Friday, 9 May 2025
NEWS FEED

'กฟผ.ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 3 ฝ่าย' นำสื่อมวลชนภาคอีสาน เยี่ยมชมการผลิตกระแสไฟฟ้า พร้อมส่งต่อข้อมูลข่าวสารให้ ปชช

กฟผ. ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 3 ฝ่าย ร่วมกับ กฟผ. กชส-ย. จัดโครงการสื่อมวลชนสัมพันธ์ ประจำปี 2568 นำสื่อมวลชนจากจังหวัดขอนแก่น ชัยภูมิ และนครราชสีมา จำนวน 42 คน เข้าเยี่ยมชมการผลิตกระแสไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าบางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา, ศูนย์เรียนรู้ กฟผ. ลำตะคอง จังหวัดนครราชสีมา และโรงไฟฟ้าศรีราชา (GSRC) จ.ชลบุรี มีวัตถุประสงค์เพื่อสานสัมพันธ์ร่วมกับสื่อมวลชนที่มีการจัดกิจกรรมขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีการนำเสนอภารกิจ กฟผ. ในการผลิตกระแสไฟฟ้าและส่งจ่ายกระแสไฟฟ้าให้การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย เพื่อส่งต่อไปยังประชาชนต่อไป

เมื่อวันที่ (7 พ.ค.68) ที่ สฟ. นครราชสีมา 1 นายสหชาติ พิลาออน ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (อปอ. ) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เป็นประธาน ในพิธีเปิดโครงการสื่อมวลชนสัมพันธ์ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประจำปี 2568 และบรรยายเรื่อง 'กฟผ. ก้าวต่อไปอย่างมั่นคง' โดยโครงการสื่อมวลชนสัมพันธ์ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประจำปี 2568 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 7-10 พฤษภาคม 2568  นำสื่อมวลชนจากจังหวัดขอนแก่น ชัยภูมิ และนครราชสีมา จำนวน 42 คน เข้าเยี่ยมชมการผลิตกระแสไฟฟ้าจาก โรงไฟฟ้าบางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา, ศูนย์เรียนรู้ กฟผ. ลำตะคอง จังหวัดนครราชสีมา และโรงไฟฟ้าศรีราชา (GSRC) จ.ชลบุรี มีวัตถุประสงค์เพื่อสานสัมพันธ์ร่วมกับสื่อมวลชนที่มีการจัดกิจกรรมขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีการนำเสนอภารกิจ กฟผ. ในการผลิตกระแสไฟฟ้าและส่งจ่ายกระแสไฟฟ้าให้การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย เพื่อส่งต่อไปยังประชาชนต่อไป, สถานการณ์ ระบบไฟฟ้าของประเทศไทย

ปัจจุบันและอนาคต สาธิตการบำรุงรักษาเสาและสายส่งไฟฟ้าแรงสูง และขอความร่วมมือในการเผยแพร่ข้อมูล กฟผ. ที่เกี่ยวข้องกับประชาชนให้ช่วยดูแลรักษาสายส่งไฟฟ้าแรงสูง ป้องกันไฟฟ้าดับจากการกระทำที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ อาทิ ข้อกำหนดความปลอดภัยในเขตเดินสายส่งไฟฟ้าแรงสูง การงดปลูกต้นไม้ยืนต้น และบ้านเรือนใกล้แนวสายส่งฯ, งดเผาหญ้าไร่อ้อยใต้สายส่งฯ, การระมัดระวังอันตรายต่อชีวิตในการขับรถแม็คโคร รถขุด รถตัก ต้องลดระดับลงเมื่อลอดสายส่งไฟฟ้าแรงสูง ฯลฯ 

ในโอกาสนี้มี คณะผู้บริหาร และคณะทีมงาน กฟผ. ร่วมให้การต้อนรับและร่วมเดินทางไปกับคณะสื่อมวลชน อาทิ นายวิษณุ วัฒนเวชรัตน์  ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายปฎิบัติภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 2 (ช.อปอ.2), นางสาวเกษณภา มหารัตนวงศ์  ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์ความยั่งยืน 1, นายพลากร บุญห่อ หัวหน้ากองประชาสัมพันธ์และชุมชนสัมพันธ์ระบบส่ง (กชส-ย.), นายอนุพงษ์  เมืองครุธ หัวหน้าแผนกประชาสัมพันธ์และชุมชนสัมพันธ์โรงไฟฟ้าน้ำพอง(หชฟพ-ย.), นายจีราวัฒน์ กมลวิศาล หัวหน้าแผนกประชาสัมพันธ์และชุมชนสัมพันธ์โรงไฟฟ้าพลังน้ำภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (หชฟอ-ย.) และ น.ส. อภิสราธรณ์ ปัณณะมณีธนโชติ วิทยากรระดับ 8  แผนกประชาสัมพันธ์และชุมชนสัมพันธ์ระบบส่ง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (หชสอ-ย.) ฝ่ายปฏิบัติการภาคตะวันออกเฉียงเหนือ  (อปอ.) ร่วมด้วย คณะ กฟผ. จาก สถานีไฟฟ้าแรงสูงนครราชสีมา 1 คือ นายวิโรจน์ มณีเนตร หัวหน้าสำนักงานนครราชสีมา และ หัวหน้าแผนกบำรุงรักษาสถานีไฟฟ้าแรงสูง 2 , นายปรีชา สุขสวาท หัวหน้าแผนกบำรุงรักษาสายส่ง 2, นายมานพ หิรัญพิศ หัวหน้าหน่วยปฏิบัติการและบำรุงรักษาสายส่งนครราชสีมา 1, นายบุญเชิด กระจายกลาง หัวหน้าหน่วยปฏิบัติการและบำรุงรักษาสายส่งชัยภูมิ พร้อมทีมงาน

การจัดโครงการสื่อมวลชนสัมพันธ์ประจำปี 2568 ดำเนินการโดย แผนกประชาสัมพันธ์และชุมชนสัมพันธ์ระบบส่ง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (หชสอ-ย.), แผนกประชาสัมพันธ์และชุมชนสัมพันธ์โรงไฟฟัาน้ำพอง (หชฟพ-ย.) และ แผนกประชาสัมพันธ์และชุมชนสัมพันธ์โรงไฟฟ้าพลังน้ำภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (หชฟอ-ย.) ร่วมกับ กองประชาสัมพันธ์และชุมชนสัมพันธ์ระบบส่ง (กชส-ย.) ฝ่ายกลยุทธ์ความยั่งยืน (อกย.) ซึ่งสื่อมวลชนที่ร่วมโครงการฯ ได้ให้ความสนใจ มีความเข้าใจตามวัตถุประสงค์โครงการฯ และยินดีจะนำข้อมูลของ กฟผ.ไปเผยแพร่ต่อประชาชนผ่านสื่อในสังกัดตนเองต่อไป

