Wednesday, 15 January 2025
POLITICS NEWS

“องอาจ”เสนอ"บิ๊กตู่"ใช้ค่ายทหารทั่วประเทศ ทำ รพ.สนาม  หนุนทบ.ตั้งศูนย์ต้านภัยโควิด แนะดึงทร.-ทอ.ร่วมด้วย

นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการช่วยเหลือประชาชนจากสถานการณ์โรคโควิด-19 ว่า เฟซบุ๊กศูนย์ประชาสัมพันธ์กองทัพบกได้เผยแพร่ข้อมูลระบุว่ากองทัพบกได้เริ่มตั้งศูนย์ประสานงานต้านภัยโควิด-19 เพื่อเป็นสื่อกลางช่วยผู้ติดเชื้อเข้าสู่ระบบรักษาไปยังศูนย์แรกรับและส่งต่อผู้ป่วยโควิดของรัฐบาล (อาคารนิมิบุตร) หรือสาธารณสุขจังหวัดในพื้นที่ต่างๆ รวมถึงช่วยเคลื่อนย้ายผู้ติดเชื้อไปยังโรงพยาบาลสนามที่จัดเตรียมไว้ ทั้งโรงพยาบาลสนาม ทบ. 18 แห่ง โรงพยาบาลค่าย ทบ. 29 แห่ง และศูนย์พักคอยผู้ป่วยโควิด-19 ของกรุงเทพฯ 17 แห่ง รวมถึงมีฌาปนสถานของ ทบ.อีก 4 แห่งไว้รองรับ จึงเป็นเรื่องน่ายินดีที่กองทัพบกได้เริ่มเข้ามาช่วยรับ-ส่งฟรี 24 ชั่วโมง ทั้งผู้ป่วยติดเชื้อ ผู้หายป่วยเคลื่อนย้ายศพและฌาปนกิจศพ  อย่างไรก็ตาม เพื่อให้การดำเนินการสามารถช่วยเหลือผู้ติดเชื้อโควิด-19 ได้มากขึ้น เพราะแนวโน้มการแพร่ระบาดยังไม่มีทีท่าว่าจะเบาบางลง 

นายองอาจ กล่าวอีกว่า ตนจึงขอเสนอ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ดังนี้ 1.ควรนำค่ายทหารทั่วประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งค่ายทหารในกรุงเทพฯ มาทำเป็นโรงพยาบาลสนาม และจุดพักคอยเพิ่มขึ้น และ 2.ควรแปรสภาพศูนย์ประสานงานต้านภัยโควิด-19 ของกองทัพบกให้เป็นศูนย์ของกองทัพไทย รวมถึงประสานให้กองทัพเรือและกองทัพอากาศเข้ามาทำงานช่วยเหลือประชาชนด้วย  3.ควรสนับสนุนงบประมาณให้เพียงพอต่อการทำงานอย่างจริงจัง ไม่ควรปล่อยผู้นำหน่วยไปหางบทำงานกันเอง  ทั้งนี้ ตนเชื่อมั่นว่าถ้าพล.อ.ประยุทธ์สามารถทำตามข้อเสนอนี้ได้ จะช่วยผู้ป่วยติดเชื้อและครอบครัวได้อีกจำนวนมาก ซึ่งจะทำให้การดูแลช่วยเหลือประชาชนของภาครัฐดีขึ้นอย่างแน่นอน

'ยิ่งลักษณ์' โพสต์ข้อความ สะเทือนใจที่เห็นพี่น้องประชาชนไทยเสียชีวิตบนถนน ย้ำ รัฐบาลบริหารวิกฤติผิดพลาด ซ้ำยังมองประชาชนเป็นภาระ

นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์เฟซบุ๊ก Yingluck Shinawatra ว่า...

ดิฉันรู้สึกหดหู่ สะเทือนใจ และแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองเลยว่ามีพี่น้องประชาชนคนไทยต้องเสียชีวิตบนท้องถนน ไร้การเหลียวแล จึงขอตั้งคำถามไปยังรัฐบาลว่าปล่อยให้ประเทศเดินมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร ทำไมรัฐบาลทำให้ประชาชนต้องเผชิญชะตากรรมที่เลวร้ายเช่นนี้ ทั้ง ๆ ที่เป็นหน้าที่ของรัฐบาลโดยตรงในการดูแลประชาชน อีกทั้งยังทำให้บุคลากรด่านหน้า แพทย์ พยาบาล หมดขวัญกำลังใจ อ่อนล้า ขาดหลักประกันที่ดีเพราะไม่มีวัคซีนที่มีคุณภาพเพียงพอในการเป็นเกราะปกป้องโรคร้าย

ดิฉันขอแสดงความเสียใจ และขอร่วมแบ่งปันความโศกเศร้ากับหลายครอบครัวที่ต้องอยู่ในสภาพเห็นคนที่รักล้มหายไปต่อหน้าต่อตาโดยไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้ ซึ่งต้นตอเกิดจากการที่รัฐบาลไม่ได้วางแผนให้รอบคอบ รัดกุม ขาดวิสัยทัศน์ในการรับมือกับวิกฤติโรคระบาดในระยะยาว มีแต่การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า โดยเฉพาะการบริหารระบบสาธารณสุขที่มีการรวบอำนาจ แต่กลับบริหารผิดพลาด ขาดแคลนเตียง ไร้การตรวจเชิงรุกที่มากพอ วัคซีนไม่ทั่วถึง และคุณภาพเป็นที่กังขา แต่พลเอกประยุทธ์กลับไม่เคยน้อมรับความผิดพลาดและขอโทษ มิหนำซ้ำยังกลับมองว่าประชาชนทำตัวเป็นภาระ ทั้ง ๆ ที่เกิดจากความหละหลวมของรัฐบาล

