Thursday, 3 July 2025
POLITICS NEWS

"โรม" ฉะ จับนักข่าวพลเมืองในม็อบ จงใจปิดหูปิดตาปชช.ไม่ให้เห็นความป่าเถื่อนของรัฐ อัด "ประยุทธ์" เมื่อไหร่จะมีสติสำนึกลาออก 

นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวถึงเหตุการณ์การชุมนุมในวันที่ 13 ก.ย. ที่บริเวณดินแดง ที่พบว่ามีการจับกุมสื่ออิสระ 2 คน คือ ผู้สื่อข่าวของสำนักข่าวราษฎร และผู้สื่อข่าวประจำเพจ ปล่อยเพื่อนเรา โดยถูกตั้งข้อหาร่วมกันชุมนุมและฝ่าฝืนเคอร์ฟิว ว่า ในสถานการณ์การชุมนุมทางการเมืองที่ตึงเครียด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการชุมนุมที่ย่านดินแดงในช่วงกว่า 1 เดือนที่ผ่านมา ที่ฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐยกระดับการสลายการชุมนุมหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ เราจะพบว่าสื่อมวลชนกระแสหลักกลับมีบทบาทน้อยอย่างเห็นได้ชัดในการถ่ายทอดเหตุการณ์อย่างใกล้ชิดและรอบด้าน และมักเป็นการรายงานอยู่หลังแนวของตำรวจ โดยพร้อมจะล่าถอยออกไปเมื่อได้รับคำสั่ง ทำให้สังคมที่ติดตามอยู่ไม่อาจรู้ได้ว่า นอกเลนส์กล้องของนักข่าวนั้นเจ้าหน้าที่รัฐจะไปกระทำการอะไรไว้บ้าง

นายรังสิมันต์ กล่าวต่อว่า กลายเป็นว่านักข่าวพลเมืองอย่าง 2 คนที่ถูกจับไปที่เป็นกำลังหลักในการรายงานสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงแบบสดๆ ทำให้ด้านมืดที่ฝ่ายเจ้าหน้าที่ไม่อยากให้เห็นถูกนำขึ้นมาเปิดเผยในที่สว่าง อย่างสำนักข่าวราษฎรนั้น พบว่าหลายครั้งสามารถจับภาพเหตุการณ์การใช้ความรุนแรงอย่างเกินเหตุเอาไว้ได้ เช่นภาพที่ตำรวจใช้กระบองฟาดซ้ำใส่ศีรษะของผู้ชุมนุมที่ถูกควบคุมตัวไว้ได้แล้ว ภาพที่ตำรวจยิงกระสุนยางใส่รถจักรยานยนต์ที่ขับผ่านไปมาในระยะประชิด หรือภาพบ้านเรือนที่เสียหายจากการสลายการชุมนุมของตำรวจ แต่ในสายตาของรัฐบาล เช่น ในคำให้สัมภาษณ์ของ พล.ต.ต.ปิยะ ต๊ะวิชัย รอง ผบช.น. และโฆษก บช.น. กลับแปะป้ายนักข่าวพลเมืองเหล่านี้ว่าเป็น สื่อมวลชนปลอมที่แฝงตัวเข้ามา เพียงเพราะไม่มีบัตรสื่อ ซึ่งเป็นผลมาจากทัศนคติอันคับแคบและล้าหลังในการนิยามความเป็นสื่อของกรมประชาสัมพันธ์ ทำให้นักข่าวเหล่านี้นอกจากจะไม่ได้รับการรับรองและคุ้มครองจากรัฐแล้ว ยังกลายมาเป็นเหยื่อผู้ถูกกระทำจากรัฐเองเสียอีก

นายรังสิมันต์ กล่าวอีกว่า สิ่งที่นักข่าวพลเมืองถ่ายทอดออกมาให้สังคมได้รับรู้ ช่วยให้เราได้เห็นว่าประเทศนี้ รัฐบาลนี้ ล้มเหลวในการคลี่คลายสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองอย่างไร ความกล้าหาญของพวกเขาช่วยเป็นหูเป็นตาให้ประชาชนภายนอกที่ชุมนุม ได้เห็นสิ่งที่พวกเขาจำเป็นต้องเห็น นั่นคือความรุนแรงที่รัฐกระทำต่อประชาชนภายใต้รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และระบอบปรสิต ดังนั้น การหาเรื่องจับนักข่าวเหล่านี้จึงไม่อาจหาเหตุผลอื่นใดได้เลย นอกจากเพราะฝ่ายรัฐต้องการปิดหูปิดตาประชาชน ไม่ให้เห็นความอำมหิตป่าเถื่อนที่ฝ่ายตนได้กระทำต่อประชาชน จึงต้องทำลายผู้ที่จะมาเปิดโปงการกระทำเหล่านั้น นั่นหมายความว่ารัฐบาลยังคงยืนยันที่จะใช้ความรุนแรงในการกดหัวผู้เห็นต่างไม่ให้เงยหน้าขึ้นมาท้าทายต่อไป