ด้าน นายสหชาติ พิลาออน ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (กฟผ.) กล่าวว่า กฟผ.มีหน้าที่ผลิต และส่งจ่ายไฟฟ้า เพราะส่วนมากโรงไฟฟ้าหลักๆ จะอยู่ห่างไกลจากผู้ใช้ไฟฟ้า ต้องอาศัยสายส่งไฟฟ้าเป็นตัวเชื่อมในการทำงานที่นี้ใช้ส่งไฟฟ้าแรงสูง เพราะกว่าจะได้มาต้องอาศัย การใช้รอนสิทธิ์จากพี่น้องประชาชน กว่าจะได้ใช้ส่งไฟฟ้าแรงสูงมา เพราะสายส่งเราเชื่อมโยงรับไฟมา และเชื่อมโยงระหว่างกัน จากสถานีไฟฟ้าเชื่อมโยงไปยังสถานีจังหวัด และอำเภอ ต่างๆและส่งให้ไฟฟ้าไปจำหน่าย ส่วนในการดูแลสายส่งไฟฟ้าแรงสูง เราต้องอาศัยในการดูแลจากพี่น้องประชาชนในชุมชนใกล้ๆ เพื่อช่วยเหลือสายส่งในการทำหน้าที่ ขนส่งไฟฟ้า เพื่อหลีกเลี่ยงในการทำให้สายส่งไฟฟ้าทำงานไม่ได้ เช่นไปจุดไฟใต้สายส่งไฟฟ้าแรงสูง การเผาอ้อย หรือแม้แต่ไปปลูกต้นไม้ใกล้เกินไป ดังนั้นจึงขอให้พี่น้องประชาชนช่วยดูแล สายส่งไฟฟ้าแรงสูงของกฟผ.ด้วยกัน

นายสหชาติ  กล่าวอีกว่า ส่วนความต้องการในการใช้ไฟฟ้าถ้ามองตาม GDP แล้ว ซึ่งจะเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว จากการนับ ณ ปัจจุบัน การสร้างโรงงานไฟฟ้า นั้นจะกระจุกอยู่ในตัวในพื้นที่ที่เหมาะสม กับเชื้อเพลิงที่จะผลิตไฟฟ้านั้น โดยการส่งไฟฟ้าแรงสูงอีกมาก ซึ่งสายส่งไฟฟ้าแรงสูงถ้าจะส่งไฟฟ้าได้จำนวนมาก จะต้องใช้แรงดันไฟฟ้าสูง ๆ เพื่อเชื่อมโยงให้เกิดความมั่นคง ตอนนี้มีสายส่งทีเชื่อมโยงใกล้ที่จะมั่นคงมาก ๆ แล้ว  โดยมีการเชื่อมโยงกับ สปป.ลาว เชื่อมโยงกับ ภาคเหนือ ภาคกลาง เมื่อได้สายส่งที่เชื่อมโยงอย่างนี้แล้วจะมีความมั่นคงอย่างมาก 

นายสหชาติ กล่าวท้ายสุดว่า จากสถานการณ์ไฟฟ้าดับในยุโรป คือโปรตุเกส และสเปน นั้นส่วนหนึ่งมากจากการใช้พลังงานหมุนเวียนที่มาก เมื่อเทียบกับโรงไฟฟ้าหลักและประเทศนั้น ๆ มีสายส่งเชื่อมโยงกับประเทศฝรั่งเศส แต่เผอิญว่าพลังงานที่มันหายไปมันเยอะ กว่าพลังงานที่อื่นจะส่งผ่านสายส่งไฟฟ้าเข้ามาได้ ในส่วนของ กฟผ.เรามีสายส่งไฟฟ้าเชื่อมโยงกันที่แข็งแกร่ง ค่อนข้างมาก มันทำให้สามารถที่จะส่งไฟอีกภาคหนึ่งมาช่วยอีกภาคหนึ่งได้ เช่น ถ้าภาคอีสานมีฟ้าจากโรงไฟฟ้าใหญ่ ๆ หายไปแต่เรายังสามารถรับไฟจากภาคเหนือ หรือภาคกลาง มาช่วยเสริมความมั่นคงในภาคอีสานได้

ลำปาง-มทบ.32 รวมพลังจิตอาสา ร่วมบริจาคโลหิตในโครงการ '70 พรรษา 70 ล้านซีซี' เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วย และถวายเป็นพระราชกุศล

เมื่อวานนี้ (8 พ.ค.68) เวลา 08.30 น. พลตรีวิชาญ ศรีภัทรางกูร ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 32 พร้อมด้วย พันเอกสุกิจ ภิญโญ เสนาธิการมณฑลทหารบกที่ 32 นำกำลังพลจิตอาสาพระราชทาน จำนวน 22 นาย เข้าร่วมบริจาคโลหิต ณ ห้องรับบริจาคโลหิต โรงพยาบาลลำปาง

การบริจาคในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยที่มีความต้องการโลหิตในการรักษาพยาบาล และเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในโอกาสทรงเจริญพระชนมพรรษา 70 พรรษา ภายใต้โครงการ '70 พรรษา 70 ล้านซีซี'

ทั้งนี้ มณฑลทหารบกที่ 32 ได้ร่วมกันบริจาคโลหิตได้รวมทั้งสิ้น 6,750 ซีซี สะท้อนถึงความเสียสละและจิตสาธารณะของกำลังพล ที่ร่วมกันสร้างคุณประโยชน์ต่อสังคมอย่างต่อเนื่อง

เชียงใหม่-ตำรวจภูธรภาค 5 แถลงผลการสืบสวนจับกุมผู้ต้องหาคดียาเสพติดรายสำคัญ จำนวน 2 คดี

เมื่อวานนี้ (8 พ.ค.68) เวลา 10.30 น. ณ ลานแถลงข่าว อาคารกองบังคับการสืบสวนสอบสวน ตำรวจภูธรภาค 5 อ.เมืองเชียงใหม่ จ.เชียงใหม่ ตามนโยบายรัฐบาล สั่งการให้หน่วยงานของรัฐที่ทำหน้าที่ในการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดบูรณาการแก้ไขปัญหายาเสพติดในทุกมิติ ได้รับบัญชาและข้อสั่งการนำไปสู่การปฏิบัติ

พล.ต.ท.กฤตธาพล ยี่สาคร ผบช.ภ.5 เป็นประธานการแถลงผลการสืบสวนจับกุมผู้ต้องหาคดียาเสพติดรายสําคัญ จำนวน  2 คดี ดังนี้ 1.สภ.แม่พริก จ.ลำปาง จับกุมผู้ต้องหา 7 คน รถยนต์ 2 คัน พร้อมของกลาง ไอซ์ จำนวน 305 กก. 2.สภ.แม่สรวย จ.เชียงราย จับกุมผู้ต้องหา 2 คน  รถยนต์บรรทุก 1 คัน พร้อมของกลางยาบ้าจำนวน 1,576,000 เม็ด 

โดยมี นายปฤษปฎางค์ สามัคคีนิชย์ นายอำเภอแม่สรวย, นายกองตรีปิยะวุฒิ พิทักษ์บริบาล นายอำเภอแม่พริก, พ.ต.อ.ชาญชัยวัฒน์ เปล่งสันเทียะ เสนาธิการ กอ.รมน.ภ.3 สย.2, พล.ต.ต.วรพงศ์  คำลือ ผบก.สส.ภ.5, รอง ผบก.สส.ภ.5, รอง ผบก.ภ.จว.ลำปาง, รอง ผบก.ภ.จว.เชียงราย, ผู้แทน เสธ.นบ.ยส.35, ผู้แทน ปปส.ภ.5 ร่วมแถลงผลการจับกุม

