Friday, 9 May 2025
POLITICS NEWS

"กรณ์" ชวนถกโอกาสทางเศรษฐกิจยุคใหม่กับ "ท็อป-จิรายุส แห่ง บิทคัพ" วางแผนสร้างแพลตฟอร์ม NFT สัญชาติไทยเพิ่มรายได้ให้คนรุ่นใหม่ 

นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า ในฐานะอดีตประธานไทยฟินเทค และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ร่วมคุยและแชร์ประสบการณ์ กับ นายจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ก่อตั้งบิทคัพของเมืองไทย พร้อมด้วย นางสาวภรณี วัฒนโชติ รองโฆษกพรรคกล้า และนางสาวพัสณิชา เอี่ยวอุดมสิน บิทคัพ อคาเดมี ในหัวข้อ  “จุดเปลี่ยนสำคัญสู่ยุคสินทรัพย์ดิจิทัล”  

โดยการพูดคุยดังกล่าว สืบเนื่องจากเมื่อต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา นายกรณ์ ได้ลุกขึ้นมาสร้างสินทรัพย์ดิจิทัล หรือ NFT เป็นภาพวาดดิจิทัลสุนัขพันธ์ เฟรนซ์ บลูด็อก 20 ตัว ในโปรเจ็กต์ Mission Pawsible  ไปประมูลขายบนแพลตฟอร์มซื้อ-ขายงานศิลปะระดับโลกอย่าง "โอเพ่นซี" (opensea.io) รายได้ทั้งหมด จะนำไปบริจาคช่วยเหลือสุนัขใน 3 มูลนิธิได้แก่ มูลนิธิ Dog Trust ในประเทศอังกฤษ และ 2 มูลนิธิของไทย คือ เดอะวอยซ์ เสียงของเรา และ เกาะ สุนัข ซึ่งได้รับผลกระทบจากวิกฤตโควิด โดยจะปิดการประมูลขายเที่ยงคืนวันที่ 26 สิงหาคม ซึ่งเป็นวันสุนัขโลก 

นายกรณ์ กล่าวว่า โครงการ Mission Pawsible เกิดขึ้นเพื่อจุดประกายให้ หันมาสนใจ crypto currency  ที่ไม่ใช่แค่สกุลเงิน แต่สามารถสร้างเป็น NFT ได้ ที่สามารถสร้างเงินได้ และเชื่อว่าในอนาคตนอกจากจะสามารถรักษามูลค่าไว้ได้แล้ว ยังมีแนวโน้มโอกาสที่จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นไปอีก เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์และเป็นคำตอบเอง โดยเฉพาะโจทย์ที่ท้าทายว่า แท้จริงแล้วคนชอบที่จะถือครองงานศิลปะในรูปของ NFT หรือในรูปของกระดาษกันแน่ วันนี้เรามีสินทรัพย์บางอย่างที่สร้างขึ้นมาในโลกดิจิทัล มันก็ควรจะอยู่ในรูปดิจิทัลมากกว่า ยกตัวอย่าง ทวิตแรกของ แจ๊ค ดอร์ซี่ ผู้ก่อตั้งทวิตเตอร์ ก็ถูกนำมาขายในรูปแบบ NFT   

ด้านนายจิรายุส มองว่า แนวทางที่นายกรณ์ ได้ทำอยู่นี้ อาจจะเป็นโมเมนท์แรกที่เปลี่ยนโลกของการบริจาค เพราะเชื่อว่ายังไม่มีใครทำในลักษณะแบบนี้  นอกจากนี้ยังมองว่า NFT จะมีอนาคตไปอีกไกล เพราะแม้แต่บิทคอยต์ ที่มีอายุ 13 ปี วันนี้ก็ยังอยู่ และไม่มีใครสามารถแฮคข้อมูลได้ อย่างไรก็ตามโดยส่วนตัว สนใจที่จะสร้างแพลตฟอร์มสัญชาติไทย เพราะดิจิทัล อีโคโนมีเป็นเรื่องที่ใหญ่มาก และจะอยู่กับเราไปอีกนาน 

สอดคล้องกับ นางสาวภรณี ที่มองว่า ถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยจะมี แพลตฟอร์ม NFT เป็นของตัวเอง เพื่อส่งต่อไปยังคนทั่วโลกให้เข้ามาใช้ NFT ที่อยู่แพลตฟอร์มของคนไทย มันเป็นความภาคภูมิใจที่เราควรจะมี และไม่ควรพลาดโอกาสนี้ เพราะหากเราไม่ทำ ประเทศอื่นก็ต้องทำ สุดท้ายเราก็จะเป็นทาสทางเทคโนโลยีของประเทศอื่น ประเทศไทยควรมีเครื่องยนต์เศรษฐกิจในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมตัวใหม่  ไม่เช่นนั้นเราก็จะไม่มีโอกาสเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมอะไรเลย ต่างชาติก็จะไม่เข้ามาลงทุน สุดท้ายเราจะเสียโอกาสไป 

