Monday, 20 May 2024
NEWS FEED

‘วราวุธ’ กำชับ!! ศรส.ปทุมธานี รุดช่วยยายวัย 67 ปี หลังนอนจมอุจจาระ-ปัสสาวะ ในห้องเช่าเพียงคนเดียว

(13 พ.ค. 67) นางสาวซาราห์ บินเย๊าะ รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รองปลัด พม.) ในฐานะประธานคณะทำงานขับเคลื่อนศูนย์เร่งรัดจัดการสวัสดิภาพประชาชน (ศรส.) เปิดเผยถึงการช่วยเหลือคุณยายอายุ 67 ปี ด้วยการงัดห้องเช่า เพราะมีกลิ่นไม่พึงประสงค์โชยออกมา ที่ จังหวัดปทุมธานี ว่า ศูนย์เร่งรัดจัดการสวัสดิภาพประชาชน (ศรส.) จัดตั้งขึ้นตามนโยบายของนายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เพื่อให้เป็นที่พึ่งของพี่น้องประชาชนและศูนย์กลางการช่วยเหลือและคุ้มครองสวัสดิภาพ โดยนายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.พม. ได้สั่งการให้ ศรส.จังหวัดปทุมธานี ส่งทีมปฏิบัติการหน่วยเคลื่อนที่เร็ว ลงพื้นที่ช่วยเหลือคุณยายโดยด่วน หลังได้รับการประสานงานจากเทศบาลตำบลบางเดื่อ อำเภอเมือง จังหวัดปทุมธานี 

นางสาวซาราห์ กล่าวว่า วันที่ 12 พ.ค. 67 ศรส.จังหวัดปทุมธานี , กันจอมพลัง , หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) ร่วมกันลงพื้นที่ให้ความช่วยเหลือคุณยาย โดยได้งัดห้องเช่า พบว่า คุณยายอาศัยอยู่เพียงคนเดียว มีสภาพอิดโรย นอนจมอุจจาระและปัสสาวะ ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ เนื่องจากประสบอุบัติเหตุจากรถมอเตอร์ไซค์ เมื่อ 2 เดือนก่อน โดยจะมีเพื่อนบ้าน อสม. อพม. คอยเข้ามาช่วยดูแล แต่มีน้องสาวทำงานที่กรุงเทพฯ จะคอยดูแลเรื่องค่าใช้จ่ายให้ ด้วยการส่งเงินเป็นรายเดือน เนื่องจากป่วยเป็นมะเร็ง จึงไม่สามารถรับพี่สาวไปดูแลได้ 

นางสาวซาราห์ กล่าวว่า ได้นำคุณยายไปโรงพยาบาล เพื่อตรวจสุขภาพและรักษาการอาการป่วยในเบื้องต้น อีกทั้งจะดำเนินการติดตามหาญาติพี่น้องของคุณยายเพิ่มเติม อีกทั้ง เมื่อโรงพยาบาลได้สิ้นสุดการรักษาคุณยายแล้ว ศรส.จังหวัดปทุมธานี จะรับตัวเพื่อเข้ารับการคุ้มครองสวัสดิภาพที่ศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุ (ศพส.) จังหวัดปทุมธานี อย่างไรก็ตาม หากพบเห็นผู้สูงอายุถูกทอดทิ้ง หรือประสบปัญหาความเดือดร้อนทางสังคม ขอให้รีบโทรแจ้ง ศูนย์เร่งรัดจัดการสวัสดิภาพประชาชน หรือ ศรส. กระทรวง พม. ผ่าน สายด่วน พม. 1300 บริการตลอด 24 ชั่วโมง

'ประกิต สิริวัฒนเกตุ' แชร์บทเรียนชีวิตในช่วงวิกฤติต้มยำกุ้ง 2540 ผ่านมรสุมชีวิตมาได้ถึงวันนี้ เพราะพระราชดำรัสของในหลวง ร.9 

(13 พ.ค.67) จากเฟซบุ๊ก 'ประกิต สิริวัฒนเกตุ' โดยคุณประกิต สิริวัฒนเกตุ กรรมการผู้จัดการสายงานกลยุทธ์การลงทุน บลจ.เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ จำกัด ได้แชร์บทเรียนจริงของครอบครัวช่วงที่ต้องพบเจอกับวิกฤตต้มยำกุ้ง ไว้ว่า...

ย้อนกลับไปปี 2540 ทำไมประเทศไทยถึงต้องเกิดวิกฤติการเงินครั้งใหญ่ (วิกฤติต้มยำกุ้ง) ต้นเหตุ มันไม่ได้มีแค่การไร้ความสามารถของรัฐบาล หรือการฝืนต่อสู้กับการโจมตีค่าเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย แต่การบริหารงานที่ผิดพลาดมันเหมือนไปกดปุ่มระเบิดนิวเคลียร์ของปัญหาที่หมักหมมมาอย่างยาวนาน ทั้งการเติบโตแบบไร้ทิศทาง เงินเฟ้อสูงเรื้อรัง ค่าแรงพุ่งจนทำให้ศักยภาพแข่งขันอ่อนลง การปล่อยสินเชื่ออย่างหละหลวมของสถาบันการเงิน การเปิดเสรีการเงิน (BIBF) ของรัฐบาลก่อนหน้า เปิดช่องให้เอกชนกู้เงินต่างประเทศ จนหนี้ระยะสั้นมีสูงกว่าทุนสำรองระหว่างประเทศมากกว่า 2 เท่า ขณะที่ธนาคารกลางคงค่าเงินไว้ที่ 25 บาทต่อดอลลาร์ โดยที่ประเทศไทยขาดดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัดมาอย่างต่อเนื่อง เกิดเป็นช่องรูโหว่ใหญ่ให้ จอส โซรอส ถล่มค่าเงินบาท ทุนสำรองระหว่างประเทศร่อยหลอ เกิดหนี้เสียในระบบการเงินมากมายและลุกลามต่อเนื่องจนประเทศต้องเข้าสู่สภาวะล้มละลาย 

เศรษฐกิจไทยพังพินาศ รัฐบาลต้องขอความช่วยเหลือการเงินจาก IMF ดัชนีตลาดหุ้นไทยดำดิ่ง 2539-2540 ร่วงไป -90% บริษัทต่าง ๆ พากันปิดกิจการ ต้องตัดขายสินทรัพย์ให้บริษัทข้ามชาติในราคาแสนถูก คนตกงานมากมายจนต้องพากันมาเปิดท้ายขายของตามตลาดนัด

