Saturday, 19 April 2025
NEWS FEED

'ทนายเดชา' เผย 'ฎีกา' ชี้ เปลี่ยนเลนกระชั้นชิด ผู้ชนท้ายไม่ผิด

เมื่อวานนี้ (18 เม.ย. 68) ทนายเดชา กิตติวิทยานันท์ ประธานเครือข่ายทนายคลายทุกข์ ได้โพสต์ไว้ในเพจ ‘ทนายคลายทุกข์’ โดยมีใจความว่า

ขับรถเปลี่ยนช่องทางกระชั้นชิด รถคันหลังขับมาชน ผู้ขับชนไม่มีความผิด 
อ้างอิงจาก ฎีกาที่ 3088/2527 พ.ร.บ.จราจรทางบก มาตรา 52 วรรคแรก และมาตรา 36

เชียงราย- 'ตม.เชียงราย' รับคนไทยจากท่าขี้เหล็ก เมียนมา กลับบ้าน สุดท้ายพบมีหมายจับสองคดีสำคัญ 2 ราย

เมื่อวานนี้ (18 เม.ย.68) ที่ผ่านมาโดยการอำนวยการของ พล.ต.ท.ภาณุมาศ บุญญลักษม์ ผบช.สตม. , พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม. , พล.ต.ต.สราวุธ คนใหญ่ ผบก.ตม.5 , พ.ต.อ.เอกกร บุษบาบดินทร์ รอง ผบก.ตม.5  มอบหมายให้ พ.ต.อ.สุรศักดิ์ เทียนทอง ผกก.ตม.จว.เชียงราย , พ.ต.ท.หญิง ธาราทิพย์ จำรัส รอง ผกก.ตม.จว.เชียงราย , พ.ต.ท.ตุลย์วรรษ ณรงค์ศักดิ์,พ.ต.ท.วิชัย ปันนา,พ.ต.ท.ภัทรพงศ์ ชูชื่น สว.ตม.จว.เชียงราย ร่วมกันรับตัวบุคคลสัญชาติไทย พ้นโทษตามคำพิพากษาศาลประเทศเมียนมา จากเจ้าหน้าที่ ตม.จว.ท่าขี้เหล็ก จำนวน 3 ราย โดยจากการตรวจสอบในระบบฐานข้อมูลทะเบียนราษฎร์ ระบบสารสนเทศสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(POLIS) ระบบสารสนเทศสถานีตำรวจ(CRIMES) และระบบศูนย์ข้อมูลอาชญากรรม(PDC) ทราบชื่อ

1. นายธีรายุทธ (นามสมมุติ) อายุ 28 ปี สัญชาติไทย เป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดสมุทรปราการ ในความผิดฐาน ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน, ร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน, ร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต, ร่วมกันมีและใช้มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต, ร่วมกันพาอาวุธไปในเมืองหมู่บ้านหรือทางสาธารณะ โดยเปิดเผยหรือโดยไม่มีเหตุอันสมควรโดยไม่ได้รับอนุญาต ยิงปืนซึ่งใช้ดินระเบิดโดยใช่เหตุในเมืองหมู่บ้านหรือชุมชน

2. นายณัฐนนท์ (นามสมมุติ) อายุ 26 ปี สัญชาติไทย เป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาพระโขนง ในความผิดฐาน โดยปราศจากเหตุอันสมควร พรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแลเพื่อหากำไร หรือเพื่อการอนาจาร, พาเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเพื่อการอนาจารแม้ผู้นั้นจะยินยอมก็ตาม, กระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม และกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี ซึ่งมิใช่ภริยาหรือสามีของตน โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม

3.นาย นพดล (นามสมมุติ)อายุ 26 ปี สัญชาติไทย ไม่มีหมายจับแต่อย่างใด จากนั้น เจ้าหน้าที่งานสืบสวนปราบปราม และงานตรวจบุคคลและพาหนะ ตม.จว.เชียงราย ได้ร่วมกันนำตัวบุคคลสัญชาติไทยทั้ง 3 ราย เข้าสู่ขั้นตอนพิธีการคนเข้าเมือง ณ จุดผ่านแดนถาวรสะพานข้ามแม่น้ำสาย แห่งที่ 1 อ.แม่สาย จว.เชียงราย  

จากนั้นเจ้าหน้าที่งานสืบสวนจึงได้นำตัวบุคคลที่มีหมายจับมาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป

‘พี่ตุ๋ย พีระพันธุ์’ ให้สัมภาษณ์!! กลุ่มนักศึกษา คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ส่งเสริมการเรียนรู้ของเยาวชน ในวิชา ‘พรรคการเมือง-การเลือกตั้ง-รณรงค์หาเสียง’

