Friday, 9 May 2025
NEWS

'หมอยง' อธิบายชัด ‘Sinovac’ วัคซีนเชื้อตาย ป้องกันการติดเชื้อได้ดี โดยเฉพาะการข้ามสายพันธุ์ของไวรัส

เมื่อวันที่ 2 มีนาคม ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กระบุว่า

โควิด 19 วัคซีน Sinovac วัคซีนเชื้อตาย

ในระบบภูมิคุ้มกัน การผลิตวัคซีนส่วนใหญ่ จะมุ่งเน้นสร้างภูมิต้านทานต่อหนามแหลม (spike) ของไวรัสที่ยื่นออกไป เช่นวัคซีน mRNA, virus Vector

แต่ในความเป็นจริง ในระบบภูมิต้านทานของร่างกายอาจจะยับยั้งไวรัสไม่เฉพาะหนามแหลม spike protein ยังมีแกนเปลือก nucleocapsid

ในการตรวจวัดภูมิต้านทาน เราสามารถตรวจ antibody ต่อการแกนเปลือก นี้ได้ด้วย ซึ่งอาจจะมีความสำคัญช่วยเสริมในระบบภูมิต้านทาน ในการต่อต้านการติดเชื้อของไวรัสก็เป็นได้

วัคซีนเชื้อตาย จะมีส่วนประกอบของตัว กระตุ้นภูมิต้านทานหลายอย่างคล้ายกับไวรัสในธรรมชาติ มากกว่าการสร้างเฉพาะส่วนหนามแหลม จำเป็นจะต้องมีการศึกษาเพิ่มเติม ในระบบภูมิต้านทานโดยเฉพาะส่วนอื่นที่ไม่ใช่หนามแหลม spike

ดังนั้น วัคซีนเชื้อตาย ที่ทำมาจากไวรัสทั้งตัว อาจจะป้องกันการติดเชื้อได้ดีกว่า โดยเฉพาะการข้ามสายพันธุ์ของไวรัส โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงพันธุกรรม ในส่วนหนามแหลม เพราะมีส่วนอื่นเข้ามาช่วยเสริมก็เป็นได้

ครูหยุย - วัลลภ ประกาศชัด ไม่เห็นชอบร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ เหตุห่วงพระราชอำนาจของสถาบันเบื้องสูงถูกละเมิด ยืนยันเจตจำนงไร้ใบสั่งใดๆ

นายวัลลภ ตังคณานุรักษ์ สมาชิกวุฒิสภา ให้สัมภาษณ์เพื่อยืนยันต่อจุดยืนไม่เห็นชอบร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ‘วาระสาม’ ที่เตรียมเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา ช่วงกลางเดือนมีนาคมหลังจากพ้นระยะเวลา 15 วัน เนื่องจากตนกังวลต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตราที่ว่าด้วยพระราชอำนาจของสถาบันพระมหากษัตริย์ที่บัญญัติไว้ในมาตราอื่น ๆ นอกจากหมวด 2 พระมหากษัตริย์

ทั้งนี้การแสดงจุดยืนของตนดังกล่าวไม่เกี่ยวกับกระแสข่าวที่มีใบสั่งจากผู้มีอำนาจไม่ต้องการให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560

อย่างไรก็ดี ที่ผ่านมาตนไม่ขัดข้องต่อการกำหนดให้มีสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) เพื่อทำรัฐธรรมนูญใหม่ หรือการแก้ไขการออกเสียงวาระรับหลักการและวาระเห็นชอบรัฐธรรมนูญ

แต่เมื่อส.ว.บางส่วนกังวลต่อการละเมิดพระราชอำนาจและขอให้บัญญัติไว้ ไม่ได้รับการตอบรับ ตนจึงให้คำยืนยันว่าจะไม่ลงมติเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขวาระสาม

“ใครจะด่าก็ช่าง เพราะผมถือว่าได้ทำหน้าที่ หากจะถามถึงผลกระทบที่เกิดขึ้น แต่ละด้านล้วนมีผลกระทบเกิดขึ้นทั้งหมด สำหรับรายละเอียดในความกังวลต่อสถาบัน ที่ส.ส.ไม่รับไว้พิจารณานั้น ทราบว่า ส.ว.ที่ขอแปรญัตติไม่สบายใจ แต่ผมไม่ทราบว่าพวกเขาจะลงมติอย่างไร” นายวัลลภ กล่าว

นายวัลลภ กล่าวด้วยว่าสำหรับการนัดประชุมรัฐสภา เพื่อลงมติวาระสาม เชื่อว่านายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา จะนัดเมื่อครบกำหนดพ้น 15 วัน เพราะนายชวนเป็นผู้ที่มีหลักการหนักแน่น และไม่ต้องรอเวลาใดๆ ทั้งสิ้น ส่วนรัฐบาลฐานะผู้ที่ต้องดำเนินการตามขั้นตอนขอพระราชกฤษฎีกาเปิดประชุมรัฐสภา สมัยวิสามัยเชื่อว่าจะไม่มีอะไรตุกติก เพราะรัฐบาลถือว่าเป็นผู้ใหญ่


ที่มา: https://siamrath.co.th/n/224233

“นภาพร” แนะ “บิ๊กตู่” ปรับรัฐมนตรีไร้ผลงานออก ล็อกเป้าเน้น “มท.1” ไม่เคยทำอะไรเพื่อพัฒนาการปกครองส่วนท้องถิ่น ย้ำ! “บิ๊กตู่” อย่าฟังแต่เสียงกลุ่มก๊วนในพรรคร่วมรัฐบาล

นางสาวนภาพร เพ็ชร์จินดา ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเสรีรวมไทย เห็นว่าการปรับ ครม.ที่กำลังจะเกิดขึ้นเป็นโอกาสสุดท้ายของ พล.อ.ประยุทธ์แล้วว่าจะปรับเพื่อตอบสนองความต้องการของ ส.ส.ในพรรครัฐบาลหรือจะปรับเพื่อเอาคนดีมีฝีมือเข้ามาแก้ปัญหาประเทศ ถ้าจะปรับเพื่อเล่นเก้าอี้ดนตรีในหมู่พรรคร่วมรัฐบาล ก็เชื่อว่ารัฐบาลชุดนี้คงอยู่ได้อีกไม่นาน เพราะแค่เห็นรายชื่อบุคคลที่จะเข้ามาแทนแล้ว ชาวบ้านได้แต่ส่ายหน้าเพราะไม่มีประวัติผลงานอะไรให้เชื่อถือได้เลย

“คนที่ควรจะถูกปรับออกไปก็อย่างเช่น พล.อ.อนุพงศ์ เผ่าจินดา ซึ่งมีหน้าที่ดูแลทุกข์สุขประชาชน แต่เราแทบไม่เคยเห็น มท.1 ลงพื้นที่เลย โดยเฉพาะในจังหวัดที่ชาวบ้านเดือดร้อนจากโควิด เห็นแต่ผู้ว่าลงไปช่วยจนติดเชื้อ นอกจากเรื่ององค์การทหารผ่านศึกรับงานขุดลอกคูคลองหรือการซอยงานขุดลอกคูคลองให้เหลือโครงการละไม่เกิน 5 แสนบาทเพื่อหลบเลี่ยงการประมูล เราเคยเห็นผลงานอะไรของเขาอีกบ้าง แค่เป็นพี่น้อง 3 ป.ก็นั่งหล่อในคลองหลอดได้ถึง 7 ปี แต่ไม่เคยทำอะไรให้กับการปกครองท้องถิ่นเลย นอกจากจับพวกเขาแช่แข็งตอนยึดอำนาจ” น.ส.นภาพร กล่าว

น.ส.นภาพร กล่าวต่อว่า รัฐมนตรีหลายคนใน ครม.ชุดนี้โลกลืม ไม่เคยปรากฎเป็นข่าว ไม่มีผลงานใดใดให้จับต้องได้ นอกจากมีข่าวว่าชอบมุดไปบ้านพักบ้านป่ารอยต่อเป็นประจำ อย่างอื่นก็ไม่เห็นมีผลงานอะไรให้ชาวบ้านพูดถึง หรือหลายคนมีบาดแผลจากการถูกอภิปรายแต่ชี้แจงอะไรไม่ได้ และกำลังจะถูกฝ่ายค้านร้องไปยัง ปปช. ดังนั้น พล.อ.ประยุทธ์ควรถือโอกาสปรับคนเหล่านี้ออกไป ไม่ใช่ไปฟังแต่เสียงกลุ่มก๊วนในพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งจะทำให้อายุของรัฐบาลสั้นลงไปทุกที