ดิฉันขอเป็นกำลังใจให้คนไทยอดทน ผ่านพ้นวิกฤติครั้งนี้ไปให้ได้ ขณะเดียวกันขอเป็นอีกหนึ่งเสียงในการเรียกร้องให้รัฐบาลทำงานเชิงรุก เพื่อสร้างความอุ่นใจให้ประชาชน ด้วยการนำความทุกข์ยากของประชาชนเป็นหัวใจในการนำเสนอแผนที่ชัดเจนในการบริหารจัดการ และกำหนดเป้าหมายร่วมกันกับทุกภาคส่วน ซึ่งเป็นสิ่งที่คนเป็นผู้นำพึงมีในการนำพาประเทศผ่านพ้นความยากลำบากครั้งนี้ให้ได้


ที่มา: https://www.facebook.com/105044319540032/posts/4555155527862200/


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

“อรรถวิชช์” ชี้!! กรณีศิลปินดาราวิจารณ์ รัฐบาลต้องฟัง ไม่ใช่ไล่ฟ้อง จะใช้วิธีของคดีความมั่นคงแห่งรัฐ กรณีหมิ่นสถาบันไม่ได้ ต้องแยกแยะความมั่นคงแห่งรัฐ กับความมั่นคงของรัฐบาล

นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี เลขาธิการพรรคกล้า กล่าวถึงกรณีกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (DES) ออกมาขู่ดำเนินคดีกับศิลปินดารา ที่โพสต์ข้อความ Call Out วิจารณ์ต่อต้านรัฐบาลว่า...

ศิลปินดาราเขาบอกถึงความไม่พอใจในการแก้ปัญหาวิกฤตโควิด เหมือนกับประชาชนทั่วไป เพราะมันกระทบทั้งชีวิต และการดำรงชีพ ตัวเลขผู้ติดเชื้อ New High ต่อเนื่อง การฉีดวัคซีนล่าช้า เตียงไม่พอ จ่ายยาฆ่าเชื้อทันทีไม่ได้ คนตายทุกวัน

"รัฐบาลต้องฟัง ไม่ใช่ไล่ฟ้อง!! จะไปทำเหมือนคดีความมั่นคงแห่งรัฐ หมิ่นสถาบัน ม.112 แล้วใช้กลไก พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ไม่ได้ แยกแยะด้วยระหว่าง ความมั่นคงแห่งรัฐ กับ ความมั่นคงของรัฐบาลเอง รัฐบาลต้องทำให้ชาติเกิดความสามัคคี รักษาโครงสร้างชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ขออย่าเติมฟืนเติมไฟ ท่ามกลางวิกฤตโรคระบาดเลย กระทรวง DES เอาเวลาไปทำระบบติดตามช่วยเหลือผู้ป่วยที่ยังตกค้างดีกว่า" นายอรรถวิชช์ กล่าว


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

พรรคพลังประชารัฐ แจง ‘สนธิญา สวัสดี’ ไม่ใช่สมาชิกพรรค พร้อมยืนยัน ปมเคลื่อนไหวสอบดารา Call Out ไม่เกี่ยวกับพรรค

22 ก.ค.64 นายบุญสิงห์ วรินทร์รักษ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะนายทะเบียนพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เปิดเผยว่า ตามที่สื่อมวลชนหลายแขนง ได้มีการรายงานข่าวว่า เมื่อวานนี้ (21 กรกฎาคม 2564 ) ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล นายสนธิญา สวัสดี ที่ปรึกษากรรมาธิการ การกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชนสภาผู้แทนราษฎร และอดีตผู้สมัครสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ได้เข้ายื่นหนังสือถึงผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เพื่อให้ตั้งคณะกรรมการติดตาม กำกับ ดูแล ตรวจสอบกรณีการ Call out ของดารา นักร้อง และผู้มีชื่อเสียง เกี่ยวกับสถานการณ์โรคโควิด-19 ในปัจจุบัน ที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง ซึ่งเป็นการกระทำที่ผิดต่อ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ร.ก.สถานการณ์การบริหารในสถานการณ์ฉุกเฉิน และพ.ร.บ.โรคติดต่อ

ทั้งนี้ ตนในฐานะนายทะเบียนพรรคพลังประชารัฐ ขอชี้แจงว่า นายสนธิญา สวัสดี มิได้เป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐแต่อย่างใด ดังนั้น ในส่วนของการเคลื่อนไหวของนายสนธิญา จึงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องพรรคพลังประชารัฐ ตามที่สื่อบางสำนักได้พาดพิง


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

“โฆษก ศบศ.”เผย “บิ๊กตู่” พอใจโครงการนำร่องเปิดประเทศ ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ -สมุยพลัสโมเดล “รุกต่อ” พังงา กระบี่ เริ่ม 1 ส.ค.นี้ พร้อมหนุนมาตรการกระตุ้น เศรษฐกิจและการลงทุนดึงต่างชาติเข้าประเทศ 

ภายหลังการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบศ.) ครั้งที่ 3/2564 ผ่านระบบ VDO Conference ท่าี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุม ว่า พล.อ.ประยุทธ์ ได้เน้นย้ำถึงความสำเร็จของโครงการ Phuket Sandbox พร้อมชื่มชมการทำงานร่วมกันของภาครัฐและเอกชน โดยพบว่ามีจำนวนนักท่องเที่ยวสะสมตั้งแต่วันที่ 1-21 กรกฎาคม 2564 รวม 9,358 คน  ขณะที่ยอดการจองห้องพักตามมาตรฐาน SHA+ สะสมระหว่างเดือนกรกฎาคมถึงเดือนกันยายนอยู่ที่ 244,703 คืน คิดเป็นอัตราการเข้าพักร้อยละ 10.12 สร้างรายรับการท่องเที่ยว 534.31 ล้านบาท โดยที่ประชุมได้ให้ความสำคัญกับการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ ให้ดำเนินการอย่างเคร่งครัดในการร่วมมือกันเพื่อควบคุมการระบาดให้ดี 
       