"เมื่อไหร่ พล.อ.ประยุทธ์และรัฐบาลจะมีสติสำนึกได้เสียที ว่าทุกวันนี้มีผู้คนต่อต้านพวกท่านกันมากมายแบบไม่ต้องมีใครชักนำ ถึงขนาดนี้แล้วจะยอมรับผิดแล้วออกไปแต่โดยดี หรือจะยังดื้อด้าน ยึดติดอยู่แต่กับการกดหัวและปิดหูปิดตา ราดน้ำมันลงบนกองไฟต่อไปอีก" นายรังสิมันต์ กล่าว 

ทปษ.นายกฯ ห่วงสื่อ ของดเข้าทำเนียบ 7 วัน แล้วตรวจคัดกรองก่อนเข้าทำเนียบ อีกครั้ง 27 กย.

ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.นัทรียา ทวีวงศ์ ผู้อำนวยการสำนักโฆษกสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ฝ่ายข้าราชการประจำด้านประสานกิจการภายในประเทศ ให้สัมภาษณ์ กรณีขอความร่วมมือสื่อมวลชนออกจากทำเนียบ เนื่องจากมีผู้สื่อข่าวติดเชื้อโควิด ว่า ขอความร่วมมือสื่อมวลชนออกจากทำเนียบรัฐบาล เพื่อให้เจ้าหน้าที่ได้เข้ามาดำเนินการทำความสะอาด พ่นยาฆ่าเชื้อ จะได้มั่นใจว่าปลอดเชื้อ เบื้องต้นขอเวลา 7 วัน นับจากวันนี้ไปถึงวันที่ 24 กันยายน และจะให้สื่อมวลชนกลับเข้ามาปฏิบัติหน้าที่ในทำเนียบรัฐบาลตามปกติ  ได้ในวันที่ 27 กันยายน แต่อย่างไรก็ตามขอให้ทุกคนนำผลตรวจเอทีเคมาแสดงด้วย ทั้งนี้ให้เป็นไปตามมาตราการที่เข้มข้น เนื่องจากผู้บริหารในทำเนียบฯส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ และหลีกเลี่ยงไม่ได้ว่าการปฏิบัติหน้าที่ของเราต้องมีความใกล้ชิดกัน 

น.ส.นัทรียา กล่าวว่า ส่วนกรณีที่นายกรัฐมนตรี จะมีภารกิจลงพื้นที่ในต่างจังหวัด ได้แก่ จ.ชัยนาท จ.ชลบุรี สื่อมวลชนก็ไม่ต้องเป็นห่วง  ทางสำนักโฆษกสำนักนายก รัฐมนตรี จะทำหน้าที่แทน โดยทำข่าวพูลให้ ทั้งนี้ที่เราใช้มาตรการเช่นนี้เนื่องจากมีความเป็นห่วงร่วมกันทุกคน เพราะเราไม่รู้ว่า ใครมีอาการแล้วไม่แสดงอาการหรือไม่ และไม่ทราบว่าจะมีใครติดเชื้อมาจากข้างนอกหรือไม่ ขอให้ทุกคนระมัดระวังและกลับไปในที่ตั้งก่อน และขอให้สื่อไปตรวจคัดกรอง ก่อนกลับมาติบัตรหน้าที่ร่วมกันอีกครั้ง อย่างไรก็ตามขอให้ทุกคนสบายใจว่า การทำข่าวในช่วงนี้ไม่ต้องเป็นห่วง ผู้ใหญ่ทุกคนรับทราบแล้วจึงจะยังไม่มีการให้สัมภาษณ์ หรือตอบคำถามใดๆกับทุกคน ทุกคนสบายใจได้ว่าไม่มีการตกข่าว 

"แรมโบ้" อัด "เต้น" ก่อนเรียกร้องให้นายกฯประยุทธ์ลาออก ย้อนมองดูนายใหญ่ตัวเองมีคดีทุจริตมากมายประชาชนนับล้านออกมาไล่ เหตุใดถึงไม่ลาออก ย้ำนายกฯประยุทธ์ไม่ได้ทำผิด ไม่มีประวัติด่างพร้อย อยู่ต่อครบเทอม

นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรีกล่าวถึงนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำเครือข่ายไล่ประยุทธ์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กหากนายกฯออกไปทุกอย่างจบ แต่เมื่อไม่ออกก็ไม่ควรใช้กำลังกับเด็กจนเรื่องบานปลายว่า นายณัฐวุฒิควรมองให้รอบด้านกว่านี้ อย่าพูดเอาแต่ได้ฝ่ายเดียว เพราะหากกลุ่มผู้ชุมนุมไม่ทำผิดกฎหมาย สร้างความเดือดร้อนและความรุนแรงให้เกิดขึ้น เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ต้องปฏิบัติตามขั้นตอน ต้องทำตามกฎหมายที่มีอยู่

