Friday, 9 May 2025
NEWS FEED

ขอนแก่น - 'มทบ.23' จัดกิจกรรม วันกำลังสำรอง ประจำปี 2568 

เพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ที่ทรงพระราชทานกำเนิดกองเสือป่าอันเป็นรากฐานของกิจการกำลังสำรอง และให้เห็นถึงคุณค่า และความสำคัญของกำลังสำรอง ที่พร้อมสนับสนุนในทุกภารกิจของกองทัพ 

เมื่อเวลา 09.00 น. (6 พ.ค.68) ที่ อาคารสโมสรนายทหารค่ายศรีพัชรินทร มณฑลทหารบกที่ 23 ตำบลศิลา อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น พลตรีกิตติพงษ์ เนื่องชมภู ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 23 เป็นประธานในการจัดกิจกรรมเนื่องใน 'วันกำลังสำรอง' ประจำปี 2568 เพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ที่ทรงพระราชทานกำเนิดกองเสือป่าอันเป็นรากฐานของกิจการกำลังสำรอง และให้เห็นถึงคุณค่า และความสำคัญของกำลังสำรอง ที่พร้อมสนับสนุนในทุกภารกิจของกองทัพ 

โดยกิจกรรมภายในงานประกอบด้วย พิธีวางพานพุ่มดอกไม้สดถวายราชสักการะพระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ของประธานและส่วนราชการ, การอ่านสารของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และการกล่าวคำปฏิญาณตนเป็นกำลังสำรองที่ดี ทั้งนี้มีผู้แทนหน่วยงานองค์กรกำลังสำรองจำนวน 6 หน่วยงานและผู้แทนข้าราชการทหารเข้าร่วมพิธีและวางพานพุ่ม อาทิ สมาคมผู้กำกับนักศึกษาวิชาทหารและนักศึกษาวิชาทหาร มณฑลทหารบกที่ 23, ชมรมไทยอาสาป้องกันชาติ, ศูนย์ประสานงานเครือข่ายกำลังพลสำรอง มณฑลทหารบกที่ 23, กองบังคับการตำรวจตระเวนชายแดน ภาค 2, กองอาสารักษาดินแดนจังหวัดขอนแก่น และกำลังพล มณฑลทหารบกที่ 23 ร่วมกิจกรรม จำนวน 200 คน

กองทัพอากาศส่ง F-16 สกัดเครื่องบินเมียนมา หลังพบบินเข้าใกล้ชายแดนกาญจนบุรี ยันไม่มีการล้ำอธิปไตย

(6 พ.ค. 68) พล.อ.ท.ประภาส สอนใจดี โฆษกกองทัพอากาศ เปิดเผยว่า หน่วยควบคุมและแจ้งเตือนทางอากาศตรวจพบเครื่องบินลักษณะคล้าย K-8 จากเมียนมา บินเข้าใกล้เขตแดนไทยบริเวณตรงข้ามอำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี เวลาประมาณ 12.45 น. กองทัพอากาศจึงสั่งการให้ F-16 จำนวน 2 ลำ จากกองบิน 4 จังหวัดนครสวรรค์ ขึ้นบินพิสูจน์ฝ่ายและแสดงท่าทีทางอากาศ

F-16 ทั้งสองลำได้ทำการบินลาดตระเวนรบในพื้นที่อำเภอเมืองและอำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งไม่พบการล้ำอธิปไตยหรือท่าทีคุกคามเพิ่มเติมจากเครื่องบินดังกล่าว

ทั้งนี้ กองทัพอากาศยืนยันความพร้อมในการสกัดกั้นอากาศยานไม่ทราบฝ่าย โดยจะดำเนินการตามมาตรการอย่างมืออาชีพ เพื่อปกป้องน่านฟ้าไทยและอธิปไตยของประเทศตามกฎหมายและพันธกรณีระหว่างประเทศอย่างเคร่งครัด

‘IO มากันไวมาก’ ฐปณีย์คอมเมนต์แซะกลางโซเชียล หลังโพสต์เรียกร้องเจรจาชายแดนใต้เจอกระแสตีกลับ-ครอบครัวเหยื่อระเบิดสวนเจ็บ ‘คุณไม่มีวันเข้าใจ’

