Monday, 23 June 2025
NEWS FEED

‘ดร.หิมาลัย’ นำ พพ. แจงแนวทาง 'โครงการฝายธงน้อย' มุ่งบริหารจัดการน้ำพร้อมพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังน้ำอย่างยั่งยืน

พพ. ชี้แจงแนวทาง 'โครงการฝายธงน้อย' แก่จังหวัดน่าน เดินหน้าเพื่อชุมชน เสริมแผนจัดการน้ำอย่างมีส่วนร่วม ลดผลกระทบอุทกภัยด้วยพลังงานสะอาด

(13 มิ.ย. 68) กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) กระทรวงพลังงาน จัดการประชุมชี้แจงแนวทางการดำเนินโครงการฝายธงน้อย และแผนพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังน้ำในเขตจังหวัดน่าน ณ ห้องประชุมพระเจ้า สุริยพงษ์ ผริตเดช ชั้น 3 ศาลากลางจังหวัดน่าน โดยมี ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธานการประชุม และ นายนันทนิษฎ์ วงศ์วัฒนา รองอธิบดี พพ. เป็นผู้นำเสนอข้อมูลต่อผู้บริหารจังหวัดน่านและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

การประชุมครั้งนี้มีผู้แทนจากหลายภาคส่วนเข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง อาทิ นายนิวัฒน์ งามธุระ รองผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน, สมาชิกวุฒิสภา, สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดน่าน, หน่วยงานราชการในพื้นที่, องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น, ผู้นำชุมชน และผู้แทนภาคประชาชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ดร.หิมาลัย กล่าวว่าการลงพื้นที่ครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ “เพื่ออธิบายอย่างตรงไปตรงมา เปิดเผยข้อมูลอย่างครบถ้วน และรับฟังทุกข้อกังวลและทำความเข้าใจร่วมกัน” เพื่อให้การพัฒนาโครงการฝายธงน้อยและการผลิตไฟฟ้าพลังน้ำตอบโจทย์ความต้องการของพื้นที่อย่างแท้จริง นอกจากการให้ข้อมูลหรือการชี้แจงอย่างชัดเจนแล้ว ยังได้เสนอแนวทางบริหารจัดการน้ำเชิงรุกเพื่อลดความเสี่ยงจากอุทกภัย ควบคู่ไปกับการพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังน้ำอย่างยั่งยืน ที่ไม่เพียงช่วยเพิ่มพลังงานสะอาดเข้าสู่ระบบ แต่ยังส่งเสริมคุณภาพชีวิตของประชาชนในระยะยาว ผ่านการจัดตั้งกองทุนพัฒนาไฟฟ้า เพื่อสนับสนุนกิจกรรมของชุมชนในด้านอาชีพ การศึกษา และสาธารณูปโภคพื้นฐานในพื้นที่รอบโรงไฟฟ้า

โดยได้จัดทำแผนบรรเทาทุกข์โครงการแบ่งเป็น 2 ระยะ ได้แก่

แผนระยะสั้น (พ.ศ. 2568–2570) ประกอบด้วยการติดตั้งเครื่องผลักดันน้ำ เครื่องสูบน้ำหอยโข่ง การระบายน้ำผ่านทางผ่านปลา และการขุดลอกตะกอนดินทรายในลำน้ำ เพื่อเร่งระบายน้ำออกจากพื้นที่เหนือฝาย ลดความเสี่ยงต่อปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ใกล้เคียง โดยจะสามารถช่วยระบายน้ำในช่วงที่น้ำหลากได้ถึง 50 ลบ.ม /วินาที ปัจจุบันอยู่ระหว่างการของบประมาณโครงการตามแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายใต้กรอบวงเงิน 157,000 ล้านบาท 

แผนระยะยาว (เริ่มตั้งแต่ พ.ศ. 2570 เป็นต้นไป) ประกอบด้วยการก่อสร้างอาคารระบายน้ำฉุกเฉิน จำนวน 2 ช่อง พร้อมพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังน้ำขนาดเล็ก ซึ่งอยู่ระหว่างการเสนอขอรับงบประมาณประจำปี พ.ศ. 2569 โดยคาดว่าจะสามารถดำเนินการแล้วเสร็จภายในปี พ.ศ. 2570 ซึ่งโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำธงน้อยมีเป้าหมายในการผลิตพลังงานไฟฟ้าสะอาดประมาณ 11.10 ล้านหน่วยต่อปี ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ประมาณ 6,438 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ต่อปี และมีความสามารถในการช่วยระบายในช่วงน้ำหลากได้ถึง 220 ลบ.ม/วินาที  พร้อมทั้งสามารถจัดตั้งกองทุนพัฒนาไฟฟ้าเพื่อสนับสนุนการพัฒนาชุมชนในพื้นที่รอบโรงไฟฟ้าได้อีกด้วย

หลังการประชุม คณะผู้บริหารและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ลงพื้นที่จริงบริเวณฝายธงน้อย เพื่อสำรวจและศึกษาภูมิประเทศโดยรอบพร้อมรับฟังข้อมูลในพื้นที่อย่างรอบด้าน นำไปสู่การปรับแนวทางดำเนินโครงการให้เหมาะสมกับสภาพจริงและความต้องการของชุมชน

พพ. ยืนยันเดินหน้าโครงการฝายธงน้อยและโรงไฟฟ้าพลังน้ำอย่างโปร่งใส โดยเปิดรับฟังทุกความคิดเห็นจากภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อให้โครงการเกิดประโยชน์สูงสุดต่อชุมชน พร้อมย้ำว่าจากข้อมูลทางวิชาการ ฝายธงน้อยไม่ใช่สาเหตุของน้ำท่วมในเทศบาลเมืองน่าน แต่ก็ยังคงร่วมมือกับทุกฝ่ายเพื่อวางแนวทางป้องกันและบรรเทาผลกระทบอย่างรอบด้าน