เมื่อวานนี้ (18 เม.ย. 68) พี่ตุ๋ย-พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้ให้สัมภาษณ์กลุ่มนักศึกษา ชั้นปีที่ 2 คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสวนดุสิต เพื่อประกอบการเรียนวิชาระบบพรรคการเมืองและการเลือกตั้ง และวิชาการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งของพรรคการเมือง ที่ทำเนียบรัฐบาล บรรยากาศเป็นกันเอง สร้างความประทับใจให้น้องๆ นักศึกษาเป็นอย่างมาก

ผบ.ตร.ขอบคุณตำรวจทั่วประเทศดูแลความปลอดภัยและการจราจรช่วงเทศกาลสงกรานต์ ภาพรวมเป็นไปด้วยดี อุบัติเหตุลดลงตามเป้า ฝากบ้าน 4.0 เกือบ 8,000 หลัง ปลอดภัย 100%

เมื่อวันที่ (18 เม.ย.68) พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) กล่าวว่า ในการดูแลความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกการจราจรช่วงเทศกาลสงกรานต์ พ.ศ.2568 ที่ผ่านมา ได้กำหนดมาตราการเข้มข้นให้ตำรวจทั่วประเทศปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ซึ่งขอขอบคุณตำรวจทุกนายทั่วประเทศ ที่ร่วมแรงร่วมใจปฏิบัติหน้าที่ ดูแลความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกการจราจรช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมาอย่างเต็มกำลัง ทำให้ผลการปฏิบัติในภาพรวมเป็นที่น่าพอใจ

ทั้งนี้ ภาพรวมการดูแลอำนวยความสะดวกการจราจรในช่วงเทศกาลสงกรานต์ วันที่ 11-17 เมษายน 2568 รวม 7 วัน พบว่ามีปริมาณรถออกจากกรุงเทพมหานคร จำนวน 3,380,229 คัน และปริมาณรถขาเข้ากรุงเทพมหานคร จำนวน 3,457,533 คัน สำหรับสถิติการเกิดอุบัติเหตุสะสม รวม 1,538 ครั้ง ลดลงจากปี 2567 คิดเป็น 24.78% และลดลงจากค่าเฉลี่ย 3 ปีย้อนหลัง 25.12% , บาดเจ็บสะสม 1,495 คน ลดลงจากปี 2567 คิดเป็น 27.43% และลดลงจากค่าเฉลี่ย 3 ปีย้อนหลัง 26.89 % , เสียชีวิตสะสม 253 ราย ลดลงจากปี 2567 คิดเป็น 11.85% และลดลงจากค่าเฉลี่ย 3 ปีย้อนหลัง 8.33 % ถือว่าสำเร็จตามเป้าหมายที่ต้องการลดอัตราการเกิดอุบัติเหตุ และการเสียชีวิต ลดลงจากค่าเฉลี่ย 3 ปีย้อนหลังอย่างน้อย 5%

ในส่วนของการบังคับใช้กฎหมาย 10 ข้อหาหลักด้านความปลอดภัยทางถนน วันที่ 11-17 เมษายน 2568 รวมทั้งสิ้น 609,887 ราย โดยข้อหาสำคัญ ได้แก่ ขับรถในขณะเมาสุรา 21,299 ราย , ขับรถเร็ว 164,036 ราย , ไม่สวมหมวกนิรภัย 141,992 ราย , ไม่รัดเข็มขัดนิรภัย 32,616 ราย และขับรถย้อนศร 14,538 ราย 

การตั้งจุดตรวจจุดสกัด จำนวน 1,697 แห่ง แบ่งเป็น จุดตรวจกวดขันวินัยจราจรทั่วประเทศ 1,226 จุด , จุดตรวจวัดแอลกอฮอล์ 471 จุด จับกุมผู้กระทำผิด 137,268 ราย จำนวนรถที่เรียกตรวจ ณ จุดตรวจ รวม 658,607 คัน พบการกระทำความผิดรวม 137,268 คัน คิดเป็น 20.84%

ในส่วนของการดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน และการดูแลความปลอดภัยการจัดงานเทศกาลสงกรานต์ขนาดใหญ่ทั่วประเทศ ภาพรวมเป็นไปด้วยความเรียบร้อย สร้างความประทับใจให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวที่เข้าร่วมงานได้เป็นอย่างดี สำหรับโครงการ “ตำรวจร่วมใจ ยกระดับความปลอดภัยบ้านประชาชน” หรือ ฝากบ้าน 4.0 มีพี่น้องประชาชนสนใจเข้าร่วมโครงการ 7,931 หลัง ส่งคืนไปแล้ว 5,988 หลัง คงเหลือ 1,943 หลัง โดยทุกหลังมีความปลอดภัย 100% 

