Monday, 20 May 2024
NEWS FEED

‘อาจารย์แอม’ เตรียมดัน ‘ยันต์ลาบูบู้’ ให้เป็นซอฟต์พาวเวอร์ ลั่น!! ไม่ได้สักมั่วซั่ว ‘เรียกทรัพย์-เมตตา-มหานิยม’ ตามฐานดวง

(19 พ.ค.67) จากกรณีคลิปที่เป็นกระแสวิพากษ์วิจารย์ในโลกโซเชียล เมื่อผู้ใช้ติ๊กต็อกชื่อว่า ‘ajarnamsri6599’ ซึ่งเป็นช่องของ อาจารย์แอม ศรีพรหมญาณ คุ้มเศรษฐีหมื่นยันต์ สำนักสักยันต์อาจารย์สีหราช หมื่นยันต์ ได้แชร์ลายสักที่เป็นรูปลาบูบู้ ที่แขน พร้อมลงยันต์รอบ ๆ จนชาวเน็ตเข้ามาคอมเมนต์จำนวนมาก

ล่าสุด อาจารย์แอม ศรีพรหมญาณ คุ้มเศรษฐีหมื่นยันต์ ได้เปิดเผยว่า จริง ๆ แล้วคนที่สักเป็นน้องสาวของอาจารย์เอง ซึ่งที่บ้านคลั่งไคล้การจุ่มกล่องสุ่มมาก ๆ ทั้งลูกสาว 2 คนของตน ก็ชอบมาก ๆ เวลาไปช้อปปิ้งเขาก็มักจะพูดถึงกล่องสุ่มตลอดเวลา ที่บ้านของตนจึงมีกล่องสุ่มเยอะมาก ทุกรุ่นทุกแบบเต็มไปหมด

จนพ่อของเขา อาจารย์สีหราช หมื่นยันต์ เจ้าของสำนักสักยันต์อาจารย์สีหราช หมื่นยันต์ สามีของตน ก็เลยออกแบบวาดรูปยันต์ลาบูบู้ขึ้นมา ซึ่งอาจารย์สีหราชเองก็ไม่เคยเห็นตัวจริง ดูตามติ๊กต็อกตามรูปต่าง ๆ ที่ลูกสาวเปิดให้ดู แล้วก็บอกกับลูกว่าต้องมีเงินก่อนถึงจะไปซื้อได้ ถึงได้ออกมาเป็นลายยันต์นี้

โดยวันนั้นน้องสาวของตนมาช่วยเลี้ยงหลาน และน้องสาวของตนก็ชอบลาบูบู้มากเช่นเดียวกัน ก็เลยได้สักยันต์ตามลายนั้นเลย แต่ตอนนี้ยังไม่ได้ลงสีต้องนัดมาลงสีอีกครั้ง

ซึ่งยันต์ลาบูบู้ที่อาจารย์สีหราชออกแบบเป็นยันต์ที่ลงคาถาถูกต้อง เพราะอาจารย์สีหราชมีความรู้ความเชี่ยวชาญในเรื่องนี้อยู่แล้ว และยันต์นี้จะเน้นในทางเมตตาค้าขาย มหานิยม ธุรกิจ โภคทรัพย์ อาจารย์สีหราชก็คิดว่า ลูกมาขอเงินไปซื้อ หรือคนที่จะมีเงินเท่านั้นถึงจะไปซื้อลาบูบู้ได้ ก็เลยเขียนยันต์ไปในสายโภคทรัพย์เมตตา

อาจารย์แอม กล่าวต่อว่า ยังไม่เคยสักลายนี้ให้ใคร น้องสาวเป็นคนแรก ซึ่งก็มีคนทักมาถามเยอะมองว่าเป็นเรื่องตลกบ้างอะไรบ้าง แต่ตนไม่ได้ซีเรียสอะไร เพราะพุทธคุณเขียนถูกต้อง และเชื่อในสิ่งที่สัก คิดดี ทำดี พูดดี ไม่ได้เป็นบุคคลที่ทำความเสื่อมเสียอะไร

การสักก็อยู่ที่ความเชื่อความศรัทธา แต่จริง ๆ แล้วจะสักยันต์ตามฐานดวงเป็นหลัก ยันต์นี้เป็นยันต์ครอบครัว เป็นยันต์ที่ลูกสาวอยากได้ และหาใครสักให้ไม่ได้ก็เลยทำขำ ๆ กันในครอบครัว

ส่วนคนอื่น ๆ ที่อยากสักแบบนี้ก็สามารถสักให้ได้แต่ต้องมีพุทธคุณที่ถูกต้อง แต่จะแนะนำก่อนไม่ใช่ว่าสักให้ได้ทุกคน อันนี้เป็นยันต์ที่ครอบครัวสักขึ้นมาเอง ถ้าลูกศิษย์ที่ศรัทธาอยู่แล้วจะรู้ว่าตนสักเฉพาะยันต์ตามดวงชะตา จะมีการตรวจสอบยันต์ที่ตรงตามดวงชะตาก่อนสัก ไม่ได้คิดจะสักอะไรก็สักไปเลย ไม่ได้เกาะกระแสอะไรอยู่แล้ว

