Friday, 9 May 2025
NEWS

สถานการณ์ COVID-19 ประเทศไทยและอาเซียน ประจำวันที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2564

สถานการณ์ COVID-19 ประเทศไทยและอาเซียน 

ประจำวันที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2564 

นายกรัฐมนตรี ลั่นไม่ขอก้าวล่วง ชี้ ! เป็นอำนาจศาลพิจารณาปล่อยตัวแกนนำชุมนุมผิด ม.112

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม กล่าวถึงการเรียกร้องให้ปล่อยตัวแกนนำกลุ่มผู้ชุมนุมที่กระทำผิดตามมาตรา 112 ว่า ต้องไปดูข้อกฎหมาย ซึ่งเมื่อกระทำความผิดก็ต้องต่อสู้คดี และรัฐบาลจะดูแลตามหลักสิทธิมนุษยชน

ทั้งนี้ ต้องนึกถึงว่าหากเป็นรัฐบาล เป็นศาล หรือเป็นเจ้าหน้าที่เอง คิดว่าจะทำได้หรือไม่ และต้องนึกถึงคดีอื่นๆ ด้วยว่าทำได้หรือไม่ เพราะจะเป็นการทำให้ข้อกฎหมายเสียหายไปทั้งหมด เมื่อกระทำความผิด ก็ต้องต่อสู้คดี รัฐบาลจะดูแลตามหลักสิทธิมนุษยชน ซึ่งเมื่อเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมแล้วจะทำอย่างไรได้ สิ่งที่สำคัญที่สุด คืออย่าทำผิดกฎหมายเท่านั้น

พร้อมยืนยันว่า รัฐบาลไม่ได้ห้ามการชุมนุม แต่ถ้าชุมนุมแล้วเกิดความรุนแรงเกิดขึ้น และเมื่อศาลพิจารณาแล้วว่าเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมายก็เป็นอำนาจของศาลที่จะพิจารณา ส่วนจะให้ประกันตัวหรือไม่นั้น ก็เป็นดุลยพินิจของศาลจะพิจารณาเช่นกัน ตนคงไม่สามารถก้าวล่วงได้

พล.อ.ประยุทธ์ ย้ำว่า ไม่ได้ต้องการใช้กฎหมายไปทำร้ายใคร เพราะกฎหมายเป็นของประชาชนทุกคน ไม่ใช่ของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งที่จะสามารถละเว้นกฎหมายได้

อย่างไรก็ดี เป็นเรื่องน่ายินดีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมมือวางระเบิดไปป์บอมได้ แต่ไม่ควรตั้งคำถามว่าเป็นการจัดฉากของรัฐบาลหรือไม่ โดยยืนยันว่าไม่มีนโยบายให้ทำเช่นนั้น และเป็นเรื่องที่ไม่สามารถทำได้ และไม่กล้าทำอยู่แล้ว ทุกอย่างอยู่ที่หลักฐานว่าเป็นใคร ซึ่งคนที่ถูกจับได้ก็ให้การรับสารภาพแล้วว่าเป็นคนทำเอง

สาธุ! ‘พระเทพวิสุทธิกวี’ เมตตาเก็บ ‘ค่าเช่า’ เก็บเพียง 9 บาท ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนผู้เช่าที่ดิน ‘วัดโพธิ์ศรี’ ช่วงโควิด

ผู้สื่อข่าวรายงานจาก จ.สิงห์บุรี ว่า พระเทพวิสุทธิกวี (ถาวร อธิวโร) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศราชวรวิหาร เขตพระนคร กทม. รักษาการเจ้าอาวาสวัดโพธิ์ศรี อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี มอบหมายให้คณะกรรมการวัดโพธิ์ศรี ประกอบด้วย พล.ท.โกศล มีจุล ประธานฯ , นายสมศักดิ์ ภักดีรักษ์ รองประธานฯ และกรรมการ จัดประชุมผู้ทำธุรกรรมการเช่านา เช่าที่ดินปลูกสร้างบ้าน เช่าที่ดินทำร้านค้าและเช่าที่อยู่อาศัย โดยการทำสัญญาเช่ากับทางวัดโพธิ์ศรี มีผู้เข้าร่วมประชุมประมาณ 50 คน

สำหรับผลการประชุมสรุปว่า พระเทพวิสุทธิกวี ให้แจ้งแก่ผู้ทำธุรกรรมการเช่าทุกประเภท ว่า ปีนี้วัดโพธิ์ศรี จะยกค่าเช่าให้ ด้วยรับทราบในสถานการณ์โควิด-19 ทำให้ทุกคนลำบากในการประกอบอาชีพ แต่เพื่อเป็นสิริมงคล จึงขอเก็บค่าเช่าทุกประเภทรายละ 9 บาท ทำให้ผู้เช่าหลายคนกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า เป็นที่ปลื้มใจแก่ผู้เช่าที่อย่างยิ่ง ผู้เช่าที่ต่างอวยชัยให้พรในความเมตตาของท่านเจ้าคุณที่ได้เห็นถึงความยากลำบากในการประกอบอาชีพปีนี้ ด้วยโรคระบาดและเศรษฐกิจ ทำให้การเงินฝืดเคืองอย่างมาก เมื่อได้ยินว่าพระเทพวิสุทธิกวี เก็บค่าเช่า 9 บาท ทั้งปลื้มใจและดีใจอย่างบอกไม่ถูก

สำหรับวัดโพธิ์ศรี อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี เป็นวัดธรรมยุตนิกาย มีหลวงพ่อนาคเป็นพระปางนาคปรก อายุกว่า 1,000 ปี และมี หลวงพ่อลา อดีตเจ้าอาวาส ซึ่งเป็นพระเกจิอาจารย์ชื่อดังของจังหวัดสิงห์บุรี ซึ่งพระผู้ใหญ่ในวัดบวรนิเวศฯ จะเดินทางมาดูแลเป็นประจำ และพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรเคยเสด็จพระราชดำเนิน และ และ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร ได้เสด็จพระราชดำเนินมาทรงประกอบพิธีผูกพัทธสีมาอุโบสถ เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2512

นอกจากทรงพระมหากรุณาปิดทองและทรงตัดลูกนิมิตกลางอุโบสถแล้ว ได้เสด็จออกหน้าอุโบสถ แล้วโปรดเสด็จตัดลูกนิมิตทั้ง 8 โดยมีพระสังฆราชฯ เป็นผู้สวดนิมิต นับว่าเป็นวัดแรกในรัชกาลที่ทรงตัดนิมิตทั้ง 9 ลูก รอบพระอุโบสถเป็นวัดแรก และในกาลต่อมา พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้เชิญพระปรมาภิไธยย่อ ภ.ป.ร. ประดิษฐานที่หน้าบัน นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณต่อพสกนิกรชาวจังหวัดสิงห์บุรียิ่งนัก


ที่มา : https://www.naewna.com/likesara/557841

'อ.ปริญญา' ยกข้อกฎหมายยันให้ขังแกนนำม็อบที่ไม่ใช่เรือนจำ

จากกรณีศาลอาญามีคำสั่ง ไม่อนุญาตให้ประกันตัวแกนนำม็อบราษฎร ประกอบด้วย

1.) น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือรุ้ง

2.) นายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือ ไมค์

3.) นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือไผ่ ดาวดิน

จากกรณีอัยการเป็นโจทก์ยื่นฟ้องในคดีชุมนุม 19 กันยาทวงอำนาจคืนราษฎร ในความผิดฐานยุยงปลุกปั่นฯ ตาม ป.อาญา ม.116, ร่วมกันมั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไปฯ ป.อาญา ม.215, ฝ่าฝืน พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะฯ, ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ, กีดขวางทางสาธารณะฯ, ร่วมกันกีดขวางการจราจรฯ, ตั้งวางวัตถุบนถนนอันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายฯ, ทำลายโบราณสถานฯ, ทำให้เสียทรัพย์ฯ และร่วมกันโฆษณาเครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาตฯ และความผิดฐานหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ ป.อาญา ม.112 ที่ผ่านมา