ซึ่งในประเด็นนี้ นายกรณ์ กล่าวเสริมว่าไม่เพียงแต่ต่างชาติไม่เข้ามาลงทุนในไทยเท่านั้น แต่เราอาจต้องเสียคนไทยเก่ง ๆ ไปทำงานที่อื่นด้วย แทนที่โอกาสดี ๆ จะอยู่ในมือคนรุ่นใหม่กลับกลายเป็นว่าใครที่อยากมีอาชีพทางนี้ต้องออกไปทำงานที่ต่างประเทศ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย อย่างไรก็ตามล่าสุดแพลตฟอร์มระดับโลกอย่าง อาลีบาบา ก็เปิดตลาด NFT แล้ว ซึ่งเป็นสัญญานว่าเราจะช้าไม่ได้ เราไม่ได้ใหญ่กว่าเขา หรือว่ามีอะไรมากกว่าเขา ต้องอาศัยความชัดเจนและความว่องไวในการจะแข่งขัน 

เมื่อถามาว่า NFT จะสามารถต่อยอดกับอะไรได้ในอนาคต หัวหน้าพรรคกล้า ก็บอกว่า อุตสาหกรรมนี้เพิ่งเริ่มต้น มันยังมีวัฎจักรที่ต้องพิสูจน์ตัวเอง แม้ยูสเคส ตอนนี้จะมีเพียงงานศิลปะ และเกมส์ แต่ในอนาคตเชื่อว่าไปได้ไกลในตลาดนี้ โดยเฉพาะหน่วยงานราชการมีหลายเรื่องที่จะสามารถนำ NFT  มาประยุกต์ใช้  แต่เนื่องจากโดยธรรมชาติราชการจะช้ากว่า ก็เลยมองว่าวงการเกม น่าจะเป็นพื้นที่ในการพัฒนา NFT ได้เร็วที่สุด ที่น่าสนใจคือ เราเป็นเจ้าของสินทรัพย์ดิจิทัล ไม่ใช่ตัวแพลตฟอร์มที่เป็นเจ้าของ ดังนั้นในอนาคตก็น่าจะมีโอกาสในการนำ NFT จากเกมเราไป ใช้ในอีกเกมหนึ่งได้ ซึ่งจะทำให้การค้า การขาย การพัฒนาตัว NFT  ไปได้เร็วขึ้น โลกของเกมเป็นเรื่องที่น่าจับตามองที่สุด 

นายจิรายุส กล่าวเพิ่มเติมว่า โดยส่วนตัวตื่นเต้นและเชื่อว่า ตลาด NFT จะใหญ่กว่าที่บิทคัพที่ทำอยู่ เนื่องจากสามารถสร้างตัวแทนของทรัพย์สินต่าง ๆ ให้อยู่ในรูปแบบของดิจิทัลได้ ทั้งที่มีมูลค่า และความเชื่อ หรือคตินิยม ของแต่ละคน ซึ่งมันมีหลายรูปแบบมาก ยกตัวอย่างให้เห็นชัด ๆ คือ เส้นทางของอุตสาหกรรมการเงินเราเติบโตมากับ ไฟแนนซ์ 1.0 เราคุ้นเคยกับ สาขาของธนาคาร  ตู้เอทีเอ็ม เครื่องนับเงิน บัตรเครดิต เพราะมันถูกสร้างบนความเชื่อที่ว่าเงินคือกระดาษ จากนั้นในรอบสิบปี เราเริ่มเห็น ไฟแนนซ์ 2.0 คือเริ่มมี ดิจิทัลแบงค์กิ้ง โมบายแบงค์กิ้ง มีพร้อมเพย์  คือการเอาเทคโนโลยีเข้ามาใช้ แต่ยังคงรวมกับรูปแบบเดิมคือยึดธนาคารเป็นหลักบนสมมุติฐานเดิมเงินคือกระดาษ  แต่ตอนนี้เริ่มมีการใช้ สินทรัพย์ดิจิทัล ใช้เงินสกุลดิจิทัล เรากำลังสร้าง ไฟแนนซ์ 3.0 ขึ้นมา คือเอาตัวกลางออก แล้วสร้างสมมุติฐานใหม่ว่า ว่า เงินคือคอมพิวเตอร์โปรแกรม เงินคือลอจิกของเลขแล้ว ซึ่งมันคล้าย ๆ กับอุตสาหกรรมเพลง เมื่อก่อน จาก 1.0  มีเทป ซีดี มาสู่ 2.0 มี Sony wolkman  มีไอพอต ตอนนี้เพลงก็เป็น 3.0 แล้ว คือ อยู่ที่ไหนก็ฟังได้ผ่านทาง youtube Netflix linetv ซึ่งล้วนแต่เป็นแพลตฟอร์มของต่างชาติทั้งหมด 

“ในแวดวงการเงิน เมืองไทยยังให้ความสำคัญกับผู้เล่น 1.0  เพราะเป็นโครงสร้างพื้นฐานหลักของประเทศ แต่ในอนาคตดิจิทัล อีโคโนมี จะใหญ่มาก ในขณะที่เรายังไม่มีโครงสร้างพื้นฐานของดิจิทัลที่จะรองรับเลย ไฟแนนซ์ 3.0 ซึ่งเป็นสถาบันการเงินของคนรุ่นใหม่ จึงควรมีและควรทำอย่างยิ่ง” นายจิรายุส กล่าว 

นายกรณ์ ได้กล่าวเสริมในตอนท้ายว่า ทั้งหมดที่กล่าวมานั้น ปัญหาที่เกิดจากเทโนโลยีจะถูกแก้ด้วยเทคโนโลยี

“ธณิกานต์” โวย ป.ป.ช. ด่วนตัดสิน ปมกดบัตร ลั่น ไม่เป็นเรียกแจง แต่รวบรัดชี้มูล ยัน พร้อมต่อสู้ตามกม.

