Friday, 9 May 2025
POLITICS NEWS

'ก้าวไกล' ทวิตฉะ 'เพื่อไทย' ขัดขวางเชือด 'ลุงป้อม' เจอสวนกลับ ไม่เคยเปลี่ยนอุดมการณ์

น.ส.สุทธวรรณ สุบรรณ ณ อยุธยา ส.ส.นครปฐม พรรคก้าวไกล โพสต์ข้อความลงทวิตเตอร์ว่า พรรคก้าวไกลไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่อภิปรายพลเอกประวิตร ส.ส.รังสิมันต์ โรม พร้อมที่จะอภิปรายค่ะ เมื่อวันเสาร์-อาทิตย์ที่ผ่านมา เรายืนยันว่าเราแจ้งกับพรรคร่วมฝ่ายค้านแล้วว่าพวกเรามีความประสงค์จะอภิปรายพลเอกประวิตร แต่ไม่มีพรรคร่วมสนับสนุน 

หลังจากประชุมเมื่อวันพุธ ส.ส.ประเสริฐ เลขาเพื่อไทย แจ้งคุณชัยธวัช เลขาก้าวไกล ให้ส่งรายชื่อเพิ่มเติมภายใน 15.00 น.วันอาทิตย์ คุณชัยธวัช ส่งชื่อพลเอกประวิตรในวันอาทิตย์ บ่ายสองกว่า ๆ แต่สุดท้ายทางเพื่อไทยให้ก้าวไกลไปทบทวนใหม่ ทั้ง ๆ ที่การเสนอชื่อเป็นสิทธิของพรรคนั้น ๆ

ทำให้นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ทวิตกลับผ่าน Yuttapong_Official มีข้อความว่า ผมไม่ได้เปลี่ยนแปลงอุดมการณ์ และจุดยืนของผม เพราะผมได้เสนอพรรคพท.ให้ อภิปรายไม่ไว้วางใจ บิ๊กป้อม ในฐานะ “บิดาแห่งเรือดํานํ้าไทย” รวมเอาหลักฐานฯ เด็ด ให้ผู้บริหารฯพรรคพท. ดูแล้วเมื่อวันที่ 9 ส.ค. 64 , เรือดำนํ้าไม่ผิดเป็นไปได้ไง? #อภิปรายไม่ไว้วางใจ65 #บิ๊กป้อม #เพื่อไทย


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

ราเมศ ย้ำ เฉลิมชัย ตอบได้ทุกประเด็น ยึดซื่อสัตย์สุจริต จึงไม่คิดกลัวฝ่ายค้าน

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวเพิ่มเติมถึงประเด็นที่มีการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจว่า หลักการต้องถือว่าเป็นสิทธิของฝ่ายค้านในระบบประชาธิปไตยที่จะทำหน้าที่ตรวจสอบฝ่ายบริหาร เคารพในการทำหน้าที่ตามครรลอง ส่วนข้อมูลของฝ่ายค้านจะมีน้ำหนักมากน้อยขนาดไหนก็ต้องรอดูตอนอภิปราย  นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน เลขาธิการพรรคในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจด้วยก็ไม่ได้กังวลใจใดๆเลย สามารถตอบคำถามชี้แจงได้ทุกประเด็น ความจริง ความซื่อสัตย์ สุจริต สิ่งเหล่านี้เชื่อว่าจะทำให้ทุกคำตอบสิ้นข้อสงสัย 

นายเฉลิมชัย เป็นรัฐมนตรีที่มาจากลูกชาวบ้าน ได้ทำหน้าที่ดูแลกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ย่อมเข้าใจถึงความรู้สึกของพี่น้องประชาชนดี จะให้ใช้ตำแหน่งไปแสวงหาประโยชน์เพื่อตนเองหรือพวกพ้องไม่มีแน่นอนในส่วนของพรรคไม่ได้ตั้งวอร์รูมแต่อย่างใด แต่โดยส่วนตัวที่รับผิดชอบด้านกฎหมาย ก็จะสนับสนุนข้อมูลนายเฉลิมชัยอย่างเต็มที่ และในฐานะโฆษกพรรคหากมีการบิดเบือนข้อมูลจากฝ่ายค้าน ก็พร้อมที่จะชี้แจงทันที เราเชื่อมั่นในการทำหน้าที่ของนายเฉลิมชัยอย่างเต็มที่ ไม่มีทุจริตจึงไม่คิดกลัวฝ่ายค้านแต่อย่างใด

