Friday, 13 December 2024
POLITICS NEWS

"ธัญวัจน์" อัด รัฐบาลล้วงกระเป๋าประกันสังคมรับภาระเยียวยาแทน จี้ วางแผนเยียวยาระยะยาว เพราะรอบนี้ยังไม่ใช่ครั้งสุดท้าย

นายธัญวัจน์​ กมลวงศ์วัฒน์​ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวถึงการประกาศล็อกดาวน์อย่างเป็นทางการอีกครั้งว่า ตนมีความห่วงใยต่อพี่น้องผู้ประกอบการรายเล็กทุกท่าน รวมไปถึงกลุ่มอาชีพอิสระ ไม่ว่าจะเป็นพนักงานบริการ ศิลปิน นักดนตรี นักเต้น นางโชว์ ที่เคยร่วมยื่นหนังสือเรียกร้องพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหมให้ออกมาตราการเยียวยา เนื่องจากอาชีพดังกล่าวได้รับผลกระทบอย่างมาก เพราะโดนปิดก่อนและเปิดทีหลัง โดยตามมติคณะรัฐมตรีเมื่อวันที่ 13 ก.ค. 64 ได้ออกมาตรการเยียวยาล็อกดาวน์ ใน 10 จังหวัดที่ประกาศล็อคดาวน์ ให้อาชีพอิสระลงทะเบียนรับเงินเยียวยา 5,000 บาท แต่ขอให้สมัครเข้าผู้ประกันตน มาตรา 40 ภายในเดือนก.ค.นี้ ซึ่งตนมีความเห็นด้วยอย่างมากที่อาชีพอิสระจะได้รับเงินเยียวยา แต่มีความกังวลอย่างมากเกี่ยวกับการบริหารจัดการเงินของรัฐบาล ว่าการเยียวยาครั้งนี้คงไม่ใช่การทำงานลูบหน้าปะจมูกที่ช่วยแค่ครั้งนี้​ และครั้งต่อๆ ไปจะทำอย่างไร จะบริหารจัดการอย่างไร เพราะเมื่อปลายเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา พรรคก้าวไกลได้ชี้แจงแล้วว่ารัฐบาลล้วงลูกกองทุนประกันสังคมไปแล้วกว่า 1 แสนล้านบาท คำถามคือมาตราการครั้งนี้ คือ การช่วยเหลือหรือเป็นการผลักภาระให้กับประกันสังคมหรือไม่ และท่านจะชดเชยหรือมีเงินคืนกลับมาให้จากพ.ร.ก.กู้เงิน 5 แสนล้านหรือไม่ เพราะนี่ไม่ใช่การเยียวยาครั้งสุดท้ายอย่างแน่นอน

นายธัญวัจน์ กล่าวต่อว่า ตนจึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลเยียวยาด้วยการวางแผนระยะยาว และพร้อมจัดสรรงบประมาณแบ่งคืนให้กับกองทุนประกันสังคม เพื่อให้การเยียวยาครั้งนี้ไม่ใช่เป็นการผลักภาระและได้หน้าอยู่คนเดียว ท่านต้องไม่ลืมว่าท่านมีเงินกู้ 1 ล้านล้าน และ 5 แสนล้าน รวมถึงงบประมาณประจำปี 2565 ประกันสังคมยังถูกตัดงบลงอีก และตนคิดว่าการบริหารจัดการงบประมาณของท่านดูจะไม่ตอบโจทย์หรือมีความพร้อมระยะยาวที่จะต่อสู้กับสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ประกอบกับในขณะนี้อยู่ในช่วงพิจารณางบประมาณแผ่นดิน 2565 ตนเข้าใจว่าท่านได้ตั้งงบประมาณมาก่อนเกิดวิกฤตและอาจจะเป็นสถานการณ์ที่ท่านอาจไม่คำนึงถึง แต่คำถามที่เกิดขึ้นและต้องตอบกับประชาชนคือ ในสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงแบบนี้จะปรับแผนในงบประมาณอย่างไร​ อย่าทำให้การเยียวยานั้นไม่จบสั้น ห้วน และสุดท้ายทิ้งทวนว่า "ช่วยแล้วนะอย่ามาขออีก" ตนหวังว่าจะไม่ได้ยินคำพูดเหล่านี้

เสกสกล ซัด โทนี่-กลุ่มแคร์ เคลื่อนไหว หวัง ปั่นหุ้นการเมือง ทำประชาชนสับสน วุ่นวาย ทำลายขวัญกำลังใจบุคคลากรที่ทำงานหนัก

นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกลุ่มแคร์ และนายทักษิณ ชินวัตร หรือโทนี่ วู้ดซั่ม ส่งจม.ถึง นายกฯ เปิดข้อเสนอแนะแก้วิกฤต 24 ข้อ ว่า นายกรัฐมนตรีและรัฐบาลทราบดีว่าจะต้องดำเนินการอย่างไร เพราะได้ดำเนินการมาตลอดตั้งแต่เกิดการระบาดเชื้อโควิด-19 ข้อเสนอที่ส่งมานั้นนายกฯดำเนินการอยู่ โดยประเด็นด้านการบริหารจัดการยังมีความจำเป็นในการคง ศบค. ไว้เพื่อทำหน้าที่กำหนดนโยบาย และมาตรการเร่งด่วนในการบริหารสถานการณ์ ทำงานร่วมกับทุกกระทรวง การทำงานของ ศบค.ยังได้รับฟังข้อเสนอต่างๆจากกระทรวงสาธารณสุข หรือบุคลากรทางการแพทย์ เป็นหลักอยู่แล้วก่อนที่จะออกมาตรการหรือข้อกำหนด

การสื่อสารกับประชาชน ศบค.และกระทรวงสาธารณสุข ได้ชี้แจงให้ประชาชนได้รับทราบถึงสถานการณ์รายวันอยู่แล้ว รวมถึงชี้แจงผ่านช่องทางสื่อสังคมออนไลน์อีกช่องทางหนึ่ง สำหรับการตรวจหาผู้ติดเชื้อเชิงรุก หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องนานแล้ว ซึ่งจากตัวเลขผู้ติดเชื้อที่สูงขึ้นก็มาจากการตรวจเชิงรุก และอย. ได้อนุมัติขึ้นทะเบียนชุดตรวจโควิด-19 แบบตรวจหาแอนติเจนด้วยตนเองแล้ว เพื่อเพิ่มช่องทางให้ประชาชนเข้าถึงการตรวจคัดกรองโรคโควิด-19 ด้วยตนเอง

การจัดตั้งโรงพยาบาลสนาม กทม.จัดไว้แล้ว ก่อนหน้านี้กองทัพยังให้มีการจัดตั้งโรงพยาบาลสนามใน กทม. และยังนำกำลังพลทหารเข้าไปช่วยเหลือสนับสนุนตามพื้นที่ต่างๆ จัดตั้งศูนย์สนับสนุนการเคลื่อนย้ายผู้ติดเชื้อ ศูนย์ประสานงานต้านภัยโควิด การนำอากาศยานสนับสนุนภารกิจช่วยเหลือโควิดของกองทัพอากาศ

การบริหารจัดการวัคซีนโดยอธิบดีกรมควบคุมโรคได้ชี้แจงแล้วว่า วัคซีนแอสตร้าเซเนกายังจัดส่งวัคซีนให้ต่อเนื่อง นายกฯและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ไม่ได้นิ่งนอนใจในการจัดหาวัคซีนยี่ห้ออื่นในไตรมาสที่ 4 จะมีวัคซีนโมเดอร์นา และไฟเซอร์เข้ามาอีก รวมถึงบุคลากรด่านหน้าด้านสุขภาพทุกคนที่ฉีดซิโนแวค 2 เข็มจะได้รับบูสเตอร์ โดยอาจเป็นแอสตร้าเซนเนก้า หรือวัคซีนชนิด mRNA 