‘ทัพไทย’ ยันลงโทษแพทย์ทหาร หลอกฉีดวัคซีนกำลังพลในเซาท์ซูดาน - พร้อมดำเนินคดี อยู่ระหว่างการจับกุมตามหมายจับ ระบุเป็นเรื่องส่วนตัว ไม่เกี่ยวข้องกับกองทัพ ยอมรับไม่ผ่านการคัดเลือกก่อนส่งไปปฏิบัติหน้าที่ เผยเรื่องนี้ยูเอ็นไม่ติดใจ

กองบัญชาการกองทัพไทย (บก.ทท.) พล.ท.เชาวลิตร สังฆฤทธิ์ โฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย พร้อมด้วย พล.ต.ณัฐพล แสงจันทร์ ผู้อำนวยการศูนย์สันติภาพ กรมยุทธการทหาร แถลงข่าว กรณีกำลังพลร้อยทหารช่างเฉพาะกิจไทย/เซาท์ซูดาน (UNMISS) ประพฤติผิดวินัยร้ายแรงในการหลอกลวงฉ้อโกงเงินกำลังพลเพื่อเข้ารับการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่สายพันธ์แอฟริกาช่วงการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19

พล.ท.เชาวลิตร กล่าวว่า ตามที่ได้มีการนำเสนอข่าว เกี่ยวกับนายทหารที่ไปปฏิบัติภารกิจที่เซาท์ซูดานถูกสอบสวนกรณีหลอกลวงฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ในประเทศแอฟริกานั้น กองบัญชาการกองทัพไทย ขอเรียนว่าเหตุการณ์ในลักษณะดังกล่าวเป็นเรื่องจริงเมื่อปี 2563 โดยนายทหารสัญญาบัตรยศร้อยโท ตำแหน่งนายแพทย์โรงพยาบาลสนามระดับ 1กองร้อยทหารช่างเฉพาะกิจ ไทย/เซาท์ซูดาน

อย่างไรก็ตาม ได้มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนและรายงานให้ผู้บังคับบัญชากองกำลังภารกิจสหประชาชาติในเซาท์ซูดาน และกองทัพบก ซึ่งเป็นหน่วยต้นสังกัดทราบแล้ว พร้อมทั้งให้กำลังพลดังกล่าวจบภารกิจและส่งตัวกลับประเทศไทย เมื่อ มี.ค 2563

พล.ท.เชาวลิตร กล่าวอีกว่า กรณีดังกล่าวเป็นเหตุการณ์ที่ส่งผลต่อภาพลักษณ์ของกองทัพไทยและประเทศไทยในภารกิจร่วมสหประชาชาติ ซึ่งต่อกรณีดังกล่าว ทางกองทัพไทยได้ดำเนินการอย่างทันท่วงที โดยไม่มีการปกป้องผู้กระทำผิดแต่อย่างใด และกองทัพบกในฐานะเป็นต้นสังกัดกำลังพลดังกล่าว ได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง รวมถึงพิจารณาในประเด็นมาตรฐานทางจริยธรรมควบคู่กันไป

สำหรับผลการสอบสวนสรุปว่า นายทหารท่านดังกล่าวได้กระทำผิดจริง มีพฤติกรรมหลอกลวงผู้บังคับบัญชาและกำลังพล ให้ฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ โดยแอบอ้างว่าเป็นคำสั่งของนายแพทย์ประจำภารกิจ แต่กลับนำสารอื่นเข้าสู่ร่างกายกำลังพลแทน พร้อมทั้งได้เรียกเก็บเงินกำลังพลเป็นค่าวัคซีนด้วย แสดงถึงเจตนาทุจริตหลอกลวง พฤติกรรมดังกล่าวเข้าข่ายฉ้อโกงและประพฤติผิดวินัยอย่างร้ายแรง

ทั้งนี้ในระหว่างการสอบสวนนายทหารคนดังกล่าวไม่มาปฏิบัติหน้าที่ราชการ และไม่สามารถติดต่อได้ หน่วยต้นสังกัดจึงได้ดำเนินการในฐานความผิดหนีราชการในเวลาประจำการ และเสนอปลดออกจากราชการ พร้อมกันนี้ศาลทหารกรุงเทพ ได้ออกหมายจับในข้อหาหนีราชการดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว

นอกจากนั้นได้มีหนังสือถึงแพทยสภาให้พิจารณา เพิกถอนใบอนุญาตผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณา ในระหว่างนี้แพทยสภาจะให้โอกาสนายแพทย์คนดังกล่าวมาชี้แจงอีกครั้ง หลังจากเรียกมาให้ข้อมูลครั้งนึงแล้ว หากไม่มาก็จะถอนใบประกอบวิชาชีพต่อไป

“เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ขอเรียนว่าเป็นการกระทำผิดส่วนบุคคล เป็นเรื่องที่ผิดวินัยทหารและกฎหมาย รวมทั้งสร้างความเสื่อมเสียร้ายแรงต่อชื่อเสียงของกองทัพและประเทศชาติ กองทัพไทยได้ดำเนินการตามกฎระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องโดยทันที เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับผู้ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงได้ดำเนินการเรื่องจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพเวชกรรมทั้งนี้เพื่อป้องกันผลกระทบและสร้างความเข้าใจต่อสาธารณชนทั่วไป”โฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย กล่าว

อย่างไรก็ตาม ทางกองกำลังสหประชาชาติก็มีความเข้าใจในกระบวนการที่กองทัพไทยได้ดำเนินการต่อเรื่องดังกล่าว โดยเหตุการณ์ดังกล่าวไม่กระทบต่อภารกิจโดยรวมของกองร้อยทหารช่างเฉพาะกิจไทย/เซาท์ซูดาน ซึ่งกำลังพลทุกนายยังทุ่มเทปฏิบัติงานด้านการช่างและการรักษาสันติภาพที่ได้รับมอบหมายอย่างต่อเนื่อง

พล.ท.เชาวลิตร กล่าวว่า ตั้งแต่มีการจัดกองกำลังไปปฏิบัติงานในนามของสหประชาชาติไม่เคยเกิดเรื่องเช่นนี้มาก่อนครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกเนื่องจากที่ผ่านมาเรามีกระบวนการคัดเลือกบุคลากร ศึกษาถึงภูมิหลัง สอบถามผู้บังคับบัญชา แต่กรณีของนายแพทย์คนดังกล่าว ไม่ได้ผ่านขั้นตอนการคัดเลือก เนื่องจากไปแทนนายแพทย์คนเดิมที่ต้องกลับมาประเทศไทยในช่วงนั้น จึงเป็นเรื่องกะทันหันไม่ได้มีการพิจารณาตามขั้นตอนต่างๆ

โฆษกกองทัพไทย กล่าวอีกว่า จากการตรวจสอบของคณะกรรมการฯ นายแพทย์คนดังกล่าว ยอมรับกับ ผบ.ร้อยทหารช่างฯ เองว่าทำคนเดียวไม่มีใครเข้ามาเกี่ยวข้อง โดยได้จัดซื้อวัคซีนจากประเทศอินเดีย ซึ่งทางยูเอ็นนำไปตรวจสอบ พบว่า เป็นวัคซีนป้องกันโรคบาดทะยักไม่ใช่ป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์แอฟริกา ส่วนกำลังพลที่เสียหายไม่ได้ติดใจอะไร เนื่องจากจำนวนเงินที่เสียหายต่อคนประมาณแค่ 500 บาท รวมกำลังพลกว่า 200 นายรวมจำนวนแล้วประมาณ 1.7 แสนกว่าบาท ซึ่งไม่ได้เป็นจำนวนเงินมากมาย แต่สิ่งที่ตระหนัก คือ เรื่องของคุณธรรมจริยธรรม

ส่วนกรณีที่แพทย์คนนั้นได้อ้างว่าเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง ซึ่งเป็นโรคที่ห้ามเป็นทหารนั้น ไม่ขอตอบประเด็นนี้ แต่การเป็นทหารและเรียนการแพทย์ทหารบก ทั้งสมองและร่างกายจะต้องมีความแข็งแรงสมบูรณ์ จะไม่รู้เจตนาว่าทำไปทำไม อีกทั้งตัวเขาเองนั้นก็ยศร้อยโท อายุไม่มากนัก ส่วนร่างกายที่อ้างว่าถูกกำลังพลของกองร้อยทหารช่างฯคุกคามข่มขู่นั้น ก็ไม่เป็นความจริง เพราะจากการสอบถามกำลังพลทั้งหมดให้ความเห็นไปในทิศทางเดียวกันในขณะที่ทบ. และแพทยสภาเปิดโอกาสให้ชี้แจง ตัวเขาก็ไม่มาชี้แจง