ผบ.ตร.กล่าวว่า การปฏิบัติหน้าที่ที่ประสบความสำเร็จด้วยดีในครั้งนี้ ไม่อาจเกิดขึ้นได้จากใครคนใดคนหนึ่งเพียงลำพัง แต่เป็นเพราะข้าราชการตำรวจทุกคนช่วยกันทำหน้าที่ของตน ด้วยความทุ่มเท เสียสละ อย่างเต็มกำลังความสามารถ จึงขอขอบคุณและให้กำลังใจตำรวจทุกนาย พร้อมขอให้พี่น้องประชาชนเชื่อมั่นว่า ตำรวจจะดูแลประชาชนทุกคนทุกโอกาสอย่างเต็มที่ต่อไป

ศูนย์บริหารงานจราจร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขอบคุณประชาชนร่วมเป็น 'ตาจราจร' พร้อมแนะผู้ขับขี่เคารพกฎกรณีเส้นแบ่งช่องจราจร เพื่อป้องกันอุบัติเหตุ

เมื่อวันที่ (18 เม.ย.68) พล.ต.ท.นิธิธร จินตกานนท์ ผู้บัญชาการศึกษา ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานฝ่ายเสริมสร้างภาพลักษณ์ตำรวจจราจร ศูนย์บริหารงานจราจร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวแสดงความขอบคุณประชาชนที่ร่วมส่งคลิปจากกล้องหน้ารถ หรือโพสต์เผยแพร่ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งมีส่วนสำคัญในการช่วยให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถรวบรวมข้อมูลและลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนท้องถนนได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะกรณีเหตุการณ์ที่มีการพูดถึงในสังคม ซึ่งอยู่ในกระบวนการตรวจสอบข้อเท็จจริงและดำเนินการตามกฎหมายอย่างตรงไปตรงมาในทุกประเด็น โดยคลิปต่างๆ ที่ประชาชนร่วมส่งมาถือเป็นพลังสำคัญที่ช่วยกันเป็น 'ตาจราจร'ให้กับสังคม เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการมีส่วนร่วมในการสนับสนุนการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ พร้อมทั้งสะท้อนถึงจิตสำนึกความรับผิดชอบร่วมกันในการใช้รถใช้ถนนอย่างปลอดภัย

นอกจากนี้ คณะทำงานฝ่ายเสริมสร้างภาพลักษณ์ตำรวจจราจรฯ ขอประชาสัมพันธ์เกร็ดความรู้ข้อกฎหมายเพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการใช้ทาง ตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 กรณีเส้นแบ่งช่องจราจร (Lane Lines) โดยเป็นเส้นสีขาว มีทั้งลักษณะเป็นเส้นประหรือเส้นทึบ ใช้สำหรับแบ่งช่องจราจรที่เดินรถไปในทางเดียวกันตั้งแต่ 2 ช่องขึ้นไป ดังนี้

1. เส้นแบ่งช่องเดินรถ คือ เส้นประสีขาว ที่ใช้แบ่งช่องเดินรถทางเดียวกันตั้งแต่ 2 ช่องขึ้นไป ซึ่งสามารถเปลี่ยนช่องจราจรได้เมื่อปลอดภัย และเมื่อผู้ขับขี่จะเลี้ยวรถ เปลี่ยนช่องทางเดินรถ หรือแซงขึ้นหน้ารถคันอื่น ผู้ขับขี่ต้องให้สัญญาณไฟเลี้ยว ในทิศทางที่จะเลี้ยว เปลี่ยนช่องทางเดินรถ หรือแซงขึ้นหน้า 

2. เส้นห้ามเปลี่ยนช่องเดินรถ คือ เส้นทึบสีขาว ที่ห้ามไม่ให้ผู้ขับรถเปลี่ยนช่องจราจร ต้องขับรถอยู่ภายในช่องเท่านั้น เมื่อสิ้นสุดเส้นห้ามเปลี่ยน ให้ปฏิบัติตามเส้นแบ่งช่องเดินรถปกติ