ขณะที่การเรียกร้องให้นายกฯลาออกนั้น นายเสกสกลยืนยันว่านายกฯอยู่ครบเทอมเพื่อแก้ไขปัญหาให้กับบ้านเมือง และที่ผ่านมานายกฯไม่ได้ทำอะไรผิด โดยเฉพาะการบริหารสถานการณ์โควิด-19 ที่เกิดขึ้นทั่วโลก ทั้งนี้การแก้ไขปัญหากำลังดำเนินการไปได้ด้วยดี ซึ่งแม้จะมีตัวเลขผู้ป่วยสูง แต่จำนวนผู้ป่วยหนักลดลง และหายป่วยกลับบ้านเป็นจำนวนมากเช่นกัน  

และสิ่งสำคัญนายกฯประยุทธ์ยังไม่เคยมีประวัติด่างพร้อยในเรื่องของการทุจริตคอรัปชั่น เหมือนกับอดีตนายกฯที่เป็นนายใหญ่ของนายณัฐวุฒิไม่ว่าจะเป็นนายทักษิณ หรือนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ มีคดีทุจริตมากมาย แต่ยังไม่ลาออก โดนประชาชนออกมาขับไล่เป็นแสนเป็นล้าน มีการสลายการชุมนุม เกิดการนองเลือด บาดเจ็บ ล้มตายไปเป็นจำนวนมาก 

"นายณัฐวุฒิอย่ามากล่าวหาและอย่ามาขับไล่นายกฯประยุทธ์ ขอให้ย้อนกลับไปดูตัวเองในอดีตย้อนกลับไปดูเจ้านายตัวเองในอดีตจะดีกว่า และการที่นายณัฐวุฒิและแกนนำออกมาปลุกระดมม็อบ 3 นิ้วจนไปถึงคาร์ม็อบ ก็เกิดปัญหาความวุ่นวาย สร้างความเดือดร้อน โดยนายณัฐวุฒิและแกนนำไม่เคยออกมารับผิดชอบเลย 

นอกจากนี้ม็อบทะลุแก๊ส ที่ได้รับคำสั่งจากแกนนำบางคนยังได้ออกมา สร้างความวุ่นวายให้บ้านเมืองตลอดจนทำร้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจบาดเจ็บสาหัสจากการใช้ระเบิดปิงปอง ระเบิดประทัดยักษ์และไปป์บอมบ์ เผาพระบรมฉายาลักษณ์ต่างๆมากมายซึ่งถือว่าเป็นการดูหมิ่นจาบจ้วงก้าวล่วงสถาบัน สิ่งต่างๆเหล่านี้นายณัฐวุฒินายสมบัติและแกนนำต้องออกมารับผิดชอบ อย่าดีแต่แอบไปอยู่หลังกระโปรงเด็ก ไม่เคยรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นเหมือนการสั่งเผาบ้านเผาเมืองในปี53  ชอบป้ายสีกล่าวหาคนอื่นไม่ดี แต่ไม่เคยหันมามองความชั่วช้าสารเลวของตนเอง  พูดอะไรโดยไม่เคยใช้สมองคิด พูดเอาแต่ได้ อย่างนี้เรียกว่าหัวทุบดิน มีหัวก็ไร้ประโยชน์ สมองคงกลวง คนประเภทนี้วันๆคิดแต่ทำให้บ้านเมืองวุ่นวาย ไร้ความสงบสุข ควรรีบเข้าไปอยู่ในคุกได้แล้ว อย่าได้ทำให้ชาวบ้านชาวช่องเดือดร้อนเลย "

“กฤษดา” ทายาทตระกูลดัง ประกาศข่มขู่อาฆาต “ตระกูลโกสิยพงษ์” เพียงเพราะ รักและเชิดชูสถาบันฯ!

เรียกได้ว่ากำลังเป็นประเด็นที่พูดถึงกันเป็นอย่างมากในโลกโซเชียล หลังจากที่ “นายกฤษดา อัคคะประชา” ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ในทำนองข่มขู่ “ตระกูลโกสิยพงษ์” ซึ่งที่หลายคนรู้จักเป็นอย่างดี เพราะเป็นนามสกุลของ “นายชีวิน โกสิยพงษ์” หรือ “บอย โกสิยพงษ์” นักแต่งเพลง นักร้อง และโปรดิวเซอร์ชื่อดัง เพียงเพราะแค่ ตระกูลโกสิยพงษ์ รักสถาบันฯ

โดยทางด้านของ นายกฤษดา ได้โพสต์ข้อความดังกล่าวผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า “โกสิยพงษ์ นี่คือ ตระกูลหนึ่งที่ต้องขึ้นบัญชีหนังหมาไว้ ประชาชนมีอำนาจเมื่อไหร่ต้องจับทำนารวมทั้งโคตร…ล่าสุดญาติไอ้บอย โก ที่อยู่แวนคูเวอร์ แชร์ fake news จาก ดร.อานนท์ ลูกบิด แถเรื่องโอนสำนักงานทรัพย์สิน เข้ามาใน FB group ของ condo strata