สล.พมพ.ทรภ.1 จัดกิจกรรมเพิ่มประสิทธิภาพบุคลากร เสริมทักษะช่วยเหลือผู้ประสบภัยทางทะเล

ระหว่างวันที่ 11 – 13 มิถุนายน 2568 สำนักงานเลขานุการคณะกรรมการพัฒนาเพื่อความมั่นคงในระดับพื้นที่ในเขตทัพเรือภาคที่ 1 (สล.พมพ.ทรภ.1) จัดกิจกรรม “เพิ่มประสิทธิภาพบุคลากร” ณ ฐานส่งกำลังบำรุงทหารเรือตราด (ฐตร.ทรภ.1) ตำบลคลองใหญ่ อำเภอแหลมงอบ จังหวัดตราด เพื่อเสริมสร้างทักษะในการค้นหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัยทางทะเลให้แก่กำลังพล

กิจกรรมดังกล่าวได้รับเกียรติจากวิทยากรผู้เชี่ยวชาญจากศูนย์รักษาความปลอดภัยทางทะเลกองทัพเรือเกาะช้าง (ศรภ.ทร.เกาะช้าง) พร้อมด้วยอาสาสมัครจากกลุ่ม “ใจถึงใจ คนไทยไม่ทิ้งกัน” โดยมี นายฝันเด่น จรรยาธนากร (พี่เล็ก) ถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ตรงแก่ผู้เข้าร่วม มีผู้เข้าร่วมกิจกรรมกว่า 80 นาย ประกอบด้วยกำลังพลจากฐานส่งกำลังบำรุงทหารเรือตราดและหมู่เรือลาดตระเวนชายแดน การฝึกอบรมประกอบด้วยทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ พร้อมทั้งจัดฝึกภาคสนามในทะเลจากสถานการณ์จำลองจริง เพื่อให้ผู้เข้าร่วมได้เรียนรู้และฝึกฝนอย่างใกล้เคียงกับสถานการณ์จริงมากที่สุด

กิจกรรมครั้งนี้นับเป็นการพัฒนาขีดความสามารถของกำลังพลในพื้นที่รับผิดชอบของทัพเรือภาคที่ 1 โดยเฉพาะใน ฐตร.ทรภ.1 และหมู่เรือลาดตระเวนชายแดนที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ พร้อมทั้งส่งเสริมให้เกิดการประสานงานที่มีประสิทธิภาพระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยทางทะเลอย่างรวดเร็วและเป็นระบบ

ททท. ผนึก อสส. ส่งเสริมตลาดการท่องเที่ยว ลงนามความร่วมมือเพื่อผลักดันให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยเติบโตอย่างยั่งยืน

(13 มิ.ย. 68) การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) โดย นายนิธี สีแพร รองผู้ว่าการด้านสื่อสารการตลาด และองค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (ZPOT) โดย นางสมรัก  บุษปธำรง รองผู้อำนวยการองค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย (สายปฏิบัติการและพัฒนาธุรกิจ) ร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจความร่วมมือ “การดำเนินการประชาสัมพันธ์และส่งเสริมการตลาดการท่องเที่ยวประเทศไทย” เพื่อกระตุ้นตลาดการท่องเที่ยวในประเทศและผลักดันอุตสาหกรรมท่องเที่ยวให้เติบโตอย่างยั่งยืน ณ ห้องประชุมศูนย์อนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สวนสัตว์เปิดเขาเขียว จังหวัดชลบุรี

นายนิธี สีแพร รองผู้ว่าการด้านสื่อสารการตลาด ททท. กล่าวว่า การลงนามบันทึกความร่วมมือระหว่าง ททท. และ อสส. จะช่วยส่งเสริมการประชาสัมพันธ์และสนับสนุนกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวเชิงเรียนรู้และอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในสวนสัตว์ 6 แห่ง และ 1 โครงการ ทั่วประเทศไทย ประกอบด้วย สวนสัตว์เปิดเขาเขียว สวนสัตว์เชียงใหม่ สวนสัตว์นครราชสีมา สวนสัตว์อุบลราชธานี สวนสัตว์ขอนแก่น สวนสัตว์สงขลา และโครงการคชอาณาจักร จ.สุรินทร์ ซึ่งจะเป็นกลไกสำคัญในการสร้างแรงบันดาลใจและประสบการณ์ใหม่ให้กับนักท่องเที่ยว โดยทั้งสองหน่วยงานจะร่วมกันผลักดันกิจกรรมด้านประชาสัมพันธ์และและส่งเสริมการตลาดที่เชื่อมโยงการท่องเที่ยวกับการเรียนรู้  ทั้งการจัดกิจกรรมส่งเสริมความรู้ด้านอนุรักษ์ การพัฒนาเส้นทางท่องเที่ยวในพื้นที่สวนสัตว์ ตลอดจนการใช้สื่อประชาสัมพันธ์เพื่อเผยแพร่ข้อมูลและประชาสัมพันธ์ผ่านช่องทางต่าง ๆ เพื่อเพิ่มการรับรู้ในวงกว้างและกระตุ้นการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศอย่างต่อเนื่อง

