Tuesday, 24 June 2025
NEWS FEED

ศูนย์ฝึกทหารใหม่ กรมยุทธศึกษาทหารเรือ จัดกิจกรรมพายเรือกระเชียงในทะเล เพื่อฝึกความเป็นชาวเรือให้แก่น้องเล็กของกองทัพเรือ

เมื่อวันที่ (11 มิ.ย. 68) น.อ.ฐิติวัชร ภัทรเกียรติวงศ์ รองผู้บังคับการศูนย์ฝึกทหารใหม่ (สายงานการศึกษา) นำทหารใหม่ ผลัดที่ 1/68 จำนวน 120 นาย ทำการฝึกพายเรือกระเชียงในทะเล โดยมอบแนวทางการฝึกในการสร้างความเป็นชาวเรือ คือ "ความอดทน ความสามัคคี เสมือนการสร้างเหล็กในคน" ณ บริเวณท่าเรืออ่าวเกล็ดแก้ว โรงเรียนชุมพลทหารเรือ กรมยุทธศึกษาทหารเรือ ต.บางเสร่ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี

การจัดกิจกรรมในครั้งนี้ อยู่ภายใต้กรอบของความปลอดภัยตามนโยบายผู้บัญชาการทหารเรือที่กำหนดให้เป็นปีแห่งความปลอดภัยของกองทัพเรือ “NAVY-SAFETY 2025”

ตม.ดอนเมือง จับกุมชาวจีนตามหมายจับคดีฉ้อโกงกว่า 200 ล้านบาท ขณะเตรียมหลบหนีออกนอกประเทศ

เมื่อวานนี้ (12 มิ.ย. 68) เวลา 05.00 น. ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.ภาณุมาศ บุญญลักษม์ ผบช.สตม., พล.ต.ต.ธนิต ไทยวัชรามาศ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.เชิงรณ ริมผดี ผบก.ตม.2, พ.ต.อ.วีรยศ การุณยธร รอง ผบก.ตม.2 และ พ.ต.อ.อติศักดิ์ ปัญญา ผกก.ด่าน ตม.ทอ.ดอนเมือง ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่สืบสวนปราบปรามชุดที่ 2 ด่าน ตม.ทอ.ดอนเมือง กวดขันจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับศาลแขวงเชียงราย ตามที่ได้รับเบาะแสว่าจะมีการเดินทางออกนอกประเทศของผู้ต้องหารายนี้ ด้วยสายการบินไลออนแอร์ เที่ยวบิน SL100 ปลายทางประเทศสิงคโปร์

จากการวางกำลังตรวจสอบบริเวณโถงผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศ จนกระทั่งเวลาประมาณ 06.00 น. เจ้าหน้าที่ตรวจพบชายชาวจีนต้องสงสัย จึงได้แสดงตนเป็นเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง พร้อมแสดงหลักฐานและตรวจสอบจนแน่ชัดว่าบุคคลดังกล่าวตรงตามหมายจับ ซึ่งให้การยอมรับว่าเป็นบุคคลตามหมายจับจริงและไม่เคยถูกจับในคดีนี้มาก่อน

ผู้ต้องหาคือ MR. HUANG (นายหวง) อายุ 39 ปี สัญชาติจีนเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลแขวงเชียงราย ที่ 50/2568 ลงวันที่ 16 พ.ค.68 ในข้อหากระทำความผิดฐาน “ฉ้อโกง”

ในระหว่างการจับกุม ผู้ต้องหาสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ ตม.ทอ.ดอนเมือง จึงมอบหมายให้ จ.ส.ต.สุวพันธ์ อุตส่าห์ ผบ.หมู่ ด่าน ตม.ทอ.ดอนเมือง ทำหน้าที่เป็นล่ามแปลสิทธิและพฤติการณ์ในการกระทำความผิดให้ผู้ต้องหารับทราบ

จากการสอบสวนเบื้องต้นพบว่า คดีดังกล่าวเริ่มต้นจากการที่ผู้เสียหายชาวจีน 2 ราย มอบหมายให้ทนายเข้าแจ้งความที่ สภ.แม่สาย จ.เชียงราย เมื่อวันที่ 30 เม.ย.68 โดยเหตุเกิดเมื่อวันที่ 23 เม.ย.68 ขณะทั้งสองฝ่ายได้พบกันที่อำเภอแม่สาย เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับธุรกิจเหรียญดิจิทัล (Bitcoin) และได้มีการโอนเหรียญ Bitcoin จำนวน 2 ครั้ง รวมมูลค่าประมาณ 200 ล้านบาท เข้ากระเป๋าเงินดิจิทัลของผู้ต้องหา แต่ผู้เสียหายกลับไม่ได้รับเงินตอบแทนใด ๆ จึงเข้าแจ้งความดำเนินคดีในข้อหาฉ้อโกง

หลังจากการจับกุม เจ้าหน้าที่ ตม.ทอ.ดอนเมือง ได้ประสานส่งตัวผู้ต้องหาให้ สภ.แม่สาย เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมายต่อไป

‘ปธน.มาครง’ ของฝรั่งเศส เสนอช่วยปมพิพาทชายแดน ยินดีจัดหาเอกสารให้ ‘ไทย-กัมพูชา’ หากต้องการ