อย่างไรก็ตาม อาจารย์เชื่อว่าคนที่มองด้านลบส่วนมากไม่ได้รู้จักตัวตนเรา เราจะไม่เสียเวลาอธิบายและจะบอกว่าการสักแบบนี้มันอยู่ที่ความชอบ ไม่ว่าตัวการ์ตูนอะไรก็สามารถสักได้ แค่เอามาใส่อักขระยันต์เพิ่มเติม

อยากให้มองอีกมุมหนึ่งว่าจริง ๆ แล้วยันต์ไทยสามารถเป็นซอฟต์พาวเวอร์ได้ ถ้านำไปใช้ในทางที่ถูกต้อง และนำไปใช้ในบุคคลที่คู่ควร ไม่ใช่ว่าจะสักให้มั่วซั่ว ก่อนจะโพสต์หรือมีความคิดในเชิงลบ ควรจะรู้จักตัวคนนั้นก่อน ตนไม่ได้ใช้กระแสตรงนี้เพื่อที่จะดันตัวเองให้ดังอยู่แล้ว

‘อ.อ๊อด’ โพสต์เฟซประกาศ ขอยุติการตรวจสอบ ‘ข้าว 10 ปี’ ชี้!! มีผู้ใหญ่เตือน ไม่อยากให้ลุกลาม เป็นประเด็นทางการเมือง

(19 พ.ค.67) เฟซบุ๊ก ‘Weerachai Phutdhawong’ หรือ รศ.ดร.วีรชัย พุทธวงศ์ หรืออาจารย์อ๊อด อาจารย์ภาควิชาเคมี คณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้โพสต์ถึงกรณีข้าว 10 ปี โดยระบุข้อความว่า …

สวัสดีครับ อาจารย์อ๊อด เองครับ สืบเนื่องจากกรณีข้าว 1 ทศวรรษที่เป็นประเด็น ทางสังคมและตอนนี้เริ่มลุกลามเป็นประเด็นการเมือง

ห้องปฏิบัติการของทีมงานอาจารย์อ๊อด ได้รับคำแนะนำจากผู้หลักผู้ใหญ่หลายฝ่าย รวมถึงทีมงานเองก็ไม่อยากให้เกิดประเด็นทางการเมืองที่ลุกลามไปมากกว่านี้ จึงขอประกาศ ณ ที่นี้ว่า เราได้ยุติการตรวจสอบข้าว ในทุกกรณีแล้ว

ในส่วนของผลการตรวจสอบจากบริษัทห้องปฏิบัติการกลางแห่งประเทศไทย ที่มีนักข่าว อีกช่องนำไปมอบให้นั้น ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆกับตัวอย่างและผลการทดสอบของทีมงานอาจารย์อ๊อด รวมถึง ผลแล็บที่กำลังจะแถลงข่าวโดยอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ในวันพรุ่งนี้ด้วย

ทีมงานอาจารย์อ๊อดขอกราบเรียนว่าทุกอย่างที่ดำเนินการมา โดยตลอดนั้นก็เพื่อประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก และไม่อยากให้เป็นประเด็นการเมืองต่อเนื่อง ในส่วนของ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลทั้ง 2 หน่วยข้างต้น ได้ออกมา Take Action แล้วก็เป็นเรื่องที่ดี หากข้าว 1 ทศวรรษนี้ สามารถสร้างประโยชน์แก่ประเทศชาติได้ไม่ว่าจะวิธีการใดก็ตาม ทีมงานอาจารย์อ๊อดก็ขอแสดงความยินดีมาล่วงหน้า

ด้วยจิตคารวะ

อาจารย์อ๊อด

สำรวจมุมมอง 'คนเกาหลีใต้-ญี่ปุ่น' ต่อคนไทย ฝ่ายหนึ่งเหยียด ฝ่ายหนึ่งรักคนไทยแบบสุดใจ

ไม่นานมานี้ ยูทูบช่อง 'FlukeKee_TH' ได้นำเสนอคลิปในหัวข้อ 'สื่อเกาหลีเหยียดคนไทยสะเทือนสัมพันธ์ ผิดกับคนญี่ปุ่นที่รักคนไทยแบบสุดหัวใจ' โดยมีเนื้อหาดังนี้...

จากกรณีนักข่าวเกาหลีใต้คนหนึ่งได้ออกมาพูดในสื่อไลฟ์สด แล้วได้มีการเหยียดเชื้อชาติคนไทย จนลุกลามกลายเป็นกระแสให้คนไทยที่เดิมทีก็เริ่มจะมีทัศนคติที่แย่ลงกับเกาหลีใต้อย่างมากในพักหลังๆ เริ่มรู้สึกแย่ลงไปอีก

โดยนักข่าวผู้นี้ที่พยายามนำเหตุการณ์เหยียดเชื้อชาติของไทยผ่านหลายมุมมองของคนเกาหลีใต้เข้าสู่รายการทีวี พร้อมวิพากษ์วิจารณ์ทำนองเหยียดคนไทย ต้องส่งคนไทยกลับประเทศ และอื่นๆ