ครอบครัวของผมก็ได้รับผลกระทบหนักเช่นกัน ความทรงจำในตอนนั้น คือความสงสัย เหตุใด ครอบครัวเราที่ขยันทำมาหากินอยู่ดี ๆ ต้องลำบากมากขึ้น สินค้าที่นำเข้ามาขายต้องจ่ายในราคาแสนแพง (เพราะเชื่อผู้นำประเทศตอนนั้นว่าจะไม่ลดค่าเงินบาท) แต่ต้องขายต่อในราคาแสนถูกเพราะเศรษฐกิจย่ำแย่ การเค้าซบเซาและขาดทุนหนัก ซ้ำร้ายยิ่งไปกว่านั้น เมื่อแม่มาสารภาพบอกว่าเงินทุนการค้าไปจมสูญไปในตลาดหุ้นและที่ดิน แถมมีหนี้ก้อนมหาศาลที่แม่หยิบยืมมาในช่วงก่อนเกิดวิกฤติเพื่อเอามาใช้จ่ายและหมุนเวียนทำการค้า (เงินการค้าเอาไปเล่นหุ้น)

ผมจำภาพวันที่ผมกลับจากโรงเรียนมาถึงหน้าบ้าน พี่สาวรีบวิ่งมาเปิดประตูแล้วบอกผมว่า พ่อจะฆ่าตัวตาย เพื่อหวังจะให้ครอบครัวได้เงินประกันชีวิต

นั่นคือความอ่อนแอของพ่อ ที่ผมเห็นเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวในชีวิต ตอนนั้นผมเข้าใจพ่อเป็นอย่างดี ทำงานมาด้วยความเหนื่อยยาก 20 กว่าปี สุดท้ายนอกจากจะไม่เหลืออะไรแล้ว ยังต้องติดลบหนักอีกต่างหาก

พ่อผมเริ่มตั้งสติ และค่อย ๆ วางแนวทางแก้ไขปัญหา พ่อต้องเอาบ้านไปจำนองกับธนาคารอีกครั้ง (พ่อเพิ่งปลดบ้านจากธนาคารได้ไม่นาน) พ่อดึงบัญชีจากแม่มาคุมเองทั้งหมด พ่อเลิกจ้างคนงาน และให้ลูกทุกคนช่วยงานหนักขึ้น (ปกติก็ช่วยงานหนักอยู่แล้ว) พ่อสั่งให้ทุกคนประหยัด ประหยัดในที่นี้คือประหยัดสุด ๆ อาหารในแต่ล่ะมื้อจากที่เคยกินกันอิ่มหมีพีมัน ต้องกินแบบเผื่อเหลือในมื้อต่อไป ข้าวสวยจากข้าวหอมมะลิ เป็นข้าวแข็งๆและไม่อร่อยสุด ๆ (ทำให้ผมเป็นคนที่ไม่ชอบกินข้าวสวยตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงตอนนี้) ยามนอนต้องประหยัดไฟ เปิดได้แค่พัดลมหากใครอยากนอนแอร์ต้องมานอนห้องทำงานพ่อ (พ่อนอนในห้องทำงาน)

ครอบครัวผมไม่ได้ไปกินข้าวนอกบ้านกันอีกเลยตั้งแต่เกิดวิกฤติ ผมต้องกินแต่ข้าวบ้านกับข้าวที่โรงเรียน กินอย่างประหยัดจำเจวนไปเวียนมา พ่อผมบอกว่าถ้าแม่ไม่ทำพังเราสามารถกินเหลาได้ทุกมื้อ (กินภัตตาคาร) คำพูดนั้นฝังใจผมจนถึงทุกวันนี้

ส่วนแม่ของผม ด้วยพื้นเพนิสัยที่เป็นคนดีมีคุณธรรม ประหยัด ขยันทำงาน (แต่จัดการเงินไม่เป็น) ในสภาวะที่ย่ำแย่ แม่ไม่เลือกวิธี ‘ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย’  แต่แม่เลือกที่จะเดินเข้าหาเจ้าหนี้ (เจ้าหนี้ส่วนใหญ่เป็นผู้ใหญ่ที่เอ็นดูแม่) บอกถึงความจำเป็น ขอเจรจาปรับโครงสร้างหนี้ เจ้าหนี้ทุกคนรู้จักนิสัยแม่ดี ทุกคนยอมไม่คิดดอกเบี้ย และให้เวลาแม่ในการผ่อนชำระ

แม่เป็นคนประหยัด ไม่ได้ใช้เงินฟุ่มเฟือย แต่แม่ไม่ใช่คนขี้งก แม่สปอร์ตกับลูก แม่ยอมจ่ายไม่ยั้ง ถ้าเป็นเรื่องการกินอยู่ การเรียน และการรักษาพยาบาลของลูก ความที่แม่อยากให้ลูกอยู่สบายไม่ลำบาก มันทำให้ลูกทุกคนไม่รู้ตัวว่า ไอ่ที่กินใช้อยู่นี่มันคือเงินที่มาจากหนี้

พ่อและแม่ สร้างเนื้อสร้างตัวจากการเป็นพนักงานบริษัท พ่อเป็นพนักงานขาย ส่วนแม่เป็นเสมียนและทำบัญชี พอทั้งคู่แต่งงานกัน จึงออกมาทำการค้า ความที่ไม่มีทุน จึงต้องเริ่มต้นการค้าด้วยการกู้เงินจากผู้ใหญ่ที่รู้จักต่าง ๆ

ก่อนวิกฤติในยามที่เศรษฐกิจดี กิจการขยายตัว มีรายได้มากขึ้น แต่ต้องมาหมุนเวียนกับการค้าและการชำระดอกเบี้ย หนี้สินจึงไม่เคยลดลง ผมและพี่น้องเกิดมาเมื่อพ่อแม่มีกิจการแล้ว แม้ต้องช่วยงานที่บ้านตั้งแต่ยังเล็ก แต่เรามีกินมีใช้ไม่เคยขาด เราคิดกันไปเองว่าเราเป็นชนชั้นกลางในสังคม

เมื่อเกิดวิกฤติ เราถึงได้รู้ว่าแท้จริงแล้ว เราแทบไม่มีเงินเหลือเก็บ และไม่มีทรัพย์สินที่เป็นของเราจริงๆเลย