นางสมรัก บุษปธำรง รองผู้อำนวยการองค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย (สายปฏิบัติการและพัฒนาธุรกิจ) กล่าวว่า ความร่วมมือกับ ททท. ครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมบทบาทของสวนสัตว์ในฐานะพื้นที่เรียนรู้ควบคู่กับการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ โดยมุ่งเน้นการประชาสัมพันธ์และสร้างสรรค์กิจกรรมที่ตอบโจทย์การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน เพิ่มมูลค่าให้กับประสบการณ์ของนักท่องเที่ยว พร้อมทั้งร่วมกันยกระดับมาตรฐานแหล่งท่องเที่ยวของไทยให้เชื่อมโยงกับแนวคิดด้านธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และความรับผิดชอบต่อสังคมในระยะยาว

ทั้งนี้ ภายหลังจากพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจความร่วมมือฯ ผู้แทนจากทั้งสองหน่วยงานได้ร่วมกันเยี่ยมชมสวนสัตว์เปิดเขาเขียวเพื่อสำรวจพื้นที่และศึกษาการบริหารจัดการสวนสัตว์ที่เน้นการอนุรักษ์และส่งเสริมการเรียนรู้ด้านธรรมชาติอย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวทางการพัฒนาและจัดกิจกรรมท่องเที่ยวที่ตอบโจทย์ความต้องการของนักท่องเที่ยวในยุคปัจจุบัน นอกจากนี้ยังมีการพูดคุยถึงการใช้เทคโนโลยีและสื่อดิจิทัลเพื่อขยายการเข้าถึงข้อมูลและเพิ่มช่องทางการประชาสัมพันธ์ให้ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลายมากขึ้น

บันทึกความเข้าใจความร่วมมือฯ นี้มีระยะเวลา 1 ปี โดยทั้งสองฝ่ายจะร่วมกันขับเคลื่อนกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวผ่านการแลกเปลี่ยนข้อมูล การผลิตเนื้อหาประชาสัมพันธ์ทางการท่องเที่ยวร่วมกัน รวมถึงการจัดกิจกรรมทั้งในรูปแบบออนไลน์และออฟไลน์ โดยเริ่มต้นด้วยสิทธิพิเศษสำหรับสมาชิก อ.ส.ท.คลับ จะได้รับส่วนลด 20% สำหรับการเข้าชมสวนสัตว์เปิดเขาเขียว, สวนสัตว์เชียงใหม่, สวนสัตว์ขอนแก่น, สวนสัตว์นครราชสีมา, สวนสัตว์อุบลราชธานี และสวนสัตว์สงขลา จากอัตราค่าเข้าชมผู้ใหญ่ (ชาวไทย) 200 บาท เหลือ 160 บาท จำกัดจำนวน 2,000 สิทธิ์ ขณะที่สมาชิกสโมสรผู้รักสวนสัตว์แห่งประเทศไทย (ผู้ถือบัตร Zoo Lover Society) สามารถซื้ออนุสารอ.ส.ท.ในราคาเล่มละ 70 บาท จาก 85 บาท (ไม่รวมค่าจัดส่ง) ในช่วงเดือนเมษายน - ธันวาคม 2568 จำกัดจำนวน 1,500 สิทธิ์ โดยสามารถสั่งซื้อได้ผ่านช่องทาง https://docs.google.com/forms/d/e/1FAIpQLSff0BDqIjhoXiwFYdcntDIRe45uDLnDxQokTOAQWI9o180bOw/viewform นอกจากนี้จะร่วมกันดำเนินกิจกรรมส่งเสริมการตลาดการท่องเที่ยวรูปแบบต่าง ๆ เพื่อกระตุ้นการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศ ขยายกลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพ และการจัดกิจกรรม CSR (Corporate Social Responsibility) สนับสนุนแนวคิดการท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบควบคู่ไปกับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างความยั่งยืนและความเข้มแข็งให้กับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของไทยในระยะยาว

กัมพูชาดันซีรีส์ ‘ลูกชายใต้คืนวันเพ็ญ’ เล่าชีวิตของ ‘ฮุน เซน-ภรรยา’ แทนละครไทย

(13 มิ.ย. 68) กระทรวงข่าวสารกัมพูชาออกคำสั่งให้สถานีโทรทัศน์ทุกช่องในประเทศยุติการออกอากาศละคร ภาพยนตร์ และเพลงไทยทุกประเภททันที เป็นหนึ่งในมาตรการตอบโต้ฝั่งไทย หลังไทยยังไม่เปิดด่านชายแดน โดยมาตรการดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของ 6 ข้อที่สมเด็จฯ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภาเสนอไว้ อาทิ แบนสินค้าไทย ดึงแรงงานกลับ และหนุนสินค้าเกษตรกัมพูชาแทน

ล่าสุด สถานีโทรทัศน์แห่งชาติกัมพูชา (TVK) เตรียมออกอากาศซีรีส์ 'ลูกชายใต้คืนวันเพ็ญ' แทนละครไทย โดยซีรีส์เรื่องนี้สร้างจากเรื่องจริงของสมเด็จฯ 'ฮุน เซน' และภรรยา 'บุนรานี' โดยมีเป้าหมายสร้างแรงบันดาลใจให้ชาวกัมพูชา

จากข้อมูลในเว็บไซต์กระทรวงสารสนเทศกัมพูชา ระบุว่า “ลูกชายใต้คืนวันเพ็ญ” ถ่ายทอดชีวิตสมเด็จฯ ฮุน เซน ในช่วงเริ่มสร้างครอบครัว ท่ามกลางยุควิกฤติของประเทศ เมื่อสูญเสียลูกชายคนหนึ่ง ทำให้ตัดสินใจลุกขึ้นมากอบกู้ชาติ จนนำไปสู่การปลดแอกกัมพูชาได้สำเร็จเมื่อวันที่ 7 มกราคม 2522

