Friday, 9 May 2025
NEWS

กัญชงต้องเกิด!! ‘ก.อุตฯ’ ผลักดันธุรกิจไทยแปรรูป ‘กัญชง’ สู่ ‘พาณิชย์’ ปั้นไทยผู้นำ ‘ผลิต - ส่งออก’ สินค้ากัญชงแห่งอาเซียนใน 5 ปี

กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) โดยสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) ผลักดันผู้ประกอบการแปรรูปกัญชงสู่พาณิชย์รองรับ BCG Model จัดประชุมสร้างความร่วมมือ ‘การพัฒนาและส่งเสริม อุตสาหกรรมแปรรูปกัญชงสู่เชิงพาณิชย์’ ร่วม 3 สถาบันเครือข่าย >> สถาบันอาหาร (สอห.) / สถาบันพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สพว.) และ สถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ (สสท.) ผลักดันกัญชงให้ใช้ประโยชน์ในเชิงอุตสาหกรรมอย่างเป็นรูปธรรม หลังกฎหมายอนุญาตให้ผลิตนำเข้า - ส่งออก หวังไทยเป็นผู้นำด้านการผลิตและส่งออกสินค้ากึ่งวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์จากกัญชงที่สำคัญในภูมิภาคอาเซียนภายใน 5 ปี

นายสุชาติ ไตรแสงรุจิระ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิด การประชุมและปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ ‘ทิศทางการพัฒนาอุตสาหกรรมแปรรูปพืชกัญชงเพื่อตอบสนอง ‘เศรษฐกิจชีวภาพ’ (Bioeconomy) ของกระทรวงอุตสาหกรรม’ ในงานการประชุมสร้างความร่วมมือ เรื่อง ‘การพัฒนาและส่งเสริมอุตสาหกรรมแปรรูปกัญชงสู่เชิงพาณิชย์’ ภายใต้โครงการสนับสนุนอุตสาหกรรมแปรรูปกัญชงเพื่อตอบสนองเศรษฐกิจชีวภาพ (Bioeconomy) ณ โรงแรมรอยัลริเวอร์

เพื่อสร้างความร่วมมือจากภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในห่วงโซ่อุปทานพืชกัญชงทบทวนและพัฒนางานวิจัยด้านเทคโนโลยีการ แปรรูปพืชกัญชง และการต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ เช่น อาหาร เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ ผลิตภัณฑ์ สิ่งทอจากเส้นด้ายกัญชง ผลิตภัณฑ์คอมโพสิต และอาหารสัตว์ พร้อมทั้งเชื่อมโยงให้เกิดความร่วมมือจาก ทุกภาคส่วนในการยกระดับเทคโนโลยีการแปรรูป และนำทุกส่วนของพืชกัญชงมาแปรรูปเป็นสินค้ากึ่งวัตถุดิบ สำหรับป้อนเข้าสู่อุตสาหกรรม โดยได้รับการตอบรับจากทั้งภาครัฐ สถาบันการศึกษา และผู้ประกอบการต้นน้ำ กลางน้ำและปลายน้ำที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมในงาน และประชุมผ่านระบบออนไลน์เป็นจำนวนมาก

นายสุชาติ กล่าวเพิ่มเติมว่า พืชกัญชงสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผลิตภัณฑ์เป็นจำนวนมาก เห็นได้จากมูลค่าตลาดอุตสาหกรรมกัญชงทั่วโลกในปี 2562 ที่มีมูลค่าประมาณ 4,410 ล้านเหรียญสหรัฐ และมีอัตราเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 16.21 ต่อปี โดยคาดว่าภายใน 7 ปีข้างหน้า (ปี 2569) จะมีมูลค่ากว่า 14,670 ล้าน เหรียญสหรัฐ ด้วยปัจจัยสำคัญที่สามารถนำส่วนต่างๆ ของกัญชงไปใช้แปรรูปได้หลากหลายมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นกระดาษ วัสดุคอมโพสิต พลาสติกชีวภาพ ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและความงาม ตลอดจนการนำเมล็ดและน้ำมันจากเมล็ดกัญชงมาใช้เพื่อการบริโภค โดยตลาดสำคัญ ได้แก่ จีน สหรัฐอเมริกา และยุโรป

สำหรับมูลค่าตลาดทั่วโลกของสารสกัด CBD (Cannabidiol เป็นสารสกัดจากกัญชง) ที่มีฤทธิ์ระงับประสาท ช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย และบรรเทาอาการเจ็บป่วย รวมทั้งคุณประโยชน์ที่หลากหลายของ CBD เมื่ออยู่ในผลิตภัณฑ์ต่างๆ ทั้งอาหารและไม่ใช่อาหาร ซึ่งในปี 2562 มีมูลค่า 553.7 ล้านเหรียญสหรัฐ และมีอัตราเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 33.5 ต่อปี คาดว่าภายใน 7 ปีข้างหน้า (ปี 2569) จะมีมูลค่ากว่า 4,268.3 ล้านเหรียญสหรัฐ จากการเปิดกว้างโดยการปลดล็อคทางกฎหมาย ทั้งด้านการผลิตและการจำหน่ายที่มีมากขึ้นในประเทศต่างๆ

ทั้งนี้ ประเทศไทยกัญชงได้รับการยกเว้นจากการเป็นยาเสพติดให้โทษ ยกเว้นช่อดอกที่ยังเป็นยาเสพติด ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่องระบุชื่อยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 พ.ศ. 2563 หากประชาชนหรือผู้ประกอบการสนใจผลิตหรือนำเข้ากัญชงจะต้องขออนุญาตให้ถูกต้องตามกฎหมาย เนื่องจากกัญชงสามารถใช้ประโยชน์ได้เพียงเฉพาะกลุ่มและวัตถุประสงค์ที่จำกัด

อย่างไรก็ตาม กัญชงเป็นพืชเศรษฐกิจใหม่ที่มีบทบาทต่อการพัฒนายกระดับอุตสาหกรรมในระดับสูง เนื่องจากโครงสร้างพื้นฐานของประเทศไทยมีศักยภาพในการรองรับการเติบโตของภาคธุรกิจ ผู้ประกอบการมีความพร้อมด้านการลงทุนเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มจากส่วนต่างๆ ของกัญชง ประกอบกับมีพื้นที่ว่างทางการเกษตรที่สามารถเพาะปลูกกัญชงได้ รวมทั้งกฎหมายได้เปิดกว้างให้ภาคธุรกิจพัฒนาผลิตภัณฑ์ใน เชิงพาณิชย์ได้หลากหลายและคล่องตัวมากขึ้น

นางสาวพะเยาว์ คำมุข รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กล่าวว่า สศอ. ได้เล็งเห็นความสำคัญในการผลักดันการพัฒนาอุตสาหกรรมกลางน้ำและปลายน้ำเพื่อให้เกิดการพัฒนา พืชกัญชงอย่างครบวงจร จึงได้ดำเนินโครงการดังกล่าวเพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์จากต้นกัญชง ได้ครบทุกส่วน

ตั้งแต่การวิจัยและพัฒนาเมล็ดเพื่อใช้เป็นอาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ (Healthy Food/Drink) แกนแห้ง นำไปใช้ทำพื้นรองเท้าและยางคอมปาวด์ เพื่อทำเป็นผลิตภัณฑ์ยางถอนขนไก่ เปลือกนำไปใช้ทำ สิ่งทอเป็นเส้นด้ายกัญชงผลิตเสื้อผ้าที่มีคุณสมบัติ Anti Bacteria และผลิตภัณฑ์คอมโพสิต เช่น กันชนรถยนต์ และสเก็ตบอร์ด ใบใช้ประโยชน์ทำเครื่องสำอาง เช่น Skin Care และ Anti-aging ก้านใบและใบนำไปใช้เป็น ส่วนผสมของอาหารสัตว์อีกทั้งช่อดอกนำไปทำเป็นผลิตภัณฑ์ไล่แมลงที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มสูงผ่านการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม ตอบสนองนโยบาย BCG Model ที่เน้นการเติบโตอย่างยั่งยืน และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

พร้อมกันนี้ อก. โดย สมอ. ได้เร่งเตรียมความพร้อมในด้านมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับพืชกัญชง โดยจัดทำมาตรฐานผลิตภัณฑ์เพื่อรองรับการผลิตสินค้ากึ่ง วัตถุดิบจากพืชกัญชงจำนวน 3 มาตรฐาน ได้แก่ น้ำมันเมล็ดกัญชง, น้ำมันกัญชง และสารสกัด CBD จากกัญชง คาดว่าจะทยอยประกาศใช้ภายใน ปี 2564 ซึ่งการดำเนินการทั้งหมดเหล่านี้ อก. คาดว่าจะช่วยให้ เกษตรกรมีรายได้สูงขึ้นอย่างมั่นคงและยั่งยืน ก่อให้เกิดการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมและเพิ่มมูลค่าการ ส่งออกของไทย ตลอดจนสร้างรายได้ให้แก่ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง ก่อให้เกิดการจ้างงานตลอดห่วงโซ่อุปทานกัญชง และพร้อมเป็นผู้นำในฐานะผู้ผลิตและส่งออกสินค้ากึ่งวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์จากกัญชง เพื่อให้ไทยก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางการแปรรูปกัญชงของอาเซียนภายใน 5 ปี

สำนักงานวิจัยแห่งชาติ เผยคนกรุงเริ่มการ์ดตก หลัง AI ตรวจพบคนเริ่มใส่แมสลดลงอย่างต่อเนื่อง เขตยานนาวา มีคนสัญจรที่ไม่ใส่หน้ากากหรือใส่ไม่ถูกต้องมากที่สุดถึง 19.32% จ่อรายงานศบค.เร่งกระตุ้นให้คนกลับมาใส่แมสให้ถูกต้อง