(12 มิ.ย. 68) ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง ของฝรั่งเศส แสดงความพร้อมที่จะช่วยอำนวยความสะดวกในการจัดหาเอกสารให้แก่ทั้งฝ่ายไทยและกัมพูชา หากจำเป็น เพื่อสนับสนุนการแก้ไขปัญหาชายแดนระหว่างสองประเทศ โดยเปิดเผยระหว่างการหารือกับนายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ผู้นำกัมพูชา ที่เมืองนีซ ประเทศฝรั่งเศส เมื่อเร็ว ๆ นี้

ข้อมูลดังกล่าวเปิดเผยโดยนายฌอง-ฟรองซัวส์ ตัน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศและความร่วมมือระหว่างประเทศของกัมพูชา ระหว่างแถลงข่าวที่สนามบินนานาชาติพนมเปญ เมื่อช่วงเช้าวันที่ 12 มิถุนายน โดยระบุว่าการพบปะกับผู้นำฝรั่งเศสครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของภารกิจเยือนฝรั่งเศสเพื่อเข้าร่วมการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยเรื่องมหาสมุทร ครั้งที่ 3

นายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ได้ย้ำจุดยืนของกัมพูชาในการแก้ปัญหาชายแดนกับไทยผ่านแนวทางสันติวิธี โดยเสนอ 4 แนวทางหลัก ได้แก่ การรักษามิตรภาพกับไทย, การเสนอข้อพิพาทปราสาทและพื้นที่บางส่วนให้ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ), การร่วมมือผ่านคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) และการใช้กลไกทวิภาคีเพื่อรักษาความสัมพันธ์อย่างยั่งยืน

นายกฯ กัมพูชา ชี้แจงว่า การยกประเด็นข้อพิพาทชายแดนในการหารือกับผู้นำฝรั่งเศสครั้งนี้ มีเป้าหมายเพื่อชี้แจงจุดยืนของกัมพูชา ไม่ใช่เพื่อขอการสนับสนุนใดเป็นพิเศษ อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดีมาครงได้แสดงความพร้อมในการช่วยเหลือด้านเอกสารหรือข้อมูลทางประวัติศาสตร์ หากมีความจำเป็น เพื่อส่งเสริมแนวทางแก้ไขอย่างสันติ

ทั้งนี้ การหารือดังกล่าวเกิดขึ้นระหว่างการเข้าร่วมประชุมระหว่างประเทศที่เมืองนีซของผู้นำกัมพูชา ระหว่างวันที่ 9-11 มิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นเวทีหนึ่งที่กัมพูชาใช้ในการสื่อสารจุดยืนทางการทูตต่อเวทีโลกเกี่ยวกับข้อพิพาทชายแดนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

สภากาชาดไทย ยกย่องเชิดชูเกียรติผู้ทำคุณประโยชน์ ในโอกาส 3 ปีตั้ง ‘สำนักงานยุวกาชาดและอาสาสมัครกาชาด’

สำนักงานยุวกาชาดและอาสาสมัครกาชาด สภากาชาดไทย จัดงานวันคล้ายวันสถาปนาสำนักงานยุวกาชาดและอาสาสมัครกาชาด ประจำปี 2568 ในโอกาสครบรอบ 3 ปี “เชิดชูเกียรติอาสาสมัครสภากาชาดไทย SPIRIT OF SUCCESS” ซึ่งตรงกับวันที่ 2 มิถุนายนของทุกปี 

เมื่อวันที่ (11 มิ.ย. 68)นายเตช บุนนาค เลขาธิการสภากาชาดไทย พร้อมด้วยคณะผู้บริหารสภากาชาดไทย ร่วมเป็นเกียรติและแสดงความยินดีใน พิธีมอบโล่ประกาศเกียรติคุณแก่อาสาสมัครกาชาดผู้ทำคุณประโยชน์ ในโอกาสครบรอบ 3 ปีของการสถาปนาสำนักงานยุวกาชาดและอาสาสมัครกาชาด ณ ศาลาพระเกี้ยว จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กรุงเทพมหานคร 

จากนั้น นางสุนันทา ศรอนุสิน ผู้อำนวยการสำนักงานยุวกาชาดและอาสาสมัครกาชาด สภากาชาดไทยบรรยายพิเศษถึงความสำเร็จของการดำเนินงานเพื่อส่งเสริมบทบาทของอาสาสมัครกาชาดให้มีส่วนร่วมในการทำประโยชน์แก่ประชาชน สังคม และประเทศชาติ พร้อมกันนี้ยังได้กล่าวขอบคุณและส่งมอบกำลังใจให้แก่อาสาสมัครกาชาด ชมรมอาสาสมัครกาชาด และภาคีเครือข่าย ที่ร่วมกันปฏิบัติงานมาอย่างเข้มแข็งตลอดระยะเวลา 3 ปี โดยมีอาสาสมัครกาชาดในระบบอาสาสมัครกาชาดจากทั่วประเทศ จำนวน 134,378 คน และกิจกรรม/โครงการเพื่อประชาชน และกลุ่มเปราะบางบนระบบ จำนวน 41,699 รายการ พร้อมทั้งมอบวิสัยทัศน์แนวทางการทำงาน และประกาศเจตนารมณ์ในการขับเคลื่อนงานอาสาสมัครกาชาด ให้อยู่เคียงคู่สภากาชาดไทยสืบไป