ล่าสุด ผศ. ดร. ปริญญา เทวานฤมิตรกุล รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้ออกโพสต์ลงเฟซบุ๊กส่วนตัว Prinya Thaewanarumitkul เกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า…

การได้รับการประกันตัวในคดีอาญาหรือที่กฎหมายใช้คำว่า ‘ปล่อยชั่วคราว’ นั้นเป็นสิทธิตามกฎหมายของผู้ต้องหาและจำเลยทุกคน ดังที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาบัญญัติไว้ในมาตรา 107 ว่า #ผู้ต้องหาหรือจำเลยทุกคนพึงได้รับอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว

แม้ว่าตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 108/1 ศาลจะมีดุลพินิจสั่งไม่อนุญาตปล่อยชั่วคราวได้ แต่สิ่งที่บุคลากรในกระบวนการยุติธรรมอาจจะลืมไปคือ ตามพระราชบัญญัติราชทัณฑ์นั้น หากศาลไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว #ผู้ต้องหาหรือจำเลยจะถูกเอาไปขังไว้ในเรือนจำกับนักโทษที่ถูกศาลพิพากษาถึงที่สุดแล้ว และจะถูกปฏิบัติเหมือนกับนักโทษแทบจะทุกประการ

และนี่คือปัญหาใหญ่มาก!!

เพราะรัฐธรรมนูญมาตรา 29 วรรคสอง บัญญัติว่า #ก่อนมีคำพิพากษาอันถึงที่สุด แสดงว่าบุคคลใดกระทำความผิด จะปฏิบัติต่อบุคคลนั้น #เสมือนเป็นผู้กระทำความผิดมิได้ การเอาบุคคลซึ่งยังเป็นแค่ผู้ต้องหาหรือจำเลยไปขังไว้ในเรือนจำรวมกับนักโทษ ก็คือการปฏิบัติกับเขาเสมือนเป็นผู้กระทำความผิดแล้ว ซึ่งย่อมไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญมาตรา 29 วรรคสอง

ดังนั้น หากศาลท่านจะไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว ก็ต้องสั่งให้ไป #กักขังในที่อื่นที่ไม่ใช่เรือนจำ และให้ปฏิบัติต่อเขาแบบคนที่ยังไม่ถูกศาลพิพากษาด้วยครับ หรือไม่งั้นก็ต้อง #อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวให้เขาสู้คดีนอกคุก อย่างหนึ่งอย่างใด หาไม่แล้วจะเป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 29 วรรคสอง ที่คุ้มครองประชาชนทุกคนไม่ให้ถูกปฏิบัติเยี่ยงนักโทษก่อนศาลพิพากษา ด้วยความเคารพครับ


ที่มา: https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=3980182318692343&id=100001018415956

มือถือโนเกีย เปิดตัวโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ Nokia 1.4 เล็งเจาะตลาดคนทั่วไป โดยเฉพาะกลุ่มที่ยังไม่มีสมาร์ทโฟน ชูจุดขายรองรับแอปฯ ‘เป๋าตัง’ ได้ ดีเดย์วางขายวันแรก 10 มีนา ราคา 2,690 บาท

นายราวี คุณวา ผู้จัดการทั่วไปของภูมิภาคแพนเอเชีย เอชเอ็มดี โกลบอล กล่าวว่า ประเทศไทยเป็นตลาดสำคัญสำหรับธุรกิจมือถือ Nokia เนื่องจากมีศักยภาพในการเติบโตอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดสมาร์ทโฟนระดับเริ่มต้น และตลาดลูกค้าฟีเจอร์โฟนที่จะอัพเกรดมาใช้สมาร์ทโฟน เนื่องจากการเรียนออนไลน์และการทำงานจากที่บ้านกลายเป็นเรื่องปกติใหม่ ซึ่งความปกติใหม่นี้ยังส่งผลเร่งอัตราการใช้สมาร์ทโฟน เนื่องจากผู้บริโภคต้องการสมาร์ทโฟนเพื่อใช้เช็คอิน QR code ผ่านทางแอปฯ ‘ไทยชนะ’ ในการติดตามการติดต่อ

นอกจากนี้ ยังรองรับมาตรการการเว้นระยะห่างทางสังคม ด้วยความสามารถใช้งานแอปฯ อื่น ๆ เช่น โมบายแบงก์กิ้ง หรือการทำธุรกรรมทางการเงินยบนสมาร์ทโฟน เป็นต้น โดยมีประสิทธิภาพการสแกนใบหน้าและการสแกนคิวอาร์โค้ด ด้วยกล้องมาโคร สามารถจับภาพระยะใกล้ได้ดียิ่งขึ้น เพื่อทำธุรกรรมทางการเงิน ทั้งในแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” รวมทั้งใช้บริการทางการเงินผ่านแอปพลิเคชันธนาคารต่าง ๆ ง่ายขึ้น พร้อมจุดเด่นแบตเตอรี่สามารถใช้ได้นานถึง 2 วัน

ด้าน ภราดร รามบุตร ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท เอชเอ็มดี โกลบอล กล่าวเสริม Nokia 1.4 ได้รับการออกแบบมาเพื่อรองรับการใช้งานที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตประจำวันในยุคที่ต้องสแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อการเช็คอินโลเคชั่นบนแอปฯ ‘ไทยชนะ’ ‘หมอชนะ’ ตามมาตรการป้องกันการระบาดของไวรัสโควิด-19 แอปฯ เป๋าตัง ทั้งการสแกนหน้ายืนยันตัวตนเพื่อลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการช่วยเหลือและเยียวยาต่าง ๆ รวมถึงการโอนเงิน เติมเงิน และจ่ายเงิน ผ่านแอปฯ ของธนาคาร ช่วยให้ใช้งานแอปฯ ที่กล่าวมาได้แบบไม่ติดขัด

สำหรับ Nokia 1.4 เริ่มจำหน่ายในประเทศไทยในวันที่ 10 มีนาคม 2564 มีให้เลือก 2 สี คือ สี Fjord (สีฟ้า) และ สี Charcoal (สีเทาดำ) ในราคา 2,690 บาท

“เสรีพิศุทธ์” เสียใจกับ ปชป.ที่เสียแชมป์ให้กับกลุ่มคนที่ตัวเองยอมเป็นนั่งร้านให้ เปรียบนโยบายแจกเงินของรัฐเหมือนกับการเสพฝิ่น ลดการเจ็บปวดชั่วขณะแต่รักษาโรคร้ายไม่ได้

พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ขอกราบขอบพระคุณพี่น้องเขต 3 นครศรีธรรมราชทุกท่านที่ได้ลงคะแนนให้กับผู้สมัคร ส.ส.ของพรรค แม้คะแนนเสียงที่ได้รับจะยังไม่มาก แต่ก็ถือเป็นนิมิตหมายที่ดีสำหรับการจุดประกายความคิดเรื่องการสร้างประชาธิปไตยในภาคใต้

โดยทางพรรคพร้อมที่จะคิดค้นนโยบายส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพชีวิตให้กับพี่น้องชาวภาคใต้ต่อไป แม้จะเป็นเพียงพรรคเล็กๆ แต่ด้วยอุดมการณ์ที่มุ่งมั่นก็เชื่อว่าพี่น้องชาวใต้จะให้การยอมรับในวันข้างหน้า

"ขอแสดงความเสียใจกับพรรคประชาธิปัตย์ที่ต้องเสียแชมป์หมดสภาพทางการเมือง เพราะกลุ่มคนที่พวกท่านยอมเป็นนั่งร้านให้เพื่อแลกกับการได้ร่วมรัฐบาล พรรคประชาธิปัตย์บางคนอุตส่าห์ไปเป่านกหวีด ล้มรัฐบาลเลือกตั้งจนได้ พล.อ.ประยุทธ์และพรรคพวกเข้ามา แต่วันนี้คนที่พวกท่านมีส่วนสร้างขึ้นมาได้ล้มท่านเองโดยไม่ให้ค่าและไม่เห็นประชาธิปัตย์อยู่ในสายตา ไม่รู้ว่าพวกท่านทนอยู่ร่วมกันได้อย่างไร"