การเยียวยาช่วยเหลือประชาชนนายกฯได้ทำอย่างต่อเนื่อง โดยหลังออกข้อกำหนดฉบับล่าสุด ยังได้เตรียมแผนการช่วยเหลือประชาชนไว้แล้ว เช่น ชดเชยผู้ประกอบการและลูกจ้างใน 9 กลุ่มกิจการ รวมถึงผู้มีอาชีพอิสระ มีมาตรการลดค่าใช้จ่ายต่างๆ ทั้งลดค่าน้ำ ค่าไฟ เป็นเวลาสองเดือน ธนาคารแห่งประเทศไทย รวมกับสมาคมธนาคารไทย และสมาคมธนาคารนานาชาติ ออกมาตรการพักชำระเงินต้นและดอกเบี้ยเป็นเวลา 2 เดือน ให้กับทั้งผู้ประกอบการและลูกจ้างที่ต้องปิดกิจการ และพิจารณาช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบที่ยังไม่ปิดกิจการแต่มีรายได้ลดลง มีมาตรการอื่นๆ เช่น การลดค่าใช้จ่ายทางการศึกษา  

ตนเองคิดสงสัยว่า การที่กลุ่มแคร์มีข้อเสนอให้นายกฯ แต่เป็นข้อเสนอที่ไม่มีอะไรใหม่ เพราะนายกฯและรัฐบาลได้ทำอยู่แล้ว ดังนั้นจึงมองว่าข้อเสนอต่างๆและยังมีชื่อนายโทนี่ด้วยนั้นคงไม่ได้อยากจะช่วยแก้ไขปัญหาสถานการณ์ให้บ้านเมืองและประชาชนจริง แค่อยากอาศัยจังหวะนี้เพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองให้กับนายโทนี่เท่านั้น  และหากกลุ่มแคร์มีความจริงใจที่อยากจะแก้ไขปัญหาให้ประเทศชาติจริง ตนเองก็ขอเพียงแค่ให้กลุ่มแคร์อยู่เฉยๆไม่ต้องไปเอานายโทนี่และนางสาวยิ่งลักษณ์ นักโทษหนีคดีทุจริต ออกมาพูดบิดเบือนใส่ร้ายป้ายสี ด้อยค่าคนอื่นก็พอ 

เพราะการออกมาพูดของนายโทนี่และนางสาวยิ่งลักษณ์ ทำให้ประชาชนสับสนวุ่นวาย ยิ่งทำลายขวัญกำลังใจบุคคลากรที่ทุ่มเททำงานอย่างหนักอยู่ในขณะนี้ และมีแต่จะซ้ำเติมประเทศชาติประชาชน ไม่ได้ช่วยให้อะไรมันดีขึ้น ยิ่งสร้างความแตกแยกหนักมากกว่าเดิม 

ดังนั้นควรหยุดวิธีคิดทำลายประเทศชาติได้แล้ว คนในกลุ่มแคร์ ต้องมีจิตสามัญสำนึกมากกว่านี้ อย่าคิดว่า คนไทยส่วนใหญ่จะโง่จนรู้ไม่ทันว่า กำลังปั่นหุ้นการเมือง คิดวางแผนเล่นเกมการเมืองอะไรร่วมกันกับนายโทนี่อยู่ อย่าคิดว่าคนไทยรู้ไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมของคนในกลุ่มแคร์เลย ให้ระวังกฎแห่งกรรมเอาไว้ มีจริงหรือไม่เรื่องนี้ ให้ไปถามนายโทนี่เพราะรู้แก่ใจดี

“ผอ.ศปก.ศบค.” เตรียมประเมิน 7 วันหลังออกมาตรการเข้ม จุดไหนไม่สำเร็จพร้อมปรับใช้วิธีอื่นแทน “แจง”ยังไม่ปิดตลาดสด-ซุปเปอร์มาร์เก็ต เพราะเห็นความจำเป็น-ความเดือนร้อน ปชช. “ขู่”มีปัญหาพร้อมปรับเปลี่ยนทันที 

ที่สำนักงานใหญ่กสทช. พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ผอ.ศปก.ศบค.) .เชิญผู้บริหารสื่อ เข้าหารือและรับฟังความเห็นเห็นการเสนอข่าวในช่วงวิกฤติโควิดระบาด

โดยพล.อ.ณัฐพล ให้สัมภาษณ์ก่อนการประชุมว่า จากที่ศปก.ศบค.ตั้งใจไว้หลังมี มาตรการประกาศออกมาในวันเดียวกันนี้นั้น เบื้องต้นประมาณ 30 วันจะมีการประเมินผลแต่ทั้งนี้จะประมเมินตั้งแต่ 14 วันแรกและในส่วนของศปก.ศบค.จะประเมินผลย่อย ในช่วง 7 วันด้วย

 “คราวนี้ตั้งเป้าไว้ 14 วัน แต่ทั้งนี้พอ 7 วันผ่านไป อาจารย์แพทย์ได้แนะนำว่ายังน่าห่วงจึงจำเป็นต้องปรับมาตรการเข้มข้นขึ้น แต่ในทางการเราจะประเมินทุก 14 วัน และในความเป็นจริงจะประเมินผลและติดตามสถานการณ์ทุกวันอยู่แล้ว พอ 7 วันแล้วถ้าดูว่าน่าจะปรับก็ปรับ” เลยา สมช.กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่าจะมีมาตรการเข้มในรายละเอียดเรื่องของตลาดสดและซุปเปอร์มาร์เก็ตออกมาหรือไม่ พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่า ในส่วนของตลาดสดจะมีมาตรการในการกำกับที่เข้มข้นขึ้น ซึ่งในข้อเท็จจริงแล้วบรรดาอาจารย์แพทย์มีความเป็นห่วงในเรื่องของตลาดสดอย่างมาก เพราะปัจจุบันในตลาดสด มาตรการการเว้นระยะห่างต่างๆยังน่าเป็นห่วงอยู่ แต่เนื่องจากยังเห็นถึงความจำเป็น อาจกระทบต่อความเดือดร้องของประชาชนที่ประกอบอาชีพค้าขายในตลาดสด ก็จะลองให้โอกาสไปก่อน โดยให้พื้นที่กำกับดูแลให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและให้พิจารณาเป็นกรณีไป เว้นแต่ในภาพร่วมถ้าเกิดความไม่เรียบร้อยก็ต้องว่าอีกที

เมื่อถามว่าที่มีกระแสข่าวว่า ในส่วนของซุปเปอร์มาร์เก็ตจะเปิดลักษณะวันเว้นวันมีข้อเท็จจริงอย่างไร พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่า ไม่เป็นความจริงเพราะศปก.ศบค.มองเห็นถึงความจำเป็นเนื่องจากซุปเปอร์มาร์เก็ตจำหน่ายสินค้าที่มีความจำเป็น  โดยเฉพาะเรื่องของอาหาร ถ้าไปเปิดวันเว้นวันอาจยิ่งทำให้ประชาชน ไปแออัดขับข้างในวันที่เปิด จึงเปิดกระจายไปเพื่อให้เกิดการเฉลี่ยของประชาชนในการจับจ่ายใช้สอยและสามารถเว้นระยะห่างได้ 

