Wednesday, 19 February 2025
NEWS FEED

‘ชัยพงษ์ สำเนียง’ พร้อมด้วย ‘รศ.ดร.กุลดา เกษบุญชู มี้ด’ โพสต์ข้อความขอโทษ อ.ไชยันต์ ไชยพร กรณีกล่าวหาการทำงานวิจัยด้วยข้อมูลอันเป็นเท็จ อ้างรู้เท่าไม่ถึงการณ์

(19 ก.พ. 68) ชัยพงษ์ สำเนียง อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร และ รศ.ดร.กุลดา เกษบุญชู มี้ด อดีตอาจารย์ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความขอโทษ ศ.ดร. ไชยันต์ ไชยพร กรณีกล่าวหาด้วยข้อมูลเท็จ

นายกรัฐมนตรีมอบนโยบายพร้อมทั้งกล่าวขอบคุณในการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ในการสัมมนาข้าราชการตำรวจผู้บริหาร ระดับผู้บัญชาการหรือเทียบเท่า และผู้บังคับการหรือเทียบเท่า

(19 ก.พ.68) เวลา 15.00 น. น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มอบนโยบาย เรื่อง “นโยบายรัฐบาลในการจัดการปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติยุค Digital Disruption” แก่ข้าราชการตำรวจระดับผู้บริหารทั่วประเทศ ในโครงการสัมมนาผู้บริหาร ระดับผู้บัญชาการหรือเทียบเท่า และผู้บังคับการหรือเทียบเท่า ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 ณ ห้องแกรนด์ บอลรูม โรงแรมรามา การ์เด้นส์ ถนนวิภาวดีรังสิต เขตทุ่งสองห้อง กรุงเทพมหานคร โดยมี พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ , รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ , จเรตำรวจแห่งชาติ , ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และข้าราชการตำรวจที่เข้าร่วมโครงการจำนวน 337 คน แบ่งเป็นระดับผู้บัญชาการหรือเทียบเท่า จำนวน 44 คน และระดับผู้บังคับการหรือเทียบเท่า จำนวน 293 คน ให้การต้อนรับและรับมอบนโยบาย

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขอขอบคุณข้าราชการตำรวจทั่วประเทศในการปฏิบัติหน้าที่ปราบปรามอาชญากรรมในทุกมิติ ขอให้ตำรวจทั่วประเทศรับมือและปราบปรามอาชญากรรมอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเรื่องที่ประเทศไทยกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ คือเรื่องอาชญากรรมข้ามชาติ ยาเสพติด และอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยรัฐบาลพร้อมที่จะสนับสนุนสำนักงานตำรวจแห่งชาติในทุกด้าน โอกาสนี้ขอมอบนโยบาย 3 เรื่อง ได้แก่

1. สำนักงานตำรวจแห่งชาติต้องพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ แสวงหาความร่วมมือระหว่างหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน รวมถึงผลักดันการแก้ไขกฎหมายที่เป็นอุปสรรคในการทำงาน เช่น มาตรการยึดทรัพย์ผู้กระทำความผิดโดยเฉพาะสกุลเงินดิจิทัล ซึ่งต้องอาศัยความรู้ความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษ

2. การแสวงหาความร่วมมือระหว่างประเทศและองค์กรภูมิภาค โดยใช้ช่องทางต่างๆ เช่น Interpol, Europol, ASEANAPOL รวมถึงความสัมพันธ์แบบทวิภาคี

3. สำนักงานตำรวจแห่งชาติต้องดำเนินการทางวินัยและอาญาแก่ข้าราชการตำรวจที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมอย่างเด็ดขาด เพื่อยกระดับมาตรการการลงโทษ และเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดี

ทั้งนี้ โครงการสัมมนาผู้บริหารระดับผู้บัญชาการหรือเทียบเท่า และผู้บังคับการหรือเทียบเท่า ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 19 – 21 กุมภาพันธ์ 2568 โดย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นประธานเปิดโครงการ ซึ่งได้กล่าวแก่ข้าราชการตำรวจที่ร่วมโครงการ ว่า โครงการนี้เป็นเจตนารมณ์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยมีกองบัญชาการศึกษาเป็นผู้ดำเนินการ สิ่งที่อยากเน้นย้ำคือ mindset ทัศนคติของตำรวจที่จะใช้อำนาจตามกฎหมายที่ถูกที่ควร ซึ่งด้วยความเป็นผู้บังคับบัญชาของหน่วย ย่อมต้องไม่ปล่อยปละละเลยในการปฏิรูปตัวเองก่อน จากนั้นนำสิ่งที่ได้จากการสัมมนาลงไปมอบต่อ และกำกับดูแลผู้ใต้บังคับบัญชา เพื่อทำให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นที่ยอมรับของประชาชน ย้ำว่าตำรวจทำดีต้องชื่นชม ตำรวจที่อำนวยความสะดวกแก่ผู้ทำผิดกฎหมาย รับผลประโยชน์โดยมิชอบ นำมาซึ่งความเสื่อมเสียของหน่วยงาน ไม่ใช่เรื่องที่ต้องปกป้อง แต่ต้องดำเนินการอย่างเด็ดขาด

นอกจากนี้ ขอให้ตำรวจทุกนายต้องพิทักษ์ปกป้องสถาบัน และพิทักษ์ปกป้องประชาชน นำมาซึ่งสันติและความสงบเรียบร้อย ซึ่งเป็นหัวใจของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์อย่างแท้จริง

"ดร.เฉลิมชัย" นำทีม ทส. ย้ำบทบาท สผ. ให้เป็นหลักด้านนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อมของประเทศไทย ในโอกาสครบรอบ 50 ปี

(19 ก.พ. 68) เวลา 09.30 น. ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) พร้อมด้วย นายอภิชาต ศักดิเศรษฐ์ ที่ปรึกษา รมว.ทส. นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัด ทส. นำคณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ในสังกัด ทส. เข้าร่วมงานเนื่องในวันคล้ายวันสถาปนาสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) ครบรอบ 50 ปี “สผ. ก้าวต่อไป เพื่ออนาคตไทยที่ยั่งยืน” พร้อมเยี่ยมชมผลงาน “50 Years ONEP From Vision to Reality” ในรูปแบบ Art & Gallery โดยมี ดร.ชญานันท์ ภักดีจิตต์ เลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วยผู้บริหาร สผ. ให้การต้อนรับ ณ ห้อง Auditorium ชั้น 5 อาคารทิปโก้ 1 

โดย ดร.เฉลิมชัย ได้กล่าวเปิดงานพร้อมกับเน้นย้ำว่า ทส. มีเป้าหมายสำคัญเพื่อนำไปสู่การบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนในทุกมิติ ทั้งด้านสังคม เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม ธรรมาภิบาล และการส่งเสริมให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องได้เข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินงานบนพื้นฐานการเติบโตร่วมกัน อันจะนำไปสู่ “ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีตามแนววิถีใหม่ภายใต้ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน” ซึ่ง สผ. เป็นหน่วยงานหลักที่มีบทบาทสำคัญในการกำหนดนโยบาย แผน และมาตรการต่าง ๆ เพื่อให้เกิดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างสมดุล ควบคู่ไปกับการอนุรักษ์และฟื้นฟูระบบนิเวศให้คงความสมบูรณ์ ดังนั้น ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการผลักดันให้เกิดผลสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม นำเทคโนโลยีมาช่วยในการปรับตัวให้ส่วนราชการมีสมรรถนะสูง และมีความทันสมัย ทำงานด้วยความรวดเร็ว เพื่อเดินหน้าอย่างมีคุณภาพทำให้ประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น 

นอกจากนี้ในงานดังกล่าว รมว.ทส. ได้มอบรางวัล “คนดี ศรี สผ.” เพื่อเชิดชูเกียรติบุคลากรที่ปฏิบัติงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต อุทิศตน และสร้างคุณประโยชน์แก่หน่วยงานและสังคม ภายใต้วิสัยทัศน์ของ สผ. คือ “ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืน ด้วยการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพื่อประชาชน”

“อุทาหรณ์” หมายถึง “สิ่ง หรือเรื่องราวที่ยกขึ้นมาอ้าง หรือเทียบเคียงให้เห็นเป็นตัวอย่าง”

