉัตรประภาชัย หรืออาจารย์อุ๋ย นักวิชาการด้านกฎหมายระหว่างประเทศ และอดีตผู้สมัคร สส. กรุงเทพมหานคร เขตบางกะปิ พรรคประชาธิปัตย์ ได้โพสต์เฟซบุ๊ก แสดงความเห็นว่า …
ผมเห็นข่าวคุณภูมิธรรมสั่งทหารไทยให้ถอยร่นออกจากปราสาทตาเมือนธม แล้วก็หวั่นใจว่าการกระทำเช่นนี้อาจเข้าข่ายเป็นการจงใจสละการครอบครองดินแดนซึ่งไทยมีอำนาจอธิปไตยอย่างชัดแจ้งตามสนธิสัญญา ไทย-ฝรั่งเศส ซึ่งรัชกาลที่ 5 ทรงทำกับฝรั่งเศสซึ่งเป็นผู้มีอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนกัมพูชาในช่วงปี พ.ศ. 2447-2450 ซึ่งกำหนดให้ใช้สันปันน้ำเป็นเขตแดน และชัดเจนว่า หากใช้สันปันน้ำเป็นเขตแดน ปราสาทตาเมือนธมก็อยู่ในเขตแดนอธิปไตยของไทย ส่วนเขตแดนตาม Google map นั้น ยังไม่เป็นที่ยอมรับให้ใช้เป็นหลักฐานในทางกฎหมายระหว่างประเทศได้
นอกจากนี้ ตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ การจะมีอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนใดดินแดนหนึ่งโดยการครอบครองต้องประกอบด้วยหลัก 2 ประการ คือ
1. จะต้องมีการควบคุมดินแดนอย่างมีประสิทธิภาพ หมายถึง จะต้องควบคุมดินแดนนั้นอย่างเปิดเผยและมีความต่อเนื่องโดยมีเจตนาที่จะมีอำนาจอธิปไตย และมีการกระทำในลักษณะของการใช้อำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนนั้น และ
2. จะต้องมีเจตจำนงที่จะใช้อำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนนั้นด้วย กล่าวคือ การครอบครองดินแดนของรัฐจะต้องเป็นไปเพื่อมีอำนาจอธิปไตย และใช้อำนาจอธิปไตยนั้นหรือดินแดนที่ครอบครอง โดยอาจจะพิจารณาที่การแสดงความเป็นเจ้าของดินแดนนั้นนั่นเอง
พูดง่าย ๆ ก็คือ แม้ยึดตามหลักสันปันน้ำแล้ว ปราสาทตาเมือนธมอยู่ในเขตแดนใดแน่นอน แต่หากรัฐไทยไม่ได้ทำการควบคุมพื้นที่บริเวณดังกล่าวโดยแสดงความเป็นเจ้าของอย่างจริงจัง แล้วมีทหารหรือแม้แต่พลเรือนกัมพูชามาทำการแสดงสัญลักษณ์ เช่น การร้องเพลงชาติกัมพูชา หรือถือธงกัมพูชาบ่อย ๆ พอวันเวลาผ่านไป นานวันเข้า กัมพูชาอาจได้ดินแดนมาโดยการครอบครองปรปักษ์ (Acquisitive Prescription) ซึ่งมีองค์ประกอบ 4 ประการ คือ จะต้องมีองค์ประกอบ 4 ประการ คือ 1. จะต้องเป็นการครอบครองโดยสงบ ต่อเนื่องกัน 2. จะต้องมีเจตนาเป็นเจ้าของอธิปไตยเหนือดินแดนนั้น 3. จะต้องเป็นการครอบครองที่เปิดเผยต่อสาธารณะ 4. จะต้องเป็นการครอบครองที่คงทนในระยะเวลาที่ยาวนานพอสมควรที่จะเห็นได้ว่ามีการครอบครองปรปักษ์มาอย่างต่อเนื่องคงทน
ดังนั้นสิ่งที่ไทยต้องทำโดยด่วนคือส่งกองกำลังทหารเข้าไปตรึงพื้นที่บริเวณปราสาทตาเมือนธมทั้งหมด เพื่อแสดงความเป็นเจ้าของพื้นที่ และมีอธิปไตยเหนือพื้นที่ดังกล่าวโดยสมบูรณ์ มิเช่นนั้น ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบอาจต้องโทษถึงประหารชีวิต ตาม ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 119 ฐานทำให้ไทยเสียดินแดนครับ ด้วยความปรารถนาดี