เมื่อวันที่ 5 มีนาคม นายธนารักษ์ ธีระมั่นคง สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมกับสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ(วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม เปิดเผยรายงานผลการติดตามการใส่หน้ากากอนามัยโดยระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI)โดยเตรียมข้อมูลรายงานให้ศบค.ชุดเล็กทราบ ว่า มีแนวโน้มน่าเป็นห่วง เพราะในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา คนกรุงเทพฯใส่หน้ากากอนามัยลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยมีผู้ที่ไม่ใส่หน้ากากหรือใส่ไม่ถูกต้องรวมกันสูงถึง 3.97%

ถึงแม้ว่าตัวเลขการใส่หน้ากากอนามัยโดยรวมยังสูงอยู่ที่ 96 % แต่โดยรวมทั้งเดือนที่ผ่านมา มีข้อมูลชัดเจนว่าประชาชนมีความระมัดระวังน้อยลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะช่วงศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ และช่วงวันหยุดยาวเนื่อง มีคนออกมาทำกิจกรรมร่วมกันเป็นจำนวนมาก โดยใส่หน้ากากอนามัยน้อยลง มีความเสี่ยงสูงขึ้นในการแพร่ระบาด จึงอยากขอความร่วมมือในการป้องกันและควบคุมการติดเชื้อให้มากขึ้น

ระบบปัญญาประดิษฐ์ เอไอมาสต์ นี้ ได้เพิ่มพื้นที่ในการเฝ้าระวังตรวจจับการใส่หน้ากากอนามัยมาเป็น 31 จุด ครอบคลุม 30 เขตทั่วกรุงเทพฯ โดย พบว่าเขตยานนาวา มีประชาชนผู้สัญจรที่ไม่ใส่หน้ากากหรือใส่ไม่ถูกต้องมากที่สุดถึง 19.32% หรือสูงถึง 1 ใน 5 คน โดยถัดมาเป็นเขตบางคอแหลมที่มีอัตราการใส่หน้ากากไม่ถูกต้องหรือไม่ใส่หน้ากากอนามัยสูงถึง 10.15%

นอกจากนี้ ยังมีเขตที่อัตราการไม่ใส่หน้ากากหรือใส่ไม่ถูกต้องสูงกว่า 5% มีมากถึง 11 เขต และมากที่สุดตั้งแต่เริ่มใช้ระบบการประเมินนี้

ภาพโดยรวมแล้ว 2 สัปดาห์ล่าสุดใกล้เคียงกับช่วง 2 สัปดาห์แรกของเดือนกุมภาพันธ์ โดยช่วงเช้าประชาชนใส่หน้ากากอนามัยมากกว่าในช่วงบ่าย ซึ่งแสดงถึงความระมัดระวังน้อยลงในตอนเย็นของแต่ละวัน นอกจากนี้ในวันหยุดโดยเฉพาะวันอาทิตย์จะมีแนวโน้มอัตราการไม่ใส่หน้ากากหรือใส่หน้ากากอนามัยไม่ถูกต้องสูงสุดในทุกสัปดาห์ และในช่วงวันหยุดยาวช่วงเทศกาลต่าง ๆ ก็มีอัตราการไม่ใส่หรือใส่ไม่ถูกต้องสูงขึ้นมาก

นพ.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัดกระทรวง อว. กล่าวว่า "หลังจากที่ได้ใช้เทคโนโลยีเอไอมาประเมินมาได้ 2 เดือนตั้งแต่เดือนมกราคม อว.พบว่าอัตราการใส่หน้ากากอนามัยลดลงเรื่อย ๆ น่าเป็นห่วง จึงอยากกระตุ้นและรณรงค์ขอความร่วมมือการสวมใส่หน้าการอนามัย และขอให้ประชาชนระมัดระวังมากขึ้น” ทั้งนี้สถานการณ์เรื่องโรคโควิดของประเทศดีขึ้นมาก “ขณะนี้ประเทศไทยได้เริ่มใช้วัคซีนแล้ว โดยมีจำนวนผู้ฉีดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว"

อดีตเลขาฯ อังก์ถัด ‘ศุภชัย พานิชภักดิ์’ ชี้ รัฐบาลกู้หนี้สู้วิกฤติโควิด เต็มเพดาน 60% ของจีดีพี ยังไม่น่ากังวล เหตุรัฐบาลทั่วโลกกู้เหมือนกันหมด ระบุ สัดส่วนยังต่ำกว่าหลายประเทศพัฒนาแล้ว ทั้งญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา

นายศุภชัย พานิชภักดิ์ อดีตเลขาธิการการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (อังก์ถัด) และอดีตผู้อำนวยการใหญ่องค์การการค้าโลก (WTO) เปิดเผยในงาน TJA Talk เนื่องในโอกาสครบรอบ 66 ปี สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย เรื่อง มองไปข้างหน้าเศรษฐกิจไทย เศรษฐกิจโลก ว่า แนวโน้มเศรษฐกิจไทยต่อจากนี้จะดีขึ้นเรื่อย ๆ แบบเรียบ ๆ เพราะหลายประเทศยังต่อสู้กับวิกฤตการระบาดของไวรัสโควิด-19 ต่อไปอีกระยะหนึ่ง ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ไม่ปกติ เพราะเป็นเศรษฐกิจในรูปแบบที่เรียกว่าเซอร์ไววัล หรือเศรษฐกิจที่จำเป็นจะต้องหาทางบริหารให้อยู่รอด

นายศุภชัย กล่าวว่า การทำเศรษฐกิจให้อยู่รอดแม้ว่าจะทำให้เกิดปัญหาหนี้แต่ก็มีความจำเป็น เพราะทางเลือกในการแก้ปัญหามีไม่มาก ซึ่งการกู้เงินมาใช้ต่อสู้กับวิกฤต ซึ่งเรื่องนี้รัฐบาลทั่วโลกก็โดนโจมตีเหมือนกันหมดว่าเป็นรัฐบาลนักกู้ทั้งนั้น อยู่ที่ว่ากู้มากหรือกู้น้อย และการกู้มาต้องใช้ในการช่วยเหลือเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบจริง ๆ และใช้ในสิ่งที่เหมาะสม ล่าสุดทั้งธนาคารโลก และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ต่างก็เปิดช่องให้หลายประเทศกู้เงินในเงื่อนไขพิเศษทั้งหมด เพื่อช่วยเหลือประเทศยากจนทั่วโลก

ทั้งนี้การกู้เงินมาสู้กับวิกฤตครั้งนี้ มองว่า แม้จะทำให้สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีเข้าใกล้กรอบความยั่งยืนทางการเงินการคลังที่กำหนดเอาไว้ไม่เกิน 60% ต่อจีดีพี แต่ก็ไม่อยากให้กังวลใจมาก เพราะสัดส่วนยังต่ำกว่าหลายประเทศที่พัฒนาแล้ว ทั้งญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีสัดส่วนหนี้สูงกว่านี้มาก

พิมรี่พายแค่ไปติดไฟ ทำไมเป็นดราม่าซะได้? | News​ มีนิสส​ More​ Minutes Contrast

พิมรี่พายแค่ไปติดไฟ ทำไมเป็นดราม่าซะได้?

.

คลังฯ เตรียมหารือ ขยายโครงการคนละครึ่งเฟส 3 คาดครอบคลุมสิทธิ์เดิม 15 ล้านคนไม่ต้องลงทะเบียนใหม่ วงเงินเยียวยาสูงสุด 3,500 นาน 3 เดือน แต่ต้องดูตามความเหมาะสม พร้อมเล็ง! ลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล 20% จูงใจต่างชาติลงทุนในไทย

นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า เตรียมหารือกับ นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พลังงาน และ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.การคลัง ขยายมาตรการคนละครึ่ง เฟส 3 ที่มาตรการเฟส 1-2 จะครบกำหนดในวันที่ 31 มี.ค.นี้ ว่า จะขยายต่อไปเลยหรือไม่ หรือเป็นช่วงเวลาใด และจะครอบคลุมผู้ที่ได้สิทธิ์เดิม 15 ล้านคนที่ได้สิทธิ์เดิมไม่ต้องมาลงทะเบียนใหม่ หรือ จะเปิดลงทะเบียนใหม่ทั้งหมด ให้สิทธิ์กับทุกคนที่อยากได้

“ตอนนี้ต้องออกแบบโครงการให้ชัดเจนก่อนเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบ ถ้าฝ่ายนโยบายเห็นว่า จะไม่มีโครงการมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอื่น ๆ ออกมา ก็สามารถเสนอโครงการคนละครึ่งเฟส 3 ได้ ซึ่งหลักการต้องใกล้เคียงกับของเดิม แต่จะดูเวลาที่เหมาะสม ว่าจะให้ต่อเนื่องไปเลย หรือ จะเว้นช่วงไว้ แล้ว จะให้สิทธิ์กี่คน จำเป็นต้อง 15 ล้านคนไหม หรือจะให้ 30 ล้านคนเท่าเราชนะ แต่ถามใจคือ ใครอยากได้ต้องได้หมด” นายกฤษฎา กล่าว

ทั้งนี้ โครงการคนละครึ่งเฟส 3 ต้องแก้ข้อบกพร่องเดิม ที่มีในโครงการเฟส 1-2 เช่น จะต้องรวมภาคบริการจากเดิมให้ซื้อได้เฉพาะสินค้า ซึ่งจะต้องขอหารือกับธนาคารกรุงไทยว่า มีภาคบริการเข้าร่วมโครงการในฐานข้อมูลมากน้อยแค่ไหน และสาเหตุที่ควรขยายมาตรการเฟส 3 ออกไป เพราะเห็นว่าต้องการรักษาแรงส่งให้เศรษฐกิจฟื้นฟูต่อไปได้ เป็นการช่วยเหลือทุกภาคส่วน ร้านค้ารายเล็ก ทั้งสินค้าและบริการกว่า 2 ล้านราย ให้มีส่วนร่วมช่วยกันจับจ่ายใช้สอยคนละครึ่งกับรัฐบาล