ขณะเดียวกัน สำนักงานตำรวจแห่งชาติยังเดินหน้า “โครงการอาสาตาจราจร” ซึ่งดำเนินการมาแล้วต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 โดยร่วมมือกับภาคีเครือข่าย อาทิ มูลนิธิเมาไม่ขับ , บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) , สถานีวิทยุ สวพ.91 และสถานีวิทยุ จส.100 ขอเชิญชวนประชาชนร่วมส่งคลิปเหตุการณ์การกระทำผิดกฎจราจร หรืออุบัติเหตุที่เกิดขึ้นบนท้องถนน มายังช่องทางของโครงการฯ ได้แก่ เพจอาสาตาจราจร , เพจตำรวจทางหลวง , เพจกองบังคับการตำรวจจราจร รวมถึงเพจเครือข่ายที่ร่วมโครงการ ทั้งเพจมูลนิธิเมาไม่ขับ , สวพ.91 และ จส.100 เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการดำเนินคดี หรือเผยแพร่เป็นอุทาหรณ์เชิงป้องกัน ซึ่งคลิปที่ผ่านการคัดเลือกจะได้รับทั้งเงินรางวัลและใบประกาศเกียรติคุณจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อยกย่องในฐานะพลเมืองดีที่มีส่วนร่วมในการส่งเสริมความปลอดภัยทางถนนอย่างเป็นรูปธรรม

“ทุกสายตาบนท้องถนน คือพลังในการป้องกันอุบัติเหตุและสร้างวัฒนธรรมการขับขี่ที่เคารพกติกา เราขอขอบคุณทุกความร่วมมือที่เกิดขึ้น และพร้อมเดินหน้าสร้างสังคมจราจรที่ปลอดภัยร่วมกับประชาชนทุกคน” พล.ต.ท.นิธิธรฯ กล่าวทิ้งท้าย

ผบช.ภ.2 ยืนยันความพร้อม 'วันไหลพัทยา' ชุดปฏิบัติการ Anti Drone บินตรวจการณ์ มอนิเตอร์ 5,000 กล้องวงจรปิด ลิงก์ CCR พัทยา มาตรการความปลอดภัยสูงสุด คัดกรองเข้ม ใช้ AI ตรวจจับสิ่งผิดปกติ

เมื่อวันที่ (18 เม.ย.68) ที่ สภ.เมืองพัทยา จว.ชลบุรี พล.ต.ท.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 (ผบช.ภ.2) ตรวจความพร้อมในการรักษาความปลอดภัย และอำนวยความสะดวกการจราจร เทศกาลสงกรานต์ 2568 ในพื้นที่ จว.ชลบุรี ทั้งวันไหลนาเกลือ วันไหลบางพระ วันไหลเกาะสีชัง วันไหลเกาะล้าน ที่จัดขึ้นในวันนี้ และที่สำคัญเตรียมพร้อมสำหรับเทศกาลวันไหลพัทยาที่จะมีขึ้นในวันที่ 19 เมษายน 2568 ซึ่งคาดว่าจะมีประชาชนและนักท่องเที่ยวร่วมงานเล่นน้ำสงกรานต์หลายหมื่นคน 

พล.ต.ท.ยิ่งยศ กล่าวว่า เทศกาลวันไหลนาเกลือ คาดว่าจะมีผู้ร่วมงานหลายพันคน จัดเตรียมกำลังตำรวจจาก สภ.เมืองพัทยา สภ.บางละมุง ตำรวจท่องเที่ยว เทศกิจ อส. ร่วมกว่า 200 นาย ร่วมกันวางกำลังดูแลความปลอดภัย อำนวยความสะดวกด้านการจราจรให้ประชาชนและนักท่องเที่ยว พร้อมนำอากาศยานไร้คนขับ หรือโดรน ขึ้นตรวจการณ์เก็บภาพมุมสูงตลอดเส้นทางเล่นน้ำ พร้อมติดตั้งกล้อง CCTV ควบคุมการดูแลตลอด 24 ชั่วโมง สำหรับวันไหลนาเกลือจะเริ่มปิดถนนให้เดินรถทางเดียว ช่วงแยกไฟแดงสว่างฟ้า ถึงแยกไฟแดงนำชัย ตั้งแต่เวลา 14.30 น. – 21.30 น. วันนี้ ( 18 เมษายน 2568 ) 

“ในส่วนวันไหลพัทยา เป็นเทศกาลใหญ่มีประชาชนนักท่องเที่ยวเดินทางมาร่วมกิจกรรมเป็นจำนวนมาก ตำรวจภูธรภาค 2 ให้ความมั่นใจในการดูแลความปลอดภัย และอำนวยความสะดวกด้านการจราจร ระดมกำลังตำรวจท้องที่ หน่วยปฏิบัติการพิเศษ ร่วมกับเทศกิจ อปพร.และภาคีเครือข่ายกว่า 750 นาย ดูแลความปลอดภัย ตรึงกำลังทุกจุด แบ่ง 3 โซนหลัก คือ ไข่แดง  ไข่ขาว และขอบกระทะ วางมาตรการเข้มข้น มีจุดคัดกรองความปลอดภัย ห้ามนำอาวุธ สิ่งผิดกฎหมาย หรืออาจก่อให้เกิดอันตรายเข้าพื้นที่เด็ดขาด เพื่อให้การเล่นน้ำสงกรานต์วันไหลพัทยาเป็นไปอย่างสนุกสนาน ปลอดภัย”