โอกาสนี้ นายเตช บุนนาค เลขาธิการสภากาชาดไทย ประธานในพิธี ได้กล่าวขอบคุณ และมอบกำลังใจแก่อาสาสมัครกาชาด ที่ร่วมกันขับเคลื่อนงานอาสาสมัครกาชาดให้สำเร็จเป็นรูปธรรม

เนื่องในโอกาสวันสถาปนาสำนักงานยุวกาชาดและอาสาสมัครกาชาด ครบรอบปีที่ 3 โดยวัตถุประสงค์ในการจัดงานครั้งนี้เพื่อเป็นการบอกเล่าเรื่องราวที่น่าภาคภูมิใจอย่างยิ่ง ในการปฏิบัติงานของอาสาสมัครกาชาดที่ทุ่มเท มุ่งมั่น ตั้งใจ ที่จะดูแลช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยากและปฏิบัติภารกิจเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชน สำนักงานยุวกาชาดและอาสาสมัครกาชาด ได้ตระหนักถึงความสำคัญยิ่งของอาสาสมัครกาชาด ถือเป็นการยกย่องเชิดชูเกียรติ และแสดงความขอบคุณอาสาสมัครสภากาชาดไทย และภาคีเครือข่ายที่อุทิศตนทำงานจิตอาสาเพื่อสังคมด้วยความมุ่งมั่นและเสียสละ

โดยในงานจัดให้มีกิจกรรมจากชมรมอาสายุวกาชาดและอาสาสมัครกาชาด เพื่อเป็นการจัดแสดงผลงานของอาสาสมัครทั่วประเทศ ภายในงานมีผู้เข้ารับการเชิดชูเกียรติ จำนวน 363 คน รวม 5 ประเภท ดังต่อไปนี้
1. รางวัลส่งเสริมมาตรฐานชมรมอาสายุวกาชาด
2. รางวัลเชิดชูเกียรติกาชาดหัวใจครู
3. รางวัลวิทยากรแกนนำดีเด่น
4. โล่ประกาศเกียรติคุณหน่วยงานภาคีเครือข่ายโครงการอาสาสมัครป้องกันไข้เลือดออกเพื่อชุมชนจังหวัดตราด ด้วยการบริหารระบบอาสาสมัครทางไกล
5.เข็มผู้อำนวยการฝึกอบรมอาสายุวกาชาด 

โดยงานครั้งนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของสำนักงานยุวกาชาดและอาสาสมัครกาชาด ในการสร้างพลังอาสาสมัครให้เป็นกำลังสำคัญของสภากาชาดไทย มุ่งสร้างและพัฒนา 'อาสาสมัคร' ให้เป็น 'อาสาสมัครที่พึ่งพาได้' ของสังคมและประเทศชาติต่อไป

เปิดค่าน้ำ-ไฟ ‘รัฐสภา’ แพงลิ่ว แม้ปิดสมัยประชุม เผยงบค่าน้ำ-ไฟ สูงถึงปีละกว่า 174 ล้านบาท

เปิดค่าน้ำ-ไฟ 'รัฐสภา' แพงลิ่วแม้ปิดประชุมสภา ครึ่งแรกปีงบ 2568 ค่าน้ำประปาสูงถึง 5 ล้านบาท ก.พ.มีแค่ 28 วันแต่ค่าน้ำสูง 1 ล้านแซงเดือนอื่น ด้าน สส.ปชน. ชี้งบค่าน้ำ-ไฟสภาตกปีละกว่า 174 ล้านบาท เปิดแอร์หนาวเหน็บเหมือนอยู่ขั้วโลก ปรับอุณหภูมิไม่ได้ ในขณะที่ชาวบ้านต้องสู้ค่าไฟแพง

(12 มิ.ย. 68) ผู้สื่อข่าวรายงานจากรัฐสภา ถึงข้อมูลสถิติการใช้น้ำประปา ของสำนักเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ปีงบประมาณ 2568 ซึ่งกำหนดสัดส่วนค่าใช้จ่ายของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เป็นร้อยละ 70 และสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา เป็นร้อยละ 30

โดยรัฐสภาทั้งในส่วนของสำนักเลขาธิการสภาฯ และ สำนักเลขาธิการวุฒิสภา มียอดใบแจ้งหนี้น้ำประปาตั้งแต่เดือน ต.ค.67-เม.ย. 68 รวม 330,395 หน่วย เป็นเงินทั้งสิ้น 5,646,358.97 บาท แบ่งเป็น เดือน ต.ค. 67 มียอดใช้น้ำตามใบแจ้งหนี้ 39,348 หน่วย เป็นเงิน 672,544.73 หน่วย

เดือน พ.ย.67 ยอดใช้น้ำ 35,215 หน่วย เป็นเงิน 601,964.67 บาท เดือน ธ.ค.67 ยอดใช้น้ำ 44,493 หน่วย เป็นเงิน 760,406.93 บาท

เดือน ม.ค.68 ยอดใช้น้ำ 51,208 หน่วย เป็นเงิน 1,033,300.58 บาท เดือน ก.พ. 68 ยอดใช้น้ำ 60,473 หน่วย เป็นเงิน 1,033,300.58 บาท เดือน มี.ค.68 ยอดใช้น้ำ 46,817 หน่วย เป็นเงิน 800,094.34 บาท และเดือน เม.ย. 68 ยอดใช้น้ำ 52,841 หน่วย เป็นเงิน 902,967.39 บาท