นายกฤษฎา กล่าวว่า ส่วนวงเงินที่จะให้เบื้องต้น คาดว่าจะไม่ได้ให้ 500 บาท เหมือนเฟส 2 ซึ่งอาจจะน้อยเกินไป แต่หากจะให้ รายละ 3,000-3,500 บาท นาน 3 เดือน ก็ต้องดูว่า มีเงินเหลือพอหรือไม่ ซึ่งตอนนี้ เงินกู้จาก พ.ร.ก.กู้เงิน 1 ล้านล้านบาท ในส่วนวงเงินเยียวยา 5.5 แสนล้านบาท ใช้ไปเกือบหมดแล้ว จึงเหลือวงเงินในส่วนฟื้นฟูอีกประมาณ 2 แสนล้านบาท ที่จะนำมาใช้ได้ ก็ขึ้นอยู่กับฝ่ายนโยบายว่า จะจ่ายเท่าไหร่ จึงจะเหมาะสม

ส่วนข้อเสนอของ นายสุพัฒนพงษ์ ให้ลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล 20% เพื่อจูงใจให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนในไทยนั้น ต้องไปพิจารณาว่าเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งแล้ว อัตราภาษีไทยสูงเกินไปหรือไม่ เช่น สิงคโปร์ อยู่ที่ 18% แต่บางประเทศก็สูงกว่าไทยมาก ในมุมมองคือ ถ้าลดภาษี ก็ช่วยเรื่องของการแข่งขัน จูงใจลงทุนเพิ่มขึ้นได้ แต่การเสนอต้องทำเป็นแพ็คเกจ ถ้าลดภาษีเงินได้นิติบุคคล ก็ต้องจัดเก็บรายได้จากตัวอื่นมาทดแทนด้วย

“ภูมิใจไทย” เปิดเวที “ชำแหละค่ารถไฟฟ้า ที่เหมาะสม” สะท้อนปัญหาค่าโดยสารราคาแพง เทียบกับค่าแรงขั้นต่ำ ด้าน ‘สิริพงศ์’ ลั่น ! จับตา กทม.อย่างใกล้ชิด ขู่ประกาศขึ้นราคาเมื่อไหร่ - ฟ้องเมื่อนั้น

ขณะที่ “กรมราง-รฟม.-นักวิชาการ-ผู้บริโภค” ประสานเสียง ค่าโดยสารถูกลงได้อีก ชี้ไม่ควรเกิน 10% ของค่าแรงขั้นต่ำ

นายศุภชัย ใจสมุทร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย ประธานเปิดการเสวนา เรื่อง “ชำแหละค่ารถไฟฟ้า ที่เหมาะสม” ที่จัดขึ้นโดยพรรคภูมิใจไทย เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2564 ที่ผ่านมา โดยมี นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ ส.ส.จังหวัดศรีษะเกษ เขต 1 พรรคภูมิใจไทย, นายกิตติพันธ์ ปานจันทร์ อธิบดีกรมการขนส่งทางราง (ขร.), นายภคพงศ์ ศิริกันทรมาศ ผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.), นางสาวสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสภาองค์กรผู้บริโภค, นายคงศักดิ์ ชื่นไกรลาศ ผู้ประสานงานโครงการขนส่งมวลชน มูลนิธิผู้บริโภค และนายสุเมธ องกิตติกุล ผู้อำนวยการวิจัยด้านนโยบายการขนส่งและโลจิสติกส์ TDRI ร่วมเสวนา

นายศุภชัย กล่าวว่า ในช่วงหลายรัฐบาลที่ผ่านมา ได้มุ่งเน้นลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งในหลายรูปแบบ ทั้งทางบก ทางน้ำ ทางราง และทางอากาศ เพื่ออำนวยความสะดวก และรองรับการเดินทางของประชาชน ในส่วนของกรุงเทพมหานคร (กทม.) และปริมณฑล ก็นับเป็นอีกหนึ่งพื้นที่ของประเทศไทยที่มีการพัฒนาระบบการคมนาคมขนส่งมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะระบบ “รถไฟฟ้า” ที่กลายเป็นโครงข่ายการเดินทางหลัก เพื่อให้สอดรับกับการเป็นพื้นที่เศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศ ทั้งภาคการค้า การลงทุน ที่มีเม็ดเงินหมุนเวียนมหาศาล รวมถึงเป็นอีกหนึ่งศูนย์กลางการค้าหลักของกลุ่มประเทศในภูมิภาค

“ต้องยอมรับว่าในปัจจุบัน และอนาคตอันใกล้นี้ การเดินทางโดยโครงข่ายรถไฟฟ้าถือเป็นการขนส่งสาธารณะหลักของประชาชนชาว กทม. และปริมณฑล รวมถึงประชาชนในจังหวัดอื่นๆ ที่เดินทางเข้ามาทำงานในพื้นที่ต้องแบกรับภาระค่าเดินทางที่มากเกินไปอยู่ในขณะนี้ อีกทั้งยังประสบปัญหาขาดสภาพคล่องทางการเงิน รายรับไม่เพียงพอกับรายจ่าย และกลายเป็นหนี้สินในท้ายที่สุด” นายศุภชัย กล่าว

นายศุภชัย กล่าวต่ออีกว่า ตามที่มีการประกาศจากส่วนราชการ จะมีการคิดอัตราค่าโดยสารตลอดสายในราคาสูงถึง 104 บาท หรือหากเดินทางไป-กลับ รวมค่าโดยสารต้องจ่ายถึง 208 บาท แต่ขณะที่ค่าแรงขั้นต่ำในเขต กทม. อยู่ที่ 331 บาท อีกทั้งเงินเดือนสำหรับผู้ศึกษาจบในระดับปริญญาตรี เริ่มต้นเฉลี่ย อยู่ที่เดือนละ 15,000 บาท เท่านั้น พรรคภูมิใจไทย จึงได้จัดงานเสวนา เรื่อง “ชำแหละค่ารถไฟฟ้าที่เหมาะสม” ขึ้น เพื่อระดมความคิดเห็นจากผู้ที่อยู่ในวงการคมนาคม ขนส่ง นักวิชาการ ผู้ใช้บริการและภาคประชาชน ในการแสดงความคิดเห็น เพื่อสะท้อนปัญหาที่เกิดขึ้น พร้อมทั้งหาแนวทางการแก้ไขปัญหา และเป็นเสียงสะท้อนเพื่อนำไปสู่การพิจารณาของภาครัฐ ภาคเอกชนต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยมุ่งเน้นประโยชน์ของประชาชนในฐานะผู้ใช้บริการระบบขนส่งเป็นหลัก

ด้านนายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ ส.ส.จังหวัด ศรีสะเกษ เขต 1 พรรคภูมิใจไทย กล่าวว่า ตนในฐานะ ส.ส. ซึ่งมีหน้าที่รับฟังปัญหาของประชาชน ทั้งนี้ ในส่วนของรถไฟฟ้า โดยเฉพาะค่ารถไฟฟ้านั้น ถือเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ได้ให้ความสำคัญ เนื่องจากเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับค่าครองชีพของประชาชนทุกคน ไม่เพียงแค่ชาว กทม. เท่านั้น แต่ชาวต่างจังหวัดที่เข้ามาทำงานหรือดำรงชีวิตในเขต กทม. และปริมณฑล ไม่น้อยกว่า 50% ของจำนวนประชากรในพื้นที่ดังกล่าว ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน ที่ต้องแบกรับภาระค่าโดยสารรถไฟฟ้าในอัตราสูง โดยมองว่า ราคาค่าโดยสารรถไฟฟ้าในปัจจุบัน ยังมีราคาแพงเกินไป

ทั้งนี้ ตามที่มีการออกประกาศของ กทม. เรื่องปรับขึ้นอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีเขียว 104 บาทตลอดสาย เมื่อวันที่ 15 ม.ค. 2564 และในประกาศระบุไว้ว่า มีผลวันที่ 16 ก.พ. 2564 จนเป็นเหตุให้ตนและ ส.ส.ของพรรคภูมิใจไทย ไปดำเนินการยื่นฟ้องร้องต่อศาลปกครองในช่วงก่อนหน้านี้ เพื่อให้พิจารณายับยั้งการขึ้นราคา พร้อมทั้งให้พิจารณาว่าชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เนื่องจากมองว่า เรื่องค่าโดยสารรถไฟฟ้า เป็นเรื่องสำคัญของประชาชน อีกทั้ง ระบบรถไฟฟ้า ควรเป็นระบบขนส่งสาธารณะที่ประชาชนทุกคนต้องเข้าถึงได้ และไม่เป็นภาระของประชาชน

“ถึงแม้ว่า ล่าสุด กทม. จะประกาศเลื่อนการปรับขึ้นราคาดังกล่าว และศาลได้มีคำสั่งทุเลาการยื่นฟ้องนั้น ผมยังเชื่อว่า โอกาสที่ กทม. จะขึ้นราคาค่าโดยสาร ยังมีแน่นอน ผมจะเฝ้าจับตามอง และติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด เพราะประกาศของ กทม. ระบุไว้ว่า เลื่อน ไม่ได้ยกเลิก ซึ่งหลังจากนี้ ถ้า กทม.มีประกาศอีกเมื่อไหร่ เราก็จะไปฟ้องร้องอีก เพราะราคา 104 บาทตลอดสาย ไม่ใช่ขนส่งมวลชนสาธารณะที่ทุกคนใช้ได้ เป็นแค่บางคนที่มีฐานะเข้าถึงได้ และเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ” นายสิริพงศ์ กล่าว