แล้วในกลุ่มนี้ เขาโพสต์แต่เรื่องปัญหาธุระเกี่ยวกับคอนโดที่อยู่อาศัยแล้วคือ members มีแต่คนที่อยู่ในคอนโด และเป็นคนต่างชาติทั้งหมด ยกเว้นมีพี่คนไทยอีกคน ที่เป็นฝั่งสามกีบ…สะเหล่อมาก เกลียดมากพวกชะเลียระบอบเผด็จการ แต่ไม่ยอมกลับไปอยู่เป็นฝุ่นใต้ตีน ใต้ร่มพระบารมีเนี่ย”

ต่อมาในวันที่ 12 ก.ย. 64 ทางด้านของ “ปราชญ์ สามสี” ก็ได้ออกมาเคลื่อนไหว เนื่องจาก นายกฤษดา ค่อนข้างมีแนวคิดที่แปลกผิดปกติ เกินจะรับได้ โดยมีรายละเอียดว่า (“กฤษดา” ปัจจุบันอยู่ที่แคนาดา ) ลูกหลานตระกูล อัคคะประชา (ยาขมตราใบห่อ) จะไปไล่ล่า ตระกูลโกสิยพงษ์…เพียงเพราะเขารักในหลวง และแชร์ข้อมูลอธิบายเรื่องสำนักทรัพย์สินพระมหากษัตริย์น่ะรึครับ

เอาความจริงมาสู้สิครับหากไม่เชื่อเรื่องข้อมูลของ ดร.อานนท์…หรือว่าจริงๆ ไม่มีความรู้สู้ ดร.อานนท์ ครับ

อย่าไปเที่ยวกล่าวหาใคร ด้วยความเกลียดชังแบบนั้นแบบนี้เลยครับ มีปัญหาอะไรส่วนตัวที่แวนคูเวอร์ขอให้เป็นเรื่องส่วนตัวไม่ควรเอาความเกลียดชังส่วนตัวไปลงที่สถาบันหลักของชาติ

มนุษย์มีศักดิ์ศรี ไม่ใช่ทาส….อย่าไปเที่ยวบังคับใครใช้แรงงานทาสด้วยการทำนารวมเลยครับ
บรรพบุรุษก็ดี…มาเสียรุ่นลูกหลานนี่แหละครับ
ป.สามสี

ถึงอย่างไรก็ตามทางด้านของ ปราชญ์ สามสี ยังได้ทิ้งท้ายไว้อีกด้วยว่า “อยากให้ความเป็นธรรมกับตระกูลอัคคะประชา เพราะบางคนก็ดี แต่บางคนก็ร้าย….แต่ เราก็ควรให้ความเป็นธรรมกับตระกูลอื่นๆ ที่ นายกฤษดา อัคคะประชาไปคุกคามเขาแบบเหมารวมนะครับ…เพราะพวกเขาไม่ได้ไปทำร้ายใครเลย….”


ที่มา : https://truthforyou.co/65918/

'อดีตรองอธิการมธ.' ชำแหละก๊วน 3 นิ้ว ฝั่งตรงข้ามทำดีไม่เคยชม ฝั่งตนทำชั่วไม่เคยเห็น

13 ก.ย. 64 รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า แปลกแต่จริง ตอน ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ ฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาลก็ไปขุดคุ้ยประวัติหาความด่างพร้อยกันยกใหญ่ ว่าติดคุกที่ออสเตรเลีย เพราะค้ายาเสพติดบ้าง เคยต้องคดีฆ่าคนตายบ้าง เป็นพวกรักร่วมเพศบ้าง จากนั้นก็แขวะเขาตลอดว่าค้าแป้ง ไม่เคยว่างเว้น พูดตามจริง ร.อ.ธรรมนัส ก็พยายามอธิบายชี้แจง แต่จะชี้แจงอย่างไร ก็ไม่เคยทำให้สังคมโดยรวมหมดความคลางแคลงใจไปได้เลย 

ทันทีที่รู้ว่า ร.อ.ธรรมนัส พยายามล้มลุงตู่ จากนั้นถูกปลด และลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีทันทีทันใด ฝ่ายที่เคยขุดคุ้ยก็กลับลำ ข้อกล่าวหาทั้งหลายก็มลายหายไปสิ้น ร.อ.ธรรมนัส ก็กลับกลายเป็นคนดีขึ้นมาอย่างฉับพลัน สิ่งที่แล้วมาล้วนผ่านไปแล้ว ขณะนี้เป็นคนดีแล้ว จบ

นี่คือลักษณะที่เป็นเอกลักษณ์ของกลุ่ม 3 นิ้ว คือ มีความภูมิใจเหลือเกินว่าตัวเองเป็น 3 นิ้ว ไปไหนก็ยกมือชู 3 นิ้ว ใครชู 3 นิ้ว ทำอะไรล้วนไม่ผิด ละเมิดผู้อื่นก็ไม่ผิด ฝ่าฝืนกฎหมายก็ไม่ผิด ละเมิดสถาบันพระมหากษัตริย์ก็ไม่ผิด กฎหมายต่างหากที่ผิด คนไม่ผิด เผาป้อม เผารถ ก็ไม่ผิด ถือเป็นการแสดงออกแบบสันติอย่างหนึ่ง เพราะไม่ได้ทำร้ายคน แต่พอมีตำรวจบาดเจ็บ ต่างพากันเงียบ ถ้าม็อบบาดเจ็บ ตำรวจผิดทันที ทั้งที่ยังไม่รู้ว่าเป็นฝีมือของฝ่ายใด ล่าสุดม็อบตกลงมาจากที่สูง ก็ถล่มกันว่า ตำรวจถีบลงมา สุดท้ายคือหนีตำรวจแล้วตกลงมาเอง