อันที่จริงแล้ว ในระยะหลังคนไทยหลายคนต่างก็มีประสบการณ์ฝังใจตรงกันว่า เวลาที่คนไทยตั้งใจไปเที่ยวเกาหลีใต้ มักต้องมาพบปัญหามากกว่าชาติอื่นๆโดยเฉพาะการติดด่าน ตม.บ้าง และบ้างก็ถูกส่งตัวกลับอย่างไม่ใยดี ถูกไล่ มีการเลือกปฏิบัติอย่างเห็นได้ชัดเจน ซึ่งการกระทำของตม.ประเทศเกาหลีใต้ที่ปฏิบัติต่อคนไทยนั้น เหมือนกับว่าคนไทยเป็นบุคคลต้องสงสัยในคดีอาชญากรรมเลยทีเดียว

แน่นอนว่า เรื่องนี้ไม่ได้ต้องการสื่อว่าคนเกาหลีใต้ทั้งหมดเป็นคนที่คิดไม่ดีกับคนไทย แต่จากผลสำรวจคนเกาหลีใต้เกินกว่า 50% มักจะมีทัศนคติไม่ชอบคนไทยและส่วนใหญ่จะเหยียดดูถูกคนเชื้อชาติในโซนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จะยกเว้นการดูถูกก็แต่ประเทศมาเลเซีย, บรูไน และสิงคโปร์เท่านั้น ส่วนที่เหลือคนเกาหลีใต้ส่วนใหญ่มองว่าเป็นประเทศที่ยากจน ต่ำต้อย ด้อยพัฒนา ล้าหลังโบราณ แตกต่างจากประเทศเกาหลีใต้ที่เขาจะมองตัวเองว่าเป็นประเทศที่เจริญและพัฒนาแล้ว มีเทคโนโลยีที่ล้ำเลิศและชาติอื่นๆ ก็ไม่สามารถที่จะเปรียบเทียบกับเกาหลีใต้ได้เลยแม้แต่น้อย

มีอยู่กรณีหนึ่งที่เจ้าของช่องแชร์ให้เห็นถึงความเจ็บปวดของคนไทยที่ได้เดินทางไปเที่ยวเกาหลีใต้ และถูกเหยียดหยามทันทีที่พวกเขาพูดภาษาไทยออกไปหลังจากพวกคนเกาหลีใต้ได้ยิน ซึ่งเหตุการณ์นั้นมีอยู่ว่า คนไทยได้เข้าไปในคาเฟ่หนึ่งของเกาหลีใต้ ตอนแรกพนักงานต้อนรับที่เป็นคนเกาหลีใต้นั้นก็ต้อนรับอย่างปกติ แต่พอเจ้าของร้านได้ยินว่าพูดภาษาไทยเท่านั้น ก็ทำท่าทีไม่พอใจเดินออกมาจากเคาท์เตอร์ มาด่าใส่คนไทยเป็นภาษาเกาหลี แล้วก็ไล่คนไทยให้ออกไปให้หมด ไม่ต้อนรับแถมยังตะโกนด่าไล่หลัง ซึ่งก็ไม่เข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นว่าทำไมต้องเหยียดหยามดูถูกคนไทยขนาดนั้น

นอกจากนี้ในเพจของเกาหลีใต้นั้น ก็มีการโพสต์และแสดงความคิดเห็นกันมากมาย เกี่ยวกับคนไทย ยกตัวอย่างเช่น...

"ไปบอกรัฐบาลไทยด้วยนะ จัดการคนในประเทศของตนให้ดี ทั้งเป็นผีน้อย และลักลอบค้ายาเสพติด สิ่งผิดกฎหมาย ต้องตรวจคนไทยให้หนักๆ"

"คนไทยไม่ต้องมาก็ได้นะ มีแต่จะสร้างปัญหา และความเดือดร้อนให้กับประเทศเกาหลีใต้"

***กลับกันถ้าเปรียบเทียบกับ 'ประเทศญี่ปุ่น' ประเทศที่เจริญมาเป็นร้อยๆ ปีนั้น หากคนไทยคนไหนเคยไปเที่ยว ก็จะรับรู้และสัมผัสได้เลยว่าชาวญี่ปุ่นนั้นให้ความสำคัญและให้เกียรติกับคนไทยอย่างมาก พร้อมที่จะต้อนรับคนไทยด้วยความจริงใจเป็นอย่างดี เพราะประเทศญี่ปุ่นเขาจะมองว่าคนไทยนั้น มีความซื่อสัตย์และเป็นมิตรที่ดีที่สุด เมื่อคนญี่ปุ่นอยู่ร่วมหรือทำงานกับคนไทย คนญี่ปุ่นจะมีความรู้สึกอบอุ่นและสบายใจ ความรู้สึกเหล่านี้ของชาวญี่ปุ่น เป็นแบบนี้ ติดต่อกันมาหลายศตวรรษแล้ว 

ทางช่อง เผยอีกว่า เคยมีกระทู้หนึ่งได้เปรียบเทียบความรู้สึกระหว่างการไปเที่ยวเกาหลีใต้กับประเทศญี่ปุ่นว่าแตกต่างกันมาก ในแง่ของการให้เกียรติต่อคนไทย โดยผู้โพสต์กระทู้นั้นได้เล่าว่า เขาเคยมีโอกาสไปเที่ยวประเทศญี่ปุ่น ้เคยแวะไปร้านราเมง เมื่อเจ้าของร้านชาวญี่ปุ่นได้รู้ว่าคนไทยมาเที่ยว และแวะรับประทานอาหาร เจ้าของก็มีความสุขเป็นอย่างมากและให้การต้อนรับลูกค้าคนไทยเป็นอย่างดี เหมือนกับว่าเป็นญาติของเขาคนหนึ่ง รวมทั้งคนในร้านก็พยายามที่จะมาสอบถามพูดคุย แล้วก็มาทักทายด้วยมิตรภาพอย่างมีมารยาท อ่อนน้อมถ่อมตนและแนะนำที่พักอาศัยสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ถึงขนาดจะเป็นไกด์นำเที่ยวพาเที่ยวให้ทั่วเมืองโอซากา โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย

ตัดภาพกลับมาเปรียบเทียบกับประเทศเกาหลีใต้แล้วผิดกันอย่างสิ้นเชิง มิตรภาพที่คนเกาหลีใต้มีต่อคนไทยนั้นมันแตกต่างกับญี่ปุ่นมาก เพราะคนไทยโดนคนเกาหลีใต้เหยียดหยาม แล้วก็ดูถูกไม่ให้เข้าประเทศ บางครั้งก็มีการทำร้ายร่างกายคนไทย

ที่น่าสนใจ คือ เกี่ยวกับเรื่องนี้คนญี่ปุ่นนั้นเขาก็รู้สึกไม่พอใจแทนคนไทยเป็นอย่างมาก และพร้อมที่จะช่วยปกป้องคนไทยทั้งในสื่อโซเชียลหรือแม้กระทั่งในรายการทีวีของญี่ปุ่นเองก็มีการทำข่าวและรุมประณามในการกระทำของคนเกาหลีใต้ ที่ปฏิบัติต่อคนไทยอย่างไร้มนุษยธรรม อีกทั้งชาวญี่ปุ่นเองก็ยังออกมาให้กำลังใจคนไทยที่ถูกเหยียดหยามเชื้อชาติ และถูกทำร้ายร่างกาย

นี่คือความน่ารักของคนญี่ปุ่นที่มีต่อคนไทยอย่างเห็นได้ชัด...

อย่างไรก็ตาม ถีงแม้คนไทยจะถูกกระทำเช่นนี้จากเกาหลีใต้ แต่ทำไมคนไทยยังต้องสนับสนุนและเปิดใจเวลาคนเกาหลีใต้มาเที่ยวหรือมาทำงานในไทย ซึ่งบางคนก็มีงานมีอาชีพดีๆ บางคนได้มาเป็น YouTuber บางคนได้เป็นดารา-ศิลปินที่มีชื่อเสียงในประเทศไทย นั่นก็เพราะว่านิสัยของคนไทยนั้น เป็นคนที่ไม่ได้เจ็บแค้นหรือมีอคติกับสิ่งที่ผ่านมา และก็ยังมองว่าชาวเกาหลีใต้บางกลุ่มบางคน ก็มีนิสัยที่ดีเช่นกันนั่นเอง

‘นิด้าโพล’ ชี้ ปชช. หนุนกัญชาเป็น ‘ยาเสพติด’ ย้ำ!! ควรใช้เพื่อ ‘การแพทย์-รักษาโรค’ เท่านั้น

(19 พ.ค.67) ศูนย์สำรวจความคิดเห็น ‘นิด้าโพล’ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจของประชาชน เรื่อง “กัญชาเป็นยาเสพติด?” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 14-15 พฤษภาคม 2567 จากประชาชนที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ ทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น จำนวน 1,310 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับการนำกัญชากลับเข้าบัญชียาเสพติดของรัฐบาล การสำรวจอาศัยการสุ่มตัวอย่างโดยใช้ความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ ‘นิด้าโพล’ สุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยกำหนดค่าความเชื่อมั่น ร้อยละ 97.0

จากการสำรวจเมื่อถามถึงความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับกัญชาเป็นยาเสพติด พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 53.74 ระบุว่า เป็นยาเสพติดแต่ก็มีประโยชน์ รองลงมา ร้อยละ 33.59 ระบุว่า เป็นยาเสพติดและไม่มีประโยชน์ใด ๆ ร้อยละ 11.60 ระบุว่า ไม่เป็นยาเสพติด และร้อยละ 1.07 ระบุว่า ไม่แน่ใจ

ด้านความคิดเห็นของประชาชนต่อการกำหนดนโยบายกัญชาของรัฐบาล พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 74.58 ระบุว่า เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์และการรักษาโรค รองลงมา ร้อยละ 19.39 ระบุว่า รัฐบาลไม่ควรออกนโยบายใด ๆ เพื่อสนับสนุนกัญชา/ผลิตภัณฑ์กัญชา ร้อยละ 10.53 ระบุว่า เพื่อสนับสนุนการสร้างผลิตภัณฑ์กัญชาที่ถูกกฎหมาย ร้อยละ 7.40 ระบุว่า เพื่อเสริมสร้างรายได้ให้ประชาชนทั่วไป ร้อยละ 3.21 ระบุว่า เพื่อสนับสนุนความบันเทิงในสังคม เช่น การเสพกัญชาได้ถูกต้องตามกฎหมาย การมีบุหรี่กัญชา เป็นต้น และร้อยละ 0.99 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