ครม.เห็นชอบ ลงนามรับบริจาคยาโมโนโคลนอลแอนติบอดี้ จากเยอรมัน -เห็นชอบ รับสนับสนุนวัคซีน แอสตราฯจากภูฏาน พร้อมส่งคืนให้ในอนาคต

ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.ไตรศุลี  ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)ว่า ครม. เห็นชอบให้อธิบดีกรมควบคุมโรค เป็นผู้มีอำนาจลงนาม สัญญาการลงนามในร่าง In-kind Donation Agreement ระหว่างกระทรวงสาธารณสุข ประเทศเยอรมัน กับ กระทรวงสาธารณสุขของไทย เพื่อรับบริจาคยาโมโนโคลนอลแอนติบอดี้ (ยาคาซิริวิแมบและอิมเดวิมาเมบ) จากเยอรมันของบริษัทรีเจนเนอรอน (Regeneron) จำนวน 1,000-2,000ชุด โดยเป็นการบริจาคแบบไม่มีเงื่อนไข เป็นไปตามหลักมนุษยธรรม โดยประเทศไทยในฐานะผู้รับบริจาค ไม่ต้องชำระค่าตอบแทนสำหรับยา แต่มีภาระในการรับมอบจาก Bundeswehrapotheke (ร้านขายยาทหาร) Epe และค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องได้แก่ ค่าขนส่ง ค่าจัดเก็บ  

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า นอกจากนั้น ครม.เห็นชอบการลงนามในร่าง FORM OF AGREEMENT Tripartite Agreement ระหว่างรัฐบาลภูฏาน รัฐบาลไทย และบริษัท แอสตราเซเนกาจำกัด  ซึ่งเป็นการรับมอบวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019(โควิด-19) ของบริษัท 
แอสตราเซเนกา จำกัด โดยให้อธิบดีกรมควบคุมโรคเป็นผู้มีอำนาจลงนามในสัญญา

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า รัฐบาลภูฏานมีความประสงค์จะมอบวัคซีนต้านโรคโควิด-19 ของบริษัท แอสตราเซเนกา จำนวน 130,000-150,000 โดส แก่ประเทศไทย ผลิตโดย Statens Serum Institute ประเทศสวีเดน บนพื้นฐานของการส่งมอบคืนในอนาคต ตามข้อตกลงไตรภาคี ระหว่างรัฐบาลภูฏาน  รัฐบาลไทย และบริษัทแอสตราเซเนกาจำกัด   

ครม. กำหนด วันที่ 5 ธ.ค. ของทุกปี เป็น"วันอาสาสมัครสากล"

น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)  ว่า ครม. เห็นชอบกำหนดให้มีการจัดงานวันอาสาสมัครสากล (International Volunteer Day: IVD) ตามมติสหประชาชาติ ในวันที่ 5 ธันวาคมเป็นประจำทุกปี เพื่อให้การขับเคลื่อนกิจกรรมด้านอาสาสมัครของไทยเผยแพร่สู่ระดับสากลและเป็นการยกระดับสู่การบรรลุเป้าหมายที่ยั่งยืน (SDGs) โดยกำหนดช่วงระยะเวลาการจัดกิจกรรมระหว่างวันที่ 21 ตุลาคม (วันอาสาสมัครไทย) ถึงวันที่ 5 ธันวาคม (วันอาสาสมัครสากล) ของทุกปี นอกจากนี้ ที่ประชุมได้มอบหมายให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นผู้รับผิดชอบหลัก และกระทรวงการต่างประเทศ ร่วมรับผิดชอบในส่วนของการสนับสนุนและประสานงานในการจัดกิจกรรมต่างๆ เนื่องในโอกาสวันอาสาสมัครสากล