(6 พ.ค. 68) ‘แยม’ ฐปณีย์ เอียดศรีไชย นักข่าวชื่อดัง โพสต์แสดงความเห็นผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว โดยสะท้อนเสียงจากทั้งพุทธและมุสลิมในพื้นที่ชายแดนใต้ว่า ต่างเรียกร้องให้หยุดความรุนแรง และเห็นว่าการเจรจาเป็นแนวทางสันติวิธีเพื่อยุติการสูญเสีย พร้อมย้ำว่า “อย่าใช้ชีวิตประชาชนเป็นตัวประกัน หยุดการใช้อาวุธ กลับสู่โต๊ะเจรจา”

โพสต์ดังกล่าวได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง โดยมีทั้งเสียงสนับสนุนและคัดค้าน จนคุณแยมต้องเข้ามาคอมเมนต์ว่า “IO มากันไวมาก” 

อย่างไรก็ตาม หนึ่งในคอมเมนต์ที่ได้รับการกดไลก์มากที่สุด มาจากภรรยาเจ้าหน้าที่ EOD ที่สูญเสียขาจากเหตุระเบิดในนราธิวาส ระบุว่า “ไม่ใช่ไอโอค่ะ...เจรจามากี่ครั้งแล้ว พอไม่พอใจก็ก่อเหตุอีก เค้าต้องการแบ่งแยก ไม่ได้ต้องการเจรจา...คุณไม่มีวันเข้าใจหรอกค่ะ” เป็นเสียงสะท้อนความเจ็บปวดจากผู้สูญเสียที่วิจารณ์กระบวนการเจรจาอย่างตรงไปตรงมา

BRN แถลงเสียใจต่อเหตุรุนแรงในพื้นที่ปาตานี ยืนยันไม่มุ่งโจมตีพลเรือน เรียกร้องทุกฝ่ายร่วมกันหาทางออกอย่างสันติ ยึดหลักสิทธิมนุษยชน

(6 พ.ค. 68) แนวร่วมปฏิวัติแห่งชาติมลายูปาตานี (BRN) ออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2568 แสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ความรุนแรงในพื้นที่ปาตานีดารุสซาลามที่ทำให้มีผู้บริสุทธิ์เสียชีวิต พร้อมยืนยันว่า BRN ไม่มีนโยบายมุ่งโจมตีเป้าหมายพลเรือน และขอแสดงความเห็นใจต่อครอบครัวผู้สูญเสียทุกคน

ในแถลงการณ์ BRN ระบุว่าการเคลื่อนไหวของตนมีเป้าหมายเพื่อเสรีภาพและศักดิ์ศรีของประชาชนมลายูปาตานี โดยยึดหลักสิทธิมนุษยชนสากลและกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ ยืนยันการต่อสู้จะไม่ละเมิดหลักเกณฑ์เหล่านี้

นอกจากนี้ BRN เรียกร้องให้ทุกฝ่าย รวมถึงรัฐบาลไทยและกลุ่มติดอาวุธ หลีกเลี่ยงการกระทำที่เป็นอันตรายต่อพลเรือน พร้อมเสนอให้มีการสอบสวนเหตุการณ์อย่างโปร่งใสเพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่นและลดความตึงเครียดในพื้นที่

แถลงการณ์ปิดท้ายด้วยข้อความว่า “การต่อสู้ของพวกเรามีเป้าหมายเพื่อเสรีภาพและศักดิ์ศรีของประชาชนปาตานี มิใช่เพื่อสร้างความหวาดกลัว” พร้อมเชิญชวนให้ทุกฝ่ายยืนหยัดร่วมกันด้วยสันติและปัญญาเพื่อทางออกที่ยั่งยืนของปัญหาในพื้นที่ชายแดนใต้

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเปิดการแข่งขัน Cops Combat ประจำปี 2568 วางยศ ลดอัตตา ปรับใช้ในการทำงานของตำรวจได้อย่างมีประสิทธิภาพ

(6 พ.ค. 68) เวลา 13.00 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นประธานพิธีเปิดการแข่งขันกีฬาต่อสู้และป้องกันตัว Cops Combat ประจำปี 2568 ของกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง โดยมี พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ให้การต้อนรับ ณ สนามมวยราชดำเนิน ซึ่งการแข่งขันจัดขึ้นระหว่างวันที่ 5 – 6 พฤษภาคม 2568 โดยในวันนี้เป็นรอบชิงชนะเลิศ