‘เจมส์ เรืองศักดิ์’ โพสต์ถึงเหตุเครื่องบินแอร์อินเดียตก ขนลุกซู่!!...ผู้รอดชีวิตเพียง 1 ราย นั่งหมายเลขเดียวกัน

(13 มิ.ย. 68) จากกรณีเที่ยวบิน AI171 ของสายการบิน Air India ตกหลังบินขึ้นจากเมืองอาห์เมดาบัด ประเทศอินเดีย เมื่อวันที่ 12 มิถุนายนที่ผ่านมา ล่าสุดพบว่าผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวของโศกนาฏกรรมนี้ นั่งอยู่ที่หมายเลข 11A

เหตุการณ์นี้ถือเป็นโศกนาฏกรรมทางอากาศรุนแรงที่สุดในรอบทศวรรษ เครื่องบินโบอิ้ง 787‑8 ดรีมไลเนอร์ ตกกระแทกอาคารแพทย์หลังขึ้นบินเพียง 625 ฟุต คร่าชีวิตผู้โดยสาร-ลูกเรือ 241 คน บาดเจ็บกว่า 60 คน ขณะที่ชายเชื้อสายอินเดีย-อังกฤษวัย 40 ปี ผู้รอดชีวิตเพียงหนึ่งเดียว นั่งที่ริมหน้าต่าง 11A และสามารถหนีออกจากซากเครื่องก่อนเกิดไฟลุกไหม้

เจมส์ เรืองศักดิ์ โพสต์บนโซเชียลมีเดียว่า “ขนลุกมาก เขานั่งหมายเลขเดียวกับผม 11A” ทำให้ย้อนเตือนเหตุการณ์ในปี 2541 ที่รอดชีวิตจากเที่ยวบิน TG261 ของการบินไทย ประสบอุบัติเหตุขณะพยายามร่อนลงจอดที่สนามบินสุราษฎร์ธานี ท่ามกลางสภาพอากาศแปรปรวนจากอิทธิพลของพายุจิล

โดยในครั้งนั้นมีผู้เสียชีวิต 101 คน และได้รับบาดเจ็บ 45 คน 'เจมส์ เรืองศักดิ์' เป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่รอดตายจากเหตุการณ์นั้น ส่วนสาเหตุของการตกไม่ได้มีการเปิดเผยรายละเอียดสู่สาธารณะมากนัก มีเพียงความพยายามระบุว่าสาเหตุการตกน่าจะมาจากการหลงสภาพการบินในการลงจอดเวลากลางคืนในสภาพอากาศที่มีลมแรง

ทั้งนี้ เจมส์ยังได้ย้ำว่าตลอด 20 กว่าปีที่ผ่านมา เหตุการณ์นั้นเปลี่ยนชีวิตเขาอย่างสิ้นเชิง เป็นเครื่องเตือนใจให้อยู่กับปัจจุบัน ใช้ชีวิตด้วยสติ และไม่ประมาท พร้อมปฏิเสธข่าวลือว่าเขาได้นั่งเครื่องบินฟรีตลอดชีวิต โดยยืนยันว่าไม่เคยมีสิทธิพิเศษใดๆ

'รักชนก-สหัสวัต' หอบหลักฐานร้อง ป.ป.ช. ฟัน 'สุชาติ' ปม ‘ประกันสังคม ’ซื้อตึกแพงเกินจริง

‘รักชนก-สหัสวัต’ ยื่นคำร้อง ‘ป.ป.ช.’ สอบ ‘สุชาติ’ พ่วงปลัดแรงงาน ปมซื้อตึกสกายไนน์แพงเกินจริง 2 เท่า ฟาด ‘นายกฯ’ ตั้งใครเป็น รมต. ควรเกรงใจประชาชน-ผู้ประกันตนด้วย

(13 มิ.ย.68) ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) นางสาวรักชนก ศรีนอก สส.กทม. พรรคประชาชน พร้อมด้วย นายสหัสวัต คุ้มคง สส.ชลบุรี พรรคประชาชน เข้ายื่นคำร้องต่อ ป.ป.ช. เพื่อขอให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณี นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เมื่อคราวดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน, นายบุญสงค์ ทัพชัยยุทธ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน เมื่อคราวดำรงตำแหน่งเลขาธิการสำนักงานประกันสังคม (สปส.) อนุมัติเงินกองทุนประกันสังคมลงทุนในกองทรัสต์ เพื่อกิจการเงินร่วมลงทุนไพรม์ แอสเซท (Prime Asset Private Equity Trust) กรณีโครงการอาคาร Cas Centre หรืออาคารสกายไนน์ (SKYY9 Centre)

และนายบุญชอบ สุทธมนัสวงษ์ อดีตปลัดกระทรวงแรงงานช่วงปี 2564 – 2567 ที่ดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการประกันสังคม (บอร์ดประกันสังคม) โดยตำแหน่ง ได้กระทำความผิดตามมาตรา 172 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต 2561 ฐานเป็นเจ้าพนักงานของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต

โดยนายสหัสวัต กล่าวว่า หลายเดือนที่ผ่านมาพวกตนติดตามการดำเนินงานของ สปส. พบปัญหาทุจริตหลายอย่าง เรื่องหนึ่งที่พี่น้องประชาชนให้ความสนใจคือการซื้อตึกสกายไนน์ เห็นผลการประเมินของผู้เชี่ยวชาญต่างๆ ออกมาแล้วยืนยันว่ามีความผิดปกติ วันนี้จึงมายื่นหนังสือต่อ ป.ป.ช. เพื่อยื่นสอบนายสุชาติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานในขณะนั้น รวมถึงองคาพยพทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับตึกนี้ เพราะเรื่องนี้ทำให้เกิดความเสียหายต่อผู้ประกันตนจำนวนมาก เงินซื้อตึกมาจากเงินที่ผู้ประกันตนทำงานและส่งเงินสมทบเข้ามาแต่กลับถูกนำไปใช้อย่างไม่สมเหตุสมผล วันนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่เราจะดำเนินการเรื่องนี้อย่างเต็มที่ โดยขอฝากคำถามถึงนายกรัฐมนตรีด้วยว่า จะตั้งคนแบบนี้ ที่มีคดีอยู่ใน ป.ป.ช. ทั้งคดีทุจริตและคดีค้ามนุษย์ เรียกรับผลประโยชน์จากขบวนการที่ส่งแรงงานไทยไปเป็นเหยื่อค้ามนุษย์ในต่างประเทศ ให้เป็นรัฐมนตรีต่อไปหรือไม่ ตอนนี้ประชาชนจับตาดูอยู่ว่าโผ ครม. จะไปในทิศทางไหน

ด้านนางสาวรักชนก กล่าวยืนยันว่า มูลค่าที่แท้จริงของตึกสกายไนน์กับราคาที่ สปส. ซื้อนั้นไม่สอดคล้องกัน หลังจากพวกตนออกมาพูดก็ถูกสุชาติฟ้อง อย่างไรก็ตามยืนยันมาตลอดว่า ทุกอย่างที่พูดไม่ได้ต้องการโจมตีใคร แต่ต้องการรักษาผลประโยชน์ของผู้ประกันตน โดยหลังจาก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ตั้งคณะกรรมการสอบฯ ผลออกมาเป็นที่ประจักษ์แล้วว่า มูลค่าของตึกอยู่ที่ประมาณ 3,000-3,200 ล้านบาท แต่ประกันสังคมกลับทุ่มเงินซื้อสูงถึง 7,000 ล้านบาท โดยเมื่อวันที่ 12 มิ.ย. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ส่งหนังสือให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน แล้ว ตนหวังอย่างยิ่งว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน จะจัดการเรื่องนี้อย่างรวดเร็ว นำคนผิดมาลงโทษ

ทั้งนี้ อาคารสกายไนน์เริ่มก่อสร้างตั้งแต่ปี 2540 ก่อนหยุดชะงักและถูกทิ้งร้างมานานหลายปี จนกระทั่งปี 2559 มีการเปลี่ยนแปลงเจ้าของกรรมสิทธิ์เป็นของบริษัทบริษัท AGRE101 จำกัด ปัจจุบันคือ บริษัท ไพรม์ ไนน์ เรียลเอสเตท จำกัด เริ่มปรับปรุงอาคารแต่ยังคงไม่สมบูรณ์และไม่มีการใช้งานที่ชัดเจน สำหรับประเด็นที่น่าสงสัยอย่างยิ่งคือเรื่องของมูลค่าอาคาร ในปี 2565 บริษัทที่ได้รับการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ประเมินอยู่ที่ 7,300 – 8,000 ล้านบาท แต่สมาคมผู้ประเมินค่าทรัพย์สินแห่งประเทศไทย กลับประเมินมูลค่าอาคารดังกล่าวไว้เพียง 3,400 – 3,800 ล้านบาท แตกต่างจากราคาที่สำนักงานประกันสังคมเข้าลงทุนอย่างมีนัยสำคัญ

โดยช่วงเดือนมีนาคมปี 2566 สำนักงานประกันสังคมได้เข้าลงทุนในกองทรัสต์เพื่อกิจการเงินร่วมลงทุนไพรม์ แอสเซท ซึ่งกองทรัสต์นี้ได้เข้าซื้อบริษัท AGRE101 จำกัด ที่ถือครองอาคารสกายไนน์ในราคา 6,900 ล้านบาท สูงกว่าราคาประเมินที่แท้จริงอย่างมาก การจัดซื้ออาคารดังกล่าวเกิดขึ้นขณะที่อาคารยังไม่เสร็จสมบูรณ์ ไม่มีผู้เช่าหรือรายได้จากการให้เช่าพื้นที่ ขัดต่อเป้าหมายที่ต้องการจะสร้างรายได้ในอนาคต นอกจากนี้ ยังขาดการประเมินความคุ้มค่าของการลงทุน (ROI) และการประเมินความเสี่ยงอย่างรอบด้าน

การดำเนินการดังกล่าวของสำนักงานประกันสังคม ส่งผลให้บริษัท ไพรม์ ไนน์ เรียลเอสเตท จำกัด ซึ่งเป็นเจ้าของเดิม ได้รับเงินจากการขายอาคารมูลค่า 6,900 ล้านบาท อาจมีการทุจริตเกิดขึ้นเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ภายในกระทรวงแรงงานและสำนักงานประกันสังคมของเจ้าหน้าที่และผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อกระทรวงแรงงาน สำนักงานประกันสังคม และกองทุนประกันสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อผู้ประกันตน เนื่องจากเป็นการจัดซื้อที่ไม่โปร่งใสและไม่คุ้มค่าในการลงทุน ส่งผลให้เงินจากกองทุนประกันสังคมที่มีไว้เพื่อดูแลสุขภาพและสวัสดิการของผู้ประกันตนถูกใช้ไปในโครงการที่ไม่สามารถให้ผลตอบแทนที่ชัดเจนได้