อย่างไรก็ตามเป็นที่น่าสังเกตว่าเดือน ก.พ.มี 28 วัน แต่ค่าน้ำประปาของรัฐสภากลับพุ่งสูงถึง 1 ล้านกว่าบาท โดยในส่วนสำนักงานเลขาธิการสภาฯ ที่รับผิดชอบค่าใช้จ่ายร้อยละ 70 นั้น มียอดการใช้น้ำรวม 231,276.50 หน่วย เป็นเงิน 3,952,451.28 บาท ขณะที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ที่รับผิดชอบค่าใช้จ่ายร้อยละ 30 มียอดใช้น้ำรวม 99,118.50 หน่วย เป็นเงิน 1,693,907.69 บาท

ขณะที่ก่อนหน้านี้ นายธัญธร ธนินวัฒนากร สส.กทม.พรรคประชาชน ได้ออกมาเปิดเผยตัวเลขค่าไฟของรัฐสภา ซึ่งตกเดือนละ 12-14 ล้านบาท โดยระบุว่าการใช้ไฟฟ้าของรัฐสภามีปัญหา ตั้งแต่เรื่องแอร์เย็นจัด ปรับไม่ค่อยได้ ในขณะที่คนไทยต้องประหยัดไฟ ปรับแอร์ขึ้นสัก 1 องศา หรือลดเวลาเปิดเครื่องใช้ไฟฟ้า เพราะค่าไฟในแต่ละเดือนไม่ต่างจากภาระผูกพันหนักอึ้ง แต่ที่รัฐสภาค่าไฟฟ้ายังคงสูงลิ่ว แม้ในช่วงปิดสมัยประชุม ที่น่าจะเป็นช่วงเวลาที่การใช้พลังงานลดลง อย่างน้อยควรลดลงจากห้องประชุมและห้องทำงานส่วนตัวส.ส.และส.ว.กว่า 700 ห้องไม่ได้เปิดใช้งานเต็มที่ แต่ตัวเลขกลับแทบไม่ขยับลงอย่างที่ควรจะเป็นหลายห้องภายในอาคารแอร์หนาวจัดเหมือนอยู่ขั้วโลก ระบบปรับอุณหภูมิใช้งานได้ไม่เต็มที่ หลายจุดควบคุมอุณหภูมิไม่ได้ หรือถูกล็อกไว้ ค่าไฟยังสูง แม้ไม่มีการประชุมหรือกิจกรรมหลักในบางช่วง

นายธัญธร ยังตั้งคำถามว่า เกิดอะไรขึ้นกับระบบการบริหารจัดการพลังงานในอาคารรัฐสภาใหม่ ที่มีงบประมาณก่อสร้างกว่า 12,000 ล้านบาท เหตุใดระบบควบคุมอุณหภูมิถึงไม่มีความยืดหยุ่นตามการใช้งานจริง ใครรับผิดชอบเรื่องนี้ และมีการตรวจสอบความคุ้มค่าของการใช้ไฟหรือไม่ การใช้พลังงานในหน่วยงานของรัฐ ควรเป็นต้นแบบของความประหยัด มีประสิทธิภาพ และยึดโยงกับความรับผิดชอบต่อสาธารณะ อาจถึงเวลาแล้วที่ประชาชนควรขอใบเสร็จค่าไฟ พร้อมคำอธิบายสักหน่อยว่า ความเย็นนี้คุ้มกับเงินแค่ไหน

นายธัญธร ยังได้เปิดเผยบิลค่าไฟรัฐสภา โดยรอบบิลเดือน ธ.ค. 67 เป็นเงิน 12,303,509 บาท เทียบกับปีก่อนหน้า 12,135,868.20 ล้านบาท เดือน ม.ค. 68 จำนวน 12,712,231.30 ล้านบาท เทียบกับปีก่อนหน้า 14,421,496.40 บาท เดือน ก.พ. 68 อยู่ที่ 12,241,878.69 บาท เทียบกับปีก่อนหน้า 14,338,749,51 บาท เดือน มี.ค. 68 14,248,939.14 บาท เทียบกับปีก่อนหน้า 15,859,131,82 บาท และเดือน เม.ย. 68 เป็นเงิน 13,052,279.55 บาท เทียบกับปีก่อนหน้า 14,688,068.97 บาท ทั้งนี้สภาปิดสมัยประชุมเมื่อวันที่ 11 เม.ย.ที่ผ่านมา โดยมีการจดมิเตอร์ในช่วงปลายเดือนคือวันที่ 30 เม.ย.