ทั้งนี้ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้มอบรางวัลชนะเลิศกีฬาต่อสู้และป้องกันตัว Cops Combat ประจำปี 2568 จัดขึ้นเพื่อให้ข้าราชการตำรวจได้ทบทวนการต่อสู้ป้องกันตัว การต่อสู้ระยะประชิด รวมไปถึงเป็นการทดสอบสมรรถภาพร่างกายของข้าราชการตำรวจไปในตัว โดยปีนี้จัดขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 สำหรับคะแนนรวมทั้งประเภทชายและหญิง 12 รุ่นน้ำหนัก โดยคะแนนรวมมากที่สุดของการแข่งขัน เป็นของกลุ่ม 13 ซึ่งเป็นนักกีฬาจากกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และกองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว 

ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง กล่าวว่า ในปัจจุบันคนร้ายได้มีการต่อสู้กับตำรวจมากขึ้น ทำให้ตำรวจต้องมีความรู้ในการต่อสู้ป้องกันตัวด้วยมือเปล่า เพื่อใช้ในการปฏิบัติหน้าที่ดูแลประชาชน นักกีฬาทุกคนได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า บนสังเวียนแห่งนี้มีแต่มิตรภาพ เพราะเราคือพี่น้องที่หน้าที่เพื่อจุดหมายเดียวกันคือ เพื่อประชาชน พร้อมขอบคุณนักกีฬาตำรวจทุกคน ที่ร่วมแข่งขันกันอย่างมีสปิริตบนเกมกีฬา รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย วางยศ ลดอัตตา

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า Cops Combat เป็นกีฬาที่มีการผสมผสานระหว่างมวยไทยและทักษะการต่อสู้ป้องกันตัวจากประเทศอื่น น้องๆ ตำรวจที่มาเป็นนักกีฬา สามารถนำไปปรับใช้กับการปฏิบัติหน้าที่ต่อสู้ป้องกันตัว ระหว่างปฏิบัติหน้าที่อาจต้องใช้ความรู้จาก Cops Combat มาใช้ในการป้องกันตนเอง จากผู้คลุ้มคลั่ง หรือจากอาชญากร ที่อาจจะทำร้ายเจ้าหน้าที่ถึงชีวิตได้ ดังนั้น กีฬาต่อสู้ป้องกันตัวที่จัดขึ้นโดยกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง มีความจำเป็นกับทุกคน ซึ่งการจัดการแข่งขัน Cops Combat ปีนี้ พบว่ามีนักกีฬาจำนวน  14 กลุ่ม มากกว่า 14 กองบัญชาการ ที่ร่วมส่งนักกีฬาเข้าร่วมแข่งขัน และมีนักกีฬาเข้าร่วมจำนวนมากทั้งหญิงและชาย จึงอยากให้ข้าราชการตำรวจและนักกีฬาได้มีการพัฒนาตัวเอง พัฒนากำลังกายและทักษะเป็นประจำและสม่ำเสมอ เพราะตำรวจเรามีความจำเป็นต้องใช้ในภารกิจตำรวจกับชีวิตประจำวัน ขอบคุณนักกีฬาทุกคนที่เข้ามาร่วมการแข่งขัน และคาดหวังว่าในปีต่อๆ ไป จะมีการพัฒนาในการต่อสู่กับฝ่ายตรงข้ามอย่างมีประสิทธิภาพ

ครบรอบ 72 ปี กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเป็นประธานในพิธีสดุดีอนุสาวรีย์ พลตำรวจเอก เผ่า ศรียานนท์ผบช.ตชด.นำยกย่องเชิดชูเกียรติ “ตชด.ผู้กล้า ผู้เสียสละ”เปิดผลงาน Seal ชายแดน ปราบเข้มยาเสพติด ต่างด้าว ภัยความมั่นคงทุกมิติ
 