ส่วนความคิดเห็นของประชาชนต่อการนำกัญชากลับเข้าบัญชียาเสพติดอีกครั้ง พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 60.38 ระบุว่า เห็นด้วยมาก รองลงมา ร้อยละ 15.27 ระบุว่า ค่อนข้างเห็นด้วย ร้อยละ 14.50 ระบุว่า ไม่เห็นด้วยเลย ร้อยละ 8.93 ระบุว่า ไม่ค่อยเห็นด้วย และร้อยละ 0.92 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

สำหรับความคิดเห็นของประชาชนต่อการจ่ายค่าชดเชยให้กับผู้ปลูกกัญชาหรือนักธุรกิจกัญชา หากรัฐบาลนำกัญชากลับเข้าบัญชียาเสพติดอีกครั้ง พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 46.95 ระบุว่า รัฐบาลไม่ควรจ่ายค่าชดเชยให้กับผู้ใดเลย รองลงมา ร้อยละ 35.03 ระบุว่า รัฐบาลควรจ่ายค่าชดเชยให้กับผู้ปลูกกัญชาและนักธุรกิจกัญชา ร้อยละ 10.08 ระบุว่า รัฐบาลควรจ่ายค่าชดเชยให้กับผู้ปลูกกัญชาเท่านั้น ร้อยละ 2.06 ระบุว่า รัฐบาลควรจ่ายค่าชดเชยให้กับนักธุรกิจกัญชาเท่านั้น และร้อยละ 5.88 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงประสบการณ์เกี่ยวกับกัญชาของประชาชน พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 68.93 ระบุว่า ไม่เคยมีประสบการณ์ใด ๆ เกี่ยวกับกัญชา ขณะที่ ร้อยละ 31.07 ระบุว่า เคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับกัญชา เมื่อพิจารณาตัวอย่างที่ระบุว่า เคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับกัญชา (จำนวน 407 หน่วยตัวอย่าง) พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 52.58 เคยมีประสบการณ์การใช้กัญชาเพื่อประกอบอาหารหรือเครื่องดื่ม รองลงมา ร้อยละ 34.64 ระบุว่า การเสพหรือสูบกัญชา ร้อยละ 22.36 ระบุว่า การใช้กัญชาเพื่อรักษาโรค ร้อยละ 15.97 ระบุว่า การปลูกกัญชา และร้อยละ 0.98 ระบุว่า การแปรรูปผลิตภัณฑ์กัญชาในเชิงพาณิชย์ และการค้ากัญชา ในสัดส่วนที่เท่ากัน

‘เศรษฐา’ พอใจหลังผลสอบตัวอย่าง ‘ข้าว 10 ปี’ ไม่มีสารก่อมะเร็ง เชื่อ!! น่าจะขายได้ในราคาที่เหมาะสม ตามกลไกของตลาด

(19 พ.ค.67) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์หลังผลตรวจสอบตัวอย่างข้าว 10 ปีที่ส่งตรวจจากห้องปฏิบัติการของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ไม่พบสารพิษที่ก่อให้เกิดมะเร็ง(อะฟลาท๋อกซิน) และไม่มีสารปนเปื้อนที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อการบริโภค ว่า อย่างที่เคยบอกไว้ว่า รัฐบาลต้องการให้หน่วยงานที่เป็นกลาง ซึ่งสามารถเข้ามา ตรวจสอบได้ ในส่วนของข้าว เหมาะสมที่จะมีการขายหรือเปล่า และเรื่องการตรวจสอบก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ในฐานะที่เราเป็นผู้ขาย และหากผู้ซื้อต้องการจะตรวจสอบเราก็พร้อม ถือว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดี ข้าวยังไม่เสียและไม่มีสารปนเปื้อนจะสามารถทำราคาขึ้นได้ เป็นเรื่องที่น่ายินดี

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ผลวิจัยออกมาเช่นนี้ถือเป็นการขจัดข้อสงสัยจากหลายๆฝ่ายได้ใช่หรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ก็หวังจะเป็นเช่นนั้นถ้าไม่มีอคติ เมื่อคนกลางเข้ามาพิสูจน์ทราบแล้วว่าไม่มีเชื้ออะฟลาท็อกซิน ก็น่าจะขายได้ในราคาที่เหมาะสม ตามกลไกของตลาด 

เมื่อถามว่านายภูมิธรรม เวชชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้รายงานหรือไม่ว่าจะเปิดประมูลได้เมื่อไหร่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ทุกอย่างขึ้นอยู่กับขั้นตอน ผึ้งขั้นแรกจะต้องมีการพิสูจน์ก่อน ว่าไม่มีสารอะฟลาท็อกซินและเชื่อว่ากระทรวงพาณิชย์เร่งขายอยู่แล้ว

มีข้อมูลเพิ่มเติมว่า ก่อนหน้านี้รายการข่าว 3 มิติ เผยผลการทดสอบตัวอย่างข้าวสาร 2 โกดังในโครงการรับจำนำข้าว จังหวัดสุรินทร์ดังกล่าวแล้วว่า ไม่พบสารพิษจากเชื้อราที่ทำให้เป็นมะเร็ง หรือสารอะฟลาท็อกซิน และไม่พบสารตกค้างจากการใช้ยารมควัน

ขณะที่นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ผ่านแอพพลิเคชั่น X โดยนำผลที่ข่าว 3 มิติรายงาน เทียบกับข่าวจากช่อง ONE  พร้อมระบุว่า “รอดูผลการตรวจอย่างเป็นทางการจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์อีกครั้งครับ คาดว่าจะออกมาในวันจันทร์ที่ 20 พฤษภาคมนี้”