ส่วน นายนายภัณฑิล น่วมเจิม สส.กทม.พรรคประชาชน ระบุว่า ภาพรวมงบประมาณค่าไฟของรัฐสภาอยู่ที่ 160 ล้านบาทต่อปี และในส่วนของค่าน้ำประปาอยู่ที่ปีละประมาณ 14 ล้านบาท หรือเฉลี่ยเดือนละ 1 ล้านกว่าบาท

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า อาคารรัฐสภามีพื้นที่ใช้สอยทั้งหมด 424,000 ตารางเมตร ซึ่งรองรับข้าราชการ เจ้าหน้าที่ สส. สว. และผู้มาติดต่อราชการได้จำนวน 5,000 คน

วีโต้สมศักดิ์ไม่เป็นผล!! แพทยสภา ยืนมติเดิม ลงโทษ 3 หมอ ปมคดีชั้น 14 ด้านหมอประสิทธิ์ ขอบคุณคนไทยที่ร่วมให้กำลังใจคณะกรรมการแพทยสภา

เมื่อเวลา 15.00 น. (12 มิ.ย. 68) ที่อาคารแพทยสภา ภายหลังการประชุมคณะกรรมการแพทยสภาในวันนี้ (12 มิถุนายน 2568) ซึ่งมีวาระพิจารณายับยั้งหนังสือลงโทษแพทย์ จำนวน 3 คน ที่เกี่ยวข้องกับการรักษาตัวของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่เข้ารักษาตัวที่ รพ.ตำรวจ ชั้น 14  โดย ศ.ดร.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา อุปนายกคนที่ 1 ได้ออกมาแถลงข่าวภายหลังการประชุมว่า กรณีการพิจารณาคดีจริยธรรมของแพทย์ที่เป็นเรื่องที่อยู่ในความสนใจของประชาชน ในกรณีที่มีการกล่าวโทษแพทย์ทัณฑสถาน โรงพยาบาลราชทัณฑ์ และโรงพยาบาลตำรวจ ที่เกี่ยวกับการประพฤติผิดจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรม การประชุมคณะกรรมการแพทยสภาครั้งที่ 6/2568 ประจำเดือนมิถุนายน มีวาระสำคัญคือ การพิจารณาหนังสือยับยั้งมติลงโทษผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมของคณะกรรมการแพทยสภาจากสภานายกพิเศษ แห่งแพทยสภา

วาระนี้มีกรรมการแพทยสภาเข้าร่วมประชุมจำนวน 68 คน จากจำนวนกรรมการแพทยสภาที่มีสิทธิลงคะแนนเสียง 69 คน ได้พิจารณาการยับยั้งมติแพทยสภาของสภานายกพิเศษ มีมติด้วยคะแนนเสียงเกินกว่า 2 ใน 3 ของคณะกรรมการที่มีสิทธิลงคะแนนทั้งคณะ ยืนยันตามมติเดิมของคณะกรรมการแพทยสภา เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ.2568 กระบวนการต่อไปแพทยสภาจะออกคำสั่งบังคับตามมติและแจ้งให้ผู้เกี่ยวข้องได้ทราบต่อไป

ศ.นพ.ประสิทธิ์ กล่าวว่า ในวันพรุ่งนี้ (13 มิถุนายน 2568) สามารถออกคำสั่งแพทยสภา เพื่อยืนยันตามมติเดิมในการลงโทษแพทย์ 3 คน จากนั้นก็จะดำเนินการแจ้งให้ผู้เกี่ยวข้องทราบ ซึ่งโดยกระบวนการ นายกแพทยสภาจะแจ้งให้ผู้ที่ถูกลงโทษทราบ ซึ่งจะมีระยะเวลาหนึ่ง เช่น การยับยั้งใบประกอบวิชาชีพเวชกรรม ก็จะต้องมีช่วงเวลาที่เขาต้องเคลียร์งาน บางคนนัดคนไข้ไว้ก็ต้องเคลียร์ ซึ่งนายกแพทยสภาจะต้องดูตรงนี้และแจ้งให้ทราบ

ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่นายสมศักดิ์ได้เข้าไปชี้แจงเป็นเวลา 15 นาที ศ.นพ.ประสิทธิ์ กล่าวว่า กระบวนการของแพทยสภาในวันนี้ เป็นการรับฟังข้อคิดเห็นอย่างชัดเจน

“สภานายกพิเศษ ได้มาให้ความคิดเห็นของท่านต่อมติของแพทยสภา ซึ่งท่านวีโต้ ขณะเดียวกัน คณะกรรมการแพทยสภาทุกท่าน ได้รับเอกสารที่ท่านได้ส่งมาตั้งแต่ 2 สัปดาห์ที่แล้ว เหตุผลแห่งการวีโต้ทั้งหมด พร้อมกับวันนี้ กรรมการแพทยสภามีการนำข้อมูลเหล่านั้นมาเปรียบเทียบให้เห็นถึงมติกรรมการแพทยสภา เพราะเหตุใด เหตุผลของการยับยั้งโดยสภานายกพิเศษ เพราะเหตุใด โดยมีบทวิเคราะห์ ซึ่งกรรมการแพทยสภาทุกท่านได้เห็นข้อมูลเหล่านี้ และใช้ดุลยพินิจของท่านเอง ภายใต้หลักวิชาการ ข้อมูลที่เป็นจริงและเหตุผล จึงมีมติตามนี้” ศ.นพ.ประสิทธิ์ กล่าว

ก่อนจบการแถลงข่าว ศ.นพ.ประสิทธิ์ ได้กล่าวขอบคุณคนไทยทั่วประเทศ รวมทั้งที่ได้เข้าชื่อสนับสนุนมติของแพทยสภากว่า 50,000 คน โดยระบุว่า "กราบขอบพระคุณคนไทยทั้งหลาย ที่แสดงออกอยากให้แพทยสภาดำรงไว้ซึ่งความถูกต้อง และวันนี้กรรมการแพทยสภา ได้ทำสิ่งเหล่านั้นแล้ว ที่ท่านให้กำลังใจมา ได้ส่งผลแล้ว”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การประชุมวันนี้ กรรมการแพทยสภาเข้าร่วมประชุม 69 จาก 70 คน โดยมีกรรมการ 1 คน ที่ไม่ได้เข้าร่วมและไม่ส่งผู้แทนเข้าประชุม ส่วนการลงคะแนนเสียงโหวตในที่ประชุมเป็น 68 เสียง เนื่องจากมีกรรมการ 1 คน ที่ถูกตัดสิทธิเข้าประชุม คือ พล.ต.ท.ทวีศิลป์ เวชวิทารณ์ นายแพทย์ใหญ่ รพ.ตำรวจ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ที่ถูกกล่าวโทษ