ผู้สื่อข่าวถามว่าสำหรับจังหวัดอื่นที่ไม่ใช่จังหวัดสีแดงเข้มข้น เรื่องการรับประทานอาหารในร้าน ยังใช้ข้อกำหนดฉบับที่ 24 เรื่องพื้นที่สีแดงสามารถรับประทานอาหารและเครื่องดื่มในร้านได้ แค่ 23.00 น.แต่ห้ามดื่มเครื่องดื่มแอลกฮอล์ในร้าน 
ส่วนพื้นที่ควบคุมสีส้ม ห้ามดื่มเครื่องดื่มแอลกฮอล์ในร้านเช่นกัน แต่เปิดให้บริการได้ตามเวลาปกติ ใช่หรือไม่ พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่า ใช่ โดยเพิ่มจาก 10 จังหวัดเป็น 13 จังหวัด คือ อยุธยา ชลบุรี ฉะเชิงเทรา

เมื่อถามถึงกรณีการเดินทางข้ามจังหวัดมาตรการที่ออกมายังมีการผ่อนคลายในเรื่องของเหตุจำเป็นจะสร้างความมั่นใจได้อย่างไรที่จะไม่มีการแพร่ระบาดจาารเดินทาง ผอ.ศปก.ศบค. กล่าวว่า ต้องขอความร่วมมือจากสื่อมวลชนช่วยทำความเข้าใจเรื่องนี้ศบค.พยายามจะไม่ใช้ มาตรการเข้มจนเกินไปทำให้คนเดือดร้อน สังเกตว่าเราจะค่อยๆมี มาตรการที่เข้มขึ้นและประเมินดูว่าได้รับความร่วมมือหรือไม่ ถ้าความร่วมมือทำให้ มาตรการเป็นไปได้อย่างเรียบร้อยก็จะคงมาตรการนั้นไว้ แต่ถ้ามาตรการใดไม่เรียบร้อยก็ต้องมาดูว่าจุดไหนเป็นจุดเสี่ยงกิจกรรมหรือกิจการเสี่ยงก็ต้องค่อยๆปรับลดลงไป จะได้ไม่กระทบกับความเดือดร้อนของประชาชนในภาพร่วม

พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีคสามห่วงใยความเดือดร้อนของประชาชน โดนได้กำชับศปก.ศบค.ว่า ให้ กำกับดูแลอย่างใกล้ชิดและกำกับดูแลอย่าง ปราณี เพื่อให้ สถานการณ์ค่อยค่อยคลี่คลายลงโดยเร็ว เพื่อที่จะได้ไม่กระทบกับประชาชน ทุกวันนี้ศปก.ศบค. เข้าประชุมทุกวันเพื่อประมวลผลอยู่แล้ว ในส่วนของศบค.ชุดใหญ่ก็ได้ประชุมเมื่อวันที่ศุกร์ 16 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ซึ่งมาตรการที่ออกมาในวันนี้ ก็เป็นมติของศบค.ในการประชุมครั้งที่ผ่านมาที่ต้องการให้ออกข้อกำหนดโดยเร็วโดยได้อนุมัติหลักการปรับเพิ่มมาตรการมากขึ้น โดยกำหนดเป็นมาตรการหลักไว้และมอบหมายมห้ศปก.ศบค.หารือในรายละเอียด

เมื่อถามย้ำว่าการประเมิน 7 วันในรอบแรกกรณีหากมีการติดเชื้อเพิ่มในส่วนของรายจังหวัดต้องมีการประบมาตรการใช่หรือไม่ พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่า มีหลายอย่างหลายวิธีอาจจะเพิ่มในส่วนทั่งของจังหวัด กิจกรรมกิจการ ซึ่งมีหลายวิธีแต่ทั้งหมดต้องฟัง ด้านการแพทย์การสาธารณสุขเป็นหลัก ซึ่งจะชี้ให้เห็นว่าอะไรเป็นปัจจัยเสี่ยง จากนั้นทุกฝ่ายจะร่วมการพิจารณาว่าเมื่อได้มีมาตรการประกาศออกไปแล้วทำได้จริงหรือไม่ อะไรที่ประกาศแล้วทำไม่ได้จริงก็จะใช้มาตรการอื่น เช่นการกำกับใกล้ชิดมาใช้แทน

พล.อ.ณัฐพล ยังกล่าวถึงการเชิญสื่อมาทำความเข้าใจในวันนี้ว่า เป็นการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นทางศปก.ศบค.ส่วนหนึ่งได้ติดตามสถานการณ์ทางสื่อในทุกๆแขนง ซึ่งสื่อมวลชได้ให้ข้อคิดเห็นหลากหลาย ซึ่งหลายอย่างเป็นประโยชน์วันนี้จึงอยากรับฟัง ขณะเดียวกันพบว่า ข้อมูลบางอย่างสื่อมวลชนก็ยังไม่ทราบวันนี้ก็จะได้มีการแลกเปลี่ยน โดยเวลาส่วนใหญ่จะรับฟังความคิดเห็นจากสื่อมวลชนมากกว่าการสั่งการ

“สิระ” ซัด "ยุทธพงศ์” หวังตีกินทางการเมือง มโนซื้อเรือดำน้ำ ทำให้ปชช.เข้าใจรัฐบาลผิด ทั้งที่ "กมธ.งบ" ยังไม่ได้หยิบมาพูดคุย ไล่ เอาหนังสือมารยาทไปต้มกิน ถาม ยังเหมาะจะเป็น กมธ.ต่อหรือไม่ 

นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะโฆษกคณะอนุกรรมาธิการ (กมธ.) ครุภัณฑ์ และไอซีที กล่าวถึงกรณีที่ นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย แถลงข่าวระบุถึงการจัดซื้อเรือดำน้ำ 2 ลำ ว่า ที่ประชุมยังไม่มีการพิจารณาในงบประมาณส่วนนี้ ซึ่งตามกำหนดการจะเข้าที่ประชุมประมาณวันที่ 22-23 ก.ค.นี้ โดยเป็นการเสนอเข้ามาของกองทัพเรือ แต่การที่นายยุทธพงศ์ออกมาแถลงข่าวลักษณะโจมตีรัฐบาลเสมือนว่างบประมาณในส่วนนี้ได้ผ่านที่ประชุมไปแล้ว เป็นการกระทำที่เสียมารยาท หวังแค่จะตีกินทางการเมือง มโนภาพ จินตนาการให้เกิดความเสียหายกับผู้ที่เกี่ยวข้อง ทั้งที่ยังไม่มีมูลความจริง 

“ผมเห็นพฤติกรรมตีกินแบบนี้ของนายยุทธพงศ์มาตลอดตั้งแต่เข้ามาเป็น ส.ส.กว่า 2 ปี ผมก็มีคำถามว่านายยุทธพงศ์ยังมีความเหมาะสมท่ีจะเป็นกรรมาธิการต่อไปหรือไม่ เมื่อที่ประชุมยังไม่มีการพิจารณาหรือหยิบเรื่องนี้มาพูดคุยเลย แต่นายยุทธพงศ์กลับออกมาโวยวายให้เป็นเรื่องใหญ่เรื่องโต เจตนาของนายยุทธพงศ์ต้องการออกมาพูดให้ประชาชนเข้าใจผิดรัฐบาลใช่หรือไม่ สถานการณ์ที่ประเทศกำลังเผชิญกับวิกฤตเช่นนี้ นายยุทธพงศ์ยังต้องการสร้างความแตกแยกไปเพื่อประโยชน์ของพวกพ้องตัวเองใช่หรือไม่” นายสิระ กล่าว 