พล.ต.ณัฐพล กล่าวว่า สำหรับการดำเนินการฉีดวัคซีนให้กับกำลังพลที่เดินทางไปในพื้นที่ดังกล่าวจะมีมาตรฐานจากยูเอ็นกำหนดไว้ โดยก่อนออกเดินทางทุกคนจะได้รับวัคซีน 3ชนิดคือ ไข้เหลือง, กาฬหลังแอ่น, อหิวาตกโรค หากมีความต้องการฉีดเพิ่มต้องออกค่าใช้จ่ายเอง ซึ่งช่วงดังกล่าวมีการแพร่ระบาดโควิด และมีการแนะนำว่าหากฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่จะช่วยไม่ให้ติดเชื้อ โควิด-19 ส่วนปัญหาที่เกิดขึ้นจากการส่งแพทย์คนดังกล่าวไปแทนคนเก่านั้น ก็เป็นเหตุสุดวิสัย

การบินไทยยื่นแผนฟื้นฟู ตั้ง ‘ปิยสวัสดิ์ - จักรกฤศฎิ์’ บริหาร เตรียมปรับโครงสร้างองค์กรกระชับขึ้น ลดจำนวนผู้บริหาร ลดขั้นตอนการบังคับบัญชา เพื่อดำเนินงานได้คล่องตัว

นายชาญศิลป์ ตรีนุชกร รักษาการแทนกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ขณะนี้การบินไทยได้จัดทำแผนฟื้นฟูกิจการจนแล้วเสร็จและได้ยื่นแผนฟื้นฟูกิจการต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เป็นที่เรียบร้อยแล้วตามกำหนดระยะเวลาตามกฎหมาย โดยขั้นตอนจากนี้เจ้าหนี้จะได้รับสำเนาแผนฟื้นฟูกิจการจากเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ต่อไป ซึ่งการดำเนินการครั้งนี้เป็นตามที่ศาลล้มละลายกลางได้มีคำสั่งให้การบินไทยฟื้นฟูกิจการและตั้งผู้ทำแผนเมื่อวันที่ 14 ก.ย. 2563

“การบินไทยได้พยายามอย่างเต็มที่ในการจัดเตรียมแผนฟื้นฟูกิจการที่เป็นประโยชน์และเป็นธรรมกับเจ้าหนี้ทั้งหลายมากที่สุด และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าแผนฟื้นฟูกิจการฉบับนี้จะได้รับการยอมรับจากเจ้าหนี้และได้รับการสนับสนุนจากทุกภาคส่วน โดยในเบื้องต้น คณะผู้ทำแผนเสนอให้ นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ และนายจักรกฤศฎิ์ พาราพันธกุล เป็นผู้บริหารแผนที่จะบริหารและจัดการธุรกิจภายใต้กระบวนการฟื้นฟูกิจการต่อไป”

สำหรับผู้ทำแผนได้เตรียมความพร้อมที่จะดำเนินการตามแผนเอาไว้เป็นอย่างดีและได้ดำเนินการให้สำเร็จลุล่วงไปแล้วดังที่กล่าวไว้ข้างต้น เช่น ได้เตรียมแผนการประกอบธุรกิจ ได้เริ่มเตรียมความพร้อมที่จะดำเนินการปรับโครงสร้างองค์กรให้กระชับขึ้น ในส่วนของพนักงาน มีการลดจำนวนผู้บริหาร อีกทั้งยังมีการลดขั้นตอนการบังคับบัญชา เพื่อให้การดำเนินงานต่างๆ คล่องตัวขึ้น คณะผู้ทำแผนจึงมั่นใจได้ว่าผู้บริหารแผนจะสามารถดำเนินการตามแผนฟื้นฟูกิจการ เพื่อให้การบินไทยกลับมาประกอบธุรกิจได้

นายกฯ แจ้ง ครม.ปรับไว ปลาย มี.ค.- ต้น เม.ย. วอนการเมืองหยุดกระเพื่อม ลั่นทุกกระทรวงต้องไม่มีทุจริต ในฐานะนายกฯ ต้องทำประเทศปลอดภัย สงบสุข มีเสถียรภาพ ทั้งความมั่นคง - ศก.- สังคม - การเมือง

ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เกี่ยวกับโฉมหน้ารัฐบาลบิ๊กตู่ 2/3 ว่าจะได้ยลโฉมเมื่อไร และคาดว่าจะดูดีขึ้นหรือไม่ว่า เร็วๆ นี้ ได้มีการหารือกับพรรคการเมืองไว้เรียบร้อยหมดแล้ว สุดท้ายเป็นเรื่องของนายกฯ ตัดสินใจ ก็จะต้องทำให้เร็วที่สุด และวันนี้เป็นการแต่งตั้งรักษาการเป็นการชั่วคราว ก็คงไม่นานนัก และเป็นการสานต่อแนวทางเดิมจนกว่าจะมีรัฐมนตรีว่าการคนใหม่ขึ้นมาก็แค่นั้นเอง

เมื่อถามว่าการปรับ ครม.ที่มีข่าวว่านายกฯ แจ้งในที่ประชุมว่าจะปรับให้เสร็จภายในเดือน มี.ค. หรือต้น เม.ย. ใช่หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า แล้วยังไง เมื่อถามว่าประชาชนอยากรอดู นายกฯ กล่าวว่า ก็รอสิ ปลาย มี.ค. หรือต้น เม.ย. ก็จะทำให้เร็วที่สุด ทำไมต้องเอาคำพูดนี้ไปแปลเป็นอย่างอื่นอีก มันจบตั้งแต่ความหมายตรงนี้แล้ว ทำไมต้องอธิบายซ้ำอีก ไม่เข้าใจ เมื่อถามว่าจะพิจารณาปรับเฉพาะตำแหน่งที่ว่างลงอย่างเดียวหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า กำลังคิดอยู่ เมื่อถามว่ามีพรรคร่วมรัฐบาลแสดงเจตนารมณ์ขอปรับรัฐมนตรีในส่วนของตัวเองหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ยังไม่มี หรือถ้ามีเดี๋ยวเขาก็บอกมาเอง แต่จากการพูดคุยกับหัวหน้าพรรคก็ยังไม่มี

“มันขัดแย้งกันเยอะอยู่แล้ว อย่าเอาอะไรกันอีกเลย ผมคิดว่าสามารถควบคุมทุกอย่างให้เป็นไปตามแนวปฏิบัติที่ดี ทั้งการเมือง และการบริหารแผ่นเดิน เราอยู่อำนาจบริหารก็ต้องบริหาร นิติบัญญัติก็อยู่นิติบัญญัติ ตุลาการก็อยู่ตุลาการ” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

เมื่อถามว่าที่นายกฯ บอกว่าคุยกับพรรคร่วมแล้วมีการปรับโควตาใหม่หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ตอนนี้ยังเหมือนเดิม เมื่อถามว่าพรรคเล็กมีการรวมตัวแถลงข่าวขอเก้าอี้ นายกฯ กล่าวว่า ก็แถลงไป เป็นเรื่องของหัวหน้าพรรคที่จะไปคุยกัน ตนพูดอะไรก็ชอบไปแปลความกันต่อ ตนไม่ได้โมโหอะไรเลย และก็ชอบไปพูดกันว่านายกฯ เครียด ไม่ได้เครียดอะไร แต่เครียดเพราะคำถามเธอนั่นแหละ

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวอีกว่า ในเรื่องสถานการณ์เศรษฐกิจภายในประเทศ หลายอย่างดีขึ้น ซึ่งเกิดจากมาตรการรัฐ โดยเฉพาะในช่วงวันหยุดยาว 3 วันที่ผ่านมาจะเห็นว่าตัวเลขการสั่งจองโรงแรมต่างๆ สูงขึ้น มีการใช้มาตรการคนละครึ่ง เที่ยวด้วยกัน ซึ่งเป็นโครงการที่รัฐบาลทยอยออกมาเป็นลำดับ ตรงนี้เป็นไปตามแผนงาน ตามงบประมาณที่มีอยู่ รวมถึงงบเงินกู้ด้วย

“เพียงแต่ขอความร่วมมือ ความเข้าใจกับทุกท่าน ประชาชนทุกคนอันเป็นที่รักยิ่งของผม ช่วยกันทำให้ประเทศชาติเราเข้มแข็ง อย่ามุ่งหมายแต่ทำลายกัน มันไม่ถูกต้อง ประเทศไทยเป็นดินแดนที่อยู่อาศัยของพวกเรามายาวนาน ประกอบอาชีพมายาวนาน ฉะนั้นอะไรก็ตามที่จะทำให้เกิดความขัดแย้ง ผมเองไม่ต้องการให้เกิดความขัดแย้งใดๆ ทั้งสิ้น ผมดำรงตนในฐานะนายกรัฐมนตรี หัวหน้ารัฐบาล ด้วยเจตนารมณ์อันมุ่งมั่นในการที่จะทำให้ประเทศชาติของเราปลอดภัย สงบสุข มีเสถียรภาพ