ผู้โดยสารรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง เตรียมรับข้อเสนอสุดพิเศษ! เพียงแสดงบัตรโดยสารเมื่อเข้าพักที่โรงแรมอมารี ดอนเมือง รับทันทีส่วนลดค่าห้องพัก 20% จากราคาหน้าเว็บไซต์ และรับส่วนลดค่าอาหาร 10% เมื่อใช้บริการที่ห้องอาหาร Zeppelin และ The Corner ภายในโรงแรม
โปรโมชั่นนี้สำหรับผู้โดยสารสายสีแดงเท่านั้น เพียงจองห้องพักล่วงหน้าอย่างน้อย 7 วัน และเข้าพักระหว่างวันที่ 15 มีนาคม – 31 ธันวาคม 2568 พร้อมแสดงบัตรโดยสารสายสีแดง ณ จุดเช็กอิน เพื่อใช้สิทธิ์ ส่วนลดนี้ไม่สามารถใช้ร่วมกับโปรโมชันอื่นหรือแลกเป็นเงินสดได้
สิทธิพิเศษที่มากกว่าการเดินทาง... เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีกว่า สัมผัสความสะดวกสบายของโรงแรมติดสนามบิน พร้อมสิทธิพิเศษเฉพาะผู้ใช้รถไฟฟ้าสายสีแดง ที่ช่วยให้ทุกการเดินทางกลายเป็นประสบการณ์ที่คุ้มค่า
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 1690 ตลอด 24 ชั่วโมง หรือเยี่ยมชมเว็บไซต์ www.amari.com/donmuang
เมื่อวานนี้ (1 พ.ค. 68) ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติ เพื่อการพัฒนาประเทศไทย (National AI Committee) ครั้งที่ 1/2568 โดยมี รศ.ดร.ชิต เหล่าวัฒนา ตัวแทนจากหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยเข้าร่วมประชุม เพื่อรายงานผลการดำเนินงานในปีที่ผ่านมาและเสนอแนวทางขับเคลื่อนแผนระยะถัดไป
ที่ประชุมได้สรุปความก้าวหน้าของแผนปี 2566-2567 ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญในการต่อยอดสู่แผนระยะยาว โดยครอบคลุม 4 ด้านหลัก ได้แก่ การจัดทำกรอบจริยธรรมและศูนย์ธรรมาภิบาล AI การเปิดใช้ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ LANTA เพื่อสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีอย่างทั่วถึง การผลักดันหลักสูตร AI ในทุกระดับการศึกษา และความร่วมมือด้านวิจัย เช่น Medical AI ที่พัฒนาโดยใช้ข้อมูลภาพถ่ายทางการแพทย์กว่า 2.2 ล้านภาพ ครอบคลุม 8 กลุ่มโรคหลัก
ในขณะเดียวกัน ที่ประชุมยังรายงานความคืบหน้าในการเตรียมความพร้อมของไทยเพื่อเป็นเจ้าภาพการประชุมระดับโลก 'UNESCO Global Forum on the Ethics of AI 2025' ซึ่งเป็นเวทีสำคัญในการแลกเปลี่ยนแนวปฏิบัติด้านนโยบาย AI โดยคาดว่าจะช่วยยกระดับบทบาทของไทยในเวทีนานาชาติในฐานะผู้นำด้านจริยธรรมปัญญาประดิษฐ์ และส่งเสริมภาพลักษณ์ประเทศในเชิงบวก
จากพื้นฐานที่วางไว้ รัฐบาลจึงผลักดัน National AI Program ระยะ 2 ปี (2569–2570) โดยมีเป้าหมายให้ประเทศไทยก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางด้าน AI ในอาเซียน ผ่านการเร่งสร้างบุคลากรด้าน AI ให้ครบทั้ง 3 กลุ่มหลัก คือ AI User, AI Professional และ AI Developer พร้อมทั้งลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ระบบคลาวด์ ดาต้าเซ็นเตอร์ และแพลตฟอร์มโอเพ่นซอร์ส ที่เปิดให้นักพัฒนาใช้งานอย่างทั่วถึง