นายสิระ กล่าวต่อว่า นายยุทธพงศ์ต้องไปซื้อหนังสือมารยาทไปต้มกินบ้างจะได้รู้ว่าการทำงานร่วมกับคนหมู่มากต้องทำตัวอย่างไร การเอาความคิดเห็นของตัวเองมาชิงเด่นชิงดังกว่าเพื่อน พฤติกรรมแบบนี้ใช่หรือไม่ถึงอยู่ร่วมกับพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้ ในส่วนชื่ออักษรย่อที่นายยุทธพงศ์นำไปแถลงข่าวก็ต้องรับผิดชอบหากเกิดความเสียหายกับบุคคลที่สาม ต้องรับกรรมที่ตัวเองทำที่แถลงข่าวโดยไม่มีข้อเท็จจริง แต่ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ขอให้นายยุทธพงศ์กล้าๆ เปิดเผยชื่อจริงพร้อมหลักฐานออกมา อย่ากล่าวหาผู้อื่นลอยๆ 

นายสิระ กล่าวอีกว่า สำหรับการเชิญผู้บริหารของหน่วยงานต่างๆ มาชี้แจง ขณะนี้อยู่ในสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด -19 ทางกมธ.จึงได้ให้ผู้บริหารแต่ละกระทรวงชี้แจงผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์หรือระบบซูม ซึ่งผู้บริหารแต่ละกระทรวงที่ได้ชี้แจงยังคงเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนางบประมาณของแผ่นดินเช่นเดิม เพียงแค่ใช้ระบบออนไลน์ ลดการมารวมตัวในห้องประชุมแคบๆ ที่อาจจะก่อให้เกิดการแพร่ระบาดได้ ฉะนั้นการดำเนินการเช่นนี้ของกมธ.ไม่ใช่เรื่องที่ไม่เหมาะสม เพราะการประชุมทุกครั้งมีตัวแทนทั้ง ส.ส.ฝั่งรัฐบาลและฝ่ายค้าน จึงไม่มีข้อสงสัยเรื่องของความไม่โปร่งใสอยู่แล้ว 

“โจ้ ยุทธพงศ์” งัดหลักฐานหนังสือลงนามซื้อเรือดำน้ำโดย “พล.ร.อ.ลือชัย” ถึงบริษัทขายที่จีน หลังพบพิรุธเร่งจัดซื้อโดยไม่คำนึงถึงประสิทธิภาพ ถาม”บิ๊กตู่”ไม่สงสารปชช.บ้างหรือ เรือดำน้ำปราบโควิดได้หรือไม่ เผย กมธ.งบฯฟากฝ่ายค้านเตรียมเสนอ กมธ.ชุดใหญ่ตัดทิ้งเรือด

ที่พรรคเพื่อไทย นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม และรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย  พร้อมด้วยนายจิรพงษ์ ทรงวัชราภรณ์ ส.ส.นนทบุรี พรรคเพื่อไทย ร่วมกันแถลงถึงการจัดซื้อเรือดำน้ำของกองทัพเรือ ที่จะมีการนำเข้าสู่พิจารณาของคณะกรรมธิการ(กมธ.)วิสามัญพิจาณาร่าพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2565 ในวันที่ 19 ก.ค.

โดยนายยุทธพงศ์ กล่าวว่า ตนมีหนังสือจาก พล.ร.อ.ลือชัย รุดดิษฐ์ อดีตผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.) ไปถึงนายสู จ้าน ปิน รองประธานองค์กรบริหารงานของรัฐด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และอุตสาหกรรมเพื่อการป้องกัน ประเทศ สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยในหนังสือมีพิรุธคือ หนังสืออกจากกองทัพเรือ วันที่ 24 กันยายน 2563 เร่งรัดให้มีการลงนามในสัญญาการจัดซื้อเรือดำน้ำลำที่ 2 และ 3 ให้ทันในปีงบประมาณ 63 หรือภายในเดือนกันยายนปี 63 โดยระบุอีกว่า หากดำเนินการไม่ทันสถานการณ์การเมืองในประเทศไทย อาจจะทำให้ต้องเริ่มต้นจัดหากันใหม่ นอกจากนี้ในหนังสือยังระบุอีกว่า หากประเทศจีนไม่สามารถส่งผู้แทนมาลงนามในสัญญาได้ก็ขอให้ผู้แทนจากสถานเอกอัคราชทูตจีนในประเทศไทยมาลงนามในข้อตกลงดังกล่าวแทน 
          
“นี่คือข้อพิรุธว่า การซื้อขายเรือกดำน้ำเที่ยวนี้ ถ้าบอกว่าเป็นการซื้อขายแบบจีทูจีจริง ทำไมพล.ร.อ.ลือชัยออกหนังสือไปวันที่ 24 กันยายน 63 จะให้ทางจีนมาเซ็นต์ก่อนวันที่ 30 กันยายน 63 หรือก่อนที่ พล.ร.อ.ลือชัย จะเกษียณ ด้วยสถานการณ์โควิด จะเดินทางเข้าประเทศได้ต้องมีการกักตัวจึงบอกว่า ถ้าทางจีนมาไม่ได้ก็ขอให้เอาคนจากสถานทูตจีนในประเทศไทยก็ได้ “นายยุทธพงศ์ กล่าว
        
นายยุทธพงศ์ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ในหนังสือยังอ้างถึงเรืออีก 1 ลำ คือเรือ LPD สนับสนุนเรือดำน้ำที่กองทัพเรือของไทยซื้อมาจากประเทศจีนเช่นกัน โดยเรือลำนี้มูลค่า 6,200 ล้านบาท แต่ไม่มีระบบอำนวยการรบ และระบบใดๆทั้งที่ต้องมี แต่ได้เรือมาเปล่าๆ พล.ร.อ.ลือชัย จึงเขียนหนังสือไปขออาวุธปืนเขา ซึ่งเรือลำนี้ในงบปี 65 ที่วันที่ 19 ก.ค. จะมีการพิจารณาในกมธ.งบฯ 65 นั้นมีการของบฯเข้ามา 1,800 ล้านบาท สรุปการไปขอร้องบริษัทจีนดังกล่าวเป็นการแสดงให้เห็นว่า พล.ร.อ.ลือชัยเร่งรัดเซ็นสัญญาซื้อเรือ LPD มูลค่า 6,200 ล้านบาท และเรือดำน้ำ 2 ลำ มูลค่า 22,500 ล้านบาท ในช่วงที่ตนเองเป็น ผบ.ทร. เท่านั้น โดยอ้างว่ามีงบประมาณจำกัด เอาตัวเรือมาก่อน โดยไม่ได้คำนึงถึงประสิทธิภาพของเรือแม้แต่น้อย และเป็นการแสดงให้เห็นว่า กองทัพเรือไปต่อเรือลำนี้มาโดยไม่มีความพร้อมในด้านการรบเลยแม้แต่น้อย เป็นการซื้อที่ขาดแผนงาน คำนึงถึงแต่ประโยชน์ที่ไปซื้อเรือเท่านั้น และที่เสียหายมากที่สุดคือการไปร้องขอให้เขาติดตั้งระบบอำนวยการรบ ระบบอาวุธต่างๆให้ เป็นการเสียชื่อเสียงของประเทศไทยมาก 
         