ทั้งเรื่องความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคม เรื่องของการเมืองและเรื่องของอะไรต่าง ๆ วันนี้ผมได้พูดกับ ครม.ทั้งหมด ขอบคุณในความร่วมมือ ร่วมแรง ร่วมใจ ที่ทำให้ทุกอย่างประสบความสำเร็จมาในระดับเป็นที่น่าพอใจ และวันนี้มีหลายวีดิทัศน์ที่แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าของประเทศไทยในหลายมิติด้วยกัน

ซึ่งทุกกระทรวงจะทยอยออกมาตามระยะเวลา ไม่ว่าจะเป็นรายวัน รายเดือน หรือราย 3 เดือนต่างๆ ก็จะรวบรวมว่ามีอะไรเกิดขึ้นในประเทศไทยบ้าง เพื่อให้ประชาชนทั้งประเทศได้รับรู้ ไม่เช่นนั้นจะถูกเอาไปบิดเบือนทั้งหมด นั่นคือปัญหาของบ้านเรา สิ่งสำคัญที่สุดคือความรักความสามัคคีของพวกเรา อันนี้เป็นปัจจัยสำคัญกว่าอย่างอื่นในขณะนี้” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว


ที่มา: https://mgronline.com/politics/detail/9640000020385

ศาลกัมพูชาตัดสินจำคุก ‘สม รังสี’ พร้อมนักการเมืองฝ่ายค้านอีก 8 คน ฐานมีแผนการโค่นล้มรัฐบาลของนายกรัฐมนตรีฮุน เซน

สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่าเมื่อวันที่ 1 มี.ค. ศาลกรุงพนมเปญในกัมพูชาตัดสินจำคุกสม รังสี อดีตแกนนำพรรคฝ่ายค้าน เป็นเวลา 25 ปี ฐานมีแผนการโค่นล้มรัฐบาลของนายกรัฐมนตรีฮุน เซน รวมถึงพยายามโจมตีเพื่อก่อให้เกิดอันตรายแก่ราชอาณาจักรกัมพูชา นอกจากนี้ ศาลยังตัดสิทธิในการลงสมัครรับเลือกตั้งและลงคะแนนเสียงเลือกตั้งอีกด้วย

โดยรังสีแถลงการณ์ผ่านทวิตเตอร์ระบุว่า "การตัดสินครั้งนี้เกิดจากความอ่อนแอและความกลัว นายกรัฐมนตรีฮุน เซน กลัวความเสี่ยงที่ผมจะกลับสู่วงการการเมืองกัมพูชาและหวั่นว่าจะมีการเลือกตั้งที่เสรีและยุติธรรมซึ่งจะนำไปสู่จุดสิ้นสุดของระบอบเผด็จการของเขาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้"

ทั้งนี้ รังสี ลี้ภัยไปอยู่ฝรั่งเศสตั้งแต่ปี 2015 เพื่อหลบเลี่ยงการถูกจำคุกในความผิดหลายคดีที่ระบุว่า มีแรงจูงใจทางการเมือง โดยคดีล่าสุดเกี่ยวข้องกับการที่เขาพยายามจะเดินทางกลับกัมพูชาในปี 2019 ซึ่งถูกตัดสินว่าเป็นการพยายามโจมตีเพื่อก่อให้เกิดอันตรายแก่ราชอาณาจักรกัมพูชา โดยนายกรัฐมนตรีฮุน เซน เคยกล่าวถึงเหตุการณ์ครั้งนั้นว่าเป็นความพยายามก่อรัฐประหาร

นอกจากนี้ยังมีนักการเมืองฝ่ายค้านอีก 8 คนรวมถึงภรรยาของรังสี ถูกตัดสินจำคุกระหว่าง 20 ถึง 22 ปีเช่นเดียวกัน

ด้านองค์การเพื่อสิทธิมนุษยชนฮิวแมนไรท์วอทช์ ออกประณามการตัดสินจำคุกครั้งนี้ว่า เป็นการจงใจไม่ให้ผู้ลี้ภัยเหล่านี้เดินทางกลับประเทศกัมพูชา และยังเป็นการทำลายระบอบประชาธิปไตยซึ่งสร้างความเสียหายให้แก่ชาวกัมพูชาอีกด้วย


ที่มา : www.posttoday.com/world/646754

‘อริย์ธัช’ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ก.พรรคกล้า อัดรัฐบาลสื่อสารสับสน หวั่นทำคนกลัวการฉีดวัคซีน

วันนี้ (2 มี.ค.) นายอริย์ธัช ชาติอาริยะพงศ์ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ก.เขตสวนหลวง พรรคกล้า ให้ความเห็นต่อการรับมือสถานการณ์โควิด - 19 ด้วยการฉีดวัคซีนว่า วัคซีนเป็นทั้งความหวังและอาวุธสำคัญในการต่อสู้กับเชื้อโรคในครั้งนี้ โดยจะเข้ามาช่วยแก้ไขสถานการณ์ทั้งในด้านสาธารณะสุขและทางเศรษฐกิจ ข่าวดีก็คือเวลานี้ ทั่วโลกฉีดวัคซีนไปแล้วมากกว่า 220 ล้านโดส พบว่า ประเทศที่มีการฉีดครอบคลุมไปแล้วจำนวนมากอย่าง อิสราเอล ที่ฉีดเข็มแรกไปคลุมประชากรไปแล้วกว่า 80 เปอร์เซนต์ มีจำนวนผู้ติดเชื้อลดลงกว่าครึ่งและมีอัตราการตายต่อวันลดลงชัดเจน

สะท้อนว่าการฉีดวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้คนหมู่มากสามารถป้องกันโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนผู้ที่มีอาการแพ้รุนแรงก็มีน้อยมาก ในด้านเศรษฐกิจ พบว่า บรรดาประเทศที่มีการฉีดวัคซีนหมู่จำนวนมากสามารถกลับเปิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้ รวมถึงการเปิดการท่องเที่ยวระหว่างประเทศที่มีการตกลงระหว่างกันหรือที่เรียกว่า ทราเวลบับเบิ้ล ซึ่งจะอนุญาตให้ผู้ที่ฉีดวัคซีคแล้วเข้าประเทศไม่ต้องมีการกักตัวใดๆ เช่น กรีซกับอิสราเอล เป็นต้น

นายอริย์ธัช กล่าวต่อว่า สำหรับประเทศไทยก็มีข่าวดีเช่นกันคือ ได้รับวัคซีนล็อตแรกแล้ว เป็นวัคซีนชิโนแวค จากประเทศจีน หลังจากนั้นก็จะมีวัคซีนจากแอสตราซิเนนกา เข้ามาอีกชุด นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลว่าจะมีการสั่งวัคซีนเข้ามาเพิ่มอีกจำนวนมากจากบริษัทต่าง ๆ เพื่อคืนสถานการณ์ปกติกลับมาให้ประเทศได้เร็วขึ้นจากแผนเดิม ซึ่งถือเป็นทิศทางที่ดี อย่างไรก็ตาม ตนคิดว่าเรื่องการสื่อสารของรัฐบาลยังคงเป็นปัญหาสำคัญ เพราะที่ผ่านมามีความสับสนไม่แน่นอนจนทำให้ประชาชนเริ่มขาดความเชื่อมั่นและอาจนำไปสู่การปฏิเสธการฉีดวัคซีนได้ ซึ่งจะไม่เป็นผลดีต่อสถานการณ์ ถ้าเป็นไปได้จึงอยากให้ผู้เกี่ยวข้องรู้ตัวและเร่งปรับแก้ไขโดยด่วน

“การที่วันหนึ่งบอกว่านายกรัฐมนตรีจะฉีดเป็นคนแรกเพื่อสร้างความเชื่อมั่น พออีกวันหนึ่งก็มาแก้ข่าวกัน ว่าไม่ฉีดแล้วเพราะปัญหาธุรการ พออีกวันหนึ่งก็บอกใหม่ว่าเป็นเพราะอายุมากเกินจะฉีดวัคซีนชนิดนี้ นี่คือปัญหาสำคัญในด้านการสื่อสารโดยเฉพาะในสถานการณ์วิกฤตแบบนี้ เพราะการเปลี่ยนสารบ่อยๆสุดท้ายก็จะกลายเป็นข้อกังขา ทำให้ประชาชนรู้สึกกลัวและไม่กล้าฉีดวัคซีน โดยเฉพาะวัคซีนชิโนแวค ซึ่งเป็นวัคซีนล็อตแรกนำเข้ามา

