Wednesday, 8 May 2024
NEWS FEED

'จนท.อุทยานฯ น้ำหนาว' หวิดดับคาป่า หลังดับไฟป่าจนฮีตสโตรก เพื่อนร่วมทีมช่วยหามลงเขาส่ง รพ. ตอนนี้ปลอดภัยแล้ว

(30 เม.ย. 67) นายสมเกียรติ กาติ๊บ หัวหน้าอุทยานแห่งชาติน้ำหนาว รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติงานดับไฟป่าว่ามีเจ้าหน้าที่เป็นลมหมดสติขณะเข้าดับไฟป่า ชื่อนายสุริยนต์ คันศรี พนักงานราชการ ตำแหน่งคนงาน อายุ 53 ปี ที่เข้าป่าเพื่อตรวจสอบพื้นที่จุดความร้อน (Hotspot) และดับไฟป่าบริเวณห้วยทับโคก ตั้งแต่วันที่ 27 เมษายน 2567 ร่วมกับเจ้าหน้าที่สถานีควบคุมไฟป่าน้ำหนาว กำลังพลจำนวน 20 นาย

ต่อมาวันที่ 28 เมษายน 2567 คณะเจ้าหน้าที่ออกเดินทางต่อจนถึงพื้นที่เป้าหมายบริเวณห้วยทับโคกในเวลา 14.00 น.และเข้าทำการดับไฟป่าท่ามกลางสภาพอากาศที่ร้อนจัด ประกอบกับมีกลุ่มควันจำนวนมาก ทำให้นายสุริยนต์ คันศรี เกิดมีอาการหน้ามืด คลื่นไส้ อาเจียน และเป็นลมหมดสติ (อาการฮีตสโตรก) เพื่อนร่วมทีมจึงได้นำตัวออกจากพื้นที่ไฟไหม้เพื่อทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้น

หลังจากผู้ป่วยได้สติจึงได้แบ่งกำลังพลนำตัวออกจากพื้นที่เพื่อหาจุดที่มีสัญญาณวิทยุสื่อสารติดต่อขอความช่วยเหลือ แต่ด้วยสภาพพื้นที่เป็นภูเขามีความลาดชัน ทำให้การเคลื่อนย้ายตัวผู้ป่วยเป็นไปด้วยความยากลำบาก ทำให้เกิดความล่าช้า คณะเจ้าหน้าที่จึงได้พักแรมบริเวณลำห้วยหนองข้าวหลาม

จนเช้าวันที่ 29 เมษายน 2567 คณะเจ้าหน้าที่ได้เคลื่อนย้ายตัวผู้ป่วยจนมาถึงบริเวณลานนกแต้ ผู้ป่วยมีอาการทรุดลง ร่างกายอ่อนเพลียมาก ซึ่งจุดดังกล่าวมีสัญญาณมือถือ จึงได้ประสานหัวหน้าอุทยานฯ น้ำหนาวส่งรถกู้ชีพกู้ภัยประจำอุทยานฯ มารอรับตัวผู้ป่วย ณ บริเวณหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติ ที่ นน.01 (ถ้ำห้วยประหลาด)

หัวหน้าอุทยานฯ น้ำหนาวได้ประสานประชาชนประจำจุดเฝ้าระวังไฟป่านำรถจักรยานยนต์เข้ารับตัวผู้ป่วยให้ออกจากพื้นที่โดยเร็ว พร้อมนำตัวผู้ป่วยมาส่งโรงพยาบาลเพื่อทำการตรวจร่างกาย แพทย์ได้รักษาโดยการฉีดยา และเจาะเลือด และให้พักอยู่ในห้องฉุกเฉินเพื่อรอฟังผลเลือด

ล่าสุดเช้านี้ (30 เม.ย. 67) หัวหน้าอุทยานฯ น้ำหนาวยืนยันว่าเจ้าหน้าที่อาการดีขึ้นตามลำดับ และอยู่ในความดูแลของแพทย์

รพ.สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ ร่วมพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนาถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และถวายเป็นพระกุศลแด่สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติฯ

พลเรือตรี ดนัย ปานแดง ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ กรมแพทย์ทหารเรือ พร้อมด้วยกำลังพล เข้าร่วมพิธีเจริญพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนาถวายเป็นพระราชกุศลแด่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 และถวายเป็นพระกุศลแด่ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติ มหาวชิโรตตมางกูร สิริวิบูลยราชกุมาร เนื่องในวันคล้ายวันประสูติ 29 เมษายน 2567 

โดยมี พล.ร.อ.ชาติชาย ทองสะอาด ผบ.กร.เป็นประธานในพิธี ณ อาคารพุทธสถานเฉลิมพระเกียรติ 84 พรรษา กองเรือยุทธการ อ.สัตหีบ จว.ชลบุรี เมื่อวันที่ 29 เม.ย.67 เวลา 17.00 น. 
นิราช/นันทพล ทิพย์ศรี รายงาน 0909535645

‘เกาะล้าน’ อ่วม!! เข้าสู่สภาวะ ‘ขาดแคลนน้ำ’ พีก!! ปชช.เคยซื้อน้ำใช้แพงสุดคันละ 1 พันบาท

(30 เม.ย. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานจาก จ.ชลบุรี ว่า จากสถานการณ์ช่วงหน้าแล้งปีนี้ เกิดปัญหาน้ำขาดแคลนขยายไปหลายพื้นที่ โดยเฉพาะเกาะล้าน เมืองพัทยา ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเดินทางมาท่องเที่ยวจำนวนมาก ส่งผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยปัญหาหลัก ๆ คือ น้ำเริ่มขาดแคลน ส่งผลให้น้ำอุปโภคบริโภคมีราคาค่อนข้างสูงขึ้น ประชาชนบนเกาะล้าน ต้องซื้อน้ำในราคาที่แพงขึ้น

ด้าน นายกาญจนพ สุขขี ชาวบ้านเกาะล้าน กล่าวว่า ช่วงนี้เข้าสู่หน้าแล้ง ทำให้เกาะล้านเข้าสู่สภาวะขาดแคลนน้ำ ซึ่งปกติน้ำประปาบนเกาะล้านที่ผลิตอยู่นั้นไม่เพียงพอต่อการใช้บริโภค ส่วนราคาน้ำขายในช่วงปกติอยู่ที่ 1 ตัน ราคา 150 บาท รถขนน้ำจะบรรจุได้รอบละ 2 ตัน คิดเป็นเงิน 300 บาท หากอยู่ในช่วงที่ต้องการน้ำมาก ราคาน้ำจะพุ่งขึ้นเป็นรอบละ 350-400 บาท แต่ถ้าช่วงแล้งจริง ๆ ราคาน้ำเคยพุ่งสูงเป็นรอบละ 1,000-1,200 บาท