ทั้งนี้ ในช่วงเริ่มต้นการประชุม นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะสภานายกพิเศษ แพทยสภา ได้เข้าร่วมการประชุมระหว่างเวลา 12.00-12.15 น. รวมเวลา 15 นาที เพื่อชี้แจงกรณีใช้อำนาจสภานายกพิเศษฯ ยับยั้ง หรือวีโต้มติแพทยสภาเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคมที่ผ่านมา ในกรณีที่กล่าวโทษแพทย์ 3 คน จากโรงพยาบาล (รพ.) ราชทัณฑ์ และ รพ.ตำรวจ ที่ให้การดูแลและส่งตัว นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ไปรักษาที่ชั้น 14 รพ.ตำรวจ ซึ่งที่ประชุมคณะกรรมการแพทยสภาใช้เวลาประชุมในวาระดังกล่าวนานถึง 3 ชั่วโมง

กัมพูชาตั้งกองทุน CTN รับศึกไทยระยะยาว ‘ฮุนเซน–ภริยา’ บริจาคนำร่อง 300 ล้านเรียล

(12 มิ.ย. 68) สมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ได้เรียกร้องให้ประชาชนทั่วประเทศร่วมบริจาคผ่านมูลนิธิ CTN เพื่อสนับสนุนกองกำลังที่ประจำการตามแนวชายแดนของชาติ

การประกาศเปิดตัวมูลนิธิ CTN เพื่อสนับสนุนทหารชายแดนแห่งชาติ มีขึ้นอย่างเป็นทางการผ่านการถ่ายทอดสดทางสถานีโทรทัศน์ CTN โดยมูลนิธินี้ก่อตั้งขึ้นตามคำขอของฮุน เซน

นอกจากนี้ ฮุน เซน ยังแสดงความขอบคุณต่อนายคิด เม็ง ประธานหอการค้ากัมพูชา และภริยา ที่ร่วมกันจัดตั้งโครงการดังกล่าว พร้อมระบุว่า มูลนิธินี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการป้องกันประเทศจากการรุกรานของไทยในทุกมิติ ทั้งการทหาร การเมือง การทูต และกฎหมาย

เขายังเปิดเผยว่า ตนและภริยาจะบริจาคเงินเริ่มต้นจำนวน 300 ล้านเรียล (ราว 2.4 ล้านบาท) ให้แก่มูลนิธิ พร้อมเชิญชวนประชาชนร่วมบริจาคเพื่อเชื่อมโยงกับกองทัพ ชาติ และแผ่นดินของตน

“ขอให้พี่น้องประชาชนทุกคน ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของภารกิจนี้ เพื่อสนับสนุนกองทัพและความมั่นคงของประเทศเรา” ฮุน เซน กล่าวปิดท้าย

นครพนม: ทหารไทย-ลาว เปิดการลาดตระเวน ร่วมทางน้ำ เพื่อสะกัดกั้นกระทำผิดกฏหมายตามแนวลำน้ำโขง

เมื่อวานนี้ (11 มิ.ย.68) เวลา 09.30 น. ที่ด่านพรมแดนสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 3 พลเรือตรีณรงค์ เอมดี ผู้บัญชาการหน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่นาโขง, เป็นประธานเปิดการลาดตระเวน ร่วมกันทางน้ำ ไทย-ลาว โดยมี พันเอกบุนเลิด  บุบผาวัน หัวหน้าการทหารกองบัญชาการทหาร แขวงคำม่วน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (หน.การทหาร กบช. ข.คำม่วน สปป.ลาว) และคณะ ฝ่ายทหารไทย โดยมี  พันเอกศิวดล  ยาคล้าย ผู้บังคับการกองบังคับการควบคุมที่ 1 กองกำลังสุรศักดิ์มนตรี/ผู้อำนวยการส่วนอำนวยการหน่วยบัญชาการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด สารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พร้อมด้วยหน่วยงานด้านความมั่นคง ประกอบไปด้วย หน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง (นรข.) ตำรวจตระเวนชายแดนในพื้นที่ ตำรวจภูธรจังหวัดนครพนม และ ฝ่ายปกครอง  ร่วมพิธีการลาดตระเวนร่วมไทย- ลาว เกิดขึ้นได้ด้วยความร่วมมือ จากชุดประสานงานประจำพื้นที่ของทั้ง 2 ฝ่ายซึ่งได้ร่วมกันวางแผนและกรอบแนวทางตามลำดับขั้น โดยในวันนี้จะเป็นการลาดตระเวน ร่วมไทย-ลาว จังหวัดนครพนม-แขวงคำม่วน ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของความร่วมมือในการสกัดกั้นและการกระทำผิดกฎหมาย ตามแนวชายแดนร่วมกัน ตลอดจนสร้างความมั่นคงและความเชื่อมั่นระหว่างกัน ซึ่งจะนำไปสู่สันติภาพและ  ความเจริญรุ่งเรืองทั้ง 2 ประเทศในระยะยาว  ซึ่งวันนี้ทั้ง 2 ฝ่ายได้จัดตั้งการลาดตระเวนทางน้ำร่วมกัน จุดประสงค์เพื่อสะกัดกั้นกรั่นกรองอาชญากรรมข้ามชาติ เพื่อให้ประชาชนทั้ง 2 ประเทศทำงานร่วมกัน มีการพัฒนาชีวิตการเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และพบปะแลกเปลี่ยนสร้างความสนิทสนมระหว่างไทย-ลาว ให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้นพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในพื้นที่ร่วมกัน 