การนำเงินกองทุนประกันสังคมไปลงทุนดังกล่าว มี นายบุญสงค์ เลขาธิการ สปส. ขณะนั้น เป็นผู้ลงนาม โดยไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า ได้มีการตรวจสอบสัญญาการก่อตั้งทรัสต์ ไม่ได้สอบทานความถูกต้องของการประเมินทรัพย์สินและตรวจสอบข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับการลงทุนแต่ประการใด อาจมีการทุจริตเพื่อหาส่วนต่างของมูลค่าที่สูงเกินความเป็นจริง ทำให้กองทุนประกันสังคมได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรงจากผลการอนุมัติดังกล่าว

ขณะที่ นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ในขณะนั้น ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาที่มีหน้าที่ควบคุมบังคับบัญชากระทรวงแรงงานและสำนักงานประกันสังคม รับผิดชอบในการกำหนดนโยบาย เป้าหมาย และผลสัมฤทธิ์ของงานในกระทรวงแรงงานให้สอดคล้องกับนโยบายที่คณะรัฐมนตรีแถลงไว้ต่อรัฐสภา กลับปล่อยปละละเลยให้มีการลงทุนซื้ออาคารดังกล่าวที่อาจจะมีการทุจริตเกิดขึ้น เป็นการละเลยการปฏิบัติหน้าที่ตาม พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน 2534 มาตรา 20 ประกอบมาตรา 35 พ.ร.บ.ปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. 2545 เช่นเดียวกับ บุญชอบ สุทธมนัสวงษ์ ปลัดกระทรวงแรงงานในขณะนั้น ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชารองจาก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ปล่อยปละละเลยให้มีการลงทุนซื้ออาคารดังกล่าวที่อาจจะมีการทุจริตเกิดขึ้น เป็นการละเลยการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย

ด้วยเหตุนี้ จึงขอให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ดำเนินการไต่สวนตามรัฐธรรมนูญมาตรา 234 ประกอบ พ.ร.ป. ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต 2561 มาตรา 28 (1) และมาตรา 30 ว่านายสุชาติ, นายบุญชอบ และ นายบุญสงค์ ได้ดำเนินการ หรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับการดำเนินการ ให้เกิดผลเสียต่อกองทุนประกันสังคม ตลอดจนไต่สวนหาข้อเท็จจริงว่า มีบุคคลอื่นเกี่ยวข้องกับการให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดเพื่อจูงใจ นายสุชาติ, นายบุญชอบ และนายบุญสงค์ ทุจริตต่อหน้าที่ หรือจงใจปฏิบัติหน้าที่ หรือใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ หรือกฎหมาย ด้วยหรือไม่

‘ถนอม’ ยก ‘พีระพันธุ์’ นักการเมืองที่ควรอนุรักษ์ ชี้รทสช.วุ่น เหตุคนกลุ่มหนึ่งพลาดเงินหนุนกลุ่มทุนพลังงาน

นายถนอม อ่อนเกตพล ผู้จัดรายการ 'ฟังชัด ๆ ถนอมจัดให้' โพสต์เฟซบุ๊กถึงนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงาน รวมถึงความขัดแย้งภายในพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ว่า ...

'พีระพันธุ์' นักการเมืองที่ไม่น่ารัก แต่ควรอนุรักษ์

ข่าว สส.พรรค รทสช.เคลื่อนไหวปลดคุณพีระพันธุ์ ออกจากหัวหน้าพรรค และรัฐมนตรีพลังงาน เสมือนหนึ่งว่า คุณพีระพันธุ์เป็นคนไม่ดี เป็นอันตรายต่อประเทศประชาชนที่ต้องกำจัดให้พ้นไปจากวิถีการเมืองน้ำเน่า

'พีระพันธุ์' ที่ผมรู้จักเป็นคนอย่างไร 

1.คุณพ่อเป็นทหารเคยดูแลพลังงานของประเทศ อยากเป็นนักบินแต่มีปัญหาเรื่องสายตาจึงมาเรียนนิติศาสตร์เป็นผู้พิพากษา เหล่านี้ อาจจะหล่อหลอมให้คุณพีระพันธุ์เป็นคนที่มีทั้งระเบียบ วินัย และเคร่งครัดในกฎระเบียบ ตรงไปตรงมา ค่อนข้างจะขวานผ่าซาก 

2.คุณพีระพันธุ์ เป็นกรรมาธิการงบประมาณที่ทหารทุกเหล่าทัพต้องระมัดระวังในการชี้แจง เพราะเป็นคนที่รู้เรื่องกองทัพจริงคนหนึ่ง   

3.ครอบครัวคุณพีระพันธุ์ เป็นครอบครัวที่มีเงิน มีทรัพย์สินมั่งคั่งมากพอที่จะเลี้ยงดู สส.ในสังกัดให้พอใจอยู่ด้วยได้ แต่ไม่ทำ

4. คุณพีระพันธุ์ มีความเป็นตัวตนแบบเฉพาะตัวที่มีจุดยืนและเป้าหมายในการทำงานการเมืองในรูปแบบที่ตนเองต้องการตามอุดมการณ์คิดของตัวเอง จึงมาร่วมมือกับลุงตู่ สร้างพรรคในอุดมการณ์ 

ด้วยคุณสมบัติ 4 ข้อดังกล่าว จึงทำให้นักการเมืองจำนวนหนึ่งเข้ามาร่วมสังกัด อาศัยบารมีลุงตู่และคุณพีระพันธุ์เข้าสภากันหลายคน 

โดยจำนวนหนึ่งคาดหวังจะได้รับการสนับสนุนเงินจากทุนพลังงาน แต่พอถึงเวลาไม่ได้มีเงินจากทุนพลังงานทั้งช่วงเลือกตั้งและหลังเลือกตั้ง จึงทำให้นักการเมืองกลุ่มหนึ่งผิดหวัง  