ส่วนพรรคที่ชนะก็อย่าได้ลำพองจนเกินไป เพราะแม้กระทั่งคนของประชาธิปัตย์เองยังออกมาเแฉว่ามีการเคลมมาตรการแจกเงินว่าเป็นโครงการของพรรคเขาพรรคเดียวเท่านั้นไม่ใช่ของพรรคร่วมรัฐบาล จนถึงขนาดไปปล่อยข่าวว่าถ้าได้ ส.ส.ประชาธิปัตย์เข้ามาจะมีการล้มโครงการคนละครึ่ง

นอกจากนี้ยังมีการใช้อำนาจผ่านกลไกรัฐทุกรูปแบบ มีการแจกเอกสารสิทธิ์ที่ดินใกล้พื้นที่เลือกตั้ง มีการใช้รถตำรวจนำขบวน มีข่าวการซื้อเสียงอย่างหนัก จนชาวบ้านเองต้องออกมาโวยว่าถูกอ้างชื่อ แต่ กกต.กลับไม่รู้เรื่องอะไรเลย เป็นไปได้อย่างไร

"สรุปว่างานนี้ โครงการคนละครึ่งชนะประกันราคา เพราะคนละครึ่งแจกเงินได้ครอบคลุมกว่า วันนี้สังคมกำลังเคลิบเคลิ้มกับการแจกเงินผ่านโครงการต่าง ๆ เพราะมันได้ง่าย ได้ตรง ยิ่งกว่าประชานิยมในอดีต แต่เชื่อว่าพอประเทศหมดเงินเมื่อไรก็จะมีการรีดภาษีจากพวกเรานี่แหละ เพราะรู้กันอยู่ว่าพวกทหารหาเงินไม่เป็นถนัดแต่ยึดอำนาจ

ตอนนี้ยังใช้โควิดบังหน้าได้แต่ต่อไปจะเห็นได้ชัด การแจกเงินก็เหมือนกับการเสพฝิ่น ทำให้เคลิบเคลิ้มลดความเจ็บปวด แต่รักษาโรคร้ายไม่ได้จริง พรรคเสรีรวมไทยเป็นพรรคเล็กที่คอยเตือนสติผู้คนว่ามีแต่แนวทางประชาธิปไตย เท่านั้นที่จะทำให้ประชาชนลืมตาอ้าปากได้" พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์กล่าว

ชาวเชียงใหม่สำลักควัน ดัชนีคุณภาพอากาศย่ำแย่ ค่าฝุ่นละออง PM2.5 พุ่งสูงติดอันดับ 1 ของโลกต่อเนื่องเป็นวันที่ 4 พบจุดฮอตสปอตใน 17 จังหวัดภาคเหนือ สูงกว่า 926 จุด

วันนี้ (9 มี.ค.64) สถานการณ์มลพิษจากหมอกควันในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ทวีความรุนแรงมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเข้าสู่วันที่ 4 แล้วที่คุณภาพอากาศ และฝุ่นละอองขนาดเล็ก หรือ PM 2.5 สูงเกินค่ามาตรฐาน ทำให้ช่วงเช้าวันนี้สภาพอากาศในตัวเมืองเชียงใหม่ ยังถูกปกคลุมด้วยหมอกควันสีเทาหนาทึบจนมองไม่เห็นดอยสุเทพ ภูเขาที่อยู่ใกล้ตัวเมืองมากที่สุด

ถือเป็นดัชนีชี้วัดทางสายตาที่เห็นได้ชัดเจนว่าคุณภาพอากาศอยู่ในเกณฑ์ย่ำแย่ เช่นเดียวกับที่จุดชมวิวดอยสุเทพที่มองเห็นทัศนียภาพของตัวเมืองเชียงใหม่ได้เลื่อนลาง เพราะมีหมอกควันพิษปกคลุม

โดยเมื่อเวลา 10.00 น.วันนี้แอปพลิเชัน AirVisual ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันตรวจวัดคุณภาพอากาศ หรือ AQI ใน 50 เมืองสำคัญทั่วโลก พบว่าจังหวัดเชียงใหม่มีดัชนีคุณภาพอากาศแย่ที่สุดเป็นอันดับ 1 ของโลก AQI สูงกว่า 242

ส่วนแอปพลิเคชัน AirCMI ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันตรวจวัดค่า PM2.5 พบว่าช่วงเช้าวันนี้ ค่า PM2.5 ในพื้นที่ตัวเมืองเชียงใหม่สูงถึง 108 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร เกินมาตรฐานที่กำหนดไว้ 50 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ซึ่งถือว่ามีผลกระต่อสุขภาพมาก

ปัจจัยที่ทำให้มลพิษหมอกควันในจังหวัดเชียงใหม่ และภาคเหนือยังทวีความรุนแรง เนื่องจากยังมีการลักลอบเผาในเขตป่าอย่างต่อเนื่อง โดยกองบัญชการควบคุมสถานการณ์ไฟป่าและหมอกควันและฝุ่นละอองภาคเหนือ กองทัพภาคที่ 3 รายงานข้อมูลจุดความร้อน หรือ ฮอตสปอต ที่ตรวจพบโดยดาวเทียมระบบ VIRS ในห้วงเวลา 02.22 น. ของวันที่ 9 มีนาคม พบจุดความร้อนสูงกว่า 926 จุด จากเมื่อวานนี้ที่มีจำนวนเพียง 609 จุด จังหวัดที่พบจุดความร้อนมากที่สุด คือ แม่ฮ่องสอน 617 จุด รองลงมา คือ เชียงใหม่ 211 จุด และ ตาก จำนวน 108 จุด ส่วนพื้นที่ที่ตรวจพบจุดความร้อนมากที่สุด คือ พื้นที่ป่าอนุรักษ์ จำนวน 617 จุด และป่าสงวนฯ จำนวน 283 จุด

แม้จังหวัดเชียงใหม่จะตรวจพบจุดความร้อนเพียง 211 จุด แต่เนื่องจากพื้นที่รอบข้างยังมีการเผาที่รุนแรง ประกอบกับสภาพอากาศมีลมตะวันตกเฉียงเหนือ พัดพาเอามลพิษหมอกควันจากการเผาลอยในพื้นที่ตังเมืองเชียงใหม่ซึ่งเป็นแอ่งกระทะ และยังมีลมตะวันตกเฉียงเหนือพัดเข้ามาสมทบ จึงทำให้อากาศหมุนวนในพื้นที่แอ่งกระทะ และในช่วงเช้าที่สภาพอากาศยังหนาวเย็น มลพิษหมอกควันจึงถูกกดลงต่ำ


ที่มา : https://www.tnnthailand.com/news/local/73575/

‘อนุทิน’ เผย ‘บิ๊กตู่’ สั่งเฉียบครม.ทุกคนต้องฉีดวัคซีนโควิด ดีเดย์ ปักเข็ม 12 มี.ค.นี้ ระบุ อายุเกิน 60 ปี ฉีดของบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า แต่ถ้าอายุต่ำกว่า 60 ปี ให้ฉีดของบริษัทซิโนแวค

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ก่อนประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)ถึงการฉีดวัคซีนโควิด-19 ในส่วนของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า เรื่องดังกล่าวต้องหารือกับนายกรัฐมนตรีก่อนว่าจะฉีดวันไหน แต่คาดว่าน่าจะเป็นวันที่ 12 มี.ค. เนื่องจากครม.ถือว่าเป็นกลุ่มเสี่ยง

และตามนโยบายของนายกฯ ให้ครม.ฉีดวัคซีนทุกคน คนที่อายุเกิน 60 ปี ก็ให้ฉีดของบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า แต่ถ้าอายุต่ำกว่า 60 ปี ให้ฉีดของบริษัทซิโนแวค

เมื่อถามว่าต้องฉีดให้รัฐมนตรีครบทุกคนหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า "ครั้งที่แล้วนายกฯ ยังไม่ได้ฉีด ถ้ารอบนี้ฉีดได้ครบทั้งครม.ก็ดี แต่ต้องไปฉีดที่โรงพยาบาลในช่วงเช้า เพราะจะต้องมีการสังเกตอาการ 30 นาที"