ขณะที่โครงการผลิตน้ำที่เกาะล้าน มีกำลังผลิตไม่เพียงพอที่จะแจกจ่ายน้ำให้กับประชาชน ส่งผลให้บนเกาะล้านขาดแคลนน้ำอย่างหนัก และทำให้ราคาน้ำแพงขึ้น ประชาชนในพื้นที่ต้องการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยเพิ่มการผลิตน้ำและขยายเขตการปล่อยน้ำประปาบนเกาะล้าน เพื่อให้เพียงพอกับประชาชนบนเกาะล้านด้วย

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ตอกย้ำปณิธาน “สร้างชีวิต” มอบเครื่องเล่นสนาม อุปกรณ์ครุภัณฑ์ พร้อมเครื่องอุปโภคบริโภคแก่เด็กนักเรียนในส่วนภูมิภาค ณ โรงเรียนวัดนาร่อง อ.เมือง จ.สระบุรี

วันนี้ (วันอังคารที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2567) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นางศิริกุล โอภาสวงศ์ กรรมการและเลขาธิการ เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย นางศิริพร กระจ่างหล้า ผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์ นางสาวดวงชุตา  ติยะพจนพรกุล  ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์ และ นางสาวศุภรัตน์ สมบัติเจริญไทย หัวหน้าแผนกส่งเสริมการศึกษาและอาชีพ ร่วมในพิธี มอบเครื่องเล่นสนาม อุปกรณ์ครุภัณฑ์ พร้อมเครื่องอุปโภคบริโภคแก่เด็กนักเรียนโรงเรียนวัดนาร่อง อ.เมือง จ.สระบุรี อาทิ เครื่องเล่นสนามชุดปีนป่ายหนอนน้อย ตู้เหล็กเก็บเอกสารบานเลื่อน ชั้นวางของอเนกประสงค์ ชั้นวางของ ชั้นวางหนังสือ ชั้นวางรองเท้านักเรียน ตะแกรงคัดขยะ 3 ช่อง ชุดนักเรียน กางเกงวอร์ม และกระเป๋านักเรียน เป็นต้น พร้อมด้วยเครื่องอุปโภคบริโภค ประกอบด้วย ข้าวสาร  ปลากระป๋อง น้ำมันพืช เส้นหมี่ขาว และขนมจันอับ รวมมูลค่า 208,076 บาท (สองแสนแปดพันเจ็ดสิบหกบาทถ้วน) นอกจากนี้ นายชาญกิจ วิทยาวรากรณ์ กรรมการมูลนิธิฯ  ได้สนับสนุนลูกฟุตบอลจำนวน 30 ใบ พร้อมด้วย ลูกอม จำนวน 1 ลัง  โดยมี นางสาวจิรนันท์ สาระเดช รักษาการผู้อำนวยการโรงเรียนวัดนาร่อง พร้อมด้วย ผู้แทนเด็กและเยาวชน เป็นผู้รับมอบ ณ โรงเรียนวัดนาร่อง อ.เมือง จ.สระบุรี

ตลอดระยะเวลากว่า 114 ปี มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ  ศาสนา  เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาคุณภาพชีวิตอีกในหลาย ๆ ทาง เพื่อเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนครบวงจรในทุกๆ ด้าน ดังปณิธาน มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต ต่อไป

ติดตามข่าวสาร และกิจกรรมงานสาธารณกุศลมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งได้ที่ เว็บไซต์ www.pohtecktung.org และ เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung  

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต”
#แอปพลิเคชัน และ #สายด่วนป่อเต็กตึ๊ง1418 
#ช่วยจริงอุ่นใจแม้ในนาทีฉุกเฉิน

สมาคมตำรวจประสานความร่วมมือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เปิดตัวแอปพลิเคชัน “สมาคมตำรวจ” ชูให้เป็นสื่อกลาง และที่พึ่งของข้าราชการตำรวจไทย

วันนี้ (30 เมษายน 2567) เวลา 10.00 น. พล.ต.อ.วินัย ทองสอง นายกสมาคมตำรวจ แถลงการจัดทำแอปพลิเคชัน “สมาคมตำรวจ” โดยมี พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.รรท.ผบ.ตร.) , พล.ต.ท. ทวีศิลป์ เวชวิทารณ์ นายแพทย์ใหญ่ (สบ8) โรงพยาบาลตำรวจ , น.ส.สุปรียา พิพัฒน์มโนมัย กรรมการอิสระ ธนาคารออมสิน , นายวีระชัย อมรถกลสุเวช รองผู้อำนวยการธนาคารออมสิน และนายโกวิท ธัญญรัตตกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เทรดสยาม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ร่วมแถลง ณ ห้องประชุมสารสิน ชั้น 2 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

แอปพลิเคชัน “สมาคม ตำรวจ” มีความมุ่งมั่นตั้งใจให้เป็นสื่อกลาง ที่พึ่ง การสร้างแบบอย่างของความร่วมมือและการมีส่วนร่วมของข้าราชการตำรวจไทยทั่วประเทศ โดยมีช่องทางที่หลากหลายเพื่อรองรับการทำงานในการให้ความช่วยเหลือแก่ข้าราชการตำรวจและประชาชน เช่น สมาคมตำรวจช่วยรับเรื่องร้องเรียน ร้องทุกข์ จากตำรวจและประชาชน โดยสามารถเข้าไปส่งข้อความขอความช่วยเหลือได้ทันทีทางแอปพลิเคชันดังกล่าว , ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับสุขภาพ , สินเชื่อจากสถาบันการเงิน , สินค้าราคาถูกสำหรับสมาชิกสมาคมเท่านั้น และในอนาคตจะมีช่องทางอื่นที่จะเป็นประโยชน์ต่อข้าราชการตำรวจ เช่น ข่าวสารของสมาคมฯ กฎหมายน่ารู้ การรับสมัครสอบและสมัครงาน เพื่อให้ตำรวจแต่ละภาคส่วนเข้าถึงได้ง่ายขึ้น ได้รับทราบปัญหาที่เกิดขึ้นของตำรวจแต่ละภาคส่วนได้รวดเร็ว ทำให้ตำรวจได้รับความเป็นธรรมในการปฏิบัติหน้าที่ สร้างรายได้เพิ่มให้กับครอบครัว และตำรวจจะได้เข้าถึงปัญหาของประชาชนได้มากขึ้น นอกจากนี้ ในส่วนของประชาชนที่ไม่ได้รับความสะดวกในการแจ้งความ ปัญหา หรือเรื่องร้องเรียนต่าง ๆ ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม ประชาชนจะมีช่องทางให้เข้าถึงตำรวจได้ง่ายขึ้น ประชาชนจะได้รับข่าวสารที่ถูกต้องเกี่ยวกับตำรวจ และข้อกฎหมายที่ประชาชนทั่วไปควรทราบ ฯลฯ 