แม่ผมต้องปรับเปลี่ยนการทำงาน จากที่เคยนั่งคุมบัญชีการค้าอยู่ที่บ้าน ต้องขับมอเตอร์ไซด์ เป็นเซลล์ขายสินค้าของกิจการ และพยายามหารายได้เพิ่มด้วยการขายถุงพลาสติกให้กับร้านอาหารข้างทางต่าง ๆ (ทุกวันนี้ผมจะชอบไปทานร้านเหล่านั้นเพื่อขอบพระคุณที่ช่วยแม่ผมในยามยากลำบาก)

ในความมืดมนของประเทศ และของครอบครัวผม วันหนึ่งผมนั่งรถเมล์เพื่อเดินทางไปโรงเรียน ในระหว่างที่ผมเหม่อลอย ครุ่นคิดว่า เราจะลำบากไปแบบนี้อีกนานแค่ไหน เราจะมีวันสบายอีกครั้งได้ไหม ผมเห็นป้ายขนาดใหญ่มีรูปในหลวงรัชกาลที่ 9 และข้อความที่เขียนถึงเศรษฐกิจพอเพียง

“คนเราถ้าพอใจในความต้องการ ก็มีความโลภน้อย เมื่อมีความโลภน้อยก็เบียดเบียนคนอื่นน้อย ถ้าทุกประเทศมีความคิดว่าทำอะไรต้องพอเพียง หมายความว่าพอประมาณ ไม่โลภอย่างมาก ไม่สุดโต่ง คนเราก็อยู่เป็นสุข”

“การกู้เงินที่นำมาใช้ในสิ่งที่ไม่ทำรายได้นั้นไม่ได้ อันนี้เป็นข้อสำคัญ เพราะว่าถ้ากู้เงินและทำให้มีรายได้ ก็เท่ากับจะใช้หนี้ได้ ไม่ต้องติดหนี้ ไม่ต้องเดือดร้อน ไม่ต้องเสียเกียรติ”

พระราชดำรัสของในหลวง ร.9 เมื่อ 4 ธ.ค.2540 และ 4 ธ.ค.2541

ผมไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกวันนั้นอย่างไร ในวันที่มองไปทางไหนก็มีแต่ความมืดมน ป้ายของในหลวง คือป้ายแห่งความหวังจริง ๆ ป้ายที่บอกต้นตอของปัญหาและชี้ให้เห็นว่าทางออกควรต้องไปทางไหน

นับจากตอนนั้น ผมยึดคำสอนเศรษฐกิจพอเพียง เป็นหลักในการดำเนินชีวิต ปี 2542 ผมเข้าเรียนมหาวิทยาลัย โดยไม่กู้ กยศ. ผมไม่อยากเรียนจบ และเริ่มต้นการทำงานด้วยการเป็นหนี้  ผมเชื่อว่าหากผมกู้ กยศ. มา ชีวิตผมจะมีวังวนแบบเดิมเหมือนที่ครอบครัวเคยเป็นมา คือกู้เงินมาใช้จ่ายอย่างเพลิดเพลิน ผมเห็นเพื่อนที่กู้ กยศ. ใช้จ่ายเหมือนเงินได้มาง่ายๆฟรีๆ เครื่องคิดเลขสำหรับวิศวกรรมสมัยนั้น casio ราคา 3,500 บาท ถือว่าแพง มาก ๆ แล้ว แต่เพื่อนผมกลับใช้เงิน กยศ. ซื้อเครื่อง Texas ซึ่งแพงกว่าเกือบ 2 เท่า

ผมไม่อยากเป็นแบบนั้น ผมมีบทเรียนของครอบครัวมาแล้ว การใช้จ่ายด้วยเงินกู้ของคนอื่น มันคือการเป็นทาส ผมเลือกที่จะสอนพิเศษแบบหามรุ่งหามค่ำ เพื่อให้มีเงินมาจ่ายค่าเทอม และใช้จ่ายในเรื่องอื่น ๆ ผมตระเวนนั่งรถเมล์สอนทั่วกรุงเทพมหานคร ทั่วซะจนไม่มีเขตไหนในกรุงเทพที่ผมไม่เคยไปสอน

วันเวลาผ่านไป ความอดทน พยายามต้องสู้ของทุกคนในครอบครัวของผมเริ่มออกผล พ่อสามารถไถ่ถอนบ้านจากธนาคารในปี 2544 และเป็นเรื่องที่น่าเศร้าต้นปี 2545 พ่อผมต้องป่วยหนักกลายเป็นเจ้าชายนิทรา แม่และพี่สาวได้มาช่วยกันดูบัญชีต่าง ๆ ที่พ่อทำเอาไว้

นอกจากบ้านที่พ่อไถ่ถอนออกมาได้แล้ว ผลจากการประหยัด ผลจากการที่ทุกคนช่วยกันทำงานอย่างยากลำบาก พ่อมีเงินสดในบัญชี 3 ล้านกว่าบาท ขณะที่ยังมีหนี้สินค้างอยู่ 12 ล้านบาท แม่ผมได้ใช้เงินนั้นทำการค้าต่อด้วยความระมัดระวังจนเคลียร์หนี้สินได้หมด เจ้าหนี้ทุกคนได้รับเงินครบทุกบาทในปี 2553

ครอบครัวผมได้ประกาศเป็นไท แม่ผมได้สัมผัสถึงอิสรภาพครั้งแรกในวัย 60 ปีพอดิบพอดี ส่วนผมตอนนั้นอายุ 30  สนใจแต่เรื่องทำงานหนัก ไม่อยากเป็นหนี้อะไรทั้งนั้น ไม่มีความต้องการรถคันงามหรือบ้านหลังใหญ่ มีแต่อยากจะเติบโตในหน้าที่การงาน อยากเป็นสุดยอดนักวิเคราะห์ของประเทศนี้ ผมต้องการแค่นั้นจริง ๆ

ทุกวันนี้ผมขอบคุณพระเจ้า บทเรียนของครอบครัวในอดีต ได้ทำให้ผมมีฐานะทางการเงินในปัจจุบันที่ดี ผมมีอิสรภาพทางการเงิน ผมได้ภรรยาที่ดี เข้าใจเรื่องการเงิน และรู้คุณค่าของคำว่า ‘เศรษฐกิจพอเพียง’ แม้เราจะมีเงินในบัญชี มีทรัพย์สินต่าง ๆ แต่เราไม่เคยใช้เงินเกินกว่าที่หามาได้ในแต่ล่ะเดือน กลับกันเราจะต้องกันเงินไปเก็บเพิ่มเสมอ เราไม่เคยประมาท และจะไม่มีวันประมาทเด็ดขาด