ผบช.ภ.2 กล่าวว่า ในส่วนของการดูแลความปลอดภัยเรามี “ชุดปฏิบัติการต่อต้านอากาศยานไร้คนขับ หรือ Anti Drone พลุ ชายหาด” ใช้โดรนตรวจการณ์เก็บภาพมุมสูงเพื่อการรักษาความปลอดภัย ดูปริมาณคนและรถเพื่อบริหารจัดการพื้นที่ และบริหารจัดการจราจร ตรวจจับโดรนที่ไม่ได้รับอนุญาต ขณะเดียวกันเชื่อมต่อกล้อง CCTV บริเวณชายหาด และพื้นที่จัดงานมายังศูนย์ปฏิบัติการส่วนหน้า สภ.เมืองพัทยา เชื่อมต่อกับ ศูนย์ Command and Control Room Pattaya City  หรือ CCR  ในการรักษาความปลอดภัยวันไหลพัทยา เจ้าหน้าที่มอนิเตอร์ผ่านกล้องวงจรปิดกว่า 5,000 ตัว ติดตามเก็บภาพเพื่อการดูแลความปลอดภัยสูงสุด มีรถโมบายติดตั้งกล้อง CCTV มีรถโมบายติดตั้งกล้อง CCTV ประจำการในพื้นที่จัดกิจกรรม โดยนำเทคโนโลยี AI ประมวลผลตรวจจับสิ่งผิดปกติ ทั้งบุคคล พฤติกรรม อาวุธ ทะเบียนรถ ทั้งนี้เน้นย้ำเจ้าหน้าที่ให้ดูแลเฝ้าระวังการทะเลาะวิวาท ที่อาจทำให้เกิดเหตุบานปลายขึ้น โดยได้เตรียมแผนเผชิญเหตุรองรับสถานการณ์ต่าง ๆ ไว้แล้ว

“ในงานวันไหลพัทยา ตำรวจภูธรภาค 2 จัดเซอร์วิสเลน ในพื้นที่ขาลงจากแยกพัทยาสาย 2 พัทยากลาง – แยกวัดชัยมงคล ระยะทาง 660 เมตร เป็นช่องทางฉุกเฉิน รองรับการช่วยเหลือประชาชน นักท่องเที่ยว กรณีฉุกเฉิน และเคลื่อนย้ายทางการแพทย์ ขณะเดียวกันต้องบริหารจัดการจราจรเส้นทางโดยรอบให้การจราจรคล่องตัวที่สุด ส่งผลกระทบกับผู้สัญจรน้อยที่สุด โดยกำชับให้ประชาสัมพันธ์อย่างต่อเนื่อง โดยประชาชนติดตามได้ทางเพจเฟซบุ๊ก “ตำรวจภูธรภาค 2”  และ “ตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี” อย่างไรก็ตามจากการลงพื้นที่ดูความพร้อมในวันนี้ยืนยันได้ว่าตำรวจภูธรภาค 2 และหน่วยงานร่วมปฏิบัติมีความพร้อมทั้งคน และระบบ ขอเชิญชวนมาท่องเที่ยวเทศกาลวันไหลพัทยาเราพร้อมดูแล ขอให้วางแผนการเดินทางให้ดี เดินทางด้วยความปลอดภัย เราจะบังคับใช้กฎหมายจราจรอย่างเข้มข้นใน 10 ข้อหาหลักโดยเฉพาะ เมาแล้วขับ ขับรถเร็ว ไม่สวมหมวกกันน็อก ไม่คาดเข็มขัดนิรภัย ฯลฯ เพื่อความปลอดภัยในการเดินทางของทุกท่าน” ผบช.ภ.2 กล่าว

กฟผ. ยืนยันเขื่อนใหญ่ทั่วประเทศปลอดภัยจากแผ่นดินไหว มีเทคโนโลยี ICOLD ตรวจสอบล้ำสมัย เฝ้าระวังพฤติกรรมเขื่อนแบบเรียลไทม์

(18 เม.ย. 68) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ยืนยันเขื่อนขนาดใหญ่ภายใต้การดูแลมีความมั่นคงแข็งแรงและปลอดภัยสูงสุด โดยได้รับการออกแบบให้รองรับแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหว พร้อมดำเนินการเฝ้าระวังและตรวจสอบพฤติกรรมเขื่อนตามมาตรฐานสากลอย่างเคร่งครัด ประชาชนสามารถติดตามข้อมูลความมั่นคงปลอดภัยของเขื่อนได้ผ่านแอปพลิเคชัน 'EGAT ONE'