ภายใต้แผนนี้ ยังมีการกำหนดแนวทางการสร้างมูลค่าเพิ่มจากอุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น การแพทย์ การท่องเที่ยว และการเกษตร ด้วยการประยุกต์ใช้ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ยกระดับคุณภาพบริการ และสร้างผลผลิตอย่างตรงเป้า โดยรัฐจะสนับสนุนโครงการผ่านมาตรการจูงใจและงบประมาณสนับสนุนอย่างชัดเจน
ท้ายที่สุด นายกรัฐมนตรีได้เห็นชอบในหลักการของแผน พร้อมมอบหมายให้กระทรวง อว. และกระทรวงดีอี จัดทำกรอบงบประมาณและรายละเอียดโครงการเสนอในที่ประชุมครั้งต่อไป พร้อมเน้นให้ National AI Program ระยะ 2 ปี เป็นวาระแห่งชาติ เร่งเดินหน้าทุกมิติ ทั้งการพัฒนาทรัพยากรบุคคล โครงสร้างพื้นฐาน และการต่อยอด AI เชิงอุตสาหกรรม เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของประเทศไทยในเวทีโลก
(2 พ.ค.68) เวลา 09.00 น. พลเรือเอก จิรพล ว่องวิทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ พร้อมด้วย พลเรือตรีหญิง ดอกเตอร์ ทันตแพทย์หญิง จีระวัฒน์ กฤษณพันธ์ ว่องวิทย์ นายกสมาคมภริยาทหารเรือ นายทหารชั้นผู้ใหญ่ของกองทัพเรือ ตลอดจนหัวหน้าหน่วยขึ้นตรงกองทัพเรือพร้อมคู่สมรส ร่วมลงนามถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในวันฉัตรมงคล 4 พฤษภาคม 2568 เพื่อแสดงออกถึงความจงรักภักดี และสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ ณ ห้องเจ้าพระยา หอประชุมกองทัพเรือ โดยภายหลังเข้าร่วมพิธีแล้วผู้บัญชาการทหารเรือได้นำคณะนายทหารชั้นผู้ใหญ่ ของกองทัพเรือ ร่วมกิจกรรมจิตอาสาพระราชทาน "เราทำความ ดี ด้วยหัวใจ"
ในส่วนของกองทัพเรือเนื่องในวันฉัตรมงคล ณ วัดบางยี่ขัน ประกอบด้วย การทำความสะอาดและปรับภูมิทัศน์ภายในวัด การพัฒนาพื้นที่ชุมชน และบริเวณใกล้เคียง การจัดตั้งจุดให้บริการประชาชน ได้แก่ การจัดเลี้ยงอาหารกลางวัน การให้บริการตัดผม การให้บริการซ่อมรถจักรยาน/รถจักรยานยนต์ เบื้องต้น การให้บริการซ่อมบำรุงอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน และการให้บริการทางการแพทย์เบื้องต้นจาก กรมแพทย์ทหารเรือ พร้อมรถทันตกรรมเคลื่อนที่และทันตแพทย์ในการตรวจสุขภาพฟันให้แก่ประชาชน การจัดชุดจักษุแพทย์พร้อมชุดตรวจวัดสายตาประกอบแว่นเคลื่อนที่ เพื่อตรวจวัดสายตาและ ประกอบแว่นให้แก่ประชาชน พร้อมทั้งการมอบถุงยังชีพช่วยเหลือผู้พิการและผู้ป่วยติดเตียง โดยมีกำลังพลจากหน่วยต่างๆของกองทัพเรือ ตลอดจนพี่น้องประชาชนในพื้นที่ชุมชน ประชาชนจิตอาสา สถานีตำรวจนครบาลบางยี่ขัน สำนักงานเขตบางพลัด ร่วมในกิจกรรม โดยพร้อมเพรียงกัน เพื่อแสดงความจงรักภักดี และรำลึกถึงพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รวมทั้งดำรงความต่อเนื่องในการเสริมสร้างความเชื่อมั่นศรัทธาของประชาชนที่มีต่อกองทัพเรือ