นายธนกร กล่าวว่า นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีฯ ได้เห็นชอบมาตรการให้นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้าร่วม Phuket Sandbox เดินทางท่องเที่ยวเชื่อมโยงระหว่างจังหวัดภูเก็ตกับพื้นที่นำร่องอื่น (7+7) โดยนักท่องเที่ยวพำนักภายในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตเป็นเวลา 7 วัน และสามารถเดินทางท่องเที่ยวและต้องพำนักในพื้นที่อื่น ๆ อีกเป็นเวลาอย่างน้อย 7 วัน ได้แก่ จังหวัดสุราษฎร์ธานี (เกาะสมุย เกาะพงัน และเกาะเต่า) จังหวัดกระบี่ (เกาะพีพี เกาะไหง และไร่เล) และจังหวัดพังงา (เขาหลัก เกาะยาวน้อย และเกาะยาวใหญ่) มีกำหนดเริ่มดำเนินการในวันที่ 1 สิงหาคม 2564 โดยสั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัดประสานภาคเอกชนและภาคประชาชนเพื่อสร้างความเข้าใจของคนในพื้นที่ร่วมกัน และพิจารณาจัดเตรียมแผนการดำเนินการบนระเบียบหลักเกณฑ์และมาตรฐานเดียวกับการดำเนินการของ Phuket Sandbox เพื่อมุ่งเน้นความปลอดภัยและการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในพื้นที่ และ (2) มอบหมายให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย จัดทำรายละเอียดแผนการเชื่อมโยงให้นักท่องเที่ยวต่างชาติสามารถเดินทางระหว่างจังหวัดภูเก็ตและพื้นที่นำร่องอื่น เพื่อนำเสนอให้ที่ประชุม ศบค. พิจารณาต่อไป และให้พิจารณาจัดทำแผนการเปิดรับนักท่องเที่ยวในพื้นที่ท่องเที่ยวอื่น ๆ ที่มีศักยภาพ เพื่อนำเสนอให้ที่ประชุม ศบศ. และ ศบค. พิจารณาต่อไป
     
โฆษก ศบศ. กล่าวว่า ในส่วนของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนโดยการดึงดูดชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูงเข้าสู่ประเทศไทย ตามข้อเสนอของทีมปฏิบัติการเชิงรุกทาบทามทั้งบริษัทเอกชนไทยและต่างประเทศ นั้น ได้มีการปรับข้อจำกัดต่าง ๆ และอำนวยความสะดวก เพื่อดึงดูดชาวต่างชาติกลุ่มเป้าหมายที่สำคัญซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศในระยะยาว ประกอบด้วย (1) กลุ่มประชากรโลกที่มีความมั่งคั่งสูง (Wealthy global citizen) (2) ผู้เกษียณอายุจากต่างประเทศ (Wealthy pensioner) (3) กลุ่มที่ต้องการทำงานจากประเทศไทย (Work-from-Thailand professional) และ (4) กลุ่มผู้มีทักษะเชี่ยวชาญพิเศษ (High-skilled professional) โดยที่ประชุมได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาข้อเสนอในรายละเอียดต่อไป

รองโฆษกรัฐบาล เผย ก.สธ.-ก.คม กำหนดมาตรการเข้ม ย้ายผู้ป่วยใน กทม. ปริมณฑล กลับภูมิลำเนา โทรสายด่วน 1330 แจ้งความประสงค์ได้

ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากผลการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) เมื่อวันที่ 20 ก.ค.ที่ผ่านมา มอบหมายให้กระทรวงทรวงสาธารณสุข ประสานกับรัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กำหนดแนวทางการดูแลผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่ต้องการเดินทางกลับไปรักษาที่ภูมิลำเนา เพื่อลดความหนาแน่นในการรองรับผู้ป่วยใน กทม.และปริมณฑล ล่าสุดสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.) สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ กองทัพบก และกระทรวงคมนาคม ได้ประสานความร่วมมือ จัดรถรับ-ส่งผู้ป่วยโรคโควิด-19 ในพื้นที่ กทม.และปริมณฑล ที่ต้องการกลับไปรักษายังภูมิลำเนาแล้ว โดยประชาชนที่ป่วยด้วยโรคโควิด-19 อาการไม่รุนแรง ในพื้นที่ กทม.และปริมณฑล ที่ต้องการกลับไปรักษาตัวยังภูมิลำเนา สามารถติดต่อได้ที่สายด่วน  1330 กด 15  หรือลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ https://crmdci.nhso.go.th/

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า สำหรับขั้นตอนการดำเนินการนั้น เมื่อผู้ป่วยรับทราบผลการติดเชื้อโควิด-19 แล้วแจ้งไปยังสายด่วน 1330 ประสงค์เดินทางกลับภูมิลำเนาเดิม สปสช.และกระทรวงคมนาคม จะแจ้งประสานไปยังจังหวัดปลายทางเพื่อส่งตัวผู้ป่วยเข้ารักษาที่โรงพยาบาลหรือโรงพยาบาลสนามในจังหวัด โดยมีมาตรการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยที่เข้มงวด ปลอดภัย ซึ่งเป็นข้อกำหนดจากกรมควบคุมโรคและสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ เช่น มีอุปกรณ์กั้นผู้ป่วยแยกกับคนขับ มีมาตรการเว้นระยะห่าง นั่งที่เวรที่ สำหรับรถตู้ให้โดยสารได้ไม่เกิน 5 คน พร้อมมีแพทย์วิดีโอคอลให้คำปรึกษาอาการระหว่างการเดินทาง โดยกระบวนการขนย้ายนี้ เป็นความร่วมมือของกระทรวงคมนาคม การรถไฟแห่งประเทศไทย และกรมการขนส่งทหารบก
 