(6 พ.ค. 68) เวลา 09.00 น. ที่กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน ( บช.ตชด. ) เขตพญาไท กรุงเทพมหานคร พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เป็นประธานในพิธีสดุดีและวางพวงมาลัยสักการะอนุสาวรีย์ พลตำรวจเอก เผ่า ศรียานนท์ อดีตอธิบดีกรมตำรวจ และผู้ก่อตั้งตำรวจตระเวนชายแดน เนื่องในโอกาสวันสถาปนากองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน ครบรอบปีที่ 72
โดยมี อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ อดีตผู้บังคับบัญชาระดับสูงของกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน
อาทิ พล.ต.อ.พรศักดิ์ ดุรงควิบูลย์ พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว อดีต ผบ.ตร. พล.ต.อ.สมพงษ์ ชิงดวง อดีตที่ปรึกษาพิเศษ ตร. พล.ต.อ.สมศักดิ์ บุบผาสุวรรณ อดีตผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 ร่วมพิธี
พร้อมด้วย พล.ต.ท.นิตินัย หลังยาหน่าย ผู้บัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน คุณสุวรรณยา  หลังยาหน่าย
ประธานชมรมแม่บ้านตำรวจตระเวนชายแดน, ข้าราชการตำรวจตระเวนชายแดน, คณะแม่บ้านตำรวจตระเวนชายแดน และผู้แทนหน่วยงานต่าง ๆ
กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดนจัดกิจกรรมเนื่องในโอกาสวันสถาปนากองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน ครบรอบปีที่ 72 ซึ่งตรงกับวันนี้ 6 พฤษภาคม 2568 โดยในเวลา 06.39 น. คณะผู้บังคับบัญชาได้ร่วมประกอบพิธีบวงสรวงพระพุทธศรีประกายสิทธิ์ ศาลพระภูมิ และบวงสรวงอนุสาวรีย์ พลตำรวจเอก เผ่า ศรียานนท์
จากนั้น 09.00 น. พลตำรวจเอก กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นประธานในพิธีสดุดี
และวางพวงมาลัยสักการะอนุสาวรีย์ พลตำรวจเอก เผ่า ศรียานนท์
และในเวลา 10.00 น. พล.ต.ท. นิตินัย  หลังยาหน่าย ผู้บัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน เป็นประธานพิธีมอบโล่ ประกาศนียบัตร ให้แก่ข้าราชการตำรวจ และครอบครัวข้าราชการตำรวจที่ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ เพื่อเป็นการสดุดียกย่อง “ตชด.ผู้กล้า” จำนวน 14 ราย  มอบรางวัลให้แก่ข้าราชการตำรวจที่มีผลการปฏิบัติดีเด่นเป็นที่ประจักษ์ จำนวน 11 รางวัล และมอบทุนการศึกษาให้แก่บุตรข้าราชการตำรวจ 50 ทุน
สำหรับกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดนจัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2496 ภายใต้สภาวะที่ประเทศไทยเผชิญกับภัยคุกคามของลัทธิคอมมิวนิสต์ ทำให้รัฐบาลและกรมตำรวจในขณะนั้น ได้จัดตั้งตำรวจตระเวนชายแดนขึ้นมา เพื่อทำหน้าที่รักษาความมั่นคง และความสงบเรียบร้อยตามแนวชายแดน โดยมี
พลตำรวจเอก เผ่า ศรียานนท์ อธิบดีกรมตำรวจ เป็นผู้บัญชาการตำรวจตระเวนชายแดนคนแรก
 
ตำรวจตระเวนชายแดน มีคุณลักษณะ 3 ประการ คือ
1.ทำการรบในระดับหน่วยขนาดเล็กได้อย่างทหาร
2.ป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมได้อย่างตำรวจ
3.พัฒนาและช่วยเหลือประชาชนได้อย่างข้าราชการพลเรือน
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ตำรวจตระเวนชายแดนได้ปฏิบัติงานในพื้นที่ชายแดนและพื้นที่ที่มีปัญหา
ความมั่นคงอย่างมืออาชีพ ด้วยความเสียสละ และอดทน ยึดถือในอุดมการณ์ของตำรวจตระเวนชายแดน
เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยในชีวิตและทรัพย์สิน พัฒนาคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชน และเสริมสร้างความมั่นคงในพื้นที่ชายแดนอย่างยั่งยืน โดยมีผลงานสำคัญในการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมสำคัญ
ในพื้นที่ชายแดน เช่น การปราบปรามยาเสพติด การปราบปรามการลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย เป็นต้น
ดูแลช่วยเหลือพี่น้องประชาชนในยามที่เกิดภัยพิบัติต่างๆ  รวมถึงการดำเนินงานโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน เพื่อส่งเสริมการศึกษาให้แก่เด็กและเยาวชนในถิ่นทุรกันดารซึ่งปัจจุบันมีโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน 222 แห่ง
ทั่วประเทศ
 