ซึ่งก่อนหน้านี้ก็มีการพูดถึงกันมากถึงประสิทธิภาพของวัคซีนว่ายังไม่แน่นอนเพราะมีผลแตกต่างกันมากในหลายประเทศ บางประเทศมีประสิทธิภาพเพียงมากกว่าร้อยละ 50 นิดหน่อยเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีข่าวว่าหลายประเทศปฏิเสธที่จะฉีดวัคซีนชนิดนี้ให้กับบุคลากรทางการแพทย์เพราะมองว่าเป็นหน้าด่านที่มีความใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อและจะไม่ฉีดให้กับผู้ที่มีอายุสูงกว่า 60 ปี” นายอริย์ธัช กล่าว

นายอริย์ธัช ยังกล่าวต่อว่า ความจริงแล้วในเรื่องนี้สามารถชี้แจงได้ด้วยการให้รายละเอียดทางการแพทย์มาประกอบเพื่อสร้างความเข้าใจและรับรู้ตรงกันตั้งแต่เนิ่น ๆ เหมือนที่ ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ ยืนยันว่า วัคซีนชิโนแวค มีประสิทธิภาพลดความรุนแรงของโรค โดยป้องกันการป่วยที่มีอาการน้อยต้องพบแพทย์แบบผู้ป่วยนอกได้ถึง 70 เปอร์เซ็นต์ ป้องกันการป่วยที่ต้องเข้าโรงพยาบาลได้ 100 เปอร์เซ็นต์ และป้องกันการเจ็บป่วยเล็กน้อยที่ไม่ต้องพบแพทย์ 50 กว่าเปอร์เซ็นต์ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ต้องสื่อสารให้ประชาชนรับทราบโดยตลอด และควรวางแผนการฉีดให้สอดคล้องกับกลุ่มประชากร เช่น หากหลายประเทศมีข้อกังวลในการฉีดให้บุคลากรทางการแพทย์ เราก็อาจยึดมาเป็นแนวทาง

โดยใช้วัคซีนที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าในการฉีดคุ้มกันให้ด่านหน้าและกลุ่มเสี่ยงต่างๆ ส่วนวัคซีนชิโนแวคซึ่งได้รับการยอมรับเรื่องการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ก็ควรเลือกใช้กับกลุ่มประชากรที่แข็งแรงและมีความเสี่ยงน้อย ถ้ามีความชัดเจนแบบนี้แต่แรก ไม่รีบพยายามสื่อสารเพียงเพราะต้องการให้หน้าให้ตาใครบางคนให้ได้ซีนมากเกินไป แล้วว่ากันไปตามข้อมูลทางการแพทย์ก็คงไม่ต้องมาจับตาว่าใครคนไหนจะฉีดเป็นเข็มแรก จนกลายเป็นความสับสนซึ่งไม่เป็นผลดีต่อภาพรวมของแผนวัคซีนเลย


ที่มา : https://mgronline.com/politics/detail/9640000020277

โควิดสมุทรสาครดีขึ้น จังหวัดทยอยปิดโรงพยาบาลสนาม 2 แห่ง ในสมุทรสาคร หลังรองรับผู้ป่วยโควิดต่อเนื่องช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา

นายธีรพัฒน์ คัชมาตย์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร ปฎิบัติหน้าที่แทนผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร พร้อมด้วย นายสุรศักดิ์ ผลยังส่ง รองผู้ว่าฯ / นพ.นเรศฤทธิ์ ขัดธะสีมา นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด และเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องภาครัฐ - เอกชน ร่วมกันปิดโรงพยาบาลแห่งแรก ของจังหวัดสมุทรสาคร หรือ ‘ศูนย์ห่วงใยคนสาคร1’ ที่สนามกีฬาจังหวัด ซึ่งเริ่มรองรับผู้ป่วยโควิด จำนวน 700 เตียง มาตั้งแต่ช่วงเริ่มแรกของการแพร่ระบาดโควิดในจังหวัด

โดยโรงพยาบาลสนาม นับเป็นจุดเริ่มต้นของการหาสถานที่กักตัว ผู้ติดเชื้อโควิด ที่มีอาการไม่รุนแรง และ ไม่แสดงอาการ เพื่อนำตัวแยกออกจากชุมชน แยกออกจากสังคม มากักตัว เพื่อสังเกตอาการเพื่อจะได้ไม่เกิดความเสี่ยงแพร่เชื้อกับคนอื่นต่อในช่วงที่จังหวัดสมุทรสาคร ยังต้องเร่งควบคุมการแพร่ระบาดของสถานการณ์โควิดในช่วงนั้น

โรงพยาบาลสนามแห่งนี้ ยังเป็นจุดเริ่มต้น ที่นำไปสู่หาสถานที่อื่นๆ เพื่อสร้างโรงพยาบาลสนามเพิ่มเติมในจังหวัดจนนำมาสู่การมี รพ.สนาม จำนวน 8 แห่ง ในช่วงเวลา 1 เดือน ของการแพร่ระบาด และเพิ่มเป็น 10 แห่ง ในช่วง 2 เดือน ของการแพร่ระบาด

สำหรับผู้ป่วยโควิดกลุ่มแรกที่เข้ามาอยู่ คือ กลุ่มแรงงานข้ามชาติที่ติดเชื้อจากตลาดกลางกุ้งจุดเริ่มต้นของการแพร่ระบาด ในจังหวัดสมุทรสาคร จากนั้นเป็นกลุ่มแรงงานจากโรงงานอื่นๆ และ สถานที่อื่นๆ ที่พบผู้ติดเชื้อที่มีอาการไม่มากนัก หรือไม่แสดงอาการ ถูกทยอยส่งมาที่นี่ รวมถึงกระจายไปยัง โรงพยาบาลสนามแห่งอื่น ๆ ที่อยู่ใน จังหวัดสมุทรสาคร

แม้การปิดโรงพยาบาลสนามครั้งนี้ ทางจังหวัดต้องการทำให้เห็นว่าทิศทางของสมุทรสาครดีขึ้นแล้ว แต่หากตรวจพบผู้ป่วยจากการตรวจคัดกรองเชิงรุก ก็จะถูกส่งตัวไปยังสถานที่อื่น ซึ่งอยู่ในรูปแบบที่เจ้าหน้าที่สามารถดูแลในระบบ ‘Local Quarantine’ ได้ โดยจะแตกต่างจากโรงพยาบาลสนาม เพราะมีอาคาร มีสถานที่สำหรับกักตัวที่ชัดเจน มีห้องพักอยู่ได้เป็นสัดส่วน ห้องละ 1 คน หรือ 2 คน เพราะจำนวนไม่มากเหมือนช่วงสถานการณ์พีคๆ เมื่อ 1 เดือนก่อนที่พบผู้ติดเชื้อ 500+ / 600+ หรือ 900+ ในบางวัน

นอกจากการปิด โรงพยาบาลสนาม ‘ศูนย์ห่วงใยคนสาคร1’ แล้ว ทางจังหวัดสมุทรสาคร ยังปิดอีกแห่งคือ ‘ศูนย์ห่วงใยคนสาคร3’ ที่ วัฒนา แฟคตอรี่ ของ นายก อบต. พันท้ายนรสิงห์ ‘นายวัฒนา แตงมณี’ ที่ยกอาคารโกดังขนาดใหญ่ 2 อาคาร อาคารละ 120 เตียง รวม 2 อาคารมี 240 เตียง ซึ่งก่อนหน้านี้ นายวัฒนา ได้ยกอาคารโกดังให้เจ้าหน้าที่ให้ทำเป็น โรงพยาบาลสนาม ในทันที เมื่อทราบว่าจังหวัดกำลังหาสถานที่ ที่ต้องการสร้างโรงพยาบาลสนาม เพิ่มเติมเมื่อช่วงต้นเดือน มกราคม 2564 และต่อมายังก่อสร้างโรงพยาบาลสนามเพิ่มเติม (ศูนย์ห่วงใยคนสาคร8) เพื่อรองรับอีก 1,000 เตียง

สำหรับโรงพยาบาลสนามแห่งอื่น ๆ คาดว่าจะทยอยปิดตาม แต่จะยังคงเปิดบางแห่งไว้เผื่อสถานการณ์ฉุกเฉิน ในช่วงที่จำนวนผู้ติดเชื้อและสถานการณ์ โควิด-19 ที่จังหวัดสมุทรสาคร ยังไม่นิ่ง


ที่มา: https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=3945770772110687&id=100000334098614

สาวอเมริกันทำแสบ ฉ้อโกงเงินเยียวยา Covid กว่า 4.4 ล้าน ไปช้อปปิ้งมือเติบ แหวนเพชร กระเป๋าหลุยส์