ส่วนพวกที่ไม่ใช่ 3 นิ้ว ทำอะไรก็ผิดทั้งสิ้น ไม่โจมตี sinovac ก็ผิด ไม่อวย pfizer ก็ผิด ยกย่อง เชิดชูพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ก็ยังผิด ผู้ออกแบบชุดของ Lalisa แม้สวยทำได้สวยก็ไม่ชม เพราะว่าเขาเป็นสลิ่ม ใช้พื้นที่ใน social media เพื่อถล่มฝ่ายตรงข้ามกันแบบไม่ต้องยั้ง ไม่ต้องใช้ตรรกะ เหตุผล รู้จริงหรือไม่รู้จริงก็ด่าไว้ก่อน ที่น่าหดหู่คือ ไม่ยับยั้งชั่งใจแม้กระทั่งกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่ประชาชนส่วนใหญ่ที่พวกเขาเรียกว่า "สลิ่ม" เคารพนับถือ และจงรักภักดี

แถลงการณ์ล่าสุดของสภานักศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ออกมาประณามตำรวจที่ปราบม็อบทะลุแก๊ส เป็นเครื่องยืนยัน เพราะในแถลงการณ์ นอกจากใช้คำหยาบแล้ว ในเนื้อความ มีแต่ตำรวจเท่านั้นที่ใช้ความรุนแรง ม็อบทำอะไรมองไม่เห็นทั้งสิ้น ไม่มีทั้งสิ้น ตำรวจบาดเจ็บสาหัสก็ไม่เห็น ทั้งที่คนที่มีใจเป็นธรรมทั้งประเทศเขามองเห็น เอกสารชิ้นนี้จึงไม่สมควรที่จะมีตราธรรมจักรอยู่บนหัวกระดาษเลย เพราะไม่ให้ความจริงทั้ง 2 ด้าน ทั้งยังให้ข้อมูลเท็จ และใช้คำหยาบคายอย่างไม่น่าให้อภัย ผิดวิสัยของคนธรรมศาสตร์ที่เป็นที่รู้จักกันในสังคมไทยมาช้านาน 

ความจริงปรากฏการณ์เช่นนี้ ก็เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นได้ อย่างที่เรียกเป็นศัพท์ทางวิชาการว่า "tribalism" เพียงแต่ขณะนี้ประเทศเรากำลังเผชิญกับปรากฏการณ์นี้ทุกวัน ตลอดเวลา และไม่มีทีท่าจะลดน้อยถอยลงได้เลย 

ยิ่งการเข้าถึง social media ทำได้สะดวกง่ายดาย ปรากฏการณ์เช่นนี้ ยิ่งนานวัน จะยิ่งกัดกร่อนความรักความผูกพันที่เคยมีต่อกันระหว่างเพื่อน ญาติพี่น้อง เพื่อนร่วมงาน คนในสถาบันเดียวกัน กระทั่งคนในครอบครัวเดียวกัน ซึ่งนับว่าเป็นอันตรายต่อสังคมไทยของเราอย่างเหลือคณา

ดังที่ Umberto Eco นักคิด นักเขียน นักปรัชญา ชาวอิตาเลียน ผู้ล่วงลับได้เคยกล่าวเกี่ยวกับ social media ไว้ว่า "Social media gives legions of idiots the right to speak when they once only spoke at a bar after a glass of wine, without harming the community...but now they have the same right to speak as a Nobel Prize winner. It's the invasion of the idiots."

ถอดความเป็นภาษาไทยได้ว่า " โซเชียล มีเดีย ให้สิทธิแก่กองทัพคนโง่เขลาได้พูด ในขณะที่เมื่อก่อนพวกเขาเพียงพูดกันในบาร์ หลังการดื่มไวน์สักแก้ว โดยไม่ได้เป็นอันตรายต่อสังคมแต่อย่างใด...แต่เดี๋ยวนี้พวกเขากลับได้สิทธิที่จะพูดเท่า ๆ กับผู้ที่ชนะได้รางวัลโนเบล มันเป็นการรุกรานของเหล่าคนโง่เขลาโดยแท้"

“จุรินทร์”ไม่ตำหนิ พรรคเล็กยื่นศาลตีความแก้รธน.ถ้ามีเสียงพอ พร้อมยัน “นายกฯ” ไปดูน้ำท่วม ไม่ใช่สัญญาณยุบสภา 