พล.ต.อ.กิตติ์รัฐฯ กล่าวว่า การทำงานของตำรวจจำเป็นต้องมีเครื่องมือสื่อสารที่เข้าถึงข้าราชการตำรวจ และเป็นเครื่องมือสื่อสารระหว่างตำรวจและพี่น้องประชาชน ซึ่งแอปพลิเคชัน “สมาคมตำรวจ” จะเป็นอีกหนึ่งช่องทางซึ่งจะมีฟีเจอร์ที่สามารถให้ข้าราชการตำรวจบอกกล่าวถึงผู้บังคับบัญชาของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ถึงปัญหาในการปฏิบัติหน้าที่ และปัญหาที่ต้องการให้แก้ไขโดยเร็ว รวมถึงตำรวจและประชาชนจะได้สื่อสารซึ่งกันและกันได้มากขึ้น นอกจากนี้ ในเรื่องของการแก้ไขปัญหาหนี้สินข้าราชการตำรวจ ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ดำเนินการมาโดยตลอด ขณะนี้สมาคมตำรวจก็จะมีสถาบันการเงินคือธนาคารออมสิน เข้ามามีส่วนช่วยเหลือที่จะคลายทุกข์ให้ข้าราชการตำรวจในเรื่องแก้ปัญหาหนี้สินได้อีกทางหนึ่ง โดยตลอดที่ผ่านมาสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาให้กับข้าราชการตำรวจทุกนาย ทุกระดับชั้น ให้สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้สามารถมุ่งเน้นการปฏิบัติหน้าที่ดูแลพี่น้องประชาชนเป็นที่ตั้ง มั่นใจว่าโครงการนี้จะสนองตอบนโยบายของรัฐบาลและนโยบายของผู้บริหารของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติพร้อมจะช่วยเหลือและสนับสนุน อย่างเต็มกำลังความสามารถ

ทั้งนี้ แอปพลิเคชัน “สมาคมตำรวจ” ได้รับการสนับสนุนการจัดทำจากบริษัท เทรดสยาม อินเตอร์เนชั่นแนล และได้รับการสนับสนุนสินเชื่อให้ข้าราชการตำรวจโดยมีดอกเบี้ยในอัตราพิเศษจากธนาคารออมสิน ตลอดจนได้การสนับสนุนให้คำปรึกษาเกี่ยวกับสุขภาพของตำรวจจากโรงพยาบาลตำรวจอีกด้วย ยืนยันว่า ขณะนี้แอปพลิเคชัย “สมาคมตำรวจ” มีความสมบูรณ์และพร้อมที่จะให้บริการแก่สมาชิก ข้าราชการตำรวจและประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ รองรับวัตถุประสงค์ที่ทางนายกสมาคมตำรวจ และผู้ที่เกี่ยวข้องได้มีความตั้งใจไว้ โดยสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน “สมาคมตำรวจ” ได้แล้วทั้งในระบบ Android และ iOS

เชียงใหม่-ผบช.ภ.5 แถลงข่าวการจับกุมแก๊งซามูไรชิงทรัพย์นักศึกษาในพื้นที่อำเภอเมืองเชียงใหม่

วันที่ 30 เมษายน 2567 เวลา 11.00 น. ตำรวจภูธรภาค 5 แถลงข่าวการจับกุมแก๊งซามูไรชิงทรัพย์นักศึกษาในพื้นที่อำเภอเมืองเชียงใหม่ โดยมี พล.ต.ท.กฤตธาพล  ยี่สาคร ผบช.ภ.5 เป็นประธานการแถลงข่าวพร้อมด้วย พล.ต.ต.ธนะรัชต์  ชุ่มสวัสดิ์ รอง ผบช.ฯ ช่วยราชการ ภ.5 , รอง ผบก.สส.ภ.5 , รอง ผบก.ภ.จว.เชียงใหม่ , ผกก.สภ.เมืองเชียงใหม่ และ ผกก.สภ.ภูพิงคราชนิเวศน์ จ.เชียงใหม่ ร่วมกันแถลงข่าว กรณีเหตุผู้ต้องหาก่อเหตุชิงทรัพย์ ย่านถนนคันคลองชลประทาน ถนนสุเทพหลังมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ชุมชนวัดอุโมงค์ ต่อเนื่อง ถนนในหมู่บ้านแกรนด์วิว รวม 5 เคส ผู้เสียหาย 5 คน ณ ห้องประชุมพระพุทธประทานยศบารมี ตำรวจภูธรภาค 5 อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ 

ลำดับเหตุการณ์
วันที่ 27 เม.ย.67 
(1) เวลา 04.45 น. ปากซอยวัดอุโมงค์-ปากซอย 5 วัดป่าแดง (ถ.หลัง มช.) ผู้เสียหาย นายยศวัจน์  อายุ 21 ปี ผู้ต้องหาโชว์อาวุธมีด ข่มขู่เอาเงิน ผู้เสียหายหลบหนี ไม่ได้เงิน
(2) เวลา 04.47 น. ถ.คันคลอง แนวรั้ว มช. ผู้เสียหาย นายธนวัฒน์  อายุ 27 ปี ผู้ต้องหาโชว์อาวุธมีด ข่มขู่เอาเงิน ผู้เสียหายหลบหนี ไม่ได้เงิน
(3) เวลา 04.51 น. ปากซอยวัดอุโมงค์  (ถ.หลัง มช.) ผู้เสียหาย นายรัฐพล อายุ 22 ปี ผู้ต้องหาโชว์อาวุธมีด ข่มขู่เอาเงิน ผู้เสียหายหลบหนี ไม่ได้เงิน
(4) เวลา 04.56 น. ถนนในซอย ก่อนถึงวัดอุโมงค์ 50 ม. ผู้เสียหาย นายพิมพ์นารา อายุ 24 ปี ผู้ต้องหาโชว์อาวุธมีด ข่มขู่เอาเงินได้เงินสด ประมาณ 50 บาท
(5) เวลา 05.17 น. ถ.ในหมู่บ้านแกรนด์วิว ผู้เสียหาย นายศตวรรษ อายุ 34 ปี ผู้ต้องหาโชว์อาวุธมีด ข่มขู่เอาเงิน แต่ไม่ได้เงินจากผู้เสียหาย