“สัญาญาระหว่างกองทัพเรือไทย และประเทศจีนผ่านบริษัท china shipbuilding & offshore international co. ltd (CSOC) ในการจัดซื้อเรือดำน้ำ ลำแรก และลำที่ 2 และ 3 ที่มีลักษณะเดียวกันนั้น ระบุให้รัฐบาลจีนมอบอำนาจให้บริษัทนี้เป็นตัวแทนฝ่ายจีนต่อเรือดำน้ำระหว่างรัฐบาลไทยที่มีพล.ร.อ.ลือชัย ลงนาม กับรัฐบาลจีนที่มีนายสู จีคี ประธานบริษัท CSOC เป็นตัวแทน ซึ่งสัญญาเป็นการซื้อขายแบบจีทูจี แต่เหตุใดตอนจ่ายเงิน รัฐบาลไทยจึงจ่ายเข้าบัญชีของบริษัท CSOC ที่ปักกิ่ง ทำไมไม่จ่ายเงินไปที่กระทรวงกลาโหมของจีน หรือรัฐบาลจีน” นายยุทธพงศ์ กล่าว
นายยุทธพงศ์ กล่าวต่อว่า ขณะนี้มีคนติดเชื้อโควิดวันละหมื่นกว่าคน คนวันละร้อยกว่าคน ระบบสาธารณสุขเราสู้ไม่ได้ คนป่วยล้น คนรอเข้ารับการรักษาอยู่จำนวนมาก ขณะเดียวกันประชาชนจำนวนมาก อดอยาก หิวโหย แต่รัฐบาลภายใต้การนำของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กลับจะไปซื้อเรือดำน้ำจากประเทศจีน แล้วพล.อ.ประยุทธ์อย่าบอกว่าไม่รู้เรื่อง ไม่ได้นะ เพราะท่านในฐานะรมว.กลาโหมที่ต้องเป็นผู้ลงนามในสัญญา และในฐานะนายกฯ ที่ปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านการพิจารณาของ ครม. ท่านไม่สงสารประชาชนเลยหรือ แล้วท่านไม่สงสัยในประสิทธิภาพของเรือดำน้ำหรือ ซึ่งไม่มีประสิทธิภาพเหมือนวัคซีนซิโนแวกที่ประชาชนสงสัยทั้งประเทศ เหตุใดท่านไม่เอาลำแรกมาลองใช้กอน ทำไมจึงต้องเร่งซื้อทีเดียวถึง 2 ลำ
 
“ 19 ก.ค. จะมีการประชุมของ กมธ.งบฯ 65 ซึ่งเป็นการประชุมออนไลน์ โดยกมธ.ซีกรัฐบาลไม่ยอมให้ผู้บัญชาการเหล่าทัพทั้ง 4 ท่าน มาชี้แจง โดยอ้างว่ากลัวโควิด ฝ่ายค้านพยายามต่อสู้ให้ผบ.เหล่าทัพมาชี้แจง แต่กมธ.ซีกรัฐบาลก็ไม่ยอม เรื่องนี้ต้องถามนายวิรัช รัตนเศรษฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และนายวิเชียร ชวลิต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ กมธ.ฯฟากรัฐบาล ว่าทำไมถึงไม่ให้ผบ.เหล่าทัพมาชี้แจง ทั้งนี้กมธ.ฯซีกฝ่ายค้านทุกพรรค เราได้หารือร่วมกัน และมีมติแล้วว่า จะขอให้ กมธ.ชุดใหญ่ตัดทิ้งงบเรือดำน้ำทั้ง 2 ลำไปเลย โดยไม่ต้องส่งไปให้อนุกมธ.ฯพิจารณา ถ้ากมธ.ฯซีกรัฐบาลไม่ยอมเราจะขอเสนอให้โหวตเลย แพ้เป็นแพ้ จะได้รู้ว่าใครบ้างที่ยกมือโหวตผ่านให้ซื้อเรือดำน้ำ อยากถามว่าเรือดำน้ำปราบโควิดได้หรือไม่  และในวันที่ 19 ก.ค. ผมมีหลักฐานใหม่ที่จะเอามาแฉให้ห้องประชุม กมธ.ใหญ่ ได้เห็นอีก”นายยุทธพงศ์ กล่าว

“องอาจ” จี้นายกฯ ช่วยคนติดโควิดให้มีที่ไป อย่าให้ตายคาบ้าน

นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรค และประธาน ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงผู้ติดเชื้อโควิดที่เพิ่มขึ้นทุกวันในขณะนี้ว่า จากการลงพื้นที่ช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติโควิด-19 ของอดีต ส.ส. อดีต ส.ก. ตัวแทนพรรค สาขาพรรค พบว่าตัวเลขผู้ติดเชื้อที่เพิ่มสูงขึ้นหลักหมื่นกว่าคนและยอดผู้เสียชีวิตมากกว่าหลักร้อยคน โดยเฉพาะในพื้นที่ชุมชนแออัดในกรุงเทพมหานคร ที่มีสภาพความเป็นอยู่ที่แออัดมากๆ ทางเดินแคบๆ แทบจะเดินสวนกันไม่ได้ บ้านที่อยู่อาศัยซึ่งน่าจะเรียกว่าห้องพักอยู่กันมากกว่า 2-3 คน ขึ้นไป ใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก หาเช้ากินค่ำ เมื่อมีผู้ติดเชื้อเกิดขึ้นทำให้ง่ายต่อการแพร่ระบาดออกไปมาก

สาเหตุสำคัญเกิดจากผู้ติดเชื้อในชุมชนแออัดไม่มีที่ไป ไม่มีใครให้คำแนะนำ จนกว่าจะหาคนมาช่วยเหลือได้ บางครั้งก็สายเกินไป ต้องเสียชีวิตก่อนที่จะได้รักษา 

จากการทำงานดูแลช่วยเหลือประชาชนของพรรคประชาธิปัตย์ในพื้นที่กรุงเทพมหานครด้วยประสบการณ์ที่สัมผัสกับเหตุการณ์จริงๆ ในแต่ละวันพบว่า เมื่อมีผู้ติดเชื้อไม่ว่าจะอยู่ในระดับสีเขียว สีเหลือง หรือสีแดงก็ตาม แล้วไม่มีที่รักษาตัว ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาลในรายที่อาการหนัก หรือโรงพยาบาลสนามในรายที่อาการยังไม่หนักมาก คนเหล่านี้ก็จะรอการช่วยเหลืออยู่ที่บ้าน ทำให้เอาเชื้อโควิดมาติดกับสมาชิกในบ้าน และเนื่องจากคนในชุมชนแออัดต้องหาเช้ากินค่ำ จึงต้องออกไปทำงานรับจ้างต่างๆ ทำให้นำเชื้อไปแพร่ต่อให้คนอื่นๆ อีกจำนวนมาก 

ถึงแม้ภายหลังจะเริ่มมีการแยกกักตัวที่บ้าน (Home Isolation) แต่คนในชุมชนแออัดเมื่อติดโควิดแล้ว ถึงแม้จะอยู่ระดับสีเขียว ก็ไม่สามารถแยกกักตัวในบ้านได้ เพราะสภาพบ้านที่อยู่คือห้องที่อยู่รวมกันหลายคน 

จากสภาพความจริงส่วนหนึ่งของการแพร่ระบาดที่เพิ่มมากขึ้นในชุมชนแออัดของกรุงเทพมหานครดังกล่าว จึงขอเรียกร้องนายกรัฐมนตรี ประธาน ศบค. เร่งแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วนดังนี้