ที่จ.พังงา นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่พรรคเล็กเตรียมจะยื่นศาลรัฐธรรมนูญ ให้ตีความร่างรัฐธรรมนูยที่ผ่านวาระที่3 ว่า สามารถทำได้หากเป็นไปตามเงื่อนไขรัฐธรรมนูญ ประชาธิปัตย์ไม่ขัดข้อง แต่คงไม่ไปร่วมยื่นด้วย เพราะเป็นร่างของพรรค และเราก็ยืนยันแล้วว่ากระบวนการทั้งหมดชอบโดยรัฐธรรมนูญทุกประการ แต่ถ้ามีผู้ใดสงสัยก็เข้าชื่อกันได้ 1 ใน 10 ของสภาผู้แทนราษฎร หรือ 1 ใน 10 ของสมาชิกวุฒิสภา หรือ 1 ใน 10 ของ 2 สภารวมกันก็ทำได้ จะได้ไม่ต้องคาใจว่าเป็นไปโดยชอบตามรัฐธรรมนูญหรือไม่ เข้าใจว่ากระบวนการก็คงใช้เวลาอย่างดีก็เดือนกว่าๆ เพราะเมื่อส่งศาลรัฐธรรมนูญแล้ว ศาลรัฐธรรมนูญจะต้องวินิจฉัยให้เสร็จภายใน 30 วัน ซึ่มีเงื่อนเวลาล็อคอยู่ ถ้าจะช้าก็ช้าไปเดือนกว่า 

เมื่อถามว่า แสดงว่าเป็นเรื่องที่ดี ที่จะให้ศาลรัฐธรมนูญวินิจฉัย นายจุรินทร์ กล่าวว่า ตนก็ไม่ได้บอกว่าเป็นเรื่องที่ดีหรอก ถ้าดีก็ควรจะผ่านไปได้ด้วยความราบรื่น แต่ถ้ามีใครสงสัยก็เป็นสิทธิ์ เราก็ไม่ไปขวาง และไม่ไปตำหนิอะไร ซึ่งทำได้ถ้ามีเสียงพอ

นอกจากนี้นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ถึงการเริ่มลงพื้นที่ของนายกฯ และปัญหาไม่ลงรอยกันในพรรคพลังประชารัฐ สิ่งนี้เป็นสัญญาณหรือไม่ว่าจะมีการยุบสภาในเร็วๆ นี้หรือไม่ ว่า ตนคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องปกติที่นายกฯจะลงพื้นที่ ตนเป็นรองนายกฯ ก็ลงพื้นที่มาต่อเนื่องโดยตลอดยังไม่หยุดเลย ไม่มีวันเสาร์อาทิตย์  เพราะฉะนั้นนายกฯ จะลงพื้นที่ก็เป็นเรื่องธรรมดา และท่านก็ได้ลงไปดูเรื่องการแก้ปัญหาน้ำท่วมในภาพรวม 

“ไม่ได้แปลว่าเมื่อนายกฯ ลงพื้นที่แล้วจะมีการยุบสภา ผมว่ามันคนละเรื่องเดียวกัน เพราะฉะนั้นอันนี้ก็ยังไม่คิดว่าจะใช่ ถ้าใช่มันก็เป็นเงื่อนไขอื่น ไม่ใช่เงื่อนไขแค่ลงพื้นที่วันสองวันนี้”นายจุรินทร์ กล่าว

เมื่อถามว่า ประเมิณแล้วว่าภายในปีนี้จะไม่มีการยุบสภาใช่หรือไม่ นายจุรินทร์ กล่าวว่า ตอบไม่ได้ ตนไม่อยู่ในฐานะที่จะไปการันตีอะไรได้ เพราะตนไม่ใช่นายกฯ ที่มีอำนาจยุบสภา แค่ไปดูน้ำท่วม หรือแก้ปัญหาน้ำ มันคงไม่ถึงกับเป็นสัญญาณอะไรที่จะไปบ่งชี้ว่าจะยุบแล้ว

“สงคราม”ชี้ประชาชนเชื่อรัฐสั่งซื้อวัคซีนส่อทุจริต ชี้เลือกตั้งใช้เป็นบัตร 2 ใบสะท้อนความต้องการของประชาชน 

นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคเพื่อชาติ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรณีที่ที่ประชุมรัฐสภาเห็นชอบให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญในมาตรการเกี่ยวกับการเลือกตั้งจากการเลือกตั้งในรูปแบบสัดส่วนผสม โดยบัตรใบเดียวที่ใช้การเลือกตั้งล่าสุด มาเป็นแบบบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ โดยเลือกคนและเลือกพรรค ตามสโลแกนเลือกคนที่รักเลือกพรรคที่ใช่ ถือเป็นการตัดสินใจบนพื้นฐานของที่เอาประชาชนเป็นจุดศูนย์กลาง