ผู้ต้องหา
1. เขาวชนชายอายุ 16 ปี อยู่ตามบัตร ม.5 ต.เวียง อ.ฝาง จว.เชียงใหม่ ปัจจุบันพักอาศัยอยู่ที่ หอพัก ม.7 ต.สุเทพ อ.เมือง จว.เชียงใหม่ 
2. เยาวชนชาย อายุ 15 ปีเศษ ที่อยู่ หมู่ 4 ต.ขัวมุง อ.สารภี จ.เชียงใหม่

ของกลาง
1. รถจักรยานยนต์ยี่ห้อ ฮอนด้า รุ่น เวฟ สีแดง ทะเบียน 2กต – 2806 เชียงใหม่
2. อาวุธมีดยาว(ดาบซามูไร) จำนวน 2 เล่ม
3. เสื้อผ้าของผู้ต้องหาทั้ง 2 คน ที่สวมใส่ในวันเกิดเหตุ

ข้อกล่าวหา
1. ร่วมกันพยายามชิงทรัพย์เวลากลางคืน โดยมีอาวุธ หรือโดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป โดยใช้ยานพาหนะเพื่อกระทำผิด หรือพาทรัพย์นั้นไป หรือเพื่อให้พ้นการจับกุม และพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยเปิดเผย หรือโดยไม่มีเหตุอันสมควร (ผู้เสียหายที่ 1, 2, 3, และ 5)
2. ร่วมกันชิงทรัพย์เวลากลางคืน โดยมีอาวุธ หรือโดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป โดยใช้ยานพาหนะเพื่อกระทำผิด หรือพาทรัพย์นั้นไป หรือเพื่อให้พ้นการจับกุม และพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยเปิดเผย หรือโดยไม่มีเหตุอันสมควร (ผู้เสียหายที่ 4)

พฤติการณ์
กล่าวคือ เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ภูพิงคราชนิเวศน์ ได้รับแจ้งจากผู้เสียหาย จำนวน 5 ราย แจ้งว่า มีคนร้ายขับขี่รถจยย. ใช้อาวุธมีดมาข่มขู่เพื่อขอเงิน  โดยมีลำดับเหตุการณ์ดังต่อไปนี้  

เมื่อวันที่ 27 เม.ย.67 เวลาประมาณ 04.40 น. ขณะที่ผู้เสียหายคนที่ 1 กำลังขับขี่รถจักรยานยนต์ อยู่ที่บริเวณ ถ.สุเทพ (ด้านหลัง มช.) ต.สุเทพ อ.เมือง จว.เชียงใหม่ มุ่งหน้าไปทางประตูวิศวะ ได้มีผู้ต้องหา จำนวน 2 คน ขับขี่รถจยย. เข้ามาหาในลักษณะประกบด้านข้าง พร้อมพูดบอกให้ผู้เสียหายส่งเงินสดมาให้จำนวน 100 บาท พร้อมแสดงอาวุธมีดให้ผู้เสียหายดู ผู้เสียหายเกิดความตกใจจึงได้เร่งความเร็วแล้วขับหลบหนีไป  ส่วนผู้ต้องหาไม่ได้ติดตามไปแต่อย่างใด  ต่อจากนั้นผู้ต้องหาได้กลับรถ แล้วขับรถไปหาผู้เสียหายที่ 2 ซึ่งกำลังขับขี่รถจยย.ในบริเวณใกล้เคียงกัน โดยมุ่งหน้าไปทางสี่แยกต้นพยอม พร้อมพูดจาและแสดงอาวุธมีดให้ผู้เสียหายดูเพื่อข่มขู่เอาเงินจากผู้เสียหายที่ 2  แต่ผู้เสียหายเกิดความตกใจจึงได้เร่งความเร็วแล้วขับหลบหนีไป ซึ่งผู้ต้องหาก็ไม่ได้ขับติดตามไปแต่อย่างใด  ผู้ต้องหาจึงได้ขับรถกลับมายัง ถ.สุเทพ มุ่งหน้าไปทางประตูวิศวะอีกครั้ง  และ เจอผู้เสียหายที่ 3 ขับรถ จยย.อยู่จึงเข้าประกบอีกครั้ง ผู้เสียหายเกิดความตกใจจึงได้เร่งความเร็วแล้วขับหลบหนีไป โดยหลบหนีไปทางประตูเชียงใหม่ ต่อจากนั้นผู้ต้องหาได้ขับขี่หลบหนีเข้าไปในย่านชุมชนวัดอุโมงค์ และ ไปเจอกับผู้เสียหายที่ 4 จึงเข้าประกบอีกครั้ง  โดยครั้งนี้ผู้เสียหายได้มอบเงินเหรียญให้ผู้ต้องหาไป ประมาณ 50 บาท จากนั้นผู้ต้องหาได้ขับขี่ไปทิศทางย่านหมู่บ้านแกรนด์วิว และได้เข้าประกบกับผู้ต้องหาที่ 5 ซึ่งผู้เสียหายแจ้งว่าไม่มีเงิน  ผู้ต้องหาจึงได้ขับขี่หลบหนีไป ซึ่งภายหลังผู้เสียหายทั้ง 5 ราย ได้มาร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีกับผู้ต้องหา

จากการสืบสวน ข้อมูลจากกล้องวงจรปิด การข่าวจากกลุ่มแก๊งค์วัยรุ่นในพื้นที่ ข้อมูลจากสื่อออนไลน์ต่างๆ  จนกระทั่งสามารถสืบทราบว่าผู้ต้องหา เป็นเยาวชน  

ต่อมาเมื่อวันที่ 29 เม.ย.67 เวลาประมาณ 14.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้เชิญตัวมาซักถามปากคำที่ สภ.ภูพิงค์ฯ  ซึ่งผู้ต้องหาทั้ง 2 คน ให้การยอมรับว่า ได้เป็นคนที่ขับขี่รถจยย. ไปข่มขู่ขอเงินจากบุคคลทั่วไปตามวันเวลาสถานที่เกิดเหตุจริง โดยใช้อาวุธมีดตามที่เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจยึดได้จริง โดยรับว่าสารภาพที่ทำไปเพราะความคึกคะนอง