วันฉัตรมงคลเป็นวันที่ระลึกในการครบรอบปีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงรับพระบรมราชาภิเษกเป็นพระมหากษัตริย์แห่งประเทศไทยโดยสมบูรณ์ตามโบราณราชประเพณี ซึ่งในรัชกาลปัจจุบัน วันฉัตรมงคล ถูกกำหนดวันขึ้นตามวันบรมราชาภิเษก ที่พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งการพระราชพิธีนี้ขึ้น เมื่อวันที่ 4 - 6 พฤษภาคม 2562 โดยพระราชพิธีบรมราชาภิเษกอย่างเป็นทางการ จัดขึ้นในวันที่ 4 พฤษภาคม 2562 ดังนั้น วันฉัตรมงคลในปัจจุบัน จึงตรงกับวันที่ 4 พฤษภาคม ของทุกปี
(2 พ.ค. 68) นายกองตรี ดร. ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยความคืบหน้ากรณีการเสียชีวิตของนายอำนาจ ทองขำ อายุ 46 ปี ซึ่งถูกก้อนปูนตกใส่รถขณะขับผ่านบนถนนพระราม 2 โดยระบุว่า โรงพยาบาลแห่งแรกที่รับตัวผู้บาดเจ็บได้ยอมรับว่าเกิดความผิดพลาดในการให้เลือดผิดกรุ๊ป
เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นบริเวณ กม.27+500 ขาออกกรุงเทพฯ เขตอำเภอเมืองสมุทรสาคร ส่งผลให้นายอำนาจได้รับบาดเจ็บสาหัส ตับฉีก และเสียเลือดมาก เบื้องต้นโรงพยาบาลควรให้เลือดกรุ๊ปโอ ซึ่งใช้ได้กับทุกกรุ๊ป แต่เนื่องจากขาดแคลน จึงเลือกใช้เลือดกรุ๊ปบีที่ตรงกับข้อมูลของผู้ป่วย ทว่าเมื่อส่งตรวจกลับพบว่าเลือดในร่างกายเป็นกรุ๊ปเอ
ความคลาดเคลื่อนดังกล่าวทำให้ครอบครัวผู้เสียชีวิตสงสัยว่าอาจเป็นสาเหตุในการเสียชีวิต ซึ่งทางกระทรวงฯ ระบุว่าจะตรวจสอบอย่างละเอียด โดยแยกพิจารณาประเด็นการเยียวยาเป็นสองส่วน ได้แก่ เรื่องก้อนปูนตกลงมา และความผิดพลาดของโรงพยาบาล
ทั้งนี้ ยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อเท็จจริงเพิ่มเติม หากมีความคืบหน้าเกี่ยวกับการดำเนินการหรือมาตรการเยียวยาจะมีการรายงานต่อสาธารณชนอีกครั้งในลำดับถัดไป
ศูนย์ฝึกทหารใหม่ กรมยุทธศึกษาทหารเรือ ต้อนรับคณะ เจ้ากรมข่าวทหารเรือ พร้อมด้วยคณะผู้ช่วยทูตทหาร 15 ประเทศ ในโอกาสเยี่ยมชมหน่วย เพื่อสร้างการรับรู้การบริหารจัดการในการฝึกทหารกองประจำการ น.อ.ทิวา อ่อนละออ ผู้บังคับการศูนย์ฝึกทหารใหม่ กรมยุทธศึกษาทหารเรือ (ผบ.ศฝท.ยศ.ทร.) ต้อนรับ พล.ร.ท.พิบูลย์ พีรชัยเดโช เจ้ากรมข่าวทหารเรือ และคณะผู้ช่วยทูตทหารต่างประเทศ/กรุงเทพฯ ที่มีถิ่นพำนักในต่างประเทศ ในการเข้าเยี่ยมชมหน่วย ณ ศูนย์การเรียนรู้ทฤษฎีใหม่ ศูนย์ฝึกทหารใหม่ กรมยุทธศึกษาทหารเรือ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี
โดย กรมข่าวทหารเรือ กำหนดจัดกิจกรรมเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างกองทัพเรือ กับผู้ช่วยทูตทหารต่างประเทศฯ ประจำปี งบประมาณ 2568 (MAC-T Tour 2025) ระหว่างวันที่ 29 เม.ย.68 - 1 พ.ค.68 ในพื้นที่ภาคตะวันออก (จ.ชลบุรี และ จ.ระยอง) โอกาสนี้ เพื่อให้การสร้างการรับรู้ภารกิจในการฝึกทหารกองประจำการของ กองทัพเรือ ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในเรื่องที่คณะผู้ช่วยทูตทหารต่างประเทศฯ ให้ความสนใจ