ทั้งนี้กรณีมีผู้วิจารณ์ว่าการแก้รัฐธรรมนูญไปใช้บัตร 2 ใบ ประชาชนไม่ได้ประโยชน์ นั้น เป็นการวิพากษฺวิจารณ์ที่เกินกว่าเหตุ  ทั้งนี้การใช้รูปแบบบัตร 2 ใบทำให้ประชาชนมีสิทธิเลือก คนและพรรคแยกกัน ส่วงผลให้ระบบพรรคเข้มแข็งลดการต่อรองทางการเมือง เปิดทางคนเก่งเข้าสู่การเมืองเป็นส.ส. แบบบัญชีรายชื่อแยกคำนวณจากส.ส.เขตชัดเจน และสูตรคำนวณส.ส. ชัดเจนสามารถประกาศผลเลือกตั้ง และตั้งรัฐบาลแก้ปัญหาประชาชนได้เร็วขึ้น 

นายสงคราม กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ เห็นว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ควรที่จะยกเลิก การบริหารราชการในสถานการณณ์ฉุกเฉิน หรือ พ.ร.ก.ฉุกเฉินได้แล้ว เพราะพลเอกประยุทธ์ใช้อำนาจตามพ.ร.ก.ฉบับนี้มานานกว่า  1 ปี 5 เดือน พิสูจน์แล้วว่าไม่ได้แก้ปัญหาการระบาดของไวรัสโควิดได้แต่อย่างใด ยังพบว่า การระบาดกลับยิ่งเพิ่มมากขึ้น และมีจำนวนผู้เสียชีวิตหลัก 100-200 คน ทุกวันถือเป็นความล้มเหลวในการจัดการโควิดและการจัดการวัคซีน 

“การรวบอำนาจไว้ที่ตัวพลเอกประยุทธ์ไม่เกิดประโยชน์เพราะทำงานไม่เป็นที่ผ่านมารังแต่จะสร้างปัญหามากกว่า รวมทั้งดียังมีข้อครหาเกี่ยวกับความโปร่งใส ส่วนต่างของราคาวัคซีนซีนชิโนแวค และรัฐบาลไม่มีหลักฐานที่จะมาแสดงให้ประชาชนเห็น ส่งผลให้ประชาชนหมดความเชื่อถือแล้ว และเชื่อว่าน่าจะต้องมีการทุจริตในการจัดซื้อวัคซีนแน่ ล่าสุดประเทศจีนซึ่งเป็นต้นทางของชิโนแวค เริ่มหันมาผลิตวัคซีน mRNA เพิ่มขึ้นเพื่อทดแทนวัคซีนเดิมแล้ว เพราะเชื่อว่ามีประสิทธิภาพมากกว่า ซึ่งรัฐบาลต้องตอบคำถามนี้”นายสงคราม กล่าว

'เทพไท' หนุน รัฐลงทะเบียนบัตรคนจนรอบใหม่วอน ต้องเป็นคนยากจน ไม่ใช่ คนอยากจน

นายเทพไท เสนพงศ์ อดีตส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึง กรณีรัฐบาลเปิดลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐรอบใหม่ว่า ตามที่ พลเอก ประยุทธ์  จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้กระทรวงการคลัง ทบทวนโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ช่วยเหลือประชาชนทุกกลุ่ม ที่ได้รับความเดือดร้อนให้ทั่วถึง และมีการตอบรับจากกระทรวงการคลัง โดยสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) อยู่ระหว่างวางหลักเกณฑ์ เปิดลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ รอบใหม่ เพื่อเตรียมเสนอคณะกรรมการประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคมพิจารณาก่อน โดยการลงทะเบียนรอบใหม่ จะเปิดให้ผู้ที่ไม่เคยได้รับสิทธิ์เข้ามาลงทะเบียนนั้น

ส่วนตัวเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง เพราะได้เคยเสนอเรื่องนี้มาเป็นเวลานานแล้ว ขอให้รัฐบาลได้ปรับปรุงข้อมูล และดูแลประชาชนที่มีฐานะยากจนจริงๆ แต่พลาดโอกาสในการลงทะเบียนโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จากการบกพร่องของระบบราชการ และประชาชนผู้ด้อยโอกาส ไม่สามารถเข้าถึงวิธีการลงทะเบียนได้ เช่น ตกการสำรวจของเจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือกรณีไม่มีสมาร์ทโฟน ซึ่งมีอยู่อีกกว่า 2 ล้านราย  จากผู้ที่ได้รับสิทธิ์เดิม มีจำนวน 13.65 ล้านคน 

ขอเสนอให้รัฐบาลดำเนินการ ให้มีการลงทะเบียนใหม่และตรวจสอบข้อมูล ใน3กลุ่มคือ 
1.กลุ่มประชาชนที่ยากจนจริงๆ แต่พลาดโอกาสลงทะเบียนในโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ในรอบแรก ซึ่งมีจำนวนมากพอสมควร
2.กลุ่มคนจนใหม่ ต้องเปิดโอกาสให้ประชาชน ที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตโควิด-19 ที่ธุรกิจเจ๊ง ต้องตกงาน ไม่มีรายได้ประจำ ได้เปลี่ยนสภาพเป็นคนฐานะยากจนในปัจจุบัน
3.กลุ่มคนอยากจะจน รัฐบาลต้องทบทวน ตรวจสอบผู้ที่ได้สิทธิ์บัตรสวัสดิการแห่งรัฐในรอบแรกจำนวนหนึ่ง ที่มีฐานะพอมีอันจะกิน แต่มาใช้สิทธิ์รับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐด้วย