ต่อเมื่อมีคนบางคนตั้งโต๊ะเป็นเจ้ามือคอยดูแล และมีกลุ่มทุนพลังงานเดิมจะเข้ามาหนุนในนามพรรคการเมืองใหม่ที่จัดตั้งขึ้นมา จึงพากันเอาใจออกห่าง 

ปัญหาของคุณพีระพันธุ์เวลานี้ คือ 
1. ไม่เอาใจทุนพลังงาน ซึ่งมีผลประโยชน์มหาศาล 
2. ไม่เอาใจเลี้ยงดู สส. เหมือนเจ้ามือบางคน 
3. ขออะไรส่วนตัวก็ไม่ได้  

ทั้งหมดนี้ จึงเป็นอุปสรรคในการทำงานการเมืองของนักการเมืองบางคน 
จึงหาทางออกจากพรรค 

ตรงกันข้ามกับคุณชัชวาล คงอุดม หรือ 'ชัช เตาปูน' และลูกชาย ชื่นชอม คงอุดม คนที่มีความมั่งคั่งเหลือพอที่จะให้การช่วยเหลือคน โดยไม่ต้องขอใครกิน ยังให้การสนับสนุนคุณพีระพันธุ์อย่างเต็มที่ 

คุณชัชวาล เล่าให้คุณต้นทางท็อบนิวส์ฟังว่า....ตอนคุณพีระพันธุ์สู้คดีค่าโง่โฮปเวลที่ศาลปกครองตัดสินแล้วให้ การรถไฟ กระทรวงคมนาคม ชดใช้ค่าโง่กว่า 2 หมื่นล้านพร้อมดอกเบี้ยในสมัยลุงตู่ มีคนเสนอให้คุณพีระพันธุ์ 1 หมื่นล้าน ให้หยุดทำเรื่องนี้ แต่คุณพีระพันธุ์ไม่หยุด สู้คดีจนชนะคนไทยไม่ต้องจ่ายค่าโง่ที่นักการเมืองคนหนึ่งก่อไว้แม้แต่บาทเดียว 

นักการเมืองแบบนี้ ถ้าคนไทยไม่อนุรักษ์พีระพันธุ์ไว้ แล้วเราจะให้มีนักการเมืองพันธุ์ไหนมาบริหารประเทศ 

ผมไม่ได้รู้จักคุณพีระพันธุ์ส่วนตัว แต่ผมแน่ใจว่า ... 

ถ้าผมจะไปขอผลประโยชน์สนับสนุนส่วนตัวจากคุณพีระพันธุ์บ้างก็คงไม่ได้ และบอกเลยว่าอย่าแม้จะคิด แต่ถ้าเป็นประโยชน์เพื่อชาวบ้าน ผมแน่ใจว่า คุณพีระพันธุ์ ไม่ละเลย อย่างเช่น 'ชุดสุดซอย' ที่นำโดยคุณโอ๋ ฐิติภัสร์ 

ถ้าพีระพันธุ์ไม่ใช่ของแท้ ลุงตู่คงไม่เอามาเป็นที่ปรึกษาและมาเป็นเลขาธิการนายกรัฐมนตรีใกล้ชิดติดตัว ทั้งที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน    

ดังนั้น สิ่งที่ผมกล่าวมาทั้งหมดนี้ ไม่ประสงค์จะให้ใครเห็นด้วย ไม่ประสงค์จะยกย่องใครและทับถมใครเป็นการส่วนตัว แต่หากผมไม่ปกป้องคนที่ทำประโยชน์ส่วนรวมให้ประเทศชาติแล้ว แล้วเราจะปกป้องประเทศชาติไปทำไม ปล่อยให้เขมรมันยึดไปเลย 

และถ้าเราไม่ปกป้องนักการเมืองดี ๆ ไว้ แล้วเราจะมีคนดีๆที่ไหนเข้ามาทำงานการเมืองเพื่อประชาชน และถ้าเราไม่รักษานักการเมืองดี ๆ ไว้ ก็เท่ากับเราทำลายคนดี ๆ และทำลายตัวเองไปพร้อม ๆ กัน

'สหพันธ์กุนขแมร์' สั่งแบนนักมวยไทย ประกาศห้ามขึ้นชกในกัมพูชา เริ่มมีผลวันนี้

(13 มิ.ย. 68) กระทรวงสารสนเทศของกัมพูชาออกแถลงการณ์ว่า สหพันธ์มวยกุนขแมร์ (Khmer Kun Boxing Federation) ได้ออกประกาศสำคัญแจ้งไปยังสถานีโทรทัศน์ สโมสร และพันธมิตรผู้จัดแข่งขันในประเทศกัมพูชา ให้ยุติการจัดคู่แข่งขันระหว่างนักมวยไทย (ทั้งชายและหญิง) ในรายการกุนขแมร์ที่จัดขึ้นในประเทศกัมพูชา โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันศุกร์ที่ 13 มิถุนายน 2568 เป็นต้นไป

แถลงการณ์ของสหพันธ์ฯ ระบุว่า “มติดังกล่าวเป็นผลมาจากการประชุมคณะกรรมการ ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อระงับการจัดคู่แข่งขันทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับนักมวยไทยในทุกรายการแข่งขันภายใต้การกำกับดูแลของสหพันธ์ฯ ในกัมพูชา โดยเรียกร้องให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ทั้งนักกีฬา คณะกรรมการจัดงาน ผู้ตัดสิน ผู้ฝึกสอน และประชาชนทั่วไป โปรดปฏิบัติตามด้วยความรับผิดชอบอย่างสูงยิ่ง”