คดีที่ 1วันที่จับกุม วันที่ 5 พฤษภาคม 2568 เวลาประมาณ 06.30 น. สถานที่เกิดเหตุ อุโมงค์เอกซเรย์ด่านตรวจแม่พริก ม.5 ต.พระบาทวังตวง อ.แม่พริก จว.ลำปาง ผู้ต้องหา 7 คน ขณะทำการตรวจสอบ ได้แสดงอาการพิรุธหน้าซีดตัวสันคล้ายกับคนมีสิ่งของ ผิดกฎหมายซุกซ่อน ก่อนการตรวจค้นเจ้าหน้าที่ได้แสดงความบริสุทธิ์ใจให้บุคคล ทั้ง 7 คน ดูจนเป็นที่พอใจและยินยอมให้ตรวจสอบด้วยความสมัครใจ ตรวจค้นบุคคลทั้ง 4 คน ที่มากับรถนำ ไม่พบสิ่งของผิดกฎหมายตรวจค้นบุคคลทั้ง 3 คน และรถยนต์ (รถตู้นั่งสี่ตอน) พบกระสอบต้องสงสัยว่า อาจจะซุกซ่อนยาเสพติดหรือสิ่งของผิดกฎหมาย จึงได้เชิญตัวทั้ง 7 คน พร้อมรถยนต์ทั้ง 2 คัน มายังด่านตรวจแม่พริก 

ผลการตรวจสอบพบยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีนไฮโดรคลอไรด์หรือไอซ์) จำนวน 13 กระสอบ รวมน้ำหนักประมาณ 305 กิโลกรัม จึงได้จับกุมและแจ้งข้อกล่าวหาให้ทั้ง 7 คนทราบ และทำการจับกุมผู้ต้องหาพร้อมของกลางทั้งหมด นำส่งพนักงานสอบสวน สภ.แม่พริก จว.ลำปาง ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

คดีที่ 2 วันที่จับกุมวันที่ 6 พฤษภาคม 2568 เวลาประมาณ 07.30 น.สถานที่เกิดเหตุ ด่านตรวจยาเสพติดท่าก๊อ ม.14 ต.ท่าก๊อ อ.แม่สรวย จว.เชียงราย (ผู้ต้องหาที่ 1) ต่อเนื่อง จุดตรวจยาเสพติดถ้ำปลา ต.โป่งงาม อ.แม่สาย จว.เชียงราย (ผู้ต้องหาที่ 2) ผู้ต้องหา 2 คน ผลการตรวจค้นพบยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีนหรือยาบ้า) จำนวน 8 กระสอบ เป็นยาบ้าจำนวนประมาณ 1,576,000 เม็ด และต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมได้ทำการขยายผลการจับกุม จนสามารถจับกุมนายณรงค์ชัยได้ที่บริเวณจุดตรวจยาเสพติดถ้ำปลา ต.โป่งงาม อ.แม่สาย จว.เชียงราย จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุม จึงได้ทำการจับกุมผู้ต้องหาพร้อมของกลางทั้งหมด นำส่งพนักงานสอบสวน สภ. แม่สรวย จว.เชียงราย

ตำรวจภูธรภาค 5 บูรณาการร่วมกับหน่วยงานทุกภาคส่วน ทั้ง ฝ่ายทหาร ฝ่ายปกครอง สำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด และนำบัญชาข้อสั่งการของรัฐบาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวง ยุติธรรม และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติดไม่ให้เข้าไปสู่พื้นที่ตอนในอย่างเข้มข้นและจริงจัง และนำไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม

สรุปผลการจับกุมยาเสพติด ของ ตำรวจภูธรภาค 5 ห้วงตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2567 - 7 พฤษภาคม  2568  จับกุมคดียาเสพติด จำนวน 13,357 คดี คดียาเสพติดรายสำคัญ 140 คดี  ตรวจยึดของกลางยาเสพติด ยาบ้า 131 ล้านเม็ดเศษ ไอซ์ 8,450 กิโลกรัมเศษ เฮโรอีน 148 กิโลกรัม เคตามีน 1,100 กิโลกรัมเศษ ฝิ่น 64 กิโลกรัมเศษ ตรวจยึดทรัพย์สินที่เกี่ยวกับยาเสพติด มูลค่าทรัพย์สินประมาณ 392 ล้านบาทเศษ

ประกันสังคมปรับเพิ่มสิทธิ 'ว่างงานจากการเลิกจ้าง' รับเงินทดแทนเป็น 60% จากเดิม 50% ของค่าจ้าง

(8 พ.ค. 68) นางมารศรี ใจรังษี เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม เปิดเผยว่า สำนักงานประกันสังคม โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการประกันสังคม ได้เสนอร่างกฎกระทรวง ปรับเพิ่มอัตราการได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานเหตุเพราะถูกเลิกจ้าง จากอัตราร้อยละ 50 ของค่าจ้างรายวัน เป็นร้อยละ 60 ของค่าจ้างรายวัน โดยได้รับครั้งละไม่เกิน 180 วันต่อปีปฏิทิน เพื่อให้ผู้ประกันตนที่ว่างงานจากการถูกเลิกจ้างได้รับประโยชน์ทดแทนเพียงพอต่อการดำรงชีวิตจากสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน โดยในการประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 6 พ.ค. 68 ได้มีมติเห็นชอบ ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าว อยู่ในขั้นตอนตามกฎหมายของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เพื่อดำเนินการส่งกลับมาให้สำนักงานประกันสังคมเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานลงนามในร่างกฎกระทรวง และส่งประกาศราชกิจจานุเบกษา โดยจะมีผลบังคับใช้ในวันถัดจากวันประกาศ

นางมารศรี กล่าวต่อไปว่า ประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานนั้น นอกจากจะให้การดูแลลูกจ้างที่สิ้นสภาพการเป็นผู้ประกันตนมาตรา 33 ในกรณีถูกเลิกจ้างแล้ว ยังครอบคลุมถึงการว่างงานจากกรณีลาออก หรือสิ้นสุดสัญญาจ้างอีกด้วย โดยผู้ประกันตนจะได้รับเงินทดแทนในอัตราร้อยละ 30 ของค่าจ้างรายวัน ครั้งละไม่เกิน 90 วันต่อปีปฏิทิน ซึ่งการรับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานของผู้ประกันตนมีหลักเกณฑ์และเงื่อนไข คือ จะต้องจ่ายเงินสมทบมาแล้ว 6 เดือน ภายในระยะเวลา 15 เดือน ก่อนการว่างงาน โดยมีระยะเวลาการว่างงานตั้งแต่ 8 วันขึ้นไป พร้อมทั้งต้องขึ้นทะเบียนผู้ว่างงานผ่านเว็บไซต์ของกรมการจัดหางาน https://unemploy.doe.go.th และรายงานตัวผ่านเว็บไซต์ดังกล่าวไม่น้อยกว่าเดือนละ 1 ครั้ง ทั้งนี้ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วน 1506 ให้บริการทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง

รพ.สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ จัดกิจกรรมวันพยาบาลสากล ปี 68 เพื่อรำลึกและสดุดี มิสฟลอเรนช์ ไนติงเกล สุภาพสตรี แห่งดวงประทีป ผู้ก่อกำเนิดวิชาชีพพยาบาล 

(8 พ.ค.68) พลเรือตรีพัฒนชัย เฉลิมวรรณ์ ผอ.โรงพยาบาลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ กรมแพทย์ทหารเรือ เป็นประธานเปิดการจัดกิจกรรมวันพยาบาลสากล ประจำปี 2568 ณ ห้องประชุมคลองไผ่ หอประชุม รพ.สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ กรมแพทย์ทหารเรือ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี โดย นาวาเอกหญิง อรัญญา เชยดี รองผู้อำนวยการฝ่ายการพยาบาล รพ. สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ ฯ และในนามคณะกรรมการจัดกิจกรรมวันพยาบาลสากล ประจำปี 2568 นำคณะฝ่ายการพยาบาลและข้าราชการพยาบาลฯ ร่วมให้การต้อนรับ โดยมีรองผู้อำนวยการ รพ.ฯ พลเรือตรีหญิง อำไพวัลย์ สวยสม และนาวาเอกหญิง เรืองรอง วิยาภรณ์ อดีตข้าราชการพยาบาล รพ.สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ ฯ ร่วมในพิธี 

นาวาเอกหญิง อรัญญา เชยดี กล่าวรายงานถึงความเป็นมาว่า ตามที่ สภาพยาบาลระหว่างประเทศ ได้กำหนดให้ วันที่ 12 พฤษภาคม ของทุกปี เป็นวันพยาบาลสากล และเป็นวันเกิดของ มิสฟลอเรนซ์ ไนติงเกล ผู้ก่อกำเนิดวิชาชีพการพยาบาล และเป็นผู้ที่มีอุดมการณ์ตั้งใจบำเพ็ญ สาธารณประโยชน์ เพื่อมวลมนุษย์อย่างแท้จริง จนได้รับการยกย่องและเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก ฝ่ายการพยาบาลฯ จึงได้จัดกิจกรรมเพื่อรำลึกและสดุดีคุณงามความดี อีกทั้งเพื่อเป็นการยกย่องให้เกียรติและยึดถือเป็นแบบอย่างที่ดีของพยาบาล ภายใต้คำขวัญวันพยาบาลสากล ปี 2568 ที่ว่า "พยาบาลคืออนาคต ใส่ใจพยาบาล พัฒนาสุขภาพสู่เศรษฐกิจ" หรือ "Our Nurses. Our Future. Care for nurses strengthens economies" ขึ้น ในวันนี้ 8 พ.ค.68 รวมทั้งมอบโล่รางวัลและช่อดอกไม้แสดงความยินดีกับพยาบาล ผู้ได้รับรางวัลเกียรติคุณต่างๆ สร้างชื่อเสียงให้กับองค์กรพยาบาล และโรงพยาบาลฯ ในปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน 

พล.ร.ต.พัฒนชัย เฉลิมวรรณ์ กล่าวว่า ตามที่ สมาคมพยาบาลแห่งประเทศไทย ประกาศเป้าหมายรณรงค์ "พยาบาลคืออนาคต ใส่ใจพยาบาล พัฒนาสุขภาพสู่เศรษฐกิจ" ซึ่งเป็นเป้าหมายที่สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของพยาบาล ในการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจ 

ในทุกๆ วัน พยาบาล เป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการดูแลและส่งเสริมสุขภาพของประชาชน ไม่เพียงแต่ทำหน้าที่รักษาโรค แต่ยังมีส่วนในการสนับสนุนให้ชุมชนมีสุขภาวะที่ดี ตลอดจนเป็นแนวทางในการพัฒนาเศรษฐกิจไปพร้อมๆ กัน ความใส่ใจต่อพยาบาลนั้น เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในยุคปัจจุบัน ที่พยาบาลต้องเผชิญกับความท้าทายต่างๆ ที่เกิดขึ้นในวงการแพทย์และสาธารณสุข การสนับสนุนและสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดีให้กับพยาบาล จึงเป็นสิ่งจำเป็น เนื่องจากพวกเขาคือ บุคลากรที่มีบทบาทสำคัญ ในการสร้างอนาคตและระบบสุขภาพ ดังนั้นพยาบาลที่มีความสุขและมีสุขภาพที่ดี จะสามารถให้บริการที่ดีที่สุดแก่ผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

นอกจากนี้แล้ว ยังได้จัดประชุมวิชาการ เรื่อง กฎหมายและจริยธรรมทางการพยาบาล เพื่อสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับกฎหมายและจริยธรรม ที่มีผลต่อการปฏิบัติงานของพยาบาล รวมทั้งส่งเสริมความเข้าใจในการปฏิบัติงานตามหลักจริยธรรมทางการพยาบาล เพื่อยกระดับคุณภาพการดูแลผู้ป่วยในระบบสุขภาพ ให้มีประสิทธิภาพ

โดยได้รับเกียรติจาก วิทยากร ผู้ทรงคุณวุฒิในด้านกฎหมายและ จริยธรรมด้านการพยาบาล มาร่วมแบ่งปันความรู้ ประสบการณ์ และแนวทางปฏิบัติที่ดีในการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายและจริยธรรม ในโอกาสเดียวกันนี้ด้วย

ผู้บัญชาการทหารเรือ ตรวจเยี่ยมการฝึกยิงอาวุธทางยุทธวิธี ของหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง ในการฝึกกองทัพเรือ ประจำปี 2568

(8 พ.ค.68) พลเรือเอก จิรพล ว่องวิทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ พร้อมด้วยนายทหารชั้นผู้ใหญ่ของกองทัพเรือ เดินทางตรวจเยี่ยมการฝึกยิงอาวุธทางยุทธวิธี ของหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง โดยมี พลเรือตรี เอตม์ ยุวนางกูร ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง ให้การรับรอง ณ สนามฝึกยิงอาวุธ เขาลำปี - ท้ายเหมือง อำเภอท้ายเหมือง จังหวัดพังงา