นายชวลิต กันคำ ผู้ช่วยผู้ว่าการผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน กฟผ. เปิดเผยว่า จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ในประเทศเมียนมา และส่งผลกระทบต่ออาคารบ้านเรือนในหลายจังหวัดของไทย ทำให้ประชาชนบางส่วนเกิดความกังวลต่อความมั่นคงของเขื่อนขนาดใหญ่ในประเทศ ซึ่ง กฟผ. ขอยืนยันว่าเขื่อนทุกแห่งได้รับการออกแบบให้รองรับแผ่นดินไหวไว้ล่วงหน้าแล้ว อีกทั้งมีระบบเฝ้าระวัง ตรวจสอบ และติดตามพฤติกรรมเขื่อนด้วยเครื่องมือวัดเฉพาะทางตามมาตรฐานสากลขององค์การเขื่อนใหญ่ระหว่างประเทศ (ICOLD)

จากการตรวจวัดของเครื่องมือวัดอัตราเร่งพบว่า เขื่อนขนาดใหญ่ของ กฟผ. ไม่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวในครั้งนี้ โดยมีค่าที่ตรวจวัดได้อยู่ในระดับต่ำมากเมื่อเทียบกับค่าที่ออกแบบไว้ ตัวอย่างเช่น

เขื่อนสิริกิติ์ จ.อุตรดิตถ์ (ห่างศูนย์กลางแผ่นดินไหว 546.36 กม.) ตรวจวัดได้ 0.00074g 

เขื่อนภูมิพล จ.ตาก (ห่าง 482.82 กม.) ตรวจวัดได้ 0.00457g 

เขื่อนศรีนครินทร์ จ.กาญจนบุรี (ห่าง 820 กม.) ตรวจวัดได้ 0.00473g 

เขื่อนวชิราลงกรณ จ.กาญจนบุรี (ห่าง 809.8 กม.) ตรวจวัดได้ 0.02590g

ในขณะที่เขื่อนทุกแห่งของ กฟผ. ได้รับการออกแบบให้สามารถรองรับแผ่นดินไหวที่มีอัตราเร่งถึง 0.1–0.2g ซึ่งถือว่าสูงกว่าค่าที่เกิดขึ้นจริงหลายเท่า

ด้านมาตรการดูแลความปลอดภัย เขื่อนและอ่างเก็บน้ำของ กฟผ. ได้ดำเนินการตรวจสอบอย่างเข้มงวดใน 3 ระดับ ได้แก่

ตรวจสอบแบบประจำ – ดำเนินการทุกสัปดาห์ โดยเจ้าหน้าที่เฉพาะทางติดตามข้อมูลจากเครื่องมือ

ตรวจวัด ตรวจสอบแบบเป็นทางการ – ทุก 2 ปี โดยคณะกรรมการประเมินความมั่นคงปลอดภัยของเขื่อน 

ตรวจสอบกรณีพิเศษ – เมื่อเกิดเหตุการณ์ผิดปกติ เช่น แผ่นดินไหวรุนแรง น้ำหลาก หรือฝนตกหนัก

ทั้งนี้ เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลด้านความปลอดภัยได้อย่างรวดเร็ว กฟผ. ได้พัฒนาแอปพลิเคชัน EGAT ONE รองรับทั้งระบบ iOS และ Android สำหรับติดตามสถานการณ์น้ำ ข้อมูลเขื่อน และการแจ้งเตือนต่าง ๆ โดยตรงจาก กฟผ. ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

‘เอกนัฏ’ ดันมาตรฐานใหม่บันไดเลื่อน-ทางเลื่อนอัตโนมัติ คุมเข้มความปลอดภัยตามมาตรฐานสากล รองรับแผ่นดินไหว

(18 เม.ย. 68) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2568 ได้มีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมประเภท 'บันไดเลื่อน' และ 'ทางเลื่อนอัตโนมัติ' ต้องเป็นไปตามมาตรฐานใหม่ เพื่อยกระดับความปลอดภัยของประชาชน โดยจะมีผลบังคับใช้หลังประกาศในราชกิจจานุเบกษา 90 วัน คาดมีผลจริงภายในเดือนตุลาคม 2568