1. เมื่อมีผู้ติดเชื้อในชุมชนแออัดต้องรีบนำออกไปดูแลรักษาตามความหนักเบาของอาการ จะใช้วิธีแยกกักตัวที่บ้านไม่ได้ เพราะในชุมชนแออัดจะอยู่รวมกันอย่างแออัดในห้องเดียวกัน ไม่ได้มี 2-3 ห้องเหมือนบ้านคนมีฐานะทั่วไปที่จะทำให้ใช้วิธีแยกกักตัวได้
2. รีบตรวจหาเชื้อสมาชิกในครอบครัวของผู้ติดเชื้ออย่างเร่งด่วน เพราะถือว่าเป็นกลุ่มเสี่ยง ถ้าติดเชื้อจะได้ดูแลรักษาต่อไป ถ้าไม่ติดเชื้อก็ถือว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงควรให้กักตัวอยู่ในบ้าน 14 วัน
3. ภาครัฐควรจัดหาข้าวสาร อาหารแห้งมามอบให้ผู้กักตัวมีข้าวกิน เพราะถ้าไม่มีอะไรกิน ผู้กักตัวเหล่านี้ก็จะต้องออกไปดิ้นรนทำงานหาเลี้ยงชีพ เนื่องจากเป็นผู้หาเช้ากินค่ำ ทำให้มีโอกาสแพร่เชื้อหรือรับเชื้อได้โดยง่าย

ขอให้นายกฯ หาทางแก้ไขตามข้อเสนอนี้อย่างเร่งด่วน เพื่อไม่ให้จำนวนผู้ติดเชื้อในกรุงเทพมหานครเพิ่มมากขึ้นไปเรื่อยๆ 

เพราะถ้ายังปล่อยให้ผู้ติดเชื้อในชุมชนแออัดไม่มีที่ไป จะทำให้ผู้ติดเชื้อเพิ่มมากขึ้นอย่างแน่นอน จึงขอวิงวอนนายกฯ รีบบริหารจัดการให้แตกต่างจากที่ทำอยู่ในปัจจุบัน เพื่อลดผู้ติดเชื้อให้ได้ในที่สุด

ทหารตำรวจ  พร้อมจัดกำลังเสริมการสนับสนุนเคลื่อนย้ายผู้ป่วยเข้ารับการรักษาในระบบ รับมือสถานการณ์แพร่ระบาดที่ยังมีแนวโน้มรุนแรง

พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม เปิดเผยถึง กรณีการเตรียมสนับสนุนของ กระทรวงกลาโหม ในการรับมือกับการแก้ปัญหานำผู้ป่วยติดเชื้อตามบ้านและชุมชนที่มีมากขึ้นออกมารักษาในระบบ จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิดสายพันธุ์ใหม่ที่มีแนวโน้มผู้ติดเชื้อมากขึ้นว่า  

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ได้กำชับให้ทุกเหล่าทัพและตำรวจ เตรียมจัดกำลังและยานพาหนะเพิ่ม เสริมการทำงานร่วมกับ สธ.แล้ว  จากเดิม ที่ได้จัดตั้ง “ศูนย์สนับสนุนการเคลื่อนย้ายผู้ติดเชื้อโควิด 19” ขึ้น โดยระดมยานพาหนะจากทุกเหล่าทัพและตำรวจกว่า 100 คัน พร้อมเจ้าหน้าที่ที่ผ่านการอบรมการปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุข ควบคุมการปฏิบัติ โดย ศปม.  เข้าสนับสนุนการทำงานร่วมกับ กทม.โดย “ศูนย์เอราวัณ” และ สธ.โดย “สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ” เพื่อสนับสนุนการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยที่อาจตกค้างหรือมีเพิ่มตามบ้านและชุมชนในพื้นที่ กทม.และปริมณฑล เข้ารับการรักษาตามระบบ โดยที่ผ่านมา ตั้งแต่ 24 เม.ย.64 ถึงปัจจุบัน ศูนย์ดังกล่าวที่ กระทรวงกลาโหม จัดตั้งขึ้น ได้สนับสนุนการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยเข้าสู่ระบบการรักษาแล้ว รวมกว่า 15,000 ราย

โดยมีขั้นตอนการทำงานร่วมกัน เมื่อได้รับแจ้งจากผู้ป่วยติดเชื้อตามบ้านหรือในชุมชน ผ่านบริการสายด่วน หมายเลข 1668  1669 1330 ตลอด 24 ชม. หรือ หมายเลข 062 -442-7903 “ศูนย์สนับสนุนการเคลื่อนย้ายผู้ติดเชื้อโควิด 19” ที่กองทัพจัดตั้งเสริมขึ้น  

โดยจะประสานทำงานร่วมกันในการประเมินอาการผู้ป่วยและเตรียมสถานพยาบาลปลายทางรองรับ หลังจากนั้นจะจัดเจ้าหน้าที่และยานพาหนะไปรับถึงบ้าน เพื่อนำพาผู้ป่วยเข้ารับการรักษาในระบบ ตามอาการในสถานพยาบาลระดับต่างๆที่จัดขึ้น เช่น ผู้ป่วยสีเขียวในรพ.สนาม ผู้ป่วยสีเหลืองและแดงใน รพ.หลัก หรือ Hospitel เป็นต้น  ทั้งนี้ผู้ป่วยสีเขียวที่ติดเชื้อไม่แสดงอาการ สามารถขอรับการกักและรักษาตัวที่บ้าน ( Home Isolation ) หรือในสถานที่พักคอยของชุมชน (Community Isolation) ได้ ภายใต้มาตรการและการดูแลที่สาธารณสุขที่กำหนด 

“บิ๊กตู่”ห่วงผู้ป่วยโควิด-19 สั่งปรับการบริหารให้ตรวจหาเชื้อโควิด-19 แบบ Antigen Test Kit (ATK) ได้ รวมทั้งจัดการดูแลผู้ป่วยในลักษณะที่บ้าน (Home Isolation) หรือที่ชุมชน (Community Isolation)

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีในฐานะผู้อำนวยการ ศบค. รับทราบด้วยความห่วงใยต่อสถานการณ์โควิด-19  ที่มีการแพร่ระบาดในวงกว้างในพื้นที่ กทม. และปริมณฑล ทำให้ประชาชนจำนวนมากเข้าไม่ถึงบริการคัดกรองตรวจเชื้อโควิด-19 และการรักษาพยาบาล จึงได้กำชับทุกหน่วยงานเร่งแก้ปัญหาการจัดการและปรับแผนการทำงานให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน ซึ่งทรัพยากรทางการแพทย์และสาธารณสุขมีอยู่อย่างจำกัด โดยในที่ประชุมศบค. วานนี้(16 ก.ค.)นายกรัฐมนตรีได้ติดตามการควบคุมการแพร่ระบาดทั้งการตรวจหาเชื้อให้ครอบคลุมให้มากที่สุดโดยเฉพาะในพื้นที่เสี่ยง และการจัดการดูแลผู้ติดเชื้อในลักษณะการดูแลรักษาที่บ้าน (Home Isolation) หรือการดูแลรักษาที่ชุมชน (Community Isolation) และปัจจุบันได้มีการอนุญาตให้ใช้ Antigen Test Kit (ATK) ตรวจหาเชื้อโควิด-19 เพื่อตรวจให้ครอบคลุมประชากรให้มากที่สุด และนำผู้ป่วยเข้าสู่กระบวนการรักษาโดยเร็ว ลดการแพร่ระบาดในชุมชน