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า สำหรับกระทรวงคมนาคม ได้กำหนดมาตรการด้านการขนส่งผู้ป่วยไว้เป็นอย่างดี โดยให้ดำเนินการตามมาตรการสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด อาทิ การเว้นระยะห่างภายในรถ การทำความสะอาดตามที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด รวมทั้งการจัดเตรียมอาหารและเครื่องดื่มให้กับผู้ป่วยระหว่างเดินทาง พร้อมประสานขอให้จังหวัดดำเนินการวางแผนการรองรับผู้ป่วยกลับบ้าน โดยให้มีการคาดการณ์ถึงสถานการณ์ในอนาคตเพื่อดำเนินการเตรียมความพร้อมล่วงหน้าด้วย นอกจากนี้ ยังเพิ่มช่องการอื่น เช่น ไลน์ สำหรับกรณีที่จังหวัดหรือหน่วยงานใด ต้องการการสนับสนุนจากกระทรวงคมนาคม เพื่อให้สามารถดำเนินการได้ทันต่อสถานการณ์

'กรกิจ ดิษฐาน' ดึงสติคนไทย!! โจมตีรัฐบาลได้ แต่อย่าด้อยค่าวัคซีน

'กรกิจ ดิษฐาน' นักเขียน / นักค้นคว้าอิสระ ได้นำเสนอบทความ เกี่ยวกับวัคซีนในไทยจากมุมมองประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซีย ลงในเว็บไซต์ PostToday ว่า...

มาเลย์ไม่มั่นใจ Pfizer-ไทยด้อยค่า Sinovac อีกมุมมองหนึ่งเกี่ยวกับการใช้วัคซีนของสองประเทศ ขณะที่ไทยเรียกหา Pfizer และบ่ายเบี่ยง Sinovac แต่ที่มาเลเซียมีบางคนเห็นตรงกันข้าม

คงจำกันได้ที่ผู้เขียนเขียนเรื่อง 'เมื่อคนสิงคโปร์แก้ต่างให้ไทย แต่คนไทยขอขับเคลื่อนด้วยการด่า' โดยยกข้อมูลเรื่องบุคลากรทางการแพทย์ของไทยที่ได้รับวัคซีนของ Sinovac (คือ CoronaVac) จำนวน 2 โดส ติดเชื้อจำนวน 618 จาก 677,348 คน

ซึ่งคนสิงคโปร์ชี้ว่า สัดส่วนนี้น้อยมากแค่ 0.1% เท่านั้น แต่ในไทยเรากลับไม่ได้ดูที่สัดส่วนแบบนี้ โดยดูที่ตัวเลขลุ่น ๆ คือ 618 เมื่อเห็นหกร้อยกว่าคนก็คิดว่ามันมากแล้ว การอ่านข้อมูลแบบนี้ทำให้กระแสโจมตีวัคซีนของ Sinovac ยิ่งหนักขึ้น

ผู้เขียนไม่ได้เชียร์หรือด้อยค่าวัคซีนตัวไหนเป็นพิเศษ ในเวลานี้ขอให้รัฐบาลจัดสรรและฉีดให้ครอบคลุมก็พอ เพราะปัญหาที่ใหญ่กว่าการซื้อวัคซีนของจีนหรือของตะวันตกก็คือ ที่ไทยผลิตเองมีจำนวนไม่พอและรัฐบาลบริหารวัคซีนได้แย่ อย่างที่หลายคนบอกว่า 'แทงม้าตัวเดียว' คือหวังพึ่งแต่วัคซีนตัวสองตัว แถมยังยักไว้ในปริมาณที่น้อยเกินไปด้วย

เมื่อรัฐบาลทำให้เกิดสถานการณ์แบบนั้น ผู้คนจึงตำหนิและขับไล่ แต่ไม่ใช่เหตุที่จะไม่ฉีดวัคซีนที่มีในตอนนี้คือของ Sinovac

การที่บางคนในไทยพ่วงการโจมตีรัฐบาลโดยด้อยค่าวัคซีนที่รัฐบาลเลือก เท่ากับปลุกกระแสต่อต้านและกลัววัคซีนไปพร้อม ๆ กัน การทำแบบนี้ ทำให้คนยิ่งติดเชื้อมาก สิ่งที่ต้องทำตอนนี้คือ บอกให้รีบฉีดไปก่อน เมื่อวัคซีนที่ถูกใจมาถึงค่อยใช้บูสเตอร์ในภายหลังได้

ปัญหาในไทยตอนนี้ก็คือ โจมตีรัฐบาลทำให้เกิดกระแส Anti-vaccine ด้วย ซึ่งเป็นเกมอันตรายและใช้คนเป็นเบี้ยหมากในทางการเมือง

วิธีที่ดีที่สุด คือ การโจมตีรัฐบาลที่มีนโยบายวัคซีนที่ล้มเหลว แต่จะต้องไม่ด้อยค่าวัคซีนที่พอหาได้ในตอนนี้ การด้อยค่าวัคซีนที่มีตอนนี้ทำให้คนกลัววัคซีนมากกว่ากลัวติดโควิด ผลก็คือคนติดโควิดมากและตายมาก