ช้อปแหลกไม่แคร์โลก ทำเอาชาวอเมริกันเดือดเมื่อรู้ข่าวว่า สาวชาวนอร์ท แคโรไลนา ได้ผลาญเงินเยียวยาของรัฐบาลไปช้อปปิ้งแหวนเพชร กระเป๋าหลุยส์ วิตตองไปถึง 149,000 เหรียญ (ประมาณ 4.47 ล้านบาท) และยิ่งแสบกว่านั้นคือเป็นเงินที่เธอฉ้อโกงมาโดยการแอบอ้างกิจการของเธอที่เจ๊งไปแล้วตั้งแต่ก่อน Covid มาหลอกขอเงินรัฐบาล

เจ้าของวีรกรรมสุดแสบ คือ 'แจสมิน จอห์นเน คลิฟตัน' สาววัย 24 ปีจากเมืองชาร์ลอท รัฐนอร์ท แคโรไลนา เธอเคยเป็นเจ้าของกิจการขายเสื้อผ้าออนไลน์ ที่จดทะเบียนบริษัทในชื่อ Jazzy Jas LLC แต่เลิกกิจการไปแล้วตั้งแต่ช่วงกันยายน ปี 2019 ก่อนหน้าที่จะเกิดวิกฤติ Covid-19 ในอเมริกา

แต่พอการแพร่ระบาดของ Covid-19 ลุกลามหนักในสหรัฐ ที่มีผลกระทบอย่างหนักต่อเศรษฐกิจ ร้านค้า กิจการหลายแห่งต้องปิดตัวลงในช่วงนี้ ผู้คนตกงานมากมาย ซึ่งรัฐ นอร์ท แคโรไลนา ก็เจอปัญหาหนัก มีผู้ตกงานเพิ่มสูงขึ้นถึง 6.5% ตั้งแต่เดือนสิงหาคมปีที่แล้ว

ช่วงเวลานั้น รัฐบาลสหรัฐได้ออกมาตรการแจกเงินเยียวยา Covid-19 และยังอัดฉีดเม็ดเงินในกองทุนฟื้นฟูกิจการ ที่ชื่อว่า CARES Act มีจุดประสงค์ให้เจ้าของกิจการที่ต้องปิดตัวในช่วงวิกฤติ Covid-19 ให้สามารถกลับมาทำธุรกิจต่อได้หลังจากนี้

แต่กลับเป็นช่องทางให้สาวมะกันสุดแสบคนนี้ใช้เป็นช่องทางหาเงินก้อนโต ด้วยการแอบอ้างชื่อ Jazzy Jas LLC ร้านขายเสื้อผ้าของเธอที่แจ้งเลิกกิจการไปนานแล้วมาขอเงินกู้ในกองทุนฟื้นฟู โดยอ้างว่าเคยมีรายได้ถึงปีละ 3.5 แสนเหรียญ พอ Covid มา ร้านก็เลยเจ๊งค่ะคุณตำรวจ

หลังจากที่ได้ตีหน้าเศร้า เล่าความเท็จไป ทำให้เธอได้เงินจากกองทุนฟื้นฟูของรัฐบาลมาถึง 149,000 เหรียญ แต่แทนที่จะนำเงินไปเริ่มต้นกิจการใหม่ แต่เธอกลับนำเงินก้อนโตไปช็อปปิ้งสินค้าฟุ่มเฟือย เครื่องเพชร กระเป๋าแบรนด์หรู ของแต่งบ้านในห้างดัง

แต่แล้วความจริงก็คือความจริง เมื่อรัฐบาลกลางมีการตรวจสอบบัญชีย้อนหลัง และพบว่าแจสมินได้ยื่นหลักฐานเท็จ แอบอ้างกิจการที่ไม่มีอยู่จริงที่จะเข้าข่ายได้รับเงินช่วยเหลือจากกองทุนฟื้นฟู จึงได้แจ้งข้อหา และอายัดเงินในบัญชีของเธอกว่า 50,000 เหรียญ

ส่วนคดีความตอนนี้กำลังพิจารณาอยู่ในชั้นศาลของรัฐบาลกลางในข้อหาฉ้อโกง แอบอ้างรับผลประโยชน์จากกองทุนช่วยเหลือเพื่อสาธารณะภัยของรัฐ และหากถูกตัดสินว่าผิดจริง อาจมีสิทธิ์ต้องโทษจำคุกสูงสุดถึง 30 ปี และปรับเงินอีกไม่น้อยกว่า 1.25 ล้านเหรียญ (ประมาณ 37.5 ล้านบาท)

สำนักงานอัยการของรัฐออกมาเตือนว่า กองทุนช่วยเหลือเยียวยา และฟื้นฟูกิจการจากวิกฤติ Covid-19 มีไว้ช่วยเหลือเจ้าของกิจการรายย่อยทั่วสหรัฐกว่า 75% ที่ได้รับผลกระทบหนักในช่วงเวลาที่ยากลำบาก แต่ก็พบกลุ่มคนที่หาประโยชน์จากกองทุนนี้ด้วยวิธีมิชอบ อย่างเช่นกรณีสาวแสบจากนอร์ท แคโรไลนาคนนี้

และตอนนี้ทางรัฐบาลกลางก็ได้ตั้งชุดทำงานไว้ตรวจสอบ ไล่ล่าคนที่คิดจะฉ้อโกงหาผลประโยชน์จากกองทุนนี้ทั้ง ๆ ที่ไม่ควรได้ เพราะฉะนั้น โปรดอย่าคิดจะรอด และอย่าคิดทำ หากเจอโทษหนักทั้งจำ ทั้งปรับ ไม่คุ้มได้นะครับ บอกเลย


ที่มา:

North Carolina woman is accused of using her $149,000 Covid-19 relief loan for shopping sprees - CNN

https://edition.cnn.com/2021/02/25/us/north-carolina-covid-shopping-spree-trnd/index.html?utm_source=fbCNNi&utm_medium=social&utm_term=link&utm_content=2021-02-28T13%3A30%3A16?iid=cnn-mobile-app&adobe_mc=TS%3D1614605421%7CMCMID%3D72896598776226317998010576196136757497%7CMCAID%3D30131C8745DA0E30-60000E406754C553%7CMCORGID%3D7FF852E2556756057F000101%40AdobeOrg

‘สมศักดิ์’ ลั่น! รู้ตัวคนวางเพลิงหน้าเรือนจำคลองเปรม สั่งตั้ง ‘คณะพาลีปราบยา’ สืบสวนเชิงลึกคาดออกหมายจับได้เร็วนี้ พร้อมข้อหาหนักทำลายทรัพย์ - บุกรุกยามวิกาล - เผยแพร่ข้อมูลความมั่นคง

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าการติดตามกรณีคนร้ายวางเพลิงป้ายและทำลายทรัพย์สิน บริเวณหน้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพว่า หลังจากที่กรมราชทัณฑ์ไปแจ้งความเอาผิดกับผู้กระทำผิดและตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงแล้ว ทางตำรวจได้เก็บหลักฐานจากภาพกล้องวงจรปิดของเรือนจำ ที่สามารถจับภาพคนร้ายได้ โดยมีผู้ต้องสงสัย 3 คนเป็น ชาย 2 หญิง 1 ซึ่งตามภาพจากกล้องวงจรปิดไปจนถึงที่พักพบว่า มีความเชื่อมโยงทางการเมือง

ในส่วนของกระทรวงยุติธรรมหลังจากที่ได้ทราบถึงกลุ่มบุคคลที่ลงมือก่อเหตุวางเพลิง ตนจึงได้สั่งการให้คณะทำงานเฉพาะกิจชื่อว่า ‘คณะทำงานพาลีปราบยาของกระทรวงยุติธรรม’ ช่วยทำการสืบสวนเชิงลึกในกรณีดังกล่าว ทำให้ในขณะนี้เราได้ข้อมูลสำคัญที่ทำให้ทราบถึงตัวการสำคัญที่อยู่เบื้องหลังการก่อเหตุดังกล่าว

รวมถึงได้ข้อมูลสำคัญที่ทำให้ทราบถึงบุคคลและกลุ่มบุคคลที่อยู่เบื้องหลังการเผยแพร่ภาพดังกล่าวเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์รวมถึงเผยแพร่ในโซเชียลมีเดียด้วย ซึ่งคาดว่าจะสามารถออกหมายจับดำเนินคดีได้ทั้งกลุ่มผู้ลงมือ กลุ่มผู้ร่วมขบวนการและตัวการสำคัญในเร็ว ๆ นี้อย่างแน่นอน

นายสมศักดิ์ กล่าวว่า “กระทรวงยุติธรรมมีคณะทำงานเฉพาะกิจ คือ ‘พาลีปราบยา’ จึงให้ช่วยสืบสวนข้อมูลเชิงลึก ทำให้ทราบถึงผู้บงการสำคัญที่อยู่เบื้องหลังการก่อเหตุ รวมถึงคนเผยแพร่ข้อมูลความมั่นคงลงในโลกโซเชียล การสืบสวนในครั้งนี้ทำให้ได้ข้อมูลที่สมบูรณ์มากขึ้นในการดำเนินคดีกับผู้กระทำผิด