ตำรวจภาค 4 ทลาย 29 เครือข่าย รวบนักค้ายาเสพติดอีสานเหนือกว่า 22 ราย

ที่ ภ.จว.หนองคาย : เมื่อวันที่ 30 เม.ย.67 เวลาประมาณ 10.00 น. พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผบช.ภ.4, พล.ต.ต.ธนชาติ รอดคลองตัน รอง ผบช.ภ.4, พล.ต.ต.ณัฐนนท์ ประชุม รอง ผบช.ภ.4, พล.ต.ต.พงพิพัฒน์ ศิริพรวิวัฒน์,  ผบก.ภ.จว.หนองคาย, นายสมภพ สมิตะสิริ ผวจ.หนองคาย, นายภิญโญ โฆสิต ผอ.ปปส.ภาค 4 และหน่วยร่วมบูรณาการในพื้นที่ ร่วมกันแถลงผลการปฏิบัติการ "ขุดรากนักค้ารายย่อยและเครือข่าย" ซึ่งเริ่มปฏิบัติการตั้งแต่วันที่ 10 เม.ย.67 ถึงวันที่ 30 เม.ย.67 โดยใช้กำลังตำรวจภาค 4 ทั้ง 12 ภ.จว.ในสังกัด และ บก.สส.ภ.4 พร้อมด้วยหน่วยงานฝ่ายปกครอง ทหาร และ ป.ป.ส. ในพื้นที่  

ปฏิบัติการในครั้งนี้ ตำรวจภาค 4 ได้ทำการปิดล้อมตรวจค้นเครือข่ายนักค้ายาเสพติดทั่วอีสานเหนือทั้ง 12 จังหวัด รวม 29 เครือข่าย จำนวน 101 เป้าหมาย จับกุมผู้ต้องหาได้ 88 คน เป็นนักค้ารายย่อย 22 ราย ตรวจยึดยาบ้า จำนวน 2,817,878 เม็ด, เฮโรอีน 22,329 กรัม นอกจากนี้ยังตรวจยึดทรัพย์สินเป็นเงินสด อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน สิ่งปลูกสร้างพร้อมที่ดิน ทองรูปพรรณ รถยนต์ รถจักรยานยนต์ โทรศัพท์ สมุดบัญชีธนาคารและอื่นๆ รวมประมาณ 300 รายการ มูลค่าประมาณ 75,703,558 บาท

สำหรับผลการปฏิบัติที่น่าสนใจมีดังนี้ ภ.จว.อุดรธานี ยึดทรัพย์ที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง รถยนต์ จยย. รวม 12 รายการ มูลค่า 27,820,000 บาท, ภ.จว.หนองบัวลำภู ยึดเงินสด รถยนต์ จยย. ทองรูปพรรณ รวมมูลค่า 11,533,530 บาท, ภ.จว.ร้อยเอ็ด ยึดรถยนต์ 10 คัน จยย. 2 คัน รวมมูลค่า 4,120,000 บาท, บก.สส.ภ.4 ยึดรถยนต์ 5 คัน ที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง รวมมูลค่า 4,575,000 บาท เป็นต้น 

พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผบช.ภ.4 กล่าวว่า ตำรวจภาค 4 ได้เปิดปฏิบัติการ เพื่อกวาดล้างจับกุมนักค้ายาเสพติดรายย่อยและเครือข่ายในทุกพื้นที่อย่างเข้มข้น โดยได้เปิดปฏิบัติการอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด ทั้งนี้ ในเดือนล่าสุด เม.ย.67  มีการจับกุมนักค้ารายย่อย 1,704 คดี  นักค้ารายสำคัญ 13 คดี และตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.66 ถึง 28 เม.ย.67 ตำรวจภาค 4 จับกุมนักค้ารายย่อย 10,926 คดี นักค้ารายสำคัญ จำนวน 111 คดี  โดยมีการจับกุมคดียาเสพติดทุกข้อหา รวมทั้งสิ้น 30,268 คดี ซึ่งตนได้กำชับทุกหน่วยให้ถือเป็นนโยบายต่อเนื่องในการเดินหน้าตรวจค้น กวาดล้างจับกุมนักค้ารายย่อยและเครือข่ายทั้งหมด เพื่อตัดช่องทางการจำหน่ายยาเสพติดให้กับประชาชนต่อไป พล.ต.ท.สรายุทธ กล่าวในที่สุด

สืบนครบาลรวบ 'นิค หอยชนะ แอดมินกลุ่มVK ขายคลิปซื้อยาเสพ' เผยแพร่ ขายคลิปสื่อลามก อนาจารเด็ก

จากนโยบายของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รรท.ผบ.ตร., พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วย ผบ.ตร. ให้ปราบปรามกลุ่มเครือข่ายองค์กรอาชญากรรมทางออนไลน์ ที่กระทำความผิดทุกรูปแบบ ซึ่งสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนผู้สุจริตจำนวนมาก
โดย กก.สส.3 บก.สส.บช.น. สืบสวนพบ ผู้กระทำผิดขายคลิปโป้ สื่ออนาจารลามกเด็ก ให้แก่ประชนเป็นจำนวนมาก ทำให้เกิดเป็นเยี่ยงอย่างที่ไม่เหมาะสมกับเด็ก เยาวชน และสังคมไทย

วันที่ 29 เมษายน 2567 เวลาประมาณ 07.00 น. พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น., พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น.  สั่งการ พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น., พ.ต.อ.นิวัฒน์ พึ่งอุทัยศรี รอง ผบก.สส.ฯ, พ.ต.อ.อรรชวศิษฏ์ ศรีบุณยมานนทน์ ผกก.สส.3 บก.สส.บช.น., พ.ต.ท.สัญญลักษ์ สังขะภักดี สว.กก.สส.3ฯ ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมหลักสูตรสืบสวนคดีอาญา 114  ประกอบด้วย ร.ต.อ.เอกชัย เติมพงษ์ รอง สว.สส.สภ.ดำเนินสะดวก, ร.ต.อ.ฤชุวัจน์ ยินดี รอง สว.กก.4 บก.ปคบ., ร.ต.อ.สหรัฐ เติมต่อวัฒนกุล ร่วมกันจับกุมตัว