ถ้าจะวิพากษ์วัคซีนที่รัฐบาลพอจะสั่งมาได้ก็ควรเทียบแบบคนสิงโปร์ คือใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ ไม่ใช่อารมณ์

มาเลเซียก็มีการถกเถียงกันเรื่องสถิติของบุคลากรทางการแพทย์ของไทยที่ได้รับวัคซีนของ Sinovac เหมือนกันและเซอร์ไพรส์ที่คนมาเลเซียจำนวนหนึ่งคิดเหมือนคนสิงคโปร์ในเรื่องนี้ แต่ยังขยายต่อโดยเทียบระหว่างบุคลากรแพทย์ของไทยกับมาเลเซียด้วยที่รับวัคซีนคนละตัว และผลลัพธ์ก็ต่างกัน

เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคมหรือไล่ ๆ กับที่ไทย มีการเปิดเผยตัวเลขบุคคลากรแพย์ที่ติดเชื้อหลังจากฉีด Sinovac ซึ่งมีการถกเถียงกันในประเด็นนี้ในกลุ่มติดตามโควิดของมาเลเซีย โดยยกตัวอย่างว่า...

"ประเทศไทย - เจ้าหน้าที่สาธารณสุข 677,348 คนได้รับวัคซีน Sinovac ครบถ้วนแล้ว ติดเชื้อโควิด 618 ราย = 0.091% VS มาเลเซีย - บุคลากรทางการแพทย์ 245,932 คนได้รับวัคซีน Pfizer ครบถ้วนแล้วผู้ติดเชื้อ 3,106 ราย = 1.26%"

สรุปสั้น ๆ ก็คือบุคลากรแพทย์ไทยฉีด Sinovac แต่ติดเชื้อ 0.091% ส่วนบุคลากรแพทย์มาเลเซียฉีด Pfizer ติดเชื้อ 1.26% หรือ อัตราการติดเชื้อระหว่างบุคลากรแพทย์ในมาเลเซียกับไทยต่างกันถึง 14 เท่า (1.26/0.091) โดยมาเลเซียสูงกว่า 14 เท่านั่นเอง เทียบกันแบบปอนด์ต่อปอนด์แบบนี้คงชัดเจนมากขึ้น

ในกลุ่มนี้มีการถกเถียงประเด็นนี้ โดยมีความหนึ่งที่น่าสนใจ แม้จะไม่ใช่ความเห็นของคนเด่นคนดัง แต่ก็ตรงกับวิธีคิดของผู้เขียน ความเห็นนี้ (ชื่อ Francis Phang) บอกว่า... "สิ่งสำคัญคือต้องฉีดวัคซีนไม่ว่ายี่ห้ออะไร พวกมันทั้งหมดทำงานได้ดี แต่ทำงานได้ดีเพียงใดขึ้นอยู่กับว่าคุณดูแลตัวเองดีเพียงใดเพื่อหลีกเลี่ยงสายพันธุ์ต่าง ๆ ของโควิด-19"

ที่พูดแบบนี้กัน ก็เพราะมาเลเซียนั้นได้ Pfizer มาถึง 44.8 ล้านโดส แต่ปรากฏว่ามีกระแสกังขามันและต้องการจะฉีด Sinovac เสียอยางนั้น ซึ่งกลับตาลปัตรกับประเทศไทย!!

(ทั้งนี้ Pfizer ล็อตแรกที่ส่งมายังมาเลเซียสงวนไว้สำหรับแนวหน้า ซึ่งรวมถึงเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ตำรวจ และเจ้าหน้าที่กองทัพ โดยเริ่มฉีดเดือนกุมภาพันธ์)

ตัน สรี ดร.นูร์ ฮิชัม อับดุลลอห์ อธิบดีกรมสุขภาพของมาเลเซียยังถึงกับบอก (หลังเผยตัวเลขบุคลากรแพทย์ที่ติดเชื้อถึง 3,106 ราย) ว่า “มีช่วงหนึ่ง หลายคนไม่พอใจกับทวีตของผม เมื่อผมพูดถึงจำนวนบุคลากรทางการแพทย์ที่ติดเชื้อหลังจากฉีดวัคซีนครบแล้ว ถูกต้อง คุณยังสามารถติดเชื้อได้หลังจากฉีดวัคซีนครบแล้ว แต่ไม่เท่ากับที่มีรุนแรง โดยต้องรักษาตัวในโรงพยาบาลและเสียชีวิตน้อยกว่า"

ไม่ว่าใครก็ตามต่างก็พยายามจะบอกว่าวัคซีนของที่ตัวเองมีอยู่นั้น มีผลน่าพอใจแล้ว เช่น รายงานข่าวของทางการมาเลเซียเอง ก็บอกว่ามีบุคลากรแพทย์ที่ได้รับวัคซีนสองโดสแล้ว "ติดแค่เล็กน้อย" ซึ่งว่ากันตามสถิติแล้ว 1.26% ก็ยังถือว่าไม่สูงมากจริง ๆ

สิ่งที่เลวร้ายกว่าการเชียร์วัคซีนก็คือ การไปด้อยค่าวัคซีนอื่น เพราะไม่ใช่ทุกประเทศที่จะนำเข้าวัคซีนที่มีประสิทธิภาพดีกว่าได้ จะขอยกตัวอย่างกรณีของสำนักข่าว The New York Times เรื่อง "พวกเขาอาศัยวัคซีนจีน ตอนนี้พวกเขากำลังต่อสู้กับการระบาด" เมื่อโพสต์ข่าวในเฟซบุ๊ก แทนที่ผู้อ่านจะโจมตีวัคซีนจีนกลับโจมตีคนรายงานข่าวนี้