ทั้งนี้ ในห้วงปีงบประมาณ พ.ศ.2568 ที่ผ่านมา มีผลงานด้านการป้องกันปราบปรามอาชญากรรม ดังนี้
1. การจับกุมคดียาเสพติด จำนวน 3,850 คดี ของกลาง ยาบ้า 20,910,461 เม็ด ไอซ์ประมาณ
1,260 กิโลกรัม และเฮโรอีน 21 กิโลกรัมเศษ
2. การจับกุมความผิดตาม พรบ. คนเข้าเมือง จำนวน 586 คดี ผู้ต้องหา 3,019 คน
3. การจับกุมกระทำผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จำนวน 111 คดี ผู้ต้องหา 55 คน ของกลาง พื้นที่ป่าบุกรุก 487 ไร่เศษ มูลค่า 9,285,337 บาท ไม้ต่างๆ เช่น พะยูง 211 ท่อน มูลค่า 414,800 บาท, ไม้สัก 925 ท่อน มูลค่า 813,580 บาท,
4. การจับกุมความผิดตาม พรบ.อาวุธปืน จำนวน 355 คดี ผู้ต้องหา 373 คน ปืนชนิดต่างๆ รวม 396 กระบอก ระเบิดขว้าง 4 ลูก และเครื่องกระสุน 3,351 นัด
5. การจับกุมความผิดตาม พรบ.ศุลกากร จำนวน 97 คดี ผู้ต้องหา 83 คน ของกลาง ได้แก่ บุหรี่ 73,983 ซอง, เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 3,723 ขวด และน้ำมันดีเซล 2,513 ลิตร
6. การจับกุมความผิดเกี่ยวกับการโจรกรรมรถยนต์ รถจักรยานยนต์ จำนวน 55 คดี ผู้ต้องหา 36 คน
ของกลาง รถยนต์ 69 คัน และ จักรยานยนต์ 29 คัน

‘สนามบินแม่ฟ้าหลวงเชียงราย’ เร่งขยายเฟสแรก งบ 5,870 ล้าน สร้างอาคารหลังใหม่ พร้อมดันศักยภาพรองรับผู้โดยสารแตะ 6 ล้านคนต่อปี

(6 พ.ค. 68) กระทรวงคมนาคมร่วมกับบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. เดินหน้าโครงการพัฒนาท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ระยะที่ 1 ใช้งบประมาณ 5,870 ล้านบาท โดยมีเป้าหมายขยายขีดความสามารถรองรับผู้โดยสารจากปัจจุบันประมาณ 1.9 ล้านคนต่อปี ให้เพิ่มเป็น 6 ล้านคนภายในปี 2575 เพื่อตอบรับการเติบโตของการเดินทางและท่องเที่ยวในภาคเหนือ

ในแผนงานระยะที่ 1 (ปี 2568–2571) จะมีการก่อสร้างอาคารผู้โดยสารหลังใหม่ (อาคาร 2) พร้อมปรับปรุงอาคารผู้โดยสารเดิม ก่อสร้างลานจอดอากาศยาน ระบบสาธารณูปโภค และสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ เพื่อให้สนามบินสามารถรองรับเที่ยวบินระหว่างประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

นอกจากการขยายอาคารผู้โดยสาร ยังมีแผนลงทุนปรับปรุงโครงข่ายถนนรอบสนามบิน เช่น ทางลอดและทางแยกต่างระดับ เพื่อแก้ปัญหาการจราจรและเชื่อมต่อการเดินทางระหว่างเมือง พร้อมรองรับนักท่องเที่ยวที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะจากจีน ลาว และเมียนมา

ทอท. คาดการณ์ว่าในปี 2573 จำนวนผู้โดยสารของสนามบินแม่ฟ้าหลวงจะพุ่งแตะ 3 ล้านคนต่อปี จึงเร่งวางแผนพัฒนาเชิงรุกระยะยาว โดยมีแผนเฟส 2 เพื่อเพิ่มศักยภาพรองรับถึง 8 ล้านคนภายในปี 2578 สอดรับเป้าหมายของไทยในการเป็นศูนย์กลางการบินภูมิภาคลุ่มน้ำโขงตอนบน

โฆษกประธานสภาผู้แทนราษฎร พร้อมด้วยผู้ช่วยเลขานุการประธานรัฐสภา แถลงข่าวชี้แจงกรณีที่มีผู้กระทำความผิดแอบอ้างใช้ชื่อและรูปภาพของผู้ช่วยเลขานุการประธานรัฐสภาไปหลอกลวงผู้เสียหาย