ขณะที่ นายกิตติพันธ์ ปานจันทร์ อธิบดีกรมการขนส่งทางราง (ขร.) กล่าวว่า วิธีการคิดคำนวณค่าโดยสารทั่วโลก มี 3 รูปแบบ ประกอบด้วย 1.อัตราเดียวกันทั้งหมด 2.คิดตามระยะทาง และ 3.คิดตามโซน ซึ่งในส่วนของประเทศไทยนั้น ได้คิดค่าโดยสารในรูปแบบตามระยะทาง บวกด้วยค่าแรกเข้า ทั้งนี้ การเดินทางด้วยระบบรถไฟฟ้า จุดประสงค์หลัก คือ การเดินทางสะดวก ราคาไม่แพง และทุกคนต้องเข้าถึงได้ และควรหารายได้จากการพัฒนาเชิงพาณิชย์ มาชดเชยรายได้ และลดค่าโดยสารให้กับประชาชน โดยมองว่า ราคาค่าโดยสารรถไฟฟ้าในปัจจุบัน ยังมีราคาแพงเกินไป

ขณะที่นายภคพงศ์ ศิริกันทรมาศ ผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) กล่าวว่า ระบบรถไฟฟ้าของ รฟม. ได้ดำเนินการตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 มีการกำหนดหลักเกณฑ์ระหว่างคู่สัญญาไว้ ทั้งนี้ การคิดอัตราค่าโดยสารของ รฟม. นั้น คิดตาม MRT Assessment Standardization ของธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) ทั้งนี้ ในส่วนของรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินที่ให้บริการอยู่ในปัจจุบันนั้น รวมระยะทาง 48 กิโลเมตร (กม.) มี 38 สถานี ค่าโดยสารอยู่ที่ 17-42 บาท (คิดค่าโดยสาร 12 สถานี) ขณะที่รถไฟฟ้าสายสีม่วง ให้บริการ 16 สถานี คิดค่าโดยสารในอัตรา 14-42 บาท อีกทั้งหากใช้บริการข้ามระบบ หรือระหว่างสายสีม่วงเชื่อมต่อกับสายสีน้ำเงิน รวม 54 สถานี ค่าโดยสารจะอยู่ที่ 70 บาทตลอดสายเท่านั้น โดยเมื่อเทียบกับรถไฟฟ้าสายสีเขียว ถือว่าค่าโดยสารของ รฟม. ถูกกว่าเป็นอย่างมาก

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของรถไฟฟ้าสายสีชมพู และสายสีเหลืองในอนาคต จะใช้วิธีการคำนวณอัตราค่าโดยสารในรูปแบบแบบเดียวกัน อย่างไรก็ตาม ตามที่ BTS จะหมดสัญญาสัมปทานในโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวในปี 2572 นั้น มองว่า เป็นโอกาสที่ดี เนื่องจากโครงการดังกล่าว รัฐบาลจะเป็นเจ้าของโครงการโดยสมบูรณ์ และสามารถบริหารจัดการโครงการ แล้วมาชดเชยค่ารถไฟฟ้าได้ ซึ่งจะทำให้ค่ารถไฟฟ้ามีราคาที่ถูกลง ซึ่งจะทำให้หลายโครงข่ายมีค่าโดยสารในรูปแบบเดียวกัน

ด้านนางสาวสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสภาองค์กรผู้บริโภค กล่าวว่า ราคาค่ารถไฟฟ้าในปัจจุบันไม่เป็นธรรมต่อผู้บริโภค และถือว่าแพงที่สุดในโลก โดยเมื่อพิจารณาจากตัวเลขอ้างอิงโดยสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาแห่งประเทศไทย (TDRI) ที่ระบุว่า ค่ารถไฟฟ้าของประเทศไทย มีอัตรา 26-28% ของค่าแรงขั้นต่ำ ขณะที่ หากใช้ราคา 65 บาท จะอยู่ที่ 30 กว่า% ซึ่งเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านจะอยู่ที่ 3-9% เท่านั้น อย่างไรก็ตาม มองว่า การคิดคำนวณค่ารถไฟฟ้าไม่ควรยึดหลักดัชนีผู้บริโภค โดยไม่ควรเกิน 10% ของค่าแรงขั้นต่ำ อีกทั้ง ควรมีการกำหนดเพดานราคาสูงสุดของค่ารถไฟฟ้าทั้งระบบด้วย

นอกจากนี้ ควรมองว่า ระบบรถไฟฟ้าเป็นระบบขนส่งสาธารณะหลัก แต่ในปัจจุบันกลับมองว่า เป็นการให้บริการทางเลือก

ขณะเดียวกัน จากข้อมูลของกระทรวงคมนาคม ระบุว่า หากเก็บค่าโดยสารสูงสุดที่ราคา 49.83 บาท กทม.จะมีกำไรส่งให้รัฐในปี 2602 อยู่ที่ 380,200 ล้านบาท ซึ่งข้อมูลของ กทม. ระบุว่า หากเก็บค่าโดยสารที่ราคา 65 บาท กทม.จะมีกำไรส่งรัฐในปี 2602 อยู่ที่ 240,000 ล้านบาท ขณะที่ข้อมูลของสภาฯ คำนวณว่า หากเก็บค่าโดยสารที่ 25 บาท จะมีกำไรส่งรัฐในปี 2602 อยู่ที่ 23,200 ล้านบาท โดย กทม. อ้างว่า การคำนวณของกระทรวงคมนาคม คำนวณรายได้จากจำนวนผู้โดยสารสูงกว่า กทม. คำนวณ

“ทำไม กทม. ถึงต้องหวังมีกำไร เนื่องจากการเป็นการให้บริการขนส่งสาธารณะกับประชาชน ซึ่งควรพิจารณานำกำไรที่ได้ มาเฉลี่ยเป็นค่ารถไฟฟ้าให้ถูกลง ซึ่งถ้า กทม. ทำไม่ได้ รัฐก็ไม่ควรต่อสัญญา ควรชะลอให้ผู้ว่า กทม.คนใหม่เข้ามาตัดสินใจ เพราะดิฉันเชื่อว่า ราคาจะถูกลงได้ นอกจากนี้ ควรมาทบทวนทั้งระบบ โดยจะต้องมีราคาที่ถูกลง หรือไม่เกิน 10% ของค่าแรงขั้นต่ำ และบอกมาเลยว่า ต้องมีสัญญาสัมปทานกี่ปี ค่ารถไฟฟ้าถึงลดลงได้ ตอนนี้ถือเป็นโอกาสของผู้ว่า กทม. คนปัจจุบัน ย้ำว่า ถ้าทำไม่ได้ ต้องไม่ต่อสัญญา” นางสาวสารี กล่าว และว่า เราชื่นชมมากเลยที่ พรรคภูมิใจไทย และ นายสิริพงศ์ ไปฟ้องคดี เพราะการตัดสินใจจะฟ้องเป็นเรื่องที่ต้องเตรียมการมาก

ขณะที่ นายคงศักดิ์ ชื่นไกรลาศ ผู้ประสานงานโครงการขนส่งมวลชน มูลนิธิผู้บริโภค กล่าวว่า จุดยืนของมูลนิธิฯ ยืนยันว่า ระบบรถไฟฟ้าต้องเป็นขนส่งมวลชนหลัก ไม่ใช่ระบบขนส่งทางเลือก ทั้งนี้ ที่ผ่านมา ยังไม่เคยได้รับคำตอบจาก กทม. ในวิธีการคิดค่าโดยสารว่า มีสูตรคำนวณอย่างไร ขณะเดียวกัน ไม่เห็นด้วยกับการเร่งรีบในการต่อสัญญาสัมปทานของ กทม. กับภาคเอกชน เนื่องจากยังมีเวลาเหลืออีกประมาณ 8 ปี ควรมาร่วมกันพิจารณาทางออกให้ชัดเจนก่อน

นายสุเมธ องกิตติกุล ผู้อำนวยการวิจัยด้านนโยบายการขนส่งและโลจิสติกส์ TDRI กล่าวว่า จากการศึกษาข้อมูลประเทศไทยติดอันดับในเรื่องของอัตราค่าโดยสารที่สูง เมื่อเปรียบเทียบกับปัจจัยหลายด้าน โดยอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าในปัจจุบัน เมื่อเปรียบเทียบกับค่าครองชีพ ถือว่ามีอัตราค่าโดยสารที่สูง และเมื่อเทียบกับมาตรฐานระดับต่างประเทศ ก็ยังถือว่าสูงมากเช่นเดียวเช่นกัน

เฟสบุ๊คชื่อ Pat Sangtham ได้โพสต์ ถึงการดีเบต ของฝ่ายต่อต้าน และสนับสนุน ม.112 ผ่านงานเสวนาวิกฤติการเมืองไทยและการบังคับใช้กฎหมายอาญามาตรา 112

ซึ่งจัดโดย สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย (FCCT: Foreign Correspondent's Club of Thailand)

โดยระบุว่า ALIEN SALIVA – น้ำลายเอเลี่ยน: การเข้ามาวิจารณ์กฎหมายไทย ของเดวิด สเตร็คฟัสส์ เป็นหลักฐานชัดเจนว่าประเทศไทย มีประชาธิปไตยมากพอ ที่จะให้คนต่างชาติเข้ามาวิพากษ์วิจารณ์ได้อย่างเสรี

สิ่งที่สเตร็คฟัสส์ อ้าง เช่นเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 เป็นการอนุมานเอาเอง จากการอ่านและค้นคว้า เพราะสเตร็คฟัสส์ไม่ได้อยู่เมืองไทย ทุกอย่างได้มาจากการอ่าน ไม่ได้เข้าใจถึง ความรู้สึกของคนไทย (sentiment) ไม่ได้รู้ถึงผลกระทบทางอารมณ์ (emotional impact) ต่อเหตุการณ์ ณ ตอนนั้น แล้วโยงเข้าเรื่องกฎหมายปกป้องกษัตริย์ของไทย ที่มีมาถึงปัจจุบัน และไม่แตะเรื่อง "ศรัทธาทางจิตวิญญาณ" ใดๆ อาจจะด้วยเจตนาที่จะไม่พูดถึง หรือเพราะไม่เข้าใจมิติของศรัทธาเนื่องจากมาจากสภาพแวดล้อม ที่ศรัทธาแต่ตัวเอง