เมื่อถามว่าขณะนี้มีรัฐมนตรีที่มีอายุเกิน 60 ปี นอกจากนายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรีและรมว.ต่างประเทศ และคุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รมช.ศึกษาธิการ ที่สมัครใจไปฉีดวัคซีน นายอนุทิน กล่าวว่า "นายกฯ แจ้งมาว่าให้ครม.ไปฉีดด้วย ฉะนั้นถือว่าเป็นคำสั่ง"

ผู้ป่วยวัย 69 ปี ชาวสหรัฐฯ ติดเชื้อไวรัสโคโรนา พบอาการแทรกซ้อนหายากมีอาการองคชาตแข็งค้าง นานกว่า 3 ชั่วโมง คาดเกิดจากเชื้อไวรัสทำให้เลือดจับตัวเป็นลิ่มในอวัยวะเพศ

พบอีกรายภาวะแทรกซ้อนหาได้ยากและน่าจะเจ็บปวดมาก จากการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ โดยคนไข้ชาวสหรัฐฯคนหนึ่งมีอาการองคชาตแข็งค้าง(priapism) นานกว่า 3 ชั่วโมง ด้วยคณะแพทย์เชื่อว่าเชื้อไวรัสคือต้นตอทำให้เลือดจับตัวเป็นลิ่มในอวัยวะเพศของเขา จากผลการศึกษาใหม่ที่เผยแพร่เมื่อวันจันทร์ที่ 8 มีนาคม

ในเดือนสิงหาคมปี 2020

ชายชราอ้วนท้วนวัย 69 ปีคนหนึ่ง เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลไมอามี วัลเลย์ ในเมืองเดย์ตัน รัฐโอไฮโอ หลังเขาล้มป่วยอาการรุนแรงจากการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ชายไม่ทราบชื่อรายนี้มีอาการหายใจลำบากอย่างรุนแรง ปอดอักเสบและมีการสะสมของของเหลวภายในปอด บุคลากรทางการแพทย์ให้ยาระงับประสาทเขา ก่อนต่อสายเครื่องช่วยหายใจ อย่างไรก็ตามอาการของเขายังคงทรุดลงอย่างต่อเนื่อง

หลังผ่านไป 10 วัน ปอดทั้ง 2 ข้างของเขาเริ่มล้มเหลว ทำให้ต้องนอนคว่ำหน้า ซึ่งเป็นเทคนิคฉุกเฉินช่วยเพิ่มปริมาณออกซิเจนที่เข้าสู่ปอดให้สูงขึ้น แต่พอผ่านไป 12 ชั่วโมง หลังจากพลิกตัวเขากลับมานอนหงายอีกครั้ง พยาบาลสังเกตเห็นอวัยวะเพศของเขาแข็งค้างตั้งชัน

ผ่านไป 3 ชั่งโมง หลังไม่สามารถแก้ไขสถานการณ์ด้วยไอซ์เจล คณะแพทย์ตัดสินใจใช้เข็มสูบเลือดออกจากอวัยวะเพศของเขา ซึ่งประสบความสำเร็จในการช่วยอวัยวะเพศคลายตัว ทั้งนี้รายงานข่าวระบุว่าชายคนดังกล่าวหมดสติตลอดระยะเวลาของการรักษา

"ภาวะองคชาตแข็งค้างไม่เกิดขึ้นมาอีก" คณะแพทย์ 3 รายของโรงพยาบาลไมอามี วัลเลย์ เขียนในรายงานคนไข้ในวารสารเวชศาสตร์ฉุกเฉิกแห่งอเมริกา อย่างไรก็ตามปอดของเขาไม่ฟื้นตัว และท้ายที่สุดแล้วคนไข้เสียชีวิตในห้องไอซียู

ผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ระบุว่าอาการนี้น่าจะมีสาเหตุจากระบบภูมิคุ้มกันตอบสนองมากเกินไป ที่เรียกกันว่าภาวะ "พายุไซโตไคน์ (Cytokine Storm)" และเข้าใจได้ว่าเป็นผลข้างเคียงของโควิด-19 ซึ่งรู้กันดีว่าเป็นสาเหตุทำให้เกิดลิ่มเลือด

นายแพทย์ ริชาร์ด วินีย์ จากโรงพยาบาลควีนเอลิซาเบธ ในเบอร์มิงแฮม สหราชอาณาจักร ที่ปรึกษาด้านศัลยกรรมระบบทางเดินปัสสาวะ ให้ความเห็นกับหนังสือพิมพ์เดลิเมล์ ว่า "เราไม่เคยพบเห็นเคสองคชาตแข็งค้างสัมพันธ์กับโควิด-19 เช่นนี้มาก่อน และเท่าที่ทราบ เรารับมือกับคนไข้โควิด-19 มากกว่าโรงพยาบาลไหน ๆ ในยุโรป ดังนั้นมันเป็นเป็นเคสที่หายากมาก แต่เป็นอาการของโควิด-19 ที่สามารถอธิบายได้”

"คนไข้รายนี้มีอาการองคชาตแข็งค้างชนิดขาดเลือด ผลจากลิ่มเลือดเล็ก ๆ และนี่คือหนึ่งในอาการแทรกซ้อนของโควิด-19 ที่เราเคยพบเห็นในระบบอวัยวะอื่น ๆ มากมาย" เชากล่าว

ก่อนหน้านี้เมื่อเดือนกรกฏาคมปีก่อน อีกหนึ่งผลการศึกษาที่เผยแพร่ในนวารสารเวชศาสตร์ฉุกเฉิกแห่งอเมริกาเช่นกัน เคยรายงานการพบสถานการณ์แบบเดียวกัน โดยคนไข้วัย 62 ปีคนหนึ่งในฝรั่งเศส ซึ่งติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ มีอาการอวัยวะเพศชายแข็งตัวยาวนาน 4 ชั่วโมง

ซึ่งจำเป็นต้องใช้เข็มสูบเลือดออกจากอวัยวะเพศเช่นกันทั้งนี้เชื่อกันว่าอาการดังกล่าวมีต้นตอจากลิ่มเลือดอุดตันในเส้นเลือดองคชาติ ในขณะที่ก่อนหน้าติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ชายรายนี้ไม่เคยมีประวัติเกี่ยวกับลิ่มเลือดอุดตันมาก่อนเลย


ที่มา : https://mgronline.com/around/detail/9640000022681

รมว.ยุติธรรม ยอมรับ มีแนวคิด ขยายเรือนจำ ขังเฉพาะนักโทษการเมือง เหตุ ลดแออัด คนเยี่ยม - ม็อบหน้าคุก แต่สถานที่ยังไม่ชัด

นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม ให้สัมภาษณ์ถึงกระทรวงยุมมีแนวความคิดจะขยายเรือนจำเป็นการเฉพาะสำหรับผู้ต้องขังคดีการเมืองว่า เป็นเรื่องที่มีเหตุมีผลอยู่ เดี๋ยวขอดูในรายละเอียดก่อน ยังไม่มีคำตอบเรื่องนี้ ยังไม่มีคำตอบที่เบ็ดเสร็จ

ซึ่งบางทีพื้นที่เดิมมีความแออัดจึงต้องการให้ขยายออกไปอยู่กันสบาย ๆปลอดโปร่ง อีกทั้งในช่วงนี้มีม็อบไปอยู่ที่หน้าเรือนจำก็จะได้มีที่มีทางไม่แออัด ส่วนเรื่องสถานที่ยังไม่แน่นอนว่าจะย้ายไปที่ไหน แต่ขอให้มีความสะดวก ไม่ต้องการให้ประชาชนมาแออัด เพราะไหนจะม็อบ ไหนจะคนเยี่ยม จะได้ไม่แออัดกันและจะได้มีที่ทางโล่ง ๆ ให้สำหรับคนไปอยู่ เรื่องนี้ต้องมองหลายมุมแต่ได้ประโยชน์กันทุกคน