(6 พ.ค. 68) ที่ห้องแถลงข่าว ชั้น 1 อาคารรัฐสภา นายคัมภีร์ ดิษฐากรณ์ โฆษกประธานสภาผู้แทนราษฎร พร้อมด้วย นายฐาคณิษฐ์ พรทองประเสริฐ ผู้ช่วยเลขานุการประธานรัฐสภา แถลงข่าวชี้แจงกรณีที่มีผู้กระทำความผิดแอบอ้างใช้ชื่อและรูปภาพของนายฐาคณิษฐ์ พรทองประเสริฐ ไปหลอกลวงผู้เสียหาย นายฐาคณิษฐ์ พรทองประเสริฐ กล่าวว่า เนื่องด้วยเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2568 ได้มีผู้มายื่นหนังสือต่อประธานรัฐสภา อ้างว่ามีมิจฉาชีพแอบอ้างเป็นผู้ช่วยเลขานุการประธานรัฐสภา หลอกลวงชักชวนให้ลงทุนและวิธีอื่น ๆ ทำให้มีผู้เสียหายหลายรายตามที่ปรากฏเป็นข่าว สร้างความความเสียหายแก่ตนเป็นอย่างมาก  และในปัจจุบันมีตนเพียงคนเดียวที่ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการประธานรัฐสภา ซึ่งอาจทำให้ประชาชนและผู้ที่ติดตามข่าวเข้าใจผิดว่าตนเป็นผู้กระทำความผิด โดยมิจฉาชีพได้ใช้ชื่อและรูปภาพของตน ปลอมบัญชี Facebook Tiktok Instagram และนำไปหลอกลวงกลุ่มผู้เสียหายในรูปแบบต่าง ๆ  ซึ่งมีผู้เสียหายหลงเชื่อและได้ทำการโอนเงินให้กับกลุ่มมิจฉาชีพหลายครั้ง จำนวนแตกต่างกันไป โดยผู้เสียหายได้ทำการร้องทุกข์กับเจ้าหน้าที่ตำรวจหลายท้องที่และได้ร้องเรียนกับสื่อมวลชนหลายสำนัก ซึ่งต่อมาตนได้ไปออกรายการถกไม่เถียง ทางสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 เพื่อแสดงตัวตนที่แท้จริงและให้ความรู้กับประชาชนทั่วไปเพื่อไม่ให้ถูกหลอกลวง อันแสดงถึงเจตนาที่จะทำให้ประชาชนทั่วไปเข้าใจและป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์มิจฉาชีพไปหลอกลวงประชาชนได้อีก ซึ่งผู้เสียหายบางรายที่ได้พบและพูดคุยกับตนที่สถานีตำรวจ ได้ทำความเข้าใจกันแล้ว โดยผู้เสียหายทราบแล้วว่าตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการกระทำความผิดและไม่มีผู้เสียหายรายใดโอนเงินมายังบัญชีของตนเลย และก่อนหน้านี้ผู้เสียหายก็ไม่เคยพบหรือพูดคุยกับตนแต่อย่างใด ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่ามีการปลอมบัญชีที่ใช้ชื่อ นามสกุล และรูปภาพของตน มากกว่า 30 บัญชี โดยตนได้ไปแจ้งความที่ สน.บึงกุ่ม เมื่อวันที่ 13 มกราคม 2566 วันที่ 7 พฤศจิกายน 2567 และวันที่ 3 ธันวาคม 2567 และแจ้งความร้องทุกข์ที่กองบังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 1 (บก.สอท.1) โดยได้มีหนังสือแจ้งความคืบหน้ามา เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2568 จาก สน.บึงกุ่ม สาระสำคัญว่า คดีนี้การสอบสวนเสร็จสิ้น มีความเห็นงดสอบสวนเนื่องจากปรากฏพยานหลักฐานการตรวจสอบข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ไปยังสำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมว่าผู้ใดเป็นผู้กระทำความผิดนั้น ไม่สามารถตรวจสอบได้เนื่องจากฐานข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ Facebook Tiktok line และ Tinder ผู้ให้บริการมีถิ่นที่อยู่ต่างประเทศ อันเป็นข้อจำกัดในการสั่งให้ส่งมอบข้อมูลเกี่ยวกับผู้ให้บริการได้จึงไม่ปรากฏพยานหลักฐานเพียงพอว่าผู้ใดเป็นผู้กระทำความผิด
ทั้งนี้ ตนขอแสดงความเสียใจกับผู้เสียหายทุกท่าน และเห็นใจที่ถูกมิจฉาชีพหลอกลวง แต่ทุกสิ่งต้องดำเนินไปตามกฎหมาย ประชาชนทุกคนต้องอยู่ภายใต้กฎหมายและรักษาสิทธิของตนเอง จึงขอให้กลุ่มผู้เสียหายและตัวแทน ติดตามทวงถามถึงความคืบหน้าเกี่ยวกับคดีที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สน.ที่แจ้งความ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และให้ผู้ที่มีอำนาจหน้าที่ดำเนินการออกหมายเรียกหรือหมายจับตามขั้นตอนของกฎหมายกับผู้ที่เปิดบัญชีรับโอนเงิน ผู้ที่รับโอนเงิน หรือผู้ที่ทำการเบิกถอนเงิน รวมถึงบุคคลที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะเป็นประโยชน์มากกว่าที่จะเดินทางไปร้องเรียนกับหน่วยงานต่าง ๆ และหากมีข้อเท็จจริงปรากฏว่าการที่ผู้เสียหายรวมถึงตัวแทนเดินทางไปร้องเรียนตนกับหน่วยงานต่าง ๆ นั้น เป็นการกระทำโดยไม่สุจริตและไม่มีพยานหลักฐานใด ๆ เกี่ยวข้องว่าตนเป็นผู้กระทำความผิด ตนอาจจะต้องใช้สิทธิตามกฎหมายเพื่อป้องกันความเสียหายที่จะเกิดกับตนต่อไป อย่างไรก็ตาม ขอให้สื่อมวลชนและหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ช่วยกันเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ให้ความรู้กับประชาชนเพื่อให้สามารถปกป้องตนเอง ไม่ตกเป็นเหยื่อของอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และไม่ให้เรื่องลักษณะเช่นนี้เกิดขึ้นอีกต่อไป