(19 ก.พ. 68) อ.ไชยันต์ โพสต์เฟซบุ๊ก ยกเป็น อุทาหรณ์ บุคคลที่ใส่ร้ายคนอื่นด้วยข้อมูลเท็จ หลัง 2 นักวิชาการ ‘ชัยพงษ์ สำเนียง’ และ ‘รศ.ดร.กุลดา เกษบุญชู’ ใส่ความด้วยเรื่องไม่จริง จนต้องออกมาโพสต์ข้อความขอโทษ

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ร่วมงานแถลงข่าวการประกวดเยาวชนต้นแบบด้านมารยาทไทย และมารยาทในสังคม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ณ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย กรุงเทพฯ

(19 ก.พ. 68) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง โดย นายวิเชียร เตชะไพบูลย์ ประธานกรรมการมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง และประธานอนุกรรมการบริหารกองทุน ดร.อุเทน เตชะไพบูลย์ พร้อมด้วย นายวิรุฬ เตชะไพบูลย์ ที่ปรึกษาประธานกรรมการมูลนิธิฯ นางสาวพิมพ์ณภัท สุนทรฐิติวงษ์ ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารองค์กรมูลนิธิฯ และคณะมหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ ร่วมงานแถลงข่าวการประกวดเยาวชนต้นแบบด้านมารยาทไทย และมารยาทในสังคม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 ถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี โดย กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม ร่วมกับ กองทุน ดร.อุเทน เตชะไพบูลย์ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ผู้ว่าราชการจังหวัด และสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดทั่วประเทศ โดยมี นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานในพิธี  พร้อมด้วยผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม และเครือข่ายสถานศึกษาต่าง ๆ ร่วมพิธี  ณ ห้องประชุมเล็ก ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย กรุงเทพฯ

การประกวดเยาวชนต้นแบบด้านมารยาทไทย และมารยาทในสังคม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มีวัตถุประสงค์เพื่อเทิดพระเกียรติสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในโอกาสทรงเจริญพระชนมายุ 70 พรรษา วันที่ 2 เมษายน 2568 และเพื่อกระตุ้นให้เด็ก เยาวชน และประชาชน เห็นคุณค่าความสำคัญของอัตลักษณ์ไทยในเรื่องมารยาทไทย มารยาทในสังคม และสามารถนำไปปรับใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวัน ซึ่งถือได้ว่าเป็นนิมิตหมายที่ดี นับเป็นจุดเริ่มต้นขวบปีแรกที่กระทรวงวัฒนธรรมได้จัดการประกวดเยาวชนต้นแบบด้านมารยาทไทย และมารยาทในสังคมขึ้น เพื่อรณรงค์ สร้างกระแสและความตระหนักในการสืบสานและสืบทอดมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมด้านมารยาทไทย

ติดตามข่าวสาร และกิจกรรมงานสาธารณกุศลมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งได้ที่ เว็บไซต์ www.pohtecktung.org และ เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung

## ป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต ##
#สายด่วนและแอปพลิเคชันป่อเต็กตึ๊ง1418 
#ช่วยจริงอุ่นใจแม้ในนาทีฉุกเฉิน

ผู้ว่าฯ แม่ฮ่องสอน ชี้แจงคนยิวเที่ยวปายเพียง 2,000-3,000 คน/เดือน มาแล้วกลับ ส่วนยอด 30,000 คนสะสมทั้งปี

(19 ก.พ. 68) ผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอนออกมายืนยันว่า จำนวนนักท่องเที่ยวชาวอิสราเอลที่เดินทางมาเยือนอำเภอปาย อยู่ที่ประมาณ 2,000-3,000 คนต่อเดือน โดยนักท่องเที่ยวเหล่านี้มาท่องเที่ยวและเดินทางกลับประเทศหลังจากพักผ่อน ส่วนยอด 30,000 คนที่ถูกกล่าวถึงเป็นยอดสะสมตลอดทั้งปี ไม่ใช่จำนวนนักท่องเที่ยวที่มาในช่วงเวลาเดียวกัน

นายเอกวิทย์ มีเพียร ผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน กล่าวถึงกรณีที่มีข่าวเผยแพร่ในโซเชียลมีเดียเกี่ยวกับการตั้งถิ่นฐานของนักท่องเที่ยวชาวอิสราเอลในพื้นที่ปายว่า ข้อเท็จจริงคืออำเภอปายมีประชากรประมาณ 38,000 คน ซึ่งนักท่องเที่ยวจากสหราชอาณาจักรเป็นกลุ่มที่มาเยือนมากที่สุด ส่วนชาวอิสราเอลนั้นมาเป็นอันดับที่สอง จำนวนประมาณ 2,000-3,000 คนต่อเดือน

ผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอนยังชี้แจงว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ได้ดำเนินการตรวจสอบและกวดขันการกระทำความผิดอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกรณีที่พบว่ามีนักท่องเที่ยวบางรายแย่งอาชีพคนไทย เช่น การเล่นดนตรีในพื้นที่ ซึ่งหน่วยงานที่รับผิดชอบได้ตรวจสอบและดำเนินการตามขั้นตอนอย่างเคร่งครัด รวมถึงกรณีที่มีพฤติกรรมรุนแรง ซึ่งได้มีการเพิกถอนวีซ่าและผลักดันนักท่องเที่ยวเหล่านั้นออกนอกประเทศไปแล้ว

นอกจากนี้ ผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอนยังกล่าวถึงการมีมาตรการตรวจสอบการเข้ามาท่องเที่ยวในพื้นที่ โดยเฉพาะในเรื่องของการแย่งอาชีพคนไทยและการกระทำความผิดต่างๆ ที่เกิดขึ้น ซึ่งหน่วยงานความมั่นคง, ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง และตำรวจภูธรได้ดำเนินการตามมาตรฐานและตามขั้นตอนทุกเรื่องอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ จังหวัดแม่ฮ่องสอนเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีเสน่ห์ด้วยอากาศดีและธรรมชาติที่เหมาะสมสำหรับการพักผ่อน ทำให้มีนักท่องเที่ยวทั้งที่เดินทางมาแล้วกลับไปและมาใหม่อีกครั้ง รวมถึงบางคนที่ติดใจและเข้ามาท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสิ่งนี้มีส่วนช่วยในการสร้างรายได้ให้กับชุมชน อย่างไรก็ตาม การตรวจสอบการเข้า-ออกตามกฎหมายยังคงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้แน่ใจว่าการท่องเที่ยวในพื้นที่เป็นไปอย่างถูกต้องและไม่เกิดปัญหาขึ้น

'สมศักดิ์' มอบ 7 นโยบายขับเคลื่อน Medical & Wellness Hub พร้อมประกาศเจตนารมณ์ร่วม 4 คณะแพทย์วิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์ ATMPs

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข มอบ 7 นโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจสุขภาพ สู่ Medical & Wellness Hub จ่อตั้งสำนักงานดูแลโดยเฉพาะ ยกระดับหมอนวดไทยให้เชี่ยวชาญพิศษ 7 กลุ่มอาการ รวมทั้ง 'สมุนไพร-ยา-อาหาร' ของไทย รุกส่งเสริมท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ยกระดับมาตรฐานเสริมความงาม อุ้มบุญ ผ่าตัดแปลงเพศกลุ่มต่างชาติ ตั้งเป้าเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์และผลิตภัณฑ์การแพทย์ขั้นสูง หรือ ATMPs พร้อมประกาศเจตนารมณ์ร่วม 4 คณะแพทย์ส่งเสริมวิจัยและพัฒนาเพิ่มการเข้าถึงยา ATMPs ของประชาชน

(19 ก.พ.68) ที่กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานการประชุมขับเคลื่อนนโยบายเพิ่มศักยภาพเศรษฐกิจสุขภาพ สู่ Medical & Wellness Hub โดยได้มอบนโยบายต่อผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข และการประกาศเจตนารมณ์เรื่องการพัฒนาผลิตภัณฑ์การแพทย์ขั้นสูง (Advanced Therapy Medical Products, ATMPs) ระหว่างสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข กรมควบคุมโรค กรมการแพทย์ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล และคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (ม.อ.)