“สุดารัตน์” ชวนประชาชน จับตาการแก้รัฐธรรมนูญ ลั่นอย่าปล่อยให้การเขียนรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เป็นเครื่องมือในการสืบทอดอำนาจ

คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ได้กล่าวผ่านเฟซบุ๊ก ‘คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ Sudarat Keyuraphan’ เมื่อวันที่ 7 มี.ค. 64 ถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยระบุว่า

อย่าปล่อยให้การเขียน “รัฐธรรมนูญฉบับใหม่” เป็นเพียงหนึ่งในกระบวนการสืบทอดอำนาจที่สมคบคิดกันโดยพรรคพลังประชารัฐ พวก ส.ว. และองค์กรอิสระ

วานนี้ดิฉันได้ร่วมวงถกแถลง “ก้าวต่อไปของการจัดทำรัฐธรรมนูญประชาธิปไตย” ได้รับฟังความเห็นอย่างหลากหลายจากหลายแวดวง ดิฉันถือโอกาสนี้ชี้ชวนให้เห็นอันตรายในกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญที่รอเราอยู่ข้างหน้า ซึ่งมีแนวโน้มจะทำให้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่นี้ถูกขนานนามว่าเป็น “รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน” ได้ยากยิ่งขึ้น

ขอเรียนว่า เป้าหมายของทุกภาคส่วนคือการใช้ รธน. ฉบับใหม่นี้ เป็นทางออกให้กับวิกฤตการเมืองของประเทศที่เรากำลังเผชิญอยู่ในเวลานี้ ด้วยเหตุนี้ จึงจำเป็นที่ทุกขั้นตอนต้องให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน ไม่เช่นนั้น รธน. ที่เราได้มา จะเป็นชนวนก่อความขัดแย้งต่อไปข้างหน้า

การมี สสร. ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน จำนวน 200 คน เพื่อจัดทำ รธน. ฉบับใหม่ จึงเป็นสิ่งจำเป็น ทว่าขณะนี้ กลไกที่จะช่วยสร้างการมีส่วนร่วมจากภาคประชาชนมากที่สุด มีแนวโน้มถูกทำลาย และแทนที่ด้วยการเขียน รธน. เพื่อการสืบทอดอำนาจ

กลุ่มสร้างไทย ได้เสนอไว้ว่า การที่รัฐสภาดึงศาลรัฐธรรมนูญเข้ามาเกี่ยวข้องกับกระบวนการร่าง รธน.ฉบับใหม่ เรื่องแปลกประหลาดและส่อให้เห็นถึงความเป็นไปได้ในการสมคบคิดเพื่อทำให้การจัดทำ รธน. ฉบับใหม่โดย สสร. เป็นไปไม่ได้

“ต้องระวังว่า ท้ายที่สุด การวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่จะไม่ให้มี สสร. แต่ให้อำนาจรัฐสภาในการแก้ รธน. แปลว่า เสียงข้างมากในรัฐสภาคือ พวก ส.ว. 250 คน กับ พรรคพลังประชารัฐ จะเป็นผู้กำหนดเกมส์แก้ รธน. ได้ทั้งหมด”

เมื่อพิจารณาไปยังที่มาของ ตุลาการศาล รธน. ยิ่งน่าวิตก เพราะแม่น้ำ 8 สาย ล้วนไหลมาจากต้นกำเนิดเดียวกัน 3 คน มาจาก สนช.ที่แต่งตั้งโดย คสช. อีก 5 คนมาจาก ส.ว. ชุดปัจจุบัน ที่แต่งตั้งโดย คสช. อีกเช่นเดียวกัน

ดิฉันขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนให้ร่วมกันจับตากระบวนการแก้ไข รธน. อย่างใกล้ชิดและส่งเสียงเมื่อเห็นความบิดพริ้ว อย่าปล่อยให้การเขียน “รัฐธรรมนูญฉบับใหม่” เป็นเพียงหนึ่งในกระบวนการสืบทอดอำนาจที่สมคบคิดกันโดยแต่เพียงพรรคพลังประชารัฐ พวก ส.ว.และองค์กรอิสระ โดยที่ “ประชาชน” ไม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมแต่อย่างใด

กลุ่ม #สร้างไทย


ที่มา : https://www.facebook.com/241115389300595/posts/3777462282332537/

สถานีโทรทัศน์ CBS ของสหรัฐฯ เผยแพร่บทสัมภาษณ์พิเศษเจ้าชายแฮร์รี ดยุคแห่งซัสเซกซ์ และพระชายา เมแกน ทรงเปิดใจกับพิธีกรดัง ‘โอปราห์ วินฟรีย์’ โดยดัชเชสเมแกนเผยประสบการณ์ถูกเหยียดเชื้อชาติ ถึงขั้นคิดสั้นจะ “ฆ่าตัวตาย” มาแล้ว

บทสัมภาษณ์ ซึ่งออกอากาศในช่วงเวลาไพรม์ไทม์และเป็นที่จับตามองมากที่สุดครั้งหนึ่ง คาดว่า จะทำให้รอยร้าวระหว่าง เมแกน - แฮร์รี กับสมาชิกราชวงศ์อังกฤษยิ่งยากที่จะประสานมากขึ้นไปอีก

เจ้าชายแฮร์รีและพระชายา ยุติการปฏิบัติพระกรณียกิจในฐานะเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงเมื่อต้นปีที่แล้ว ก่อนจะย้ายไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ในสหรัฐฯ โดยตอนนั้นทรงให้เหตุผลว่าต้องการประกอบอาชีพเยี่ยงประชาชนทั่วไปเพื่อจะได้มี “อิสรภาพทางการเงิน”

ดัชเชสเมแกน เปิดใจกับ วินฟรีย์ ว่า คนในราชวงศ์อังกฤษมีความกังวลเรื่อง “สีผิว” ของพระโอรส “อาร์ชี” (Archie) ตั้งแต่ก่อนที่เขาจะเกิด และนั่นคือ สิ่งที่อธิบายว่าทำไมพระโอรสน้อยจึงไม่ได้รับการสถาปนาเป็น “เจ้าชาย”

เมแกน ซึ่งมีมารดาเป็นชาวอเมริกันผิวสีและบิดาเป็นคนผิวขาว ยอมรับว่า ตัวเธอเองยังคง “ไร้เดียงสา” และแทบจะไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับชีวิตเจ้าตอนที่เข้าพิธีเสกสมรสกับเจ้าชายแฮร์รี เมื่อปี 2018 แต่สิ่งต่าง ๆ ที่ประดังประเดเข้ามาหลังจากนั้นทำให้เธอเป็นทุกข์หนักถึงขั้นคิดทำร้ายตัวเองและฆ่าตัวตาย หลังจากที่พยายามขอความช่วยเหลือแต่ไม่เคยได้รับมัน

“พวกเขาไม่ต้องการให้ (อาร์ชี) ได้เป็นเจ้าชายหรือเจ้าหญิง...ตอนนั้นยังไม่รู้เพศ... ซึ่งเป็นสิ่งที่แตกต่างไปจากธรรมเนียมปฏิบัติ และเขาก็จะไม่ได้รับการคุ้มครองความปลอดภัยใด ๆ ด้วย” เมแกน ระบุ

“ในขณะที่ฉันกำลังตั้งครรภ์อยู่ เราก็ได้รับการบอกกล่าวว่า ‘ลูกของเธอจะไม่ได้รับบรรดาศักดิ์ และไม่ได้รับการคุ้มครองความปลอดภัย’ นอกจากนั้น ก็ยังมีบางคนที่เป็นห่วง และพูดจาซุบซิบกันว่า เขาจะเกิดมามีผิวสีเข้มหรือไม่”

เมแกน ปฏิเสธที่จะเอ่ยชื่อบุคคลที่แสดงท่าทีเหยียดผิวลูกของเธอ และเมื่อ วินฟรีย์ ยิงคำถามเด็ดว่า “คุณเลือกที่จะเงียบเอง หรือถูกทำให้เงียบ” เมแกน ก็ตอบว่า “อย่างหลัง”