แล้วก็ย้อนแย้งตัวเอง จากการที่คุณหมอวรงค์พูดถึง กฎหมายคุ้มครองประมุขของประเทศ ในประเทศต่างๆ เช่นญี่ปุ่น มาเลเชีย เดนมาร์ค โดยอ้างว่า แม้กฎหมายในประเทศยุโรปเช่น สวีเดน และเดนมาร์ค ว่าด้วยการหมิ่นประมาทประมุขของประเทศ จะมีโทษแรงกว่ากฎหมายไทยถึง 3 เท่า แต่จะเห็นได้ว่า "นานแค่ไหนแล้ว ทีมีคดีเรื่องการหมิ่นประมาทประมุขของประเทศ... เอิ่ม ก็มีเหมือนกัน แต่มีเพียงปีละ 3 - 4 คดี"

ตกลง จะย้อนแย้งตัวเองไปทำไม ในเมื่อ กฎหมายในยุโรปลงโทษแรงกว่าไทย และมีคดีให้เห็น

กฎหมายไทย หรือรัฐธรรมนูญไทย ร่างขึ้นและผ่านประชามติ โดยคนไทย เพราะกฎหมายมีหน้าที่ปกป้อง รักษาผลประโยชน์ให้กับคนไทย ดูแลสิทธิ บนพื้นฐานของพฤติกรรมไทย ความเชื่อแบบไทย ค่านิยมและศรัทธาของคนไทย จึงเป็นเรื่องแปลกที่คนต่างชาติ จะออกมาวิจารณ์กฎหมายไทย ราวกับเป็นแผ่นดินแม่

ถ้ามีชาวต่างชาติอื่นๆ ออกมาวิจารณ์กฎหมายไทยอย่างสเตร็คฟัสส์ จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าคนไทยและชาติต่างๆ ออกมาวิจารณ์กฎหมายของสหรัฐอเมริกาบ้างจะได้ไหม เราจะได้ฟังคำวิจารณ์จากรัสเซีย เวเนซูเวลล่า อัฟกานิสถาน เกาหลีเหนือ มาเลเชีย ฯลฯ กันสนุกแน่นอน


ที่มา : เฟซบุ๊ก Pat Sangtum

https://web.facebook.com/watch/live/?v=206302414606417&ref=watch_permalink

 

สถานการณ์โควิด-19 ประเทศไทยและอาเซียน ประจำวันที่ 5 มีนาคม พ.ศ.2564

สถานการณ์โควิด-19 ประเทศไทยและอาเซียน

ประจำวันที่ 5 มีนาคม พ.ศ.2564

ยอดขายของร้านหนังสือในจีน ยอดเติบโตก้าวกระโดดช่วงหยุดยาวตรุษจีนที่ผ่านมา เฉพาะที่เซี่ยงไฮ้ ทะลุ 8.5 ล้านหยวน ตอกย้ำ ‘ร้านหนังสือไม่มีวันตายในจีน’

ธุรกิจหนังสือและร้านหนังสือในจีน ยังคงเป็นธุรกิจที่สามารถทำเงินได้ ต่างจากประเทศอื่นๆ ที่โดยส่วนใหญ่ธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์โดน Disrupt ด้วยสื่อและหนังสือแบบดิจิทัล

เหตุผลที่เป็นเช่นนั้น เพราะ?

เนื่องจากคนจีนเองถูกปลูกฝังให้รักการอ่านและคุ้นชินกับการอ่านหนังสือเป็นเล่มมาอย่างยาวนาน รวมไปถึงการปรับตัวของร้านหนังสือ ที่ไม่ได้เป็นแค่ร้านหนังสือ แต่เป็นเหมือนสถานที่พักผ่อน พบปะ และสามารถท่องเที่ยวได้ด้วย เห็นได้จากคนจีน โดยเฉพาะคนที่มีลูก จะพาครอบครัวมาเที่ยวร้านหนังสือในช่วงวันหยุด

จากที่กล่าวมาข้างต้น จึงไม่น่าแปลกใจเลบว่า ทำไมช่วงวันหยุดยาวเทศกาลตรุษจีน 12 ก.พ.64 ที่ผ่านมา ยอดขายหนังสือในร้านหนังสือจีน เฉพาะที่มหานครเซี่ยงไฮ้ ถึงทะลุ 8.5 ล้านหยวน หรือมากกว่า 2 เท่าของยอดขายหนังสือแบบออนไลน์

ยิ่งไปกว่านั้นยอดขายที่มากมาย ก็ยังเกิดขึ้นในช่วงที่ร้านหนังสือต่างๆ จำกัดจำนวนคนเข้าร้าน โดยลดลงกว่าครึ่งหนึ่งของจำนวนคนที่รับได้ เนื่องจากต้องป้องกัน COVID-19 แต่ก็ยังมีคนจีนหลั่งไหลมาซื้อหนังสืออ่านกัน

สำหรับหนังสือที่เป็นนิยมมากที่สุดในกลุ่มชาวเซี่ยงไฮ้ ได้แก่

- หนังสือสายสังคมวิทยา

- หนังสือเด็ก

- หนังสือแนววัฒนธรรม

- หนังสือนิยายวิทยาศาสตร์


ที่มา: อ้ายจงเล่าเรื่องจาก China Daily

https://www.facebook.com/348166825314887/posts/2160116784119873/

คลังเผย! กลุ่มไม่มีสมาร์ทโฟน - พิเศษ ที่ลงทะเบียนเราชนะกลุ่มแรก รับเงินงวดแรกวันนี้ 4,000 บาท พร้อมรองวดต่อไป12 - 19 - 26 มี.ค. รวม 7,000 ส่วนกลุ่มสอง รอคัดกรองสิทธ์ิ 19 มี.ค. รอรับงวดแรก 6,000 บาท !

หลังจากที่กระทรวงการคลัง เปิดให้ประชาชนกลุ่มที่ไม่มีสมาร์ทโฟน หรือ กลุ่มพิเศษเปิดให้ ลงทะเบียนร่วมโครงการเราชนะ โดยไม่ต้องลงทะเบียนผ่าน www.เราชนะ.com ตั้งแต่วันที่ - 21 ก.พ. กระทรวงการคลัง ได้แจ้งว่ามีผู้ผ่านการคัดกรองแล้วจำนวน 5 แสนคน

ดังนั้นในวันนี้ กลุ่มที่ไม่มีสมาร์ทโฟน หรือ กลุ่มพิเศษ ที่ลงทะเบียนในโครงการเราชนะตั้งแต่วันที่ 15 - 21 ก.พ. ซึ่งเป็นกลุ่มรอบแรก ที่ผ่านเกณฑ์การคัดกรองแล้วจะรับเงินงวดที่ 1 จำนวน 4,000 บาทหลังจากนั้นทุกวันศุกร์ กระทรวงการคลัง โอนเงินเพิ่มอีก 1,000 บาท ในวันที่12 มีนาคม , วันที่19 มีนาคม และ วันที่ 26 มี.ค. รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 7,000 บาท

โดยประชาชนสามารถใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์ดังกล่าวผ่านบัตรประจำตัวประชาชนแบบสมาร์ทการ์ด (Smart Card) ผ่านผู้ประกอบการร้านค้าและผู้ให้บริการที่เข้าร่วมโครงการเราชนะได้เลย สำหรับกลุ่มที่ไม่มีสมาร์ทโฟน ลงทะเบียนเราชนะ ระหว่างวันที่ 22 ก.พ. - 5 มี.ค. รับทราบผลการคัดกรองสิทธิ์ครั้งแรกในวันที่ 19 มี.ค. กลุ่มที่ 2 เมื่อผ่านการคัดกรองได้รับเงิน ครั้งแรกจำนวน 6,000 บาท หลังจากนั้นก็จะได้รับเงินในวันศุกร์ที่ 26 มี.ค. อีกจำนวน 1,000 บาท

หากย้อนกลับไปราว ๆ 2 ปีที่แล้ว ชื่อของ อี้ - แทนคุณ จิตต์อิสระ ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งเลขานุการคณะทำงานทางการเมืองของประธานสภาผู้แทนราษฎรไทย และเคยเป็นอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกรุงเทพมหานคร ของพรรคประชาธิปัตย์ เรียกว่าโด่งดังในหมู่คนรุ่นใหม่พอสมควร

เพียงแต่เป็นความโด่งดังในเชิง ‘ลบ’ ไปนิด หลังจากมีซีนเด็ดพิพาทระหว่างเขา กับ ‘เพนกวิน’ หรือ พริษฐ์ ชิวารักษ์ ที่น่าจะทำให้สังคมคนรุ่นใหม่บางกลุ่มมองเขาเป็นศัตรู

อย่างไรก็ตามในวันที่เขาได้มีโอกาสมานั่งคุยกับ THE STATES TIMES เขาบอกแบบเปิดใจว่า ไม่ได้กังวลกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่กลับกันรู้สึกเป็นห่วงอนาคตของชาติกลุ่มนี้มากกว่า

ว่าแต่ ชนวนเหตุ ของเหตุพิพาทคืออะไร?