และไม่ใช่แค่ผมที่มีอิสรภาพทางการเงิน พี่สาวและน้องสาวของผม ทุกคนได้ประโยชน์จากบทเรียนในอดีต พี่สาวมีธุรกิจที่มั่นคงปลอดหนี้สิน เช่นเดียวกับน้องสาวที่ทำธุรกิจด้วยความระมัดระวัง ไม่ก่อหนี้ใดๆทั้งนั้น

ขอบพระคุณคำสอนของในหลวง ร.9 เศรษฐกิจพอเพียง คือที่สุดของปรัชญาของการดำรงชีวิตในโลกทุนนิยม วันใดที่ผมได้นำคำสอนของในหลวงไปถ่ายทอดให้กับใครต่อใครฟัง ผมอยากบอกกับทุกคนว่า เศรษฐกิจพอเพียงช่วยพวกคุณได้ คุณควรเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้เงินก่อนที่จะสายเกินไป คุณสามารถเปลี่ยนได้ในตอนนี้ด้วยความเข้าใจ มันจะดีกว่าถูกวิกฤติบังคับให้คุณจำใจต้องเปลี่ยน

คำพูดของพ่อผม ‘เราสามารถกินเหลาได้ทุกมื้อ’ ขอบคุณพระเจ้าที่วันนี้ผมยิ้มกับคำพูดนี้ได้แล้ว

‘เกลือ กิตติ’ โพสต์ข้อความพร้อมภาพ ‘ข้าวที่ปลูกไว้เอง’ ชี้!! นี่คือ ‘เกษตรทฤษฎีใหม่-ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง’ 

(12 พ.ค.67) กลายเป็นกระแสชื่นชม และมีการพูดถึงเป็นอย่างมากในโลกออนไลน์ เมื่อ’ เกลือ กิตติ เชี่ยววงศ์กุล’ นักแสดง พิธีกร นักเขียนบท และผู้กำกับ ได้โพสต์ภาพพร้อมข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘กิตติ เชี่ยววงศ์กุล’ โดยระบุว่า … 

“ฉันผู้ซึ่งปลูกข้าวไว้กินเอง มีกิน มีใช้ เหลือพอแบ่งปัน #เกษตรทฤษฎีใหม่ #farmilyฟาร์มอีหลี #ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง”

‘ยายขาหัก’ อุ้ม ‘หลาน’ เดินส่งถึงมือหมอ ก่อนล้มพับหน้าห้องฉุกเฉิน พลเมืองดีเร่งช่วย ก่อนทราบบาดเจ็บหนัก เพราะมี ‘รถย้อนศร’ มาชนแล้วหนี

(12 พ.ค.67) ผู้ใช้ติ๊กต็อก ที่ชื่อว่า ‘fffdduxxxtg’ ได้โพสต์คลิปเรื่องราวของยายหลานที่ถูกชนแล้วหนี ระบุว่า “ดีใจที่ได้ช่วยเหลือเด็กน้อยคนแก่ ชนแล้วหนี” โดยเรื่องราวนี้ถือว่าเป็นนาทีบีบหัวใจ เพราะเด็กไม่ได้สติแล้ว และคุณยายก็ร้องไห้จนสุดเสียง พร้อมทั้งอุ้มหลานไว้กับอก พอส่งถึงหน้าห้องฉุกเฉินคุณยายก็ล้มพับไป เพราะด้วยความรักที่มีต่อหลาน เลยไม่รู้ตัวว่าตัวเองขาหัก

ต่อมา คุณกุลธนันท์ หงษ์ทอง เจ้าของคลิปซึ่งเป็นพลเมืองดี พายายหลานส่งโรงพยาบาล ได้เปิดเผยว่า วันนั้นตนออกไปทานข้าวกับลูกสาว กำลังขับรถกลับบ้าน ระหว่างทางเห็นคนมุงอยู่เยอะมากที่ บริเวณถนนหน้าวัดขมงหัก ต.เทพนคร อ.เมือง จ.กำแพงเพชร 

ตนก็มองดูว่าเกิดอะไรขึ้น ก่อนจะเห็นเป็นอุบัติเหตุ จึงได้ถอยรถกลับมา แล้วถามว่าเกิดอะไรขึ้น ซึ่งพลเมืองดีตรงนั้น บอกว่ามีรถชนแล้วหนี ผู้บาดเจ็บคือยายหลาน ในตอนนั้นเห็นว่าคุณยายร้องไห้หนักมาก เหมือนจะไม่ไหวแล้ว และเด็กก็คือตัวอ่อนไม่ลืมตาแล้ว ตนกลัวว่าเขาจะเป็นอะไร ก็เลยพาขึ้นรถก่อน เกิดอะไรขึ้นเดี๋ยวค่อยมาคุยกัน

หลังจากนั้นจึงได้ให้คนที่อยู่ตรงนั้นช่วยพยุงยาย และเด็กขึ้นรถ แล้วรีบพาไปส่งที่โรงพยาบาล พอไปถึงโรงพยาบาล น้องยังไม่ได้สติ และคุณยายก็เพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองขาหัก เพราะความรักที่มีต่อหลาน จึงพยายามอุ้มน้องไปให้ถึงหมอก่อน ส่วนตัวเองนั้นไม่รู้เลยว่าขาหัก

พอส่งน้องให้คุณหมอแล้ว เมื่อคุณยายรู้ว่าตัวเองขาหัก ก็ล้มพับไปเลย เหมือนช่วยหลานให้ถึงที่สุดโดยไม่สนใจตัวเอง ซึ่งตอนแรกตนเองเห็นคุณยายก็นึกว่ามีแผลถลอกเล็กน้อยแค่นั้น พอไปเห็นอาการคุณยายที่โรงพยาบาล คือขาคุณยาย ‘ขยับไม่ได้แล้ว’

จากนั้นตนก็อยู่โรงพยาบาลช่วยประสานงาน ตามหาญาติของคุณยาย และตนก็ขับรถไปตามหาญาติให้มาที่โรงพยาบาล เพราะต้องเซ็นเอกสารอะไรหลายอย่าง และได้โพสต์ในเฟซบุ๊กให้คนกำแพงเพชรช่วยแชร์ตามหาญาติอีกทางหนึ่ง