การฝึกยิงอาวุธทางยุทธวิธี ของหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง เป็นส่วนหนึ่งของการฝึกภาคสนาม/ภาคทะเล (FTX) ในการฝึกกองทัพเรือ ประจำปี 2568 ซึ่งเป็นการฝึกปฏิบัติจริงของหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง เพื่อทดสอบความพร้อมขององค์บุคคล องค์วัตถุ และองค์ยุทธวิธี ทดสอบความพร้อมและขีดความสามารถในการฝึกยิงอาวุธประจำหน่วย ในการป้องกันฝั่งและการป้องกันภัยทางอากาศ ของหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่งประจำที่ รวมถึง เป็นการฝึกยิงอาวุธทางยุทธวิธีด้วยปืนใหญ่รักษาฝั่ง ปืนต่อสู้อากาศยาน และ อาวุธนำวิถีต่อสู้อากาศยานระยะใกล้ IGLA -S สนับสนุนด้วยการตรวจการณ์จากอากาศยานไร้คนขับ (UAS) และการตรวจการทางเรือ ตลอดจนทดสอบขีดความสามารถในการติดตามภาพสถานการณ์ของหน่วยควบคุมบังคับ รวมถึงความพร้อมในการเตรียมการฝึกยิงอาวุธปล่อยนำวิถีพื้นสู่อากาศระยะปานกลางแบบ FK - 3 สำหรับการโจมตีเป้าหมายทางอากาศ  ซึ่งเป็นการปฏิบัติตามแผนป้องกันประเทศ โดยจำลองสถานการณ์ฝึก เป็นการรับมือ ป้องกัน และโจมตี ฝ่ายข้าศึกที่เข้ามารุกล้ำอธิปไตยของชาติทางทะเล และน่านฟ้า ผลการฝึกยิงอาวุธ เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้  

สำหรับยุทโธปกรณ์ที่นำมาใช้ในการฝึกยิงทางยุทธวิธีนี้ประกอบด้วย ปืนใหญ่กลางกระสุนวิธีราบ ขนาด 130 มิลลิเมตร ปืนใหญ่กลางกระสุนวิถีโค้ง ขนาด 155 มิลลิเมตร ปืนต่อสู้อากาศยาน ขนาด 37 มิลลิเมตร ปืนต่อสู้อากาศยาน ขนาด 40/70 มิลลิเมตร  อาวุธนำวิถีต่อสู้อากาศยานระยะใกล้ IGLA -S โดยทำการยิงจากรถ จำนวน 2 ลูก จากหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง และปืนใหญ่กลางกระสุนวิถีโค้ง ขนาด 155 มิลลิเมตร ATMG จากหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน

ในส่วนของอาวุธนำวิถีต่อสู้อากาศยานระยะใกล้ IGLA -S เป็นอาวุธนำวิถีต่อสู้อากาศยานระยะใกล้ มีหลักการจับเป้าหมายโดยอาศัยการตรวจจับ และรับรังสีอินฟราเรดที่แพร่ออกมาจากแหล่งความร้อนของตัวอากาศยาน อาวุธจะล็อคเป้าหมาย และพร้อมให้พลยิงปล่อยตัวจรวดออกมา เพื่อติดตามทำลายเป้าหมาย และเมื่อจรวดแล่นออกจากท่อยิง การทำงานจะเป็นไปในลักษณะ Fire and Forget  โดยเป้าที่ใช้ในการยิงอาวุธครั้งนี้เป็นเป้าฝึก Drone แบบปีกนิ่ง ที่พัฒนาโดยสำนักงานวิจัยและพัฒนาการทางทหาร กองทัพเรือ

ด้าน อาวุธปล่อยนำวิถีพื้นสู่อากาศระยะปานกลางแบบ FK-3   เป็นระบบอาวุธป้องกันภัยทางอากาศระยะปานกลาง-ไกล ที่สามารถทำงานได้ทุกสภาพอากาศทั้งกลางวัน และกลางคืน ถูกออกแบบมาให้สกัดกั้นเครื่องบินรบ, เครื่องบินปีกตรึง, อากาศยานปีกหมุน รวมถึงเฮลิคอปเตอร์โจมตีติดอาวุธ, อากาศยานไร้คนขับ, จรวดร่อน, ขีปนาวุธทางยุทธศาสตร์ รวมไปถึงอาวุธปล่อยนำวิถีอากาศสู่พื้น สามารถทำงานเป็นระบบ Stand alone เข้าประจำการในหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง  

ทั้งนึ้การฝึกกองทัพเรือประจำปี ถือเป็นการฝึกที่มีความสำคัญสูงสุดของกองทัพเรือ โดยใช้แนวความคิดในการฝึกว่า “รบอย่างไร ฝึกอย่างนั้น” ซึ่งในปีนี้เป็นการฝึกป้องกันประเทศโดยกำหนดสถานการณ์ตั้งแต่ในขั้นปกติสถานการณ์วิกฤตไปถึงขั้นป้องกันประเทศซึ่งมีการทดสอบและสร้างความคุ้นเคยทางด้านแนวความคิดหลักการหลักนิยมไปจนถึงขีดความสามารถของกำลังรบในแต่ละประเภทโดยส่วนต่างๆของกองทัพเรือทั้งในกองอำนวยการฝึกและหน่วยรับการฝึกทุกหน่วยได้มีการเตรียมการ และดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการฝึกอย่างเต็มกำลังความสามารถโดยนำวัตถุประสงค์การฝึกและหัวข้อการทดสอบที่กองทัพเรือกำหนดไปกำหนดเป็นวัตถุประสงค์เฉพาะ ตามภารกิจของหน่วยและนำไปทดสอบในการฝึกปัญหาที่บังคับการ (CPX) และการฝึกภาคสนาม/ภาคทะเล (FTX) เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายคำสั่งและวัตถุประสงค์การฝึกที่ได้กำหนดไว้ โดยผลลัพธ์ที่จะได้รับจากการฝึกในครั้งนี้ นอกจากกำลังพลที่เข้าร่วมการฝึกจากหน่วยต่างๆ ของกองทัพเรือ จะได้ใช้ยุทธวิธีหลักนิยมในการรบร่วม และทดสอบแนวทางการใช้กำลังของกองทัพเรือให้เป็นไปตามแผนป้องกันประเทศ เพื่อให้เกิดความรู้ความชำนาญเพิ่มขึ้นจากการฝึกจริงแล้ว ยังทำให้กองทัพเรือได้รับทราบถึงขีดความสามารถและข้อจำกัดของกำลังพลในปัจจุบัน รวมทั้งการปฏิบัติการร่วมกันกับหน่วยต่างๆ ของกองทัพเรือ เพื่อนำไปใช้ในการวางแผนพัฒนาขีดความสามารถสำหรับการปฏิบัติภารกิจ โดยเฉพาะในการป้องกันประเทศให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

จเรตำรวจแห่งชาติขับเคลื่อนงานปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และการปราบปรามการค้ามนุษย์ เดินหน้าร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ อย่างต่อเนื่อง กำชับตำรวจทุกหน่วยให้ความสำคัญในการปฏิบัติ

(8 พ.ค.68) เวลา 10.00 น. พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (จตช./ผอ.ศปอส.ตร.) เป็นประธานการประชุมขับเคลื่อนงานปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์และขบวนการค้ามนุษย์ โดยมี ดร.รีเบ็คก้า มิลเลอร์ ผู้ประสานงานภูมิภาคของ UNODC , พล.ต.ต.สุรชัย สังขพัฒน์ รองผู้บัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน , พล.ต.ต.อรรถสิทธิ์ สุดสงวน รองผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี , พล.ต.ต.พงษ์สยาม มีขันทอง รองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว , พล.ต.ต.ภานพ วรธนัชชากุล ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวน สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง , ผู้แทนหน่วยงานตำรวจที่เกี่ยวข้อง , ผู้แทนจากหน่วยงานต่างๆ ได้แก่ สำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) , กระทรวงมหาดไทย , กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ , กระทรวงแรงงาน , กองบัญชาการกองทัพไทย , สำนักงานอัยการสูงสุด , สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน , สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ , สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม , ธนาคารแห่งประเทศไทย และ กรมสอบสวนคดีพิเศษ เข้าร่วมประชุม ณ ห้องศรียานนท์ อาคาร 1 ชั้น 2 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