พิษณุโลกแม่ทัพภาคที่ 3 ตรวจเยี่ยมการฝึกทหารใหม่ ในพื้นที่ค่ายสมเด็จพระนเรศวรมหาราช

เมื่อวันที่ (6 พ.ค. 68) พล.ท.กิตติพงษ์​  แจ่มสุวรรณ แม่ทัพภาคที่ 3 เดินทางตรวจเยี่ยมการฝึกทหารใหม่ ของหน่วยฝึกทหารใหม่  ร.4 พัน.3, มทบ.39 และ ส.พัน.4 พล.ร.4  สำหรับวันนี้เป็นวันที่ 6​ ของการฝึกทหารใหม่ ผลัดที่ 1 ประจำปี 2568 หลังจากที่ทหารใหม่เข้ามารายงานตัว ในวันที่ 1 พ.ค.68 ที่ผ่านมา ซึ่งในห้วงแรกเป็นการดำเนินการเรื่องธุระการและให้น้องๆ ทหารใหม่ได้มีโอกาสปรับตัวหลังจากเข้ามารายงานตัวในหน่วยต่างๆ ซึ่งห้วงแรกนี้เป็นการฝึกบุคคลท่าเบื้องต้น บุคคลท่ามือเปล่า ซึ่งเป็นการปรับตัวของน้องๆ ทหารใหม่จากบุคคลพลเรือนมาเป็นทหารใหม่ สำหรับการฝึกทหารใหม่ ผลัดที่ 1 ประจำปี 2568 จะทำการฝึก จำนวน 6 สัปดาห์ และทำการฝึกเฉพาะหน้าที่ จำนวน 3 สัปดาห์ เมื่อการฝึกเสร็จสิ้นก็จะมีกิจกรรม Open house เปิดโอกาสให้ผู้ปกครองและญาติ มาชมการแสดงและดูการเปลี่ยนแปลงของน้องๆ ทหารใหม่ ก่อนที่จะปล่อยน้องทหารใหม่ไปพักบ้านหลังจากผ่านการฝึกมาแล้ว จำนวน 9 สัปดาห์ ทั้งนี้ แม่ทัพภาคที่ 3 เน้นย้ำ การฝึกทหารใหม่ ขอให้ปฏิบัติตามข้อสั่งการของผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้นในการฝึกทหารใหม่อย่างเคร่งครัด เน้นเรื่องความปลอดภัยเป็นหลัก โดยเฉพาะเรื่องโรคลมร้อน (Heat Stroke) ให้หน่วยฝึกมีมาตราการควบคุมและฝึกซ้อมการส่งป่วย เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้น และครูฝึกจะต้องอยู่กับทหารใหม่ตลอด 24 ซม. เพื่อคอยกำกับดูแลทหารใหม่ให้เหมือนญาติพี่น้องและ บุคคลภายในครอบครัว ปรีชา นุตจรัส รายงานข่าวพิษณุโลก