นายสมศักดิ์กล่าวว่า การเพิ่มศักยภาพเศรษฐกิจและสุขภาพ สู่ Medical & Wellness Hub เป็นหนึ่งในนโยบายหลักของกระทรวงสาธารณสุขปี 2568 เพื่อยกระดับให้เป็นกระทรวงด้านสังคมควบคู่เศรษฐกิจ โดยส่งเสริมให้ประชาชนมีสุขภาพแข็งแรงและมีคุณภาพชีวิตที่ดี รวมถึงเสริมสร้างความเข้มแข็งด้านเศรษฐกิจสุขภาพของประเทศ เพิ่มโอกาสสร้างงานสร้างรายได้ให้แก่ประชาชนและประเทศ ผ่านการพัฒนาและสร้างมูลค่าเพิ่มทางด้านการแพทย์ ทั้งแพทย์แผนปัจจุบัน แพทย์แผนไทย ภูมิปัญญาไทย สมุนไพรไทย ผลิตภัณฑ์สุขภาพ นวดสปา การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ไปจนถึงเทคโนโลยีนวัตกรรมสุขภาพและชีวการแพทย์ ซึ่งทั้งหมดต้องมีมาตรฐานและความปลอดภัย เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางด้านการแพทย์และบริการสุขภาพระดับโลก โดยจะขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายดังกล่าวผ่าน 7 นโยบายสำคัญ คือ 1.การจัดตั้ง 'สำนักงานนโยบายและเศรษฐกิจสาธารณสุข (สนศส.)' เป็นหน่วยงานระดับกรม ทำหน้าที่วิเคราะห์ วิจัย และกำหนดนโยบายด้านเศรษฐศาสตร์สุขภาพและการคลังสุขภาพ เพื่อจัดสรรทรัพยากรให้คุ้มค่า สนับสนุนการตัดสินใจเชิงนโยบาย และสร้างระบบสาธารณสุขที่มีประสิทธิภาพ เป็นธรรมและยั่งยืน

2.ยกระดับภูมิปัญญาไทย คือ นวดไทย โดยพัฒนาหมอนวดไทยให้เชี่ยวชาญพิเศษ 7 กลุ่มอาการ คือ กลุ่มปวดกล้ามเนื้อและเยื่อพังผืด (Office syndrome), โรคหัวไหล่ติด, โรคนิ้วล็อก, ภาวะกล้ามเนื้อสะโพกหนีบเส้นประสาท (ปวดสลักเพชร), หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท, อัมพฤกษ์อัมพาต และกลุ่มระบบสืบพันธุ์ 3.ยกระดับสมุนไพรไทย/ยาไทย อาหารไทย ภายใต้แนวคิด "เจ็บป่วยคราใด คิดถึงยาไทย ก่อนไปหาหมอ" โดยผลักดันการใช้ยาสมุนไพรในระบบหลักประกันสุขภาพ เพิ่มรายการยาสมุนไพรในบัญชียาหลักแห่งชาติรวม 106 รายการ ปรับระบบบริการผู้ป่วยนอกเพื่อส่งเสริมให้แพทย์สั่งจ่ายยาสมุนไพร 32 รายการใน 10 กลุ่มอาการโรคที่พบบ่อยเพิ่มขึ้นอย่างน้อย ร้อยละ 10 ส่งเสริมสมุนไพรไทยและอาหารไทยต่างๆ เช่น กระชายดำ ฟ้าทะลายโจร ขมิ้นชัน ไพล ปลาส้ม/แหนมที่มีโพรไบโอติกส์-พรีไบโอติกส์ 4.ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ซึ่งปี 2566 ประเทศไทยมีมูลค่าตลาดการท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพราว 1.42 ล้านล้านบาท โดยเน้นประชาสัมพันธ์เส้นทางท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพ เช่น สปา บ่อน้ำพุร้อน แหล่งน้ำแร่ จับคู่โรงแรมกับโรงพยาบาลในการให้บริการแพคเกจสุขภาพ พัฒนาระบบเอเยนซีขายแพคเกจสุขภาพ เพิ่มคลินิก Wellness การแพทย์และแพทย์ไทยในโรงแรม ซึ่งมีการนำร่องแล้วคือโมเดล Wellcation ของเขตสุขภาพที่ 5 และ Phuket Wellness Sandbox