ความเห็นที่มีผู้ไลก์มากที่สุด Roxana Nassiri บอกว่า "ประเทศที่ยากจนส่วนใหญ่พึ่งพาวัคซีนจากจีน มันคือสิ่งที่พวกเขาควรทำ เมื่อประเทศร่ำรวยสะสมวัคซีนที่ดีที่สุดเอาไว้ให้ตัวเอง คุณพยายามอย่างเต็มที่เพื่อควบคุมการติดเชื้อด้วยสิ่งที่คุณมีอยู่ในมือ"

อีกคน Jackie Orio บอกว่า "ลองเขียนบทความใหม่เป็น "วัคซีนที่พวกหามาเอาไหม? ผมแน่ใจว่าหากแบรนด์อื่น ๆ มีจำหน่ายในประเทศเหล่านี้ พวกเขาจะรับมันไว้"

ดูเหมือนว่าชาวโลกที่มีเหตุมีผลจะคิดคล้าย ๆ กันว่า "ได้อะไรมาก็รีบฉีดกันตายเอาไว้ก่อน" ส่วนรัฐบาลวางแผนพลาดเรื่องวัคซีน ก็เช็กบิลกันไปตามเนื้อผ้า

วัคซีนที่ถูกด้อยค่านั้นอาจมีผลคือ ถูกสั่งนำเข้าลดลงมีผลต่อรายได้ของบริษัท/ประเทศต้นทาง แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาของประเทศที่สั่งเข้ามาแล้ว ปัญหาของประเทศที่สั่งเข้ามาแล้วคือ ประชาชนกังขามันจนไม่ยอมฉีด ผลก็คือเกิดการระบาดหนัก ต้องสูญเสียชีวิตของคนที่หลงเชื่อขบวนการด้อยค่าวัคซีน

แม้แต่ในสหรัฐฯ ตอนนี้ใช้ Pfizer กับ Moderna เป็นหลักแท้ ๆ ก็ยังมีกระแสกังขา/ต่อต้านมันจนกระทั่งอัตราการฉีดวัคซีนลดลงแบบน่าตกใจ หลายรัฐโดยเฉพาะรัฐภาคใต้จึงมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นมาอีก ยังไม่นับความร้ายกาจของเดลตาที่ทำให้วัคซีน mRNA มีประสิทธิภาพลดลง บางรัฐจึงสั่งให้สวมหน้ากากอีก แม้จะฉีดวัคซีนไปมากแล้ว

ในสหรัฐฯ การด้อยค่าวัคซีนมีปัญหามาจากความแตกแยกทางการเมืองและการเมืองเรื่องสีคล้าย ๆ กับบ้านเรา คือรัฐภาคใต้ที่นิยมพรรคสีแดง (รีพับลิกัน) ฉีดวัคซีนน้อยและต้านวัคซีนมาก ผลก็คือตัวเลขติดเชื้อพุ่งขึ้นมาอีก ส่วนรัฐสีน้ำเงิน (เดโมแครต) ฉีดวัคซีนมากการติดเชื้อน้อย แต่บางรัฐในกลุ่มนี้ต้องสั่งให้สวมหน้ากากอีกครั้ง

ดังนั้น สีเสื้อทางการเมืองไม่มีผลอะไร เพราะเจอไวรัสก็ตายเหมือนกัน ถ้าไม่ระวังตัวหรือเอาแต่กังขาวัคซีน

ในสหรัฐฯ นั้นคนไม่ได้ต่อต้าน Pfizer แต่ต่อต้านมาตรการของรัฐ เพราะยึดมั่นถือมั่นว่าประชาชนอเมริกันมีเสรีภาพที่รัฐจะมาบีบบังคับไม่ได้แม้แต่เรื่องเป็นเรื่องตาย ประมาณว่า "กูจะตายก็เรื่องของกู"

แต่โรคระบาด "ไม่ใช่เรื่องของกูคนเดียว" เพราะถ้า "กู" ติดขึ้นมาไม่จะไม่ติดแค่ "กู" คนเดียวแต่จะลาก "มึง" อีกนับสิบนับร้อยคนซวยไปด้วย

เช่นกัน ในประเทศไทยมีผู้ออกมาด้อยค่าวัคซีนที่มีอยู่เพียงเพื่อจะเชียร์ Pfizer ซึ่งก็เชียร์ได้และควรจะเชียร์ เพียงแต่การเชียร์มิติเดียวของคนพวกนี้ทำให้ประชาชนกลัววัคซีนที่มีอยู่จนบอกกับตัวเองว่า "กูไม่ฉีดล่ะ" ผลก็คือ "กู" ติดเชื้อและทำให้คนอื่นติดไปด้วย

พูดสั้น ๆ ก็คือพวกเชียร์วัคซีน A ด้อยค่าวัคซีน B คือพวกที่ทำให้เกิดกระแสต่อต้าน/กังขาวัคซีนทางอ้อม ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม และความรับผิดชอบต่อเรื่องนี้มันหนักหนาสาหัสมาก

ย้ำว่ารัฐบาลสมควรถูกต่อว่าอย่างหนักหรือแม้แต่สมควรกับการถูกขับไล่เพราะแผนจัดการวัคซีนที่แย่และขาดวิสัยทัศน์ แต่วัคซีนที่รัฐซื้อมาเพื่อใช้ในเวลาฉุกเฉินไม่ใช่จำเลย รัฐบาลต่างหากที่เป็นจำเลยสังคมและการตำหนิรัฐบาลไม่ทำให้คนตายเท่ากับด้อยค่าวัคซีน