‘ซูซูกิ’ แจงด่วน เพื่อสยบข่าวลือ สร้างความเชื่อมั่นให้ ‘ลูกค้า’ ยัน!! ไม่มีการปิดตัว ย้ำ!! มีแผนจะเปิดตัวรุ่นใหม่ ในปี 2568

(18 พ.ค. 67) จากกรณีมีข้อความที่ชาวเน็ตแชร์สนั่นในโลกออนไลน์ ระบุว่า ค่ายรถญี่ปุ่นชื่อดัง Suzuki เตรียมจะปิดตัวในไทย จนหลายเพจได้มีการนำข้อมูลดังกล่าวไปเผยแพร่เป็นวงกว้าง ส่งผลให้ลูกค้าที่ใช้บริการรถยนต์ของค่ายซูซูกิอยู่นั้น เกิดความกังวลอย่างมาก  

เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว ล่าสุดทางด้านเพจเฟซบุ๊ก Suzuki Motor Thailand ได้มีการออกมาชี้แจง โดยระบุข้อความว่า …

ตามที่มีกระแสข่าวในโซเชียลมีเดียที่ได้พาดพิงและกล่าวถึงการดำเนินงานของบริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด

บริษัทฯ ขอเรียนชี้แจงว่าข่าวดังกล่าวไม่เป็นความจริงและขอยืนยันว่า บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ยังคงมีความมุ่งมั่นที่จะดำเนินธุรกิจในประเทศไทย และมีแผนในระยะยาวที่จะแนะนำรถยนต์รุ่นใหม่ในปี 2568 และในปีถัด ๆ ไป ตามแผนงานธุรกิจ ที่ได้มีการประกาศต่อผู้จำหน่ายรถยนต์ซูซูกิทั่วประเทศเมื่อช่วงต้นปี 2567 ที่ผ่านมา รวมถึงบริษัทฯ มีแผนงานในการพัฒนาผู้จำหน่ายเพื่อให้มีมาตรฐานการขายและการให้บริการหลังการขาย ที่จะสามารถสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้กับลูกค้าคนไทยได้ต่อไป 

บริษัทฯ ขอขอบคุณทุกท่านที่ให้ความไว้วางใจและเป็นลูกค้าซูซูกิเสมอมา

‘สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว’ เข้าร่วมพิธีมอบ ‘เครื่องราชอิสริยาภรณ์’ ในฐานะเป็นผู้มีบทบาทสำคัญ ในการส่งเสริมความสัมพันธ์ ‘ญี่ปุ่น-ไทย’

เมื่อไม่นานมานี้ นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว อดีตเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงโตเกียว อดีตปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ผู้ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ‘The Order of the Rising Sun, Gold and Silver Star’ สำหรับชาวต่างชาติประจำฤดูใบไม้ผลิ พ.ศ. 2567 ได้เข้าร่วมพิธีมอบเครื่องราชอิสริยาภรณ์ที่จัดขึ้น ณ พระราชวังอิมพีเรียล โดยมีนายกรัฐมนตรีคิชิดะเป็นผู้มอบ

โดยนายสีหศักดิ์ ได้รับเครื่องราชฯ  ‘The Order of the Rising Sun, Gold and Silver Star’ จากผลสำเร็จในประเทศไทย ในฐานะเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมความสัมพันธ์และมิตรภาพอันดีระหว่างประเทศญี่ปุ่นและประเทศไทย

นอกจากนี้ ยังเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการกระชับสายสัมพันธ์แห่งมิตรภาพระหว่างญี่ปุ่นและไทย โดยผ่านประสบการณ์ใน การปฏิบัติงานในสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงโตเกียว ถึง 2 ครั้ง ยิ่งไปกว่านั้นในฐานะผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศ มีผลสำเร็จและบทบาทสำคัญในการส่งเสริมความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างญี่ปุ่น-ไทย นอกจากนี้ ในฐานะที่ปรึกษาพิเศษของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor) ยังมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการลงทุนและกิจกรรมทางธุรกิจของบริษัทญี่ปุ่นในประเทศไทย

‘หนุ่มไรเดอร์’ โดนด่า หาว่าเป็น ‘ชู้’ กับเมียชาวบ้าน เพราะเห็นโทรมาบ่อย แจง!! ‘ผมเป็นแกร็บ มาส่งออเดอร์’ อีกฝ่ายเสียงอ่อย หลังรู้ความจริง

(18 พ.ค. 67) ผู้ใช้ TikTok บัญชี basnobu23 ซึ่งเป็นไรเดอร์ส่งอาหาร ได้โพสต์คลิปวิดีโอเหตุการณ์คุยโทรศัพท์กับชายคนหนึ่ง ที่กล่าวหาตัวเขานั้น เป็นชู้กับเมียของชายคนดังกล่าว โดยระบุข้อความว่า ‘พี่ฟังผมก่อน’

ในคลิปหนุ่มไรเดอร์ได้คุยกับโทรศัพท์กับชายคนหนึ่ง โดยทันทีที่รับสาย ชายคนดังกล่าวก็ไม่ฟังอะไร กล่าวหาว่าไรเดอร์เป็นชู้กับเมียของเขา โดยบอกว่าโทรมาบ่อยขนาดนี้ เป็นชู้หรือเปล่า