ทั้งนี้ ความเป็นมาของ “วันอาสาสมัครสากล” ถูกกำหนดขึ้นจากมติขององค์การสหประชาชาติ (United Nations: UN) เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2528 ได้ประกาศให้วันที่ 5 ธันวาคมของทุกปี เป็นวันอาสาสมัครสากล และเชิญชวนประเทศต่างๆ จัดกิจกรรมเนื่องในโอกาสดังกล่าว ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลไทยให้ความสำคัญกับงานอาสาสมัคร โดยคณะรัฐมนตรีเคยมีมติ เมื่อ 19 ธันวาคม 2543 กำหนดให้ “วันที่ 21 ตุลาคมของทุกปี เป็นวันอาสาสมัครไทย” เพื่อส่งเสริมการจัดกิจกรรมต่างๆ เกี่ยวกับอาสาสมัคร สำหรับการจัดกิจกรรมวันอาสาสมัครสากลในไทย ทางกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้ร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ และโครงการอาสาสมัครแห่งสหประชาชาติ (United Nations Volunteer: UNV) ได้จัดงานวันอาสาสมัครสากลของประเทศไทยขึ้นเป็นครั้งแรกอย่างไม่เป็นทางการ เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2561 ณ ศูนย์ประชุมสหประชาชาติกรุงเทพมหานคร และจัดกิจกรรมตามหัวข้อที่องค์การสหประชาชาติกำหนดไว้ในแต่ละปี 

โฆษกรัฐบาลเผยผลสอบประมูลก่อสร้างรถไฟทางคู่สายเหนือ-อีสาน ยังไม่แล้วเสร็จ ขอรออีกนิด

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ตอบคำถามสื่อมวลชนแทนนายกรัฐมนตรีถึงกรณีที่นายกฯมีคำสั่ง ลงวันที่ 17 มิ.ย.64 แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการประมูลการก่อสร้าง รถไฟทางคู่ทั้งสายเหนือและสายอีสาน ขณะนี้เวลาล่วงเลยไป 2 เดือนแล้ว ผลตรวจสอบได้ข้อสรุปผลอย่างไรบ้าง มีการทุจริตหรือไม่ และนายกฯได้สั่งการกระทรวงคมนาคมดำเนินการอย่างไรต่อไปว่า ยังอยู่ในขั้นตอนการตรวจสอบ และทราบว่าในเรื่องที่ได้มีการยื่นไปไปกลับด้านองค์กรอิสระต่างๆในการที่จะตรวจสอบทั้งในเรื่องของความโปร่งใส ทั้งในเรื่องที่ว่ามีการทุจริตหรือไม่ ตรงนี้ก็ยังอยู่ในขั้นตอนการตรวจสอบก็ขอให้รอเวลาอีกนิดที่จะมีข้อสรุปออกมา

รัฐบาล แจงเหตุสั่งซื้อซิโนแวคเพิ่ม ยกงานวิจัยชี้ฉีดไขว้ภูมิสูงถึง4 เท่า-ป้องเดลต้าได้ ระหว่างรอวัคซีน​mRNA ช่วงปลายก.ย.-ต้น ต.ค.นี้ ยืนยันเป้าเดิมได้ครบ 100 ล้านโดสภายในปีนี้ สั่งคาดโทษคนสวมรอยจนท.ฉีดไฟเซอร์ 

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ตอบคำถามแทนนายกรัฐมนตรีถึงเหตุผลของรัฐบาลในการสั่งซื้อวัคซีนซิโนแวคเพิ่ม ทั้งที่ทราบอยู่แล้วว่าประสิทธิภาพไม่เพียงพอ ว่า มีเหตุผลด้านการวิจัยและการเก็บข้อมูลมารองรับ เนื่องจากตั้งแต่องค์การอนามัยโลกได้มีการอนุมัติให้มีการฉีดวัคซีนเข็มที่ 1 และเข็มที่ 2 แบบไขว้ชนิด ทางประเทศไทยจึงเริ่มมีการฉีดวัคซีนแบบไขว้และเก็บข้อมูลมาซึ่งข้อมูลที่ได้พบว่า ถ้าเป็นผู้ที่ฉีดซิโนแวคเข็มที่ 1 และเข็มที่ 2 จะมีภูมิ ต่ำกว่าการฉีดแอสตราตราเซเนกา 2 เข็ม และจากการเก็บข้อมูลพบว่าผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนซิโนแวคเข็มที่1 ไขว้ด้วยแอสตราเซเนกา เข็มที่ 2 จะทำให้ภูมิขึ้นมาสูงกว่า การฉีดวัคซีน​ซิโนแวค 2 เข็ม ถึง 4 เท่า และสามารถป้องกันไวรัสสายพันธุ์เดลต้าได้ด้วย จึงเป็นเหตุผลส่วนหนึ่งที่ประเทศไทยจะเริ่มฉีดวัคซีนในลักษณะนี้ ในผู้ที่ยังไม่เคยได้รับการฉีดวัคซีน ระหว่างรอวัคซีน​mRNA ที่จะมาในช่วงปลายเดือน ก.ย. หรือ ต้น ต.ค.นี้
 