“ซึ่งมาตรการ Home Isolation หรือการดูแลผู้ป่วยโควิด-19 ที่บ้าน และมาตรการ Community Isolation หรือการดูแลผู้ป่วยโควิดด้วยระบบชุมชน เป็นมาตรการเสริมซึ่งนำมาใช้ในพื้นที่ที่มีผู้ติดเชื้อสูงโดยเฉพาะ กทม. และปริมณฑล ส่วนพื้นที่ต่างจังหวัดที่ยังมีผู้ติดเชื้อน้อย ก็ยังคงใช้มาตรการดูแลผู้ป่วยในโรงพยาบาลหรือโรงพยาบาลสนาม ซึ่งผู้ป่วยที่อยู่ที่บ้านหรือที่ชุมชนก็จะได้รับการดูแลเสมือนอยู่โรงพยาบาล ขณะเดียวกัน กระทรวงสาธารณสุขได้มีการจัดส่ง Comprehensive Covid-19 Response Team หรือ CCR Team ที่ประกอบด้วยทีมแพทย์ พยาบาล นักวิชาการสาธารณสุข เครือข่ายภาคประชาชนหรืออาสาสมัครสาธารณสุข (อสส.) และเจ้าหน้าที่เขตของกทม. ติดตามการดูแลผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่บ้านหรือที่ชุมชนของผู้ป่วยด้วย”นายอนุชา กล่าว

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ทั้งนี้ มาตรการ Home Isolation มีหลักการดังนี้ 1.ผู้ป่วยติดเชื้ออาการต้องไม่รุนแรงหรือเป็นผู้ป่วยที่จัดอยู่ในกลุ่มสีเขียว ไม่มีอาการปอดอักเสบ ไม่มีอาการแทรกซ้อน ไม่เป็นกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้สูงอายุหรือเด็กเล็ก หรือมีภาวะโรคเสี่ยง 2.ที่พักต้องเป็นแบบที่อยู่ด้วยกันแบบไม่แออัดจนแยกกักตัวไม่ได้ ถ้าอยู่ด้วยกันหลายคนแล้วต้องนอนรวมกัน ก็ไม่เหมาะกับ Home Isolation เพราะจะเกิดการแพร่เชื้อ ต้องจัดเป็น Community Isolation หรือที่ชุมชนจัดให้แทน 3.ผู้ป่วยต้องมีความเข้าใจและให้ความร่วมมือในการกักตัว ไม่ควรออกไปนอกบ้านจนทำให้เกิดการแพร่กระจายเชื้อ 4.โรงพยาบาลจะเข้าไปดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด มีแพทย์ที่สามารถทำ Video call ติดตามอาการคนไข้ได้ทุกวัน มีอุปกรณ์วัดอุณหภูมิและอุปกรณ์วัดระดับออกซิเจนให้  มีการจ่ายยาฟาวิพิราเวียร์ และยาฟ้าทะลายโจร และมีอาหารให้ผู้ติดเชื้อ 3 มื้อ และในกรณีที่อาการเปลี่ยนแปลง จะส่งต่อรักษาโรงพยาบาลทันที

นายอนุชา กล่าวว่า สำหรับมาตรการ Community Isolation หรือการดูแลผู้ป่วยโควิดด้วยระบบชุมชน คกก.โรคติดต่อจังหวัด และเจ้าของสถานที่หรือชุมชน จะเป็นผู้ประเมินสถานการณ์และความพร้อม โดยพิจารณาจากจำนวนและระดับอาการผู้ติดเชื้อ จำนวนและระดับอาการของผู้ที่เข้าข่ายเกณฑ์สอบสวนโรค จำนวนผู้สัมผัสเสี่ยงสูง สถานที่ตั้งและสภาพแวดล้อม ทั้งนี้ผู้ป่วยยืนยันติดโควิด-19 เป็นผู้ที่อยู่ในชุมชน เป็นผู้ป่วยยืนยันรายใหม่ท่ีไม่มีอาการหรือมีอาการเล็กน้อย เป็นผู้ป่วยที่ไม่ต้องการออกซิเจนในการรักษา และรองรับได้ทุกกลุ่มผู้ป่วย โดยจะคัดเลือกพื้นที่หรือชุมชนที่มีความเข้มแข็ง และต้องได้รับความร่วมมือจากชุมชนหรือภาคเอกชนในการร่วมกันดูแลผู้ป่วยในพื้นที่ เป็นความร่วมมือระหว่างเขต โรงพยาบาล (ทั้งภาครัฐและเอกชน) และศูนย์บริการสาธารณสุขในพื้นที่ และเป็นชุมชนที่มีผู้นำชุมชนที่เข้มแข็ง

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงเป้าหมายสำคัญในการดูแลผู้ป่วยที่มีอาการน้อยหรือไม่มีอาการที่บ้านหรือแยกกักในชุมชน เพื่อให้ผู้ป่วยกลุ่มนี้ได้เข้ารับการดูแลรักษาอย่างรวดเร็วและปลอดภัยที่สุด รวมทั้งยังช่วยสงวนเตียงโรงพยาบาล เพื่อใช้ในการดูแลผู้ป่วยที่มีระดับความรุนแรง ทั้งกลุ่มผู้ป่วยอาการสีเหลืองและสีแดงได้เพียงพอ นอกจากนี้ ผอ. ศบค. ยังขอให้ประชาชนปฏิบัติตามมาตรการที่จะมีการยกระดับที่เข้มข้น เช่น งดการรวมกลุ่ม จำกัดการเดินทางข้ามพื้นที่ อยู่ในที่พักตามเวลาที่กำหนด โดยขอให้ทุกคนร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการควบคุมการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ร่วมกัน

พท.อัดรัฐล็อกดาวน์ 6 วัน ตายทะลุร้อย ติดทะลุหมื่น เชื่อ ปชช.ไม่ทนให้ “ประยุทธ์” ยกระดับอะไรอีกแล้วนอกจากลาออก

 ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองหัวหน้าพรรค พท.กล่าวกรณีที่รัฐบาลเตรียมล็อกดาวน์เข้มข้น หลังพบการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ยังไม่ลดลงแต่กลับเพิ่มสูงอย่างต่อเนื่องว่า ขอแสดงความสียใจต่อครอบครัวผู้เสียชีวิตจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ขอแสดงความเสียใจกับผู้ที่ตกอยู่ในสถานการณ์การเป็นผู้ติดเชื้อรายใหม่ที่เพิ่มขึ้น เป็นเช้าวันสาร์ที่รันทด หดหู่สลดใจเป็นที่สุด เส้นทางการแก้ไขปัญหาของรัฐบาลเดินทางมาถึงจุดที่วิกฤตหนัก ฝันร้ายได้กลายเป็นจริง สถานการณ์เช้านี้ที่มีผู้เสียชีวิตทะลุ 100 ราย ผู้ติดเชื้อทะลุ 1 หมื่นคนต่อวัน

รัฐบาลประกาศล็อกดาวน์มา 6 วัน เห็นได้ชัดว่าไม่สามารถยับยั้งการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ นอกจากจำนวนผู้ติดเชื้อและผู้สียชีวิตไม่ลดลงแล้ว ยังเพิ่มอย่างมีนัยยะสำคัญ แสดงว่าแนวทางที่ทำมานั้นเดินมาถูกทางหรือไม่ จะยกระดับล็อกดาวน์เรื่อยๆหรือ คำถามคือสถานการณ์วิกฤตขนาดนี้ รัฐบาลควรจะแสดงความรับผิดชอบแล้วหรือยัง 