รอง ผบ.ตร. เป็นประธานเปิดโครงการสัมมนาเชิงปฏิบัติการและฝึกอบรมข้าราชการตำรวจสายงานป้องกันปราบปรามอาชญากรรม ระดับผู้บริหารและผู้ปฏิบัติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568

(6 พ.ค. 68) เวลา 08.30 น. พล.ต.อ.ประจวบ วงศ์สุข รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) เป็นประธานเปิดโครงการสัมมนาเชิงปฏิบัติการและฝึกอบรมข้าราชการตำรวจสายงานป้องกันปราบปรามอาชญากรรม ระดับผู้บริหารและผู้ปฏิบัติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 โดยมี พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร. , พล.ต.ท.อิทธิพล อัจฉริยะประดิษฐ์ รองจเรตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วยผู้บังคับบัญชาและผู้เข้ารับการฝึกอบรม ร่วมพิธี ที่โรงแรมสามพรานภิรมย์ โรงเรียนนายร้อยตำรวจ อ.สามพราน จ.นครปฐม 
 
สำหรับการจัดโครงการดังกล่าว มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการสร้างความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ตำรวจสายงานป้องกันปราบปรามอาชญากรรมทั้งระดับผู้บังคับบัญชาและระดับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ให้มีความพร้อมในการปฏิบัติงาน เข้าใจสภาพปัญหาสำคัญในการปฏิบัติงานในพื้นที่รับผิดชอบ สามารถวิเคราะห์แนวโน้มการเกิดอาชญากรรม และนำไปสู่การวางแผนในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมในพื้นที่ รวมถึงการแบ่งปันความรู้ เทคนิควิธีปฏิบัติงานใหม่ๆ เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ในพื้นที่ของตนเอง ตลอดจนสร้างการมีส่วนร่วมในการเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาอาชญากรรม และปรับปรุงการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจให้สอดคล้อง เหมาะสมกับสถานการณ์ในปัจจุบัน

ทั้งนี้ แบ่งการฝึกอบรมออกเป็น 2 หลักสูตร โดยจะมีผู้บังคับบัญชาและข้าราชการตำรวจที่มีความรู้ความสามารถ มีประสบการณ์เป็นพิเศษในงานป้องกันปราบปราบอาชญากรรม รวมถึงบุคคลภายนอกที่มีความเชี่ยวชาญกับงานที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ร่วมเป็นวิทยากรในการฝึกอบรม ได้แก่
1. หลักสูตรการบริหารงานป้องกันปราบปรามอาชญากรรม รวม 72 นาย ประกอบด้วย รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล และรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1-9 ที่รับผิดชอบงานป้องกันปราบปราม พร้อมทีมงานบริหารป้องกันปราบปราม หน่วยละ 6 นาย และหน่วยงานด้านยุทธวิธีและด้านอำนวยการ หน่วยละ 1 นาย ซึ่งมีการฝึกอบรมระหว่างวันที่ 5-7 พฤษภาคม 2568 ณ โรงแรมสามพรานภิรมย์ โรงเรียนนายร้อยตำรวจ อ.สามพราน จ.นครปฐม 

2. หลักสูตรผู้ปฏิบัติงานป้องกันปราบปรามอาชญากรรม เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจที่รับผิดชอบงานป้องกันปราบปรามของสถานีตำรวจ (สน./สภ.) ในสังกัดกองบัญชาการตำรวจนครบาล และตำรวจภูธรภาค 1-9 อย่างน้อย 1,484 นาย ฝึกอบรมผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ แบ่งการฝึกอบรมออกเป็น 2 รุ่น รุ่นแรกวันที่ 27-28 พฤษภาคม 2568 มีพิธีเปิดการฝึกอบรมฯ ณ ห้องประชุมศรียานนท์ ชั้น 2 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ส่วนอีกรุ่นฝึกอบรมระหว่างวันที่ 29-30 พฤษภาคม 2568 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top