นายอณิกวิชญ์ ปะวะโข อายุ 40  ปี  ที่อยู่ 330/4 แขวงดินแดง เขตดินแดง กรุงเทพมหานคร
พร้อมด้วยของกลาง จำนวน 4  รายการ  ดังนี้
1. คอมพิวเตอร์ DESKTOP-O6CI6KJ ซีพียู AMD Ryzen 9 3900X 12-Core Processor 3.80 GHz        
2. โทรศัพท์มือถือ ยี่ห้อออปโป้ รุ่น A12 หมายเลขโทรศัพท์มือถือ 0810362632 IMEI 1 864036046640636 , IMEI 2 864036046640628
3. โทรศัพท์มือถือ ยี่ห้อแอปเปิ้ล รุ่น ไอโฟน 11 โปรแม็กซ์ 
4. สมุดบัญชีธนาคารกสิกรไทย ชื่อบัญชี นายอณิกวิชญ์ ปะวะโข สาขาเอสพละนาด รัชดาภิเษก (ใช้ในการโอนเงินค่าเข้าร่วมกลุ่ม)
5.ยาเสพติดให้โทษประเภท๑ (ไอซ์) ชนิดเป็นผลึกใส บรรจุอยู่ในถุงพลาสติกใส ชนิดรูดเปิด-กดปิด จำนวน ๑๒ ถุง น้ำหนักชั่งรวมถุง จำนวน   8.04    กรัม
6.ยาเสพติดให้โทษประเภท๑ (ยาบ้า) บรรจุอยู่ในถุงพลาสติกใส ชนิดรูดเปิด-กดปิด จำนวน 2 เม็ด
7.ยาเสพติดให้โทษประเภท๑ (ยาอี) บรรจุอยู่ในถุงพลาสติกใส ชนิดรูดเปิด-กดปิด จำนวน ๔ ถุง รวมมียาอี จำนวน  ๖.๕ เม็ด

กระทำความผิดฐาน พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. ๒๕๕๐
1.นําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใดๆ ที่มีลักษณะอันลามกและ ข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้
2. เผยแพร่หรือส่งต่อซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่มี
ลักษณะอันลามก ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.๒๕๕0 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 287 ผู้ใด (๑) เพื่อความประสงค์แห่งการค้า หรือโดยการค้า เพื่อการแจกจ่ายหรือเพื่อการแสดงอวดแก่ประชาชน ทำ ผลิต มีไว้ นำเข้าหรือยังให้นำเข้าในราชอาณาจักร ส่งออกหรือยังให้ส่งออกไปนอกราชอาณาจักร พาไปหรือยังให้พาไปหรือทำให้แพร่หลายโดยประการใด ๆ ซึ่งเอกสาร ภาพเขียน ภาพพิมพ์ ภาพระบายสี สิ่งพิมพ์ รูปภาพ ภาพโฆษณา เครื่องหมาย รูปถ่าย ภาพยนตร์ แถบบันทึกเสียง แถบบันทึกภาพหรือสิ่งอื่นใดอันลามก

(๒) ประกอบการค้า หรือมีส่วนหรือเข้าเกี่ยวข้องในการค้าเกี่ยวกับวัตถุหรือสิ่งของลามกดังกล่าวแล้ว จ่ายแจกหรือแสดงอวดแก่ประชาชน หรือให้เช่าวัตถุหรือสิ่งของเช่นว่านั้น
(๓) เพื่อจะช่วยการทำให้แพร่หลาย หรือการค้าวัตถุหรือสิ่งของลามกดังกล่าวแล้ว โฆษณาหรือไขข่าวโดยประการใด ๆ ว่ามีบุคคลกระทำการอันเป็นความผิดตามมาตรานี้ หรือโฆษณาหรือไขข่าวว่าวัตถุ หรือสิ่งของลามกดังกล่าวแล้วจะหาได้จากบุคคลใด หรือโดยวิธีใดต้องระวางโทษ จำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 287/1 ครอบครองสื่อลามกอนาจารเพื่อแสวงหาประโยนช์ในทางเพศสำหรับตนเองหรือผู้อื่นประมวลกฎหมายยาเสพติด มียาเสพติดให้โทษประเภท ๑ เมทแอมเฟตามีน (ไอซ์) , (ยาบ้า) และ (ยาอี) ไว้ในความครอบครองโดยผิดกฎหมาย และ เสพยาเสพติดให้โทษประเภท ๑ เมทแอมเฟตามีน (ไอซ์) , (ยาบ้า) และ (ยาอี) โดยผิดกฎหมาย

พฤติการณ์แห่งการจับกุม เมื่อวันที่ 26 เม.ย.67 เวลาประมาณ 17.30 น. สืบเนื่องจาก เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สส.3 บช.น.ได้ทำการสืบสวนกรณี การโฆษณา/ประกาศขายสื่อ ลามกอนาจาร/นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ได้พบว่ามีการโพสต์สื่อลามกพร้อมทั้งประกาศขายสื่อลามกอนาจารผ่านแพลตฟอร์ม VK https://vk.com/club212843922  ซึ่งใช้บัญชี VK ชื่อว่า “ไทยนะคะ” มีผู้ติดตาม 25,100 คน มีข้อความโฆษณาดังนี้ “ดูคลิปเต็มในกลุ่มน์ แอดไลน์มา ID : nickytime123 300 บาท ดูได้ทุกคลิป อัพเดทเรื่อยๆ คลิปเยอะมาก 700+” คลิปในกลุ่ม เป็นกรณีการโฆษณา/ประกาศขายสื่อลามกอนาจาร/นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ จึงได้ทำการสืบสวนดำเนินการ         

ต่อมาเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนจึงได้ให้สายลับทำการแฝงตัวสืบสวนและได้เพิ่มเพื่อนผ่านแอพพลิเคชั่นไลน์ไอดี “nickytime123” พบว่าเป็นผู้ใช้บัญชีไลน์ชื่อว่า “ชนะชนะ” จากนั้นเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนจึงได้ส่งข้อความเพื่อสอบถามรายละเอียดในการเข้ากลุ่มไลน์ที่มีสื่อลามก อนาจาร ต่อมาผู้ใช้บัญชีไลน์ “ชนะชนะ” แจ้งว่า “สนใจเข้ากลุ่มดูคลิป 300 บาท (ตลอดชีพ) บัญชี 777-2180-416 กสิกรตรวจสอบพบว่าบัญชี ธนาคารกสิกรไทย เลขบัญชี 777-2180-416 พบว่าชื่อบัญชีคือ นายอณิกวิชญ์ ปะวะโข สายลับจึงได้โอนเงินเข้าบัญชีธนาคารกสิกรไทย เลขบัญชีดังกล่าว จำนวน ๓๐๐ บาท เพื่อทำการเข้ากลุ่มคลิป และได้ส่งสลิปการโอนเงินให้ผู้ใช้บัญชีไลน์ชื่อว่า “ชนะชนะ” เพื่อยืนยันหลักฐานการโอนเงิน ภายหลังผู้ใช้บัญชีไลน์ชื่อว่า “ชนะชนะ” จึงได้เชิญสายลับเข้ากลุ่มไลน์ชื่อว่า “ชนะ” ปรากฏสมาชิกในกลุ่มจำนวน 461 บัญชี และ ผู้ใช้บัญชีไลน์ชื่อว่า “ชนะชนะ” แจ้งว่าคลิปอยู่ในโน้ตของกลุ่มต่อมาสายลับจึงได้ทำการตรวจสอบโน้ต (Notes) ของกลุ่มไลน์ชื่อว่า “ชนะ” พบว่ามีคลิปสื่อลามกอนาจารของผู้หญิงกับผู้ชาย สัญชาติไทยและสัญชาติอื่น จำนวนมาก อีกทั้งยังปรากฏภาพและคลิปสื่อลามกอนาจารของเด็กหญิงอีกด้วย