เจ้ากรมข่าวทหารเรือ จึงได้นำคณะฯ เข้าเยี่ยมชมศูนย์ฝึกทหารใหม่ กรมยุทธศึกษาทหารเรือ ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักของกองทัพเรือ ที่มีภารกิจดำเนินการฝึกอบรม ให้การศึกษาและปกครองบังคับบัญชา ทหารกองประจำการ ปีงบประมาณละ 4 ผลัด ผลัดละ 3,000 นาย โดยมีระยะเวลาในการฝึกอบรม 8 สัปดาห์ต่อผลัด เพื่อเปลี่ยนแปลงทหารใหม่ จากพลเรือนให้มีลักษณะทางทหารและฝึกอบรมความรู้ที่สำคัญประกอบด้วย วิชาทหารราบ ตามคู่มือแบบฝึกพระราชทาน โรงเรียนทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ (รร.ทม.รอ.) , วิชาชีพทหารเรือทั่วไป เช่น การอาวุธ , การผูกเชือก , การตีกระเชียงเรือ และการฝึกป้องกันความเสียหาย เพื่อสร้างความเป็นทหาร ความเป็นชาวเรือ
นอกจากนี้ ยังมีการฝึกอบรมด้านอาชีพเพิ่มเติม เช่น ศูนย์การเรียนรู้ทฤษฎีใหม่ ศูนย์ฝึกทหารใหม่ กรมยุทธศึกษาทหารเรือ ตลอดจน การแนะแนวการมีอาชีพจากคณะกรรมการพัฒนาอาชีพทหารกองประจำการ กองทัพเรือ เพื่อเป็นแนวทางในการอบรมอาชีพที่ทหารใหม่สนใจ ก่อนปลดประจำการ
การเยี่ยมชมครั้งนี้ เป็นไปตาม นโยบาย ผบ.ทร. ประจำปี งป.68 นโยบายหลัก ด้านยุทธการและการฝึก เสริมสร้างความร่วมมือและริเริ่มการสร้างกลไกการประสานงานร่วมกัน ระหว่างกองทัพเรือและหน่วยงานความมั่นคงทางทะเล และ ภาคเอกชน
(1 พ.ค. 68) เชิญชวนผู้ประกอบการเข้าร่วมกิจกรรมพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการอุตสาหกรรมแปรรูปการเกษตร เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันเชิงลึก ภายใต้โครงการ “ส่งเสริมการสร้างมูลค่าผลิตภัณฑ์จากอัตลักษณ์และภูมิปัญญาท้องถิ่นสู่ตลาดยุคใหม่ (Local Wisdom to Global)” ตามแผนปฏิบัติราชการประจำปีของจังหวัดแพร่ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568
🌾คุณสมบัติ
: เป็นผู้ประกอบการอุตสาหกรรม SME / วิสาหกิจชุมชน / กลุ่มเกษตรกรที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมแปรรูปการเกษตร
.....ฟรีไม่เสียค่าใช้จ่ายตลอดโครงการ
กิจกรรมมีดังนี้ :
: กิจกรรมศึกษาดูงาน ที่จังหวัดชลบุรีและกรุงเทพมหานคร จำนวน 3 วัน
: กิจกรรมให้คำปรึกษา ณ สถานประกอบการ จำนวน 15 วัน
: กิจกรรมสัมมนาเชิงปฏิบัติการ และเสวนาแลกเปลี่ยนความรู้ จำนวน 1 วัน
📅 สมัครได้ตั้งแต่วันนี้ : วันที่ 1 พฤษภาคม 2568 – 15 พฤษภาคม 2568
สมัครออนไลน์ได้ที่ https://forms.gle/ntToXEQydYLvaUSi8
📍 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ :
คุณเพียงพิมพ์ 088-8097536
คุณปวิตรา 063-1982000
สำนักงานอุตสาหกรรม จ.แพร่ 054-649-731 ต่อ 101