“ผมได้สั่งการให้ สมอ. เร่งผลักดันให้บันไดเลื่อนและทางเลื่อนอัตโนมัติเป็นสินค้าควบคุมตามกฎหมาย เนื่องจากเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่สาธารณะ เช่น ห้างสรรพสินค้า สนามบิน รถไฟฟ้า รถไฟใต้ดิน และอาคารสำนักงานต่าง ๆ โดยเฉพาะในยุคที่ภัยแผ่นดินไหวไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป มาตรฐานใหม่จึงต้องครอบคลุมถึงการรองรับเหตุแผ่นดินไหวด้วย” นายเอกนัฏ กล่าว

ด้านนายวันชัย พนมชัย เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เปิดเผยเพิ่มเติมว่า มาตรฐานฉบับใหม่นี้เป็นไปตามมาตรฐานสากล (ISO) ที่ทั่วโลกให้การยอมรับ โดยเฉพาะในด้าน ความปลอดภัยและระบบไฟฟ้า พร้อมเทคโนโลยีระบบตรวจจับแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหว เมื่อเกิดเหตุระบบจะหยุดทำงานโดยอัตโนมัติทันที

จุดเด่นของมาตรฐานใหม่ ได้แก่

1.ระบบตรวจจับแผ่นดินไหวเชื่อมต่อกับระบบไฟฟ้า หยุดทำงานทันทีเมื่อเกิดแรงสั่นสะเทือน

2.มีโครงสร้างยึดติดแนวดิ่งป้องกันการเคลื่อนหลุดออกจากฐาน

3.ความยาว-ระยะเคลื่อนตัวสอดคล้องกับการเคลื่อนไหวของอาคาร

4.หยุดทำงานอัตโนมัติหากระบบเบรกขัดข้อง ความเร็วผิดปกติ หรือมีสิ่งแปลกปลอมเข้าไปติด

5.ป้องกันการเกิดอุบัติเหตุในพื้นที่สาธารณะ

โดย ผู้ผลิต ผู้นำเข้า และผู้จำหน่าย จะต้องขอรับใบอนุญาต มอก.3778 เล่ม 1–2567 ให้แล้วเสร็จก่อนจำหน่าย โดยหากฝ่าฝืนจะมีความผิดตามกฎหมาย โดยเมื่อวันที่ 3 เมษายนที่ผ่านมา สมอ. ได้จัดสัมมนาเตรียมความพร้อมแก่ผู้ประกอบการ ซึ่งมีผู้เข้าร่วมถึง 92 ราย

ทั้งนี้ มาตรการใหม่นี้ไม่เพียงแต่ยกระดับความปลอดภัยของประชาชนในชีวิตประจำวัน แต่ยังเป็นการปรับมาตรฐานของประเทศให้ทันต่อสถานการณ์ภัยธรรมชาติ และเพิ่มความมั่นใจในการใช้โครงสร้างพื้นฐานสาธารณะของประชาชนทั่วประเทศ

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง สร้างอาชีพ สร้างชีวิต มอบอุปกรณ์ประกอบอาชีพแก่สตรี แม่เลี้ยงเดี่ยวหรือด้อยโอกาส ในพื้นที่จังหวัดชลบุรี พร้อมมอบรถเข็นวีลแชร์แก่ผู้พิการด้อยโอกาส มอบจักรยานให้แก่โรงเรียนในพื้นที่ชนบท และนำหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ออกบริการประชาชนฟรี

(18 เม.ย.68) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นางศิริกุล โอภาสวงศ์ กรรมการและเลขาธิการ พร้อมด้วย นายจารุรัตน์ คุณัตถานนท์ กรรมการและเหรัญญิก นางชุติมา ตันติศิริวัฒน์ ผู้ช่วยกรรมการ นางสาวดวงชุตา ติยะพจนพรกุล ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์ นางสาวศุภรัตน์ สมบัติเจริญไทย หัวหน้าแผนกส่งเสริมการศึกษาและอาชีพ และ นางสาวเนาวรัตน์ วรรณศิริ หัวหน้าแผนกหน่วยแพทย์สงเคราะห์ชุมชน นำทีมลงพื้นที่จังหวัดชลบุรี มอบวัสดุอุปกรณ์ประกอบอาชีพให้แก่สตรีที่มีรายได้น้อยมีภาระหน้าที่ดูแลคนในครอบครัว เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว หรือด้อยโอกาสทางสังคม มีความรู้ความสามารถ แต่ขาดแคลนวัสดุอุปกรณ์ประกอบอาชีพ จำนวน 6 ราย พร้อมมอบรถเข็นวีลแชร์แก่ผู้พิการด้อยโอกาส จำนวน 10 ราย และมอบจักรยาน แก่โรงเรียนชนบทที่ขาดแคลน จำนวน 2 โรงเรียน รวมจำนวน 20 คัน พร้อมกระบอกน้ำขนาด 1 ลิตร รวมมูลค่าการดำเนินการช่วยเหลือชาวชลบุรีในครั้งนี้ทั้งสิ้น 184,072 บาท (หนึ่งแสนหนึ่งหมื่นแปดพันห้าร้อยยี่สิบบาทถ้วน) พร้อมกันนี้ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้นำทีมหน่วยแพทย์ฯ ลงพื้นที่ให้บริการประชาชนฟรี ประกอบด้วย บริการตรวจรักษาโรคทั่วไป จ่ายยา ตรวจวัดสายตาพร้อมแจกแว่น ฯลฯ โดยมี นายพงศ์ธสิษฐ์ ปิจนันท์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี พร้อมด้วย นางสาวแรมรุ้ง วรวัธ อธิบดีกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว นายนัธทวัฒน์ ธนโชติชัยพัชร์ ผู้อำนวยการศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพฯ 36 พรรษา จังหวัดชลบุรี และนางสาวอัญชลี จงคดีกิจ (ปุ๊-อัญชลี) อาสาสมัครศิลปินมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ร่วมในพิธี ณ ศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพฯ 36 พรรษา จังหวัดชลบุรี