จากการสืบสวนเพิ่มเติมทราบว่าผู้ที่ดำเนินการในการจำหน่ายสื่อลามกอนาจารดังหกล่าวคือ นายอณิกวิชญ์ ปะวะโข ซึ่งพักอาศัยอยู่ ชีวาทัย ราชปรารภ คอนโด ห้อง 11/243 ถ.ราชปรารภ แขวงมักกะสัน เขตราชเทวี กรุงเทพมหานครจึงทำการขอหมายค้นบ้านเพื่อหาพยานหลักฐาน เอาผิดนายอณิกวิชญ์ ปะวะโข จนวันที่ 29 เม.ย.67 เวลา 07.00 น. เจ้าหน้าที่ กก.สส.3 บก.สส.บช.น. พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดหลักสูตรสืบสวนคดีอาญา ได้ขออนุมัติหมายค้น ศาลอาญาที่ 404 /2567 เข้าค้นคอนโด ตามที่อยู่ดังกล่าว ซึ่งได้พยานหลักฐานดังกล่าวข้างต้นมาดำเนินคดีกับนายอณิกวิชญ์ ปะวะโข จึงได้จับกุม และส่งดำเนินคดีตามกฎหมาย

ในชั้นจับกุม ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา พร้อมทั้งให้การเพิ่มเติมว่า สาเหตุที่ได้ก้าวเข้ามาเป็นผู้ขายสื่อลามกอนาจารดังกล่าว เนื่องจากตนเองได้ตกงานช่วงสถานการณ์โควิด 19 ทำให้ ไม่มีอาชีพ จึงได้หาช่องทางในการหาเงิน และเห็นช่องทางในการผู้ขายสื่อลามกอนาจารผ่านสื่อโซเชี่ยลและได้รับผลตอบแทนที่ค่อนข้างสูง จึงได้ใช้เป็นวิธีในการหาเงินแทนงานประจำที่ได้ตกงานไป โดยรายได้ที่ได้รับจะนำมาจ่ายค่าตอนโด ใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน และซื้อยาเสพติดมาเสพ 

โดยจากการเข้าทำการตรวจค้นจับกุมตามอำนาจของหมาค้นศาลอาญา พบว่ามีคลิปวีดีโอที่เกี่ยวกับสื่อลามกอนาจารจำนวนมากกว่า 100,000 คลิป ที่เก็บไว้ใน CPU 1 เครื่อง , เอ็กทอลน่อลอีกฮาร์ดดิสจำนวน 3 ลูก (ลูกละ 8 เทราไบต์) และ เอ็กทอลน่อลอีกจำนวน 4 อัน

เจ้าหน้าที่จึงได้ทำบันทึกจับกุมและนำผู้ต้องหาส่ง สน.ดินแดง เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไปพล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. กล่าวว่า การลักลอบขายคลิปโป๊ เป็นต้นเหตุของอาชญากรรมทางเพศโดยเฉพาะกับเด็ก ซึ่งผู้ซื้อจะนำไปก่อเหตุเพราะเป็นการกระตุ้นอารมณ์ทางเพศในการกระทำความผิด หากผู้ใดพบเบาะแสโปรดแจ้งผ่านเพจสืบนครบาล เพื่อปราบปรามให้สิ้นซากต่อไป

‘มิตรผล’ ร่อนแถลง หลังภาพพนง.เหยียบกองน้ำตาลว่อนเน็ต ยัน!! ภาพดังกล่าวเป็นขั้นตอนนำน้ำตาลไปผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพ

จากกรณีโลกโซเชียลแห่แชร์ภาพของหนุ่มรายหนึ่งที่ได้โพสต์ภาพขณะที่ตนเองกำลังเหยียบน้ำตาลทรายกองใหญ่ ส่วนอีกคนกำลังใช้ไม้กวาด กวาดน้ำตาลที่อยู่บนพื้นด้วย พร้อมระบุข้อความว่า…

“ก่อนที่สูสิพากันได้กินน้ำตาลอยู่สุมื้อนี่ กะต้องผ่านส้นตีนกูหนิล่ะก่อน55555”

เบื้องต้นทราบว่าผู้โพสต์เป็นพนักงานของบริษัทน้ำตาลชื่อดังระดับประเทศ ชนิดที่ว่าเกือบทุกบ้านจะต้องมีน้ำตาลยี่ห้อนี้แน่นอน

อย่างไรก็ตาม พบว่าชาวเน็ตรายหนึ่งเข้าไปสอบถามผ่านเพจบริษัทน้ำตาลยี่ห้อดังกล่าว เพื่อให้ตรวจสอบว่าเป็นพนักงานหรือไม่ โดยแอดมินได้ตอบกลับว่าจะรีบตรวจสอบโดยทันที

ต่อมา (29 เม.ย. 67) ทางเพจเฟซบุ๊ก ‘Mitr Phol Sugar’ ของกลุ่มโรงงานน้ำตาลมิตรผลได้ออกเอกสารชี้แจงกรณีการแชร์ภาพการบรรจุน้ำตาลที่ไม่ได้มาตรฐาน ระบุว่า…

“สืบเนื่องจากกรณีที่มีการโพสต์ภาพการบรรจุน้ำตาลที่ไม่ได้มาตรฐาน ลงบนสื่อสังคมออนไลน์ เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2567

ทั้งนี้ เมื่อโรงงานฯ ได้รับทราบเหตุการณ์ดังกล่าวก็มิได้นิ่งนอนใจแต่อย่างใด โดยได้เร่งให้ฝ่ายผลิตน้ำตาลและฝ่ายควบคุมคุณภาพของโรงงานฯ ดำเนินการตรวจสอบระบบการผลิตและบรรจุของน้ำตาลดังกล่าวโดยละเอียดทันที ซึ่งจากผลการตรวจสอบ โรงงานฯ ขอเรียนชี้แจงว่า