โดยการประกาศครั้งนี้มีขึ้นท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชา ซึ่งคาดว่าการตัดสินใจของสหพันธ์กุนขแมร์ที่จะหยุดนำนักมวยไทยเข้าร่วมแข่งขันในประเทศตนเองนี้ คาดว่าจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อนักมวยไทยหลายคนที่เคยเดินทางไปชกและสร้างชื่อเสียงในสังเวียนกัมพูชา รวมถึงอาจเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ของวงการมวยในภูมิภาคนี้

ทหารไทย-ลาว ประชุมร่วมกันแก้ไขปัญหายาเสพติด และการกระทำผิดกฎหมายอื่นๆ ตามแนวชายแดน         

กองกำลังสุรศักดิ์มนตรี/ชุดประสานงานประจำพื้นที่ชายแดนไทย – ลาว (จังหวัดหนองคาย – นครหลวงเวียงจันทน์) ร่วมกับ กองบัญชาการทหาร นครหลวงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว จัดการประชุมระหว่างชุดประสานงานประจำพื้นที่ชายแดนไทย - ลาว เพื่อขับเคลื่อนงานด้านการป้องกันและปราบปรามขบวนการค้ายาเสพติด และการกระทำผิดกฎหมายอื่นๆ ตามบริเวณแนวชายแดนไทย - ลาว  

กองกำลังสุรศักดิ์มนตรี/ชุดประสานงานประจำพื้นที่ชายแดนไทย – ลาว (จังหวัดหนองคาย - นครหลวงเวียงจันทร์) ร่วมกับ กองบัญชาการทหาร นครหลวงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว จัดการประชุมระหว่างชุดประสานงานประจำพื้นที่ชายแดนไทย - ลาว โดยมี พันเอก จักรพงษ์  โพธิ์นาแค รองผู้บัญชาการกองกำลังสุรศักดิ์มนตรี เป็นผู้แทน พลตรี สุคนธรัตน์ ชาวพงษ์  ผู้บัญชาการกองกำลังสุรศักดิ์มนตรี/หัวหน้าชุดประสานงานประจำพื้นที่ชายแดนไทย – ลาว (จังหวัดหนองคาย – นครหลวงเวียงจันทน์) เป็นประธาน (ฝ่ายไทย) และ พันเอก บุนลิด สีสุพอน หัวหน้ากองบัญชาการทหาร นครหลวงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว/หัวหน้าชุดประสานงานประจำพื้นที่ชายแดนลาว - ไทย (นครหลวงเวียงจันทน์ - จังหวัดหนองคาย)เป็นประธาน (ฝ่ายลาว) พร้อมด้วย ผู้บังคับหน่วยป้องกันชายแดน กองกำลังสุรศักดิ์มนตรี และหน่วยความมั่นคงในพื้นที่ (ฝ่ายไทย) และ (ฝ่ายลาว) เข้าร่วมประชุมฯ ณ ห้องเกียรติยศ ด่านสากลสะพานมิตรภาพลาว-ไทย แห่งที่ 1 นครหลวงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว 

โดยการประชุมในครั้งนี้เพื่อหารือข้อราชการ และการบูณาการป้องกันการกระทำผิดกฎหมายตามแนวชายแดน แลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร การสกัดกั้นการลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย การลักลอบขนส่งยาเสพติดข้ามแดน และป้องปรามการกระทำผิดกฎหมายอื่น ๆ ตามแนวชายแดนไทย - ลาว อีกทั้งยังได้ประสานการจัดตั้งจุดประสานงานชายแดน ระหว่าง อำเภอของไทย กับ เมืองของ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และ การดำเนินการโครงการหมู่บ้านเข้มแข็งคู่ขนานตามแนวชายแดน พร้อมทั้ง การขยายผลโครงการทหารพันธุ์ดี เพื่อขยายผลความมั่นคงทางอาหารในพื้นที่ประเทศเพื่อนบ้าน รวมไปถึงการจัดการลาวตระเวนร่วม และการฝึกร่วมในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยทางน้ำให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพื่อให้สามารถประสานงานกันได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ตอบสนองต่อการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้ทันเวลา 

ผู้บัญชาการฐานทัพเรือสัตหีบให้โอวาทและมอบของบำรุงขวัญแก่ทีมฟุตบอลกองทัพเรือ ก่อนร่วมการแข่งขันกีฬากองทัพไทย ประจำปี 2568

เมื่อวันที่ (12 มิ.ย. 68) พลเรือโท วัชระ พัฒนรัฐ ประธานกรรมการฟุตบอลกองทัพเรือ และผู้บัญชาการฐานทัพเรือสัตหีบ ได้ให้โอวาทและมอบของบำรุงขวัญแก่ทีมฟุตบอลกองทัพเรือ เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจก่อนเข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลในการแข่งขันกีฬากองทัพไทย ประจำปี 2568 ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 10–27 มิถุนายน 2568

ในการนี้ พลเรือตรี อโศก ศรีสวัสดิ์ ผู้จัดการทีมฟุตบอลกองทัพเรือ และนาวาโท นักรบ บางพระ ผู้ช่วยหัวหน้าผู้ฝึกสอน เป็นผู้แทนทีมฟุตบอลเข้ารับโอวาท ณ ห้องรับรอง กองบัญชาการฐานทัพเรือสัตหีบ

การแข่งขันกีฬากองทัพไทยนับเป็นเวทีสำคัญในการเสริมสร้างความสามัคคีและศักยภาพของกำลังพลกองทัพไทย โดยทีมฟุตบอลกองทัพเรือมีความมุ่งมั่นที่จะทำผลงานอย่างเต็มที่เพื่อสร้างชื่อเสียงให้แก่กองทัพต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top