ซึ่งไรเดอร์หนุ่มก็พยายามปฏิเสธ แต่ปลายสายเหมือนจะไม่ยอมฟัง และบอกว่าให้ฟังก่อนก็ยังถูกด่าไม่หยุด เมื่อมีช่องให้พูด จึงบอกว่า “ผมแกร็บครับ มาส่งออเดอร์พี่”

ทำเอาปลายสายเสียงอ่อน บอก แกร็บเหรอครับ หนุ่มไรเดอร์ตอบว่าใช่ แล้วได้ยินเสียงเหมือนหันไปถามเมียว่าสั่งอาหารมาหรือ

หลังจากคลิปดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกไป ทำเอาชาวเน็ตเข้ามาแสดงความคิดเห็นมากมาย ชาวเน็ตบางคนมองว่านี่อาจเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับไรเดอร์คนไหนก็ได้ ถ้าเป็นตัวเองจะรับคำขอโทษเป็นเงินสดเท่านั้น

ขณะที่ชาวเน็ตหลายคนก็สงสัยว่าทำไมเมียของชายที่โทรมาไม่บอกผัวตัวเองว่าสั่งข้าวมา หรือว่าจะมีกิ๊กอยู่จริง ๆ เมื่อมีคนถามว่าเจอสถานการณ์แบบนี้บ่อยไหม ไรเดอร์ก็บอกว่าเจอบ่อย

‘ญี่ปุ่น’ มอบเครื่องราชฯ ‘มงกุฎแสงแห่งอาทิตย์’ ให้ ‘อาคม เติมพิทยาไพสิฐ’ ในฐานะผู้มีบทบาทสำคัญ ส่งเสริมการคมนาคมขนส่ง ระหว่าง ‘ญี่ปุ่น-ไทย’

เมื่อไม่นานมานี้ เพจเฟซบุ๊กสถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย ได้เผยแพร่ข่าวการมอบเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ประจำฤดูใบไม้ผลิ พ.ศ. 2567 ให้แก่ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ ระบุว่า ...

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้รับเครื่องราช ‘The Order of the Rising Sun, Gold and Silver Star’ จากผลสำเร็จ ในประเทศไทย ‘ในฐานะเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมด้านคมนาคมขนส่งระหว่างประเทศญี่ปุ่นและประเทศไทย’

ทั้งนี้ อาคม เติมพิทยาไพสิฐ ในฐานะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และอดีตเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นผู้นำในโครงการพัฒนาและความร่วมมือในรูปแบบต่าง ๆ บนพื้นฐานความร่วมมือระหว่างญี่ปุ่น-ไทย 

อีกทั้งยังมี บทบาทสำคัญในการพัฒนากิจกรรมทางธุรกิจของบริษัทญี่ปุ่น โดยเป็นหัวหอกในการประสานงานกับฝ่ายที่เกี่ยวข้องอย่างแข็งขัน เพื่อให้แน่ใจว่าโครงการสนับสนุนของญี่ปุ่นที่มีต่อประเทศไทยจะดําเนินไปอย่างราบรื่นในประเทศไทย

สำหรับเครื่องราชฯ ตระกูลมงกุฎแสงแห่งอาทิตย์ ชั้นที่ 2 เป็นเครื่องราชรองจากสูงสุดที่ให้กับคนต่างชาติ

‘ดีอี’ จับมือหน่วยงานพันธมิตร เร่งปราบ ‘โจรออนไลน์’ ระยะที่ 2 ตามข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี กวาดล้างบัญชีม้าไปแล้ว 1 แสนบัญชีต่อเดือน พร้อมเร่งรัดหาวิธีคืนเงินผู้เสียหายให้เร็วที่สุด

วันที่ 16 พฤษภาคม 2567 นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยถึงความคืบหน้าปราบโจรออนไลน์ตามข้อสั่งการของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีว่า เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2567 ที่ผ่านมา ได้ประชุมร่วมกับ ศาสตราจารย์พิเศษ วิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดีอี นายเวทางค์ พ่วงทรัพย์ รองปลัดกระทรวงดีอี และ พล.ต.ต.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ รองเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) พร้อมด้วยผู้แทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สมาคมธนาคารไทย และสมาคมโทรคมนาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ เพื่อหารือเรื่องการกวาดล้างบัญชีม้าและเร่งรัดการคืนเงินให้ผู้เสียหาย ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี ที่ได้มอบหมายให้กระทรวงดีอี ร่วมกับตำรวจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เดินหน้าปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์เป็นระยะที่ 2 ต่อเนื่องจากระยะแรก 30 วัน (1-30 เมษายน 2567) โดยผลการประชุมที่สำคัญ ดังนี้ 