5.ศูนย์กลางอุตสาหกรรมเครื่องมือทางการแพทย์ โดยปี 2566 ประเทศไทยมีมูลค่าตลาดราว 2 แสนล้านบาท เป็นการนำเข้า 9 หมื่นล้านบาทและส่งออก 1.18 แสนล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์ไม่ซับซ้อน ได้แก่ วัสดุสิ้นเปลืองทางการแพทย์ เช่น ถุงมือยางทางการแพทย์ หลอดสวน หลอดฉีดยา และกลุ่มครุภัณฑ์ทางการแพทย์ เช่น เตียงผู้ป่วย เตียงตรวจ รถเข็นผู้ป่วย เบื้องต้นจะส่งเสริมการพัฒนาผลิตภัณฑ์สุขภาพและเครื่องมือแพทย์ฝีมือคนไทย เร่งรัดกระบวนการอนุมัติอนุญาตและทดสอบมาตรฐานเครื่องมือแพทย์เพื่อขึ้นทะเบียนให้รวดเร็วขึ้น โดยเฉพาะเครื่องมือแพทย์ที่มีความซับซ้อน และใช้วิธีจับคู่ระหว่างผู้วิจัยและผู้ที่จะผลิตต่อ 6.ศูนย์กลางด้านการแพทย์และสุขภาพมูลค่าสูง (ATMPs) ซึ่งทั่วโลกมีมูลค่าถึง 4.19 แสนล้านบาท คาดว่าปี 2573 จะเติบโตถึง 1.25 ล้านล้านบาท โดยรัฐบาลกำลังผลักดันศูนย์กลาง ATMPs ตั้งเป้าหมายเป็นผู้นำด้านการแพทย์สมัยใหม่ในระดับโลก ภายในปี 2570 เนื่องจากเอกชนมีความสนใจและต้องการผลักดันอุตสาหกรรม และจะหาทางออกเพื่อลดข้อกังวลของสภาวิชาชีพในการใช้ผลิตภัณฑ์ ATMPs และ 7.การดูแลบุคคลและความงาม (Personal Care and Beauty) โดยจะขับเคลื่อน 4 เรื่อง คือ เวชศาสตร์ความงาม เน้นตรวจสอบแพทย์ต่างชาติที่เข้ามาประกอบเวชกรรมในไทย รวมถึงแพทย์เถื่อน คลินิกเถื่อน ยกระดับคลินิกความงามให้มีมาตรฐานระดับสากล เปิดหลักสูตรอบรมแพทย์เวชปฏิบัติความงามเป็นหลักสูตรกลางของประเทศ ส่งเสริมผู้ประกอบการไทยผลิตผลิตภัณฑ์สำหรับหัตถการเสริมความงาม และพัฒนาระบบเอเยนซีให้สามารถโฆษณาเชิญชวนชาวต่างชาติมารับบริการได้, จิตเวชและพฤติกรรมบำบัดสำหรับชาวต่างชาติ, การอุ้มบุญและการใช้เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ เช่น การทำเด็กหลอดแก้ว การทำ ICSI และการผ่าตัดยืนยันเพศสภาพ ส่งเสริมความหลากหลายทางเพศ

"วันนี้หน่วยงานของกระทรวงสาธารณสุข ยังได้ร่วมกับคณะแพทยศาสตร์ทั้ง 4 สถาบัน ประกาศเจตนารมณ์เพื่อร่วมมือกันทางวิชาการในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ATMPs ซึ่งส่วนใหญ่เป็น "ยา" ที่ออกฤทธิ์เป็นยีน เซลล์ หรือเนื้อเยื่อ ที่ยังอยู่ในขั้นตอนการวิจัยพัฒนาจำนวนมาก เพื่อเพิ่มโอกาสเข้าถึงของผู้ป่วย โดยปี 2568 มีเป้าหมายให้คนไทยและชาวต่างชาติสามารถเข้าถึงยา ATMPs ในไทยที่ได้มาตรฐานอย่างเหมาะสมผ่านกลไกการอนุญาตวิจัยในพื้นที่ทดลอง 5 แห่งในสังกัดกรมการแพทย์ กรมควบคุมโรค สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข และกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ควบคู่ไปกับการจัดตั้งศูนย์บริการผลิตภัณฑ์ยา ATMPs แบบเบ็ดเสร็จ รวมถึงเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ” นายสมศักดิ์กล่าว 

จเรตำรวจแห่งชาติเปิดโครงการอบรมไซเบอร์ เพื่อต่อกรกับกลุ่มแก๊งอาชญากรรมในรูปแบบใหม่ 