คุณกุลธนันท์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ส่วนเรื่องเหตุการณ์ว่าเกิดอะไรขึ้น ตนไม่ทราบเลยเพราะตนไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ แต่จากการพูดคุย ทราบแค่ว่า มีรถย้อนศรมาชนคุณยายกับน้องแล้วหนีไป แต่ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรตนก็ไม่ทราบแน่ชัด

ล่าสุดทางคุณแม่ของน้อง ได้โทรมาขอบคุณ จึงได้สอบถามอาการน้องไป ตอนนี้น้องก็ได้รับความกระทบกระเทือนที่หัวกะโหลกร้าว และคุณยายก็รักษาอาการขาหัก ทราบข่าวแค่นี้ก็ดีใจแล้วที่ทุกคนปลอดภัย ส่วนคู่กรณีตอนนี้ก็ยังเงียบอยู่ ยังหาตัวไม่เจอ

จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตนก็ตกใจมาก และลูกสาวที่ไปด้วยก็ตกใจ แต่รู้อย่างเดียวว่าต้องช่วยก่อน ไม่ว่าจะเป็นจะตายก็ต้องช่วยก่อน ตนยอมถอยรถกลับมา แล้วรีบให้ขึ้นรถเพื่อไปโรงพยาบาลทันที ยังไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร เหตุการณ์เป็นอย่างไร แต่ต้องช่วยเขาให้ถึงที่สุด ให้เขาปลอดภัยก่อน

และสุดท้ายนี้ ตนก็อยากฝากให้ทุกคนขับรถด้วยการระมัดระวัง อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้เสมอ วันนั้นตนไปกับลูกสาว ก็คุยกับลูกสาวว่าถ้าเกิดเจอเหตุการณ์แบบนี้ ก็ต้องรีบช่วย ต้องสงสารเขา เพราะว่าถ้าเกิดวันนึงเราประสบอุบัติเหตุ หรือมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น คนอื่นก็จะได้ช่วยเราเหมือนกัน คุณกุลธนันท์ พลเมืองดีกล่าวปิดท้าย

‘นักท่องเที่ยว’ แห่เที่ยวเชียงใหม่ ‘ใส่ชุดไทย-กินอาหารพื้นเมือง-ซื้องานคราฟต์’  ยอดจองห้องพักเพิ่ม เพราะเป็น ‘ช่วงปิดเทอมของจีน-โกลเด้นวีคของญี่ปุ่น’

(12 พ.ค.67) อากาศที่สดใสไร้มลพิษหลังฤดูฝุ่นควันสิ้นสุดลง ส่งผลบรรยากาศตามแหล่งท่องเที่ยวในเมืองเชียงใหม่คึกคักมากขึ้น  โดยในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ ที่ตลาดจริงใจมาร์เก็ต อ.เมืองเชียงใหม่ เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวทั้งไทย และต่างชาติ โดยเฉพาะชาวจีนที่พากันมาเดินเที่ยวชมงานศิลปะและเลือกซื้อสินค้างานคราฟต์ ที่มีความโดดเด่นไม่เหมือนใคร รวมทั้งลิ้มลองอาหารพื้นเมืองเลื่องชื่อของเมืองเชียงใหม่ สภาพอากาศที่ปลอดโปร่งแจ่มใสยังทำให้นักท่องเที่ยวพากันเลือกมุมถ่ายภาพและไลฟ์ผ่านสื่อสังคมออนไลน์อวดคนที่บ้านด้วย

นายพัลลภ แซ่จิว ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่ บอกว่า การท่องเที่ยวในช่วงฤดูฝนของจังหวัดเชียงใหม่เป็นอีกเทรนด์ท่องเที่ยวที่ได้รับความที่นิยม หลายคนต้องการมาสัมผัสความสดชื่นและความบริสุทธิ์ของธรรมชาติในช่วงฤดูฝน วันนี้ยอดจองห้องพักเริ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ นักท่องเที่ยวกลุ่มหลักกว่าร้อยละ 80 ยังเป็นนักท่องเที่ยวจีนจากแผ่นดินใหญ่

คาดการว่ากรีนซีซั่นเชียงใหม่ปีนี้การท่องเที่ยวจะคึกคัก โดยเฉพาะช่วงเดือนพฤษภาคมถึงมิถุนายนที่เป็นทั้งช่วงปิดเทอมของจีนและโกลเด้นวีคของญี่ปุ่นที่มีวันหยุดยาวหลายวัน คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวบินตรงเข้าสู่เชียงใหม่ประมาณ 9 หมื่นคน ไม่นับรวมกับกลุ่มชาติตะวันตกที่บินต่อเนื่องมาจากกรุงเทพมหานคร

ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่ บอกด้วยว่า พฤติกรรมการเที่ยวของนักท่องเที่ยวจีนปัจจุบันนิยมมาด้วยตัวเองกันมากถึงร้อยละ 80 เนื่องจากมีข้อมูลมากขึ้นรวมทั้งความสะดวกสบายในการเดินทาง จากเส้นทางบินตรงหลายจากหลายเมืองของจีน  ล่าสุดจังหวัดเชียงใหม่ยังเชิญติ๊กต๊อกเกอร์ชื่อดัง ที่มีผู้ติดตามหลายล้านคนจากประเทศจีน มาเที่ยวชมแหล่งท่องเที่ยวชื่อดัง และสัมผัสกับกิจกรรมยอดนิยม ทั้ง ปางช้าง ซิปไลน์ คุ๊กกิ้งคลาส นวดสปา และ แหล่งเที่ยวไลฟ์สไตล์ต่าง ๆ ซึ่งทั้งหมดนี้จะถูกเผยแพร่เพื่อเชิญชวนและดึงนักท่องเที่ยวชาวจีนเข้ามาอีกจำนวนมาก

‘นิด้าโพล’ ชี้ปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาท ไม่คุ้มค่าครองชีพ ที่ปรับสูงตาม ปชช. ส่วนใหญ่ ‘ไม่เชื่อมั่น’ รัฐบาลจะปรับขึ้นได้ทัน 1 ต.ค.นี้

(12 พ.ค.67) ศูนย์สำรวจความคิดเห็น ‘นิด้าโพล’ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจของประชาชน เรื่อง ‘ค่าแรงขึ้น…คุ้มมั๊ย กับ ค่าแกง?’ ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 3-7 พฤษภาคม 2567 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ ทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น จำนวน 1,310 หน่วยตัวอย่าง