1. การเร่งรัดกวาดล้างบัญชีม้า : ปปง. ธปท. สมาคมธนาคาร กสทช. สมาคมโทรคมนาคมฯ และ ดีอี ได้ร่วมกันดำเนินการขยายผลกวาดล้างบัญชีม้า จากการใช้ข้อมูลรายชื่อเจ้าของบัญชีม้า และรายชื่อผู้กระทำผิดกฎหมาย โดยใช้อำนาจตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ทำการปิดบัญชีธนาคารทุกธนาคาร จากชื่อบุคคลดังกล่าว โดยตั้งเป้าระงับ/ปิด บัญชีม้ามากกว่า 12,000 คนต่อเดือน หรือ 100,000 บัญชีต่อเดือน พร้อมทั้งกำหนดมาตรการและเงื่อนไขการเปิดบัญชีใหม่ เพื่อป้องกันการนำไปกระทำความผิดโดยเพิ่มกระบวนการพิสูจน์ทราบข้อเท็จจริง Customer Due Diligence หรือ CDD โดยเฉพาะกลุ่มที่มีความเสี่ยง ธนาคารต้องตรวจสอบให้เคร่งครัดมากขึ้นก่อนอนุมัติเปิดบัญชี โดยทาง ธปท.จะมีการออกประกาศภายในเดือนมิถุนายน 2567 ซึ่งปัจจุบันบางธนาคารได้มีการดำเนินการแล้ว โดยได้มีการเชื่อมระบบข้อมูลของธนาคารทุกธนาคาร มอบหมายให้ กสทช. เป็นผู้ดำเนินการจัดทำระบบรวบรวมข้อมูล ซึ่งจะเริ่มดำเนินการได้ภายใน 2 สัปดาห์ สำหรับการกวาดล้างบัญชีม้า และซิมม้าในระบบ mobile banking ที่ประชุมมอบหมายให้ กสทช.เร่งรัดตรวจสอบเบอร์โทรศัพท์ที่ผูกกับระบบ mobile banking จำนวนประมาณ 106 ล้านเลขหมาย ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จใน 120 วัน 

นายประเสริฐ กล่าวว่า สำหรับผลการกวาดล้างบัญชีม้าถึง 30 เมษายน 2567 ได้ระงับบัญชีม้าแล้วกว่า 700,000 บัญชี แบ่งเป็น ธนาคารระงับเอง 300,000 บัญชี AOC ระงับ 101,375 บัญชี ปปง.ปิด 325,586 บัญชี ในส่วนของตำรวจดำเนินการการจับกุมคดี บัญชีม้า-ซิมม้า เม.ย. 67 มีจำนวน 361 คน เพิ่มขึ้น 1.9 เท่า เทียบกับ การจับกุมเฉลี่ย 187 คนต่อเดือน ช่วงมกราคม - มีนาคม 2567

2. การแก้กฎหมายพิเศษเป็นการเร่งด่วน : เพื่อให้การปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ ตลอดจนช่วยเหลือคืนเงินให้ผู้เสียหาย ได้มีการหารือเรื่องการแก้กฎหมายในประเด็น ดังนี้ 2.1 การเร่งรัดคืนเงินให้ผู้เสียหาย โดยที่ผ่านมาการคืนเงินให้ผู้เสียหายจากคดีออนไลน์ ต้องใช้เวลานาน หลายๆ กรณีใช้เวลาหลายปี กว่าจะสามารถคืนเงินให้ผู้เสียหายได้ ประกอบกับ ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2566 ที่ผ่านมา ทาง AOC 1441 โดย ดีอี ตำรวจ สมาคมธนาคาร ได้ร่วมมือ เร่งการระงับ/อายัด บัญชีม้าได้รวดเร็วเฉลี่ยภายใน 10 นาที และมีเงินที่ถูกอายัดได้จำนวนมาก ซึ่งในวันนี้จึงได้ประชุมพิจารณาถึงการหาวิธีคืนเงินให้รวดเร็วขึ้น โดยพิจารณาการออกกฎหมายพิเศษเพื่อเร่งการคืนเงิน 

2.2 การเพิ่มโทษการซื้อขายข้อมูลส่วนบุคคล โดยถือว่าการซื้อขายข้อมูลส่วนบุคคล เป็นการกระทำที่ส่งผลกระทบร้ายแรงต่อประชาชน เศรษฐกิจ และสังคมในวงกว้าง จึงต้องมีการกำหนดบทลงโทษผู้ที่เกี่ยวข้องและคนร้ายในอัตราโทษจำคุกเพิ่มขึ้นจาก 1 ปี เป็น 5 ปี  นอกจากนี้ ยังได้หารือถึงการป้องกันการโอนเงินแบบผิดกฎหมายของคนร้ายโดยการใช้สินทรัพย์ดิจิทัล โดยเฉพาะที่เป็นแพลทฟอร์มซื้อขายแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลในต่างประเทศที่ผิดกฏหมาย 

“วันนี้เราประชุมเพื่อหามาตรการเร่งรัดกวาดล้างบัญชีม้า และ หาวิธีคืนเงินให้ผู้เสียหายรวดเร็วยิ่งขึ้น โดยที่ประชุมได้หารือถึงการออกพระราชกำหนด เป็นกฎหมายพิเศษเพื่อเร่งคืนเงินให้ผู้เสียหายและเพิ่มโทษการซื้อขายข้อมูล ซึ่งเป็นไปตามข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี ขอให้เร่งการปราบปรามจับกุมคนร้าย กวาดล้างบัญชีม้า ซิมม้า ปิดกั้นโซเชียลมีเดียหลอกลวงต่อเนื่อง แก้ปัญหาหลอกลวงซื้อขายออนไลน์ และช่วยลดความเดือนร้อนของประชาชน” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมกล่าว 


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top