การประชุมในวันนี้เป็นการขับเคลื่อนงานปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์และขบวนการค้ามนุษย์ ของหน่วยเฉพาะกิจปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์และขบวนการค้ามนุษย์ สำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) ซึ่งมี พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ เป็นหัวหน้าฯ โดยการจัดตั้งหน่วยเฉพาะกิจนี้ขึ้นมาเพื่อความสะดวกและมีประสิทธิภาพในการประสานงานไปยังหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายต่างประเทศ , การปฏิบัติการช่วยเหลือผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ในแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในต่างประเทศ , การสืบสวนสอบสวนเพื่อนำตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษ , การคุ้มครองผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ ภายหลังจากการช่วยเหลือออกมาจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ , การส่งเสริมศักยภาพของเจ้าหน้าที่รัฐในการป้องกันปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์และขบวนการค้ามนุษย์ และการพัฒนาแนวทางการปฏิบัติร่วมกัน (SOP) ในประเด็นที่เกี่ยวข้องเพื่อใช้ในการประสานงานระหว่างประเทศ 

พล.ต.อ.ธัชชัยฯ กล่าวว่า การแลกเปลี่ยนข้อมูลคือปัจจัยของความสำเร็จในการช่วยเหลือผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ การสืบสวนสอบสวน และการดำเนินคดี อาทิ สถานที่ตั้งแก๊งคอลเซ็นเตอร์ , ชาวต่างชาติต้องสงสัยที่เดินทางมายังประเทศไทย เพื่อทำงานให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ , การคัดกรองเหยื่อ/ผู้ประสงค์ไปทำงาน ซึ่งในส่วนของ UNODC จะให้การสนับสนุนการทำงานในด้านการช่วยกำหนดทิศทางการทำงานของหน่วยเฉพาะกิจฯ แพลตฟอร์มการประสานงานกับหน่วยงานนานาประเทศ และการฝึกอบรมในการคัดกรองและคัดแยกผู้เสียหายกับผู้กระทำผิด 

นอกจากนี้ พล.ต.อ.ธัชชัยฯ กล่าวว่า จากการทำงานที่ผ่านมา พูดได้ว่าหากเราไม่สามารถล้มแก๊งคอลเซ็นเตอร์ตามแนวชายแดนได้ การแก้ปัญหาดังกล่าวยากที่จะหมดไป ในส่วนของประเทศไทยพบว่ากลุ่มแก๊งดังกล่าวมักใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่านในการเดินทางไปทำงาน เนื่องจากเดินทางสะดวก ประกอบกับพบว่ามีคนไทยบางคนเกี่ยวข้องทำงานกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในรูปแบบต่างๆ เช่น การสมัครใจเดินทางไปทำงาน หรือการให้บริการรถเช่า ที่พัก เป็นต้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ตำรวจจะต้องสืบสวนจับกุมดำเนินคดีอย่างเด็ดขาด พร้อมกำชับและขอความร่วมมือทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการตรวจสอบเข้มงวดเรื่องนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางไปยังชายแดนในทุกวิธีการ เพื่อเป็นการบล็อค ไม่ให้ใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่านไปทำงานแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งในการดำเนินการให้มีประสิทธิภาพ ทุกหน่วยต้องร่วมกันขับเคลื่อนในทิศทางเดียวกันอย่างมีเอกภาพ

จากนั้น เวลา 13.30 น. พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ต่อต้านการค้ามนุษย์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นประธานการประชุมติดตามผลการปฏิบัติงานศูนย์ต่อต้านการค้ามนุษย์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศตคม.ตร.) โดยมี พล.ต.ต.พงษ์สยาม มีขันทอง รองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว , พล.ต.ต.ทรงกลด เกริกกฤตยา ผู้บังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์ และผู้แทนหน่วยต่างๆ ที่เกี่ยวข้องทั่วประเทศ ร่วมประชุม ณ ห้องประชุม ศปก.ตร. อาคาร 1 ชั้้น 20 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และผ่านระบบทางไกลอิเล็กทรอนิกส์

สำหรับผลการปฏิบัติการปราบปรามการค้ามนุษย์ ของ ศคตม.ตร. ระหว่างวันที่ 1 มกราคม ถึง 30 เมษายน 2568  แบ่งเป็น การจับกุมความผิดเกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ของกองบังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์ จำนวน 72 คดี , การจับกุมของชุดปฏิบัติการปราบปรามการล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็กทางอินเตอร์เน็ต (TICAC) ดำเนินคดีรวม 24 คดี ช่วยเหลือเหยื่อ 22 ราย และผลการปฏิบัติของชุดปฏิบัติการต่อต้านการค้ามนุษย์ภาคประมง ตรวจแรงงาน การจับกุมเรือประมงผิดกฎหมาย และการจับกุมคดีค้ามนุษย์ ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2567 ถึง 30 เมษายน 2568 มีการตรวจเรือประมง 1,263 ลำ จับกุมตาม พ.ร.ก.ประมงฯ 22 คดี ผู้ต้องหา 23 คน

พล.ต.อ.ธัชชัยฯ กล่าวว่า การแก้ปัญหาการค้ามนุษย์เป็นวาระแห่งชาติ เป้าหมายยกระดับสู่ Tier 1 ในการจัดระดับในรายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ จึงได้สั่งการให้ทุกหน่วยปฏิบัติตามกลไกการส่งต่อระดับชาติ (NRM) อย่างเข้มงวด กำชับอย่าให้มีการใช้กระบวนการ NRM ฟอกขาว อ้างตัวเป็นเหยื่อเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกจับกุมดำเนินคดี และได้สั่่งการแนวทางและมาตรการในการขับเคลื่อน ศคตม.ตร. ในห้วงถัดไป ย้ำว่าหัวใจอยู่ที่การปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยเฉพาะมาตรการ 7 ขั้นตอน ของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่ทุกหน่วยต้องดำเนินการอย่างเคร่งครัด

หมอธีระเตือน! โควิด-19 ระบาดหนักหลังหยุดยาว กรุงเทพฯ พบผู้ป่วยสูงกว่าไข้หวัดใหญ่ 6.7 เท่า เสี่ยงลามรับเปิดเทอม

(8 พ.ค. 68) รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ จากคณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ เปิดเผยสถานการณ์โควิด-19 ผ่านเฟซบุ๊ก โดยระบุว่า หลังเทศกาลและช่วงหยุดยาว พบผู้ป่วยโควิด-19 ในกรุงเทพฯ สูงกว่าไข้หวัดใหญ่หลายเท่า โดยในสัปดาห์ที่ผ่านมา (27 เม.ย.–3 พ.ค.) มีผู้ป่วยเข้ารับการรักษาใน รพ. มากถึง 8,446 ราย ซึ่งยังไม่รวมผู้ติดเชื้อที่ไม่ได้เข้ารักษา