รัฐบาลบริหารผิดพลาดเป็นเวรกรรมคนไทยโดยแท้และคนไทยควรจะ "แก้กรรม" นี้โดยเร็ว

แต่การโจมตีรัฐบาลโดยใช้ความกลัววัคซีนของประชาชนเป็นเบี้ยหมากทางการเมืองนั้น ก็สร้างเวรสร้างกรรมเหมือนกัน


ที่มา : https://www.posttoday.com/world/658641


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

รองโฆษกรัฐบาล เผย สธ.-คมนาคม กำหนดมาตรการเข้ม ย้ายผู้ป่วยใน กทม. ปริมณฑล กลับภูมิลำเนา โทรสายด่วน 1330 แจ้งความประสงค์ได้

ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากผลการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) เมื่อวันที่ 20 ก.ค.ที่ผ่านมา มอบหมายให้กระทรวงทรวงสาธารณสุข ประสานกับรัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กำหนดแนวทางการดูแลผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่ต้องการเดินทางกลับไปรักษาที่ภูมิลำเนา เพื่อลดความหนาแน่นในการรองรับผู้ป่วยใน กทม.และปริมณฑล ล่าสุดสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.) สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ กองทัพบก และกระทรวงคมนาคม ได้ประสานความร่วมมือ จัดรถรับ-ส่งผู้ป่วยโรคโควิด-19 ในพื้นที่ กทม.และปริมณฑล ที่ต้องการกลับไปรักษายังภูมิลำเนาแล้ว โดยประชาชนที่ป่วยด้วยโรคโควิด-19 อาการไม่รุนแรง ในพื้นที่ กทม.และปริมณฑล ที่ต้องการกลับไปรักษาตัวยังภูมิลำเนา สามารถติดต่อได้ที่สายด่วน  1330 กด 15  หรือลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ https://crmdci.nhso.go.th/

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า สำหรับขั้นตอนการดำเนินการนั้น เมื่อผู้ป่วยรับทราบผลการติดเชื้อโควิด-19 แล้วแจ้งไปยังสายด่วน 1330 ประสงค์เดินทางกลับภูมิลำเนาเดิม สปสช.และกระทรวงคมนาคม จะแจ้งประสานไปยังจังหวัดปลายทางเพื่อส่งตัวผู้ป่วยเข้ารักษาที่โรงพยาบาลหรือโรงพยาบาลสนามในจังหวัด โดยมีมาตรการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยที่เข้มงวด ปลอดภัย ซึ่งเป็นข้อกำหนดจากกรมควบคุมโรคและสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ เช่น มีอุปกรณ์กั้นผู้ป่วยแยกกับคนขับ มีมาตรการเว้นระยะห่าง นั่งที่เวรที่ สำหรับรถตู้ให้โดยสารได้ไม่เกิน 5 คน พร้อมมีแพทย์วิดีโอคอลให้คำปรึกษาอาการระหว่างการเดินทาง โดยกระบวนการขนย้ายนี้ เป็นความร่วมมือของกระทรวงคมนาคม การรถไฟแห่งประเทศไทย และกรมการขนส่งทหารบก
 
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า สำหรับกระทรวงคมนาคม ได้กำหนดมาตรการด้านการขนส่งผู้ป่วยไว้เป็นอย่างดี โดยให้ดำเนินการตามมาตรการสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด อาทิ การเว้นระยะห่างภายในรถ การทำความสะอาดตามที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด รวมทั้งการจัดเตรียมอาหารและเครื่องดื่มให้กับผู้ป่วยระหว่างเดินทาง พร้อมประสานขอให้จังหวัดดำเนินการวางแผนการรองรับผู้ป่วยกลับบ้าน โดยให้มีการคาดการณ์ถึงสถานการณ์ในอนาคตเพื่อดำเนินการเตรียมความพร้อมล่วงหน้าด้วย นอกจากนี้ ยังเพิ่มช่องการอื่น เช่น ไลน์ สำหรับกรณีที่จังหวัดหรือหน่วยงานใด ต้องการการสนับสนุนจากกระทรวงคมนาคม เพื่อให้สามารถดำเนินการได้ทันต่อสถานการณ์

กสร. มุ่งขจัดปัญหาการค้ามนุษย์อย่างมีประสิทธิภาพ เพิ่มศักยภาพพนักงานตรวจแรงงาน

กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานเพิ่มศักยภาพพนักงานตรวจแรงงานในการคัดแยกผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์และการบังคับใช้แรงงาน เพื่อยกระดับพนักงานตรวจแรงงานให้มีศักยภาพในการขจัดปัญหาการค้ามนุษย์ด้านแรงงานอย่างมีประสิทธิภาพ

นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) กล่าวในฐานะประธานเปิดโครงการเพิ่มศักยภาพพนักงานตรวจแรงงานในการคัดแยกผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์และการบังคับใช้แรงงานว่า กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกาได้เผยแพร่รายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ ประจำปี 2564 โดยจัดให้ประเทศไทยอยู่ในระดับเทียร์ 2 ซึ่งต้องจับตามอง (Tier 2 Watch List) โดยให้เหตุผลว่าประเทศไทยมิได้ปฏิบัติตามมาตรฐานขั้นต่ำในการขจัดการค้ามนุษย์อย่างเต็มที่ เจ้าหน้าที่ขาดความเข้าใจในเรื่องการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน และขาดขั้นตอนที่เป็นมาตรฐานสำหรับพนักงานตรวจแรงงานในการส่งต่อกรณีการค้ามนุษย์ไปยังหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย กระทรวงแรงงานภายใต้การกำกับดูแลของ พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่ดูแลในเรื่องการป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์โดยตรง และนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ต่างมีความมุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหาและมีความต้องการที่จะพัฒนากระบวนการทำงานเพื่อขจัดปัญหาการค้ามนุษย์ในทุกมิติอย่างต่อเนื่อง