โดยในวันนี้ในช่วงก่อนลาดลาดตระเวน ทางน้ำ ฝ่ายไทย-ลาว ทางด้านพลโท ณรงค์  สวนแก้ว ผู้อำนวยการศูนย์ประสานการปฏิบัติที่ 2 กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร  (ผอ.ศปป.2 กอ.รมน.) พร้อมคณะได้ร่วมในการลาดตระเวน ร่วมทางน้ำ เพื่อสกัดกั้นกระทำผิดกฎหมายตามแนวลำน้ำโขงในครั้งนี้ ซึ่งท่านเคยเป็นอดีตผู้บัญชาการกองกำลังสุรศักดิ์มนตรี มาก่อนและในวันนี้ทางด้านศูนย์ประสานการปฏิบัติที่ 2 กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการปฏิบัติงานในพื้นที่จังหวัดนครพนม 

พลโท ณรงค์  สวนแก้ว ผู้อำนวยการศูนย์ประสานการปฏิบัติที่ 2 กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร  (ผอ.ศปป.2 กอ.รมน.) ให้สัมภาษณ์ต่อผู้สื่อข่าว ภายหลังจากการลาดลาดตระเวน ทางน้ำร่วมไทย-ลาว ว่า จังหวัดนครพนม เป็นพื้นที่ดูแลของ นรข. กองกำลังสุรศักดิ์มนตรี ได้จัดกิจกรรมนี้ขึ้นมา เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจากความร่วมมือตามแนวชายแดนของทั้ง สองประเทศ  ซึ่งผลการปฏิบัติการในวันนี้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ทุกส่วนมีความเข้าใจถึงภัยคุกคามภายนอกมีหลายปัจจัย ในฐานะกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) จึงได้ลงพื้นที่ เพื่อทำงานร่วมกันในพื้นที่   

พลเรือตรีณรงค์  เอมดี ผู้บัญชาการหน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่นาโขงกล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้ง 2 ฝ่ายมีความเห็น การลาดตระเวนทางน้ำร่วมกัน 3 เดือนต่อครั้ง และจัดการประชุมพบปะแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร 6 เดือนต่อครั้ง โดยผลัดเปลี่ยนกันเป็นเจ้าภาพ ทั้งเห็นควร ประสานงานร่วมมือแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารเครือข่ายเป้าหมายยาเสพติด อย่างต่อเนื่อง

ตำรวจภูธรภาค 2 เกาะติดสถานการณ์ไทย – กัมพูชา 'ผบช.ภ.2' ประชุมเข้มกำชับซักซ้อมแผนเผชิญเหตุ ดูแลประชาชน 3 จังหวัดชายแดน

เมื่อวานนี้ (11 มิ.ย.68) เวลา 10.00 น. ที่ศูนย์ปฏิบัติการตำรวจภูธรภาค 2 (ศปก.ภ.2) พล.ต.ท.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 (ผบช.ภ.2) เป็นประธานการประชุมติดตามและเฝ้าระวังสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย - กัมพูชา โดยมี พล.ต.ต.ฐิตวัฒน์ สุริยฉาย รอง ผบช.ภ.2 ผบก.ภ.จว.จันทบุรี ผบก.ภ.จว.ตราด ผบก.ภ.จว.สระแก้ว ผบก.สส.ภ.2 ผบก.อก.ภ.2 และผู้เกี่ยวข้องร่วมประชุมผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์

พล.ต.ท.ยิ่งยศ กล่าวว่า ตำรวจภูธรภาค 2 มีพื้นที่ติดต่อชายแดนประเทศกัมพูชา 3 จังหวัด คือ จันทบุรี ตราด และสระแก้ว จึงได้เน้นย้ำการเฝ้าระวังเชิงรุก บูรณาการข้อมูล และเตรียมพร้อมรับมือทุกสถานการณ์ เพื่อความมั่นคงและความปลอดภัยในพื้นที่ชายแดน ซึ่งในสถานการณ์ปัจจุบัน ตำรวจภาค 2 ประชุมเกาะติดสถานการณ์ทุกวันจันทร์ พุธ ศุกร์ เพื่อติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด 