น.ส.ธณิกานต์ พรพงษาโรจน์ ส.ส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) กล่าวกรณีที่ศาลฎีกา มีคำสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ ตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)ร้องว่ากระทำผิดจริยธรรม ว่า การชี้มูลของป.ป.ช.ไม่เป็นธรรม ไม่ได้ค้นหาหลักฐาน ไม่ให้โอกาสชี้แจงและด่วนตัดสิน ทั้งที่ข้อมูลหลักฐานต้องสืบค้นไม่ใช่เป็นการรวบรัดและรีบชี้มูล

น.ส.ธณิกานต์ กล่าวว่า ในวันที่ 8 ส.ค. 2562 เป็นวันที่มีการใช้เครื่องลงคะแนนจริงเป็นครั้งแรก บรรยากาศเต็มไปด้วยความโกลาหล มีการประท้วงเรื่องระบบการลงคะแนนมีปัญหาตลอดครึ่งเช้า ในขณะที่ตนมีภารกิจต้องปฎิบัติหน้าที่งานเทิดพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง จึงไม่ได้ดึงบัตรออกจากเครื่อง เพราะกังวลว่าเครื่องมีปัญหา และคิดว่ารีบไปปฎิบัติหน้าที่แล้วรีบกลับ เพราะต้องกลับมาลงมติต่อ แต่ป.ป.ช.ชี้มูล โดยไม่สืบค้นหลักฐานว่าใครเป็นคนกดบัตร และตนก็ไม่เคยฝากบัตรและไม่เคยยินยอมให้ใครนำบัตรไปใช้กดแทน  เรื่องนี้ตนพร้อมพิสูจน์ตัวเองตามกระบวนการต่อไป

โฆษก ศบศ. ปลื้ม “สมุยพลัสโมเดล” เดินหน้าสร้างรายได้ต่อเนื่อง มั่นใจ 25 ส.ค.เที่ยวบินภูเก็ต-สมุย เปิดให้บริการอีกครั้ง ดึงยอดนักท่องเที่ยวเพิ่มแน่ แจง “บิ๊กตู่”กำชับดูแลความปลอดภัยนักท่องเที่ยวเต็มที่

นายธนกร วังบุญคงชนะ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะโฆษกประจำศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบศ.) เปิดเผยว่า ที่ประชุม ศบค. เห็นชอบการขยายพื้นที่ของภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ให้กว้างขึ้น โดยให้นักท่องเที่ยวภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์สามารถเดินทางท่องเที่ยวเชื่อมโยงระหว่างจังหวัดภูเก็ตกับพื้นที่นำร่องอื่นในลักษณะ 7+7 เป็นการส่งเสริมให้นักท่องเที่ยว สามารถเดินทางไปยังพื้นที่นำร่องอื่นๆ ได้เพิ่มเติม โดยปรับลดเวลาที่ต้องอยู่ในพื้นที่ภูเก็ตจาก 14 วัน เหลือ 7 วัน ซึ่งพื้นที่นำร่องประกอบด้วย พื้นที่เกาะสมุย เกาะพะงัน เกาะเต่า จังหวัดสุราษฎร์ธานี  พื้นที่เกาะพีพี เกาะไหง ไร่เลย์ จังหวัดกระบี่ และพื้นที่เขาหลัก เกาะยาวน้อย และเกาะยาวใหญ่ จังหวัดพังงา เริ่มตั้งแต่วันที่ 16 สิงหาคม 2564 เป็นต้นไป อย่างไรก็ตาม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กำชับให้ดูแลความปลอดภัยให้นักท่องเที่ยวอย่างเต็มที่ด้วย
     
นายธนกร กล่าวว่า ขณะนี้ยอดนักท่องเที่ยวสะสมของโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ อยู่ที่ 22,810คน มียอดการจองโรงแรมที่ได้เครื่องหมายมาตรฐานความปลอดภัยด้านการท่องเที่ยวและสุขอนามัย SHA Plus ตลอดไตรมาส 3 (กรกฎาคม-กันยายน 2564) จำนวนกว่า 409,390 คืน ยังคงมีเที่ยวบินเข้ามาอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกวัน โดย 5 อันดับแรกมาจากสหรัฐอเมริกา อังกฤษ อิสราเอล ฝรั่งเศส และเยอรมนี โดยหลังจากที่ปรับเป็นสูตร 7+7 ให้นักท่องเที่ยว“ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์” อยู่ภูเก็ตครบ 7 วันแล้วเดินทางไปพื้นที่นำร่องอื่นต่อได้ 7 วัน จึงจะสามารถเดินทางไปจังหวัดอื่นได้ ทำให้มีนักท่องเที่ยวกลุ่มแซนด์บ็อกซ์ที่เดินทางออกจากพื้นที่ภูเก็ตทางบก ขณะนี้มีจำนวนสะสมอยู่ที่ 3,578 คน โดยปลายทาง 5 อันดับอยู่ที่กรุงเทพมหานคร สุราษฎร์ธานี ประจวบคีรีขันธ์ เชียงใหม่ และชลบุรี ซึ่งปัจจุบันแต่ละจังหวัดมีการเตรียมการวางแผน บริหารจัดการควบคุมเพื่อรองรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ตามมาตรการที่ ศบค. กำหนดแล้ว ขอให้ประชาชนในพื้นปลายทางมั่นใจได้