จึงได้มอบหมายให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ในฐานะหน่วยงานที่มีภารกิจหลักในการคุ้มครองแรงงาน จัดโครงการเพิ่มศักยภาพพนักงานตรวจแรงงานในการคัดแยกผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์และการบังคับใช้แรงงาน เพื่อเสริมสร้างประสิทธิภาพการตรวจแรงงานให้พนักงานตรวจแรงงานมีความรู้ความเข้าใจในสาระสำคัญของกฎหมาย และการบังคับใช้กฎหมายคุ้มครองแรงงาน สามารถวิเคราะห์ลักษณะความผิดที่เกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับความผิดฐานค้ามนุษย์ด้านแรงงาน การใช้แรงงานเด็ก และการบังคับใช้แรงงานหรือบริการ จนนำไปสู่การคัดแยกผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ด้านแรงงานสามารถประสานงานและส่งต่อกรณีที่อาจเป็นกรณีการค้ามนุษย์ด้านแรงงานไปยังทีมสหวิชาชีพและหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย เพื่อให้ความช่วยเหลือแก่ผู้เสียหายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

อธิบดี กสร. กล่าวเพิ่มเติมว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กรมจึงได้ดำเนินการจัดฝึกอบรมในรูปแบบออนไลน์ผ่านวีดิทัศน์ทางไกล (Cat Conference) โดยมีผู้เข้ารับการฝึกอบรมประกอบด้วยพนักงานตรวจแรงงานจากหน่วยงานในสังกัดทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค จำนวน 100 คน โดยมุ่งหวังยกระดับสถานการณ์การค้ามนุษย์ในประเทศไทยให้ดีขึ้นได้ต่อไป

เรื่องวัคซีน ยิ่งมาเยอะ ยิ่งดี ! “เลขาฯเม้ง” แจงยิบ ปม นำเข้า Sinovac เพิ่ม 

กรณีที่มีคำสั่งเตรียมซื้อวัคซีน Sinovac เพิ่มอีก 10.9 ล้านโดส ท่ามกลางเสียงวิจารณ์จากฝ่ายการเมือง ว่าวัคซีนไม่มีประสิทธิภาพ ล่าสุด 22 กรกฎาคม 2564 นายวัชรพงศ์ คูวิจิตรสุวรรณ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวในประเด็นดังกล่าวว่า 

รัฐบาล กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ต้องการนำวัคซีนที่มีคุณภาพ และความปลอดภัย เข้ามาให้บริการประชาชนในจำนวนที่เพียงพอ และในระยะเวลาที่เร็วที่สุด 

ซึ่งวัคซีนของ Sinovac เป็นวัคซีนที่ผ่านการรับรองโดยองค์การอนามัยโลก เป็นวัคซีนที่ Covax จองซื้อจำนวนมหาศาล ดังนั้น ถ้าจะบอกว่า Sinovac นั้นแย่  ก็เท่ากับ WHO และ Covax เลือกวัคซีนไม่มีคุณภาพมาบริการแก่ชาวโลก ซึ่งในความเป็นจริงไม่เป็นเช่นนั้น เพราะในการใช้กับสถานการณ์จริง ที่มาเลเซียพบว่าประสิทธิภาพของ Sinovac กับวัคซีนแบบ mRNA ก็เท่ากัน ขณะที่ผลการศึกษาของกระทรวงสาธารณสุข พบว่าประสิทธิผลต่อสายพันธุ์เดลตาขณะนี้ ถือว่ายังคงที่คือร้อยละ 75 ปัจจุบันนี้ ประเทศไทย นำเข้าวัคซีนมาหลายชนิด มีทั้งวัคซีนทางหลัก และทางเลือก ในอนาคตจะมีวัคซีนให้คนไทยได้เลือกเป็นจำนวนมาก แต่ก็เห็นกันอยู่ว่า การนำเข้ามาซึ่งวัคซีนนั้น มีปัจจัยที่ไม่แน่นอนมากมายเหลือเกิน และถามว่า ในขณะที่โรคยังระบาดทุกวัน เรายังจะลุ้น และเรารอได้หรือไม่  คำตอบคือ รอไม่ได้ ในสมรภูมิรบ ชุดเกราะที่เอามาได้ก่อน ก็สมควรนำเข้ามา 

นอกจากนั้น วัคซีนที่ไทยใช้เป็นหลัก ยังสามารถปรับสูตรเพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกันได้อย่างปลอดภัย ล่าสุด  ได้รับการยืนยันจากนพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ว่ามีประสิทธิภาพและมีความปลอดภัยสูง เท่ากับว่าวัคซีนที่ไทยมีนั้น สามารถปรับให้สอดคล้องกับสถานการณ์ได้

“จริงๆ การมีวัคซีนเข้ามาให้มากที่สุด ย่อมเป็นเรื่องดีกว่าการรอวัคซีนที่ถูกใจ  ซึ่งกว่าจะมา ก็อาจไม่ทันการระบาดแล้ว  ผมขอเป็นกำลังใจให้คนทำงาน และคนไทยทุกท่าน ชั่วโมงนี้ ขอให้มองสภาพความเป็นจริงครับ อย่าเพิ่งวิจารณ์คนทำงานซึ่งบางท่านที่วิพากษ์ มีอคติทางการเมืองอยู่เบื้องหลัง” 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top