เมื่อถามถึงกรณีรพ.เฉลิมพระเกียรติ ฉีดวัคซีนไฟเซอร์บูสเตอร์โดสเข็ม 3 ให้ภรรยาผอ.รพ.และกรณีแพทย์จ.นครศรีธรรมราช นำญาติที่ไม่ใช่บุคลากรด่านหน้ามาฉีดวัคซีนไฟเซอร์ กรณีแบบนี้จะจัดการอย่างไร นายอนุชา กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมา ได้มีการให้ทางจังหวัดสอบสวนตั้งคณะกรรมการขึ้นมา รวมถึงให้สาธารณสุขจังหวัดเข้ามาตรวจสอบ และต้องพิจารณาว่าหากตรวจสอบแล้วมีความผิดจริงก็ต้องดำเนินการลงโทษตามระเบียบวินัยต่อไป ย้ำว่ารัฐบาลไม่มีการให้นโยบายฉีดให้กับ VIP แต่อย่างใด

นายอนุชา ยังกล่าวถึงแผนการจัดหาวัคซีนว่าไทยจะได้ฉีดให้ประชากรในไทยคลอบคลุมทุกกลุ่มภายในสิ้นปีนี้แน่นอนหรือไม่ ว่า ปัจจุบันการฉีดวัคซีน มีข้อมูลว่าฉีดวัคซีนไปแล้วกว่า 24 ล้านโดส แบ่งเป็นเข็มที่ 1 ประมาณ 18.3 ล้านโดส เข็มที่ 2 ประมาณ 5.2 ร้านโดส และเข็ม Booster เข็มที่ 3 ให้กับบุคลากรทางการแพทย์และด่านหน้าประมาณ 500,000 โดส โดยคาดการณ์ว่าภายในสิ้นเดือนสิงหาคมนี้ จะสามารถฉีดได้ถึง 30 ล้านโดส โดยภายในเดือนนี้มีการฉีดระหว่างช่วงวันที่ 6 ส.ค.ได้สูงถึง 600,000 โดสต่อวัน เพราะฉะนั้นขึ้นอยู่กับวัคซีนที่จะเข้ามา ซึ่งสามารถเพิ่มศักยภาพในการฉีดได้ 

นายอนุชา กล่าวว่า ทั้งนี้ย้ำว่าในปี 2564 มีการยืนยันแล้วว่าจะมีวัคซีนเข้ามาครบ 100 ล้านโดส ภายในสิ้นปีนี้ เพราะฉะนั้นในช่วง 3 เดือนสุดท้ายตั้งแต่เดือนต.ค.-ธ.ค. จะมีศักยภาพในการฉีดมากกว่า 15 ล้านโดสอย่างแน่นอน ยืนยันว่าภายในสิ้นปีจำนวน 100 ล้านโดสก็จะสามารถดำเนินการได้ตามเป้าหมาย

ครม.รับทราบ การพัฒนากฎหมาย เพื่อเร่งรัดให้เกิดรัฐบาลดิจิทัล 

น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม.รับทราบการพัฒนากฎหมายเพื่อเร่งรัดให้เกิดรัฐบาลดิจิทัล (Digital Government) ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ ซึ่งที่ผ่านมาสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ดำเนินการพัฒนากฎหมายไปแล้ว อาทิ 1.จัดทำพ.ร.บ.การปฏิบัติราชการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. .... โดยมีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ยื่นคำขอหรือการติดต่อใดๆ ระหว่างประชาชนกับหน่วยงานรัฐหรือระหว่างหน่วยงานรัฐด้วยกัน สามารถทำโดยวิธีทางอิเล็กทรอนิกส์ได้ ซึ่งขณะนี้ร่างพ.ร.บ.ดังกล่าวอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร 2.จัดทำระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยงานสารบรรณ (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2564 (ระเบียบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์) โดยหน่วยงานของรัฐต้องใช้อีเมลในการสื่อสารเป็นหลักมีผลตั้งแต่วันที่ 23 สิงหาคม 2564 เป็นต้นไป ซึ่งจะทำให้สามารถพัฒนาต่อยอดไปใช้ในการจัดทำระบบข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ได้ 3.ปรับปรุงกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน เพื่อให้ภาคเอกชนสามารถดำเนินงานทางอิเล็กทรอนิกส์ได้ โดยร่วมกับกระทรวงพาณิชย์จัดทำร่างพ.ร.บ.บริษัทมหาชนจำกัด (ฉบับที่..) พ.ศ. .... (แก้ไขเพิ่มเติมให้ทันสมัย 6 ประเด็น)  ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงให้บริษัทมหาชนจำกัดและคณะกรรมการบริษัทมหาชนจำกัด สามารถทำกิจกรรมต่างๆ ด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ได้ ซึ่งขณะนี้ร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร

น.ส.รัชดา กล่าวอีกว่า 4.ปรับปรุงวิธีการเขียนกฎกระทรวงและกฎหมายลำดับรองอื่นให้หน่วยงานของรัฐให้บริการแก่ประชาชนด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ ตามมาตรา 8 และมาตรา 9 แห่งพ.ร.บ.การอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ.2558 ซึ่งปัจจุบันมีกฎหมายลำดับรองระดับกฎกระทรวงที่ผ่านการพิจารณาทั้งหมด 75 ฉบับ และพร้อมรองรับการดำเนินการด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์แล้ว และ 5.จัดทำระบบกลางทางกฎหมาย เพื่อให้เป็นแพลตฟอร์มกลางเกี่ยวกับกฎหมาย ที่ให้บริการแบบจุดเดียวเบ็ดเสร็จ (One Stop Service) แก่หน่วยงานของรัฐและประชาชน ตั้งแต่วันที่ 2 สิงหาคม 2564 แล้ว สำหรับการดำเนินการระยะถัดไปจะเป็นการขยายการให้บริการข้อมูลกฎหมายทั้งหมดของประเทศ โดยมีกำหนดแล้วเสร็จสมบูรณ์ภายในเดือนกรกฎาคม 2565

ครม. ให้ กำหนดมาตรฐาน ถุงมือยางตรวจโรค แบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง หลังพบ มีมิจฉาชีพ รีไซเคิลขาย 

ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.ไตรศุลี  ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ว่า ครม.อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมถุงมือสำหรับการตรวจวินิจฉัยทางการแพทย์ชนิดใช้ครั้งเดียวต้องเป็นไปตามมาตรฐาน เพื่อคุ้มครองความปลอดภัยและสร้างความมั่นใจแก่บุคลากรทางการแพทย์ หน่วยงานต่างๆ และประชาชนทั่วไป 

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019(โควิด -19)  ทำให้เกิดความต้องการใช้ถุงมือยางจำนวนมาก จึงทำให้กลุ่มมิจฉาชีพแอบอ้างเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าของผู้ผลิตถุงมือยางแบรนด์ต่างๆ โดยหลอกให้ผู้ซื้อโอนเงินค่าสินค้า หรือหลอกขายถุงมือยางเก่าที่ใช้งานแล้ว ส่งผลให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ซื้อ จึงมีความจำเป็นต้องกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมถุงมือสำหรับการตรวจวินิจฉัยทางการแพทย์ชนิดใช้ครั้งเดียว หรือที่เรียกว่า ถุงมือยางตรวจโรค ต้องเป็นไปตามมาตรฐานเลขที่ มอก.1056 เล่ม 1-2556 โดยให้มีผลใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนด 120 วัน นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ผู้ทำและผู้นำเข้าจะต้องขอรับใบอนุญาตทำหรือนำเข้าผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมถุงมือสำหรับการตรวจวินิจฉัยทางการแพทย์ชนิดใช้ครั้งเดียว ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 20 หรือมาตรา 21 แห่งพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พ.ศ. 2511 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และผู้จำหน่ายต้องจำหน่ายผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมที่เป็นของผู้ได้รับอนุญาต และมีการแสดงเครื่องหมายมาตรฐานที่ถูกต้องครบถ้วน 

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ประโยชน์ที่ประชาชนและสังคมได้รับจะช่วยให้บุคลากรทางการแพทย์ หน่วยงานต่างๆ และประชาชนทั่วไปได้ใช้ถุงมือยางตรวจโรคที่มีคุณภาพ ป้องกันการนำเข้าถุงมือยางตรวจโรคที่ไม่มีคุณภาพ นอกจากนี้ยังเป็นการส่งเสริมให้ผู้ทำผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมถุงมือยางตรวจโรค มีการพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์อีกด้วย