นายธนกร กล่าวว่า ในส่วนของสมุยพลัสโมเดล ที่เชื่อมต่อกับภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์นั้น มีกลุ่มแซนด์บ็อกซ์เข้ามาแล้วจำนวนเกือบ 400 คน มีจำนวนคืนเข้าพักแรมรวมเกือบ 3,000 คืน (รูมไนท์) จำนวนวันพักเฉลี่ย 9 คืนต่อคน ประมาณการรายได้อยู่ที่ 17.28 ล้านบาท โดยนักท่องเที่ยว 5 อันดับแรกได้แก่ ฝรั่งเศส อังกฤษ เยอรมัน สหรัฐอเมริกา และเนเธอร์แลนด์ ซึ่งจำนวนนักท่องเที่ยวที่น้อยเนื่องจากเส้นทางการบินภูเก็ต-สมุยได้หยุดทำการบินไปตั้งแต่วันที่ 3 - 16 สิงหาคม 2564 ตามคำสั่งจังหวัดภูเก็ต และจะประกาศต่อจนถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2564 เนื่องจากการควบคุมการระบาดของโควิด-19 ในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต อย่างไรก็ตาม เที่ยวบินภูเก็ต-สมุยจะกลับมาให้บริการอีกครั้งตั้งแต่วันที่ 25 สิงหาคม เป็นต้นไป คาดว่าหลังจากเปิดเส้นทางการบินภูเก็ต-สมุย และใช้มาตรการ 7 + 7 แล้ว จะทำให้ยอดนักท่องเที่ยวสมุยพลัสโมเดลเพิ่มสูงขึ้น ทั้งนี้ สำหรับกรณีที่สหรัฐฯ ประกาศว่า โควิด-19 ระบาดหนักในไทย ให้หลีกเลี่ยงการเดินทางนั้น การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยได้เร่งสื่อสารตลาดต่างประเทศเพื่อสร้างความเข้าใจกับนักท่องเที่ยว และทัวร์โอเปอร์เรเตอร์ ในเชิงซิตี้ มาร์เก็ตติ้ง (City marketing) แยกจังหวัดภูเก็ตออกมาจากประเทศไทยในภาพรวมว่าภูเก็ตมีความปลอดภัย รัฐบาลได้เน้นย้ำให้ทุกฝ่ายเตรียมความพร้อมด้านการแพทย์ สาธารณสุข ภายใต้มาตรการสาธารณสุข และการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด มีการประเมินและควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างใกล้ชิด

“ทิพานัน" จวก “เต้ มงคลกิตติ์” ท้า “บิ๊กตู่” วางมวย  ไร้มารยาท-ทำภาพสภาฯตกต่ำ ไล่ดูมาตรฐานจริยธรรม ส.ส. ซัด “คนดีชอบแก้ไข-คนอะไรชอบท้าต่อย”

น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ ประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี กล่าวกรณีที่ นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ โพสต์เฟซบุ๊ก ท้าชกกับพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม หากใครเป็นฝ่ายแพ้ต้องลาออก หากไม่รับคำท้าไม่ใช่ลูกผู้ชาย ว่า ไม่น่าเชื่อว่าส.ส.จะเสนอข้อคิดเห็นนี้ ที่เป็นเรื่องไร้มารยาททางการเมืองและทางสังคม ผิดหลักการรัฐสภา นายมงคลกิตติ์ มีเวทีรัฐสภาตรวจสอบ และเสนอข้อแก้ไขได้ แต่มาเลือกใช้เวทีมวยท้าต่อยเพื่อแก้ปัญหา และนายมงคลกิตติ์ ควรทบทวนจริยธรรม ส.ส.ของตัวเองใน 4 ข้อ แห่งข้อบังคับว่าด้วยประมวลจริยธรรมของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและกรรมาธิการ พ.ศ. 2563 คือข้อ10 สมาชิกและกรรมาธิการต้องรักษาไว้ซึ่งชื่อเสียงของสภาผู้แทนราษฎรและไม่กระทำการใด อันอาจก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติภูมิของประเทศชาติ และสภาผู้แทนราษฎร ข้อ 13 ต้องไม่แสดงอาการข่มขู่ อาฆาตมาดร้าย หรือใช้กำลังประทุษร้ายต่อบุคคลอื่นในที่ประชุม บริเวณสภา หรือที่อื่นใด

และบัญชีท้ายข้อบังคับว่าด้วยประมวลจริยธรรมของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและกรรมาธิการ พ.ศ. 2563 ข้อ 12 ยึดมั่นหลักนิติธรรม และประพฤติตนอยู่ในกรอบศีลธรรมอันดีของประชาชน และข้อ 17 ไม่กระทำการใดที่ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ของการดำรงตำแหน่ง  แห่งมาตรฐานทางจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินและหัวหน้าหน่วยงานธุรการของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ พ.ศ. 2561 

"อยากให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องตรวจสอบจริยธรรม เพื่อภาพลักษณ์ เกียรติภูมิของรัฐสภา และการประพฤติตนอยู่ในกรอบศีลธรรมอันดี รวมถึงไม่ทำให้เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ของการดำรงตำแหน่ง ส.ส. ส่วนนายมงคกิตติ์เข้าใจว่าอาจมีนิสัยส่วนลึก ที่คุ้นชิ้นกับพฤติกรรมใช้กำลังท้าต่อย โดยไม่ได้ตระหนักถึงความเหมาะสมกับตำแหน่งหน้าที่ของสมาชิกรัฐสภาไทย เพราะคนดีเขาชอบแก้ไข คนอะไรชอบท้าต่อย” น.ส.ทิพานัน กล่าว

สะเทือนโซเชียล 'เต้ มงคลกิตติ์' โพสต์ข้อความขอท้าดวลมวยไทยคาดเชือกกับ 'นายกตู่' ถ้าแพ้ต้องลาออกจากตำแหน่ง

สะเทือนโซเชียลอีกครั้ง หลัง นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ หัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า... 