จากการสำรวจเมื่อถามถึงความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับการทยอยปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำของรัฐบาล พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 44.50 ระบุว่า เห็นด้วยกับการทยอยปรับขึ้นทั่วประเทศ เริ่มวันที่ 1 ตุลาคม 2567 นี้ รองลงมา ร้อยละ 25.34 ระบุว่า ควรปรับขึ้นเท่ากันทั่วประเทศทันที ไม่ต้องรอวันที่ 1 ตุลาคม 2567 ร้อยละ 16.41 ระบุว่า ไม่เห็นด้วยกับการปรับขึ้นค่าแรง 400 บาท ทั่วประเทศในปีนี้ ร้อยละ 13.05 ระบุว่า ควรปรับขึ้นทั่วประเทศโดยไม่มีการทยอยปรับ เริ่มวันที่ 1 ตุลาคม 2567 นี้ และร้อยละ 0.70 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

ด้านความเชื่อมั่นของประชาชนว่าคณะกรรมการค่าจ้างจะเห็นด้วยกับข้อเสนอของรัฐบาล พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 40.23 ระบุว่า ไม่ค่อยเชื่อมั่น รองลงมา ร้อยละ 24.12 ระบุว่า ไม่เชื่อมั่นเลย ร้อยละ 20.84 ระบุว่า ค่อนข้างเชื่อมั่น ร้อยละ 10.23 ระบุว่า เชื่อมั่นมาก และร้อยละ 4.58 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

สำหรับความเชื่อมั่นของประชาชนว่ารัฐบาลจะเริ่มทยอยปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ในวันที่ 1 ตุลาคม 2567 พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 39.01 ระบุว่า ไม่ค่อยเชื่อมั่น รองลงมา ร้อยละ 25.95 ระบุว่า ไม่เชื่อมั่นเลย ร้อยละ 23.36 ระบุว่า ค่อนข้างเชื่อมั่น ร้อยละ 9.92 ระบุว่า เชื่อมั่นมาก และร้อยละ 1.76 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

และเมื่อถามถึงความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจะคุ้มกับค่าอาหารและค่าครองชีพในปัจจุบัน พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 60.84 ระบุว่า เชื่อว่าค่าแรงที่ปรับขึ้น จะไม่คุ้มกับค่าอาหาร ค่าครองชีพที่อาจจะสูงขึ้น รองลงมา ร้อยละ 23.97 ระบุว่า เชื่อว่าค่าแรงที่ปรับขึ้น จะคุ้มกับค่าอาหาร ค่าครองชีพที่อาจจะสูงขึ้น ร้อยละ 9.46 ระบุว่า เชื่อว่าค่าแรงที่ปรับขึ้น ไม่ใช่เหตุผลหลักที่ทำให้ค่าอาหาร ค่าครองชีพสูงขึ้น ร้อยละ 4.89 ระบุว่า เชื่อว่าค่าแรงที่ปรับขึ้น ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ กับค่าอาหาร ค่าครองชีพที่สูงขึ้น และร้อยละ 0.84 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

‘ดุริยางคศิลป์ มหิดล’ ติดอันดับ 35 มหาลัยดนตรีโลก ชี้!! ไทยมี ระบบการศึกษาดนตรีที่เข้มแข็ง แซง ‘สิงคโปร์-มาเลเซีย’

(11 พ.ค.67) น.ส.ศุภมาส อิศรภักดี รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เปิดเผยว่า วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล ภายใต้กระทรวง อว. ได้รับการจัดอันดับที่ 35 ในสาขาดนตรี ในการจัดอันดับมหาวิทยาลัยโลกโดย QS Top Universities Ranking ประจำปี 2567 การจัดอันดับด้านดนตรีนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ครั้งนี้ถือเป็นการจัดอันดับครั้งแรก โดยวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ของไทยนับมีความโดดเด่นในการจัดอันดับสูงหลายๆ มหาวิทยาลัยในเอเชีย เช่น National University of Singapore ที่ได้อันดับที่ 38 และ University of Malaya, Malaysia ที่ได้อันดับที่ 95

รมว.อว.กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมา ตนมีนโยบายที่สนับสนุนการพัฒนาคุณภาพของมหาวิทยาลัยไทยที่มีความเป็นเลิศในแต่ละด้านที่แตกต่างกันมาโดยตลอด เพื่อสร้างคนที่มีคุณภาพทุกๆ ด้านให้กับประเทศ ซึ่งผลลัพธ์นี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นและความทุ่มเทในการสร้างการมีส่วนร่วมกับชุมชนทางดนตรีทั้งในและต่างประเทศ นอกเหนือจากความทุ่มเทของคณาจารย์ พนักงาน นักศึกษา และศิษย์เก่า ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างก้าวกระโดด ซึ่งมีผลงานที่เคยเป็นที่ประจักษ์มาแล้วเมื่อวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ได้รับการจัดอันดับที่ 47 ในสาขา Performing Arts ในการจัดอันดับมหาวิทยาลัยโลกโดย QS Top Universities Ranking ประจำปี 2565 ซึ่งยังไม่มีมหาวิทยาลัยด้านดนตรีของไทยที่ขึ้นอันดับใน Top 50 ได้จนถึงปัจจุบัน

“ปีนี้วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ ได้สร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้เกิดความเชื่อมั่นในระบบการศึกษาดนตรี และสร้างความภูมิใจให้กับคนไทยทั้งประเทศ โดยการได้รับการจัดอันดับที่ 35 ของโลก เป็นสิ่งที่สร้างความเชื่อมั่นในวงการศึกษาดนตรีโลก ว่าประเทศไทยมีระบบการศึกษาดนตรีที่เข้มแข็ง และช่วยส่งเสริม ตอบโจทย์การพัฒนาประเทศในด้าน Soft Power ในอนาคตอีกด้วย” น.ส.ศุภมาส กล่าว

สาวสุดกลั้น โบกรถตำรวจให้ช่วยพาไปส่งที่ ‘ห้องน้ำ’ พี่จราจรไม่รอช้า พาซ้อน จยย. ส่งถึงที่ ชาวโซเชียลแห่ชื่นชม

(11 พ.ค.67) กลายเป็นคลิปที่ถูกแชร์บนโลกออนไลน์ เมื่อเกิดเหตุการณ์เร่งด่วน เรื่องทุกข์ร้อนของประชาชนที่ เจ้าหน้าที่ตำรวจรีบให้ความช่วยเหลือ

เรื่องราวดังกล่าวเกิดขึ้นกลางในเมือง ซึ่งทุกคนรู้ดีว่า การจราจรในกรุงเทพนั้นสาหัสแค่ไหน แน่นอนว่า ความปวดท้องหนักนั้นไม่เข้าใครออกใคร ถ้าข้าศึกบุกเราก็พร้อมจะแพ้พ่าย ทำให้กลายเป็นไวรัล เรียกเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าช่วยโดยด่วน โดยเพจสืบนครบาล ระบุว่า ...