เพราะจากข้อมูลของตำรวจเกี่ยวกับผู้กระทำผิดมีหลักฐานที่ชัดเจนทำให้เราสืบต่อไปได้ เรื่องนี้ผมยอมไม่ได้เพราะเป็นความผิดที่ร้ายแรง ทั้งการบุกทำลายทรัพย์สินของราชการในยามวิกาล และเรือนจำกลางคลองเปรมเป็นสถานที่ความมั่นคงสูง รวมถึงการนำข้อมูลความมั่นคงเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ข้อหาเหล่านี้เป็นข้อหาหนัก เราต้องนำผู้กระทำความผิดมาลงโทษให้เป็นเยี่ยงอย่างโดยเร็ว”

โดยผู้สื่อข่าวถามต่ออีกว่า แสดงว่าขณะนี้ได้ตัวผู้บงการแล้วใช่หรือไม่ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า “ก็ต้องบอกว่ารู้ โดยจะส่งข้อมูลไปให้เจ้าหน้าที่ตำรวจในการออกหมาย” เมื่อถามว่า จะไปดำเนินการแจ้งความที่ ปอท.หรือไม่ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า เป็นหน้าที่ของตำรวจท้องที่

โปรดเกล้าฯ เรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ “ปลอดประสพ สุรัสวดี” หลังต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกในคดีความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ขณะดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2564 ราชกิจจานุเบกษาได้แพร่ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่องพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้เรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ความว่า

ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้เรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นมหาปรมาภรณ์ช้างเผือก มหาวชิรมงกุฎ ประถมาภรณ์ช้างเผือก ประถมาภรณ์มงกุฎไทย ทวีติยาภรณ์ช้างเผือก ทวีติยาภรณ์มงกุฎไทย ทุติยจุลจอมเกล้า ตติยจุลจอมเกล้าวิเศษ ตริตาภรณ์มงกุฎไทย จัตุรถาภรณ์มงกุฎไทย เหรียญพิทักษ์เสรีชน ชั้นที่ 2 ประเภทที่ 2 เหรียญจักรพรรดิมาลา เหรียญลูกเสือสดุดี ชั้นที่ 1 และเหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 9 ชั้นที่ 3 ซึ่งนายปลอดประสพ สุรัสวดี อดีตข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำ สังกัดสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี ได้รับพระราชทาน

เนื่องจากต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก ในคดีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ขณะดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อันเป็นเหตุแห่งการเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ตามข้อ 6 และ ข้อ 7 (2) ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ พ.ศ. 2548 และนายปลอดประสพ สุรัสวดี เป็นผู้ถูกถอนชื่อออกจากรายชื่อผู้ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ตามประกาศที่เกี่ยวข้องแล้ว

‘แรมโบ้’ ซัด เพื่อไทยและกลุ่มแคร์ ‘ซาดิสม์’ สนับสนุนม็อบใช้ความรุนแรง ยืนยัน เหตุตำรวจสลายการชุมนุมตามหลักสากล ย้อนถาม “เพื่อไทย - กลุ่มแคร์” เข้าข้างม็อบฝ่ายเดียว แล้วตำรวจไม่ใช่คนหรือ เหตุใดจึงออกมาประณาม

2 มีนาคม 2564 นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงที่พรรคเพื่อไทย และกลุ่มแคร์ ออกมาประณามสลายชุมนุมที่รุนแรง เจ้าหน้าที่รัฐไม่มีสิทธิทำเกินกว่าเหตุ และเรียกร้องให้รัฐบาลทบทวนท่าทีพิจารณาใช้มาตรการจัดการกับการเคลื่อนไหวของประชาชนตามมาตรฐานสากล โดยยืนยันว่าการดำเนินการต่างๆของเจ้าหน้าที่กับกลุ่มผู้ชุมนุมนั้นนายกฯ และตำรวจได้ออกมายืนยันแล้วว่าเป็นไปตามหลักสากล และตนเองยังมองว่าก่อนที่พรรคเพื่อไทย หรือกลุ่มแคร์จะออกมาประณามการใช้ความรุนแรงของเจ้าหน้าที่นั้น ก็ควรมองถึงต้นตอก่อนว่าเกิดจากใคร ซึ่งหากกลุ่มผู้ชุมนุมไม่ออกมาชุมนุม หรือชุมนุมให้อยู่ในกรอบของกฎหมาย ก็จะไม่เกิดเหตุการณ์ขึ้น

และการชุมนุมครั้งนี้รวมถึงการชุมนุมที่ผ่านมา ตำรวจได้ออกมาชี้แจงแล้วว่าตำรวจถูกทำร้ายด้วยก้อนหิน ประทัดยักษ์ ระเบิดปิงปอง ปลายธงฟาดตำรวจ จนได้รับบาดเจ็บ ถึง 90 นาย และยังมีตำรวจเสียชีวิต

“ที่พรรคเพื่อไทย และกลุ่มแคร์ ออกมาพูด ออกมาประณามการกระทำของตำรวจฝ่ายเดียว คิดว่าตำรวจไม่ใช่คนเหมือนกลุ่มผู้ชุมนุมอย่างนั้นหรือ เหตุใดถึงคิดแต่เข้าข้างกลุ่มผู้ชุมนุมเพียงฝ่ายเดียว ทั้งนี้รู้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเกิดจากอะไร

ทั้งนี้ หากตนเองและคนอื่น ๆ จะขอประณามการกระทำของกลุ่มผู้ชุมนุมที่กระทำรุนแรงกับเจ้าหน้าที่ตำรวจจะได้หรือไม่ เป็นถึงผู้ใหญ่ เป็นพรรคการเมืองขนาดใหญ่ และเป็นผู้แทนของประชาชน เหตุใดถึงคิดแค่นี้ หรือว่าที่ออกมาปกป้องกลุ่มผู้ชุมนุม เพียงเพราะอยากเกาะกลุ่มผู้ชุมนุมหวังล้มรัฐบาล เพื่อพรรคของตัวเองจะได้ขึ้นมาเป็นรัฐบาล

ซึ่งหากคิดแค่นี้ ตนเองก็มั่นใจว่าพรรคเพื่อไทยคงได้เป็นฝ่ายค้านไปตลอดชีวิต และเป็นเรื่องที่น่ากลัวหากพรรคการเมืองที่มีแนวคิดเช่นนี้จะเข้ามาเป็นรัฐบาล เพราะสนับสนุนการใช้ความรุนแรงของกลุ่มผู้ชุมนุม”

"พฤติกรรมความเลวร้ายความชั่วร้ายของกลุ่มชุมนุม พรรคเพื่อไทยและกลุ่มแคร์ กลับมองไม่เห็น ตาบอดมืดมิดได้อย่างเหลือเชื่อ เหมือนผีบังตา เจ้าหน้าที่ตำรวจถูกกระทำอย่างรุนแรงบาดเจ็บมากมายเช่นนี้ ประชาชนคนไทยยอมไม่ได้เด็ดขาด พรรคการเมืองหรือคนกลุ่มไหนที่สนับสนุนการใช้ความรุนแรงทำร้ายเจ้าหน้าที่หรือเผาทำลายทรัพย์สินราชการเสียหายจะได้จารึกชื่อพรรคการเมืองนั้น ๆ ให้ประชาชนได้สาปแช่งลงโทษลงทัณฑ์ในการเลือกตั้งสมัยหน้าไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดอย่างแน่นอน และจะได้บันทึกไว้ว่าพรรคเพื่อไทย สนับสนุนการใช้ความรุนแรงให้เกิดขึ้นในบ้านเมือง"

“ธนาธร” แอ่วเหนือ นำทีมคณะก้าวหน้า สู้ศึกเลือกตั้งเทศบาล! จัดทัพผู้สมัครหารือแนวหาเสียง - นโยบาย ย้ำหลักเดินเข้าหาประชาชน ไม่ซื้อเสียง ไม่ใช้หัวคะแนน

นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า พบและพูดคุยร่วมกับผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกเทศมนตรีและสมาชิกสภาเทศมนตรี ได้แก่ เทศบาลนครเชียงใหม่, เทศบาลตำบลสันกำแพง, เทศบาลตำบลไชยสถาน จ.เชียงใหม่, เทศบาลตำบลเหมืองจี้, เทศบาลตำบลบ้านแป้น ตำบลป่าสัก จ.ลำพูน