#เพื่อทางออกของบ้านเมืองแบบสันติไม่มีใครต้องเสียเลือดเสียเนื้อ #ผมขออนุญาตเป็นตัวแทนประชาชน ขอท้าชก กับ นายกรัฐมนตรี#ส.ส.เต้ หัวใจเป็นของประชาชน... 

***กติกา***  'เต้ vs ตู่'

1.) มวยไทยคาดเชือกมือเปล่า เท้าเปล่าพันผ้าก๊อต                            

2.) นายก อายุ 67 ปี ผม 40 ปี ท่านแก่กว่าผม อายุห่างกัน 27 ปี น้ำหนักเท่า ๆ กัน 79-80 kg. สูงพอ ๆ กัน ผมจึงต่อให้ท่าน ผมขอใช้ มือขวาข้างเดียว ไม่ใช้มือซ้ายและเท้าเตะทั้ง 2 ข้าง ส่วนนายกใช้ได้ทั้งมือและเท้า          

3.) สู้กัน 3 ยก ๆ ละ 3 นาที

4.) ถ้านายกรัฐมนตรี ชนะ เป็น นายกรัฐมนตรี ต่อ ส่วนผม ลาออกจาก ส.ส. แต่ถ้าผมชนะ นายกฯ ต้องลาออกจาก นายกรัฐมนตรี ทันที เปิดทางสรรหานายกรัฐมนตรีใหม่

5.) ถ้านายกรัฐมนตรี ไม่รับคำท้าผม แสดงว่า ไม่ใช่ลูกผู้ชาย ไม่เหมาะสมเพราะเป็นถึง อดีตผู้นำเหล่าทัพ ใจไม่สู้ ใจปลาซิว ผมขอให้ท่าน ลาออกจากนายกรัฐมนตรี ทันที

6.) ชกกันที่ สนามมวยลุมพินี กติกา มวยคาดเชือก                 

7.) ผมให้เวลาท่านตัดสินใจ 10 วัน         

8.) ห้ามส่งคนชกแทน ถือว่าผิดกติกา      

ปล : ผมสายตาสั้น ขอใส่คอนแทรกเลนซ์


ที่มา : https://www.facebook.com/100001857841737/posts/5881193121952558/


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

“ประวิตร” ถก กก.ขับเคลื่อนโครงการขนาดใหญ่ ไฟเขรยว “อ่างเก็บน้ำคลองกะพง-โครงการสูบผันน้ำ จากคลองสะพานแนว เพิ่มน้ำอ่างประแสร์ “ ช่วยปชช. มีน้ำสะอาดอุปโภคบริโภค-เกษตรกรรม-อุตสาหกรรม 

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนโครงการขนาดใหญ่ และโครงการสำคัญ ครั้งที่ 4/2564 ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์

โดยที่ประชุมเห็นชอบสำหรับเรื่องพิจารณาที่สำคัญ ที่ประชุมได้เห็นชอบโครงการอ่างเก็บน้ำ "คลองกะพง จ.ฉะเชิงเทรา" มีความจุ 27.5 ล้าน ลบ.ม. และ"คลองวังโตนด จ.จันทบุรี" มีความจุ 99.5 ล้าน ลบ.ม.โดยคำนึงถึงความคุ้มค่า และประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน และเห็นชอบโครงการสูบผันน้ำ จากคลองสะพานแนวที่ 2 จ.ระยอง เพื่อเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนในอ่างประแสร์ ได้มากถึง 50 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี เพื่อการอุปโภคบริโภค การเกษตร อุตสาหกรรม โดยเฉพาะ รองรับอีอีซีเพื่อส่งเสริมการฟื้นฟู เศรษฐกิจของประเทศ 

นอกจากนั้นรับทราบความก้าวหน้าของโครงการขนาดใหญ่และโครงการสำคัญ ในภาพรวมของประเทศ ที่ผ่านความเห็นชอบแล้ว จากกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) 39โครงการและโครงการที่ผ่าน ครม.แล้ว 34 โครงการเร่งรัดหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ดำเนินการโดยเร่งด่วน และรายงานให้ทราบอย่างต่อเนื่อง และรับทราบการขอใช้พื้นที่ป่าสำหรับโครงการพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อประชาชน ,ความคืบหน้า โครงการจัดหาแหล่งน้ำรองรับ พื้นที่รัศมี 30 กม.รอบสนามบินนานาชาติอู่ตะเภา 

พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า การแก้ไขปัญหาน้ำและการบริหารจัดการน้ำ เป็นนโยบายเร่งด่วนที่รัฐบาลให้ความสำคัญ เพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชนทั่วประเทศ ทั้งนี้จากการดำเนินงานของ
สทนช. กอนช.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทุ่มเทการทำงานได้ผลเป็นที่น่าพอใจ และกำชับให้เร่งรัดโครงการต่างๆให้บรรลุเป้าหมาย ภายใต้งบประมาณที่ได้รับอย่างประหยัด คุ้มค่า โปร่งใส เพื่อให้ประชาชน เกษตรกรและภาคอุตสาหกรรมในพื้นที่ มีน้ำสะอาดใช้ อย่างเพียงพอตลอดปี และต้องมีการประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ แก่ประชาชนให้รับทราบด้วย ควบคู่กันไป

“หมอระวี”ออกโรงค้าน “ประยุทธ์”ซัด คำสั่งให้ซื้อ ATK ตาม WHO ทำ อย.-องค์การเภสัช เตรียมหน้าแหก 

ที่รัฐสภา นพ.ระวี มาศฉมาดล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังธรรมใหม่ กล่าวถึงการจัดซื้อ Antigen test kit หรือ ATK ของ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.) จำนวน 8.5 ล้านชุด ให้กับคนไทยทั่วประเทศได้ตรวจฟรี ว่า ตนไม่เห็นด้วยที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีสั่งการให้จัดหาชุด ATK ที่ผ่านการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) มีจำหน่ายในประเทศไทย และมีคุณภาพตามมาตรฐานสากล ได้รับการรับรองจากองค์การอนามัยโลก (WHO)เพราะจะทำให้ต้องมีการล้มการประมูลในครั้งนี้ ซึ่งจะทำให้บริษัทเอกชนสามารถฟ้องร้องต่อ อย.ได้ เนื่องจากมีการประมูลอย่างถูกต้องทุกอย่าง แต่มาล้มโดยไม่มีเหตุผล ทั้งนี้ถ้าเปิดการประมูลใหม่โดยมีเพียง 2 บริษัทที่ชุดตรวจ ATK ผ่านการรับรองของ WHO ก็ไม่ทราบว่าราคาจะปรับสูงขึ้นไปเท่าไหร่

“ถ้าดำเนินการตามที่นายกฯสั่งการ อย.และองค์การเภสัชกรรม จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน แสดงว่าที่คุณทำไม่มีคุณภาพ ไม่มีประสิทธิภาพ ห่วย ทั้งๆที่เขาก็ทำตามระบบที่ถูกต้องตามคำสั่งของนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข  สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะทำตามคำสั่งใคร ก็จะเกิดข้อขัดแย้ง”นพ.ระวี กล่าว

นพ.ระวี กล่าวอีกว่า ตนขอเสนอทางออกให้นำชุดตรวจ ATK ของประเทศจีนที่ชนะการประกวดราคา จำนวน 1,000 ชุดมาทำการทดสอบใหม่โดยโรงพยาบาลของรัฐที่มีมาตรฐาน 5 ที่ แล้วให้โรงพยาบาลละ 200 ชุด เช่น จุฬาลงกรณ์ ศิริราช ธรรมศาสตร์ บำราศนราดูร และ วชิระพยาบาลฯ ให้ทำการทดสอบอย่างเร่งด่วน โดยตรวจควบคู่กับวิธี RT-PCR (Polymerase chain reaction) คาดว่าใช้เวลาไม่เกิน 3 วันจะได้ผลตรวจทั้งหมด ถ้าพิสูจน์แล้วว่า ชุดตรวจ ATK มีคุณภาพ ก็สามารถสั่งซื้อตามขั้นตอนได้เลย และชมรมแพทย์ชนบทก็ไม่น่าจะมีปัญหา แต่ถ้าคุณภาพชุดตรวจ ATK  ของบริษัทนี้ไม่มีมาตรฐาน องค์การเภสัชก็ควรจะยกเลิกการประมูลในครั้งนี้ได้ โดยที่บริษัทจากจีนจะไม่สามารถฟ้องร้องได้”นพ.ระวี กล่าว 

“ผมมีวิธีที่ 2 ที่จะทำให้เร็วขึ้น โดยให้ 3 บริษัทที่ชนะประมูลที่ราคาต่ำสุด ส่งตัวอย่างมาที่ละ 1,000 เทสไปให้องค์การเภสัชฯ จากนั้นส่งไปให้ 5 รพ.ของรัฐทำการตรวจ โดยใช้วิธีตรวจของ lepu ก่อน ถ้าไม่ผ่าน ก็ตรวจของบริษัทต่อไป พบว่าของใครผ่านการตรวจสอบ อย.ก็สามารถเซ็นสัญญาได้ วิธีนี้จะทันการณ์กับความต้องการของประเทศไทย”นพ.ระวี กล่าว