ทางด้านเจ้าชายแฮร์รี ทรงระบุว่า ที่ตัดสินใจทิ้งชีวิตเจ้าก็เพราะ “ไม่ได้รับความเข้าใจและเห็นอกเห็นใจ” จากญาติ ๆ และทรงเกรงว่า “ประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย” เหมือนตอนที่พระมารดา เจ้าหญิงไดอานา สิ้นพระชนม์ในอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อปี 1997

ดยุคแห่งซัสเซกซ์ทรงย้ำว่า “ยังเคารพรัก” สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 เหมือนเดิม แต่ในส่วนของเจ้าฟ้าชายชาร์ลสนั้นทรงปฏิเสธที่จะรับโทรศัพท์จากพระองค์มาสักระยะหนึ่งแล้ว

“ผมได้คุยกับสมเด็จย่า 3 ครั้ง คุยกับพ่อ 2 ครั้ง ก่อนที่พระองค์ (เจ้าฟ้าชายชาร์ลส) จะหยุดรับโทรศัพท์จากผม จากนั้นพระองค์ก็บอกว่า ช่วยเขียนมาแทนได้ไหม?” เจ้าชายแฮร์รีตรัส

วินฟรีย์ ถามเจ้าชายแฮร์รีว่า หากไม่ใช่เพราะ เมแกน พระองค์จะเลือกทิ้งราชวงศ์อังกฤษหรือไม่ ซึ่งเจ้าชายก็ตอบว่า “ไม่... ผมคงทำไม่ได้หรอก เพราะตัวผมเองก็ติดกับดักนั้นอยู่ ก็เหมือนกับคนอื่น ๆ ในครอบครัว พ่อผมและพี่ชายผม ทุกคนไปไหนไม่ได้ และผมเองก็รู้สึกเห็นใจพวกเขาในจุดนี้”

“สิ่งที่แตกต่างสำหรับผมก็คือ ประเด็นเรื่องเชื้อชาติ เพราะมันไม่ใช่แค่ตัวเธอ (เมแกน) แต่มันยังเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เธอเป็นตัวแทน”

“ส่วนที่น่าเสียใจที่สุดน่าจะเป็นตอนที่สมาชิกรัฐสภากว่า 70 คน ทั้งชายและหญิง ออกมาวิจารณ์สื่อที่เผยแพร่บทความและพาดหัวข่าวเกี่ยวกับ เมแกน ด้วยคำพูดที่สะท้อนความคิดในยุคล่าอาณานิคม แต่กลับไม่มีใครสักคนในครอบครัวผมออกมาพูดเรื่องนี้ตลอด 3 ปี”

“มันเจ็บปวด แต่ผมก็เข้าใจจุดยืนของครอบครัว ผมรู้ว่าพวกเขาเองก็กลัวจะโดนสื่อแทบล็อยด์เล่นงานเหมือนกัน”

ฝ่ายที่วิพากษ์วิจารณ์มองว่า เจ้าชายแฮร์รีและพระชายาเรียกร้องชื่อเสียงและอภิสิทธิ์ต่าง ๆ จากการเป็นเชื้อพระวงศ์ แต่กลับปฏิเสธที่จะอุทิศตนเองและไม่ยอมถูกสื่อจับตามอง ในขณะที่ฝ่ายสนับสนุนชี้ว่าสิ่งที่ทั้ง 2 พระองค์เผชิญอยู่นั้นสะท้อนถึงความล้าหลังของสถาบันกษัตริย์อังกฤษที่ยังมีแนวคิดเหยียดผิวต่อผู้หญิงยุคใหม่ที่มีเลือดผสมอย่าง เมแกน

เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา หนังสือพิมพ์เดอะไทม์สของอังกฤษได้ตีแผ่เรื่องที่ เมแกน ถูกกล่าวหาว่า “บูลลี่” อดีตข้าราชบริพารในวังเคนซิงตัน ซึ่งทางสำนักพระราชวังบักกิงแฮมก็ออกมาแถลงว่า “มีความกังวลอย่างยิ่ง” และจะดำเนินสอบสวนข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ ขณะที่โฆษกของดัชเชสระบุว่าเธอ “เสียใจกับคำกล่าวหาที่ได้รับล่าสุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อตัวเธอเองก็ตกเป็นเหยื่อของการบูลลี่เรื่อยมา”

เมแกน บอกกับพิธีกรหญิงชื่อดังว่า คนในราชวงศ์อังกฤษไม่เพียงไม่ปกป้องเธอจากการถูกกล่าวหาเท่านั้น แต่ยังเลือกที่จะ “โกหก” เพื่อปกป้องคนอื่นด้วย

“หลังจากที่เราเข้าพิธีแต่งงาน ทุกอย่างก็เริ่มแย่ลงเรื่อย ๆ จนสุดท้ายฉันก็เข้าใจว่า นอกจากฉันจะไม่ได้รับการปกป้องแล้ว พวกเขายังเต็มใจที่จะโกหกเพื่อปกป้องสมาชิกราชวงศ์คนอื่น ๆ ด้วย”

“ด้านหนึ่งคือครอบครัว แต่อีกด้านหนึ่งก็คือกลุ่มคนที่บริหารจัดการสถาบันนี้อยู่ สองสิ่งนี้เป็นคนละอย่างกัน และเราจำเป็นที่จะต้องแยกแยะ เนื่องจากสมเด็จพระราชินีนาถก็ทรงเป็นคนหนึ่งที่ดีต่อฉันเสมอ”

เมแกนยังปฏิเสธเรื่องที่สื่อเอาไปรายงานว่า เธอเคยทำให้ “เคต” ดัชเชสแห่งเคมบริดจ์ พระชายาของเจ้าชายวิลเลียม ร้องไห้ในช่วงก่อนพิธีเสกสมรสเมื่อปี 2018 และยอมรับว่านั่นคือ “จุดเปลี่ยน” ที่ทำให้สื่ออังกฤษหันมาเล่นงานเธอ

“นั่นล่ะคือจุดเปลี่ยน” เมแกน กล่าว และเมื่อ วินฟรีย์ ถามว่าเธอทำให้เคตร้องไห้จริงหรือไม่ เมแกน ก็ตอบว่า “สิ่งที่เกิดขึ้นมันตรงกันข้าม”

“ช่วง 2 - 3 วันก่อนพิธีแต่งงาน เธอ (เคต) อารมณ์เสียเกี่ยวกับ...ชุดของเด็กผู้หญิงที่ถือช่อดอกไม้ และนั่นทำให้ฉันน้ำตาตกเลย ฉันเสียใจกับเรื่องนี้มาก และฉันคิดว่าในบริบทของเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นก่อนวันแต่งงาน มันไม่เมกเซนส์เลยที่ (เธอ) ไม่กระทำเหมือนคนอื่น ๆ ที่ต่างก็พยายามช่วยเหลือทุกอย่าง เพราะรู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างฉันกับพ่อ (โทมัส มาร์เคิล)”

เมแกน ระบุด้วยว่า ก่อนแต่งงานเธอยังไร้เดียงสา และไม่ได้ตระหนักเลยว่าจะต้องเผชิญกับอะไรบ้างหลังจากที่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของราชวงศ์อังกฤษ

“ฉันเข้ามาอย่างคนที่ไร้เดียงสา เพราะฉันเติบโตมาโดยที่ไม่ได้รู้อะไรมากนักเกี่ยวกับราชวงศ์อังกฤษ”

เมแกน ยืนยันว่า เธอและแฮร์รี “ไม่ได้รับเงินค่าจ้าง” แม้แต่เซนต์เดียวจากการออกมาให้สัมภาษณ์ แต่มีรายงานว่าสถานีโทรทัศน์ CBS ต้องจ่ายเงินซื้อสิทธิ์ในการออกอากาศบทสัมภาษณ์เปิดใจชิ้นนี้ประมาณ 7-9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว ๆ 215 - 276 ล้านบาท


ที่มา: รอยเตอร์

https://mgronline.com/around/detail/9640000022351

สภาผู้แทนประชาชนจีน เตรียมเสนอโครงสร้างการศึกษาภาคบังคับใหม่ หั่นเหลือเพียง 10 ปี ชาวเน็ตจีนเสียงแตก ถกเดือดไม่ไหว หรือไปต่อ

เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาในงานประชุมสภาประชาชนแห่งชาติ ประจำปี 2021 ในปักกิ่ง มีข้อเสนอให้มีการปฏิรูปโครงสร้างการศึกษาขั้นพื้นฐานใหม่ทั้งระบบ โดยจะร่นระยะเวลาการศึกษาภาคบังคับให้สั้นลงจาก 12 ปีให้เหลือเพียง 10 ปีเท่านั้น

ข้อเสนอนี้มาจาก นาย จาง หงเหว่ย รองประธานสภาประชนชน ที่นำเสนอแผนปฏิรูปโครงสร้างการศึกษาภาคบังคับใหม่ จากเดิมที่เรียนระดับชั้นประถมศึกษา 6 ปี มัธยมต้น 3 ปี และมัธยมปลาย 3 ปี รวมเป็น 12 ปี ที่คล้ายการระบบการศึกษาภาคบังคับของไทย

แต่โครงการการศึกษาใหม่นี้ จะบีบระยะเวลาในชั้นประถมเหลือเพียง 5 ปี ชั้นมัธยมต้น 3 ปี และชั้นมัธยมปลายก็จะเหลือเพียง 2 ปี เป็น 10 ปี

จาง หงเหว่ย ได้ให้เหตุผลว่า โดยปกติทั่วไปเด็กนักเรียนจีนจะเริ่มต้นวัยเรียนในชั้นประถมที่ประมาณ 7 ขวบ กว่าจะจบมัธยมปลายที่อายุ 19 และจะจบระดับอุดมศึกษาเมื่ออายุ 23 ที่หลายคนกว่าจะเริ่มต้นทำงานเต็มตัวได้ ก็อายุประมาณ 26 - 27 ปี และกว่าจะตั้งหลักสร้างตัวในอาชีพที่ใช่ก็เลย 30 ปีไปแล้ว และมาเกษียณอายุในวัย 55 ที่ดูเหมือนว่าช่วงเวลาที่ทำงานจะสั้นกว่าช่วงเวลาที่เรียนเสียอีก

ซึ่งข้อดีของการย่นระยะเวลาภาคบังคับให้เหลือเพียง 10 ปี ก็จะช่วยให้ครอบครัวจีนมีภาระค่าใช้จ่ายให้ลูกน้อยลง และสอดรับกับสภาพสังคมผู้สูงอายุของจีน และเร่งเติมเต็มแรงงานคนรุ่นหนุ่มสาว ในภาคธุรกิจและอุตสาสหกรรมให้ทันท่วงที

หลังจากที่มีความเห็นในการเปิดประเด็นหั่นระบบการศึกษาภาคบังคับให้เหลือ 10 ปีในสภาผู้แทนประชาชนแห่งชาติ ก็มีเสียงวิพากษ์ วิจารณ์ในเรื่องนโยบายนี้ไม่น้อย

โดยชาวเน็ตจีนก็เสียงแตกเป็น 2 ด้าน ด้านหนึ่งก็เห็นว่าดี จะเรียนให้เยอะๆ นานๆ ไปทำไง รีบเรียน รีบจบ รีบออกมาทำงานจะดีกว่า เพราะสมัยนี้คนที่เรียนนานกว่า ก็ไม่ได้หมายความว่าจะประสบความสำเร็จมากกว่า

แต่บางส่วนก็มองว่าช่วงเวลาในระบบการศึกษาก็สัมพันธ์กับพัฒนาการในแต่ละช่วงวัย ที่จะเร่งกันไม่ได้

และก็มีนักการศึกษาจีนหลายคนที่ไม่เห็นด้วย เพราะรัฐบาลจีนมองการศึกษาในแง่มุมของการจ้าง "แรงงาน" ในภาคอุตสาหกรรมเพียงอย่างเดียว ที่การหั่นระยะเวลาการศึกษาขั้นพื้นฐานอาจไม่ใช่การแก้ปัญหาเรื่องแรงงานที่ตรงนัก

ความเห็นต่างในแผนนโยบายใหม่นี้ก็มาจากนาย ฉู เชาฮุ่ย นักวิจัยที่สถาบันวิทยาศาสตร์การศึกษาแห่งชาติ ให้ความเห็นผ่านสื่อ Global Times ของจีนว่า การย่นระยะเวลาการศึกษาเพื่อเพิ่มจำนวนแรงงาน เป็นแค่เพียงการเห็นของภาครัฐแต่เพียงฝ่ายเดียว แต่ต้องการแรงงานในภาคธุรกิจ ก็ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่นการเปลี่ยนแปลงทางด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และเศรษฐกิจ

เช่นเดียวกับนาย สง ปิงฉี ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยการศึกษาแห่งศตวรรษที่ 21 เชื่อว่าระบบการเรียนการสอนในโรงเรียนต่างหากที่เป็นรากฐานสำคัญของระบบการศึกษา และการพัฒนาสังคม

ดังนั้นการจะเร่งพัฒนาเยาวชนจีนรุ่นใหม่ สู่ตลาดแรงงานที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ต้องแก้ที่ระบบการเรียน การสอน ซึ่งปัจจุบันยังคงเน้นที่การสอบเป็นหลัก เฉพาะฉะนั้นต่อให้บีบระยะเวลาการศึกษาภาคบังคับให้เหลือเพียง 10 ปี ก็ไม่ได้ช่วยลดภาระของเด็ก และผู้ปกครองอยู่ดี ตราบใดที่ระบบการศึกษายังเน้นเรื่องการสอบแข่งขัน เด็กก็ยังคงต้องเรียนหนัก และผู้ปกครองก็ต้องมีภาระในค่าใช้จ่าย ไม่ว่าจะเป็นการเรียนเสริม กวดวิชา ชั้นเรียนพิเศษ เพื่อสร้างความได้เปรียบให้ลูกเมื่อเข้าสู่ระบบสนามแข่ง พอเวลาเรียนสั้นลง ยิ่งสร้างความเครียด และกดดันให้กับเด็กเพิ่มขึ้นไปอีก

และพอมาพูดถึงประเด็นนี้ ก็มีชาวเน็ตจีนอีกจำนวนหนึ่งมองว่า ถ้าอย่างนั้นการเรียนเร่งลัด ให้ลดเวลาลงเหลือ 10 ปี ก็อาจจะเข้าท่าเหมือนกัน หากมองว่าไหน ๆ ทุกวันนี้เด็กจีนก็ต้องเสริม เรียนอัดกันอยู่แล้ว งั้นก็เร่งรัดให้เหลือชั้นประถม 5 ปี มัธยม 5 ปี ก็น่าจะพอแล้ว แต่ให้ยกระดับมาตรฐาน และการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆในการศึกษาให้มากขึ้น และจะช่วยเพิ่มเวลาในการค้นหาตัวเองเมื่อมุ่งหน้าสู่การศึกษาเฉพาะทางในระดับสูงๆต่อไปด้วย

การศึกษาจีน เป็นหนึ่งในระบบการศึกษาที่เข้มงวด และกดดันที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ที่เด็กนักเรียนจีนจะได้รับการปลูกฝังจากครอบครัวให้เรียนอย่างจริงจังตั้งแต่เด็กเพื่อมุ่งสู่สนามสอบระดับชาติที่เรียกว่า "เกาเข่า" ที่ได้ชื่อว่าเป็นข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่ยากที่สุดติดอันดับโลก ที่เชื่อว่าเป็นใบเบิกทางสู่หน้าที่การงานในอนาคต และไม่ว่าจะต้องเรียน 12 ปี หรือ 10 ปี ค่านิยมในการเรียนเพื่อสอบให้ผ่าน "เกาเข่า" ก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง


แหล่งข้อมูล 

https://www.globaltimes.cn/page/202103/1217628.shtml

https://www.wionews.com/world/chinas-gaokao-one-of-the-toughest-exams-in-the-world-311419

พีค of the week EP.9

รอบสัปดาห์ที่ผ่านมา สถานการณ์โควิด – 19 มีสัญญาณดีขึ้นเป็นลำดับ โดยเฉพาะที่จังหวัดสมุทรสาคร ต้นตอการระบาดระลอกใหม่ เริ่มมีการปิดโรงพยาบาลสนามหลายแห่ง รวมถึงที่ตลาดกลางกุ้ง สถานที่แพร่เชื้อเมื่อปลายปีก่อน ก็กลับมาเปิดทำการใหม่อีกครั้ง ทั้งหมดถือเป็นเรื่องราวดี ๆ แต่ก็มีที่ ‘ร้อนแรง’ เหมือนเดิม คือเหล่าบรรดาม็อบ ที่ยังคงรวมตัวกันอย่างต่อเนื่อง

.