เมื่อวันที่ 4 ธ.ค.2562 ตอนที่ พริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ เพนกวิน นักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เข้ายื่นหนังสือพร้อมมอบพจนานุกรมภาษาไทยให้ นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ผ่านนายสมบูรณ์ อุทัยเวียนกุล เลขานุการสภาผู้แทนราษฎร และ นายแทนคุณ จิตต์อิสระ คณะทำงาน พร้อมระบุว่า อยากให้นายชวน นำพจนานุกรมไปศึกษาคำว่า ออกเสียงลงคะแนน กับ นับคะแนนใหม่ เนื่องจากมีความแตกต่างกัน พร้อมกับยกตัวอย่างว่า ตนเองเคยทำงานในสภานักศึกษาของมหาวิทยาลัย หากมีการลงคะแนนเสร็จแล้วจะต้องยึดถือผลคะแนนนั้นไม่สามารถนับใหม่ได้ พร้อมระบุว่าก่อนหน้านี้มีความเคารพนับถือนายชวนมาก จึงไม่อยากให้เสื่อมเสีย

แทนคุณ ซึ่งยืนฟังอยู่ จึงได้ขึ้นมาพูด พร้อมระบุว่า ขอคืนพจนานุกรมให้นายพริษฐ์ เนื่องจากมองว่าเป็นคนที่จำเป็นต้องใช้มากที่สุด เพราะยังขาดความเข้าใจในภาษาไทย ย้ำว่า ในข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎรกำหนดไว้ชัดเจนว่าต้องดำเนินการอย่างไร ซึ่งนายชวนปฎิบัติตามข้อบังคับทุกขั้นตอน และไม่ควรนำข้อบังคับการประชุมของมหาวิทยาลัยมาเปรียบเทียบกับการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพราะมีกติกาต่างกัน รวมถึงมองว่านายพริษฐ์ไม่ควรพูดพาดพิงบุคคลอื่น หรือ หากจะพาดพิงควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบ

แม้วันนั้น แทนคุณ จะพูดทิ้งท้ายว่า ดีใจที่คนรุ่นใหม่สนใจการเมือง แต่เขามองว่าไม่ควรตกเป็นเครื่องมือของฝ่ายใด เนื่องจากระหว่างการแถลงข่าว ข้างเวทีแถลงข่าวมีคนคอยบอกและสนับสนุนให้พริษฐ์แถลงข่าวต่อกับสื่อมวลชน ที่อาคารรัฐสภา เกียกกาย (เมื่อวันที่ 4 ธ.ค.2562) แบบนั้น ทำให้เขาไม่สบายใจกับการกระทำที่เกิดขึ้น

แน่นอนว่า ถ้อยคำและวิวาทะในวันนั้น ถูกมองเป็นการประกาศศึกกับคนรุ่นใหม่บางกลุ่ม จนน่าจะมี ‘กรุ๊ปทัวร์’ ย่อยๆ มาไล่ขยี้ อี้ แทนคุณ กันตั้งแต่วันนั้น

แม้จะถูกตั้งแง่จากคนรุ่นใหม่ตั้งแต่วันนั้น แต่กลับกันในใจของเขาพยายามเฝ้ามองพฤติกรรมของเยาวชน คนรุ่นใหม่ในบริบทที่พัฒนามาเป็นผู้ชุมนุมม็อบคณะราษฏรว่า สิ่งที่พวกเขาทำกำลังตัดบันไดทางลงของตน เพราะเหตุการณ์การชุมนุมกำลังนำพาเด็กๆ ไปจบในสถานที่ที่ไม่พึงประสงค์อย่าง ‘คุก’

และมันก็ดูจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ

เขาเล่าให้ฟังว่า เขาอยากแนะ ‘ทางลง’ ให้กับผู้ชุมนุม ที่ควรทำได้เลยทันที จากการที่กลุ่มผู้ชุมนุมไปไล่กรีดแผลบางอย่างที่มิควรกรีด ตั้งแต่...หยุดการล่วงเกินต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ในทุกรูปแบบ ทุกเวที โดยอยากขอร้องให้น้องๆ ที่มีเจตนาดี อยากทำเพื่อบ้านเมืองจริงๆ โดยบริสุทธิ์ใจ ถอนตัวจากทุกการชุมนุมที่มีการจาบจ้วงล่วงละเมิดด้วยถ้อยคำและท่าทีหรือการแสดงออกที่หยาบคาย เสียดสีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และร่วมประณาม หรือเตือนสติผู้ที่กำลังกระทำการจาบจ้วงนั้นอยู่ให้หยุดพฤติกรรมนั้นเสีย

ขณะเดียวกันก็ควรสนับสนุนการมีส่วนร่วมกับกลไกรัฐสภา โดยเลือกแกนนำที่มีเหตุมีผลเป็นตัวแทน มุ่งนำประเด็นที่เป็นไปได้จริงและมีผลต่อประชาชนส่วนรวมจำนวนมาก เช่น การแก้ไขรัฐธรรมนูญ หรือดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใด ที่จะนำไปสู่การเสนอข้อชี้แนะและแนวทางแก้ไขปัญหาของประเทศอย่างแท้จริง โดยที่ไม่นำเรื่องของสถาบันพระมหากษัตริย์มาเป็นเงื่อนไข หรือนำไปสู่ความขัดแย้งต่อการทำผิดกฎหมาย ซึ่งอาจทำลายอนาคตของตัวเองและครอบครัว เพราะตอนนี้มีผู้ที่ไม่พอใจในสิ่งที่น้อง ๆ หลายคน ที่อาจรู้เท่าไม่ถึงการณ์ คึกคะนอง จากการรับข้อมูลที่คลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริง จนเริ่มทนไม่ไหวจนและกำลังบานปลายเป็นการปะทะหักหาญกัน

สุดท้าย ควรสื่อสารตรงในข้อสงสัยกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ถ้าหากน้องๆยังมีข้อเสนอที่ต้องการจะสื่อสารหรือส่งต่อความคิดเห็น เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ขอให้ส่งไปที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับสถาบันโดยตรง ได้แก่ สำนักพระราชวัง สำนักงานองคมนตรี เป็นต้น

ทั้งหมดนี้ ดูจะเป็นข้อเสนอที่หากไม่มองแบบเอนเอียง ก็ถือเป็นเป็นจุดเริ่มต้นในการทำให้เสรีภาพของน้องๆ ไม่สูญหายไป แต่เป็นการใช้เสรีภาพ ในทิศทางที่สร้างสรรค์อันจะนำมาซึ่งพลังและการมีส่วนร่วมของพี่น้องประชาชนได้อย่างแท้จริง

“คนรุ่นใหม่ที่ออกมาเคลื่อนไหวไม่ได้ผิด แต่พวกเขาต้องรู้จักวิธีการจัดลำดับความสำคัญ บางทีเรื่องใหญ่ของ ‘เขา’ อาจจะไม่ใช่เรื่องใหญ่หรือมีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของ ‘ทุกคน’

“ยิ่งไปกว่านั้นการวิพากษ์วิจารณ์ กับด่าก็ไม่เหมือนกัน บางคนคิดว่าอิสรภาพและเสรีภาพทางวิชาการ เสรีภาพในทางการเมือง ทำไปทำมากลายเป็นทำลายเสรีภาพของคนอื่น และเสรีภาพทางความคิดที่ปราศจากความรับผิดชอบ มันก็ไม่ได้ต่างจากคนที่เห็นแก่ตัวคนหนึ่งที่เก่ง ซึ่งเรื่องนี้น่ากลัวที่ผมพยายามอยากให้ทุกคนคิดก้าวออกจากจุดที่ไม่ถูกต้อง

“ผมไม่อยากให้อนาคตของชาติต้องเดินตามเส้นทางจากคนเก่งที่เห็นแก่ตัวชี้ไว้ เราเป็นคนไทย ต้องหาให้เจอว่าควรมีการเมืองแบบของเราอย่างไร อย่าเป็นนักก็อปปี้ที่ซื่อสัตย์ หรือนักบริโภคที่ซื่อตรงจนเกินไป”

ติดตามประสบการณ์เส้นทางการเมืองสไตล์ ‘แทนคุณ จิตต์อิสระ’ และมุมมองคิดที่น่าตามจากมิติการเมือง เศรษฐกิจ และพรรคประชาธิปัตย์เต็มๆ ได้ที่ Contributor EP.8 >> https://www.facebook.com/watch/?v=1074229983079722


อ้างอิง: https://www.thaipost.net/main/detail/82278

สุดฮือฮา เมื่อ “มวยไทย” กีฬาประจำชาติไทย ถูกบรรจุเข้าเป็นหนึ่งในชนิดกีฬาของมหกรรมกีฬา “ยูโรเปียนเกมส์ 2023” ที่ประเทศโปแลนด์ นับเป็นครั้งแรกที่มวยไทยถูกบรรจุเข้าไปในมหกรรมนี้

เรื่องนี้ ได้รับการยืนยันจาก สหพันธ์มวยไทยสมัครเล่นนานาชาติ (IFMA) ในฐานผู้กำกับดูแลเรื่องกีฬามวยไทย ที่อนุญาติให้นักกีฬาสามารถเข้าแข่งขันได้ เปิดเผยว่า คณะกรรมการโอลิมปิกยุโรป (อีโอซี) ได้บรรจุชนิดกีฬาที่ไม่มีจัดแข่งขันในโอลิมปิกเกมส์เพิ่มเติม เพื่อเปิดเวที และสร้างโอกาส รวมทั้งประสบการณ์ให้นักกีฬา ได้แสดงความสามารถในชนิดกีฬาต่าง ๆ ให้ทั่วโลกได้เห็น

โดย มวยไทย ถือเป็นกีฬาที่เติบโตเร็วในทวีปยุโรปทั้งกลุ่มของนักกีฬาและผู้ชมที่เพิ่มขึ้นทุกปี ซี่งการแข่งขันครั้งนี้ จะมีชิงเหรียญทองประกอบด้วย ประเภทชาย 7 รุ่น ประเภทหญิง 7 รุ่น และประเภททีมผสม

สำหรับการแข่งขัน “ยูโรเปียนเกมส์ 2023” นั้น เป็นมหกรรมกีฬาระหว่างประเทศในทวีปยุโรป ที่จัดต่อเนื่องทุก 4 ปี ซึ่งดำเนินการแข่งขันมาแล้ว 2 ครั้ง โดยครั้งต่อไปจะจัดขึ้น ระหว่างวันที่ 9 - 25 มิ.ย. 2023 ที่ เมืองคราคอฟ ประเทศโปแลนด์ โดยมี 50 ชาติในยุโรปเข้าร่วมแข่งขัน

ถือเป็นเรื่องน่ายินดีที่จะทำให้คนทั่วโลก ได้รู้จักมวยไทยมากขึ้นกว่าเดิมด้วย

ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ ชี้ถ้าจะฉีดวัคซีนโควิดสร้างภูมิคุ้มกันกลุ่ม ต้องฉีดให้ประชากรในประเทศเกือบ 50 ล้านคน วัคซีนที่ใช้จะต้องมีร่วม 100 ล้านโดส ขณะที่ประเทศไทยเตรียมวัคซีนไว้ประมาณ 63 ล้านโดส จึงยังไม่เพียงพอ

เมื่อวันที่ 5 มี.ค. 64 นายแพทย์ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Yong Poovorawan หัวข้อ วัคซีนโควิด จำนวนผู้ฉีดวัคซีนเท่าไหร่จึงจะเกิดภูมิคุ้มกันกลุ่ม ดังนี้..