จากข้อมูลล่าสุดในสัปดาห์ที่ 19 ปี 2568 พบว่า ผู้ป่วยโควิด-19 มากกว่าไข้หวัดใหญ่ถึง 6.7 เท่า และยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มวัยทำงาน และเด็กเล็กอายุ 0–4 ปี ที่พบว่าป่วยเพิ่มมากขึ้นอย่างน่ากังวล ในขณะที่ช่วง 3 วันที่ผ่านมา อัตราป่วยโควิดสูงกว่าไข้หวัดใหญ่ถึง 2 เท่า และมีรายงานผู้เสียชีวิตเพิ่ม 1 ราย

รศ.นพ.ธีระ ย้ำว่า โควิด-19 ยังคงต้องระวัง เพราะติดเชื้อได้ก่อนมีอาการ 2–3 วัน และตรวจหาเชื้อช่วงแรกอาจให้ผลลบ ต้องแยกตัวอย่างน้อย 5–10 วัน และควรใส่หน้ากากเมื่อต้องอยู่ใกล้ผู้อื่น โดยเฉพาะในสถานที่ปิดหรือระบายอากาศไม่ดี เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อในวงกว้าง

ทั้งนี้ ฝากถึงผู้ปกครองและสถานศึกษาที่กำลังจะเปิดเทอมให้ดูแลเด็ก ๆ อย่างใกล้ชิด และขอให้สถานที่ทำงานให้ความสำคัญกับการประเมินความเสี่ยงอย่างรอบคอบ อย่าเร่งให้ผู้ติดเชื้อกลับมาทำงานโดยไม่ป้องกันอย่างเหมาะสม เพราะอาจนำไปสู่การแพร่ระบาดซ้ำอีกระลอก

ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการอุดมศึกษาฯ ลงพื้นที่ติดตาม การขับเคลื่อนงานด้าน อววน. ในพื้นที่จังหวัดปทุมธานี ณ มทร.ธัญบุรี

(8 พ.ค.68) นายศุภชัย ใจสมุทร ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) พร้อมด้วยคณะผู้บริหารกระทรวงฯ ลงพื้นที่ติดตามการขับเคลื่อนงานด้านการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม หรือ อววน. ในพื้นที่จังหวัดปทุมธานี ในการนี้มี นายองค์รักษ์ ทองนิรมล รองผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี พลตำรวจโทคำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี รองศาสตราจารย์ ดร.สมหมาย ผิวสอาด รักษาการในตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี รองศาสตราจารย์ ดร.เกียรติศักดิ์ แสงประดิษฐ์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี พร้อมทั้งผู้บริหารหน่วยงานในสังกัดกระทรวงการอุดมศึกษาฯ หัวหน้าส่วนราชการในจังหวัดปทุมธานี อาจารย์ บุคลากร นักศึกษา และประชาชนในพื้นที่ ร่วมต้อนรับและเข้าร่วมกิจกรรมอย่างคับคั่ง ณ หอประชุม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี โดยในช่วงเช้า เป็นการนำเสนอผลงานการขับเคลื่อนที่สำคัญๆ ด้านการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม หรือ อววน. ในพื้นที่จังหวัดปทุมธานี ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี มหาวิทยาลัย ราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 

ผ่านการรายงานและการจัดนิทรรศการภายในหอประชุมใหญ่ และในโอกาสนี้ นายศุภชัย ใจสมุทร ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ได้ให้เกียรติ เยี่ยมชมบูธนิทรรศการและผลิตภัณฑ์ ที่ผ่านการพัฒนาและยกระดับด้วย อววน. จากมหาวิทยาลัย จำนวน 30 บูธ ซึ่งได้รับความร่วมมือจากเครือข่ายผู้ประกอบการ / วิสาหกิจชุมชน / SME / ภาคเอกชน และหน่วยงานในสังกัด อว. พร้อมทั้งกล่าวมอบนโยบายการขับเคลื่อนงานด้าน อววน. ให้กับคณะผู้บริหาร อาจารย์ บุคลากร นักศึกษา และประชาชนที่เข้าร่วมงาน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ได้นำเสนอผลการดำเนินงานด้าน อววน. ผ่านการดำเนินงานหลากหลายมิติ ในด้านเศรษฐกิจ สังคม และการนำไปใช้ประโยชน์ ที่เชื่อมโยงกับความต้องการของประชาชนในท้องถิ่น การพัฒนางานวิจัย การสร้างสรรค์นวัตกรรม และการบริการวิชาการในพื้นที่จังหวัดปทุมธานี ซึ่งมหาวิทยาลัยเล็งเห็นถึงความสำคัญของการนำผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์กับพื้นที่ได้อย่างแท้จริง โดยชุมชนสามารถนำงานวิจัยที่ได้พัฒนาร่วมกันกับทางมหาวิทยาลัยไปต่อยอดเชิงพาณิชย์ และก่อเกิดรายได้ สร้างงานสร้างอาชีพได้อีกด้วย โดยภายในงานจะมีนิทรรศการหลักๆ ดังนี้

1. ผลงานวิจัยที่ได้รับรางวัลการประกวดในเวทีระดับนานาชาติ
​2. ผลงานที่ได้รับการจดอนุสิทธิบัตร และสิทธิบัตร (IP)
3. ผลงาน Innovative Start Up (UBI RMUTT)
4. Local Life Market – ตลาดวิถีไทย ใจกลางวิทยาศาสตร์ (ผลงานการถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่ชุมชนภายใต้งานบริการวิชาการ และคลินิกเทคโนโลยี)
​5. กิจกรรมตรวจสุขภาพเคลื่อนที่ สร้างสังคมสุขภาพดี
​6. ศูนย์ความเป็นเลิศด้าน Human and Business Development
7. นิทรรศการจากมหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้จัดนิทรรศการแสดงผลงานการบูรณาการงานด้าน อววน. การแสดงผลงานการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมพัฒนา“ดอกบัว” อัตลักษณ์จังหวัดปทุมธานี ตั้งแต่ ต้นน้ำ – ปลายน้ำหลากหลายผลงาน ได้แก่

7.1 ความหลากหลายทางพันธุกรรมของบัวหลวงปัทมา ในจังหวัดปทุมธานี
7.2 การพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารจากบัว (น้ำพริกผัดแห้งจากเม็ดบัว, ข้าวเกรียบรากบัว)
7.3 การพัฒนาผลิตภัณฑ์ยา สมุนไพร และเครื่องสำอางจากบัว (ขนมปังชาดีบัว, ครีมเกสรบัวหลวง)
7.4 การพัฒนาเส้นด้ายบัวหลวงด้วยเทคนิคการย้อมสีธรรมชาติ
7.5 การใช้ประโยชน์จากบัวเพื่อบ่งชี้คุณภาพสิ่งแวดล้อม
7.6 การวิเคราะห์ต้นทุน ผลประโยชน์ และคุณค่าทางโภชนาการของอาหาร เครื่องดื่มไทย จากบัวหลวง