ป่วยโควิดทะลุล้านแล้ว พท.บี้ “ประยุทธ์” เร่งจองวัคซีน NOVAVAX 

น.ส.อรุณี กาสยานนท์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ในที่สุดผู้ติดเชื้อโควิด-19 สะสมทะลุเกิน 1 ล้านคนแล้วในวันนี้ โดยอยู่ที่  1,009,710 ราย สอดคล้องกับแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ของนักวิชาการม.มหิดล หากแบบจำลองนี้มีความคาดเคลื่อนต่ำ ก็มีความเป็นไปได้หรือไม่ว่าผู้ติดเชื้อสะสมของไทยจะแตะ 4 ล้านคนในเดือนต.ค.นี้ ทั้งหมดสะท้อนให้เห็นว่ากระบวนการตรวจรักษาในระดับที่ลึกขึ้นนั้นไม่เพียงพอต่อการระบาดของโรค ผู้ติดเชื้อบางรายไม่ทราบว่าเชื้อลงปอดแล้วหรือไม่ ขณะที่จำนวนผู้ติดเชื้อที่เห็นอาจจะไม่สะท้อนความเป็นจริง เนื่องจากในระบบการรักษาในโรงพยาบาลหรือ Hospitel ลดการกักตัวหรือรักษาจาก 14 วัน เหลือ 10 วัน แต่ในบางประเทศเพิ่มการกักตัวเป็น 21 วันเพื่อให้แน่ใจว่าเชื้อตายแล้ว และไม่เอาไปแพร่เชื้อให้ผู้อื่นอีก    

น.ส.อรุณี กล่าวอีกว่า อยากเรียกร้องให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ในฐานะ ผอ.ศบค. ทำหน้าที่ผู้นำที่มีวิสัยทัศน์สักครั้งก่อนพ้นตำแหน่ง   โดยสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งจัดหารถโมบายเคลื่อนที่ เพื่อตรวจเอกซเรย์ปอดหาเชื้อให้กับผู้ป่วยโควิด ซึ่งจะสามารถส่งต่อโรงพยาบาลได้ทันท่วงที ลดอัตราการเสียชีวิตได้ รวมทั้งเร่งสั่งจองจัดหาวัคซีนที่ป้องกันสายพันธ์เดลต้าได้ และวัคซีน NOVAVAX ที่มีรายงานประสิทธิภาพสามารถป้องกันการแสดงอาการป่วยได้มากกว่า 90% และป้องกันป่วยหนักได้ 100%  ศบค.ต้องเร่งดำเนินการทันที โดยอาจจะใช้เป็นวัคซีนหลักหรือเป็นวัคซีนบูสเตอร์ก็ได้ ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์บริหารผิดพลาดล้มเหลวจนยอดคนตายพุ่งสูง ต้องยอมเปิดหูเปิดตาดูตัวอย่างจากต่างประเทศว่าบริหารจัดการอย่างไร รอฟังแต่รายงานคนใกล้ชิดที่ประจบสอพลอ ถึงแก้ปัญหาไม่ได้  หยุดไล่ตามปัญหา แล้วเดินหน้าวางแผนงานป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้น ปัญหาตอนนี้ไม่ได้อยู่ที่บุคลากรไม่พอ แต่ถามว่าเรามีวัคซีนในมือกี่โดส" น.ส.อรุณี กล่าว

'อดีตบิ๊กข่าวกรอง' โพสต์ข้อความติง ส.ส. อภิปรายทูตผลาญงบฟุ่มเฟือย ชี้!! อย่าด้อยค่าตัวแทนประเทศ

กลายเป็นอีกประเด็นชวนคิด ภายหลังการประชุมสภาผู้แทนราษฎร วาระพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 วงเงิน 3.1 ล้านล้านบาท วาระสอง ในวันที่สอง ได้พิจารณาในมาตรา 10 งบประมาณของกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งได้รับงบประมาณ จำนวน 3,744 ล้านบาท

โดยช่วงหนึ่ง ส.ส. พรรคก้าวไกล ได้มีการอภิปรายเรื่องการจัดซื้อเครื่องอำนวยความสะดวกให้กับเอกอัครราชทูตไทยในหลายประเทศ ทั้งที่ข้าราชการทูตนั้นไม่ได้เหนือกว่าข้าราชการคนอื่น และใช้งบฟุ่มเฟือย โดยไม่เห็นหัวประชาชน ซึ่งเป็นการชี้ถึงใช้งบทางด้านทูตที่หลากหลายส่วนนั้น

ล่าสุด นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า...

อย่าด้อยค่าตัวแทนประเทศ!! 
.
ได้ยิน ส.ส.อภิปรายว่า เอกอัครราชทูตไทยที่ประจำในต่างประเทศ ไม่เห็นต้องเปลี่ยนรถใหม่  น่าจะซ่อมได้ ไม่เห็นหัวประชาชน

การอภิปรายของ ส.ส. เรื่อง พ.ร.บ.งบประมาณแผ่นดินไม่เห็นต้องกระทบกระเทียบอะไรขนาดนั้น อยากเสนอตัดก็เสนอไป

ขอพูดแทนเอกอัครราชทูตและคนกระทรวงการต่างประเทศที่เขาเรียบร้อย ไม่กล้าตอแยกับ ส.ส. 