จึงอยากให้โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เป็นไปตามเป้าหมายและวัตถุประสงค์ ที่ต้องการช่วยเหลือประชาชนที่ยากจนอย่างแท้จริง ไม่ใช่พวกอยากจนบางกลุ่ม ที่แฝงตัวรับสิทธิ์บัตรสวัสดิการแห่งรัฐด้วย

อดีตบิ๊กข่าวกรอง 'เชื่อ' บิ๊กตู่' ใช้กำปั้นเหล็กทุบโต๊ะปลด 2 รมต. คราวนี้ มีแต่เสียงฮือฮาด้วยความชื่นชม ชี้!! ยุ่งยากนัก อย่างมากยุบสภา เลือกตั้งใหม่

10 ก.ย. 64 นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ว่า

ทุบโต๊ะ

วันก่อนลุงตู่ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า หัวใจเท่ากำปั้น แต่วันนี้ ลุงตู่ใช้กำปั้นเหล็กทุบโต๊ะเสียแล้ว

ปลดรัฐมนตรีช่วยถึงสองคน คนหนึ่งเป็นถึงเลขาพรรคแกนนำรัฐบาล ลุงตู่ใจเด็ด ปลดก่อนค่อยบอกลุงป้อมทีหลัง อำนาจเป็นของนายก เอาไงเอากัน

เชื่อมั้ย ปลดรัฐมนตรีคราวนี้ มีแต่เสียงฮือฮาด้วยความชื่นชม

วัดกันอีกที แก้ไขรัฐธรรมนูญผ่านหรือไม่ผ่าน  พรรคร่วมรัฐบาลจะว่ายังไง

ยุ่งยากนัก อย่างมากยุบสภาไปเลือกตั้งกันใหม่


ที่มา : https://www.facebook.com/photo/?fbid=871823160365397&set=a.509958396551877

‘รัฐสภา’ โหวตผ่านฉุยแก้รัฐธรรมนูญวาระ 3 กลับไปใช้บัตรเลือกตั้ง 2 ใบ

เมื่อวันที่ 10 ก.ย. เวลา 09.30 น. ที่รัฐสภา ในการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ที่มีนายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา เป็นประธานการประชุม มีระเบียบวาระการประชุมสำคัญ คือ การลงคะแนนเสียงร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 83 และมาตรา 91 ในวาระสาม โดยที่ประชุมใช้เวลาขานชื่อ 2 ชั่วโมง และใช้เวลานับคะแนน 20 นาที

จากนั้นเวลา 11.50 น. นายชวน ได้ประกาศผลการนับคะแนน ว่าที่ประชุมเห็นชอบ 472 เสียง แบ่งเป็นเสียงจากส.ส. 323 คะแนน และจากส.ว. 149 คะแนน ไม่เห็นชอบ 33 คะแนน แบ่งเป็นของ ส.ส. 23 เสียง และส.ว. 10 เสียง งดออกเสียง 187 คะแนน แบ่งเป็นของ ส.ส. 121 เสียง และส.ว. 66 คะแนน  ซึ่งตามรัฐธรรมนูญกำหนดเกณฑ์ผ่านร่างแก้ไขไว้ 3 เงื่อนไข 

ดังนั้นผลการลงมติที่ประชุมมีคะแนนเสียงเห็นชอบ 472 คะแนน มากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา กึ่งหนึ่งคือ 365 คะแนนดังนั้นคะแนน 472 คะแนนมากกว่ากึ่งหนึ่งจึงผ่านเงื่อนไขที่ 1 ส่วนเงื่อนไขที่ 2 ในจำนวนนี้มีสมาชิกสภาฯ จากพรรคการเมืองที่สมาชิกมิได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ประธานสภาฯ หรือรองประธานสภาฯ เห็นชอบด้วย 142 คะแนน มากกว่าร้อยละ 20 คือ 49 คะแนน 

ดังนั้นคะแนนที่ได้เกินกว่าที่กำหนดเอาไว้ ถือว่าผ่านเงื่อนไขที่ 2 และเงื่อนไขที่ 3 คะแนนดังกล่าวมีส.ว.เห็นชอบ 149 คะแนน ไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดของส.ว. คือไม่น้อยกว่า 84 คน 

ดังนั้น ถือว่าที่ประชุมได้ลงมติผ่านทั้ง 3 เงื่อนไขเป็นการเห็นชอบให้ร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ..) พ.ศ..... แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 83 และมาตรา 91 ออกใช้เป็นรัฐธรรมนูญต่อไป โดยกระบวนการต่อไปจะเป็นไปตามมาตรา 256 (7) คือรอไว้ 15 วัน แล้วจึงจะนำร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมฉบับนี้ทูลเกล้าฯ โดยนายกรัฐมนตรี และมีผลบังคับตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 81 เมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษา 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top