“ครม.” เทงบ 9 พันล้านบาท ซื้อวัคซีน เพิ่มเติม 20 ล้านโดส คาดส่งมอบภายในปี 64 พร้อมรับทราบให้คร.ลงนามซื้อไฟเซอร์เพิ่มอีก 10 ล้านโดส รวมยอด30 ล้านโดส  

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)ว่า ครม.เห็นชอบโครงการจัดหาวัคซีนป้องกันโควิด-19 ยี่ห้อไฟเซอร์ สำหรับประชาชนคนไทยเพิ่มเติมอีก 20,001,150 โดส เป็นส่วนที่เคยลงนามไปแล้ว โดยวงเงินอนุมัติจะต้องนำไปชำระ จำนวน 9,372 ล้านบาท แบ่งเป็นการจัดหาวัคซีนประมาณ 8,439 ล้านบาท และเป็นค่าบริการจัดการประมาณ 933 ล้านบาท คาดว่าจะส่งมอบภายในไตรมาสที่ 4 ของปี 2564 ช่วงประมาณปลายเดือนก.ย.-ต้นเดือนต.ค.นี้ 

นายอนุชา กล่าวว่า นโยบายรัฐบาล จะจัดหาวัคซีนให้แก่ประชาชน 100 ล้านโดส ภายในสิ้นปี 2564 สำหรับสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค จึงให้มีจัดหาวัคซีนที่มีเทคโนโลยีการผลิตที่แตกต่างกันให้สามารถครอบคลุมการกลายพันธุ์ของไวรัส โควิด-19 ที่มีอยู่ทั่วโลกทั้งในปัจจุบันและในอนาคต ซึ่งจะช่วยให้สามารถสร้างภูมิคุ้มกันหมู่แก่คนไทยได้อย่างแท้จริง ลดอัตราการป่วยการเสียชีวิต และลดค่าใช้จ่ายภาครัฐในการดูแลรักษาผู้ป่วยจากโรค COVID-19 รวมทั้งลดผลกระทบพื้นฟูสภาพเศรษฐกิจและสังคมให้กลับสู่สภาวะปกติได้โดยเร็ว

นอกจากนี้นายอนุชา ได้แถลงผลประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)ว่า ครม. ได้รับทราบการจัดซื้อวัคซีนไฟเซอร์เพิ่มเติมอีก 10 ล้านโดส โดยมอบหมายให้กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เป็นผู้ที่ลงนามกับตัวแทนบริษัทไฟเซอร์ซึ่งจะทำให้มีวัคซีนชนิด mRNA ยี่ห้อไฟเซอร์ 30 ล้านโดส ภายในไตรมาสที่ 4 ของปี 2564 โดยการทำข้อตกลงเพื่อจัดหาวัคซีนไฟเซอร์ จะทำให้ไทยมีวัคซีนโควิด-19 กระจายให้ประชาชนเกือบครบทุกชนิด ทั้งmRNA ของไฟเซอร์ และโมเดอร์นา ชนิดเชื้อตาย ของซิโนแวคและซิโนฟาร์ม ชนิดไวรัลเวกเตอร์ ของแอสตราเซนเนก้า

นายอนุชา กล่าวว่า นายกฯ ขอบคุณทุกหน่วยงานที่สนับสนุนให้สามารถจัดหาวัคซีนไฟเซอร์ 30 ล้านโดส รวมถึงวัคซีนเทคโนโลยีต่างๆมาฉีดให้แก่ประชาชน และขอให้มีการบริหารจัดการกระจายวัคซีนให้ดีด้วยแผนที่ชัดเจน รวมถึงการให้ข้อมูลการจัดสรรแก่ประชาชนต่อไป

"บิ๊กตู่"ห่วงการเมืองทั้งใน-นอกสภาฯ “หวั่น” เหตุการณ์บานปลายเหมือนม็อบในอดีต วอนประชาชนเลี่ยงชุมนุม “ขู่” พวกที่เคยมีคดีต้องพิจารณาให้รอบคอบ พร้อมยันไม่หวั่นศึกซักฟอก กำชับ ครม.ทำการบ้าน “โว” ถือเป็นโอกาสดีใช้เป็นเวทีขี้แจงต่อประชาขน และสมาชิกในสภา

ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี( ครม.) พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มอบหมายให้นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ตอบคำถามสื่อมวลชน โดยเมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีการชุมนุมทางการเมืองที่มักจะมีความวุ่นวายหลังการชุมนุมหลักยุติ ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ให้นโยบายอย่างต่อเนื่องว่าให้เจ้าหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อยโดยให้ยึดกฎหมายที่มีอยู่ดำเนินการอย่างระมัดระวัง รวมทั้งการสลายการชุมนุมก็ขอให้ยึดหลักสากลเป็นหลัก 

นายอนุชา กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ให้มีการระงับเหตุรุนแรงที่จะเกิดขึ้นโดยเฉพาะจากผู้ชุมนุม อีกทั้งขณะนี้ไม่ใช่มีเพียงผลกระทบต่อประชาชนทั่วไป ทั้งในส่วนของการจราจรและการทำลายทรัพย์สินของราชการอย่างที่ปรากฏในข่าวอย่างต่อเนื่อง หรือแม้กระทั่งการทำร้ายเจ้าหน้าที่ด้วยวิธีการต่างๆ และย้ำว่าทุกอย่างต้องดำเนินการทางกฎหมายกับผู้ที่กระทำความผิด โดยเจ้าหน้าที่มีความจำเป็นในการดำเนินการเพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยกับบ้านเมืองโดยเร็ว

เมื่อถามว่านายกรัฐมนตรี มีความเป็นห่วงสถานการณ์ทางการเมือง ทั้งใน และ นอกสภาฯอย่างไร นายอนุชา กล่าวว่า นายกรัฐมนตรี มีความเป็นห่วงถึงสถานการณ์ปัจจุบันที่ยังมีการแพร่ระบาดของโควิด-19 อยู่ และเป็นช่วงสำคัญที่กำลังให้ประชาชนคนไทยทุกคนให้ความร่วมมือ ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์ ขอบคุณคนไทยส่วนใหญ่ที่ให้ความร่วมมืออย่างดี ที่ไม่ไปรวมตัวกันในกิจกรรมต่างๆ และต้องขออภัยกับความเดือดร้อนในกรณีที่ต้องมีมาตรการในการปิดกิจกรรมและกิจการบางส่วน 

“ขณะเดียวกันนายกรัฐมนตรีไม่ต้องการให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยในบ้านเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่อยากให้กลับไปเหมือนในอดีตในช่วงที่มีการชุมนุม แล้วอาจจะมีเหตุการณ์บานปลายเกิดขึ้น ดังนั้นขอให้ประชาชนหลีกเลี่ยงในการออกมาชุมนุม เพราะหากออกมาในช่วงนี้ก็ต้องถูกเจ้าหน้าที่ดำเนินคดีตามกฎหมายและในหลายส่วนที่ต้องส่งฟ้อง หากส่งฟ้องแล้วมีการดำเนินการผิดเงื่อนไขของการที่ศาลให้ประกันตัวก็ต้องโดนคุมขัง ดังนั้น จึงขอให้ผู้ที่ถูกดำเนินคดีแล้วพิจารณาในส่วนนี้ด้วย” นายอนุชากล่าว

นอกจากนี้ภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม มอบหมายให้นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงตอบคำถามต่อสื่อมวลชน ถึงความพร้อมในการรับมือศึกซักฟอกที่จะมีขึ้นว่า นายกรัฐมนตรีกล่าวเสมอให้คณะรัฐมนตรี(ครม.) ที่อยู่ในรายชื่อที่จะถูกอภิปรายได้เตรียมความพร้อม และนายกรัฐมนตรีระบุว่าถือเป็นโอกาสที่ดีที่จะชี้แจงให้ประชาชนได้ทราบในมุมต่างๆ ในการทำงานของรัฐบาลว่า สิ่งที่ผ่านมาอาจเกิดความเข้าใจผิดจากการไม่ได้ชี้แจงให้ครบถ้วน ดังนั้นจังหวะที่จะใช้เวทีของสภาผู้แทนราษฎรในการอภิปรายไม่ไว้วางใจในครั้งนี้ จึงเป็นโอกาสอันดีที่จะสื่อสารให้ประชาชน โดยเฉพาะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้รับทราบถึงการทำงานที่ผ่านมาด้วย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top