ภูมิคุ้มกันกลุ่ม จะช่วยป้องกันการระบาดของโรคที่ติดต่อระหว่างคนสู่คน

การจะป้องกันได้ จะขึ้นอยู่กับว่าโรคนั้น ติดต่อง่ายหรือยาก

โรคติดต่อง่าย ก็จะต้องการภูมิคุ้มกันกลุ่ม ในอัตราที่สูง

โรคติดต่อยาก ก็จะใช้อัตราภูมิคุ้มกันกลุ่มที่ต่ำกว่า

โควิด 19 มีอัตราการติดต่อปานกลาง

เมื่อคำนวณภูมิคุ้มกันกลุ่มที่ต้องการ จะพบว่าอยู่ประมาณ 60%

การให้วัคซีนโควิด ประสิทธิภาพในการสร้างภูมิต้านทาน ไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์

ถ้าสมมุติว่าวัคซีนโควิด มีการสร้างภูมิต้านทานป้องกันโรคได้ 80%

จำนวนผู้ที่จะต้องฉีดวัคซีน ให้เกิดภูมิคุ้มกันกลุ่ม จะมากกว่า 60% ขึ้นไปอีก จะอยู่ที่กว่า 70%

ดังนั้นการให้วัคซีนในประชากรไทย เพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันกลุ่ม ซึ่งในอนาคต จะต้องรวมเด็กด้วย และชาวต่างชาติทั้งหมด ที่อยู่ในประเทศไทย คิดยอดรวมประมาณ 70 ล้านคน

ภูมิต้านทานไม่ว่าจะจากการติดเชื้อ หรือการได้รับวัคซีน ที่เกิดขึ้นต้อง เกือบ 50 ล้านคน

ดังนั้น ความต้องการในการฉีดวัคซีนทั้งประเทศ ถ้าคนละ 2 เข็ม วัคซีนที่ใช้ก็จะต้องใช้ ร่วม 100 ล้านโดส ถ้าขณะนี้ยังไม่นับเด็ก ก็จะต้องใช้ถึง 85 ล้านโดส

ประเทศไทยเตรียมวัคซีนไว้ประมาณ 63 ล้านโดส จึงยังไม่เพียงพอ ยังต้องมีการหาวัคซีนเพิ่มเติม อีกเป็นจำนวนมาก

กลุ่มประชากรเด็ก จะเป็นกลุ่มสุดท้ายที่จะต้องได้รับวัคซีน จนกว่าจะมีการศึกษาขนาด และวิธีการใช้ เพื่อป้องกันการระบาดของโรค

และในอนาคตในปีหน้า ก็ยังไม่ทราบว่า มีความจำเป็นต้องกระตุ้นเพิ่มอีกหรือไม่

การให้วัคซีน ในหมู่มากสำหรับประเทศไทย มีความจำเป็นอย่างเร่งด่วน เพื่อยุติ วิกฤตการระบาดของโรค ให้ได้อย่างรวดเร็ว ชีวิตความเป็นอยู่และสังคม จะได้กลับคืนสู่ภาวะปกติโดยเร็ว

ปัจจุบันการที่บริษัทใดบริษัทหนึ่งจะมีอายุได้ยาวนานเป็นสิบปี ก็เรียกว่าเก่ง แต่ถ้าเป็นร้อยปี นี่ถือว่าหาได้ยากมาก ๆ แต่เชื่อไหมว่า ในโลกนี้มีธุรกิจที่มีอายุยาวนานถึง 1,400 ปีอยู่

และที่สำคัญยิ่งกว่า คือ บริษัทนี้ทำธุรกิจแบบเดียวกับที่ทำในอดีต มาจนถึงปัจจุบันอีกด้วย

คงโงกูมิ (Kongō Gumi : 金剛組) หรือ ‘บริษัท คงโงกูมิ จำกัด’ คือ บริษัทที่ว่า...

คงโงกูมิ เป็นบริษัทรับจ้างก่อสร้างวัดและศาลเจ้า ก่อตั้งขึ้นในประเทศญี่ปุ่น ปีพุทธศักราช 1121 โดยช่างไม้ชื่อ Shigemitsu Kongo จุดเริ่มต้น คือ เขาได้รับว่าจ้างจากราชสำนักให้สร้างวัดพุทธขึ้นเป็นครั้งแรกในญี่ปุ่น ซึ่งพวกเขาก็ได้สร้างวัดวัดชิเทนโนจิ ในจังหวัดโอซาก้าขึ้นมา และผลงานดังกล่าว ก็เป็นที่ชื่นชมอย่างมาก เขาจึงตัดสินใจก่อตั้ง บริษัท คงโงกูมิ เพื่อรับงานสร้างวัดอย่างจริงจัง

นับจากวันนั้น ศาสนาพุทธก็แพร่หลายในญี่ปุ่น ธุรกิจ คงโงกูมิ จึงมีงานสร้างวัด ศาลเจ้า และปราสาทต่าง ๆ เข้ามาอยู่ตลอด ด้วยความที่ผลงานเป็นที่ประจักษ์ คงโงกูมิ เลยมีงานให้ทำไม่หยุดหย่อน ยิ่งคนญี่ปุ่นมีศรัทธาแรงกล้าในพุทธศาสนามากขึ้นเท่าไร ธุรกิจของ คงโงกูมิ ก็ยิ่งเจริญเติบโตมากขึ้นเท่านั้น วัดชื่อดังหลายแห่งในญี่ปุ่นก็เป็นผลงานของพวกเขา รวมถึงปราสาทโอซาก้าที่เป็นจุดท่องเที่ยวยอดฮิตด้วย

คงโงกูมิ ดำเนินธุรกิจมาอย่างยาวนาน สืบทอดมาถึง 40 รุ่น มีการคัดเลือกทายาทที่เหมาะสม มีทั้งผู้สืบทอดที่เป็นลูกชาย ลูกสาว ลูกเขย ซึ่งทั้งหมดจะต้องผ่านการพิจารณาว่ามีภาวะผู้นำที่ดี และบริษัทยังมีการปรับตัวในยุควิกฤต เช่นในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่คนไม่สนใจจะสร้างวัด บริษัทก็หันมาต่อหีบศพขายเพื่อให้ตรงกับความต้องการของตลาด พอเริ่มเข้าสู่ยุคใหม่ พวกเขาก็เริ่มสร้างวัดด้วยคอนกรีตแทนไม้ โดยยังคงความงามของศิลปะดั้งเดิมไว้อยู่

หลายคนอาจจะสงสัยว่า ทำไมบริษัทรับสร้างวัด จึงอยู่มาได้นานขนาดนี้?

มีการวิเคราะห์กันว่ามาจาก 3 ปัจจัยใหญ่ ๆ ซึ่งประกอบด้วย...

1.) ผู้นำที่ดี

ความน่าสนใจ ก็คือ การสืบทอดกิจการกันในครอบครัว ที่ไม่ได้ยึดติดกับ ‘ลูกคนโต’ มาสืบทอดงานตามปกติเหมือนธุรกิจอื่น ๆ แต่บริษัท คงโงกูมิ จะคัดเลือกผู้สืบทอดจากทายาทที่เหมาะสม โดยไม่สนทั้งอายุและเพศ ทำให้ผู้นำของบริษัทสามารถเป็นได้ทั้งลูกชาย ลูกสาว หรือแม้แต่ลูกเขย ที่แต่งเข้ามาก็ได้ ขอแค่พวกเขารักในงาน อยากสืบทอดกิจการ และมีความสามารถ ซึ่งนั่นทำให้ผู้นำบริษัท มักมีภาวะผู้นำที่ดีอยู่เสมอ

2.) สินค้ามีความต้องการอยู่ตลอดเวลา

บริษัท คงโงกูมิ ทำงานเกี่ยวข้องกับศาสนา ที่มีผู้คนศรัทธานับล้านคน ทำให้ตลอดพันปีที่ผ่านมา ความศรัทธานั้นก็ยังคงอยู่ พวกเขาจึงมีงานสร้างวัดอยู่เสมอ ๆ พอวัดใหม่ถูกสร้าง วัดเก่าก็ต้องการการปรับปรุง แล้วงบก็จะมาจากทั้งการว่าจ้างของเอกชน การระดมทุนของชุมชน หรือกระทั่งรัฐบาลสนับสนุนเงิน ทำให้มีเงินเข้ามาอยู่ตลอด ฉะนั้นลองคิดดูว่าใครที่ก่อสร้างวัด หรือปรับปรุงวัด ก็ต้องเรียกหา ‘คงโงกูมิ’ เป็นลำดับแรกๆ จนเรียกว่าเป็นเจ้าตลาด ในตลาดที่มีลูกค้าคอยใช้บริการอยู่ตลอด ก็ไม่ผิดนัก

3.) ความยืดหยุ่นของบริษัท

บริษัท คงโงกูมิ นับว่าเป็นบริษัทที่ผ่านสถานการณ์ที่เลวร้ายมามากที่สุดบริษัทหนึ่งเลยก็ว่าได้ ดังนั้นพวกเขาจึงมีความสามารถในการปรับตัวสูงมาก ยกตัวอย่างเช่น…

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ที่พวกเขาแทบไม่มีงานก่อสร้างวัดเลย เพราะนอกจากผู้คนจะยากลำบาก งบทุกอย่างยังต้องทุ่มไปที่สงครามด้วย แต่ผู้นำบริษัทในตอนนั้นก็ไม่อยู่นิ่ง เมื่อสงครามทำให้คนตายมหาศาล บริษัทก็ผันตัวไปผลิตโลงศพ เพื่อพยุงกิจการไว้

แถมหลังสงคราม พวกเขาก็กลับมารับหน้าที่บูรณะวัดที่ถูกทำลายจากช่วงสงครามได้อีกครั้ง

พอในยุคหลัง บริษัทยังเลือกที่จะเปลี่ยนจากการสร้างวัดด้วยไม้ ไปเป็นคอนกรีต เพื่อให้เข้ากับยุคสมัย ลดความเสี่ยงไฟไหม้ และทำให้บริการพวกเขาน่าสนใจกว่าคู่แข่งอีก

อย่างไรก็ตาม แม้ คงโงกูมิ จะมีชื่อเสียงทั้งเรื่องความมั่นคง และการปรับตัวแค่ไหน แต่พวกเขาก็ต้องพบปัญหาใหญ่!!