นายอนุสรณ์ กล่าวต่อว่า สถานการณ์วิกฤตหนักขนาดอียูถอดไทยออกจากประเทศปลอดภัยจากโควิด  บริษัทประกันภัยขอยกเลิกประกันภัยโควิด-19 แม้พล.อ.ประยุทธ์จะปลอบใจตัวเองว่าจะไม่ลาออก จะไม่ยอมถอดฟันยาง จะสู้จนกว่าชนะ ไม่แน่ใจว่าท่านสู้กับอะไร ถ้าสู้กับโควิด พล.อ.ประยุทธ์แพ้มาทุกระลอก แพ้ทุกสถานการณ์ แม้จะพร้อมสู้ ไม่ยอมแพ้ แต่ถ้าประชาชนเป็นกรรมการคงสั่งยุติการชกไปตั้งนานแล้ว เพราะพล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้อยู่ในสภาพที่จะแก้ไขปัญหาอะไรได้ แทนที่จะเร่งทำงานแข่งกับความเป็นความตายของประชาชน ลดขั้นตอนให้ประชาชนเข้าถึงการตรวจคัดกรองเชิงรุกให้มากขึ้น แยกคน แยกโรค เร่งจัดหาวัคซีนคุณภาพมาฉีดให้กับประชาชน แต่ก็ทำท่ากลายเป็นวัคซีนทิพย์ ที่ผ่านมาประกาศผิด ประกาศใหม่ เยียวยาผิด ยกเลิกคำสั่ง ล็อกดาวน์ไม่ได้ผล เตรียมยกระดับล็อกดาวน์ พล.อ.ประยุทธ์ใช้โอกาสไปเปลืองมากแล้ว ถึงเวลาต้องแสดงความรับผิดชอบ
 
“ตายทะลุร้อย ติดทะลุหมื่น เห็นท่าไม่ดี เตรียมยกระดับเพิ่มมาตรการล็อกดาวน์ ถ้าติด ถ้าตายมากกว่านี้อีก ประเทศชาติและประชาชนไม่พร้อมที่จะให้ พล.อ.ประยุทธ์ยกระดับอะไรอีกแล้ว นอกจากให้ท่านยกระดับแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออก” นายอนุสรณ์ กล่าว      

“บิ๊กตู่” สั่งกองทัพ จัดกำลังร่วม กทม. เร่งค้นหาเชิงรุก ฉีดยากลุ่มเสี่ยงตามบ้านและแยกผู้ป่วยออกจากชุมชน พร้อท เร่งจัดตั้ง รพ.สนามเพิ่ม

.ที่กระทรวงกลาโหม พล.ท.คงชีพ  ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม  เปิดเผยว่า พล.อ.ชัยชาญ  ช้างมงคล รมช.กลาโหม และ พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ ปลัดกระทรวงกลาโหม ได้ประชุม หน่วยงาน กอ.รมน. หน่วยขึ้นตรวกระทรวงกลาโหม  เหล่าทัพ และ ตร. ผ่านระบบ VTC เพื่อเร่งเข้าไปสนับสนุนรับมือกับวิกฤตโควิด-19 สายพันธ์ุใหม่ ที่พบแนวโน้มการแพร่ระบาดในประเทศยังสูงต่อเนื่อง

สำหรับภาพรวม กองกำลังป้องกันชายแดนทั้งทหาร ตำรวจ ยังตรึงกำลัง เฝ้าระวังคัดกรองบุคคลผ่านเข้า-ออกชายแดน และจับกุมผู้หลบหนีเข้าเมืองผิดกฎหมายได้อย่างต่อเนื่อง สัปดาห์ที่ผ่านมา จับกุมผู้ลักลอบเข้าเมืองได้ถึง 248 คน ( ลาว 110 กัมพูชา 69 พม่า 25 และจีน 4 คน ) โดยเจ้าหน้าที่ต้องทำงานด้วยความระมัดระวัง เพื่อหยุดและลดความเสี่ยงของการกระจายเชื้อสายพันธ์ใหม่ในพื้นที่ชายแดน 

ขณะเดียวกัน กำลังทหารตำรวจ ยังคงกระจายกันควบคุมดูแลแคมป์คนงาน 606 แห่งในพื้นที่ต่างๆของ กทม. พร้อมทั้งจัดตั้งจุดตรวจ/ด่านตรวจ 88 จุด ในพื้นที่ต่างๆ ทำความเข้าใจกับประชาชนและเข้มงวดบังคับใช้กฎหมายตามข้อกำหนดกับการควบคุมการเคลื่อนย้ายของประชาชนและการรวมกลุ่มในกิจกรรมเสี่ยง เพื่อให้เกิดผลทางปฏิบัติในการควบคุมโรคอย่างจริงจังร่วมกัน

“เหล่าทัพ และตำรวจ ร่วมมือกันเร่งหยุดเชื้อในพื้นที่กรุงเทพมหานครฯ  กองทัพได้จัดกำลังร่วมกับ กทม.ทำหน้าที่ชุดตรวจค้นหาเชิงรุก ( CCRT ) จำนวน 69 ชุด และเตรียมจัดเพิ่มเป็น 188 ชุด เร่งเข้าชุมชนต่างๆใน 50 เขต ตรวจคัดกรองแยกผู้ป่วยออกจากบ้านและชุมชน เข้ารับการรักษาในระบบ พร้อมทั้งฉีดวัคซีนให้กับผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงตามบ้านในคราวเดียวกัน ระหว่าง 15-25 ก.ค.64 เพื่อลดความเสี่ยงการเจ็บป่วยถึงชีวิต”โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าว 

ทั้งนี้พล.อ.ชัยชาญ ได้ย้ำสั่งการ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม  ขอให้ทุกเหล่าทัพ ให้ความสำคัญ คงความเข้มข้นเฝ้าระวังพื้นที่ชายแดนต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคในประเทศเพื่อนบ้านซึ่งมีแนวโน้มทวีความรุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย  พร้อมทั้งขอให้สำรวจพื้นที่ในหน่วยทหาร ขยายผลจัดตั้ง รพ.สนามเพิ่มเติมใน จว.ต่างๆ โดยเฉพาะพื้นที่  10 จว.สีแดงเข้ม และเตรียมบุคลากรทางการแพทย์แถวสองและอาสาสมัคร เพื่อดูแลรองรับผู้ป่วยที่มีแนวโน้มมากขึ้นให้เพียงพอ

นอกจากนี้ รมช.กลาโหม ยังได้กำชับทุกเหล่าทัพ ให้ความสำคัญสนับสนุน จว.สีแดงเข้มเร่งตรวจค้นหาเชิงรุกในพื้นที่ เพื่อแยกผู้ป่วยออกจากชุมชน และให้ประสานทำงานร่วมกับศูนย์เอราวัณดำรงความต่อเนื่องสนับสนุนยานพาหนะและเจ้าหน้าที่เคลื่อนย้ายผู้ป่วยที่ยังมีในชุมชนเข้าสู่ระบบการรักษาโดยเร็ว  พร้อมกันนี้ ขอให้ทุกเหล่าทัพที่มีหน่วยทหารในพื้นที่สีแดงเข้ม ทำการตรวจเชิงรุกในชุมชนหน่วยทหาร และจัดตั้งพื้นที่คัดแยกผู้ป่วยออกจากชุมชน ( CI ) รองรับการดูแลกันเองในหน่วยทหาร ควบคู่ไปกับการสนับสนุนช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่  เพื่อร่วมมือกันลดการแพร่ระบาดของโรคให้ได้โดยเร็ว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top