8. นิทรรศการจากเครือข่ายของพื้นที่จังหวัดปทุมธานี
​8.1 นิทรรศการจากเครือข่ายคลินิกเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 
​8.2 นิทรรศการจากหน่วยงานในสังกัด อว. (วว./NIA/สทน.)
​8.3 นิทรรศการจากสถาบัน Wellness x Academy
​8.4 บริษัท TnK Beauty จำกัด (ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม เครื่องสำอาง และสกินแคร์)
​8.5 IMI Wellness Clinic สาธิตการฝังเข็มแพทย์แผนจีน

นอกจากนี้ ยังมีการแสดงรับชมการแสดงศิลปะการแสดงรำไทยประยุกต์ชุดนวัตภูษา (ผ้า) ใยกล้วย โดย คณะศิลปกรรมศาสตร์ โดยชุดการแสดงจะเป็นการส่งเสริมนวัตกรรมเส้นใยกล้วยจากธรรมชาติสู่การออกแบบผลิตภัณฑ์เพื่อยกระดับสินค้าเศรษฐกิจสร้างสรรค์ทางวัฒนธรรม ผ่านมิติการแสดงสื่อให้เห็นถึงคุณค่าของทุนทางวัฒนธรรมท้องถิ่นในจังหวัดปทุมธานีโดยผ่านกระบวนการผลิตที่ใช้เศษวัสดุทางด้านการเกษตรมาสร้างมูลค่าเชิงพาณิชย์และการพัฒนาผลิตภัณฑ์เด่นของ อววน. ผ่านชุดการแสดงแฟชั่นโชว์ โดย คณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ โดยชุดการแสดงจะสื่อถึงการนำผลงานวิจัยที่ได้รับการพัฒนา มาใช้ประโยชน์ในเชิงสร้างสรรค์และยังมีกิจกรรมตรวจสุขภาพฟรีเบื้องต้น จากคณะพยาบาล มีกิจกรรมนวดแผนไทยคณะการแพทย์บูรณาการ และการสาธิตวิชาชีพให้กับประชาชนในพื้นที่เกี่ยวกับการทำยาดมสมุนไพรจากเปลือกส้มโออีกด้วย

และในช่วงบ่าย ผู้ช่วยรัฐมนตรีและคณะ ได้เดินทางไปเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์บัว แห่งบ้านราชมงคลธัญบุรี โครงการตามแนวพระราดำริในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราช เพื่อรับชมนิทรรศการแสดงผลงานเทคโนโลยีและนวัตกรรมจาก“ดอกบัว” โดยมีรายละเอียดดังนี้ การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื้อ การปรับปรุงสายพันธุ์บัว ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางสเต็มเซลล์จากบัวฉลองขวัญ เครื่องดื่มบัวเข้มข้นป้องกันอาการสมองเสื่อม เครื่องดื่มชาหมักกลีบบัวสาย / ผลิตภัณฑ์น้ำรากบัวผงเสริมโปรไบโอติคสำเร็จรูปโดยวิธีทำแห้งแบบโฟมแมท โดยมีกิจกรรมต่างๆ เช่น การสาธิตการทำผ้า Eco Print พิมพ์ลายบัว ร่วมกับวิสาหกิจชุมชนกลุ่มแม่บ้านพรพิมาน การสาธิตวาดภาพโดยใช้สีจากบัว และสาธิตการชงชาจากเกสรบัว  จากนั้นผู้ช่วยรัฐมนตรีและคณะเข้าเยี่ยมชม Aircraft Maintenance Facilities หลักสูตร “อิเล็กทรอนิกส์อากาศยาน” ภายใต้การบริหารจัดการของ ศูนย์สถาบันการบินแห่งมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี คณะวิศวกรรมศาสตร์ โดยมีกิจกรรมดังนี้ สาธิตภาคปฏิบัติการถอด ประกอบ ตรวจเช็ค ใบพัดเครื่องยนต์แก๊สเทอร์ไบน์ สาธิตการสตาร์ทเครื่องยนต์เครื่องบินขนาดเล็ก สาธิตการจำลองการซ่อมบำรุงอากาศยานเครื่องบิน Airbus รับชมต้นแบบห้องเครื่องอากาศยานเสมือนจริงในห้องปฏิบัติการควบคุมจราจรทางอากาศ (Simulation room)

PETA โพสต์อีกระลอก! อ้างลิงไทยโดนบังคับเก็บมะพร้าว ชี้บางแบรนด์น้ำกะทิไทยยังคงใช้ ‘แรงงานลิง’ ทั้งที่มีทางเลือกอื่น

(8 พ.ค. 68) องค์การพิทักษ์สัตว์ PETA โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กพร้อมภาพประกอบ ระบุว่า “It's true💔 Some Thai coconut milk brands use forced monkey labor…” กล่าวหาว่าบางแบรนด์ของน้ำกะทิไทยยังคงใช้ 'แรงงานลิง' เพื่อเก็บมะพร้าว แม้จะมีทางเลือกทางจริยธรรมอื่นให้ใช้แทนแล้วก็ตาม

โพสต์ดังกล่าวอ้างว่า ลิงเหล่านี้ถูกพรากจากครอบครัวตั้งแต่ยังเล็ก และถูกฝึกให้ทำงานอย่างหนักเหมือนเครื่องจักรเก็บมะพร้าว เพื่อผลผลิตในอุตสาหกรรมอาหาร ข้อความของ PETA นี้ ได้วิพากษ์วิจารณ์อย่างชัดเจนว่า “พวกมัน (ลิง) ถูกขโมยจากครอบครัว และถูกปฏิบัติเหมือนเป็นเครื่องจักรเก็บมะพร้าว”

ที่ผ่านมา PETA เคยเปิดเผยข้อมูลและทำแคมเปญรณรงค์ในประเด็นนี้หลายครั้ง ส่งผลให้ซูเปอร์มาร์เก็ตและแบรนด์ต่างประเทศหลายแห่งแบนผลิตภัณฑ์จากไทยบางยี่ห้อที่เข้าข่ายใช้แรงงานลิง แม้หน่วยงานในไทยจะเคยออกมาโต้แย้งและยืนยันว่ากรณีดังกล่าวมีเพียงส่วนน้อย

“จนกว่าอุตสาหกรรมมะพร้าวไทยจะปลอดจากการใช้แรงงานลิงโดยสิ้นเชิง ทาง PETA ขอเรียกร้องให้ผู้บริโภคเลือกซื้อน้ำกะทิจากแบรนด์ที่ได้รับการรับรองจาก PETA เท่านั้น”

อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีคำชี้แจงจากแบรนด์หรือหน่วยงานทางการไทยต่อโพสต์ล่าสุดของ PETA แต่ประเด็นนี้อาจจุดกระแสให้กลับมาเป็นที่สนใจอีกครั้ง โดยเฉพาะในตลาดส่งออกสินค้ามะพร้าวของไทยในสหรัฐฯ และยุโรป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top