และที่ร้อนสุดประจำสัปดาห์ที่แล้ว คงต้องยกให้กับข่าว แอมมี่ The Bottom Blues ที่ออกมาเผาทรัพย์สินหน้าเรือนจำคลองเปรม ทั้งหมดถูกรวบรวมไว้ใน พีค of the week ไปย้อนชมความร้อนแรงกันได้เลย Let’s go!!

.

เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา รัฐบาลจีนได้มีคำสั่งแบนการนำเข้าสับปะรดจากไต้หวัน โดยอ้างว่าพบสารพิษ ยาฆ่าแมลงตกค้างที่เป็นอันตรายจากสินค้าล็อตที่เพิ่งส่งมา ซึ่งการสั่งห้ามการนำเข้าสับปะรดไต้หวันเริ่มมีผลทันทีตั้งแต่เดือนมีนาคมเป็นต้นไป

เรื่องนี้นาย เฉิน ชีชุง รัฐมนตรีกระทรวงเกษตรของไต้หวันออกมาตอบโต้อย่างเผ็ดร้อนว่าไม่เป็นความจริง เนื่องจากทางหน่วยงานมีการตรวจสอบคุณภาพผลผลิตอย่างเข้มงวด และไม่เคยได้รับคำตำหนิจากประเทศคู่ค้าชาติอื่น ดังนั้นคำกล่าวหาของรัฐบาลจีนจึงเป็นสิ่งที่ไม่อาจรับได้

แต่เมื่อทางรัฐบาลจีนได้มีคำสั่งออกมาแล้วว่าให้แบน ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นได้ จึงทำให้เกษตรกรผู้ปลูกสับปะรดในไต้หวันต่างเดือดร้อนไปตามๆกัน เพราะ จีนเป็นผู้นำเข้าสับปะรดรายใหญ่ที่สุดของไต้หวัน กว่า 97% ของสับปะรดไต้หวันส่งไปขายในประเทศจีน ตกเฉลี่ยปีละ 41,660 ตัน คิดเป็นมูลค่าสูงถึง 1.5 พันล้านบาท

มิหนำซ้ำ คำสั่งแบนจากจีนออกช่วงหน้าสับปะรดไต้หวันออกมาพอดี ชาวไต้หวันถึงเป็นเดือด เป็นแค้นมาก ว่า จะนำสับปะรดกว่า 4 หมื่นตันไปไว้ไหนและมองว่าจีนใช้นโยบายแบนสับปะรด เพื่อโจมตีภาคอุตสาหกรรมเกษตรของไต้หวันโดยตรง ซึ่งเป็นนโยบายที่จีนนิยมใช้ เมื่อต้องการตอบโต้ชาติใดก็ตามที่อยู่ฝั่งตรงข้ามจีน

อย่างที่ออสเตรเลียเคยเจอมาแล้วเมื่อช่วงปี 2020 ที่โดนจีนตั้งกำแพงภาษีนำเข้า ไวน์ ถ่านหิน และข้าวบาร์เลย์จากออสเตรเลีย เพื่อเป็นการตอบโต้รัฐบาลออสเตรเลียที่เคยกล่าวหาจีนว่าปกปิดข้อมูลการแพร่ระบาด Covid-19 และเรียกร้องให้องค์การอนามัยโลกตั้งทีมสืบสวนหาต้นกำเนิดไวรัส Covid -19 ที่ประเทศจีน

และเมื่อจีนต้องการเปิดศึกสับปะรด ทางไต้หวันก็จำเป็นต้องออกมาสู้ โดน นาย อู๋ จาวเซี่ย รัฐมนตรีต่างประเทศไต้หวันก็ประกาศเปิดแคมเปญ "Freedom Pineapple" สับปะรดแห่งเสรีภาพผ่านทางทวิตเตอร์ พร้อมๆกับนาง ไช่ อิงเหวิน ประธานาธิบดีไต้หวัน ก็ออกมาโพสต์ รณรงค์ให้ชาวไต้หวันช่วยกันซื้อสับปะรดกินกันในช่วงนี้

หลังจากที่เปิดแคมเปญ ก็เกิดแนวร่วมพันธมิตรสับปะรดขึ้นทันที เมื่อทูตพิเศษของแคนาดา และสหรัฐในไต้หวันออกมารับลูกเชียร์ความเอร็ดอร่อยของสับปะรดไต้หวันว่าสุดยอดแค่ไหน

และหน้าเพจ Facebook ของสำนักงานหอการค้าแคนาดาก็ได้โพสต์ว่า พวกเราชาวแคนาดาชอบกินพิซซ่าหน้าสับปะรดมาก โดยเฉพาะสับปะรดจากไต้หวัน และยังเล่าถึงประวัติว่าชาวแคนาดาคือผู้คิดค้นการใส่สับปะรดบนหน้าพิซซ่าเป็นครั้งแรกในปี 1962

และยังมี เบรนท์ คริสเตียนเซ่น ผู้อำนวยการสถาบันอเมริกันแห่งไต้หวัน ได้โพสต์รูปตัวเขากับสับปะรดไต้หวัน 3 ลูกบนโต๊ะทำงานของเขา พร้อมคิดแฮชแท็ก #pineapplesolidarity

ส่วนการเคลื่อนไหวในโลกออนไลน์ก็คึกคักไปด้วยแท็ก #FreedomPineapple ที่ชวนกันไปซื้อสับปะรดมากินโชว์ในโซเชียล และทางไต้หวันก็เตรียมเปิดตลาดสับปะรดใหม่ในประเทศพันธมิตร เช่น สิงคโปร์ มาเลยเซีย และออสเตรเลียเพิ่มขึ้น

และล่าสุด นายเฉิน ชีชุง รัฐมนตรีเกษตรก็ประกาศข่าวดีว่า ตอนนี้ทางเกษตรกรผู้ปลูกสับปะรดได้ยอดสั่งจองล่วงหน้ามาแล้วอย่างถล่มทลายถึง 41,687 ตัน เกินจำนวนยอดที่ส่งออกไปจีนตลอดทั้งปีเรียบร้อยแล้ว

โดยที่ยอดจองส่วนใหญ่มาจากทางอินเตอร์เนตบ้าง จากโรงงานผลิตสับปะรดแปรรูป โรงงานเครื่องดื่ม ตลาดค้าส่ง และค้าปลีกผลไม้และยังมีออเดอร์จากต่างประเทศเพิ่มเติมด้วย เข้ามาช่วยพยุงชาวสวนสับปะรดไต้หวันได้อย่างทันท่วงที

เรียกได้ว่าแผนแก้เกมจีนด้วยพันธมิตรสับปะรดได้ผล และมีกำลังซื้อจริง แต่ทางไต้หวันก็ต้องเร่งหาตลาดต่างประเทศสำรองไว้สำหรับสินค้าเกษตรตัวอื่นๆ ที่อาจโดนจีนสั่งแบนเพิ่มอีกในอนาคตที่อาจต้องสร้างพันธมิตรมะละกอ กล้วย ส้ม กันอีกยาว


อ้างอิง

https://www.taiwannews.com.tw/en/news/4140768

https://www.theguardian.com/world/2021/mar/02/taiwanese-urged-to-eat-freedom-pineapples-after-china-import-ban

https://www.cnbc.com/2021/03/04/taiwan-chinas-ban-on-pineapples-not-in-line-with-global-trade-rules.html


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top