1. ห้องที่อยู่ในภาพดังกล่าว เป็นห้องบรรจุน้ำตาลที่อยู่ในระหว่างการปิดปรับปรุง ตั้งแต่วันที่ 21 เมษายน 2567 ที่ผ่านมา โดยภาพน้ำตาลที่เห็นคือน้ำตาลที่ค้างอยู่ในท่อบรรจุ ซึ่ง ณ วันที่มีการเผยแพร่ภาพ โรงงานฯ อยู่ระหว่างดำเนินการทำความสะอาดห้องและขนย้ายน้ำตาลทั้งหมดเข้าสู่กระบวนการผลิตเอทานอลเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงชีวภาพ และป้องกันมิให้กลับไปสู่กระบวนการบริโภค

2. กระบวนการผลิตน้ำตาลของโรงงานฯ เป็นระบบปิดที่ใช้เครื่องจักรอัตโนมัติตลอดทั้งกระบวนการ ภายใต้อุณหภูมิความร้อนสูง 65-1,000C นอกจากนี้ กระบวนการผลิตและบรรจุสินค้ายังได้รับการรับรองมาตรฐานสากล GMP&HACCP และ FSSC 22000 จึงมั่นใจได้ว่ามีความสะอาด ปราศจากการปนเปื้อนตลอดทั้งห่วงโซ่การผลิต และมีการควบคุม ตรวจสอบการขนส่ง เคลื่อนย้าย การจัดเก็บอย่างถูกสุขลักษณะ ด้วยการทำความสะอาดและฆ่าเชื้อตามระยะความถี่ที่เหมาะสม

โรงงานฯ ขอแจ้งให้ทราบว่าการเผยแพร่ภาพการบรรจุน้ำตาลที่ไม่ได้มาตรฐานนั้น เป็นข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง จึงขอความร่วมมือทุกท่านงดนำเสนอ เผยแพร่ หรือส่งต่อข้อมูลและภาพดังกล่าว เพื่อป้องกันมิให้เกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนในสังคม

สุดท้ายนี้ โรงงานฯ ขอเรียนยืนยันถึงมาตรฐานและการควบคุมการผลิตน้ำตาลทุกประเภท ซึ่งเป็นไปตามหลักมาตรฐานสากล และคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้บริโภคเป็นอันดับแรก

อย่างไรก็ตาม พบว่ามีชาวเน็ตต่างเข้ามาแสดงความเห็นวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักและอยากรู้ถึงบทลงโทษของผู้ที่โพสต์ให้บริษัทเสียหาย ว่ามีการจัดการอย่างไร

'รัดเกล้า' เผย!! 1 พ.ค. ขึ้นเงินเดือนข้าราชการ-เงินบำนาญขั้นต่ำ หวังดึงดูดบุคลากรคุณภาพเข้าสู่ระบบราชการมากขึ้น

(30 เม.ย. 67) นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติ (28 พฤศจิกายน 2566) อนุมัติปรับอัตราเงินเดือนแรกบรรจุสำหรับกลุ่มข้าราชการพลเรือนและเจ้าหน้าที่ของรัฐ โดยมีเป้าหมายให้ผู้ที่ปฏิบัติงานในตำแหน่งที่ใช้คุณวุฒิระดับปริญญาตรีจะมีเงินเดือนไม่น้อยกว่า 18,000 บาท และผู้ที่ปฏิบัติงานในตำแหน่งที่ใช้คุณวุฒิระดับ ปวช. จะมีเงินเดือนไม่น้อยกว่า 11,000 บาท ภายในระยะเวลา 2 ปี นั้น วันที่ 1 พฤษภาคม 2567 คือวันที่มติดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้เป็นวันแรก

นางรัดเกล้า กล่าวว่า นอกจากดูแลข้าราชการแรกเข้าแล้ว รัฐบาลยังให้ความสำคัญดูแลข้าราชการที่เกษียณและได้รับเบี้ยหวัดบำนาญอีกด้วย โดยคณะรัฐมนตรียังได้ออกพระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ (ฉบับที่ 17) พ.ศ. 2567 ซึ่งประกาศใช้ในราชกิจจานุเบกษาไปเมื่อวันที่ 17 เมษายน 2567 ที่ผ่าน โดยมีสาระสำคัญคือการปรับปรุงอัตราเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ เพื่อกำหนดให้ผู้ได้รับ หรือมีสิทธิได้รับเบี้ยหวัดหรือบำนาญ ซึ่งเมื่อรวมกับเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญแล้วต่ำกว่า เดือนละ 11,000 บาท ให้ได้รับเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญเพิ่มขึ้นตามอัตราที่กำหนด เพื่อให้สอดคล้องกับค่าครองชีพที่สูงขึ้น และการปรับขึ้นเงินเดือนข้าราชการ โดยจะมีผลในวันที่ 1 พฤษภาคม 2567 เช่นเดียวกัน

รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (สำนักงาน ก.พ.) มีความพร้อม 100% และได้มีหนังสือแจ้งเวียนแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการปรับอัตราเงินเดือนแรกบรรจุและการปรับเงินเดือนชดเชยผู้ได้รับผลกระทบให้ส่วนราชการต่าง ๆ ทราบแล้ว ตามหนังสือที่ นร. 1012.3/ว 9 ลงวันที่ 9 เมษายน 2567 ทั้งนี้ หากหน่วยงานใด ดำเนินการปรับไม่ทัน การปรับขึ้นเงินเดือนจะให้มีผลย้อนหลัง รวมถึงได้มีการประสานกับสำนักงบประมาณ และกรมบัญชีกลางไว้เรียบร้อยแล้ว ขอให้ข้าราชการและผู้ได้รับเบี้ยหวัดหรือบำนาญ มั่นใจได้ว่าการปรับขึ้นเงินเดือนครั้งนี้จะเป็นไปด้วยความเรียบร้อยแน่นอน

“การปรับอัตราเงินเดือนแรกบรรจุข้าราชการนั้น ก็เพื่อดึงดูดบุคลากรคุณภาพเข้าสู่ระบบราชการเพื่อให้ระบบราชการของไทยมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น นอกจากการปรับอัตราเงินเดือนแรกบรรจุข้าราชการแล้ว รัฐบาลยังคงคำนึงถึงผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญที่จะต้องดำรงชีพอยู่ได้ในสภาพเศรษฐกิจและค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้นในปัจจุบัน จึงได้ปรับเพิ่มเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญให้เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนสำคัญที่จะทำให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโต และจะส่งผลให้ความเป็นอยู่และคุณภาพชีวิตของประชาชน” นางรัดเกล้า กล่าว


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top