(19 ก.พ.68) พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า วานนี้ได้เป็นประธานโครงการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ เร่งรัดสำนวนคดีออนไลน์และสร้างมาตรฐานระบบการสืบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยีของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 เพื่อทบทวนและเพิ่มพูนความรู้ความเข้าใจในวิธีการใช้งานระบบริหารจัดการ สืบสวน สอบสวน ตรวจสอบวิเคราะห์รายละเอียดของคดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานคดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยีของกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) โดยมีกำหนดการจัดโครงการดังกล่าว ระหว่างวันที่ 16-21 กุมภาพันธ์ 2568 ณ โรงแรมมัสดีฟส์ บีช รีสอร์ท อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี 

ด้วยปัจจุบันเกิดปรากฏการณ์ New paradigm (กระบวนทัศน์) ทางอาชญากรรมขึ้นมาใหม่ เนื่องจากขณะนี้ คดีอาชญากรรมออนไลน์ , คดีแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เป็นคดีรูปแบบใหม่ New Normal  ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำงานของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จากรูปแบบเดิม ๆ เป็นรูปแบบการทำงานแบบใหม่ทั้งหมด เพราะคดีเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว คนร้ายสามารถใช้โทรศัพท์หลอกลวงคนเป็นร้อยล้านครั้งในเวลาอันสั้น เป็นการทำลายรูปแบบการทำงานแบบเดิมทั้งหมดในกระบวนการยุติธรรม ไม่เหมือนกับการวิ่งราวทรัพย์ หรือคดีพื้นฐานอื่น ๆ ซึ่งคดีรูปแบบใหม่นี้เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วมาก ทำให้ต้องหาข้อมูลอย่างรวดเร็วจากธนาคารต่าง ๆ หรือการปิดกั้น ยับยั้ง ระงับข้อมูลในเชิง AI ต้องทำอย่างรวดเร็ว 

ดังนั้น จึงตัองมีการระดมความเห็นเพื่อหาวิธืการรับมือให้สอดคล้องกับรูปแบบอาชญากรรมรูปแบบใหม่ New paradigm ซึ่งขณะนี้ตำรวจและทางการไทยกำลังต่อกรกับปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จากการตรวจสอบพบความเชื่อมโยงของคดีเป็นจำนวนมาก แต่คดีอาจจะเหลือน้อยลงเพราะเป็นคดีเรื่องเดียวกัน จะทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพและสามารถนำตัวคนร้ายมาลงโทษได้อย่างรวดเร็ว ในส่วนนี้จะดำเนินการเป็นไกด์ไลน์เพื่อสร้างวิธีการทำงานในรูปแบบใหม่ แล้วนำรูปแบบนี้ไปใช้กับตำรวจทั่วประเทศ เพื่อให้สามารถช่วยเหลือแก้ไขปัญหาประชาชนได้ทั้งในเรื่องการจับกุมคนร้าย และในเรื่องของการติดตามทรัพย์สินกลับมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

แม่ทัพภาค 2 เผยเคลียร์ใจเขมรแล้ว ย้ำต้องเลี่ยงขัดแย้งหลังเหตุทหารกัมพูชาบุกร้องเพลงปลุกใจที่ปราสาทตาเมือนธม

(18 ก.พ. 68) แม่ทัพภาคที่ 2 ยืนยันว่า ไทยและกัมพูชาต้องหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง หลังเกิดเหตุคณะชาวกัมพูชาร้องเพลงปลุกใจที่ปราสาทตาเมือนธม ระบุว่าทั้งสองฝ่ายได้ทำความเข้าใจกันแล้ว แต่ขอให้เหตุการณ์เช่นนี้อย่าเกิดขึ้นอีก หวั่นกระทบความสัมพันธ์และเสถียรภาพตามแนวชายแดน

จากกรณีเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ คณะสตรีชาวกัมพูชาจำนวน 25 คน ได้เดินทางมายังปราสาทตาเมือนธม อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ และร้องเพลงปลุกใจเป็นภาษากัมพูชาเพื่อให้กำลังใจทหารของตนที่ประจำการอยู่ในพื้นที่ ทหารไทยที่เฝ้าพื้นที่ดังกล่าวจึงเข้าไปขอให้ยุติการกระทำดังกล่าว เพราะถือเป็นการแสดงเชิงสัญลักษณ์ที่ไม่เหมาะสมตามข้อตกลงของทั้งสองประเทศ ส่งผลให้เกิดการโต้เถียงระหว่างทหารของทั้งสองฝ่าย เหตุการณ์นี้ถูกบันทึกเป็นคลิปวิดีโอและเผยแพร่บนโซเชียลมีเดีย นำไปสู่กระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง

ล่าสุด 18 กุมภาพันธ์ พลโทบุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ได้ให้สัมภาษณ์ที่กองบัญชาการกองทัพภาคที่ 2 ค่ายสุรนารี จังหวัดนครราชสีมา โดยระบุว่า การขึ้นมากราบสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ปราสาทตาเมือนธมเป็นกิจกรรมที่ทางไทยอนุโลมให้ชาวกัมพูชาสามารถทำได้ในช่วงเวลา 09.00-15.00 น. ตามข้อตกลงร่วมกัน อย่างไรก็ตาม การร้องเพลงปลุกใจดังกล่าวถือเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม จึงจำเป็นต้องเข้าระงับเหตุ

แม่ทัพภาคที่ 2 เผยว่าหลังเกิดเหตุการณ์ กองกำลังสุรนารีได้ทำหนังสือประท้วงไปยังผู้บัญชาการภูมิภาคทหารที่ 4 ของกัมพูชา โดยเน้นย้ำว่าการกระทำดังกล่าวไม่สมควรเกิดขึ้นบนแผ่นดินไทย ด้านกัมพูชาเองก็ยอมรับว่าการกระทำดังกล่าวไม่เหมาะสม และได้มีการโทรศัพท์ขอโทษแล้ว ทั้งสองฝ่ายได้ทำความเข้าใจกันดี แต่ไทยขอให้มั่นใจว่าเหตุการณ์ลักษณะนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก เพื่อป้องกันความขัดแย้งในอนาคต

แม่ทัพภาคที่ 2 ได้ฝากถึงประชาชนไทยว่า ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชายังคงเป็นไปในทางที่ดี ผู้นำทหารของทั้งสองฝ่ายพยายามพูดคุยและรักษาความสงบเรียบร้อยเสมอ พร้อมย้ำว่าไม่ควรใช้ความรุนแรงหรืออาวุธต่อกัน เพราะจะส่งผลเสียต่อทั้งสองประเทศ นอกจากนี้ ความขัดแย้งอาจกระทบต่อการค้าขายตามแนวชายแดน ซึ่งประชาชนทั้งสองฝ่ายอาจได้รับผลกระทบโดยตรง

ท้ายที่สุด กองกำลังทหารของทั้งสองประเทศจะใช้ความอดทนอดกลั้น และเลือกใช้แนวทางการพูดคุยเจรจาเพื่อรักษาความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกัน เพื่อให้ทั้งไทยและกัมพูชามีสันติสุขร่วมกันอย่างต่อเนื่อง

ผู้บัญชาการทหารเรือตรวจเยี่ยมหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง

(18 ก.พ. 68) พลเรือตรี เอตม์ ยุวนางกูร ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง พร้อมผู้บังคับบัญชา และกำลังพลหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง ให้การต้อนรับ พลเรือเอก จิรพล ว่องวิทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ ในโอกาส ตรวจเยี่ยมหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง โดยได้เข้าตรวจเยี่ยมเพื่อ รับทราบการปฏิบัติงาน ตลอดจนอุปสรรค ข้อเสนอแนะของหน่วย เพื่อให้มีความพร้อม และเป็นการสร้างขวัญกำลังใจในการที่จะปฏิบัติหน้าที่ให้กับกองทัพเรือ ณ กองบัญชาการ หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี

โดย หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง ได้จัดเตรียมแถวทหารกองเกียรติยศ ยุทโธปกรณ์ การนำเสนอภารกิจต่าง ๆ ของหน่วยที่ได้รับมอบหมาย และการสาธิตการช่วยเหลือคนในเขตเมืองของทีมค้นหาและกู้ภัยในเขตเมือง (USAR) ของหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง เพื่อแสดงถึงศักยภาพขีดความสามารถในด้านต่าง ๆ 

#กองทัพเรือ
#เทิดทูนสถาบันป้องกันรัฐพัฒนาชาติราษฏร์ศรัทธา 
#MONARCHY_COUNTRY_GOVERNMENT_PEOPLE 
#หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง
#จงรักภักดี_มีวินัย_พร้อมรับใช้ชาติ_ราชนาวี_และประชาชน
#ฝ่ายกิจการพลเรือนกองบัญชาการหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top