สำหรับเหตุการณ์คับขันที่เกิดขึ้น เป็นเหตุการณ์จริง ใจกลางกรุงเทพมหานคร บนถนนศรีอยุธยา ในระหว่างที่การจราจรติดขัด เพื่อนในรถตู้เกิดปวดท้องทนไม่ไหว ต้องการเข้าห้องน้ำด่วน เพราะข้าศึกประชิดประตูเมืองแล้ว กระทั่งเปิดกระจกถามเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจร สน.พญาไท แล้วไหว้วานให้พี่ตำรวจพาไปส่งเข้าห้องน้ำ

เมื่อประชาชนกำลังเป็นทุกข์ขอหวังพึ่ง ตำรวจก็ไม่รีรอ ให้บริการประชาชน พาซ้อนรถจักรยานยนต์สายตรวจจราจร ไปส่งที่โรงพยาบาลสงฆ์ ซึ่งเป็นจุดที่มีห้องน้ำอยู่ใกล้ที่สุด เป็นที่พึ่งของประชาชนในทุกสถานการณ์

'รศ.ดร.ดนุวัศ' เปิดม่าน DAD NIDA หลักสูตรผู้นำแห่งปี รุ่นที่ 9 มุ่งสร้างผู้นำยุคดิจิทัลรุ่นใหม่ ขับเคลื่อนองค์กร-พัฒนาประเทศ

ก้าวสู่รุ่นที่ 9 ก้าวต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลกยุคดิจิทัลกับหลักสูตร DAD NIDA ที่มุ่งสร้างผู้นำในยุคดิจิทัล เปิดหลักสูตรแล้วอย่างเป็นทางการ นำโดย รศ.ดร.ดนุวัศ สาคริก 

เปิดหลักสูตรแล้วอย่างเป็นทางการ กับหลักสูตร Development Administrator in Digital Era (DAD NIDA ) รุ่นที่ 9 หลักสูตรแห่งปี ที่มุ่งสร้างผู้นำยุคดิจิทัลรุ่นใหม่ เพื่อขับเคลื่อนองค์กรและพัฒนาประเทศ รุ่นที่ 9 

โดยพิธีเปิดได้จัดขึ้นเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2567 ณ VIE Hotel Bangkok, MGallery Hotel Collection นำโดย รศ.ดร.ดนุวัศ สาคริก รองคณบดีฝ่ายวิชาการ คณะรัฐประศาสนศาสตร์ และผู้อำนวยการหลักสูตร DAD NIDA โดยท่านได้ให้เกียรติ ในการกล่าวเปิดหลักสูตรอย่างเป็นทางการ

ปัจจุบันเทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาทกับชีวิตประจำวันของเราอย่างมาก โดยเฉพาะในโลกของธุรกิจและการบริหารประเทศ ส่งผลให้องค์กรต้องปรับตัวด้วยการทำ Digital Transformation ดิจิทัลจึงกลายเป็นหัวใจสำคัญของการอยู่รอดของธุรกิจ องค์กรที่ปรับตัวทันกับการเปลี่ยนแปลงจึงจะอยู่รอดได้ 

ผู้นำองค์กรยุคดิจิทัลในปัจจุบันจึงต้องมีองค์ความรู้รอบด้าน มีทักษะและทัศนคติที่สอดคล้องกับโลกยุคดิจิทัล จึงจะสามารถขับเคลื่อนองค์กรให้อยู่รอดรวมถึงแสวงหาโอกาสจากโลกยุคดิจิทัลได้

หลักสูตร DAD NIDA จึงได้ออกแบบมาเพื่อสร้างผู้นำยุคดิจิทัลเพื่อพัฒนาองค์กรและประเทศ ผ่านการถ่ายทอดจากผู้เชี่ยวชาญในวงการชั้นนำระดับประเทศ ที่มีความรู้และประสบการณ์ที่อัดแน่น ทันสมัย สอดรับกับโลกยุคดิจิทัล พร้อมทั้งกิจกรรม Design Thinking Workshop และ Bootcamp เน้นลงมือปฏิบัติงานจริง และสร้างเครือข่ายเพื่อต่อยอดการพัฒนาประเทศในอนาคต

สิ่งที่ผู้นำในยุคดิจิทัลทุกคนต้องจำขึ้นใจคือ "อย่าหยุดการเรียนรู้ เพราะชีวิตไม่เคยหยุดสอนเรา" เป็นสิ่งที่ รศ.ดร.ดนุวัศ สาคริก เน้นย้ำกับนักเรียน DAD NIDA เนื่องด้วยบริบทในโลกยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว สิ่งที่เราเคยเรียนรู้ในอดีตอาจใช้ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว เราจึงต้องเรียนรู้ ปรับตัวให้ทันและเข้ากับบริบทการเปลี่ยนแปลงของโลกอยู่ตลอดเวลา 

ท่านจึงมุ่งหวังที่จะสร้างหลักสูตรที่ตอบโจทย์ผู้นำยุคดิจิทัลที่สามารถนำไปใช้ได้จริง เน้นสร้าง Experience ให้กับผู้เรียนซึ่งเป็นสิ่งล้ำค่าที่อยู่นอกเหนือจากตำราผ่าน Activity-Based Learning และการถ่ายทอดประสบการณ์จากวิทยากรชั้นนำระดับประเทศ

ภายในพิธีเปิดหลักสูตรมีผู้นำรุ่นใหม่ที่มีศักยภาพจากหลากหลายวงการเข้าร่วมอย่างคับคั่ง บรรยากาศภายในงานเต็มไปด้วยความคึกคัก มีทั้งความรู้จากเหล่ากูรู วิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ อาจารย์ที่ปรึกษาหลักสูตร และมิตรภาพจากเพื่อน ๆ จาก DAD รุ่นที่ 8 ที่ตั้งใจมาแชร์ประสบการณ์ในการเรียนในหลักสูตร DAD นับเป็นบรรยากาศที่น่าอบอุ่น เป็นกันเองเป็นอย่างยิ่ง