ผบช.ภ.2 กล่าวด้วยว่า ให้ฝ่ายอำนวยการเตรียมความพร้อมตรวจสอบอัตรากำลัง เกาะติดข่าวสารประเมินสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง เตรียมสนับสนุนการปฏิบัติตามแผนพิทักษ์พื้นที่ส่วนหลัง กำชับตรวจสอบอาวุธยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ ให้พร้อมใช้งาน จัดเตรียมกำลังพลพร้อมปฏิบัติทุกด้าน ให้ตั้งจุดตรวจ จุดสกัดอย่างเคร่งครัด พร้อมจัดทำข้อมูลบุคคลเข้า-ออก ประเทศ ให้สอดคล้องตามมาตรการและแผนยุทธการของกองทัพ สำหรับให้หน่วยพื้นที่ สภ. ที่ติดแนวชายแดน เตรียมพร้อมซักซ้อมแผนเผชิญเหตุทุกสถานการณ์ เน้นการดูแลความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนในพื้นที่

‘ไอซ์ รักชนก’ ขยี้ซ้ำผลสอบ ‘ก.มหาดไทย’ ชัดเป็นไปตามที่เคยพูดราคาตึก SKYY9 แค่ 3 พันล้าน แต่ ‘ประกันสังคม’ ทุ่มซื้อ 7 พันล้าน ถามผู้เกี่ยวข้องจะรับผิดชอบอย่างไร เชียร์ ‘อนุทิน’ ทำให้ดูหน่อยฟันให้เด็ดขาด

เมื่อวันที่ (10 มิ.ย.68) น.ส.รักชนก ศรีนอก สส.กทม.พรรคประชาชน แชร์ข่าวเปิดผลสอบ กระทรวงมหาดไทย ศึกษาวิเคราะห์ราคาอาคาร SKYY9 ระบุความมีราคาซื้อขายในขณะนั้น ประมาณ 3.4-3.8 พันล้านบาทพร้อมระบุข้อความว่า สุดท้ายผลสอบก็จะออกมายืนยันสิ่งที่ไอซ์และเนมพูดมาตลอด ว่าราคาซื้อขายของตึกควรอยู่ที่ 3,000 ล้าน แต่ประกันสังคม ทุ่มเงิน 7,000ล้าน ซื้อของราคา 3,000ล้าน

ทีนี้ผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด รับผิดชอบยังไง? 

บริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุน MFC ตัวตั้งตัวตีเสนอตึกและหาคนมาตีราคา พร้อมตั้งทรัสต์ ดูแลจนจบกระบวนการ จะลอยตัวเนียน ๆ ไปแบบนี้ไหม?

กลต. จะทำอะไรกับ บริษัทที่ประเมินตัวเลขเวอร์ ๆ ไร้ธรรมาภิบาลหรือไม่? ต้องให้ไปชี้นิ้วบอกทีละเจ้าอีกไหม? บริษัทรับประเมินถ้าทำงานตรงไปตรงมาจริง อย่ากลัว ออกมาแถลงทีละบริษัทแมน ๆ ไปเลย ว่ายืนยันความบริสุทธิ์ ทำงานตรงไปตรงมา และพร้อมให้ความร่วมมือกับทุกภาคส่วนที่จะขอข้อมูล ส่วนบริษัทไหนที่ไม่ยอมให้ความร่วมมือ กลต. รออะไร?

น.ส.รักชนก ระบุต่อว่า บอร์ดลงทุนประกันสังคม วันนั้นที่ตัดสินใจลงทุนไม่มีใครขัดขวางสักคนเลยหรอ มันตั้งใจ จงใจเกินไปไหม? เปิดออกมาให้หมดบันทึกการประชุม ใครพูดอะไร ลากชื่อมันออกมา

สุดท้ายนี้* ท่านอนุทิน ท่านปลัดมหาดไทย อย่าให้ใครครหาว่าทำเป็นเล่นขายของ ทำไปอย่างงั้นไม่ทำจริงจัง เอกสารที่บอกว่าขอจากเอกชนไม่ได้ อย่ามาตลกค่ะ กมธ.ติดตามงบยังขอได้เลย แล้วถ้าขอเอกชนไม่ได้ ขอประกันสังคมเลย วันนั้นอ่านอะไรกันบ้างถึงตัดสินใจซื้อตึกเปิดมาให้หมด คณะกรรมการนี้มีอำนาจเข้าถึงเอกสารที่อยากจะอ่านได้ทั้งหมดอยู่แล้ว ขึ้นอยู่กับว่าเอาจริงหรือป่าว 

“ทำให้ดูหน่อยค่ะท่านอนุทิน เอาให้เด็ดขาด ฟันมาให้ชัดอย่ากำกวม ดิฉันอยากเห็นคนถูกดำเนินคดีข้อหาทุจริต ดิฉันอยากเห็นคนที่ตอดกินเงินของผู้ประกันตนออกจากราชการ ดิฉันอยากเห็นคนติดคุก ถ้าท่านเอาจริงไม่มีอะไรเกินอำนาจบารมีที่ท่านจะจัดการได้ แล้วดิฉัน รักชนก ศรีนอก จะจดจำคุณอนุทิน ชาญวีรกูล ในฐานะคนจริงที่น่านับถือ” น.ส.รักชนก ระบุ 

น.ส.รักชนก ระบุต่อว่า ปล. บอกไปทุกคนอาจจะไม่เชื่อนะคะ แต่ถ้าเราไม่มาเปิดเผยเรื่องตึก SKYY9 ป่านนี้ผู้ประกันตนคงได้เป็นเจ้าของตึกเพิ่มอีกหนึ่งถึงสองตึกไปแล้ว เพราะมีคนเค้าเตรียมกันไว้แล้วค่ะ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top