นางศิริกุล โอภาสวงศ์ กรรมการและเลขาธิการ เปิดเผยว่า โครงการส่งเสริมอาชีพเพื่อสตรีและครอบครัว มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง มีวัตถุประสงค์เพื่อมอบวัสดุอุปกรณ์ประกอบอาชีพ แก่ สตรี บุรุษ พ่อเลี้ยงเดี่ยว หรือผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ ที่มีความรู้และความสามารถ ฐานะยากจน ขาดแคลนวัสดุอุปกรณ์ในการประกอบอาชีพ โดยเราได้รับความร่วมมือจากศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวและสถานคุ้มครองและพัฒนาอาชีพ จำนวน 12 แห่ง ได้แก่ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี ชลบุรี สงขลา สุราษฎร์ธานี นครราชสีมา ศรีสะเกษ ขอนแก่น ลำพูน ลำปาง เชียงราย และพิษณุโลก

ตลอดระยะเวลากว่า 115 ปี ที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ  ศาสนา เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาคุณภาพชีวิตอีกในหลายทาง เพื่อเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนครบวงจรในทุกๆ ด้าน ต่อไป ดังปณิธาน “มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต”

ติดตามข่าวสาร และกิจกรรมการช่วยเหลือของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ที่เว็บไซต์ www.pohtecktung.org และ เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung

“ฉาวรักคนดัง vs ปัญหาชาติ?” ดร.อานนท์สะกิดสังคม เลิกสนใจเรื่องใต้สะดือคนอื่น หันมาสนอนาคตประเทศ

(18 เม.ย. 68) จากกรณีเรื่องฉาวสะเทือนวงการบันเทิง เมื่ออดีตแฟนของสาวรายหนึ่ง ออกมาแฉ ‘โตโน่’ ภาคิน คำวิลัยศักดิ์ นอกใจดาราสาว ‘ณิชา’ ณัฏฐณิชา ไปซุ่มคบหากับแฟนของตัวเองทั้งที่มีแฟนอยู่แล้วทั้งคู่ และมีการเปิดคลิปเสียงหน้ารถ และข้อความสุดสยิวย้ำถึงความสัมพันธ์ จนกลายเป็นเรื่องราวสุดฮอตในโลกโซเชียลมีเดีย ณ ขณะนี้ 

ทำให้ล่าสุดเมื่อวันที่ 18 เมษายน 2568 ผศ.ดร. อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ อาจารย์ประจำคณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (NIDA) ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว Arnond Sakworawich แสดงความเห็นต่อกระแสข่าวดังกล่าวว่า

“สังคมไทยถ้าสนใจข่าวใครมีเพศสัมพันธ์กับใคร ใครนอกใจใครลดลงไปบ้างก็คงจะดี
ไม่มีประโยชน์อะไรเท่าไหร่ ล้วนเป็นเรื่องของอวัยวะเพศของพวกเขา สนใจปัญหาชาติบ้านเมือง เศรษฐกิจไทย เศรษฐกิจโลก สงครามการค้า อะไรแบบนี้บ้างก็ดีนะครับ” 

โดยข้อความดังกล่าวได้รับการแชร์ต่อและมีการแสดงความเห็นอย่างหลากหลาย บางส่วนเห็นด้วยกับแนวคิดที่ชี้ให้สังคมหันมาให้ความสำคัญกับปัญหาเชิงโครงสร้าง ขณะที่อีกฝ่ายยังคงให้ความสนใจต่อประเด็นดราม่าในวงการบันเทิง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top