เอกอัครราชทูตและบุคคลในคณะทูต เป็นตัวแทนของประเทศ รถของเอกอัครราชทูตจะติดธงชาติไทย เอกอัครราชทูตถือว่าเป็นหน้าเป็นตาของประเทศ ท่าน ส.ส.อยากเห็นรถที่ติดธงชาติไทยซอมซ่อ วิ่งไปเสียตายกลางถนนอย่างนั้นหรือ และค่าซ่อมรถในต่างประเทศ ค่าแรงซ่อมแพงมาก


ที่มา : https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=1692979547554687&id=100005279737218

https://www.thaipost.net/main/detail/113856

อ้างอิง : https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/955551


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

‘เสกสกล’ เหน็บ ‘ยิ่งลักษณ์’ ดราม่า ห่วงใยชาวนา บอกละอายใจแทน หนีไปอยู่ตปท. เหตุทุจริตจำนำข้าว 

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์เฟซบุ๊กระบุรัฐบาลล้มเหลวในการแก้ไขปัญหาให้กับชาวนา ว่า น่าอับอายขายขี้หน้า ช่างกล้าออกมาโพสต์ทำท่าทีห่วงใยชาวนา สงสารชาวนา สงสารจริงหรือเปล่า หรือแกล้งสงสารกันแน่ 

นายเสกสกลกล่าวว่า ถ้าสงสารจริงปล่อยให้ชาวนาถูกโกงในยุคตัวเองทำไม ปล่อยให้ชาวนาเป็นหนี้เป็นสินทำไม ปล่อยให้ชาวนาต้องสิ้นเนื้อปะดาตัว จนต้องผูกคอตายมากมายหลายชีวิตทำไม หรือถ้าคิดว่าบริหารให้ชาวนามีอยู่มีกินจริง คิดว่าตนเองบริหารดีแล้ว ทำถูกต้องแล้วจะต้องหนีคดีโกงชาวนา ไปอยู่ดีมีสุขอยู่ต่างประเทศกับพี่ชายทำไม ปล่อยให้ลูกน้องรัฐมนตรี ข้าราชการ และพ่อค้า ติดคุกจนทุกวันนี้ นี่หรือคนเก่งคนดีที่ห่วงใยชาวนา หนีเอาตัวรอดเพียงคนเดียว ทอดทิ้งคนอื่นให้เดือดร้อนจนทุกวันนี้ ตนมองว่าเป็นคนเห็นแก่ตัวมากกว่าที่จะห่วงใยชาวนาจริงๆ แค่ดราม่า หวังเรียกร้องความเห็นใจความสนใจมากกว่า

นายเสกสกล กล่าวถึงโครงการจำนำข้าว “ทุกเมล็ด” สร้างปัญหาอะไรบ้าง เช่น ทำให้กลไกตลาดถูกบิดเบือน เพราะไปตั้งราคารับจำนำสูงลิ่ว ไม่คำนึงถึงความเป็นจริง ตามกลไกตลาด กระตุ้นเกษตรกรมุ่งปลูกข้าวเพื่อมาขายรัฐ เน้นปริมาณ ไม่สนคุณภาพ พ่อค้าข้าวก็ล่มจม เพราะซื้อข้าวแข่งรัฐไม่ได้ หันมาเปิดโกดังรับเก็บข้าวเปลือกให้รัฐ เป็นเสือนอนกินรูปแบบใหม่ รัฐต้องรับภาระค่าโกดัง-ค่าดูแลข้าวส่วนนี้ ปีละ 900 ล้านบาท เป็นการที่รัฐทำตัวเป็น “พ่อค้าข้าวขาใหญ่ที่สุดในประเทศ” เหมือนทำธุรกิจแข่งกับเอกชน โดยใช้เงินภาษีคนทั้งประเทศ แต่กำไรส่วนต่างกลับไปอยู่กับคนในรัฐบาลยุคนั้น จากการเช่าโกดังข้าว การเวียนเทียนขายข้าว การนำข้าวเพื่อนบ้านเข้ามาจำนำ และยังมี “สต๊อกลม” ที่ลือเลื่องอีก ถามว่ามันผิดกฎหมายหรือไม่ แถมซ้ำเติมคุณภาพข้าว ทำให้ไม่สามารถแข่งขันในตลาดข้าวของต่างประเทศได้อีกด้วย ขอวอนว่าเลิกปกปิด ซุกพรม หรือนั่งทับขี้เลย เขารู้ทันกันหมดทั้งประเทศแล้วว่าใครคือคนที่ทิ้งขี้ไว้ให้รัฐบาลนี้ชำระล้างกันแน่

นายเสกสกล กล่าวต่อว่า ตนละอายใจแทนจริงๆ ที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ ช่างกล้าออกมาห่วงใยชาวนา คิดว่าชาวนาควรจะออกมาชื่นชม หรือควรจะออกมาสาปแช่งมากกว่า ให้คิดเอาเองก็แล้วกัน แต่ทางที่ดีจะแกล้งออกมาห่วงใยชาวนา และโจมตีใส่รัฐบาลชุดนี้มากแค่ไหน แต่ก็คงทำให้ครอบครัวชาวนาที่ถูกโกงและวิญญาณชาวนาที่จากโลกนี้ไป จากผลงานช่วยเพิ่มหนี้สินให้ชาวนาจนสิ้นตัว ของรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ คงจะมีแต่ชาวนาออกมาสาปแช่งชั่วนิรันดรมากกว่า

นายเสกสกล กล่าวว่าขณะที่รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์เร่งรัดใช้หนี้ชาวนา ค่าข้าวเปลือกตามใบประทวน กว่า 8.84 แสนล้านบาท ยังมีค่าบริหารโครงการขององค์การคลังสินค้า(อคส.) องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร(อ.ต.ก.)ค่าภาระดอกเบี้ย ค่าเช่าคลังของเอกชนในการเก็บรักษาข้าว และค่าใช้จ่ายอื่นๆ อีก 8.4 หมื่นล้านบาท รวมค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น 9.68 แสนล้านบาท 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top