ในช่วงยุคปี 2523 เศรษฐกิจญี่ปุ่นเริ่มเฟื่องฟู บริษัทแห่งนี้ จึงเริ่มหันมาจับงานด้านอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้น และเพื่อขยายกิจการ ทางบริษัท จึงตัดสินใจได้กู้เงินก้อนใหญ่มาเพื่อลงทุนในธุรกิจอสังหาฯ

ทว่าพวกเขากู้เงินมาลงทุน ในช่วงเวลาที่ไม่ค่อยจะเหมาะเท่าไร และอย่างที่ทราบกันดีว่า เหตุการณ์ฟองสบู่แตกของญี่ปุ่นช่วงปี 2532 เป็นความบอบช้ำเหมือนต้มยำกุ้งที่คนไทยต้องเผชิญ ทำให้หลายกิจการต้องปิดตัวลงไป และนั่นก็ทำให้ คงโงกูมิ ต้องประสบกับภาวะที่ลำบาก

แม้ คงโงกูมิ จะไม่ถึงขั้นต้องปิดบริษัทในตอนนั้น แต่ปัญหาหนี้สินที่เกิดขึ้น ดันเข้ามาพร้อม ‘การถดถอยของศาสนาพุทธในญี่ปุ่น’ ทำให้รายได้ของบริษัทเริ่มลดลงอย่างน่าใจหาย เนื่องจาก 80% ของรายได้บริษัทแห่งนี้ ล้วนแต่มาจากการสร้างและปรับปรุงซ่อมแซมวัดแทบทั้งสิ้น

บริษัท คงโงกูมิ ใช้เวลาล้มลุกคลุกคลานกับปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นเวลาเกือบ 20 ปี โดยมีรายได้เฉลี่ยปีละกว่า 2,200 ล้านบาท แต่ถึงกระนั้น พวกเขาก็กลับมีหนี้มหาศาล เกินกว่าที่จะจ่ายได้

จนกระทั่งเดือนมกราคม พ.ศ. 2549 เมื่อเห็นท่าว่าจะไปต่อไม่ไหว คงโงกูมิ จึงตัดสินใจเข้าสู่กระบวนการล้มละลาย และขายให้กับ ‘บริษัททากามัตสึ’ ซึ่งเป็นบริษัทก่อสร้างรายใหญ่ไป

และนั่นก็ทำให้ ธุรกิจของตระกูลคงโง กับคงโงกูมิ ต้องยุติธุรกิจลงที่อายุ 1,428 ปี

แม้บทบาทของคนในตระกูลจะจบลง แต่อย่างไรก็ตาม คงโงกูมิ ก็เกิดใหม่ภายใต้บริษัททากามัตสึ ที่มีความเคารพในเกียรติยศของบริษัทที่มีอายุมากที่สุดในญี่ปุ่น ขณะเดียวกันก็เชื่อว่าแบรนด์ คงโงกูมิ ยังขายต่อไปได้

โดยทางบริษัททากามัตสึอนุญาต จึงคงชื่อ คงโงกูมิ ไว้ และไม่มีการยุบหรือควบรวมเข้ามาเป็นบริษัทเดียวกัน และยังให้คนในตระกูลคงโงสามารถทำงานได้ภายใต้ชื่อของบริษัทคงโงกูมิ สืบมาจนถึงทุกวันนี้...


ที่มา

https://www.facebook.com/331394447302302/posts/1166482313793507/

https://www.facebook.com/powersmethai/photos/a.1125773347499569/2573378549405701/?type=3&theater

กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เผย สถิติการค้าของไทยกับประเทศคู่เจรจา FTA เดือนม.ค.64 มีมูลค่ากว่า 2.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ โต 3% พบส่งออกสินค้าเกษตร มาแรง พุ่ง! 19% ตลาดอาเซียน จีน และฮ่องกง เติบโตดี ส่วนสินค้าอุตสาหกรรม โต 5%

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า จากการติดตามสถานการณ์การค้าระหว่างประเทศของไทย ในช่วงเดือนมกราคม 2564 พบว่า การค้าของไทยกับประเทศที่ไทยมีความตกลงการค้าเสรี (FTA) 18 ประเทศ มีมูลค่า 25,571.6 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 3.31% จากเดือนเดียวกันของปีที่ผ่านมา คิดเป็นสัดส่วน 64.55% ของการค้าไทยทั้งหมด ซึ่งเป็นการส่งออกไปประเทศคู่เอฟทีเอ มูลค่า 12,162.6 ล้านเหรียญสหรัฐ (+4.04%) คิดเป็นสัดส่วน 61.72% ของการส่งออกทั้งหมด และเป็นการนำเข้าจากประเทศคู่เอฟทีเอ มูลค่ารวม 13,409.0 ล้านเหรียญสหรัฐ (+2.66%) คิดเป็นสัดส่วน 67.35% ของการนำเข้าทั้งหมด

นางอรมน กล่าวว่า การส่งออกสินค้าของไทยมีการเติบโตในหลายรายการ อาทิ สินค้าเกษตร (กสิกรรม ปศุสัตว์และประมง) โดยไทยส่งออกไปประเทศคู่เอฟทีเอ มูลค่า 1,288 ล้านเหรียญสหรัฐ (+19.4%) คิดเป็นสัดส่วน 72.16% ของการส่งออกสินค้าเกษตรของไทยทั้งหมด ตลาดคู่เอฟทีเอที่มีการขยายตัว ได้แก่ อาเซียน (+13%) อาทิ มาเลเซีย เวียดนาม กัมพูชา สิงคโปร์ และเมียนมา จีน (+40%) ฮ่องกง (+24%) เกาหลีใต้ (+2%) อินเดีย (+63%) และเปรู (+768%)

นอกจากนี้ สินค้าอุตสาหกรรมมีการส่งออกขยายตัวเช่นเดียวกัน อาทิ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์ยาง เม็ดพลาสติก เคมีภัณฑ์ และวงจรไฟฟ้า โดยมีการส่งออก มูลค่า 9,446.7 ล้านเหรียญสหรัฐ (+5.14%) คิดเป็นสัดส่วน 59.31% ของการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมทั้งหมด ตลาดคู่เอฟทีเอที่มีการขยายตัว ได้แก่ เวียดนาม (+16%) มาเลเซีย (+41%) ลาว (+4%) เมียนมา (+2%) จีน (+3%) ญี่ปุ่น (+6%) ฮ่องกง (+23%) เกาหลีใต้ (+23%) ออสเตรเลีย (+35%) นิวซีแลนด์ (+50%) และเปรู (+19%)

สำหรับสินค้าเกษตรแปรรูปของไทย แม้การส่งออกจะชะลอตัวลงเล็กน้อย โดยมีมูลค่า 829.1 ล้านเหรียญสหรัฐ (-5.57%) แต่การส่งออกในหลายตลาดคู่เอฟทีเอยังคงสามารถขยายตัวได้ โดยเฉพาะอาเซียน (+1.4%) อาทิ มาเลเซีย เวียดนาม สิงคโปร์ ลาว และบรูไน ซึ่งจากเดิมในปี 2563 การส่งออกมีการหดตัวมาโดยตลอด นอกจากนี้ ฮ่องกง และชิลี มีการนำเข้าสินค้าเกษตรแปรรูปจากไทยเพิ่มขึ้น อาทิ อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป ผลิตภัณฑ์ข้าวสาลีและอาหารสำเร็จรูปอื่น ๆ อาหารสัตว์เลี้ยง ผลไม้กระป๋องและแปรรูป และเครื่องดื่ม

นางอรมน เพิ่มเติมว่า การส่งออกของไทยในเดือนมกราคมที่ผ่านมามีการขยายตัวต่อเนื่องจากเดือนธันวาคม 2563 จากปัจจัยบวก อาทิ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจการค้าโลก การผ่อนคลายมาตรการปิดประเทศ มาตรการอัดฉีดสภาพคล่อง และการเริ่มกระจายการฉีดวัคซีนต้านโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19)

นอกจากนี้ เมื่อวิเคราะห์แนวโน้มการส่งออกสินค้าไทยในอนาคต พบว่า มีโอกาสสูงที่การส่งออกของไทยจะขยายตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากความพร้อมของไทยที่สามารถควบคุมสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้ดี ประกอบกับสภาวะเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าสำคัญมีแนวโน้มขยายตัว ทั้งนี้ ผู้ประกอบการไทยควรต้องปรับตัวและปรับการผลิตให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภค เช่น การควบคุมคุณภาพมาตรฐานสินค้าที่ปลอดภัยไร้การปนเปื้อนของเชื้อโรค และการใช้ประโยชน์จากความตกลงการค้าเสรีที่ไทยได้รับการลดและยกเว้นภาษีนำเข้ากับกลุ่มประเทศคู่เอฟทีเอ เป็นต้น


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top