อีกทั้งงานในวันนี้ยังนับเป็นการได้พบปะกันครั้งแรกของเพื่อน ๆ DAD รุ่นที่ 9 นี้อีกด้วย นับเป็นอีกหนึ่งความภูมิใจ และความสำเร็จของหลักสูตร DAD ที่มุ่งหวังในการผลิตคนคุณภาพออกไปพัฒนาประเทศ และปีนี้พร้อมก้าวสู่รุ่นที่ 9 ให้ผู้เรียนได้รับประสบการณ์ที่คุ้มค่าอย่างแน่นอน 

ยังมีกิจกรรมอีกมากมายภายในหลักสูตรให้ได้ติดตามกัน ท่านที่สนใจสามารถติดตามข่าวสารและกิจกรรมหลักสูตรได้ผ่านช่องทางเว็บไซต์ www.dadnida.com และโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ของ DAD NIDA สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ Line : @dadnida (มี@) หรือโทร 092-728-6722

‘เจ้าของโรงสี’ ชี้ ข้าว 10 ปี ถ้าดูแลดี นำมาหุงกินได้ ผิดกับข้าวหน้าคลัง ‘อคส.’ ถูกทิ้ง 9 ปี ‘เน่าหมดสภาพ-กินไม่ได้’

(11 พ.ค.67) นายมนต์ชัย รุ่งชาญชัย ประธานบริษัทสิงห์โตทองไรซ์คอปอเรชั่น จำกัด ต.ธำรงค์ อ.เมืองกำแพงเพชร ที่รับซื้อขายข้าวเปลือกและแปรรูปข้าวส่งออกจำหน่ายในประเทศและต่างประเทศ พร้อมทั้งยังมีโกดังให้เช่า 15 หลัง นำสื่อมวลชนดูสภาพกองข้าว บริเวณหน้าโกดังคลังสินค้าหลัง A1 หรือที่เรียกกันว่าโกดังเก็บข้าว มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2558 รวมระยะเวลา 9 ปี

ซึ่งเป็นกองข้าวสรรบรรจุในกระสอบและบิ๊กแบ็ก วางทับกันสูงประมาณ 3 - 5 เมตร ยาว 300 เมตร มีเมล็ดข้าวแตกออกจากกระสอบที่ผุพังและข้าวบางกองก็มีสภาพเน่าเสียจากการถูกน้ำฝนที่สาดเข้ามาหรือมีนกมาถ่ายมูลทิ้งไว้

นายมนต์ชัย เปิดเผยว่า สภาพของข้าวกองนี้เป็นข้าวที่เสียหาย หมดสภาพที่จะนำไปรับประทานได้ เนื่องจากไม่ได้ถูกจัดเก็บอย่างดีและไม่มีการดูแลคุณภาพข้าวตามมาตรฐาน ข้าวจึงอยู่ในสภาพที่นำไปแปรรูปเป็นอาหารสัตว์หรือแปรรูปเป็นพลังงานได้เท่านั้น

ส่วน การที่จะนำข้าวที่มีอายุ 10 ปีมารับประทานได้หรือไม่นั้น ในความเห็นของผู้ประกอบการที่ทำโรงสีมานานกว่า 30 ปีมองว่า ขึ้นอยู่กับการดูแลคุณภาพข้าวสาร หากเป็นข้าวที่ได้รับการจัดเก็บอย่างถูกต้องและดูแลเรื่องของคุณภาพข้าวที่ได้ตามมาตรฐาน เช่น อยู่ในโกดังที่มิดชิด มีอากาศถ่ายเท อบรมยาดูแลคุณภาพข้าวอย่างต่อเนื่อง ก็สามารถนำมาปรับปรุงใหม่ นำมารับประทานได้ แต่หากดูแลไม่ดี สภาพข้าวก็จะมีทั้งกลิ่นทั้งสีที่ไม่น่ารับประทาน ซึ่งก็จะขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมและการดูแลรักษาคุณภาพข้าวของแต่ละพื้นที่แต่ละแห่งนั่นเอง

สำหรับกองข้าวที่ทิ้งไว้หน้าโกดัง A1 ของบริษัทนั้น นายมนต์ชัย บอกว่า เป็นข้าวที่ไม่ได้รับการเหลียวแล เป็นข้าวจากโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลในยุค น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายก อคส.หรือองค์การคลังสินค้า ได้นำข้าวมาฝากเช่าที่โกดังแห่งนี้ และเมื่อปี พ.ศ. 2558 เกิดเหตุไฟไหม้กลางกองข้าวในโกดัง หลังจากระงับไฟได้แล้วข้าวบางส่วน อคส. และเจ้าหน้าที่บริษัทประกันภัย ได้มาตรวจสอบ-คัดแยกข้าวเคลื่อนย้ายออกมาไว้ที่หน้าโกดัง ในกรณีนี้ทาง อคส. ได้รับค่าสินไหมจากบริษัทประกันภัยไปกว่า 10 ล้านบาท

ต่อมา อคส.ได้เปิดประมูลข้าวในโกดังเมื่อปี พ.ศ.2562 ผู้ชนะประมูลได้มาเคลื่อนย้ายข้าวดีภายในโกดังและที่หน้าโกดังออกไปบางส่วน ยังคงเหลือข้าวอีกกว่า 3,000 ตัน ถูกกองทิ้งไว้ ทางบริษัทได้ส่งหนังสือแจ้ง อคส.หลายครั้ง แต่กลับปฏิเสธข้าวกองนี้ แต่ได้ส่งเจ้าหน้าที่มาตรวจสต๊อกคงเหลือปีละสองครั้ง

ซึ่งทางผู้ประกอบการโรงสีได้ร้องขอให้ทาง อคส. มาขนข้าวออกจากพื้นที่ เนื่องจากไม่สามารถใช้ประโยชน์ในการประกอบการได้ แต่ได้รับการเพิกเฉย ทางบริษัทจึงอยู่ในระหว่างฟ้องร้องต่อศาลเรียกค่าเสียหายต่อศาลปกครองกลาง รวมทั้งได้ยื่นหนังสือถึงนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เพื่อร้องขอความเป็นธรรมกรณีได้รับความเสียหายจากการกระทำขององค์การคลังสินค้า (อคส.) ดังกล่าวด้วย


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top