จีนจ่าย 5 แสนบาท แจ้งเบาะแสคนแพร่โควิด หลังพบลักลอบข้ามมณฑลจนเชื้อแพร่หลายพื้นที่

เมืองเฮ่ยเหอ มณฑลเฮยหลงเจียง ทางตอนเหนือของจีนประกาศให้เงินรางวัล 5 แสนบาท แก่ผู้แจ้งเบาะแสต้นตอโควิดระบาดในพื้นที่ ส่วนรัฐนิวเซาท์เวลส์ของออสเตรเลีย ระบุในรายงานว่า ผู้ที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 มีโอกาสป่วยหนักหรือเสียชีวิตมากกว่าผู้ที่ฉีดวัคซีนถึง 16 เท่า

สำนักข่าวเอเอฟพี รายงานว่า เจ้าหน้าที่ในเมืองเฮ่ยเหอ มณฑลเฮยหลงเจียง ทางตอนเหนือของจีนเสนอรางวัลมูลค่า 100,000 หยวน (512,275บาท) ให้กับประชาชนที่ชี้เบาะแสต้นตอการระบาดของโควิด-19 ในพื้นที่ หลังจากที่พบการลักลอบเดินทางข้ามมณฑลหรือการทำผิดกฎหมายอื่น ๆ ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดการแพร่ระบาดของโควิดกระจายไปในหลายพื้นที่

ทั้งนี้ เพื่อค้นหาแหล่งที่มาของการแพร่ระบาดและค้นหาเส้นทางของการแพร่ระบาดโดยเร็วที่สุด จำเป็นต้องทำสงครามประชาชนเพื่อการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาด และกรณีการลักลอบนำเข้า การล่าสัตว์อย่างผิดกฎหมาย และการทำประมงข้ามชายแดนต้องมีการรายงานโดยทันที ส่วนผู้ที่ซื้อสินค้านำเข้าทางออนไลน์ควรฆ่าเชื้อของทันทีที่ได้รับ และส่งของที่ได้ไปตรวจสอบด้วย

ทางการจีนรายงานว่าพบผู้ติดเชื้อในประเทศ 43 ราย เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน หลังจากที่การแพร่ระบาดของโควิดสายพันธุ์เดลตาระบาดไปยังพื้นที่ 20 มณฑล ทั่วประเทศ ส่งผลให้จำนวนผู้ติดเชื้อสูงเพิ่มขึ้นเป็น 2 หลัก นานกว่า 3 สัปดาห์แล้ว แม้หลายประเทศในโลกจะเริ่มยกเลิกมาตรการควบคุมการแพร่ระบาด แต่จีนยังคงใช้มาตรการกดให้จำนวนผู้ติดเชื้อเป็นศูนย์อยู่เช่นเดิม โดยการปิดชายแดน ล็อกดาวน์เป็นจุด ๆ และการกักตัวที่ยาวนาน

กระทรวงสาธารณสุขของสิงคโปร์ออกแถลงการณ์ว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา รัฐบาลสิงคโปร์รับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดในการตรวจและการรักษาโรคโควิด-19 ไม่ว่าผู้ป่วยจะเป็นชาวสิงคโปร์ หรือชาวต่างชาติซึ่งมีถิ่นพำนักถาวรอยู่ในสิงคโปร์ เพื่อบรรเทาความไม่แน่นอนซึ่งเกิดขึ้นจากโรคระบาดใหม่ โดยปัจจุบัน สิงคโปร์ฉีดวัคซีนให้ประชากรแล้ว 85% และ 18% ได้รับวัคซีนกระตุ้นเข็มที่ 3 แล้ว และเป็นที่เข้าใจตรงกันแล้วว่า การฉีดวัคซีนครบแล้วใช่ว่าจะไม่มีโอกาสติดโรค ดังนั้น หากประชาชนกลุ่มนี้ต้องเข้ารับการตรวจและการรักษาตัวจากโรคดังกล่าว ภาครัฐจะยังคงเป็นผู้ดูแลค่าใช้จ่ายให้

รัฐนิวเซาท์เวลส์ของออสเตรเลีย ระบุในรายงานว่า ผู้ที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 มีโอกาสป่วยหนักหรือเสียชีวิตมากกว่าผู้ที่ฉีดวัคซีนถึง 16 เท่า

ข้อมูลจากหน่วยงานสาธารณสุขของรัฐนิวเซาท์เวลส์ ซึ่งมีนครซิดนีย์เป็นเมืองเอก ระบุว่า มีผู้ป่วยติดเชื้อโควิดที่ฉีดวัคซีนครบโดสเพียงร้อยละ 11 จากทั้งหมด 412 คนที่เสียชีวิตจากโรคโควิด-19 ตั้งแต่ในช่วงกลางเดือนมิถุนายนถึงต้นเดือนตุลาคม และผู้เสียชีวิตมีอายุเฉลี่ย 82 ปี นอกจากนี้ ยังมีผู้ป่วยติดเชื้อโควิดที่ฉีดวัคซีนครบโดสเพียงร้อยละ 3 ที่มีอาการป่วยหนัก และพบผู้ป่วยติดเชื้อที่ยังไม่ฉีดวัคซีนโควิดสูงกว่าร้อยละ 63 จากผู้ป่วยติดเชื้อทั้งหมด 61,800 คน ตั้งแต่วันที่ 16 มิถุนายน - 7 ตุลาคม โดยขณะนี้ ออสเตรเลียมียอดผู้ป่วยติดเชื้อสะสมเกือบ 183,000 คน และผู้เสียชีวิตกว่า 1,800 คน

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า สหรัฐฯ กลับมาเปิดพรมแดนทางบกและทางอากาศต้อนรับนักเดินทางชาวต่างชาติที่ฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ครบโดสแล้ว ยุติการจำกัดการเดินทางเข้าสหรัฐฯ จากมากกว่า 30 ประเทศ ที่เริ่มบังคับใช้มายาวนาน 20 เดือน เพื่อควบคุมการแพร่ระบาด นับแต่เริ่มใช้มาตรการจำกัดการเดินทางสำหรับผู้ไม่ใช่พลเมืองอเมริกันที่เดินทางมาจาก 33 ประเทศในกลุ่มเสี่ยง อาทิ สหภาพยุโรป, อังกฤษ, จีน และอินเดีย มาตั้งแต่เดือนมีนาคม 2563

การยกเลิกคำสั่งห้ามเดินทางครั้งนี้ ส่งผลให้ผู้ที่เดินทางทางอากาศที่ไม่ใช่พลเมืองอเมริกัน เกือบทั้งหมดที่เคยอยู่ใน 33 ประเทศตามบัญชีรายชื่อ 14 วันก่อนออกเดินทาง ได้แก่ 26 ประเทศกลุ่มเชงเกนของยุโรป, จีน, อินเดีย, แอฟริกาใต้, อิหร่าน, บราซิล, อังกฤษ และไอร์แลนด์ สามารถเดินทางเข้าสหรัฐฯ ได้หากเป็นผู้ที่ฉีดวัคซีนโควิด-19 ครบโดสแล้ว และมีผลตรวจเชื้อเป็นลบภายใน 3 วัน ก่อนออกเดินทาง ส่วนสายการบินต้องจัดทำระบบติดตามผู้สัมผัสและตรวจสอบเอกสารฉีดวัคซีนผู้โดยสารระหว่างประเทศ


ที่มา: https://www.naewna.com/inter/614669