โดยได้กล่าวถึงความสำคัญของการเมืองท้องถิ่นและการกระจายอำนาจ โดยย้ำว่า คณะก้าวหน้าส่งผู้สมัครเพื่อที่ต้องการจะเปลี่ยนแปลงการเมืองท้องถิ่นให้ดีขึ้น และอยากให้ประชาชนให้ความสำคัญกับการเลือกตั้งในวันที่ 28 มีนาคมที่จะถึงนี้ เพราะการเมืองท้องถิ่นเป็นสิ่งที่อยู่ใกล้ชิดกับชีวิตประจำวันของเรามากที่สุด

นายธนาธร กล่าวตอนหนึ่งว่า เมื่อทุกคนเข้ามาร่วมทำงานการเมืองกับคณะก้าวหน้าแล้ว ต้องยึดมั่นในหลักการทำการเมืองแบบใหม่ คือไม่ทุจริต ไม่ซื้อสิทธิซื้อเสียงเด็ดขาด หากใครมาร่วมงานกับคณะก้าวหน้าเพื่อหวังจะรวย ตนบอกได้เลยว่าคิดผิดแล้ว นอกจากนี้ ต้องมีจุดยืนทางการเมือง อย่างน้อยในด้านประชาธิปไตยและต่อต้านการสืบทอดอำนาจของ คสช. คัดค้านรัฐธรรมนูญ 2560 ซึ่งหากท่านเข้ามาร่วมงานกับคณะก้าวหน้า แต่ชื่นชอบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และรัฐบาล คสช. หรือมองว่ารัฐธรรมนูญ 2560 นี้ไม่เป็นปัญหา นั่นแปลว่าเราต้องมีความเข้าใจผิดอะไรบางอย่างกันอยู่

ทั้งนี้ จากสถิติที่ได้รับมาจากข้อมูลในการเลือกตั้งระดับ อบจ.รอบก่อน คะแนนดิบที่ได้มาก็ชี้ให้เห็นว่าความนิยมของเราไม่ได้ถดถอยลง และมีพื้นที่ที่ชัดเจนขึ้น ฐานข้อมูลบางอย่างที่ชัดเจนขึ้นว่าตรงไหนที่เราได้รับความนิยม ส่วนที่เหลือ เป็นเรื่องของการรณรงค์อย่างแข็งขันของผู้สมัครแต่ละท่าน

ซึ่งในท้ายที่สุดแล้ว เมื่อเราเลือกที่จะทำการเมืองแบบใหม่ ไม่ซื้อเสียง ไม่ใช้หัวคะแนน สิ่งเดียวที่เราต้องทำอย่างแข็งขันที่สุด ก็คือการเดินเข้าหาประชาชนอย่างมีคุณภาพ และมีความเข้าใจต่อปัญหา ทำให้ประชาชนได้รับรู้ถึงความตั้งมั่นจริงใจของเรา ที่จะแก้ปัญหาของพวกเขาอย่างเข้าใจแท้จริง

“พูดง่าย ๆ เราต้องมีปฏิสัมพันธ์กับประชาชนให้มากที่สุด มากกว่าแค่ไปแจกใบปลิวและแนะนำตัวเองเฉยๆ อยางน้อยเราต้องตอบเขาได้ว่า ปัญหารอบบ้านของเขาเกิดขึ้นที่ไหน สะพานตรงไหนที่ขาดชำรุด คลองตรงไหนที่อุดตัน บ่อขยะตรงไหนที่มีปัญหา งบประมาณเทศบาลมีปีละเท่าไหร่ จะใช้แก้ปัญหาให้เขาได้อย่างไร ฯลฯ ซึ่งแน่นอนว่า การเดินแบบนี้ไม่ได้รับประกันว่าเราจะชนะ

แต่ถ้าไม่เดินก็มีแต่เปิดประตูแพ้เท่านั้น สิ่งเดียวที่เราสามารถใช้สู้ได้ คือความมุ่งมั่นตั้งใจ ทำให้ประชาชนได้เห็นถึงความตั้งใจของเรา และนั่นจะเกิดขึ้นได้ก็แต่เมื่อเราเดินเข้าหาประชาชนเท่านั้น” นายธนาธรกล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นอกจากพบและพูดคุยร่วมกับผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกเทศมนตรีและสมาชิกสภาเทศมนตรีในพื้นที่ดังกล่าวแล้ว นายธนาธรยังได้เข้าพื้นที่ดูแนวทางการพัฒนาเมืองตามนโยบายของผู้สมัครคณะก้าวหน้า ทั้งที่สวนบวกหาด อ.เมืองเชียงใหม่ และที่ อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ เพื่อรับฟังแนวนโยบายจากผู้สมัครในสถานที่จริงด้วย

พิมรี่พายติดไฟ LED โซลาร์เซลล์ บนถนนให้ชุมชนในคลองเตย "ความมืดมิดใจกลางเมืองหลวง เพราะพิมเชื่อว่า...ทุกคนมีสิทธิเข้าถึงแสงสว่าง"

วันที่ 1 มีนาคม 2564 พิมรี่พายแม่ค้าออนไลน์ และยูทูปเบอร์ชื่อดัง ได้เผยแพร่วิดีโอที่เธอได้ไปร่วมช่วยเหลือในชุมชนคลองเตย ในวิดีโอที่ชื่อว่า "ความมืดมิดใจกลางเหมืองหลวง เพราะพิมเชื่อว่า...ทุกคนมีสิทธิเข้าถึงแสงสว่าง"

โดยวิดีโอเริ่มต้นที่พิมรี่พายได้เดินไปรอบๆในชุมชนที่แออัด และผู้คนทำกิจกรรมต่าง ๆ ในความมืด เธอได้นั่งพูดคุยกับเด็กๆถึงความฝัน และเด็กหญิงคนหนึ่งพูดว่า "หนูจบม.6 มาหลายปีแล้ว หางานยากมาก แม่ไม่ได้ทำงานแล้ว แม่อายุเยอะแล้ว ไม่อยากให้แม่ทำงาน พี่พิมเป็นไอดอลหนู โตขึ้นอยากทำให้ได้แบบพี่พิม ถ้าหนูมีตัง ตอนนี้มันทำอะไรไม่ได้"

พิมรี่พายพูดกับเด็ก ๆ ว่า "โอกาสของชุมชน เดี๋ยวพี่พิมจัดให้ แต่โอกาสของชีวิต เอ็งต้องเดินไปหาเอง สู้ ๆ นะ"

หลังจากนั้นพิมรี่พายได้ไปนั่งกับคุณยาย ที่ใช้ชีวิตในชุมชนคลองเตย และขายขนมครกเพื่อเลี้ยงหลาน ยายเผยว่า ไม่มีแสงไฟ ทำให้ตกหลุมตกบ่ออยู่บ้าง "ความมืดอะกลัวอยู่ แต่อาศัยว่าเราชิน อย่างยายไม่มีตังหรอกลูก หามื้อกินมื้อเลี้ยงหลาน ไฟนี่อาศัยเพื่อนบ้านต่อให้ อยู่มาหกสิบปีแล้วลูก หน้าบ้านยังไม่มีไฟ"

พิมรี่พายตอบว่า "โอเคค่ะ เดี๋ยวยายมีไฟค่ะ ซึ่งทำให้คุณยายดีใจและร้องไห้ออกมา พิมรี่พาย "สู้นะคะ" คุณยาย "สู้"

"ใจกลางเมือง พระรามสี่ สุขุมวิท หนูไปทำไฟตั้งไกล ปล่อยให้กลางเมืองมืดขนาดนี้ไม่ได้หรอก ที่นี่คือคลองเตย มืดสนิท อยู่กันยังไง พรุ่งนี้ติดไฟให้หมดเลย เอาให้สว่างเลยนะ กี่ดวงก็ติด เท่าไหร่ก็ติด พรุ่งนี้เป็นต้นไป คนทั้งประเทศจะต้องได้เห็นคลองเตย ติดให้สว่างไปถึงใจเลยพี่" พิมรี่พายเผย

หลังจากนั้นพิมรี่พายได้ไปซื้อ ไฟติดถนน LED โซลาร์เซลล์ 500 วัตต์ 100 กว่าดวง และถัดมาเธอได้นำไฟเหล่านั้นไปติดตั้งรอบๆ ถนนในชุมชน และสนามฟุตบอล "เด็กๆ มีไฟใช้แน่"

เมื่อตกมืด ชุมชนได้เปิดไฟที่เพิ่งติดตั้งนี้ ที่ได้ส่องสว่างไปทั่ว "กูบอกแล้ว คลองเตยต้องสว่าง" พิมรี่พายพูด

และช่วงสุดท้ายเป็นภาพของไฟฟ้าสว่างไปทั่วชุมชนคลองเตย

"ที่นี่คลองเตย เห็นคลองเตยหรือยัง" พิมรี่พายพูดในตอนท้าย

.


ที่มา: https://www.naewna.com/likesara/555992


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top